รวมวิธีรักษาฝ้า เพื่อผิวหน้าใสไร้จุดด่างดำ
ฝ้าเป็นปัญหาผิวที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนและสามารถเกิดได้หลายจุดทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบนใบหน้า ซึ่งการเกิดฝ้านั้นทำให้หลายคนเสียความมั่นใจจึงมีการพยายามหาวิธีการในการรักษาฝ้าและการป้องกันการเกิดฝ้าซ้ำที่หลากหลาย เพื่อช่วยปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอขึ้น วันนี้รมย์รวินท์จึงได้รวบรวมวิธีการรักษาฝ้าที่ได้ผลดีเพื่อให้ผิวสวยกระจ่างใส ไร้ฝ้า กลับมามั่นใจอีกครั้ง
ฝ้าคืออะไร ?
ฝ้า หรือ Melasma คือภาวะที่เม็ดสีเมลานินในชั้นผิวที่มีมากเกินไป ทำให้เกิดเป็นรอยจุดด่างดำหรือรอยสีน้ำตาลอมเทาบนใบหน้า ซึ่งฝ้าส่วนใหญ่จะมีลักษณะรูปร่างและสีในแต่ละคนที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของฝ้าที่เป็น เกิดได้หลายจุดบนร่างกาย โดยเฉพาะจุดที่สัมผัสแดดร้อนจัดบ่อย และฝ้าสามารถพบได้ทั้งชายและหญิง
สาเหตุของการเกิดฝ้า
ฝ้าสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุที่ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการกระตุ้นการทำงานของเม็ดสีเมลานินในผิวหนังมากเกินไป ทำให้เกิดจุดด่างดำหรือรอยคล้ำบนใบหน้า โดยปัจจัยส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดฝ้าคือแสงแดด เนื่องจากรังสี UVA และ UVB ในแสงแดดจะเข้าไปกระตุ้นให้เมลานินในผิวหนังทำงานเพิ่มขึ้น ทำให้มีเม็ดสีสะสมมากขึ้น ซึ่งการเกิดฝ้าสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัยที่กระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานินและฝ้ามีหลายระดับ
ดังนั้นในการรักษาฝ้าจึงมีทั้งวิธีการรักษาฝ้าในแบบตื้นและรุนแรง ตามระดับและชนิดของฝ้า อีกทั้งการรักษาฝ้านั้นควรทำควบคู่ไปกับการป้องกันการรักษาฝ้าร่วมด้วยเพราะฝ้าสามารถเกิดขึ้นได้ใหม่เรื่อย ๆ เสมอหากไม่ป้องกันการเกิดฝ้า
ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสการเกิดฝ้า
การเกิดฝ้าสามารถถูกกระตุ้นได้ด้วยปัจจัยต่าง ๆ มากมาย ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่จะกระตุ้นการเกิดฝ้ามีได้ ดังนี้
- ฝ้าถูกกระตุ้นจากการสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน
ปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เมลานินผลิตเม็ดสีมากขึ้นในผิวหนัง มักเกิดจากแสงแดดเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าจากรังสี UV โดยเฉพาะ UVA และ UVB ส่งผลให้สีผิวไม่สม่ำเสมอและทำให้เกิดฝ้าได้ง่าย ฝ้าจึงมักจะพบได้บ่อยในบริเวณที่สัมผัสแสงแดดบ่อยๆ
- ฝ้าถูกกระตุ้นจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย
ฝ้าสามารถถูกกระตุ้นได้จากฮอร์โมนในร่างกายที่มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์ หรือการใช้ยาคุมกำเนิด
- ฝ้าถูกกระตุ้นจากการที่ผิวระคายเคือง
การที่ทำให้ผิวระคายเคืองไม่ว่าจะเป็นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรง หรือการขัดถูผิวแรงเกินไป เพราะอาจจะกระตุ้นให้ผิวอักเสบ จนต้องทำให้ผิวสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้น จนเกิดการสะสมเม็ดสีที่มากเกินไปจนเกิดเป็นฝ้า
- ฝ้าถูกกระตุ้นจากมลภาวะในอากาศ
การเกิดฝ้านั้นสามารถถูกกระตุ้นได้จากมลภาวะในอากาศที่เจอได้ เช่น ฝุ่น ควัน หรือสารเคมีต่างๆ ทำให้ผิวอักเสบและระคายเคืองได้
- ฝ้าถูกกระตุ้นจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น
คนเราเมื่ออายุมากขึ้นกระบวนการฟื้นฟูผิวช้าลง ส่งผลให้ผิวไวต่อแสงและปัจจัยการกระตุ้นต่าง ๆ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดฝ้าได้มากขึ้น
- ฝ้าถูกกระตุ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวบอบบาง
หากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ทำให้ผิวบอบบางเป็นประจำบ่อยๆ อาจจะทำให้ผิวบอบบางและไวต่อแสงเสี่ยงต่อการทำให้ระคายเคืองจนเกิดฝ้าได้
ฝ้าเกิดที่จุดไหนได้บ้าง ?
ก่อนการรักษาฝ้าควรรู้ก่อนว่าฝ้าสามารถขึ้นบริเวณใดได้บ้าง โดยการเกิดฝ้านั้นสามารถเกิดได้หลายบริเวณบนร่างกาย โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการโดนแดดร้อนจัดบ่อยๆ เนื่องจากผิวหนังบริเวณนั้นจะถูกกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินจนเกิดการสะสมที่มากเกินไปจากรังสี UV และจุดที่พบฝ้าได้บ่อยมีดังนี้
- ฝ้าบนใบหน้า ฝ้าบริเวณนี้สามารถพบได้บ่อยมากที่สุด เนื่องจากเป็นบริเวณที่โดนแดดบ่อย โดยเฉพาะที่แก้ม หน้าผาก และเหนือริมฝีปาก
- ฝ้าบริเวณลำคอ ฝ้านี้พบได้ไม่บ่อยแต่ในบางคนอาจจะเกิดฝ้าบริเวณลำคอได้
- ฝ้าบริเวณแขน การเกิดฝ้าบริเวณแขนมักพบได้ในผู้ที่ออกแดดบ่อย ๆ หรือผู้ที่ต้องทำงานกลางแจ่ง โดนฝ้านี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งบนแขนและหลังมือ
- ฝ้าบริเวณอกและบ่า ฝ้าบริเวณนี้แม้ไม่ได้พบมากเท่าบริเวณอื่น ๆ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน จากการที่ถูกแสงแดดโดยตรง เช่น การใส่เสื้อเกาะอกและการใส่เสื้อแขนกุด
ฝ้ามีกี่ชนิด ต่างกันยังไง ?
การรักษาฝ้าจะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นหากรู้จักชนิดของฝ้า เนื่องจากฝ้าแต่ละชนิดมีลักษณะและวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน ซึ่งการเกิดฝ้านั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดตามความลึกของการสะสมเม็ดสีเมลานินในชั้นผิวหนัง ดังนี้
- ฝ้าแบบตื้น
Epidermal Melasma หรือฝ้าแบบตื้นเกิดในชั้นกำพร้า มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อน ขอบเขตชัดเจน และมีสีเข้มกว่าฝ้าชนิดอื่น มักเป็นแค่ผิวชั้นนอก ในการรักษาฝ้าแบบตื้นมักรักษาด้วยการทาครีม,การทำเลเซอร์ IPL หรือการทำฟีลลิ่ง
- ฝ้าแบบลึก
Dermal Melasma หรือ ฝ้าแบบลึกเกิดในหนังชั้นแท้ มีลักษณะฝ้าสีเทาหรือสีน้ำตาลอมเทา ขอบเขตไม่ชัดเจน กระจายเป็นวงกว้าง
โดยการรักษาของฝ้าแบบลึกจะใช้เวลาการรักษาที่นานมากกว่าและเห็นผลช้า การทาครีมรักษาฝ้าอาจจะไม่เห็นผลดีมากนัก ส่วนใหญ่จึงจะนิยมรักษาฝ้าแบบนี้ด้วยการใช้เลเซอร์หรือการฉีดสารลดเม็ดสีที่ทำให้เกิดฝ้าเพื่อให้รักษาถึงชั้นหนังแท้
- ฝ้าแบบผสม
Mixed Melasma หรือ ฝ้าแบบผสมพบได้มากที่สุด โดยฝ้าแบบผสมเป็นฝ้าที่มีทั้งฝ้าแบบตื้นและฝ้าแบบลึกผสมกัน ลักษณะของฝ้าแบบผสมจะมีสีเป็นสีน้ำตาลและเทา มีขอบเขตทั้งชัดเจนและไม่ชัดเจน กระจายอยู่หลาย ๆ ตำแหน่ง โดยการรักษาฝ้าชนิดนี้ต้องใช้วิธีการรักษาหลายแบบร่วมกัน เพื่อการรักษาที่ล้ำลึก
ทำไมต้องรักษาฝ้า ?
การรักษาฝ้านั้นไม่ใช่รักษาเพียงเพื่อแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญหลายอย่าง เนื่องจากการเกิดฝ้านั้นมีผลต่อสุขภาพผิวอื่นๆอีกด้วย ดังนั้นเหตุผลในการรักษาฝ้ามี ดังนี้
- รักษาฝ้าเพื่อเพิ่มความมั่นใจ การเกิดฝ้านั้นส่งผลต่อความสวยงามของฝ้าโดยตรงทำให้หลายคนอาจทำให้ผู้ที่เกิดฝ้ารู้สึกไม่มั่นใจ ดังนั้นการรักษาฝ้าจะช่วยให้ผิวเรียบเนียนและดูกระจ่างใสทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น
- รักษาฝ้าเพื่อป้องกันไม่ให้เข้มขึ้นหรือลุกลาม หากไม่รักษาฝ้าหรือปล่อยทิ้งไว้นานๆ ฝ้าจะเข้มขึ้นและสามารถขยายวงกว้างได้ โดยเฉพาะเมื่อโดนแสงแดดหรือโดนปัจจัยที่ทำให้กระตุ้นการเกิดฝ้าเข้มขึ้นหรือทำให้เกิดฝ้าลุกลามได้
- รักษาฝ้าเพื่อคงสุขภาพผิวและลดความหมองคล้ำ ฝ้ามักทำให้ผิวดูหมองคล้ำและผิวไม่สดใส การรักษาฝ้าจะช่วยปรับสีผิวไม่สม่ำเสมอ ทำให้ผิวดูกระจ่างใส สุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
- รักษาฝ้าเพื่อลดการสะสมเม็ดสีที่อาจส่งผลต่อผิวในระยะยาว เมื่อเป็นฝ้าแล้วนั้นผิวจะอ่อนแอและไวต่อแสงแดดมากขึ้น จากการที่มีการสะสมเม็ดสีที่มากเกินไป แล้วเมื่อสะสมเป็นเวลานานการรักษาฝ้าจะยากมากยิ่งขึ้นอีก ดังนั้นหากเป็นฝ้าแล้วควรรีบดูแลและรักษาตั้งแต่เริ่มเป็นจะดีที่สุด
- รักษาฝ้าเพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอย
การป้องกันผิวจากแสงแดดและการรักษาฝ้าเมื่อเป็นทันทีจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดริ้วรอยในอนาคตและรังสี UV ที่จะส่งผลต่อสุขภาพผิวและความอ่อนเยาว์ในระยะยาวได้
10 วิธีการรักษาฝ้า
การรักษาฝ้านั้นมีหลายวิธีมากในปัจจุบัน ซึ่งการเลือกวิธีการรักษาฝ้าที่เหมาะสมกับชนิดและความรุนแรงฝ้าที่ตัวเองเป็นนั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะฝ้าแต่ละชนิดต้องการการรักษาที่แตกต่างกันจึงมีวิธีการรักษาที่มากมาย ดังนี้
- รักษาฝ้าด้วยการทาครีมรักษาฝ้า
การรักษาฝ้าด้วยการทาครีมที่มีคุณสมบัติในการลดเม็ดสีเมลานิน ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี และมีวิตามินที่ช่วยฟื้นฟูผิวลดความเข้มของฝ้า เป็นวิธีที่มีความนิยม จากการที่สามารถรักษาได้เองที่บ้าน มีความสะดวกและสามารถรักษาได้ในฝ้าแบบตื้น แต่ในบางบุคคลอาจจะมีความเสี่ยงที่จะทำให้ผิวระคายเคืองได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบอบบาง หากใช้สารที่มีความเข้มข้นสูงหรือใช้ต่อเนื่องนานเกินไป ดังนั้นเพื่อป้องกันการเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
- รักษาฝ้าด้วยการเลเซอร์รักษาฝ้า
การรักษาฝ้าด้วยการใช้เลเซอร์ เช่น Pico Laser มีความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถรักษาได้ลงลึก เน้นการทำงานไปยังที่เม็ดสีเมลานินในผิว และเห็นผลเร็ว โดยการรักษาฝ้าช่วยลดฝ้าได้อย่างชัดเจนในระยะเวลาไม่นาน สามารถทำลายเม็ดสีได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผิวบริเวณอื่น
ดังนั้นการทำเลเซอร์เพื่อรักษาฝ้าเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาฝ้าฝังลึกหรือเม็ดสีที่เข้ม และในการทำเลเซอร์รักษาฝ้าควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและดูแลผิวให้ดีหลังการทำเลเซอร์
- รักษาฝ้าด้วยการฉีดสารลดเม็ดสีเมลานิน
การฉีดสารที่ช่วยลดเม็ดสีเมลานินเป็นวิธีการที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการลดฝ้าและเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิว และวิธีนี้ต้องทำกับแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้นโดยการฉีดสารเข้าสู่ผิวช่วยให้ฝ้าจางลงและเห็นผลลัพธ์ได้เร็วขึ้นเมื่อเทียบกับการทาครีมหรือวิธีการรักษาฝ้าทางธรรมชาติ อีกทั้งวิธีการนี้ยังลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่ได้อีกด้วย แต่วิธีนี้อาจจะทำให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองได้ในบางบุคคล โดยเฉพาะคนที่แพ้ง่ายและผิวบอบบาง
- รักษาฝ้าด้วยการทำ IPL
การรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้จะใช้คลื่นแสงที่มีความยาวคลื่นเฉพาะ ซึ่งสามารถเลือกช่วงคลื่นที่เหมาะสมกับปัญหาเม็ดสีต่าง ๆ ได้ โดยฝ้าที่เกิดจากการสะสมเม็ดสีในชั้นผิวตื้น ๆ จะถูกดูดซึมและจางลงได้หลังจากการได้รับพลังงานจากคลื่นแสง IPL แต่การรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้ต้องทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญการและต้องทำการรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้หายขาดและไม่ให้เกิดซ้ำอีก
- รักษาฝ้าด้วยการใช้กรดผลไม้
การรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้จะใช้กรดผลไม้ในรูปแบบของสกินแคร์ ได้แก่ กรด AHA และ BHA เพื่อผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก โดยกรด AHA จะช่วยให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วหลุดลอกออกไปได้ง่ายขึ้น และกรด BHA จะช่วยในการลดการอุดตันและป้องกันการเกิดสิวในอนาคต อีกทั้งการใช้กรดทั้งสองนี้จะช่วยให้ผิวที่มีปัญหาฝ้ามีผิวสม่ำเสมอขึ้น เหมาะสำหรับการใช้ในระยะยาว ช่วยค่อยๆทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นทีละนิด และช่วยลดฝ้าและจุดด่างดำในระยะเบื้องต้น
แต่ถ้าหากใช้ความเข้มข้นที่สูงเกินไปอาจทำให้ผิวบางลง ทำให้ผิวไวต่อแสงและเกิดการระคายเคืองได้ง่ายมากขึ้นได้เช่นกัน ดังนั้นหากต้องการรักษาฝ้าด้วยกรดผลไม้ควรปรึกษาผู้ชำนาญการเพื่อให้ได้รับคำแนะนำและปริมาณการใช้ที่เหมาะสมในแต่ละบุคคล เพื่อป้องกันการระคายเคืองหรือผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้
- รักษาฝ้าด้วยการ Chemical Peeling
การรักษาฝ้าด้วยการใช้สารเคมีหรือ Chemical Peeling เป็นการใช้สารเคมีที่มีความเข้มข้นสูงกว่ากรดผลไม้ในการกระตุ้นให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวชั้นบน ซึ่งสารเคมีที่ใช้มีหลายชนิด ในบางชนิดอาจเข้มข้นถึงระดับที่ทำให้เกิดการผลัดผิวชั้นลึกขึ้น เหมาะสำหรับการรักษาฝ้าและรอยดำที่ลึกและชัดเจน โดยการรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้ควรทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำให้การรักษาปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และลดความเสี่ยงในการเกิดอาการข้างเคียง เช่น ผิวลอกมากเกินไป ได้
- รักษาฝ้าด้วยการยาทารักษาฝ้า
การทายารักษาฝ้าเป็นวิธีที่นิยมและมีประสิทธิภาพสูงในการผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ช่วยลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำได้ดี รวมถึงยังช่วยปรับสมดุลสีผิว ทำให้ผิวดูกระจ่างใส เรียบเนียนมากยิ่งขึ้น แต่การใช้ยารักษาฝ้าควรอยู่ใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากยารักษาฝ้าบางชนิดมีฤทธิ์แรงและอาจมีผลข้างเคียงได้ หากใช้ยาอย่างไม่ถูกต้อง
- รักษาฝ้าด้วยการใช้ครีมกันแดด
การใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูง ที่ช่วยป้องกันแสง UV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่กระตุ้นการเกิดฝ้า เป็นอีกวิธีที่ช่วยลดการเกิดฝ้าใหม่และป้องกันไม่ให้ฝ้าเข้มขึ้น เนื่องจาก เมื่อผิวได้รับแสง UV มากๆ ผิวจะพยายามปกป้องตัวเองด้วยการผลิตเมลานินมากขึ้นทำให้เกิดฝ้าได้ โดยการใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูงอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สีผิวความสม่ำเสมอ ลดความเสี่ยงในการเกิดฝ้า และยังช่วยรักษาผิวให้อ่อนเยาว์ได้ยาวนานขึ้นอีกด้วย
- รักษาฝ้าด้วยการทำ Phonophoresis
การรักษาฝ้าด้วย Phonophoresis เป็นการผลักสารบำรุงผิวด้วยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง ช่วยให้สารบำรุงที่ใช้การลดฝ้าสามารถซึมลึกเข้าไปถึงผิวชั้นในได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าการทาทั่วไป ซึ่งจะช่วยให้ฝ้าจางลงและสีผิวสม่ำเสมอมากขึ้น เนื่องจากสารบำรุงที่ล้ำลึกช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีสามารถเข้าถึงชั้นผิวได้โดยตรง แต่การรักษาด้วย Phonophoresis ควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยและการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิว
10.รักษาฝ้าด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
วิธีนี้เป็นวิธีที่ช่วยลดเลือนฝ้าและทำให้ผิวดูสม่ำเสมอขึ้น โดยใช้สารบำรุงที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเมลานิน ทำให้ฝ้าค่อย ๆ จางลงได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาฝ้า ดูแลผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ และสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้โดยไม่ต้องพักฟื้น แต่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตัวเอง โดยเฉพาะในผู้ที่ผิวบอบบาง แพ้ง่าย ควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์
ทำไมรักษาฝ้าแล้วไม่หายสักที ?
ปัญหาการรักษาฝ้าแล้วไม่หายอาจจะเป็นปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้ในบางบุคคล ซึ่งการรักษาฝ้าแล้วไม่หายขาดนี้อาจจะเกิดได้จากหลายปัจจัย ดังนี้
- รักษาฝ้าแล้วไม่หายจากสาเหตุของการเกิดฝ้า
การเกิดฝ้าสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น แสงแดด ยาคุมกำเนิด หรือพันธุกรรม หากปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้าเหล่านี้ยังกระตุ้นการเกิดฝ้าอยู่ ก็สามารถทำให้เกิดฝ้าซ้ำหรือไม่สามารถรักษาฝ้าให้หายขาดได้
- รักษาฝ้าแล้วไม่หายจากการที่ไม่ปกป้องผิวจากแดด
รังสี UV จากแสงแดดนั้นเป็นปัจจัยหลักที่มักกระตุ้นให้เกิดฝ้า หากรักษาฝ้าแล้วไม่ทาครีมกันแดดที่มี SPF สูง หรือตากแดดบ่อยๆ ก็สามารถกระตุ้นให้ฝ้ากลับมาเกิดซ้ำได้อีก
- รักษาฝ้าแล้วไม่หายจากการเลือกวิธีที่รักษาไม่ถูกกับชนิดของฝ้า
ในปัจจุบันการรักษาฝ้ามีหลายวิธีมาก ไม่ว่าจะเป็นการทาครีม การทำเลเซอร์ หรือการทำ IPL เป็นต้น โดยวิธีการรักษาที่เหมาะกับชนิดของฝ้าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากเลือกการรักษาที่ไม่ถูกกับชนิดของฝ้าอาจทำให้การบำรุงรักษาไม่เพียงพอ หรือไม่ลึกถึงชั้นปัญหาที่เป็น ทำให้การรักษาฝ้านั้นไม่หายขาด
- รักษาฝ้าแล้วไม่หายจากฮอร์โมนในร่างกาย
หากเกิดฝ้าจากฮอร์โมนในร่างกาย มักจะหายขาดยากกว่าฝ้าแบบอื่น เนื่องจากจะมีฮอร์โมนเป็นตัวกระตุ้นในเกิดฝ้าได้เสมอ หากไม่ลดหรือควบคุมฮอร์โมนที่ทำให้เกิดฝ้า
- รักษาฝ้าแล้วไม่หายจากการไม่ดูแลผิวต่อเนื่อง
ในการรักษาฝ้านั้นส่วนใหญ่ต้องใช้เวลา หากการรักษาฝ้ายังไม่สิ้นสุดแล้วหยุดรักษาไปก่อน ไม่รักษาต่อเนื่อง อาจจะทำให้ฝ้ากลับมาเร็วขึ้น
ฝ้าสามารถหายขาดได้ไหม ?
การรักษาฝ้าสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่อาจจะเป็นเรื่องที่ยากเพราะมีหลายปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดฝ้า แต่ในการรักษาที่ถูกต้องและต่อเนื่องจะทำให้ฝ้าลดเลือนจางลง และทำให้ผิวกลับมากระจ่างใสมีสุขภาพดีได้
วิธีการป้องกันการเกิดฝ้า
การป้องกันการเกิดฝ้าเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าอยากให้การรักษาฝ้ามีประสิทธิภาพควรทำควบคู่ไปกับการป้องกันการเกิดฝ้าด้วย เพื่อลดโอกาสการเกิดฝ้าซ้ำ โดยสามารถป้องกันการเกิดฝ้าได้ดังนี้
- ทาครีมกันแดด ควรทาครีมกันแดดสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวันแม้ในวันที่มีอากาศครึ้ม และควรทาซ้ำเรื่อย ๆ ทุก 2-3 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแดด และควรเลือกครีมกันแดดที่มี SPF สูงเพื่อป้องกันรังสียูวีอย่างมีประสิทธิภาพ
- รักษาความชุ่มชื้น ในการรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวเป็นหนึ่งในวิธีสำคัญในการป้องกันการเกิดฝ้า เนื่องจากความชุ่มชื้นในผิวจะทำให้ผิวสุขภาพดีและแข็งแรง ลดโอกาสการเกิดฝ้าได้ โดยวิธีการในการรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวมีมากมายหลายวิธี เช่น การทามอยเจอไรเซอร์ การใช้มาสก์ หรือเซรั่มบำรุงผิว เป็นต้น
- เลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิว อีกวิธีที่สำคัญในการป้องกันการเกิดฝ้าคือการหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวระคายเคือง เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีเข้มข้น เพราะการที่ผิวระคายเคืองมากๆจะไปกระตุ้นการผลิตเม็ดสีในผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นฝ้าขึ้นมาได้
- หลีกเลี่ยงแสงแดด วิธีการที่ดีในการป้องกันฝ้าอีกวิธี คือ การหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งในวันที่อากาศร้อนจัด แดดจ้า โดยเฉพาะแสงแดดกลางแจ้งในช่วง 10.00 – 16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่รังสี UV สูงที่สุด หากต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งในแดดที่ร้อนจัดควรเลือกทำในที่มีร่มเงา หรือสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกาย เพื่อลดการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง
- ทาครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมช่วยป้องกันฝ้า เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพดีในการดูแลผิวและลดโอกาสการเกิดฝ้า เนื่องจากส่วนผสมในครีมบำรุงสามารถช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดการสร้างเม็ดสีเมลานินได้ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวและใช้เป็นประจำควบคู่กับการดูแลผิว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
การรักษาฝ้านั้นสามารถทำได้หลายวิธี และสามารถรักษาให้ขาดได้ หากทำอย่างต่อเนื่อง และเลือกวิธีที่เหมาะสมกับความรุนแรงและชนิดของฝ้า ในบางคนการรักษาฝ้าอาจจะต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน แต่สิ่งที่สำคัญในการรักษาฝ้าคือควรทำควบคู่ไปกับการป้องกันการเกิดฝ้าใหม่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และควรรักษาภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง และให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัย