วิธีป้องกันริ้วรอยก่อนวัยมีอะไรบ้าง? รวมเคล็ดลับเพื่อผิวอ่อนกว่าวัย

วิธีป้องกันริ้วรอยก่อนวัย

แม้ว่าริ้วรอยจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เมื่ออายุมากขึ้น แต่หากเราดูแลตัวเองได้อย่างเหมาะสม ก็จะสามารถชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้ รมย์รวินท์คลินิกจะพาทุกคนมาเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีป้องกันริ้วรอยก่อนวัยอย่างละเอียด พร้อมทั้งบอกสาเหตุ และวิธีลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า โดยสามารถติดตามอ่านได้ในบทความนี้

 

วิธีป้องกันริ้วรอยก่อนวัย
วิธีป้องกันริ้วรอยก่อนวัย

 

วิธีป้องกันริ้วรอยก่อนวัย

การป้องกันริ้วรอยก่อนวัย สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

  • ใช้สกินแคร์ที่เหมาะสม

การเลือกใช้สกินแคร์ที่เหมาะสม เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยป้องกันริ้วรอยก่อนวัยได้ โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี (Vitamin C) ช่วยปกป้องผิวจากปัจจัยต่าง ๆ และปรับผิวให้กระจ่างใส, เรตินอล (Retinol) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และเร่งการผลัดเซลล์ผิว, เปปไทด์ (Peptides) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน, ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) ช่วยเสริมเกราะปกป้องผิว และลดการอักเสบ รวมถึงไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) ช่วยเติมน้ำ และเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว ซึ่งการเลือกใช้สกินแคร์ที่เหมาะสมนั้น ควรเลือกให้ตรงกับสภาพผิว เช่น ผิวแห้งควรเลือกสกินแคร์ประเภทเนื้อครีม หรือบาล์ม ในขณะที่ผิวมัน และผิวผสม ควรเลือกสกินแคร์ประเภทเนื้อเจล หรือโลชั่นที่บางเบา ซึมง่าย

  • ใช้ครีมกันแดดทุกวัน

การใช้ครีมกันแดดทุกวัน เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยป้องกันริ้วรอยก่อนวัยได้ โดยเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF (Sun-Protection Factor) อย่างน้อย 30 ขึ้นไป และมีค่า PA +++ เพื่อปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายโดยรังสี UVA และ UVB ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้คอลลาเจน และอีลาสตินเสื่อมสภาพ อีกทั้งควรทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน แม้ในวันที่ไม่ได้ออกแดดโดยตรง และในกรณีที่ทำกิจกรรมกลางแจ้ง ควรทาซ้ำอย่างน้อยทุก 2 – 3 ชั่วโมง เพื่อให้ผิวได้รับการปกป้องอย่างทั่วถึง นอกจากนี้การเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมนั้น ควรเลือกให้ตรงกับสภาพผิว เช่น ผิวแห้ง ควรเลือกครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารบำรุงที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ในขณะที่ผิวมัน หรือผิวผสม ควรเลือกครีมกันแดดสูตร Non-Comedogenic ที่มีเนื้อบางเบา และไม่ทิ้งความเหนอะหนะไว้บนผิว 

  • รับประทานอาหารเสริม

การรับประทานวิตามิน หรืออาหารเสริม เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยป้องกันริ้วรอยก่อนวัยได้ โดยเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสารสกัดของสารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เช่น วิตามินซี (Vitamin C) ช่วยปกป้องผิวจากปัจจัยเสี่ยงภายนอก และเพิ่มความกระจ่างให้ผิว, วิตามินอี (Vitamin E) ช่วยป้องกันผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดด และมลภาวะ, คอลลาเจน (Collagen) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และเสริมความยืดหยุ่นให้ผิว, โคเอนไซม์ คิวเทน (Coenzyme Q10) ช่วยลดความเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว และชะลอการเกิดปัญหาผิวก่อนวัย, แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ช่วยปกป้องผิวจากปัจจัยเสี่ยงภายนอก และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย รวมถึงซิงค์ (Zinc) ช่วยต้านการอักเสบของเซลล์ผิว และทำให้แผลสมานเร็วขึ้น ซึ่งการรับประทานอาหารเสริมที่ถูกวิธีนั้น ควรรับประทานในช่วงเวลาที่เหมาะสม และในปริมาณที่ระบุไว้บนฉลาก เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงต่อการรับประทานเกินขนาด

  • ดื่มน้ำให้มาก ๆ

การดื่มน้ำให้มาก ๆ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยป้องกันริ้วรอยก่อนวัยได้ โดยควรจิบน้ำบ่อย ๆ แทนการดื่มรวดเดียวประมาณ 1.5 – 2 ลิตรต่อวัน หรือประมาณ 7 – 8 แก้ว เพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ดี และลดอาการบวมจากการดื่มน้ำทีเดียวมาก ๆ ซึ่งการดื่มน้ำสม่ำเสมอนั้น จะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว และรักษาความยืดหยุ่นของผิว พร้อมทั้งช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย ส่งเสริมการไหลเวียนเลือด และเสริมประสิทธิภาพการทำงานของสกินแคร์ให้ซึมเข้าสู่ผิวได้ดีมากขึ้น อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เพื่อป้องกันคอลลาเจน และอีลาสตินเสื่อมสภาพ รวมถึงทำให้ผิวแก่ก่อนวัย

  • พักผ่อนให้เพียงพอ

การพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยป้องกันริ้วรอยก่อนวัยได้ โดยสำหรับวัยผู้ใหญ่ควรนอนหลับประมาณ 7 – 8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้เซลล์ผิวได้มีการฟื้นฟูในช่วงขณะหลับลึก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายจะผลิตโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ออกมามากขึ้น โดยเฉพาะเวลา 22.00 – 02.00 น. ทำให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ รวมทั้งควรเข้านอน และตื่นนอนให้เป็นเวลาทุกวัน แม้ในวันหยุด เพื่อช่วยให้การนอนหลับมีคุณภาพ และช่วยปรับนาฬิกาชีวิตให้มีความสมดุลมากขึ้น

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายสม่ำเสมอ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยป้องกันริ้วรอยก่อนวัยได้ โดยควรออกกำลังกายอย่างน้อย 3 – 4 ครั้งต่อสัปดาห์ และครั้งละประมาณ 15 – 30 นาที รวมถึงควรอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกาย เพื่อเตรียมความพร้อมของกล้ามเนื้อ และลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ซึ่งการออกกำลังกายที่เหมาะสมนั้น จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด เสริมสร้างกล้ามเนื้อ และกระดูกให้แข็งแรง พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และขับของเสียผ่านทางเหงื่อ ทำให้ผิวสดใส เปล่งปลั่ง และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้

  • รับประทานอาหารที่ดีต่อผิว

การรับประทานอาหารที่ดีต่อผิว เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยป้องกันริ้วรอยก่อนวัยได้ โดยเลือกอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ได้แก่ อาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี (Vitamin C) เช่น ฝรั่ง ส้ม มะละกอ คะน้า บรอกโคลี, อาหารที่อุดมด้วยวิตามินอี (Vitamin E) เช่น ตับ ไข่ นม ผักบุ้ง ฟักทอง มะม่วงสุด อัลมอนด์, อาหารที่อุดมด้วยเบตาแคโรทีน (Beta Carotene) เช่น แคร์รอต มันหวาน ฟักทอง ผักเคล บรอกโคลี, อาหารที่อุดมด้วยซิงค์ (Zinc) เช่น หอยนางรม ปลา เห็ด ถั่วเหลือง อัลมอนด์ นม รวมถึงอาหารที่อุดมด้วยซีลีเนียม (Selenium) ปลาทู หอยแครง หอยนางรม ไข่ ถั่ว แคร์รอต หน่อไม้ฝรั่ง ซึ่งการรับประทานอาหารเหล่านี้ จะช่วยเสริมการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน รวมถึงเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และเสริมการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัยจากภายใน

  • หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอย

การหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอย เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยป้องกันริ้วรอยก่อนวัยได้ ไม่ว่าะเป็นแสงแดด รังสี UV มลภาวะ การพักผ่อนน้อย เครียดสะสม ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่เป็นประจำ รวมถึงรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ สามารถเร่งให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระในร่างกาย ทำให้คอลลาเจน และอีลาสตินถูกทำลาย ส่งผลให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยง่ายขึ้น 

 

ริ้วรอยคืออะไร?
ริ้วรอยคืออะไร?

 

ริ้วรอยคืออะไร?

ริ้วรอย (Wrinkles) เป็นปัญหาผิวที่มีลักษณะเป็นเส้นริ้ว หรือเป็นร่องบนผิวหนัง โดยส่วนใหญ่จะเกิดจากกระบวนการเสื่อมของเซลล์ผิวตามธรรมชาติ ซึ่งมาจากอายุที่มากขึ้นร่วมกับปัจจัยแวดล้อม เช่น แสงแดด มลภาวะ พักผ่อนน้อย ความเครียด การแสดงสีหน้า สูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ผิวหนังค่อย ๆ ผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินน้อยลง ซึ่งส่งผลกระทบให้ผิวบาง ขาดความยืดหยุ่น และไม่กระชับ จนมีริ้วรอยปรากฏขึ้นในหลาย ๆ บริเวณ โดยเฉพาะบริเวณที่มีการแสดงสีหน้าบ่อย เช่น ริ้วรอยหน้าผาก ริ้วรอยระหว่างคิ้ว ริ้วรอยหางตา ริ้วรอยรอบปาก หรือร่องแก้ม

 

สาเหตุของการเกิดริ้วรอย
สาเหตุของการเกิดริ้วรอย

 

สาเหตุของการเกิดริ้วรอย

สาเหตุของการเกิดริ้วรอยมีทั้งปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยร่วมกัน ดังนี้

  • อายุเพิ่มขึ้น

อายุที่เพิ่มขึ้น เป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอย เนื่องจากผิวหนังจะเกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ โดยร่างกายจะผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินลดลงเฉลี่ย 1 – 1.5% ต่อปี ซึ่งจะลดลงตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป ทำให้ผิวหนังขาดความกระชับ และสูญเสียความยืดหยุ่น จนเริ่มปรากฏริ้วรอย และร่องลึกอย่างเห็นได้ชัด

  • ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดริ้วรอย เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) จะค่อย ๆ ลดลงเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งส่งผลต่อการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินโดยตรง ทำให้ผิวหนังขาดความกระชับ และสูญเสียความยืดหยุ่น จนเริ่มปรากฏริ้วรอย และร่องลึกอย่างเห็นได้ชัด 

  • การแสดงสีหน้า

การแสดงสีหน้า หรือการแสดงอารมณ์มากเกินไป เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดริ้วรอย เนื่องจากเมื่อมีการขยับใบหน้า เช่น ยิ้ม หัวเราะขมวดคิ้ว หรือเลิกคิ้ว กล้ามเนื้อจะเกิดการหดตัวซ้ำ ๆ ทำให้ผิวหนังถูกพับ จนเริ่มปรากฏริ้วรอย และร่องลึกอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยหน้าผาก ริ้วรอยระหว่างคิ้ว และริ้วรอยหางตา

  • แสงแดด

แสงแดด เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดริ้วรอย เนื่องจากเมื่อผิวโดนรังสี UV จากแสงแดดสะสมเป็นเวลานาน ก็จะทำให้ร่างกายสร้างอนุมูลอิสระออกมามากขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการผลิตคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้ผิวหนังเกิดความแห้งกร้าน ขาดความกระชับ และสูญเสียความยืดหยุ่น จนเริ่มปรากฏริ้วรอย และร่องลึกที่ชัดเจนขึ้นอย่างต่อเนื่อง

  • มลภาวะ

มลภาวะ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดริ้วรอย เนื่องจากเมื่อเราเผชิญกับมลภาวะสะสมเป็นเวลานาน เช่น ฝุ่นละออง ควันรถ หรือสิ่งสกปรกที่ปะปนอยู่ในอากาศ ร่างกายจะเกิดการสร้างอนุมูลอิสระออกมาในปริมาณมาก  ซึ่งส่งผลต่อการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินโดยตรง รวมถึงกระตุ้นการอักเสบ และทำลายเกราะปกป้องผิว ทำให้ผิวหนังขาดความกระชับ และสูญเสียความยืดหยุ่น จนเริ่มปรากฏริ้วรอยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

  • นอนหลับไม่เพียงพอ

การนอนหลับไม่เพียงพอ หรือนอนดึกเป็นประจำ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดริ้วรอย เนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ได้อย่างเต็มที่ ทำให้กระบวนการฟื้นฟูเซลล์ผิวทำงานช้าลง ซึ่งส่งผลต่อการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินโดยตรง ทำให้ผิวหนังขาดความกระชับ และสูญเสียความยืดหยุ่น จนเริ่มปรากฏริ้วรอยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

  • ความเครียด

ความเครียด เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดริ้วรอย เนื่องจากร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) สูงขึ้น ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียดที่ส่งผลต่อการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินโดยตรง รวมถึงกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผิวหนังขาดความกระชับ และสูญเสียความยืดหยุ่น จนเริ่มปรากฏริ้วรอยที่เห็นได้ชัด

  • ดื่มแอลกอฮอล์

การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดริ้วรอย เนื่องจากแอลกอฮอล์จะทำให้ร่างกายขับน้ำออกมามากกว่าปกติ รวมถึงกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระในปริมาณมาก ซึ่งส่งผลต่อการผลิตคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้ผิวหนังแห้งกร้าน ขาดความกระชับ และสูญเสียความยืดหยุ่น จนเริ่มปรากฏริ้วรอย และผิวแก่กว่าวัยมากขึ้น

  • สูบบุหรี่

การสูบบุหรี่มากเกินไป เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดริ้วรอย เนื่องจากควันบุหรี่มีสารพิษเป็นจำนวนมาก ทำให้ร่างกายเกิดการสร้างอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น และลดการไหลเวียนของเลือด ซึ่งส่งผลต่อการผลิตคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้ผิวหนังได้รับออกซิเจน และสารอาหารน้อยลง รวมถึงทำให้ผิวหนังขาดความกระชับ และสูญเสียความยืดหยุ่น จนเริ่มปรากฏริ้วรอยขึ้น

 

บริเวณที่นิยมเกิดริ้วรอยบ่อย
บริเวณที่นิยมเกิดริ้วรอยบ่อย

 

บริเวณที่นิยมเกิดริ้วรอยบ่อย

บริเวณที่เกิดริ้วรอยบ่อยบนใบหน้า โดยส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณที่มีผิวบาง หรือมีการแสดงสีหน้าบ่อย ดังนี้

  • บริเวณหน้าผาก

หน้าผาก เป็นอีกหนึ่งบริเวณที่เกิดริ้วรอยบ่อย ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเกิดจากอายุที่มากขึ้น คอลลาเจน และอีลาสตินในผิวเริ่มเกิดการเสื่อมสภาพ รวมถึงพฤติกรรมการแสดงหน้าสีหน้าเป็นประจำ เช่น เลิกคิ้ว หรือยกคิ้ว ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว และเกิดรอยพับซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นเส้นริ้ว หรือรอยย่นบริเวณกึ่งกลางหน้าผาก หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมอาจพัฒนากลายเป็นร่องลึกได้ 

  • บริเวณหางตา

หางตา เป็นอีกหนึ่งบริเวณที่เกิดริ้วรอยบ่อย ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น คอลลาเจน และอีลาสตินในผิวเริ่มเสื่อมสภาพ รวมถึงการแสดงหน้าสีหน้าบ่อย ๆ เช่น ยิ้ม หัวเราะ หรือหรี่ตา ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว และเกิดรอยพับซ้ำ ๆ จนเห็นเป็นเส้นริ้ว หรือเส้นบาง ๆ บริเวณหางตา หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสมอาจพัฒนาเป็นร่องลึกได้ 

  • บริเวณระหว่างคิ้ว

ระหว่างคิ้ว เป็นอีกหนึ่งบริเวณที่เกิดริ้วรอยบ่อย ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเกิดจากอายุที่มากขึ้น คอลลาเจน และอีลาสตินเริ่มเสื่อมสภาพ รวมถึงพฤติกรรมการแสดงหน้าสีหน้าบ่อย ๆ เช่น ขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกโกรธ หรือเครียด ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว และเกิดรอยพับซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นเส้นริ้ว หรือรอยย่นบริเวณกึ่งกลางระหว่างหัวคิ้ว หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมอาจพัฒนากลายเป็นร่องลึกได้ 

  • บริเวณร่องแก้ม

ร่องแก้ม เป็นอีกหนึ่งบริเวณที่เกิดริ้วรอยบ่อย ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเกิดจากอายุที่มากขึ้น คอลลาเจน และอีลาสตินเริ่มเสื่อมสภาพ และกระดูกทรุดตัวตามวัย รวมถึงพฤติกรรมการแสดงหน้าสีหน้าบ่อย ๆ เช่น ยิ้ม หัวเราะ หรือพูดคุย ทำให้เกิดรอยพับซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นเส้นริ้วที่ลากยาวตั้งแต่บริเวณปีกจมูกมาถึงบริเวณมุมปาก หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมอาจพัฒนากลายเป็นร่องลึกได้ 

  • บริเวณรอบริมฝีปาก

รอบริมฝีปาก เป็นอีกหนึ่งบริเวณที่เกิดริ้วรอยบ่อย ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเกิดจากอายุที่มากขึ้น คอลลาเจน และอีลาสตินเริ่มเสื่อมสภาพ รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น สูบบุหรี่ หรือใช้หลอดดูดน้ำ ทำให้เกิดรอยพับซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นเส้นริ้ว หรือรอยย่นบริเวณรอบริมฝีปาก หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมอาจพัฒนากลายเป็นร่องลึกได้ 

  • บริเวณลำคอ

ลำคอ เป็นอีกหนึ่งบริเวณที่เกิดริ้วรอยบ่อย ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเกิดจากอายุที่มากขึ้น คอลลาเจน และอีลาสตินเริ่มเสื่อมสภาพ รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ก้มหน้า นอนคว่ำ หรือนอนตะแคงเป็นเวลานาน ๆ ทำให้เกิดรอยพับซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นเส้นริ้ว หรือเส้นบาง ๆ บริเวณลำคอ หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมอาจพัฒนากลายเป็นร่องลึกได้ 

 

ลดริ้วรอยวิธีไหนได้บ้าง?
ลดริ้วรอยวิธีไหนได้บ้าง?

 

ลดริ้วรอยวิธีไหนได้บ้าง? 

การลดริ้วรอยมีหลากหลายวิธี ทั้งวิธีที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง และวิธีทางการแพทย์ ดังนี้

  • ใช้ครีมบำรุงผิว

การใช้ครีมบำรุงผิวสามารถลดริ้วรอยได้ โดยเลือกครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยลดริ้วรอย ผลัดเซลล์ผิว กระตุ้นคอลลาเจน และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี (Vitamin C), วิตามินอี (Vitamin E), เรตินอล (Retinol), เปปไทด์ (Peptides), ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide), ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) และเซราไมด์ (Ceramide) รวมถึงทาครีมกันแดดสม่ำเสมอทุกวัน แม้ในวันที่ไม่ได้ออกแดด เพื่อปกป้องผิวที่ได้รับความเสียหายจากการรังสี UVA และ UVB ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ได้อีกด้วย

  • รับประทานอาหารเสริม

การรับประทานอาหารเสริมสามารถลดริ้วรอยได้ โดยเลือกอาหารเสริมที่มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ลดริ้วรอย และกระตุ้นคอลลาเจน เช่น คอลลาเจน (Collagen), วิตามินซี (Vitamin C), วิตามินอี (Vitamin E), แอสตาแซนธิน (Astaxanthin), โคเอนไซม์ คิวเทน (Coenzyme Q10), โอเมก้า 3 (Omega 3) และซิงค์ (Zinc) ซึ่งการรับประทานอาหารเสริมจะช่วยบำรุงผิวจากภายในอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยแนะนำให้เลือกอาหารเสริมที่ได้รับการรับรองจาก อย. และรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว

  • นวดหน้า

การนวดหน้าสามารถลดริ้วรอยได้ โดยนวดเบา ๆ ในทิศทางที่เหมาะสมเป็นประจำประมาณ 15 นาที ไม่ควรกดแรงจนเกินไป และหลีกเลี่ยงในบริเวณที่มีสิวอักเสบ แผลเปิด หรือผื่นแพ้ เพื่อป้องกันการอักเสบ และระคายเคืองผิว ซึ่งการนวดหน้านั้นจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และน้ำเหลือง พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน รวมถึงลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อจากการแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอย อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของครีมบำรุงผิว ทำให้สามารถทำงานได้ดีมากขึ้น

  • ทำทรีตเมนต์

การทำทรีตเมนต์สามารถลดริ้วรอยได้ ขึ้นอยู่กับประเภทของทรีตเมนต์ และความต่อเนื่องในการรักษา ซึ่งทรีตเมนต์แต่ละประเภทก็มีจุดเด่น และคุณสมบัติที่แตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปการทำทรีตเมนต์จะช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน รวมถึงทำให้เลือดไหลเวียนดีมากขึ้น 

  • ทำเลเซอร์

การทำเลเซอร์ (Laser) สามารถลดริ้วรอยได้ ขึ้นอยู่กับประเภทของเลเซอร์ และความต่อเนื่องในการรักษา ซึ่งเลเซอร์แต่ละประเภทก็มีจุดเด่น และหลักการทำงานที่แตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปการทำเลเซอร์จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินใหม่ รวมถึงกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ลดเลือนริ้วรอย กระชับรูขุมขน พร้อมทั้งปรับสีผิวให้กระจ่างใส และลดเลือนจุดด่างดำบนใบหน้า

  • ทำเครื่องยกกระชับ

การทำเครื่องยกกระชับสามารถลดริ้วรอยได้ ขึ้นอยู่กับประเภทของเครื่อง และความต่อเนื่องในการรักษา ซึ่งเครื่องยกกระชับแต่ละประเภทก็มีจุดเด่น และใช้คลื่นพลังงานที่แตกต่างกัน เช่น คลื่นอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) หรือคลื่นวิทยุ (RF) แต่โดยทั่วไปการทำเครื่องยกกระชับจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ พร้อมทั้งยกกระชับผิวในบริเวณที่เกิดการหย่อนคล้อย ลดเลือนริ้วรอย ร่องลึก และปรับผิวให้เรียบเนียน

  • ฉีดโบลดริ้วรอย

การฉีดโบสามารถลดริ้วรอยได้ โดยเฉพาะริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าบ่อย ๆ เช่น ริ้วรอยหน้าผาก ริ้วรอยหางตา และริ้วรอยระหว่างคิ้ว ซึ่งการฉีดโบจะช่วยคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็ง และทำให้กล้ามเนื้อขยับได้น้อยลง ส่งผลให้ผิวบริเวณที่ฉีดดูเรียบเนียน เต่งตึง และริ้วรอยจากการแสดงสีหน้าลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยยกกระชับปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก และชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ได้อีกด้วย

  • ฉีดฟิลเลอร์

การฉีดฟิลเลอร์สามารถลดริ้วรอยได้ โดยเฉพาะริ้วรอยที่เกิดจากการยุบตัวของชั้นกระดูก และชั้นไขมัน เช่น ร่องแก้ม ร่องใต้ตา ริ้วรอยรอบดวงตา หรือริ้วรอยรอบริมฝีปาก ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์จะเน้นการเติมเต็มผิวในบริเวณที่เกิดช่องว่าง หรือขาดวอลลุ่ม ทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดดูอิ่มฟู เต่งตึง เรียบเนียน และริ้วรอยดูตื้นขึ้นอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังช่วยยกกระชับปรับรูปหน้าให้มีความสมดุล และเสริมความชุ่มชื้นให้ผิวจากภายในอีกด้วย

 

วิธีป้องกันริ้วรอยก่อนวัยสามารถทำได้หลายวิธี โดยควรเริ่มตั้งแต่การดูแลตัวเองจากภายใน ควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรมอย่างเหมาะสม เช่น ใช้สกินแคร์ที่ตรงกับสภาพผิว ทาครีมกันแดดเป็นประจำ ดื่มน้ำให้มาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว ก็จะช่วยให้ถป้องกันริ้วรอยก่อนวัยได้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย เช่น แสงแดด มลภาวะ การสูบบุหรี่ หรือการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วน เป็นสาเหตุหลักของการเกิดริ้วรอยก่อนวัยทั้งสิ้น ดังนั้นการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องจึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย และดูสุขภาพดีในระยะยาว

 

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด