Profhilo กับ Radiesse ต่างกันอย่างไร? อัปเดต 2025
การมีผิวที่สุขภาพดี ดูอ่อนเยาว์ เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนต้องการ ซึ่งในปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยีความงามออกมามากมาย ที่ช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจน และฟื้นฟูโครงสร้างผิว โดยหนึ่งในนั้นคือ โปรแกรมฉีด Profhilo และ โปรแกรมฉีด Radiesse ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้ ถึงแม้ว่า โปรแกรมฉีด Profhilo และ โปรแกรมฉีด Radiesse จะมีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจนเหมือนกัน แต่ทั้งสองหัตถการก็มีส่วนประกอบ และหลักการทำงานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน บทความนี้ จะพาไปทำความรู้จักกับ โปรแกรมฉีด Profhilo และ โปรแกรมฉีด Radiesse พร้อมเจาะลึกถึงความแตกต่างระหว่าง Profhilo และ Radiesse เพื่อให้ทุกคนสามารถเลือกฉีด โปรแกรมฉีด Profhilo และโปรแกรมฉีด Radiesse ได้อย่างเหมาะสม และตอบโจทย์ปัญหาผิวมากที่สุดค่ะ
โปรแกรมฉีด Profhilo VS โปรแกรมฉีด Radiesse กระตุ้นคอลลาเจน ต่างกันอย่างไร?
รู้จักโปรแกรมฉีด Profhilo กับโปรแกรมฉีด Radiesse ก่อนฉีด
โปรแกรมฉีด Profhilo คืออะไร?
โปรแกรมฉีด Profhilo คือ สารฟื้นฟูโครงสร้างผิว (Bio-Remodeling) ใหม่ล่าสุด จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งโปรแกรมฉีด Profhilo ใช้เทคโนโลยีพิเศษที่ได้รับการจดสิทธิบัตรเฉพาะ เรียกว่า NAHYCO® ในการใช้พลังงานความร้อนแบบจำเพาะ เชื่อม Hyaluronic Acid (HA) ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ และขนาดเล็กเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดการสร้างพันธะเป็นโครงสร้าง เรียกว่า Hybrid Cooperative Complex (HCC) โดยไม่ได้มีการเชื่อมพันธะ (Cross-linked) แบบฟิลเลอร์ทั่วไป จึงช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้ และเกิดอันตรายต่อร่างกาย
โดยโปรแกรมฉีด Profhilo มีส่วนประกอบหลักของ Hyaluronic Acid (HA) ที่มีความบริสุทธิ์สูงถึง 100% และมีความเข้มข้นสูงถึง 64 มิลลิกรัม (mg) ต่อ 2 มิลลิลิตร (ml) ซึ่งมีความเข้มข้นสูงมากที่สุดในปัจจุบัน โปรแกรมฉีด Profhilo มีคุณสมบัติเด่นในการฟื้นฟูโครงสร้างทุกระดับชั้นผิว พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวมีความแข็งแรง ชุ่มชื้น และแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้เป็นอย่างดี
โปรแกรมฉีด Radiesse คืออะไร?
โปรแกรมฉีด Radiesse คือ สารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) จากประเทศเยอรมนี โดยมีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ที่มีอนุภาคทรงกลมขนาดเล็ก ประมาณ 25 – 45 ไมครอน เป็นสารที่สามารถพบได้ในร่างกายของมนุษย์ โดยเฉพาะกระดูก และฟัน จึงมีความปลอดภัยสูง สามารถเข้ากับร่างกายได้เป็นอย่างดี เนื่องจากไม่ใช่สารแปลกปลอม หรืออันตรายใด ๆ
โดยโปรแกรมฉีด Radiesse สามารถฉีดได้ 2 แบบ ทั้งการฉีดเพื่อเติมเต็ม หรือเพิ่มปริมาตรให้ผิวในทันที เหมือนกับการฉีดฟิลเลอร์ และสามารถฉีดเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวกระชับ มีความยืดหยุ่น และมีสุขภาพที่ดีขึ้นในระยะยาว
โปรแกรมฉีด Profhilo กับโปรแกรมฉีด Radiesse ต่างกันอย่างไร?
โปรแกรมฉีด Profhilo และ โปรแกรมฉีด Radiesse แม้ว่าจะเป็นหัตถการที่ช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจนเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันอยู่ในหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านส่วนประกอบ หลักการทำงาน วิธีการฉีด หรือแม้แต่ระยะเวลาในคงอยู่ของผลลัพธ์ โดยโปรแกรมฉีด Profhilo และโปรแกรมฉีด Radiesse มีความแตกต่างกัน ดังนี้
1. ส่วนประกอบของโปรแกรมฉีด Profhilo และโปรแกรมฉีด Radiesse
- โปรแกรมฉีด Profhilo มีส่วนประกอบของ Hyaluronic acid (HA) แบบ Non-Crosslinked ที่มีความเข้มข้น และมีความบริสุทธิ์สูง 100% ปราศจากสารเติมแต่งเจือปน ซึ่งโปรแกรมฉีด Profhilo มีการผสมผสานโมเลกุล HA ขนาดเล็ก และขนาดใหญ่เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถกระจายตัวได้ดีในทุกระดับชั้นผิว โดยไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือการอักเสบ
- โปรแกรมฉีด Radiesse มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ที่มีลักษณะคล้ายแคลเซียมในกระดูก และฟัน ซึ่งถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์อย่างกว้างขวางกว่า 25 ปี โดย CaHA เป็นสารสังเคราะห์ที่มีอนุภาคขนาดเล็กสม่ำเสมอ ประมาณ 25 – 45 ไมครอน จึงสามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกายของเรา ไม่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน
2. หลักการทำงานของโปรแกรมฉีด Profhilo และโปรแกรมฉีด Radiesse
- โปรแกรมฉีด Profhilo จะทำงานโดยการกระจาย Hyaluronic acid (HA) ที่มีขนาดโมเลกุลต่างกันไปทั่วชั้นผิว ซึ่งโปรแกรมฉีด Profhilo จะออกฤทธิ์ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นใหม่ โดยไม่ผ่านกระบวนการอักเสบ รวมถึง โปรแกรมฉีด Profhilo ยังช่วยในการฟื้นฟูโครงสร้าง และปรับสมดุลผิวในทุกระดับ (Bio-Remodeling) ตั้งแต่ผิวชั้นตื้นไปจนถึงชั้นลึก ทำให้ผิวมีความเนียนละเอียด ชุ่มชื้น กระชับ และดูสุขภาพดีมากขึ้น
- โปรแกรมฉีด Radiesse จะทำงานโดยการให้สาร CaHA ก่อตัวรวมกันเป็นโครงสร้างที่แข็งแรง เพื่อสร้างเส้นใยตาข่าย 3 มิติ (3D Matrix) ใต้ชั้นผิว และกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) โดยตรง ให้ผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวมีความหนาแน่น กระชับ และยืดหยุ่นมากขึ้น
3. วิธีการฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo และโปรแกรมฉีด Radiesse
- โปรแกรมฉีด Profhilo สามารถฉีดได้ทั้งผิวชั้นตื้น และผิวชั้นลึก โดยจะเน้นฉีดเพื่อเก็บรายละเอียดปัญหาผิว เช่น รูขุมขนกว้าง หลุมสิว หรือริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ รวมถึง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ซึ่งโปรแกรมฉีด Profhilo ใช้เทคนิคในการฉีดแบบ Bio Aesthetic Points (BAP) บริเวณใบหน้า 5 จุดต่อข้าง และบริเวณลำคอ 10 จุด เพื่อให้สาร HA ในโปรแกรมฉีด Profhilo สามารถกระจายตัวได้อย่างทั่วถึง และครอบคลุมเป็นบริเวณกว้าง โดยไม่แข็ง ไม่เป็นก้อน และไม่ทำให้รูปหน้าเปลี่ยนแปลง
- โปรแกรมฉีด Radiesse สามารถฉีดได้ 2 แบบ ได้แก่ ฉีดเพื่อเติมเต็มในบริเวณที่สูญเสียปริมาตร ทำหน้าที่เป็นเหมือนโครงสร้างพยุงผิวในชั้นลึก เช่น ร่องแก้ม ขมับ และฉีดเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ในระยะยาว ซึ่งโปรแกรมฉีด Radiesse จะเน้นกระตุ้นคอลลาเจน และแก้ไขปัญหาโครงสร้างผิวชั้นลึกมากกว่าโปรแกรมฉีด Profhilo
4. จุดเด่นของโปรแกรมฉีด Profhilo และโปรแกรมฉีด Radiesse
- โปรแกรมฉีด Profhilo มีจุดเด่น คือ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนถึง 4 ชนิด ได้แก่ คอลลาเจนชนิดที่ 1, คอลลาเจนชนิดที่ 3, คอลลาเจนชนิดที่ 4 และคอลลาเจนชนิดที่ 7 พร้อมฟื้นฟูโครงสร้างผิว (Bio-Remodeling) ในทุกระดับชั้นผิว อีกทั้ง โปรแกรมฉีด Profhilo ยังกระตุ้นการทำงานของเซลล์ถึง 3 ชนิด ได้แก่ กระตุ้นเซลล์ Keratinocyte ในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis), กระตุ้นเซลล์ Fibroblast ในชั้นหนังแท้ (Dermis) และกระตุ้นเซลล์ Adipocyte ในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Hypodermis) ทำให้ผิวมีความกระชับ เรียบเนียน และชุ่มชื้นมากขึ้น
- โปรแกรมฉีด Radiesse มีจุดเด่น คือ กระตุ้นการสร้างเส้นใยตาข่ายตรึงผิวถึง 5 ประการ ได้แก่ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1 มากถึง 150%, กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 3 มากถึง 130%, กระตุ้นการสร้างอีลาสติน มากถึง 260% พร้อมกระตุ้นการสร้าง Angiogenesis และกระตุ้นการสร้าง Proteoglycan ทำให้ผิวแน่นกระชับ ยืดหยุ่น และดูสุขภาพดีแบบองค์รวม
5. ระยะเวลาเห็นผลของโปรแกรมฉีด Profhilo และโปรแกรมฉีด Radiesse
- โปรแกรมฉีด Profhilo โดยทั่วไป จะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลง ภายใน 1 เดือน และจะเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน เมื่อครบ 2 เดือนขึ้นไป แนะนำให้ฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo อย่างต่อเนื่อง ประมาณ 2 ครั้ง ห่างกัน 1 เดือน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด โดยโปรแกรมฉีด Profhilo สามารถคงอยู่ได้นาน ประมาณ 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองหลังฉีด
- โปรแกรมฉีด Radiesse โดยทั่วไป จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการเติมเต็ม และเพิ่มปริมาตรให้ผิวได้ในทันที คล้ายกับการฉีดฟิลเลอร์ แต่ผลลัพธ์ในเรื่องของการกระตุ้นคอลลาเจน จะค่อย ๆ เห็นผล ภายใน 1 – 3 เดือนหลังฉีด โดยโปรแกรมฉีด Radiesse สามารถคงอยู่ได้นาน ประมาณ 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองหลังฉีด
โปรแกรมฉีด Profhilo กับโปรแกรมฉีด Radiesse เหมาะกับใคร?
โปรแกรมฉีด Profhilo เหมาะกับใคร?
- โปรแกรมฉีด Profhilo เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปี ขึ้นไป คอลลาเจนสูญเสียบางส่วน ผิวไม่เรียบเนียนเหมือนเดิม
- โปรแกรมฉีด Profhilo เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง มีหลุมสิว ผิวขรุขระ ไม่เรียบเนียน
- โปรแกรมฉีด Profhilo เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ หรือมีริ้วรอยตื้น ๆ บนใบหน้า เช่น หน้าผาก รอบดวงตา และรอยริมฝีปาก
- โปรแกรมฉีด Profhilo เหมาะสำหรับ ผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ห้อยย้อย ไม่กระชับ ขาดความยืดหยุ่นเล็กน้อย
- โปรแกรมฉีด Profhilo เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวขาดน้ำ แห้งกร้าน ไม่ชุ่มชื้น แต่งหน้าไม่ติด
- โปรแกรมฉีด Profhilo เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ ขาดความสดใส ไม่เปล่งปลั่ง
- โปรแกรมฉีด Profhilo เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการบำรุงผิว อยากได้ผิวแบบ Glass Skin การฉีด โปรแกรมฉีด Profhilo สามารถช่วยได้
- โปรแกรมฉีด Profhilo เหมาะสำหรับ ผู้ที่เคยฉีดโปรแกรมฉีด Sculptra หรือโปรแกรมฉีด Radiesse สามารถฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo เพื่อแก้ไขผิวชั้นตื้นให้เรียบเนียนขึ้นได้
- โปรแกรมฉีด Profhilo เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวโดยรวม ต้องการมีผิวดูสุขภาพดี อิ่มฟู และเปล่งปลั่ง
โปรแกรมฉีด Radiesse เหมาะกับใคร?
- โปรแกรมฉีด Radiesse เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องลึกอย่างเห็นได้ชัด เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก
- โปรแกรมฉีด Radiesse เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวสูญเสียปริมาตร ใบหน้าซูบตอบ ดูมีอายุ เช่น ขมับตอบ แก้มตอบ
- โปรแกรมฉีด Radiesse เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่คมชัด ต้องการปรับรูปหน้า
- โปรแกรมฉีด Radiesse เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ ไม่ยืดหยุ่น
- โปรแกรมฉีด Radiesse เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเพิ่มคอลลาเจน และอีลาสตินให้กับผิว
- โปรแกรมฉีด Radiesse เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาโครงสร้างผิวชั้นลึก ต้องการให้ผิวแข็งแรง
- โปรแกรมฉีด Radiesse เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ จากอายุที่เพิ่มมากขึ้น
- โปรแกรมฉีด Radiesse เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ในระยะยาว และยั่งยืน
โปรแกรมฉีด Profhilo กับโปรแกรมฉีด Radiesse มีข้อดี – ข้อจำกัดอะไรบ้าง?
ข้อดีของโปรแกรมฉีด Profhilo
- โปรแกรมฉีด Profhilo เน้นฟื้นฟูโครงสร้างผิวโดยรวม (Bio-Remodeling) ตั้งแต่ผิวชั้นตื้น ไปจนถึงผิวชั้นลึก
- โปรแกรมฉีด Profhilo ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และอีลาสติน โดยไม่ผ่านกระบวนการอักเสบ โปรแกรมฉีด Profhilo สามารถกระตุ้นคอลลาเจนมากถึง 4 ชนิด ทั้งชนิดที่ 1, 3 ,4 และ 7 ทำให้ผิวแน่นกระชับ อิ่มฟู และเรียบเนียนขึ้น
- โปรแกรมฉีด Profhilo ช่วยเรื่อง Skin Quality เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว เนื่องจากโปรแกรมฉีด Profhilo มีปริมาณ HA สูง ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น อิ่มน้ำ และดูสุขภาพดีจากภายใน
- โปรแกรมฉีด Profhilo มีความปลอดภัย เนื่องจากโปรแกรมฉีด Profhilo ไม่มีสาร Cross-linked เช่น BDDE ทำให้มีความบริสุทธิ์สูง ปราศจากสารแปลกปลอม รวมถึง ลดความเสี่ยงในการเกิดการอักเสบ หรืออาการแพ้
- โปรแกรมฉีด Profhilo ฉีดง่าย เจ็บน้อย และใช้เวลาในการฉีดไม่นาน เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวเข็ม เนื่องจากโปรแกรมฉีด Profhilo ใช้เทคนิคการฉีดแบบ BAP (Bio Aesthetic Points) ทำให้ HA กระจายตัวได้ดี ไม่จำเป็นต้องฉีดหลายจุด จึงลดรู้สึกเจ็บปวดระหว่างฉีดได้
- โปรแกรมฉีด Profhilo ไม่แข็ง ไม่เป็นก้อน ไม่อุดตันในเส้นเลือด เนื่องจากโปรแกรมฉีด Profhilo มีลักษณะเป็นเนื้อเหลว บางเบา สามารถกระจายตัวได้ดี และกลมกลืนไปกับผิวอย่างแนบเนียน
- โปรแกรมฉีด Profhilo ไม่ต้องมีการพักฟื้นหลังฉีด ซึ่งส่วนใหญ่อาจเกิดรอยแดง หรือบวมเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo โดยหลังฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที
ข้อจำกัดของโปรแกรมฉีด Profhilo
- โปรแกรมฉีด Profhilo ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยขั้นรุนแรง หรือมีปัญหาร่องลึก เช่น ร่องแก้มลึก ร่องน้ำหมาก
- โปรแกรมฉีด Profhilo ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเพิ่มปริมาตร และปรับรูปทรงใบหน้า เนื่องจากเนื้อของโปรแกรมฉีด Profhilo มีความเหลว และบางเบาเหมือนน้ำ จึงไม่สามารถขึ้นทรงได้เหมือนกับโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หรือโปรแกรมฉีด Radiesse
- โปรแกรมฉีด Profhilo ใช้เวลานานในการเห็นผลลัพธ์ เนื่องจากต้องรอให้ HA ค่อย ๆ ออกฤทธิ์ในการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว
- โปรแกรมฉีด Profhilo ต้องฉีดซ้ำต่อเนื่องในช่วงแรก แนะนำให้ฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo 2 ครั้ง ห่างกัน 1 เดือน และควรฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo ซ้ำทุก 6 เดือน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ข้อดีของโปรแกรมฉีด Radiesse
- โปรแกรมฉีด Radiesse สามารถฉีดได้ 2 แบบ ทั้งฉีดเพื่อเพิ่มปริมาตรให้ผิวในทันที และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว
- โปรแกรมฉีด Radiesse ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนชนิดที่ 1 และ 3 รวมถึง กระตุ้นอีลาสติน ทำให้ผิวมีความหนาแน่น และยืดหยุ่นมากขึ้น
- โปรแกรมฉีด Radiesse ช่วยเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
- โปรแกรมฉีด Radiesse ผลลัพธ์คงอยู่ยาวนาน โดยโปรแกรมฉีด Radiesse สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองหลังฉีด ซึ่งคงอยู่นานกว่าการฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo
- โปรแกรมฉีด Radiesse ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง และมียอดการใช้งานทั่วโลกกว่า 15 ล้านไซริงค์
- โปรแกรมฉีด Radiesse มีความปลอดภัยสูง เนื่องจาก CaHA เป็นสารที่ถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์กว่า 25 ปี และมีงานวิจัยรองรับเป็นจำนวนมากกว่า 250 ฉบับ
- โปรแกรมฉีด Radiesse ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากลจาก อย. ทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ อย. อเมริกา (US FDA) อย. ยุโรป (EU FDA) และ อย. ไทย (TH FDA)
ข้อจำกัดของโปรแกรมฉีด Radiesse
- โปรแกรมฉีด Radiesse อาจทำให้เกิดอาการบวมแดง หรือช้ำมากกว่าโปรแกรมฉีด Profhilo ในบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาการเหล่านี้ จะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 1 สัปดาห์
- โปรแกรมฉีด Radiesse ไม่เหมาะสำหรับ บริเวณที่มีผิวบอบบาง มีการเคลื่อนไหวบ่อย เช่น ริมฝีปาก ใต้ตา หรือหน้าผาก เนื่องจากอาจทำให้เกิดการอักเสบ หรือเป็นก้อนได้ง่าย
- โปรแกรมฉีด Radiesse ใช้เวลานานในการเห็นผลลัพธ์ ในเรื่องของการกระตุ้นคอลลาเจนเหมือน โปรแกรมฉีด Profhilo เนื่องจากต้องรอให้ CaHA ค่อย ๆ ออกฤทธิ์ในการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว
โปรแกรมฉีด Profhilo กับ โปรแกรมฉีด Radiesse สามารถฉีดร่วมกันได้ไหม?
โปรแกรมฉีด Profhilo และโปรแกรมฉีด Radiesse สามารถฉีดร่วมกันได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ เนื่องจากโปรแกรมฉีด Profhilo และโปรแกรมฉีด Radiesse มีคุณสมบัติในการใช้งานที่แตกต่างกัน หากใช้งานอย่างเหมาะสม และวางแผนในการฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo และโปรแกรมฉีด Radiesse อย่างถูกต้อง จะช่วยเสริมผลลัพธ์ให้มีประสิทธิภาพ และครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
โดยโปรแกรมฉีด Profhilo จะเน้นฟื้นฟูผิวในทุกระดับชั้นผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเหมาะสำหรับการเก็บรายละเอียดผิวชั้นตื้น เช่น ริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ หลุมสิว รูขุมขนกว้าง หรือผิวขาดน้ำ โดยไม่ต้องการเพิ่มปริมาตรให้ผิว ส่วนโปรแกรมฉีด Radiesse เน้นเติมเต็ม และเพิ่มปริมาตรให้ผิวในชั้นลึก เหมาะสำหรับการปรับรูปหน้า และแก้ไขปัญหาโครงสร้างผิว รวมถึง กระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว
โปรแกรมฉีด Profhilo กับโปรแกรมฉีด Radiesse ต่างจาก ฟิลเลอร์ทั่วไป อย่างไร?
โปรแกรมฉีด Profhilo และโปรแกรมฉีด Radiesse แม้จะมีความคล้ายกับโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป แต่ก็มีความแตกต่างกันอยู่ ในเรื่องของหลักการทำงาน หรือผลลัพธ์หลังฉีด ซึ่งทำให้ไม่สามารถจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไปได้ โดยโปรแกรมฉีด Profhilo, โปรแกรมฉีด Radiesse และโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป มีความแตกต่างกัน ดังนี้
- โปรแกรมฉีด Profhilo ประกอบไปด้วย Hyaluronic Acid (HA) แบบ Non-Crosslinked ที่มีความบริสุทธิ์สูง 100% จึงมีความปลอดสูง เนื่องจากไม่มีสารเติมแต่งเจือปน ซึ่งสามารถกระจายตัวเข้ากับผิวได้อย่างทั่วถึง ไม่เกิดเป็นก้อน และให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ได้มีการเพิ่มปริมาตรให้ผิว หรือเปลี่ยนแปลงรูปหน้า ซึ่งการฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo จะเน้นฟื้นฟูผิวในทุกระดับชั้นผิว ตั้งแต่ผิวชั้นตื้นจนถึงผิวชั้นลึก พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น เนียนละเอียด และดูแน่นกระชับจากภายใน โดยโปรแกรมฉีด Profhilo สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน ประมาณ 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
- โปรแกรมฉีด Radiesse ประกอบไปด้วย Calcium Hydroxylapatite (CaHA) เป็นสารที่พบได้ในกระดูกตามธรรมชาติ จึงมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากไม่ใช่สารแปลกปลอมในร่างกาย ซึ่งการฉีดโปรแกรมฉีด Radiesse สามารถฉีดได้ 2 แบบ ทั้งการฉีดเพื่อเพิ่มปริมาตรให้ผิวในทันที เหมือนกับฟิลเลอร์ และฉีดเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวชั้นลึกในระยะยาว โดยส่วนใหญ่โปรแกรมฉีด Radiesse จะเน้นปรับโครงสร้าง และยกกระชับผิวชั้นลึกเป็นหลัก ทำให้ผิวมีความแข็งแรง กระชับ และแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้อย่างเป็นดี สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน ประมาณ 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
- โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป ประกอบไปด้วย Hyaluronic Acid (HA) แบบ Cross-linked ซึ่งเป็นสารเติมเต็มที่สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่โครงสร้างใบหน้า ปรับรูปหน้า และเติมเต็มผิวเฉพาะจุดได้อย่างแม่นยำ เพื่อทดแทนบริเวณที่สูญเสียคอลลาเจน ไขมัน และกระดูกที่ทรุดตัวลงเมื่ออายุมากขึ้น แต่ไม่สามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้เหมือนกับโปรแกรมฉีด Profhilo หรือโปรแกรมฉีด Radiesse โดยโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์มีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ และหลากหลายรุ่น ซึ่งส่วนใหญ่สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน ประมาณ 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล และยี่ห้อโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่เลือกใช้
โปรแกรมฉีด Profhilo กับโปรแกรมฉีด Radiesse ต่างจากโปรแกรมฉีด Sculptra อย่างไร?
โปรแกรมฉีด Profhilo, โปรแกรมฉีด Radiesse และโปรแกรมฉีด Sculptra ถือเป็นหัตถการที่ช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจนเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันในด้านส่วนประกอบ หลักการทำงาน และผลลัพธ์ที่ได้ ทำให้เหมาะกับปัญหาผิว และความต้องการที่แตกต่างกัน โดยโปรแกรมฉีด Profhilo, โปรแกรมฉีด Radiesse และโปรแกรมฉีด Sculptra มีความแตกต่างกัน ดังนี้
- โปรแกรมฉีด Profhilo ประกอบไปด้วย Hyaluronic Acid (HA) แบบ Non-Crosslinked เน้นฟื้นฟูโครงสร้างผิวโดยรวม (Bio-Remodeling) ในทุกระดับชั้นผิว และช่วยเรื่อง Skin Quality ให้ผิวชุ่มชื้น เรียบเนียน และดูสุขภาพดี พร้อมกระตุ้นการทำงานของ Fibroblast ให้สร้างคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ โดยไม่ผ่านกระบวนการอักเสบในร่างกาย รวมถึง ไม่สามารถเพิ่มปริมาตรให้ผิวได้เหมือนโปรแกรมฉีด Radiesse และโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป ซึ่งการฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo สามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้มากถึง 4 ชนิด ได้แก่ คอลลาเจนชนิดที่ 1, ชนิดที่ 3, ชนิดที่ 4 และชนิดที่ 7 ทำให้ผิวเฟิร์มกระชับ แข็งแรง และลดความหย่อนคล้อยบนใบหน้าได้
- โปรแกรมฉีด Radiesse ประกอบไปด้วย Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งเน้นเติมเต็มร่องลึก หรือเพิ่มปริมาตรให้ผิวในทันที พร้อมกระตุ้นการทำงานของ Fibroblast ให้สร้างคอลลาเจน และอีลาสตินโดยตรง สามารถเห็นผลได้ในระยะยาว โดยไม่ผ่านกระบวนการอักเสบ ซึ่งการฉีดโปรแกรมฉีด Radiesse สามารถกระตุ้นคอลลาเจนชนิดที่ 1 ได้ถึง 150%, กระตุ้นคอลลาเจนชนิดที่ 3 ได้ถึง 130%, กระตุ้นอีลาสตินได้ถึง 260% รวมถึง กระตุ้น Proteoglycan และ Angiogenesis ทำให้ผิวชุ่มชื้น อมชมพู และดูสุขภาพดีจากภายในอีกด้วย
- โปรแกรมฉีด Sculptra ประกอบไปด้วย Poly-L-lactic Acid (PLLA) ซึ่งเน้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวชั้นลีก ผ่านระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยจะกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวให้ไปกระตุ้น Fibroblast ให้สร้างคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ สามารถเพิ่มคอลลาเจนชนิดที่ 1 ได้มากถึง 66.5% พร้อมฟื้นฟูผิวจากภายในอย่างล้ำลึก ทำให้ผิวแน่นกระชับ อิ่มฟู แข็งแรง และแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้อย่างตรงจุด โดยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปหน้า และสามารถเห็นผลได้ในระยะยาว ไม่สามารถเพิ่มปริมาตรให้ผิวได้ในทันทีเหมือนโปรแกรมฉีด Radiesse หรือโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป
รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรมฉีด Profhilo และโปรแกรมฉีด Radiesse
โปรแกรมฉีด Profhilo กับโปรแกรมฉีด Radiesse ฉีดกี่วันเห็นผล?
- โปรแกรมฉีด Profhilo สามารถเห็นผลลัพธ์หลังฉีดได้ ตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป โดยผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนะนำให้ฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo ประมาณ 2 ครั้ง ห่างกัน 1 เดือน จากนั้นควรฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo ทุก 6 – 12 เดือน เพื่อคงสภาพของผลลัพธ์ให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
- โปรแกรมฉีด Radiesse สามารถเห็นผลลัพธ์ในเรื่องของเติมเต็ม และเพิ่มปริมาตรให้ผิวชั้นลึกได้ในทันทีหลังฉีด แต่ผลลัพธ์ในเรื่องของการกระตุ้นคอลลาเจน สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ ประมาณ 1 – 3 เดือน โดย CaHA จะค่อย ๆ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
โปรแกรมฉีด Profhilo กับโปรแกรมฉีด Radiesse เจ็บไหม?
- การฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo จะใช้เทคนิค Bio Aesthetic Points (ฺBAP) ในการฉีด ซึ่งจะฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo เพียง 5 จุดต่อข้าง บริเวณใบหน้า และ 10 จุด บริเวณลำคอ ทำให้มีความเจ็บเพียงเล็กน้อย เนื่องจากไม่ต้องฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo หลายจุด จึงเหมาะสำหรับผู้ที่กลัวเข็ม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากมีความกังวลเรื่องความเจ็บ สามารถขอทายาชา เพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวดลงได้
- การฉีดโปรแกรมฉีด Radiesse จะมีความเจ็บที่มากกว่าโปรแกรมฉีด Profhilo เล็กน้อย แต่อยู่ในระดับที่สามารถทนได้ เนื่องจากโปรแกรมฉีด Radiesse จะฉีดเข้าไปในผิวชั้นลึกมากกว่า ทำให้อาจรู้สึกตึง หรือเจ็บขณะฉีดได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากมีความกังวลเรื่องความเจ็บ สามารถขอทายาชา เพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวดลงได้
โปรแกรมฉีด Profhilo กับโปรแกรมฉีด Radiesse อันตรายไหม?
- โปรแกรมฉีด Profhilo มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากมีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) ที่มีความบริสุทธิ์สูง ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีเจือปน หรือสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ ที่สำคัญโปรแกรมฉีด Profhilo ยังได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) ในหลายประเทศ รวมทั้ง อย. ไทย (TH FDA) อีกด้วย
- โปรแกรมฉีด Radiesse มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากมีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายของมนุษย์ตามธรรมชาติ จึงลดความเสี่ยงในการเกิดการแพ้ และได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยา (FDA) ในหลายประเทศ ทั้ง อย. อเมริกา (US FDA) อย. ยุโรป (EU FDA) และ อย. ไทย (TH FDA) อีกด้วย
โปรแกรมฉีด Profhilo กับโปรแกรมฉีด Radiesse มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
แม้ว่าโปรแกรมฉีด Profhilo และโปรแกรมฉีด Radiesse จะเป็นหัตถการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน และมีความปลอดภัยสูง แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้บ้าง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของร่างกาย และความชำนาญของแพทย์ผู้ฉีด ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นอาการที่ไม่รุนแรง และสามารถหายได้เอง โดยผลข้างเคียงหลังฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo และโปรแกรมฉีด Radiesse มีดังนี้
- หลังฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo อาจเกิดอาการบวมแดงเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด และจะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 1 – 2 วันหลังฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo
- หลังฉีดโปรแกรมฉีด Radiesse อาจเกิดอาการบวม แดง ช้ำ หรือปวดตึงในบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อย และจะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 1 สัปดาห์หลังฉีดโปรแกรมฉีด Radiesse
โปรแกรมฉีด Profhilo และโปรแกรมฉีด Radiesse ถือเป็นหัตถการที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนเหมือนกัน แต่ก็มีจุดเด่น และหลักการทำงานที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยโปรแกรมฉีด Profhilo เป็นสาร HA ที่มีความเข้มข้น และบริสุทธิ์สูง เน้นกระตุ้นคอลลาเจน และฟื้นฟูโครงสร้างในทุกชั้นผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ สุขภาพดี โดยไม่เปลี่ยนแปลงรูปหน้า ในขณะที่โปรแกรมฉีด Radiesse เป็นสาร CaHA ที่เน้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวชั้นลึก และเพิ่มปริมาตรให้ผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยร่องลึก ผิวหย่อนคล้อย ต้องการแก้ไขโครงสร้างผิว ดังนั้น การเลือกฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo หรือโปรแกรมฉีด Radiesse ขึ้นอยู่กับปัญหาผิว และความต้องการของแต่ละบุคคล แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินสภาพผิวหน้า พร้อมวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์หลังฉีดโปรแกรมฉีด Profhilo และโปรแกรมฉีด Radiesse ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด