ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง? รวมสิ่งที่ต้องรู้ก่อนฉีด
เมื่อพูดถึงหัตถการเติมเต็มผิว พร้อมยกกระชับปรับรูปหน้า คงหนีไม่พ้น “การฉีดฟิลเลอร์” ซึ่งเป็นหัตถการความงามที่ได้ความนิยมสูงมากในปัจจุบัน เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ มีคุณสมบัติในการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ยกกระชับปรับรูปหน้า และเพิ่มความอิ่มฟูให้กับผิว โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้นนาน โดยสามารถนำมาฉีดได้หลายบริเวณบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ขมับ คาง ใต้ตา และริมฝีปาก แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์จะให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และดูเป็นธรรมชาติ รวมถึง ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมาย แต่การฉีดฟิลเลอร์นั้น ก็มีข้อเสียที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจฉีดเช่นกัน
บทความนี้ รมย์รวินท์คลินิกจะพาไปเจาะลึกทุกแง่มุมของการฉีดฟิลเลอร์ ตั้งแต่ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ ไปจนถึงข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ที่ควรระวัง เพื่อให้ได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วนก่อนตัดสินใจทำการฉีดฟิลเลอร์ค่ะ
เจาะลึกข้อดี-ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ อันตรายไหม? อัปเดต 2025
การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อดีอะไร?
การฉีดฟิลเลอร์ นอกจากจะช่วยในการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และยกกระชับปรับรูปหน้าแล้ว ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้การฉีดการฉีดฟิลเลอร์ ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ มีดังนี้
- ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ สามารถเห็นผลลัพธ์หลังฉีด
หนึ่งในข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ที่มีความโดดเด่น คือ สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้หลังฉีด โดยสาร Hyaluronic Acid (HA) จะเข้าไปเติมเต็ม เพิ่มปริมาตรให้ผิว และยกกระชับปรับรูปหน้าหลังฉีดเสร็จ ซึ่งจะเห็นได้เลยว่า ผิวหน้ามีความอิ่มฟู ริ้วรอย ร่องลึกดูตื้นขึ้น รวมถึง ใบหน้าดูเข้ารูป มีสัดส่วนที่สมดุล
- ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ ใช้เวลาในการฉีดไม่นาน
การฉีดฟิลเลอร์ โดยปกติแล้ว จะใช้เวลาในการฉีดไม่นาน ประมาณ 15 – 30 นาทีเท่านั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีด และปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ มีขั้นตอนในการฉีดที่ไม่ซับซ้อน และไม่ต้องผสมตัวยาก่อนฉีด จึงมีความสะดวกสบายในการใช้งาน ทำให้ใช้ระยะเวลาในการฉีดไม่นาน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมเต็ม หรือยกกระชับปรับรูปหน้า แต่มีเวลาจำกัด
- ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ สามารถย่อยสลายได้เอง
เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) ไม่เสี่ยงอันตราย เมื่อฉีดไปแล้ว สามารถย่อยสลายได้เองตามกระบวนการของร่างกาย โดยส่วนใหญ่ จะคงอยู่ได้นาน ประมาณ 6 – 18 เดือนหลังฉีด ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้ บริเวณที่ฉีด และการดูแลตัวเองหลังฉีด ซึ่งจะไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในชั้นผิว จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง หรือปัญหาผิวอื่น ๆ ในอนาคต
- ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ ไม่ต้องพักฟื้นนานหลังฉีด
การฉีดฟิลเลอร์ ไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนาน หลังฉีดเสร็จสามารถกลับไปทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ซึ่งแตกต่างจากการผ่าตัดศัลยกรรมที่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นหลายวัน ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์ จึงเป็นทางเลือกที่สะดวกสบาย เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการพักฟื้นนานหลังฉีด
- ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ สามารถแก้ไขง่ายหากไม่พอใจผลลัพธ์
การฉีดฟิลเลอร์ที่มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) สามารถแก้ไขได้ง่าย หากยังไม่พอใจในผลลัพธ์ที่ได้ เช่น ต้องการฉีดเพิ่มเมื่อผลลัพธ์เริ่มลดลง หรือต้องการฉีดสลายออกก็สามารถทำได้ โดยไม่เป็นอันตรายใด ๆ ซึ่งการฉีดสลายการฉีดฟิลเลอร์นั้น จะใช้เอนไซม์ Hyaluronidase ในการเข้าไปทำปฏิกิริยากับสาร HA ในฟิลเลอร์ โดยจะทำลายการยึดเกาะ และลดการอุ้มน้ำ จึงทำให้ฟิลเลอร์ค่อย ๆ สลายตัวไป จนผิวกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิม
- ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ สามารถปรับแต่งได้หลายบริเวณบนใบหน้า
การฉีดฟิลเลอร์ สามารถปรับแต่ง หรือฉีดได้หลายบริเวณบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นหน้าผาก ขมับ หน้าแก้ม ร่องแก้ม ใต้ตา คาง หรือริมฝีปาก ซึ่งการฉีดในแต่ละบริเวณจะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ และเทคนิคในการฉีดที่แตกต่างกันออกไป จึงสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ยกกระชับปรับรูปหน้า หรือเพิ่มปริมาตรให้ผิวเฉพาะจุด
การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อเสียอะไร?
การฉีดฟิลเลอร์ แม้จะมีข้อดีให้เห็นมากมาย แต่ก็มีข้อเสียที่ควรพิจารณาก่อนฉีดเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทำการฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน แพทย์ที่ไม่มีความรู้ในการฉีด อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ โดยข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ส่วนใหญ่ มีดังนี้
- ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ จะให้ผลลัพธ์ไม่ถาวร
การฉีดฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) จะให้ผลลัพธ์ที่ไม่ถาวร โดยส่วนใหญ่ จะสามารถคงผลลัพธ์ได้ ประมาณ 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้ บริเวณที่ฉีด และการดูแลตัวเอง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป สาร HA ในการฉีดฟิลเลอร์จะค่อย ๆ สลายตัวไปเอง ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ค่อย ๆ ยุบตัวลง จึงต้องมีการฉีดฟิลเลอร์ซ้ำเป็นประจำ เพื่อคงสภาพผลลัพธ์ให้สวยงามในระยะยาว
- ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ มีความเสี่ยงหากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่ชำนาญ
การฉีดฟิลเลอร์มีความเสี่ยง หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ การฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่ง หรือเลือกเนื้อของฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสมกับบริเวณที่ฉีด อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงอันตรายต่อใบหน้าได้ เช่น ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อน ใบหน้าผิดรูป หรือเสี่ยงต่อการอุดตันในเส้นเลือด จนถึงขั้นตาบอดได้เลยทีเดียว
- ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ มีความเสี่ยงหากใช้การฉีดฟิลเลอร์ปลอม
การฉีดฟิลเลอร์มีความเสี่ยง หากใช้ฟิลเลอร์ปลอมประเภทซิลิโคนเหลว หรือพาราฟินในการนำมาฉีดเข้าสู่ผิวหน้า ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ปลอมนั้น ใช้สารที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้ผ่านการรับรองจาก อย. และไม่สามารถย่อยสลายได้เอง จึงเกิดการตกค้างอยู่ในชั้นผิวแบบถาวร ต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัด เพื่อนำฟิลเลอร์ออกเท่านั้น ไม่สามารถฉีดสลายได้เหมือนการฉีดฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA)
การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อจำกัดอะไร?
การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อจำกัดสำหรับบุคคลในบางกลุ่ม ซึ่งหากฉีดการฉีดฟิลเลอร์เข้าไป อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ โดยผู้ที่ไม่เหมาะสำหรับการฉีดการฉีดฟิลเลอร์ มีดังนี้
- การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้สารประกอบ Hyaluronic Acid (HA) ในการฉีดฟิลเลอร์
- การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับ ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ และให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์
- การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหนังอักเสบ เป็นผื่นแพ้ หรือลมพิษ ควรรอให้อาการหายดีก่อน
- การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกง่าย หรือรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
- การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ขั้นรุนแรง ควรหลีกเลี่ยงการฉีดการฉีดฟิลเลอร์ไปก่อน
- การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีโรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน
ทั้งนี้ ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ
รู้จัก การฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร?
การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารเติมเต็มกลุ่ม Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นมา เพื่อเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์ มีคุณสมบัติเด่นในการกักเก็บความชุ่มชื้น และอุ้มน้ำไว้ในชั้นผิว โดยการฉีดฟิลเลอร์นั้น ถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์ความงามมาอย่างยาวนาน เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้หลายรูปแบบ เช่น เติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ยกกระชับปรับรูปหน้า รวมถึง เพิ่มปริมาตรให้ผิวในบริเวณที่ผิวหนังเสื่อมสภาพ หรือเกิดการยุบตัวลงตามวัย เมื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าไปยังผิวหนังแล้ว สาร HA จะเข้าไปเติมเต็มผิวหน้า ทำให้ผิวเรียบเนียน อิ่มฟู และอ่อนเยาว์อย่างดูเป็นธรรมชาติ
ฉีดฟิลเลอร์ ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?
การฉีดฟิลเลอร์ สามารถฉีดได้หลายบริเวณของใบหน้า เพื่อช่วยในการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และยกกระชับปรับรูปหน้าให้มีสัดส่วนที่สมดุล โดยบริเวณที่นิยมฉีดฟิลเลอร์ มีดังนี้
- การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 3 – 5 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
- การฉีดฟิลเลอร์ขมับ จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 2 – 4 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
- การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 2 – 4 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแแต่ละบุคคล
- การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 2 – 4 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
- การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 3 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
- การฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 2 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
- การฉีดฟิลเลอร์ปาก จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 2 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
- การฉีดฟิลเลอร์คาง จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 2 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
การฉีดฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ มีข้อดีอะไรบ้าง?
การฉีดฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ มีข้อดีที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็ถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกันไป โดยข้อดี หรือจุดเด่นของการฉีดฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ ที่ได้รับการรับรองจาก อย. มีดังนี้
- การฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane เป็นฟิลเลอร์ที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท Galderma ซึ่งมีการพัฒนามาอย่างยาวนานกว่า 25 ปี และถูกใช้งานในวงการแพทย์ความงามมามากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก จึงไม่เสี่ยงอันตราย ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. ซึ่ง ฟิลเลอร์ Restylane จะใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต ได้แก่ NASHA Technology และ OBT Technology ทำให้เนื้อเจลมีความเรียบเนียน ทนต่อแรงขยับได้ดี และมีความเป็นธรรมชาติสูง ไม่ไหลไม่เป็นก้อนได้ง่าย ซึ่งมีหลากหลายรุ่นให้เลือกใช้ ตามความเหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล
- การฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm เป็นฟิลเลอร์ที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท Allergan ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการผลิตฟิลเลอร์มายาวนานกว่า 36 ปี และถูกใช้งานในวงการแพทย์ความงามมามากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก จึงไม่เสี่ยงอันตราย ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. ซึ่งฟิลเลอร์ Juvederm มีการใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต ได้แก่ Hylacross Technology และ Vycross Technology สามารถนำมาฉีดเพื่อยกกระชับผิวได้ดี และมีความคงทนสูงมาก สามารถคงอยู่ได้ยาวนาน อีกทั้ง ยังมีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) จึงช่วยลดความรู้สึกเจ็บขณะฉีดได้ โดยฟิลเลอร์ Juvederm มีหลากหลายรุ่นให้เลือกใช้ ตามความเหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล
- การฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero เป็นฟิลเลอร์ที่ถูกพัฒนาโดย Merz Aesthetics ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. จึงไม่เสี่ยงอันตราย ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย ซึ่งฟิลเลอร์ Belotero มีการใช้ CPM Technology ในการผลิต มาพร้อมกับ 3 จุดเด่น ได้แก่ Cohesivity ทำให้ฟิลเลอร์สามารถยึดเกาะได้ดี, Elasticity ทำให้ฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นสูง และ Plasticity ทำให้กฟิลเลอร์สามารถปั้นทรงง่าย เมื่อฉีดฟิลเลอร์ Belotero เข้าไปแล้ว เนื้อเจลจะเรียบเนียนไปกับผิวอย่างกลมกลืน ไม่เป็นก้อนง่าย โดยฟิลเลอร์ Belotero มีหลากหลายรุ่นให้เลือกใช้ ตามความเหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์
- ก่อนเริ่มทำการฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะทำการประเมินใบหน้า และสอบถามถึงปัญหาที่ต้องการแก้ไข เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม
- แพทย์จะแนะนำยี่ห้อ และเนื้อของฟิลเลอร์ที่เหมาะสม กับบริเวณที่ต้องการแก้ไข
- เริ่มทำความสะอาดใบหน้า เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังฉีด
- ทายาชา หรือฉีดยาชาเข้าไปยังบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์ เพื่อลดความเจ็บขณะฉีด
- เข้าสู่ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะทำการฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณที่ต้องการปรับปรุง โดยใช้เทคนิคในการฉีดที่เหมาะสม เพื่อให้สาร HA ในฟิลเลอร์กระจายตัวอย่างทั่วถึง
- เมื่อฉีดเสร็จ แพทย์จะแนะนำวิธีการปฏิบัติตัวหลังฉีด เพื่อให้สาร HA ในการฉีดฟิลเลอร์อยู่ได้นาน และหลีกเลี่ยงการเกิดผลข้างเคียง
ข้อควรระวังหลังทำการฉีดฟิลเลอร์
- หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงการสัมผัส หรือกดทับในบริเวณที่ทำการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัว
- หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดการออกกำลังกายอย่างหนัก เพื่อป้องกันอาการบวมช้ำ
- หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันรอยช้ำหลังฉีด
- หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดการสัมผัสความร้อน เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ หรือตากแดด เพื่อป้องกันอาการบวมแดงหลังฉีด
- หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดการผลัดเซลล์ผิว เพื่อป้องกันการระคายเคืองหลังฉีด
- หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดการใช้เครื่องสำอาง หรือแต่งงานในบริเวณที่ฉีด ประมาณ 24 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดการเลเซอร์ความร้อนทุกชนิด ประมาณ 1 เดือนหลังฉีด เพื่อป้องกันการสลายตัวเร็ว
ผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์
ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยหลังจากทำการฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นผลข้างเคียงทั่วไปที่ไม่เป็นอันตราย และสามารถหายได้เอง โดยหลังทำการฉีดฟิลเลอร์มีผลข้างเคียงเกิดขึ้น ดังนี้
- อาการบวมแดงหลังฉีด ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยในบริเวณที่ฉีด โดยจะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 1 – 3 วันหลังฉีด
- รอยฟกช้ำหลังฉีด ซึ่งอาจเกิดขึ้นในบางกรณี โดยเฉพาะผู้ที่ช้ำง่าย หรือมีเส้นเลือดฝอยเยอะ ซึ่งรอยเขียวช้ำจะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด
- อาการปวดตึงหลังฉีด ซึ่งในบริเวณที่ฉีดอาจรู้สึกตึง ๆ หรือปวดระบมในบริเวณที่ฉีดได้ โดยจะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 1 สัปดาห์หลังฉีด
Q&A รวมคำถามเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์
หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ กี่วันเข้าที่?
- การฉีดฟิลเลอร์ สามารถเห็นผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด แต่จะเห็นผลอย่างเต็มที่ เมื่ออาการบวมค่อย ๆ ลดลง และเนื้อฟิลเลอร์ค่อย ๆ กลืนเข้ากับผิวอย่างดูเป็นธรรมชาติ ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์หลังฉีด แนะนำให้ดูแลตัวเอง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ ไม่ควรรับประทานอะไร?
หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ ควรงด หรือหลีกเลี่ยงอาหารในบางประเภท เพื่อป้องกันการอักเสบ ติดเชื้อ หรือบวมช้ำหลังฉีด โดยอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง มีดังนี้
- หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เผ็ดจัด หรือเค็มจัด อย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังฉีด เพื่อป้องกันการอักเสบ หรือการระคายเคืองในบริเวณที่ฉีด
- หลีกเลี่ยงอาหารดิบ หรือหมักดอง อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด เพื่อป้องกันการอักเสบ หรือติดเชื้อในบริเวณที่ฉีด
- หลีกเลี่ยงอาหารปิ้งย่าง หรือชาบูที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้สารสลายตัวเร็ว
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท อย่างน้อย 2 – 3 วันหลังฉีด เพื่อป้องกันรอยช้ำ หรืออาการบวมในบริเวณที่ฉีด
การฉีดฟิลเลอร์ อันตรายไหม?
- โดยทั่วไป ฟิลเลอร์ ถือเป็นสารเติมเต็มไม่เสี่ยงอันตราย หากใช้ฟิลเลอร์แท้ผ่านการรับรองจาก อย. และฉีดโดยแพทย์ ซึ่งอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ ส่วนใหญ่มาจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม การฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่มีคุณภาพ ฉีดโดยหมอเถื่อน แพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ ภายในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เกิดอันตรายต่อใบหน้าได้ เช่น เกิดการอุดตันเส้นเลือด เกิดเนื้อตาย หรือถึงขั้นตาบอดได้
หลังทำการฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน เกิดจากอะไร?
หลังทำการฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากการฉีดฟิลเลอร์แท้ และการฉีดฟิลเลอร์ปลอม รวมถึง เทคนิคในการฉีดของแพทย์ที่ไม่ถูกต้อง โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้
- ฉีดผิดชั้นผิว การฉีดฟิลเลอร์ควรฉีดให้ถูกชั้นผิวในตำแหน่งที่เหมาะสม หากฉีดตื้นเกินไป อาจทำให้เกิดก้อนแข็งใต้ผิวหนังได้
- เลือกเนื้อไม่เหมาะกับบริเวณที่ฉีด ซึ่งเนื้อของฟิลเลอร์แต่ละประเภท จะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป หากเลือกการฉีดฟิลเลอร์เนื้อแข็งไปฉีดบริเวณผิวชั้นตื้น ก็อาจทำให้เกิดการจับตัวเป็นก้อนได้ง่าย
- ใช้ปริมาณมากเกินไป หากใช้การฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้สารกระจายตัวไม่ดี และกองรวมกันเป็นก้อนได้
หลังทำการฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน แก้ไขได้อย่างไร?
- หลังทำการฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดสลาย โดยการใช้เอนไซม์ Hyaluronidase ในการสลายสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid (HA) เพื่อแก้ไขปัญหาฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน รฉีดฟิลเลอร์แล้วผิดรูป หรือฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่พอใจในผลลัพธ์ ซึ่งการฉีดสลายฟิลเลอร์ จะทำให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียนเป็นปกติเหมือนเดิม
การฉีดฟิลเลอร์ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่หลาย ๆ คนต่างให้ความสนใจ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และยกกระชับปรับรูปหน้า โดยที่ไม่ต้องพักฟื้น และไม่ต้องผ่าตัดหลังฉีด โดยข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์นอกจากจะเห็นผลลัพธ์หลังทำแล้ว ยังไม่เสี่ยงอันตราย ฉีดได้เกือบทุกบริเวณ และสามารถย่อยสลายได้ตามกระบวนการของร่างกาย รวมถึง แก้ไขได้ง่ายหากไม่พอใจ ดังนั้น สำหรับใครที่สนใจเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และยกกระชับปรับรูปหน้าด้วยการฉีดฟิลเลอร์ แนะนำให้ศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจ หรือสามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้ที่รมย์รวินท์คลินิก
*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด