รวมวิธีรักษาฝ้า ที่รมย์รวินท์คลินิก

รวมวิธีรักษาฝ้า ที่รมย์รวินท์คลินิก

ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




    วันที่สะดวกในการติดต่อ








    รวมวิธีรักษาฝ้า ที่รมย์รวินท์คลินิก

    ฝ้าปัญหาผิวกวนใจที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ถึงแม้จะไม่ส่งผลอันตรายร้ายแรงต่อผิว แต่ก็สร้างความกังวลใจให้ผู้ที่เป็นไม่น้อยเลยทีเดียว ในปัจจุบันจึงมีการรักษาฝ้าให้เลือกมากมายหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป วันนี้รมย์รวินท์จึงจะพาทุกคนไปเจาะลึกถึงวิธีการรักษาฝ้าแบบเร่งด่วนทุกรูปแบบ พร้อมบอกเคล็ดลับในการเลือกวิธีการรักษาฝ้าให้เหมาะสมกับตัวเอง รู้ไว้ฝ้าหายไว้ผิวกลับมาเนียนใสแน่นอนค่ะ

     

    ฝ้าคืออะไร ?

    ฝ้า (Melasma) เป็นปัญหาผิวหนังที่เกิดจุดด่างดำหรือรอยคล้ำเป็นปื้น ซึ่งฝ้าเกิดจากการที่เซลล์ใต้ผิวหนังผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป เพื่อพยายามปกป้องผิวจากรังสี UV ในแสงแดด และปัจจัยอื่น ๆ เช่น แสงแดด ฮอร์โมน พันธุกรรม รวมถึงพฤติกรรมการดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม แต่ถึงอย่างนั้นฝ้าก็ไม่ได้เป็นปัญหาผิวที่มีความอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพใดๆ เพียงแต่ส่วนใหญ่มักส่งผลกระทบทางด้านความสวยงาม และความมั่นใจ

     

    ฝ้าเกิดจากอะไร ?
    ฝ้าเกิดจากอะไร ?

     

    ฝ้าเกิดจากอะไร ?

    ฝ้า (Melasma)  เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินในผิวหนังมากเกินไป ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัยทั้งปัจจัยภายในร่างกายและปัจจัยภายนอก ที่กระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซต์ผลิตเม็ดสีมากขึ้น โดยปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าได้ มีดังนี้

    • ฝ้าเกิดจากแสงแดด 

    เมื่อผิวสัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานาน ๆ จะไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้เกิดฝ้าได้ โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่ได้ป้องกันผิวจากแสงแดดอย่างเหมาะสม

    • ฝ้าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน  

    การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนที่รวดเร็ว อาจกระตุ้นการเกิดฝ้าได้ เนื่องจากในช่วงที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือในช่วงที่รับฮอร์โมนจากยาคุมกำเนิด อาจทำให้ผิวไวต่อแสงแดดและเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้น 

    • ฝ้าลึกเกิดจากมลภาวะและพฤติกรรม 

    มลภาวะที่เจอในแต่ละวัน ไม่ว่าจากฝุ่น ความเครียด ทั้งหมดส่งผลต่อการสร้างเม็ดสี โดยเฉพาะสารอนุมูลอิสระที่กระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ จนทำให้ผิวอ่อนแอและเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้น

    • ฝ้าเกิดจากเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้ 

    ถ้าหากส่วนผสมของผลิตภัณฑ์นั้นมีสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองกับผิวหรือไวต่อแสง อาจกระตุ้นให้ฝ้าเกิดขึ้นได้

    • ฝ้าเกิดจากพันธุกรรม 

    หากมีคนในครอบครัวเป็นฝ้า โอกาสเกิดฝ้าในบุคคลนั้นก็เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน

    • ฝ้าเกิดจากความร้อน 

    การได้รับความร้อนจากแสงแดด ไอความร้อนจากเตาไฟ หรือความร้อนจากสิ่งต่าง ๆ รอบตัว อาจทำให้เกิดการกระตุ้นให้เม็ดสีสะสมในชั้นลึกของผิวหนัง ส่งผลให้เกิดฝ้าได้

    • ฝ้าเกิดจากการอักเสบของผิวหนัง  

    การเกิดสิว การลอกผิว หรือการกระทำต่าง ๆ ที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบของผิว อาจส่งผลให้เกิดการกระตุ้นให้เม็ดสีสะสมในชั้นลึกของผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นฝ้าได้

     

    การเกิดฝ้าสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะทั้งจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ดังนั้นหากต้องการลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่และการเกิดฝ้าซ้ำ ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ค่ะ

     

    วิธีรักษาฝ้าแต่ละชนิด
    วิธีรักษาฝ้าแต่ละชนิด

     

    วิธีรักษาฝ้าแต่ละชนิด

    ฝ้าเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยในหลายบุคคล ซึ่งฝ้ามักมีลักษณะเป็นรอยดำ หรือสีผิวที่เข้มขึ้นบนใบหน้าและบริเวณต่าง ๆ ตามร่างกายที่สัมผัสกับแสงแดดบ่อย ๆ โดยฝ้ามีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็มีลักษณะ และต้องการการรักษาที่แตกต่างกันไป ดังนี้

     

    ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma)

    เป็นฝ้าที่เกิดขึ้นบริเวณหนังกำพร้าชั้นบนสุด ซึ่งสาเหตุการเกิดฝ้าตื้นสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ดังนี้

    ลักษณะของฝ้าตื้น 

    ฝ้าตื้นมีลักษณะเฉพาะที่สังเกตุได้ง่าย  ดังนี้

    • ฝ้าตื้นมักมีขอบเขตชัดเจน
    • ฝ้าตื้นมีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลอ่อน ไปถึงสีน้ำตาลเข้ม เป็นปื้น
    • ฝ้าตื้นสามารถเห็นได้ชัดขึ้นเมื่อสัมผัสกับแสงแดด
    • ฝ้าตื้นพบได้บ่อยในบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก และเหนือริมฝีปาก

     

    การรักษาที่เหมาะกับฝ้าตื้น

    ฝ้าตื้นเป็นฝ้าที่สามารถรักษาและควบคุมได้ หากมีการดูแลผิวอย่างเหมาะสม โดยการรักษาฝ้าตื้นมุ่งเน้นไปที่การลดการสร้างเม็ดสี ควบคุมการกระจายตัวของเม็ดสีเมลานิน และป้องกันไม่ให้ฝ้ากลับมาเป็นซ้ำ

     

    ฝ้าลึก (Deep Melasma)

    เป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินในชั้นหนังแท้ (Dermis) ที่มากเกินไป ทำให้เกิดรอยคล้ำบนใบหน้า ซึ่งฝ้าลึกมักเป็นลักษณะที่รักษาได้ยากกว่าฝ้าตื้น เนื่องจากเม็ดสีฝังตัวอยู่ลึกกว่า

    ลักษณะของฝ้าลึก

    • ฝ้าลึกมักมีขอบเขตไม่ชัดเจน และกระจายตัวเป็นบริเวณกว้าง
    • ฝ้าลึกมักสีเข้ม เช่น น้ำตาลเทา หรือน้ำตาลอมฟ้า
    • ฝ้าลึกรักษายากกว่าฝ้าตื้น เนื่องจากเม็ดสีอยู่ในชั้นลึกของผิวหนัง
    • ฝ้าลึกมักพบบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก เหนือริมฝีปาก และคาง

     

    การรักษาที่เหมาะกับฝ้าลึก

    การรักษาฝ้าลึกมุ่งเน้นไปที่การลดการสร้างเม็ดสีโดยการยับยั้งกระบวนการผลิตเมลานิน ปรับสมดุลของเซลล์ผิวเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและการซ่อมแซมผิว และป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ แต่การรักษาฝ้าลึกจะต้องใช้เวลาและความต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ

     

    ฝ้าผสม (Mixed Melasma)

    เป็นประเภทของฝ้าที่มีลักษณะผสมระหว่างฝ้าตื้นและฝ้าลึก กล่าวคือ เม็ดสีเมลานินสะสมอยู่ทั้งในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) ทำให้การรักษามีความซับซ้อนมากกว่าฝ้าชนิดเดียว

    ลักษณะของฝ้าผสม

    • ฝ้าผสมมักมีทั้งจุดสีเข้มที่ชัดเจนของฝ้าตื้น และรอยคล้ำกระจายแบบฝ้าลึก
    • ฝ้าผสมมักมีสีตั้งแต่น้ำตาลอ่อนถึงน้ำตาลเข้ม
    • ฝ้าผสมมักรักษายากกว่าฝ้าตื้น เพราะต้องจัดการทั้งสองชั้นของเม็ดสี
    • ฝ้าผสมมักพบได้ทั่วไปบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก เหนือริมฝีปาก และคาง

     

    การรักษาที่เหมาะกับฝ้าผสม

    การรักษาฝ้าผสมจะรักษายากกว่าฝ้าตื้น และต้องรักษาแบบผสมผสานหลายวิธี  เนื่องจากมีเม็ดสีสะสมอยู่ทั้งในหนังกำพร้าและหนังแท้ การรักษาจึงมุ่งเน้นไปที่การการลดการสร้างเม็ดสีโดยการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ควบคุมปัจจัยกระตุ้นเช่นแสงแดดและฮอร์โมน และเสริมสร้างความแข็งแรงของผิว 

     

    ฝ้าประเภทไหนรักษาได้ง่าย ?

    ฝ้าตื้นเป็นประเภทที่รักษาได้ง่าย เนื่องจากเม็ดสีสะสมอยู่แค่ในชั้นหนังกำพร้า ซึ่งสามารถกำจัดออกได้ง่ายโดยการผลัดเซลล์ผิว , การใช้สารยับยั้งเม็ดสี หรือการใช้เลเซอร์ เพื่อช่วยลดเม็ดสีส่วนเกิน ในขณะที่การรักษาฝ้าลึกและฝ้าผสมต้องใช้ระยะเวลานานกว่า และต้องมีการรักษาหลายขั้นตอนร่วมกัน ทั้งนี้การรักษาฝ้าทุกประเภทควรทำควบคู่ไปกับการป้องกันฝ้า ด้วยการใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50+ PA++++ และการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น จะช่วยลดการเกิดฝ้าใหม่ และเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาฝ้าได้ 

     

    รวมวิธีการรักษาฝ้าที่รมย์รวินท์คลินิก
    รวมวิธีการรักษาฝ้าที่รมย์รวินท์คลินิก

     

    รวมวิธีรักษาฝ้า ที่รมย์รวินท์คลินิก

    การรักษาฝ้าให้จางลงมีหลากหลายวิธี เพื่อให้สามารถจัดการเม็ดสีเมลานินที่สะสมอยู่ในผิวอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการรักษาฝ้าให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีควรทำคู่กับการดูแลตัวเองทั้งภายในและภายนอก เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ โดยโปรแกรมรักษาฝ้าที่รมย์รวินท์ สามารถทำได้หลากหลายวิธี ดังนี้

     

    1.วิธีรักษาฝ้าด้วยการทำโปรแกรม Sylyoung

    เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้คลื่น Radio Frequency แบบ Dual Wave จึงสามารถช่วยฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก ทั้งในระดับผิวหนังชั้นบนและชั้นลึก

    ข้อดีของการรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม Sylyoung

    • โปรแกรม Sylyoung ลดฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อผิวบริเวณรอบข้าง
    • โปรแกรม Sylyoung เหมาะกับทุกสีผิว โดยเฉพาะผิวคนเอเชียที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำหลังทำเลเซอร์แบบอื่น
    • โปรแกรม Sylyoung ระยะเวลาพักฟื้นน้อยและไม่จำเป็นต้องหยุดพักการใช้ชีวิตประจำวัน
    • โปรแกรม Sylyoung ช่วยลดเส้นเลือดฝอยผิดปกติซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของฝ้าได้

    การรักษาแบบนี้เหมาะกับฝ้าประเภท

    • โปรแกรม Sylyoung เหมาะกับฝ้าแบบเลือดฝอย ลดการไหลเวียนของเลือดในบริเวณที่มีปัญหา ส่งผลให้ฝ้าจางลงอย่างไม่เป็นอันตราย
    • โปรแกรม Sylyoung เหมาะกับฝ้าแบบผสมที่มีทั้งเม็ดสีและเส้นเลือดร่วมกัน เนื่องจาก Sylyoung ใช้คลื่น RF แบบ Dual Wave ช่วยลดเม็ดสีพร้อมควบคุมความผิดปกติของเส้นเลือดไปพร้อมกันได้
    • โปรแกรม Sylyoung เหมาะกับฝ้าที่รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล หรือผู้ที่ฝ้ากลับมาเป็นซ้ำบ่อย เนื่องจาก Sylyoung ช่วยฟื้นฟูผิวและโครงสร้างใต้ผิวที่ลึกกว่าเลเซอร์ทั่วไป

     

    2.วิธีรักษาฝ้าด้วยการทำ  Nu Pico Laser

    การรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม  Nu Pico Laser ด้วยการใช้พลังงานแสงที่มีความเร็วสูง ในการทำลายเม็ดสีเมลานินได้อย่างละเอียดและตรงจุด

    ข้อดีของการรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม Nu Pico Laser

    • โปรแกรม  Nu Pico Laser ช่วยลดเลือนฝ้าได้
    • โปรแกรม  Nu Pico Laser ลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำหลังการรักษา
    • โปรแกรม  Nu Pico Laser ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียนและดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้
    • โปรแกรม  Nu Pico Laser เหมาะกับทุกสภาพผิว

    การรักษาแบบนี้เหมาะกับฝ้าประเภท

    • โปรแกรม  Nu Pico Laser ลดเลือนฝ้าตื้นได้อย่างชัดเจน
    • โปรแกรม  Nu Pico Laser สามารถรักษาฝ้าลึกได้แต่ต้องใช้ระยะเวลาและทำต่อเนื่อง
    • โปรแกรม  Nu Pico Laser สามารถรักษาฝ้าผสมได้ หากทำต่อเนื่องและมีการดูแลผิวที่เหมาะสม

     

    3.วิธีรักษาฝ้าด้วยการทำ Smart Bright

    การรักษาฝ้าด้วยการทำโปรแกรม Smart Bright เป็นวิธีการรักษาฝ้าด้วยการใช้แสงเลเซอร์แสงสีเหลืองและแสงสีเขียว ในการลดเม็ดสีเมลานิน ลดการอักเสบ และช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ช่วยลดเลือนฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้น

    ข้อดีของการรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม Smart Bright

    • โปรแกรม Smart Bright ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้สามารถลดเลือนฝ้าได้
    • โปรแกรม Smart Bright ช่วยลดการอักเสบของผิวและลดรอยแดง ที่เกิดจากฝ้าและสิวได้ด้วย
    • โปรแกรม Smart Bright ไม่เป็นอันตราย ไม่ทำให้เกิดแผลหรือรอยดำหลังการทำ
    • โปรแกรม Smart Bright ช่วยลดเส้นเลือดฝอยและรอยแดงบนหน้าได้อีกด้วย

    การรักษาแบบนี้เหมาะกับฝ้าประเภท

    • โปรแกรม Smart Bright ช่วยลดฝ้าตื้นที่เกิดในชั้นหนังกำพร้าได้อย่างตรงจุด
    • โปรแกรม Smart Bright สามารถฝ้าลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อทำอย่างต่อเนื่อง
    • โปรแกรม Smart Bright สามารถรักษาฝ้าผสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     

    4.วิธีรักษาฝ้าด้วยการทำโปรแกรม Melasma Fade 

    การรักษาฝ้าด้วยการทำโปรแกรม Melasma Fade เป็นวิธีการรักษาฝ้าด้วยการฉีดสารบำรุงผิวที่ออกแบบมาเพื่อช่วยลดเลือนฝ้าและจุดด่างดำ โดยใช้เทคนิคเฉพาะที่รมย์รวินท์คลินิก

    ข้อดีของการรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม Melasma Fade

    • โปรแกรม Melasma Fade ลดเลือนฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • โปรแกรม Melasma Fade ฟื้นฟูได้อย่างล้ำลึกถึงระดับเซลล์ ทำให้ผิวสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
    • โปรแกรม Melasma Fade ลดโอกาสการเกิดฝ้าซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • โปรแกรม Melasma Fade เห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนกว่าการทาครีมลดฝ้าแบบทั่วไป
    • โปรแกรม Melasma Fade ไม่ทำให้ผิวบางหรือไวต่อแสง

    การรักษาแบบนี้เหมาะกับฝ้าประเภท

    • โปรแกรม Melasma Fade สามารถลดเลือนฝ้าตื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากลดเมลานินที่ชั้นหนังกำพร้าโดยตรง
    • โปรแกรม Melasma Fade สามารถช่วยลดความเข้มของเม็ดสีฝ้าลึก และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอขึ้นได้
    • โปรแกรม Melasma Fade ลดเลือนฝ้าผสมได้ และช่วยทำให้สีผิวดูเรียบเนียนขึ้น

     

    5.วิธีรักษาฝ้าด้วยการทำโปรแกรม  Code of White

    เป็นโปรแกรมรักษาฝ้าที่ถูกออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูสภาพผิวเพื่อแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ ฝ้า กระ และจุดด่างดำที่เกิดจากแสงแดด มลภาวะ หรืออายุที่มากขึ้น ซึ่งการรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม  Code of White ประกอบด้วยหลายเทคนิคทั้งการใช้เลเซอร์ในระดับอ่อน การผลักสารบำรุงเข้าสู่ผิวชั้นลึก และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารออกฤทธิ์เฉพาะ เพื่อดูแลผิวทั้งในระดับผิวภายนอกและโครงสร้างใต้ผิว

    ข้อดีของการรักษาฝ้าด้วย  Code of White 

    • โปรแกรม  Code of White ใช้เทคโนโลยีที่ไม่เป็นอันตราย ทั้งในด้านเครื่องมือและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ร่วมในการรักษาฝ้า
    • โปรแกรม  Code of White สามารถปรับการรักษาให้เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวได้โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
    • โปรแกรม  Code of White ใช้เทคนิคการผลักสารเข้าสู่ผิวอย่างอ่อนโยน ช่วยปลอบประโลมผิว ลดการอักเสบได้อย่างดี
    • โปรแกรม  Code of White ช่วยปรับสมดุลผิวและลดปัจจัยกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดฝ้ากระใหม่ในอนาคตได้

    การรักษาแบบนี้เหมาะกับฝ้าประเภท

    โปรแกรม  Code of White เหมาะกับฝ้าสามารถลดเลือนฝ้า กระ ได้ทั้งในระดับผิวตื้นและลึก ครอบคลุมทั้งเม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้

    • โปรแกรม  Code of White เหมาะกับฝ้าแบบตื้น
    • โปรแกรม  Code of White เหมาะกับฝ้าแบบลึก
    • โปรแกรม  Code of White เหมาะกับฝ้าแบบผสม
    • โปรแกรม  Code of White เหมาะกับฝ้าเรื้อรังหรือเคยรักษาด้วยวิธีอื่นแล้วยังไม่ได้ผล

    การรักษาฝ้าสามารถทำได้หลายวิธี ควรเลือกวิธีการรักษาฝ้าที่เหมาะสมกับประเภทและความรุนแรงของฝ้า เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ควบคู่กับการดูแลผิวอย่างถูกวิธี จะช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่ในอนาคตได้ค่ะ

     

    เคล็ดลับการเลือกวิธีรักษาฝ้าให้เหมาะกับตัวเอง
    เคล็ดลับการเลือกวิธีรักษาฝ้าให้เหมาะกับตัวเอง

     

    เคล็ดลับการเลือกวิธีรักษาฝ้าให้เหมาะกับตัวเอง

    การเลือกวิธีรักษาฝ้าให้เหมาะสมกับตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การรักษาฝ้ามีประสิทธิภาพและลดโอกาสการเกิดฝ้าซ้ำในอนาคตได้ แล้วเราควรเลือกรักษาฝ้าแบบไหนที่เหมาะกับตัวเอง ? การเลือกวิธีรักษาฝ้าที่เหมาะสม อาจสามารถพิจารณาได้จากปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ค่ะ 

    • ประเมินประเภทของฝ้าที่เป็นก่อนเลือกวิธีการรักษา

    เพื่อการเลือกการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเอง ควรบทราบก่อนว่าฝ้าที่เป็น เป็นฝ้าประเภทใด เนื่องจากฝ้าแต่ละประเภทต้องการการรักษาที่แตกต่างกันออกไป หากปรึกษาแพทย์จะช่วยให้สามารถบอกถึงประเภทฝ้าที่คุณเป็นและได้รับคำแนะนำด้านวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้ค่ะ

    • เลือกวิธีการรักษาฝ้าที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตัวเอง

    สภาพผิวของแต่ละบุคคลตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นการเลือกวิธีการรักษาฝ้า ควรเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตัวเองด้วย เพื่อลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาฝ้า

    • เลือกวิธีการรักษาที่มีไม่เป็นอันตรายและผ่านการรับรอง

    ในการรักษาฝ้าไม่ว่าจะเป็นวิธีใด ควรเลือกวิธีการรักษาที่มีไม่เป็นอันตราย มีการรับรอง และการทำโดยผู้ชำนาญการ ในสถานพยาบาลที่เชื่อถือได้ เพื่อไม่เป็นอันตรายตลอดการรักษาค่ะ

    • คำนึงถึงงบประมาณและระยะเวลาการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเอง

    การรักษาฝ้าทุกวิธีล้วนมีค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการรักษาที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับงบประมาณและความต้องการของคุณ เพื่อให้สามารถรักษาฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     

    ทำไมฝ้าถึงกลับมาเป็นอีก หลังจากรักษาหายแล้ว ?
    ทำไมฝ้าถึงกลับมาเป็นอีก หลังจากรักษาหายแล้ว ?

     

    ทำไมฝ้าถึงกลับมาเป็นอีก หลังจากรักษาหายแล้ว ?

    แม้ว่าฝ้าจะสามารถรักษาให้จางลงได้ แต่ฝ้าก็สามารถกลับมาเป็นได้อีก เนื่องจากเกิดการกระตุ้นจากหลายปัจจัย เช่น แสงแดด ฮอร์โมน พันธุกรรม และพฤติกรรมการดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม ที่ไปกระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocyte) ผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป ส่งผลให้รอยฝ้าปรากฏขึ้นอีกครั้ง หากต้องการลดโอกาสที่ฝ้าจะกลับมาเกิดในระยะยาว ควรดูแลผิวให้เหมาะสม รวมถึงควรปกป้องผิวจากแสงแดด และหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้เกิดฝ้าค่ะ

    สิ่งที่คนเป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้เกิดฝ้าซ้ำ

    การป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าซ้ำสำหรับผู้ที่เคยเป็นฝ้ามาก่อน เป็นสิ่งที่จำเป็นเป็นอย่างมาก เนื่องจากหลังการรักษาแล้ว ฝ้าก็สามารถเกิดได้หลายปัจจัย ซึ่งการหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้จะช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้า และทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นได้

     

    • ผู้เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและรังสี UV

    ในผู้ที่เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและรังสี UV เนื่องจากการสัมผัสรังสี UV มีความเข้มข้นสูง อาจทำให้ผิวเกิดการกระตุ้นเม็ดสีเมลานินมากขึ้น ทำให้เกิดการสะสมใต้ชั้นผิวหนังมากเกินไป จนเกิดเป็นฝ้าขึ้นอีกครั้ง

    • ผู้เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงความร้อน

    ในผู้ที่เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงความร้อนและไอร้อนจากที่ต่าง ๆ เนื่องจากความร้อน สามารถกระตุ้นการทำงานของเซลล์เมลาโนไซต์ ทำให้ฝ้ากลับมาเข้มขึ้น หรือกลับมาเกิดเป็นฝ้าอีกครั้ง

    • ผู้เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารระคายเคือง

    ในผู้ที่เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม พาราเบน และสารกันเสีย เนื่องจากสารสกัดจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ อาจทำให้ผิวระคายเคือง หรือผิวบางลงและไวต่อแสงแดด จนกระตุ้นการสร้างเม็ดสีมากเกินไป ทำให้เกิดเป็นฝ้าได้อีก

    • ผู้เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงมลภาวะและอนุมูลอิสระ

    ในผู้ที่เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงมลภาวะ สารพิษในอากาศ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่กระตุ้นให้เซลล์ผิวผลิตเม็ดสีมากขึ้น ส่งผลให้ฝ้ากลับมาเข้มขึ้น และรักษาได้ยากขึ้นได้ 

    • ผู้เป็นฝ้าควรกินอาหารที่จำเป็นต่อผิว

    ในผู้ที่เป็นฝ้าควรกินอาหารที่จำเป็นต่อผิว เช่น วิตามิน C, วิตามิน E, ซิงค์ และโอเมก้า 3 เนื่องจากการขาดอาหารที่จำเป็นต่อผิวเหล่านี้ทำให้ผิวอ่อนแอและไวต่อแสงแดดมากขึ้น ส่งผลให้เกิดฝ้าได้

     

    การรักษาฝ้าเร่งด่วนเพื่อให้ผิวหน้ากลับมาสวยเรียบเนียนอีกครั้ง สามารถทำได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทำเลเซอร์ การฉีด หรือการผลัดเซลล์ผิว แต่ทั้งนี้ฝ้าก็สามารถเกิดซ้ำได้หากไม่มีการดูแลผิวที่ถูกต้อง ดังนั้นเมื่อรักษาฝ้าจนฝ้าจางลงแล้ว ควรดูแลผิวอย่างถูกต้องและปกป้องผิวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่ในอนาคต อีกทั้งยังควรเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเอง เพื่อลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ 

    ฝ้าเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในผู้หญิง ซึ่งฝ้าสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ได้แก่ ฝ้าตื้น ฝ้าลึก และฝ้าผสม ซึ่งฝ้าแต่ละประเภทเกิดจากปัจจัยที่แตกต่างออกไป ทำให้การรักษาฝ้าในแต่ละประเภทต้องการการรักษาที่ต่างกัน โดยวิธีการรักษาฝ้าในปัจจุบันมีหลากหลายวิธี การเลือกวิธีการรักษาฝ้าที่เหมาะสมกับประเภทของฝ้า จะช่วยให้การรักษาฝ้ามีประสิทธิภาพดีมากขึ้น แม้ว่าฝ้าจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในบางกรณี แต่การดูแลที่เหมาะสมสามารถช่วยลดเลือนและควบคุมไม่ให้ฝ้ากลับมาเป็นมากขึ้นได้

     

     

    *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด