เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น สัญญาณแห่งวัยมักปรากฏผ่านผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นความหย่อนคล้อย ริ้วรอย หรือโครงหน้าที่ดูไม่ชัดเจนเหมือนเดิม หลายคนจึงเริ่มมองหาวิธียกกระชับชั้นผิวหนังเพื่อฟื้นฟูความกระชับและคืนความอ่อนวัยให้กับใบหน้า แต่สิ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้ก็คือ การเลือกทำหัตถการหรือเทคโนโลยีกระชับชั้นผิวหนังที่เหมาะสมมีความสำคัญมาก เพราะแต่ละชั้นของผิวหนังมีโครงสร้างผิวและหน้าที่แตกต่างกัน การแก้ปัญหาในแต่ละระดับจึงให้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกัน
บทความนี้จะพาคุณมาเจาะลึกว่าชั้นผิวหนังแต่ละชั้นช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง และทำไมการเข้าใจโครงสร้างผิวจึงช่วยให้เลือกวิธียกกระชับชั้นผิวหนังได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ริ้วรอยตื้น การฟื้นฟูคอลลาเจน หรือการยกโครงสร้างผิวลึกอย่างชั้น SMAS ทุกระดับล้วนมีวิธีดูแลที่แตกต่างกัน เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาตอบโจทย์อย่างเหมาะสมกับตัวเอง

โครงสร้างผิวหนังและชั้นที่มีบทบาทต่อการยกกระชับชั้นผิวหนัง
การทำความเข้าใจโครงสร้างผิวเป็นพื้นฐานสำคัญก่อนเลือกวิธียกกระชับชั้นผิวหนัง เพราะแต่ละชั้นมีหน้าที่แตกต่างกัน และการดูแลหรือใช้เทคนิคยกกระชับชั้นผิวหนังที่เหมาะสม จะช่วยแก้ปัญหาได้แม่นยำมากกว่า
- ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis)
เป็นผิวหนังชั้นบนที่บางมาก หนาประมาณ 0.05–0.1 มิลลิเมตร ประกอบด้วยเซลล์หลายชั้นที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ทำหน้าที่เสมือนเกราะป้องกันไม่ให้ผิวถูกทำร้ายจากแสงแดด รังสี UV และมลภาวะ อีกทั้งยังช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น กระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในชั้นนี้ มีผลให้ผิวดูสดใสและเรียบเนียนขึ้น
- ชั้นหนังแท้ (Dermis)
อยู่ถัดลงมาจากหนังกำพร้า มีความหนามากขึ้นและเต็มไปด้วยคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ทำให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่น ชั้นนี้ยังมีเส้นเลือด ต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน และเส้นขน การเสื่อมสภาพของคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ ถือเป็นสาเหตุหลักของผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยตื้น การใช้เทคนิคยกกระชับชั้นผิวหนังที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เช่น Thermage FLX, Oligio, EMFACE หรือ Fix Lift สามารถตอบโจทย์ผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวไม่ตึงกระชับได้
- ชั้นไขมันใต้ผิว (Subcutaneous fat layer)
ชั้นนี้ประกอบด้วยเชลล์ไขมันและเส้นใยคอลลาเจน ทำหน้าที่เสมือนเบาะรองรับแรงกระแทกและเก็บพลังงาน เมื่อไขมันอยู่ในสมดุล ใบหน้าจะดูอิ่มฟูและกระชับ แต่หากไขมันลดลงมากเกินไป อาจทำให้ใบหน้าดูแก่ลงหรือไม่กระชับ เทคนิคที่ใช้ยกกระชับชั้นผิวหนังบริเวณนี้ เช่น Thermage FLX, Oligio, EMFACE หรือ Fix Lift จะช่วยยกกระชับปรับรูปหน้าและคืนความชัดเจนให้กรอบหน้า
- ชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System)
เป็นชั้นที่ลึกกว่าชั้นไขมันใต้ผิว ประกอบด้วยพังผืดและกล้ามเนื้อที่เชื่อมผิวกับกล้ามเนื้อใบหน้า ถือเป็นโครงสร้างผิวหลักที่ทำให้เกิดความหย่อนคล้อย การยกกระชับชั้นผิวหนังที่ลงลึกถึงชั้น SMAS จะให้ผลที่ชัดเจนและยาวนานกว่าเทคนิคที่ทำงานเพียงผิวชั้นบน เทคโนโลยีอย่าง Ultherapy Prime, Ultraformer 4D Lift หรือ Super HIFU สามารถส่งพลังงานไปถึงชั้นนี้ เพื่อกระตุ้นการหดตัวและทำให้ใบหน้าดูยกกระชับชั้นผิวหนังอย่างกลมกลืนกับใบหน้า
- ชั้นกล้ามเนื้อ (Muscle Layer)
เป็นผิวชั้นลึกสุดที่ประกอบด้วยกล้ามเนื้อใบหน้า ซึ่งใช้ในการเคลื่อนไหวและแสดงสีหน้า หากกล้ามเนื้ออ่อนแรงลงก็ส่งผลให้ผิวชั้นบนดูหย่อนตามไปด้วย ปัจจุบันมีเทคโนโลยีอย่าง EMFACE ที่มุ่งเน้นการกระตุ้นกล้ามเนื้อให้แข็งแรง เพื่อเสริมผลลัพธ์การยกกระชับชั้นผิวหนังให้ชัดเจนขึ้น
ทุกชั้นของผิวหนังมีบทบาทที่เกี่ยวข้องกับความตึงกระชับและความอ่อนวัยของใบหน้า แม้ว่าชั้น SMAS จะเป็นหัวใจสำคัญของการยกกระชับชั้นผิวหนังที่ให้ผลยาวนาน แต่ชั้นอื่น ๆ เช่น หนังกำพร้า หนังแท้ และชั้นไขมันใต้ผิว ก็มีส่วนสำคัญในการทำให้ผิวสุขภาพดี และเสริมผลลัพธ์การยกกระชับชั้นผิวหนังโดยรวม การเลือกเทคนิคจึงควรอิงกับปัญหาเฉพาะบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมและกลมกลืนกับใบหน้าของตัวเอง

เทคโนโลยียกกระชับชั้นผิวหนังแต่ละระดับ
การเลือกโปรแกรมยกกระชับชั้นผิวหนัง จำเป็นต้องพิจารณาว่าปัญหาอยู่ในชั้นผิวใด เพราะเครื่องยกกระชับแต่ละประเภทออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาผิวแตกต่างกันออกไป ดังนี้
ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis)
ชั้นหนังกำพร้าเป็นผิวชั้นนอกสุดที่ทำหน้าที่ปกป้องผิวจากมลภาวะและรังสี UV การดูแลด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมช่วยฟื้นฟูความกระจ่างใสและลดเลือนริ้วรอยตื้น ๆ อีกทั้งยังช่วยเสริมประสิทธิภาพการยกกระชับชั้นผิวหนังให้ผิวแลดูสุขภาพดี
เทคโนโลยี HIFU ที่พัฒนามาเพื่อตอบโจทย์ทั้งเรื่องความกระจ่างใสและความกระชับในเวลาเดียวกัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับสีผิวให้สว่างขึ้นพร้อมกับ ยกกระชับชั้นผิวหนัง ในระดับตื้น
ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ที่แม่นยำเพื่อช่วยกระชับผิวและปรับความเรียบเนียนใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูงที่แม่นยำ ช่วยกระตุ้นให้ผิวตึงกระชับและเรียบเนียนขึ้น
คลื่นวิทยุ Monopolar RF ที่ปล่อยพลังงานผ่านผิวชั้นนอกและหนังแท้ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และเพิ่มความยืดหยุ่น
เทคโนโลยี Monopolar RF ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยกระชับผิวและเสริมความแข็งแรงของคอลลาเจนในชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้
ชั้นหนังแท้ (Dermis)
ชั้นหนังแท้เป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของผิว เมื่ออายุเพิ่มขึ้น โปรตีนเหล่านี้จะค่อย ๆ ลดลง ส่งผลให้ผิวเริ่มหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอย การเลือกเทคโนโลยีที่ช่วยยกกระชับชั้นผิวหนังในระดับนี้ จึงมุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
- Thermage FLX
คลื่นวิทยุ Monopolar RF ที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูคอลลาเจนโดยตรง ช่วยให้ผิวแน่นขึ้น ยืดหยุ่น และดูสุขภาพดี
- Oligio
เทคโนโลยี Monopolar RF ช่วยเสริมความเรียบเนียนและเพิ่มความกระชับให้กับผิวหนังแท้ พร้อมทั้งช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่
เทคโนโลยีที่ทำงานได้ทั้งในระดับคอลลาเจนและกล้ามเนื้อ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ทั้งความกระชับและการยกในคราวเดียว
โปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยโดยเฉพาะในชั้นหนังแท้ ช่วยปรับให้ผิวดูกระชับและยกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ชั้นไขมันใต้ผิว (Subcutaneous fat layer)
ชั้นไขมันใต้ผิวมีบทบาทสำคัญต่อความอิ่มฟูและรูปทรงของใบหน้า หากมีการสะสมของไขมันมากเกินไปอาจทำให้ใบหน้าดูกลมและกรอบหน้าไม่ชัด แต่หากไขมันลดลงมากเกินไปก็จะส่งผลให้ใบหน้าดูตอบและแก่กว่าวัย ดังนั้นการเลือกวิธียกกระชับชั้นผิวหนังในระดับนี้ จึงควรมุ่งไปที่เทคโนโลยีที่สามารถทำงานได้ลึกถึงชั้นไขมัน
- Thermage FLX
เทคโนโลยีคลื่นวิทยุ Monopolar RF ที่สามารถลงลึกถึงชั้นไขมันใต้ผิว ช่วยลดไขมันส่วนเกินบางส่วน พร้อมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ใบหน้าดูเฟิร์มขึ้น กรอบหน้าคมชัด และผิวโดยรวมแลดูกระชับ
เทคโนโลยี Monopolar RF ที่ออกแบบมาเพื่อกระชับและเสริมความแข็งแรงของชั้นผิว ควบคู่ไปกับการช่วยปรับรูปหน้าและลดไขมันสะสม เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาแก้มใหญ่หรือเหนียงเล็กน้อย
- EMFACE
เทคโนโลยีที่ผสานการทำงานทั้งในระดับกล้ามเนื้อและผิวหนัง ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้แข็งแรงขึ้น พร้อมทั้งปรับความกระชับของชั้นผิว ส่งผลให้โครงหน้าดูยกขึ้นและมีมิติที่ชัดเจนมากขึ้น
- Fix Lift
โปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อปรับสมดุลของไขมันใต้ผิวโดยตรง ช่วยลดความหย่อนคล้อยและปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วน เสริมประสิทธิภาพการยกกระชับชั้นผิวหนังให้เห็นผลชัดเจนและอยู่ได้นาน
ชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System)
ชั้น SMAS เป็นโครงสร้างผิวที่อยู่ลึกกว่าชั้นไขมันใต้ผิว ประกอบด้วยพังผืดและกล้ามเนื้อที่เชื่อมโยงกับผิวหนังโดยตรง ถือเป็นหัวใจสำคัญของการยกกระชับชั้นผิวหนัง เพราะเมื่อชั้นนี้หย่อนคล้อยจะส่งผลให้โครงสร้างผิวโดยรวมดูแก่ลงอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นแก้มตก คิ้วตก หรือกรอบหน้าไม่ชัด
- Ultherapy Prime
เทคโนโลยีอัลตราซาวนด์ที่สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้ผิวและกล้ามเนื้อในชั้นนี้หดกระชับ ส่งผลให้ใบหน้ายกขึ้นและดูกลมกลืนกับใบหน้า
ยกกระชับ HIFU รุ่นใหม่ที่สามารถทำงานได้หลายระดับชั้นผิว รวมถึงชั้น SMAS จุดเด่นคือช่วยฟื้นฟูผิวพร้อมยกกระชับในหลายมิติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงของโครงหน้าชัดเจน
เครื่องยกกระชับที่ออกแบบมาเพื่อการยกผิวลึกโดยเฉพาะ เน้นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในชั้น SMAS ทำให้ผิวและกล้ามเนื้อกระชับขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยค่อนข้างมาก
ชั้นกล้ามเนื้อ (Muscle Layer)
ชั้นกล้ามเนื้อเป็นชั้นที่อยู่ลึกที่สุดของโครงสร้างผิว มีหน้าที่สำคัญต่อการเคลื่อนไหวของใบหน้าและการแสดงอารมณ์ เมื่อเวลาผ่านไป กล้ามเนื้อใบหน้าอาจอ่อนแรงลง ส่งผลให้ผิวหนังด้านบนดูหย่อนคล้อยและโครงหน้าสูญเสียความชัดเจน การดูแลในระดับนี้จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยเสริมผลลัพธ์ของการยกกระชับชั้นผิวหนัง
- EMFACE
เทคโนโลยีที่ใช้การกระตุ้นกล้ามเนื้อร่วมกับการฟื้นฟูคอลลาเจนในเวลาเดียวกัน ช่วยให้โครงหน้าดูเฟิร์มขึ้นอย่างกลมกลืนกับใบหน้า และยังช่วยยกกระชับปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด
จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีและโปรแกรมที่ใช้ในการยกกระชับชั้นผิวหนัง มีความหลากหลายและถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาในแต่ละระดับของชั้นผิว ไม่ว่าจะเป็นการดูแลผิวชั้นตื้นอย่างหนังกำพร้า การกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ การปรับสมดุลไขมันใต้ผิว การยกที่ชั้น SMAS หรือการเสริมความแข็งแรงของชั้นกล้ามเนื้อ การเลือกเทคโนโลยีที่ตรงกับปัญหาจึงมีความสำคัญ เพราะจะช่วยให้ผลลัพธ์ของการยกกระชับ ออกมาอย่างกลมกลืนกับใบหน้า และตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละบุคคลได้ดียิ่งขึ้น
เปรียบเทียบยกกระชับชั้นผิวหนังในแต่ละชั้น
การยกกระชับชั้นผิวหนังแต่ละระดับมีวิธีการและผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปตามโครงสร้างผิวชั้นนั้น ๆ
- เริ่มจาก ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) การดูแลมักใช้ครีมบำรุงควบคู่กับเทคโนโลยียกกระชับชั้นผิวหนัง เช่น BB HIFU, Ultherapy Prime, Thermage FLX หรือ Oligio เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวเรียบเนียนและลดริ้วรอยตื้น ๆ อย่างไรก็ตาม การยกกระชับเฉพาะชั้นหนังกำพร้ายังไม่สามารถแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยลึกได้ และต้องใช้เวลาต่อเนื่องจึงเห็นผล
- ถัดมาคือ ชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งเป็นแหล่งคอลลาเจนและอีลาสติน การยกกระชับชั้นผิวหนังบริเวณนี้ นิยมใช้เทคนิคอย่าง Thermage FLX, Oligio, EMFACE หรือ Fix Lift ช่วยให้ผิวแน่นกระชับและเรียบเนียนขึ้น โดยผลลัพธ์เริ่มเห็นชัดเจนในช่วง 1–3 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยหรือริ้วรอยปานกลาง
- สำหรับ ชั้นไขมันใต้ผิว (Subcutaneous fat layer) เทคโนโลยีอย่าง Thermage FLX, Oligio, EMFACE หรือ Fix Lift สามาถช่วยลดไขมันบางส่วน ส่งผลให้กรอบหน้าชัดและได้รูปมากขึ้น การยกกระชับชั้นผิวหนังในระดับนี้จะช่วยปรับสัดส่วนและเสริมให้รูปหน้าแลดูกระชับ แต่ผลลัพธ์ขึ้นกับพลังงานที่ใช้และสภาพผิวของแต่ละบุคคล
- ในส่วนของ ชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ซึ่งถือเป็นชั้นที่มีบทบาทสำคัญในการยกกระชับชั้นผิวหนัง เทคนิคยอดนิยม เช่น Ultherapy Prime, Ultraformer 4D Lift หรือ Super HIFU ช่วยยกผิวและยกกระชับปรับรูปหน้าได้อย่างกลมกลืนกับใบหน้า พร้อมให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานโดยไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ
- สุดท้ายคือ ชั้นกล้ามเนื้อ (Muscle Layer) แม้จะไม่ใช่เป้าหมายหลักในการยกกระชับชั้นผิวหนังโดยตรง แต่การยกที่ชั้น SMAS ก็ส่งผลต่อกล้ามเนื้อและโครงสร้างใบหน้าโดยรวม ทำให้ผิวแลดูเฟิร์มขึ้น การยกกระชับที่เน้นกระตุ้นกล้ามเนื้อ เช่น EMFACE เป็นอีกทางเลือกในการเสริมประสิทธิภาพของการยกกระชับชั้นผิวหนัง

สัญญาณที่บอกว่าควรเริ่มยกกระชับชั้นผิวหนัง
หลายคนอาจยังไม่แน่ใจว่าช่วงไหนควรเริ่มทำการยกกระชับชั้นผิวหนัง เพื่อดูแลผิวหน้าให้คงความอ่อนวัย สัญญาณเหล่านี้สามารถช่วยบอกได้ว่าผิวคุณกำลังต้องการการดูแลเพิ่มเติม เช่น
- กรอบหน้าไม่คมชัดเหมือนเดิม มีเหนียงหรือผิวใต้คางหย่อนลง ทำให้โครงหน้าไม่กระชับ
- แก้มตกและร่องลึกชัดเจน เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ส่งผลให้ใบหน้าดูอ่อนล้าและดูมีอายุมากขึ้น
- เปลือกตาหย่อนหรือใต้ตาบวม แม้นอนพักผ่อนเต็มที่ก็ยังดูไม่สดใส และการมีถุงใต้ตาที่ทำให้หน้าดูแก่กว่าวัย
- ผิวขาดความยืดหยุ่น สัมผัสแล้วรู้สึกบาง แห้ง แต่งหน้าติดยาก และมีริ้วรอยเล็ก ๆ ที่เริ่มมองเห็นได้ชัดเจน
- รูปหน้าเปลี่ยนไปโดยไม่เกี่ยวกับน้ำหนักตัว สาเหตุมาจากการที่ผิวหนังและกล้ามเนื้อใต้ผิวชั้นผิวหย่อนคล้อย
- คางสองชั้นและผิวคอหย่อนลง ทำให้ภาพรวมของใบหน้าและลำคอดูไม่กระชับ
- ริ้วรอยชัดขึ้น โดยเฉาะที่หน้าผาก รอบดวงตา มุมปาก และลำคอ
โดยทั่วไป เมื่อเข้าสู่วัยประมาณ 30 ปีขึ้นไป ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินลดลงอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ผิวค่อย ๆ สูญเสียความแน่นกระชับและเกิดความหย่อนคล้อย การเริ่มต้นดูแลด้วยการยกกระชับชั้นผิวหนังตั้งแต่ช่วงวัยนี้จะช่วยชะลอการเสื่อมของผิว ทำให้ใบหน้าดูสดใสเต่งตึง และคงความอ่อนวัยได้ยาวนานขึ้น ทั้งนี้เทคนิคการยกกระชับชั้นผิวหนังมีหลายรูปแบบ ควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวและปัญหาของแต่ละบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่ดูกลมกลืนกับใบหน้าและการตอบโจทย์อย่างเหมาะสม

การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับชั้นผิวหนัง
- แจ้งแพทย์ถึงโรคประจำตัว ยาที่ใช้อยู่ หรือประวัติแพ้ยา
- พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6–8 ชั่วโมงต่อคืน
- ดื่มน้ำมาก ๆ วันละ 1.5–2 ลิตร เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำ ปกป้องผิวจากแสงแดด
- งดการตากแดดจัด อาบแดด อย่างน้อย 1–2 สัปดาห์ก่อนทำ
- งดสครับผิวแรง ๆ หรือทำเลเซอร์ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงการใช้ครีมที่มีกรดผลไม้ (AHA/BHA), Retinol หรือ Retinoid ชั่วคราว
- งดการฉีดฟิลเลอร์ โบ หรือหัตถการอื่น ๆ บริเวณใบหน้า อย่างน้อย 2–4 สัปดาห์ก่อนทำ
- งดดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24–48 ชั่วโมงก่อนทำ
- งดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำ
- งดใช้ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 3–7 วันก่อนทำ
- งดการออกกำลังกายหนัก ๆ ก่อนทำ เพราะอาจทำให้ผิวและเส้นเลือดไวต่อการช้ำ

การดูแลหลังทำยกกระชับชั้นผิวหนัง
- ประคบเย็นทันทีหลังทำ เพื่อลดอาการบวม แดง หรือความร้อนบนผิว
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือขยี้ผิวแรง ๆ บริเวณที่ทำการยกกระชับ
- ใช้ครีมบำรุงที่อ่อนโยนและให้ความชุ่มชื้นสูง
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน เลือกค่า SPF 50 PA++++
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง
- ใช้สกินแคร์ฟื้นฟูผิวตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น มอยส์เจอร์ไรเซอร์
- หลีกเลี่ยงแดดจัดอย่างน้อย 1–2 สัปดาห์แรก
- หลีกเลี่ยงการนวดหน้าหรือทำทรีตเมนต์ที่กดหรือดึงผิวแรง ๆ อย่างน้อย 2 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพราะอาจลดประสิทธิภาพการยกกระชับ
- งดการตากแดด อบซาวน่า หรืออบไอน้ำ เพราะความร้อนอาจทำให้การฟื้นฟูผิวช้าลง
- งดสครับผิวหรือใช้สกินแคร์ที่มีกรดแรง ๆ เช่น AHA, BHA, Retinol อย่างน้อย 1–2 สัปดาห์
- งดออกกำลังกายหนัก ๆ อย่างน้อย 2–3 วันแรก เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง
รวมทุกคำถามที่เกี่ยวกับการยกกระชับชั้นผิวหนัง
การยกกระชับชั้นผิวหนัง เจ็บไหม?
- โดยทั่วไป การทำหัตถการยกกระชับชั้นผิวหนังไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บรุนแรง ระหว่างทำจะรู้สึกอุ่น ๆ จี๊ด ๆ บนผิว ซึ่งถือเป็นอาการปกติที่บ่งบอกว่าเครื่องยกกระชับชั้นผิวหนังกำลังส่งพลังงานไปกระตุ้นผิวและคอลลาเจน หากผู้เข้ารับบริการมีความกังวลเรื่องความเจ็บ แพทย์สามารถปรับระดับพลังงานให้เหมาะสมให้เหมาะสมหรือใช้ยาชาช่วยได้
ต้องทำยกกระชับชั้นผิวหนัง กี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
- ส่วนใหญ่จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้นในช่วง 1–3 เดือนหลังทำยกกระชับชั้นผิวหนัง เนื่องจากร่างกายต้องใช้เวลาในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ การทำเพียงครั้งเดียวอาจเห็นผลได้ในบางคน แต่หากต้องการรักษาผลลัพธ์ให้นานขึ้น แนะนำให้ทำซ้ำปีละ 1–2 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุ สภาพผิว และเทคโนโลยีที่เลือกใช้
ผลลัพธ์ของการยกกระชับชั้นผิวหนัง อยู่ได้นานแค่ไหน?
- ผลลัพธ์ของการยกกระชับชั้นผิวหนัง จะอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือน – 2 ปี โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชั้นผิวที่ทำการรักษา อายุของผู้เข้ารับบริการ การดูแลตัวเองหลังทำ และพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน หากดูแลผิวอย่างเหมาะสม เช่น ดื่มน้ำมาก ๆ นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ และหลีกเลี่ยงแสงแดด ผลลัพธ์ก็จะอยู่ได้นานขึ้น
การยกกระชับชั้นผิวหนังต่างจากการศัลยกรรมดึงหน้าอย่างไร?
- การยกกระชับชั้นผิวหนัง จัดเป็นหัตถการแบบไม่ผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง ผลลัพธ์จะอยู่ได้ชั่วคราว ขึ้นกับเทคโนโลยีและการดูแลหลังทำ ส่วนการผ่าตัดดึงหน้าให้ผลลัพธ์ถาวร เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยมากและยอมรับการผ่าตัดได้ แต่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า
การยกกระชับชั้นผิวหนัง มีผลข้างเคียงไหม?
- โดยทั่วไป ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยคืออาการบวม แดง รู้สึกตึงหรืออุ่นผิวหลังทำ ซึ่งมักหายไปเองภายใน 2–3 วัน หากทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และเลือกใช้เครื่องมือที่ได้มาตรฐาน โอกาสเกิดผลข้างเคียงรุนแรงจะน้อยมาก
สรุปภาพรวมการยกกระชับชั้นผิวหนัง
การดูแลและเลือกวิธีการยกกระชับชั้นผิวหนัง ถือเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญในการรักษาความอ่อนวัยและเสริมความมั่นใจให้กับใบหน้า แต่ละชั้นผิวมีบทบาทแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูความกระจ่างใสในชั้นหนังกำพร้า การกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ การปรับสมดุลไขมันใต้ผิว การยกที่ชั้น SMAS ไปจนถึงการเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อใบหน้า การเลือกเทคโนโลยีที่ตรงกับปัญหา จะช่วยให้ผลลัพธ์ของการยกกระชับชั้นผิวหนังดูสอดคล้องกับโครงหน้าและคงอยู่ได้นาน
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจทำการยกกระชับชั้นผิวหนัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เมื่อทำอย่างถูกวิธี ควบคู่กับการดูแลผิวและสุขภาพอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ผิวคงความเต่งตึง สดใส และอ่อนวัยได้ยาวนาน

