สิวฮอร์โมนปัญหาสิวที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในวัยรุ่นและผู้ที่มีฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงหรือไวต่อฮอร์โมนในร่างกาย โดยปัญหาสิวฮอร์โมนไม่ได้ส่งผลกระทบแค่กับผิว แต่ยังส่งผลต่อความมั่นใจและภาพลักษณ์ภายนอกอีกด้วย การเข้าใจสาเหตุ อาการ และแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง จะช่วยให้ผิวกลับมาแข็งแรงและสุขภาพดีอีกครั้งได้
สิวฮอร์โมน คืออะไร ?
สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne) คือ สิวที่เกิดจากความแปรปรวนหรือความไม่สมดุลของระดับฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งมีบทบาทกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันมากกว่าปกติ ส่งผลให้ผิวมีความส่วนเกิน จนเกิดการที่รูขุมขนอุดตัน ส่งผลให้เกิดเป็นสิวได้ง่าย

วิธีสังเกตุลักษณะของสิวฮอร์โมน
สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne) เป็นสิวที่เกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน ทำให้มีลักษณะเฉพาะที่สามารถสังเกตได้ ดังต่อไปนี้
- สังเกตจากตำแหน่งของการเกิดสิว
มักขึ้นในบริเวณช่วงล่างของใบหน้า ในบางบุคคลอาจลามไปถึงคอ ซึ่งตำแหน่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นบริเวณที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
- สังเกตจากลักษณะของสิว
เป็นสิวอักเสบที่มีเม็ดใหญ่ มีลักษณะหัวสิวเป็นหนองหรือเป็นสิวซ้ำ กดแล้วมีความรู้สึกเจ็บ มักใช้เวลานานกว่าจะยุบ แตกต่างกันกับสิวอุดตันที่สามารถหายได้เร็วกว่า
- สังเกตจากการเกิดซ้ำตามรอบเดือน
มักจะขึ้นเป็นประจำในขณะที่เป็นประจำเดือนและหลังมีประจำเดือน โดยสิวฮอร์โมนมักเป็น ๆ หาย ๆ ตามรอบเดือน เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงที่มีระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
- สังเกตจากการไม่ค่อยตอบสนองต่อการรักษาสิวด้วยสกินแคร์ทั่วไป
มักไม่ตอบสนองต่อการรักษาสิวด้วยสกินแคร์ หรือยารักษาสิวแบบทั่วไป เนื่องจากสิวฮอร์โมนเกิดจากปัจจัยภายในจึงต้องอาศัยการปรับฮอร์โมนหรือการดูแลสุขภาพร่างกายจากภายในควบคู่กัน เพื่อรักษา
หากเข้าใจถึงลักษณะของสิวฮอร์โมน จะช่วยให้เลือกวิธีการรักษาและการดูแลที่เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสการกลับมาเป็นสิวซ้ำได้

สิวฮอร์โมน เกิดจากอะไร ?
สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne) เป็นสิวที่เกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันมากเกินไป ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบของสิว นอกจากนี้สิวฮอร์โมนยังเกิดได้อีกหลายปัจจัย ดังนี้
ปัจจัยที่ส่งผลต่อสิวฮอร์โมน
- เกิดจากความสมดุลของฮอร์โมน
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงวัยรุ่น ตั้งครรภ์ วัยหมดประจำเดือน หรือจากการใช้ยาคุมกำเนิดบางชนิด เนื่องจากจะเป็นช่วงที่ต่อมไขมันถูกกระตุ้นให้ผลิตน้ำมันมากเกินไป ทำให้รูขุมขนอุดตันจนเกิดเป็นสิวได้ นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอาจทำให้ผิวมีความมันเพิ่ม และมีแนวโน้มที่จะเป็นสิวซ้ำได้บ่อยมากขึ้น
- เกิดจากความเครียด
มีโอกาสเกิดจากความเครียดสะสมที่ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่ม ส่งผลให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้นและสิวรุนแรงขึ้นได้ นอกจากนี้การมีความเครียดสะสมยังสามารถทำให้ร่างกายอักเสบง่ายขึ้น ส่งผลให้สิวหายช้าและมีแนวโน้มกลับมาเป็นซ้ำได้
- เกิดจากพันธุกรรม
คนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นสิวฮอร์โมน จะมีโอกาสเกิดสิวฮอร์โมนได้มากขึ้น เพราะความไวต่อฮอร์โมนและการทำงานของต่อมไขมัน สามารถส่งต่อทางพันธุกรรมได้
- เกิดจากการรับประทานอาหาร
การรับประทานอาหารมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดสิวฮอร์โมนได้ เนื่องจากอาหารบางชนิดส่งผลให้ระดับน้ำตาลและอินซูลินเปลี่ยนแปลง ซึ่งส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนบางชนิดเพิ่มขึ้น จนเกิดการกระตุ้นการผลิตน้ำมันของต่อมไขมันและทำให้มีอาการรุนแรงขึ้นได้
- เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต
การพักผ่อนน้อย นอนดึก ทำงานหนัก จะส่งผลให้ระบบฮอร์โมนและการทำงานของต่อมไขมันผิดปกติ ส่งผลให้เกิดเป็นสิวฮอร์โมนและลุกลามได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้การรักษาสิวยากขึ้นและใช้เวลานานกว่าจะหาย
มักเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน หากเข้าใจถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวฮอร์โมนจะช่วยให้สามารถวางแผนดูแลและป้องกันสิวได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น

ฮอร์โมนอะไรที่มีผลต่อการเกิดสิว
สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne) มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงหรือความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย โดยฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของต่อมไขมันและการอักเสบของผิวหนัง มี 4 ฮอร์โมนหลัก ดังนี้
- ฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) เป็นฮอร์โมนที่พบได้ทั้งในเพศชายและหญิง แต่จะมีปริมาณสูงกว่าในผู้ชาย โดยฮอร์โมนนี้จะกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน (Sebaceous gland) ให้ผลิตน้ำมันมากเกินไป เมื่อน้ำมันไปสะสมร่วมกับการหลุดลอกของเซลล์ผิวจะอุดตันรูขุมขน ทำให้เชื้อสิวเจริญเติบโตและเกิดการอักเสบ จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวฮอร์โมนได้
- ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญต่อสมดุลของผิว หากฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงร่างกายจะขาดตัวถ่วงสมดุล ทำให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้นจนผลิตน้ำมันออกมาเกินความจำเป็น เมื่อน้ำมันส่วนเกินนี้สะสมรวมกับเซลล์ผิวที่หลุดลอกผิดปกติ จะทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน ทำให้ผิวมันง่ายและเกิดสิวฮอร์โมนได้
- ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) เป็นฮอร์โมนที่มักเพิ่มขึ้นหลังการเกิดรอบเดือน จนร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหลายชนิดร่วมกัน จนเกิดการกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้น เมื่อไขมันบนผิวถูกผลิตออกมามากเกินไปแล้วไปรวมกับเซลล์ผิวที่หลุดลอกสะสมในรูขุมขน จนเกิดการอุดตันและกลายเป็นสิวได้ง่ายขึ้น
- ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) เป็นฮอร์โมนที่ร่างกายหลั่งออกมาเมื่อเกิดความเครียดแต่ถ้าหากคอร์ติซอลสูงอย่างต่อเนื่อง จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น
ฮอร์โมนที่มีผลต่อการเกิดสิวจะมี 4 ฮอร์โมนหลัก ได้แก่ ฮอร์โมนแอนโดรเจน , ฮอร์โมนเอสโตรเจน , ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน และฮอร์โมนคอร์ติซอล โดยฮอร์โมนเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดเป็นสิวฮอร์โมนได้ หากทำความเข้าใจกลไกของฮอร์โมนจะช่วยให้การดูแลและรักษาสิวฮอร์โมนให้ได้ประสิทธิภาพดีขึ้น
สิวฮอร์โมนขึ้นบริเวณใดได้บ้าง ?
สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne) สามารถเกิดได้หลายตำแหน่งโดยเฉพาะบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่นและมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยตำแหน่งที่พบสิวฮอร์โมนได้บ่อย มีดังนี้
- สามารถเกิดได้ บริเวณคาง
- สามารถเกิดได้ บริเวณขากรรไกร
- สามารถเกิดได้ บริเวณลำคอ
- สามารถเกิดได้ บริเวณหน้าผาก
- สามารถเกิดได้ บริเวณไรผม
- สามารถเกิดได้ บริเวณแผ่นหลัง
- สามารถเกิดได้ บริเวณอก
สิวฮอร์โมนมักเกิดในบริเวณที่มีต่อมไขมันทำงานมากและไวต่อการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุดคือบริเวณคางและกรอบหน้า
สิวฮอร์โมนพบได้บ่อยในช่วงวัยใด ?
สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne) เป็นสิวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจนที่ส่งผลต่อต่อมไขมันและกระตุ้นการอักเสบ โดยสิวฮอร์โมนสามารถพบได้ในหลายช่วงวัยแต่จะพบได้มากในกลุ่มช่วงอายุ ดังนี้
- มักพบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี เป็นช่วงที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนสูง ทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากกว่าปกติ ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบได้ง่าย ทำให้สิวฮอร์โมนพบได้บ่อยและมีลักษณะรุนแรงกว่าในวัยอื่น ๆ
- มักพบได้บ่อยในช่วงวัยผู้ใหญ่ตอนต้นอายุ 20-30 ปี มักพบได้บ่อยในผู้หญิง เนื่องจากระดับฮอร์โมนยังไม่คงที่และมีการเปลี่ยนแปลงได้บ่อยจากรอบเดือน การใช้ยาคุมกำเนิด หรือความเครียด รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต ที่กระตุ้นให้สิวฮอร์โมนเกิดขึ้นได้ง่ายหรือกำเริบขึ้นมาได้
- มักพบได้บ่อยในช่วงวัยผู้ใหญ่อายุ 30 ปีขึ้นไป สิวฮอร์โมนในวัยนี้มักเกี่ยวเนื่องกับความเครียดสะสม ทำให้ระดับฮอร์โมนเกิดการไม่สมดุลได้ หรืออาจเกี่ยวข้องกับวัยใกล้หมดประจำเดือน หรือโรคบางชนิด รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตต่าง ๆ สามารถกระตุ้นให้สิวฮอร์โมนเกิดขึ้นได้ในช่วงวัยนี้เช่นกัน
สรุปได้ว่าสิวฮอร์โมนมักพบได้บ่อยมากที่สุดในวัยรุ่น เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนมาก แต่นอกจากนี้ก็สามารถเกิดในวัยผู้ใหญ่ได้เช่นกัน การควบคุมความเครียดและปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เหมาะสม จะช่วยให้ลดความเสี่ยงในการเกิดได้
วิธีรักษาสิวฮอร์โมน
สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne) เป็นสิวที่เกิดจากที่ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล ซึ่งเป็นปัญหาสิวที่มีความเรื้อรัง ทำให้รักษาสิวได้ยากกว่าสิวทั่วไป การรักษาสิวฮอร์โมนมีหลายวิธีตั้งแต่การรักษาด้วยตัวเองไปจนถึงการใช้วิธีทางการแพทย์ โดยวิธียอดนิยมที่ช่วยรักษามีดังนี้
1.การรักษาด้วยตัวเองเบื้องต้น เป็นวิธีการรักษาสิวด้วยตัวเองที่บ้าน โดยจะเน้นไปที่การปรับพฤติกรรม การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม รวมถึงการดูแลผิวโดยรวม เพื่อลดการกระตุ้นของฮอร์โมนที่ทำให้เกิดสิวหรือทำให้ผิวอักเสบมากขึ้น
เหมาะสำหรับ
- เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นในระดับไม่รุนแรง
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นดูแลผิวด้วยตนเองก่อนเข้ารับการรักษาทางการแพทย์
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมสิวระยะยาวควบคู่ไปกับการปรับสมดุลฮอร์โมน
วิธีการรักษาสิวฮอร์โมนด้วยตัวเองเบื้องต้น
- ปรับพฤติกรรมการกิน ลดอาหารที่มีน้ำตาลสูง อาหารฟาสต์ฟู้ด และนมวัว เนื่องจากอาหารเหล่านี้มักกระตุ้นการหลั่งอินซูลินที่มีผลต่อการเกิดสิว
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อไม่ให้ฮอร์โมนความเครียดสูงจนไปกระตุ้นการอักเสบและการเกิดสิว
- ลดความเครียด หากิจกรรมผ่อนคลายจะช่วยให้ฮอร์โมนสมดุลขึ้น
- เลือกใช้สกินแคร์ที่เหมาะสม อ่อนโยน ปราศจากน้ำมัน ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน
- ทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี ไม่ทำให้ผิวเสียสมดุล
2.รักษาด้วยการใช้ยารับประทานภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์ เป็นวิธีการการรักษาที่มีประสิทธิภาพและตรงจุด ลดการทำงานของฮอร์โมนที่กระตุ้นต่อมไขมัน ลดการผลิตน้ำมันส่วนเกิน และลดการอักเสบของสิว ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของสิวฮอร์โมนได้
เหมาะสำหรับ
- เหมาะสำหรับผู้ที่รักษาด้วยตัวเองแล้วไม่ได้ผล
- เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นในระยะรุนแรง มีขนาดใหญ่ มีหนอง หรือเป็นก้อนใต้ผิว
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เร็วและชัดเจน
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมสิวในระยะยาว โดยเฉพาะในกรณีฮอร์โมนไม่สมดุล
วิธีการรักษาด้วยการใช้ยารับประทาน มักใช้ยาในการรักษา ดังนี้
- ยารับประทานปรับสมดุลฮอร์โมน เพื่อปรับฮอร์โมนให้สมดุล ลดการผลิตน้ำมันบนผิวและลดการอักเสบของผิว
- ยาทาเฉพาะที่ เพื่อลดการอุดตันของรูขุมขนและลดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว
- ยาปฏิชีวนะรับประทาน เพื่อควบคุมการติดเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบของสิว
การรักษาสิวฮอร์โมนด้วยการใช้ยารับประทานต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์ เนื่องจากยาบางชนิดส่งผลข้างเคียง ดังนั้นการใช้ยารักษาสิวฮอร์โมนจำเป็นต้องประเมินสุขภาพและติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ก่อให้เกิดอันตราย
3.รักษาด้วยการทำหัตถการทางการแพทย์ เป็นวิธีการรักษาสิวด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อจัดการกับสิวโดยตรง
เหมาะสำหรับ
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวฮอร์โมนอักเสบหรือเป็นก้อนใต้ผิวเรื้อรัง
- เหมาะสำหรับผู้ที่รักษาสิวด้วยตัวเองหรือยารับประทานแล้วผลลัพธ์ยังไม่ชัดเจน
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดรอยสิว รอยดำ หรือป้องกันรอยแผลเป็น
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการดูแลเฉพาะจุดโดยแพทย์
วิธีการรักษาด้วยการทำหัตถการทางการแพทย์
- การทำเลเซอร์ (Laser) เพื่อลดการอักเสบของสิว ควบคุมการผลิตน้ำมันและฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว
- การใช้แสงบำบัด (Light Therapy) ในการลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อสิวและควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน
- การกดสิว (Comedone Extraction) โดยผู้ที่มีประสบการณ์ เพื่อนำสิวอุดตันออกอย่างถูกวิธี ลดการเกิดสิวลุกลาม
- การฉีดสิวอักเสบ (Steroid Injection) เพื่อลดขนาดของสิวขนาดใหญ่
- การทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peel) เพื่อลดสิวอุดตันและรอยสิว
- การทำทรีตเมนต์ด้วยเครื่องมือ เช่น Microdermabrasion, Microneedling เพื่อปรับสภาพผิว ลดรอยสิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
การทำหัตถการเพื่อรักษาสิวฮอร์โมนได้รับการปรึกษาและวางแผนการรักษาร่วมกับโดยแพทย์ เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เป็นอันตราย และได้รับการรักษาที่เหมาะสมกับระดับความรุนแรง
วิธีเลือกวิธีการรักษาสิวฮอร์โมน
ควรพิจารณาหลายปัจจัยอย่างรอบคอบ เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพ ลดการเกิดผลข้างเคียง และตอบสนองความต้องการของผู้เข้ารับการรักษาได้ โดยวิธีการเลือกวิธีรักษาสิวฮอร์โมนสามารถพิจารณาได้จากปัจจัย ดังต่อไปนี้
- ความรุนแรงของสิว
การเลือกวิธีสิวฮอร์โมนควรเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะกับความรุนแรงของสิว สำหรับสิวฮอร์โมนระดับปานกลางถึงรุนแรง มีการอักเสบหรือสิวหัวหนอง อาจต้องใช้ยารับประทานเพื่อปรับสมดุลฮอร์โมน แต่ในกรณีที่มีสิวรุนแรงมาก อาจต้องรับประทานยาร่วมกับการทำหัตถการทางการแพทย์ เป็นต้น
- สภาพผิวและปัญหาผิว
การเลือกวิธีสิวฮอร์โมนควรประเมินสภาพผิวและปัญหาผิวเฉพาะบุคคล ควรเลือกการรักษาให้เหมาะกับสภาพผิว เนื่องจากสิวแต่ละประเภทตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกันออกไป หากเลือกวิธีรักษาที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้สิวฮอร์โมนแย่ลงหรือเกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมาได้
- เพศและอายุ
ฮอร์โมนของแต่ละเพศและช่วงอายุมีระดับฮอร์โมนและบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกัน การตอบสนองต่อการรักษาจึงต่างกัน การเลือกวิธีสิวฮอร์โมนควรพิจารณาถึงอายุและเพศร่วมด้วย เพื่อให้สามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเองได้
- ความสะดวกและความพร้อมในการรักษา
ความสะดวกและความพร้อมของตัวเอง เพราะแม้ว่าวิธีการบางอย่างจะมีประสิทธิภาพหรือไม่สามารถปฏิบัติตามได้ต่อเนื่อง ก็อาจทำให้ผลการรักษาไม่ได้ประสิทธิภาพตามที่ควร ในกรณีที่ผู้เข้ารับการรักษามีเวลาจำกัดหรือไม่สะดวกมาพบแพทย์บ่อย อาจเลือกใช้วิธีที่สามารถดูแลต่อเนื่องได้เอง ถ้ามีความพร้อมการทำหัตถการอาจช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ประวัติการแพ้หรือการตอบสนองต่อยา
การเลือกวิธีรักษาสิวฮอร์โมนควรตรวจสอบอย่างรอบคอบว่าผู้เข้ารับการรักษามีประวัติการแพ้ยาหรือเคยมีอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยามาก่อนหรือไม่ เนื่องจากการใช้ยาบางชนิดอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ ระคายเคือง หรือผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ หากมีประวัติแพ้ยาชนิดใด ควรหลีกเลี่ยงและแจ้งแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อให้สามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมและไม่เป็นอันตราย
การเลือกวิธีการรักษาสิวฮอร์โมนควรพิจารณาหลายปัจจัยทั้งความรุนแรงของสิว อายุ สภาพผิว และประวัติการแพ้ยา รวมถึงความสะดวกและความพร้อม เพื่อให้ได้รับการรักษาสิวฮอร์โมนที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับตัวเอง แล้วไม่เป็นอันตราย

ทำไมต้องรักษาสิวฮอร์โมน
สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne) เป็นสิวที่พบได้บ่อย หากปล่อยปละละเลยอาจทำให้สิวฮอร์โมนอาจทำให้เกิดผลเสียในหลายด้านมากกว่าที่คิด ดังนั้นการรักษาสิวฮอร์โมนจึงมีความสำคัญในหลายด้าน ดังนี้
- ลดการอักเสบและป้องกันการเกิดสิวฮอร์โมนลุกลาม
มักมีลักษณะเป็นสิวอักเสบหรือสิวหัวช้าง หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำการรักษาอย่างถูกวิธี อาจทำให้เกิดสิวลุกลามและทำให้เกิดการเจ็บปวด มีโอกาสทำให้สิวลุกลาม เรื้อรัง และยากต่อการรักษาในอนาคตได้
- ลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นและรอยดำ
เป็นสิวอักเสบที่รุนแรง ทำให้หลังการเกิดสิวมักทิ้งรอยแผลเป็นและรอยดำบนผิว ซึ่งรอยต่าง ๆ เหล่านี้จะรักษาได้ยากและใช้เวลานาน และอาจต้องรักษาด้วยหัตถการเพื่อลดรอย การรักษาสิวฮอร์โมนตั้งแต่เริ่มเป็นโดยไม่ปล่อยให้ลุกลาม จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดรอยต่าง ๆ เหล่านี้ได้
- ควบคุมความผิดปกติของฮอร์โมน
ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมน ทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างสมดุลในบางกรณีการรักษา
- ช่วยเพิ่มความมั่นใจ และส่งผลต่อบุคลิกภาพ
การรักษาสิวฮอร์โมนอย่างเหมาะสม ส่งผลต่อบุคลิกภาพและความมั่นใจ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันได้
การรักษาสิวฮอร์โมนมีความสำคัญต่อทั้งสุขภาพผิว สุขภาพกาย และสุขภาพใจ ช่วยให้ผิวดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงการอักเสบเรื้อรัง ป้องกันรอยแผลเป็นและรอยดำอีกด้วย
สิวฮอร์โมนหายเองได้ไหม
สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne) เป็นสิวที่เกิดจากการที่ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล ทำให้มีโอกาสในการเกิดสิวเรื้อรัง การปล่อยให้สิวฮอร์โมนทิ้งไว้โดยไม่รักษาอย่างเหมาะสม อาจไม่หายเองได้ในระยะสั้น เนื่องจากฮอร์โมนยังคงส่งผลต่อการทำงานของต่อมไขมันและการอักเสบของผิวหนัง ซึ่งการรอให้หายเองโดยไม่รักษาอาจทำให้เกิดผลเสียตามมาได้หลายอย่าง ดังนั้นการรักษาอย่างเหมาะสมจะช่วยลดสิว ป้องกันการลุกลาม ฟื้นฟูผิว และปรับสมดุลฮอร์โมนให้ดีขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดได้หากรักษาสิวฮอร์โมนไม่ถูกต้อง
การรักษาสิวฮอร์โมน (Hormonal Acne) ที่ไม่ถูกวิธีหรือไม่เหมาะสม สามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลายด้าน โดยผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หากรักษาสิวฮอร์โมนไม่ถูกวิธี มีดังนี้
- สิวอักเสบรุนแรงขึ้นหรือกระจายเป็นวงกว้าง
- รอยแผลเป็นและรอยดำบนผิว
- ผลข้างเคียงจากยา หากรับประทานยาโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์อาจเกิดผลข้างเคียงตามมาได้มากมาย เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่เพิ่มมากขึ้น
- ผิวแพ้ง่ายหรือระคายเคือง เกิดการอักเสบ แห้ง ลอก หรือเกิดผื่น
- หากรักษาผิดวิธีจนสิวฮอร์โมนแย่ลง อาจทำให้เสียความมั่นใจ เกิดความเครียดที่เพิ่มมากขึ้นได้
การรักษาสิวฮอร์โมนอย่างไม่ถูกต้องไม่เพียงทำให้สิวไม่หาย แต่ยังอาจทำให้เกิดปัญหาผิว รอยแผลเป็น และผลกระทบต่อจิตใจได้ ดังนั้นการปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้การรักษาไม่เป็นอันตรายและมีประสิทธิภาพ
สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne) เกิดจากฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล จนกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันมากเกินไปจนทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบ โดยพบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่น วัยทำงาน หรือช่วงที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งสิวฮอร์โมนมักเกิดซ้ำ ๆ โดยพบได้บ่อยบริเวณคาง กราม ขากรรไกร และลำคอ การรักษาสิวประเภทนี้ทำได้ทั้งการใช้ยารับประทานและยาทาภายนอก การทำหัตถการทางการแพทย์ รวมถึงการปรับพฤติกรรมด้านการใช้ชีวิต หากปล่อยสิวฮอร์โมนไว้โดยไม่รักษาอย่างถูกวิธีอาจทิ้งรอยดำ รอยแดง หรือหลุมสิว ทำให้กระทบต่อความมั่นใจในระยะยาวได้ ดังนั้นหากเป็นสิวฮอร์โมนจึงควรปรึกษาแพทย์ตั้งแต่ต้น เพื่อหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตนเอง
*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

