ผิวแห้งคืออะไร? เกิดจากอะไร? มีวิธีป้องกัน และดูแลอย่างไร?

ผิวแห้งคืออะไร

ผิวแห้งเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย และสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะด้วยอายุที่มากขึ้น สภาพอากาศที่หนาวเย็น และพฤติกรรมการใช้ชีวิต นอกจากจะทำให้ผิวแห้งตึง หยาบกร้าน และลอกเป็นขุยแล้ว ยังอาจนำไปสู่ริ้วรอย และผิวหย่อนคล้อยก่อนวัยได้ง่าย บทความนี้ จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับผิวแห้งแบบเจาะลึก พร้อมบอกสาเหตุ วิธีดูแล และป้องกันผิวแห้งอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผิวกลับมาชุ่มชื้น และดูสุขภาพดีอีกครั้ง

 

ผิวแห้งคืออะไร?
ผิวแห้งคืออะไร?

 

ผิวแห้งคืออะไร?

ผิวแห้ง (Dry Skin) คือ สภาพผิวหนังที่แห้งกร้านจากการที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมัน (Sebum) ออกมาน้อยลง ทำให้เยื่อหุ้มผิวชั้นนอกสุด (Stratum Corneum) ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้เพียงพอ และสูญเสียความสมดุล ส่งผลให้ผิวหยาบกร้าน ขาดความยืดหยุ่น ดูไม่ชุ่มชื้น ลอกเป็นขุย และระคายเคืองได้ง่าย นอกจากนี้ผิวแห้งยังเป็นสาเหตุของเกิดริ้วรอย และร่องลึกก่อนวัย หากปล่อยทิ้งไว้นาน และไม่ดูแลผิวอย่างเหมาะสม อาจทำให้ผิวยิ่งแห้งตึง และเกิดปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมาได้

 

ผิวแห้งมีลักษณะอย่างไร?

ผิวแห้งมีลักษณะอาการที่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ดังนี้

  • ผิวแห้งตึง โดยจะรู้สึกได้ว่าผิวมีความแห้งตึง และไม่สบายผิวเล็กน้อย ซึ่งสังเกตเห็นได้ชัดหลังจากล้างหน้าเสร็จ
  • ผิวหยาบกร้าน โดยจะรู้สึกได้ว่าผิวมีความหยาบกร้าน สัมผัสผิวแล้วดูสาก ไม่เรียบเนียน และขาดความนุ่มชุ่มชื้น
  • ผิวลอกเป็นขุย ในกรณีที่มีผิวแห้งมากจะสังเกตเห็นได้ว่าผิวดูลอกเป็นขุย แตกลาย หรือมีสะเก็ดเล็ก ๆ บนใบหน้า ซึ่งเกิดจากผิวขาดความชุ่มชื้นอย่างรุนแรง
  • รู้สึกคัน โดยจะรู้สึกได้ว่ามีอาการคัน ผื่นแดง และรู้สึกระคายเคืองอย่างต่อเนื่องบริเวณผิวหนัง ซึ่งเกิดจากผิวขาดความชุ่มชื้นอย่างรุนแรง

 

ผิวแห้งมีกี่ระดับ?
ผิวแห้งมีกี่ระดับ?

 

ผิวแห้งมีกี่ระดับ?

ผิวแห้งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ตามลักษณะความรุนแรงของอาการ ดังนี้

  • ผิวแห้งเล็กน้อย

ผิวแห้งเล็กน้อย เป็นระดับอาการที่พบได้บ่อย โดยจะมีลักษณะผิวที่ดูหยาบกร้าน รู้สึกสากผิว ไม่สบายผิว และตึงผิวเล็กน้อย ซึ่งโดยส่วนใหญ่เกิดจากอากาศเปลี่ยนแปลง หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว

  • ผิวแห้งปานกลาง

ผิวแห้งปานกลาง เป็นระดับอาการที่มีความชัดเจนมากขึ้นกว่าระดับแรก โดยจะมีลักษณะผิวดูหยาบกร้าน ขาดความชุ่มชื้น เริ่มมีอาการลอกเป็นขุย และรู้สึกคันร่วมด้วย 

  • ผิวแห้งมาก

ผิวแห้งมาก เป็นระดับอาการที่ผิวถูกทำลายอย่างรุนแรง โดยจะมีลักษณะผิวดูแห้งตึงอย่างชัดเจน มีอาการลอกเป็นขุย แตกลาย และตกสะเก็ดหนักขึ้น รวมถึงรู้สึกแสบผิว และมีอาการคันมาก ร่วมกับมีผื่นแดง และระคายเคืองอย่างต่อเนื่อง

 

ผิวแห้งเกิดจากอะไร?
ผิวแห้งเกิดจากอะไร?

 

ผิวแห้งเกิดจากอะไร?

ผิวแห้งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้

  • พันธุกรรม

พันธุกรรม เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งได้ เนื่องจากลักษณะเฉพาะของต่อมไขมันที่ผลิตน้ำมัน (Sebum) ออกมาได้น้อยกว่าคนทั่วไป ซึ่งเป็นลักษณะที่มีมาแต่กำเนิด และสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้โดยตรง หากพบว่ามีสมาชิกในครอบครัวมีผิวแห้ง ก็มีแนวโน้มสูงว่าบุคคลนั้นจะมีผิวแห้งตามไปด้วย

  • อายุมากขึ้น

อายุมากขึ้น เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งได้ เนื่องจากการผลิตน้ำมัน (Sebum) ของผิวจะค่อย ๆ ลดน้อยลง รวมถึงเกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง และกระบวนการผลัดเซลล์ผิวทำงานช้าลง ส่งผลให้ผิวดูหยาบกร้าน แห้งตึง และสูญเสียน้ำได้ง่าย

  • ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งได้ เนื่องจากในช่วงวัยหมดประจำเดือนของผู้หญิง ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) จะลดน้อยลง ทำให้ผิวผลิตน้ำมัน (Sebum) น้อยลงตามไปด้วย ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน และขาดความชุ่มชื้นได้ง่าย

  • สภาพอากาศหนาว และแห้ง

สภาพอากาศหนาว และแห้ง เช่น อยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งได้ เนื่องจากอากาศหนาวจะดึงความชุ่มชื้นออกจากผิว ทำให้ผิวแห้งตึง ลอกเป็นขุย และดูหยาบกร้านได้ง่าย

  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงต่อผิว

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงต่อผิว เช่น โฟมล้างหน้าที่มีฤทธิ์เป็นด่างสูง สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ รวมถึงสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ AHA หรือ BHA เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งได้ เนื่องจากผิวเสียสมดุล และเกราะป้องกันผิวถูกทำลาย ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น และไวต่อการระคายเคืองได้ง่าย

  • ล้างหน้าด้วยน้ำร้อน

การล้างหน้าด้วยน้ำร้อนเป็นประจำ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งได้ เนื่องจากน้ำร้อนจะดึงน้ำมัน (Sebum) ตามธรรมชาติของผิวออกไป ทำให้เกราะป้องผิวถูกทำลาย และทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย ส่งผลให้ผิวแห้งตึง ระคายเคือง หรือมีอาการคัน ลอกเป็นขุยร่วมด้วย

  • ดื่มน้ำน้อย

การดื่มน้ำน้อย หรือดื่มน้ำไม่เพียงพอ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งได้ เนื่องจากน้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อเซลล์ผิว เมื่อร่างกายขาดน้ำ ผิวก็จะสูญเสียความชุ่มชื้น ทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอ และกระบวนการผลัดเซลล์ผิวทำงานช้าลง ส่งผลให้ผิวแห้งตึง และหยาบกร้านได้ง่าย

  • พักผ่อนไม่เพียงพอ

การพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งได้ เนื่องจากกระบวนการฟื้นฟูเซลล์ผิวทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอ และผิวสูญเสียความชุ่มชื้นง่ายขึ้น ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน ดูหมองคล้ำ และขาดความยืดหยุ่น

  • ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่

การดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งได้ เนื่องจากแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียความชุ่มชื้น และทำให้เซลล์ผิวอ่อนแอได้ง่าย ในขณะที่บุหรี่มีสารพิษที่ทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินในผิว ทำให้ผิวหยาบกร้าน แห้งตึง และขาดความยืดหยุ่นได้ง่าย

  • มีปัญหาโรคผิวหนัง

การมีปัญหาสุขภาพ หรือมีปัญหาโรคผิวหนัง เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งได้ เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง โรคสะเก็ดเงิน โรคไทรอยด์ หรือโรคเบาหวาน เนื่องจากโรคเหล่านี้มักมาพร้อมกับอาการผิวแห้งกร้าน แตกลอก และคันเป็นจุด ๆ ตามร่างกาย 

 

ผิวแห้งส่งผลเสียอย่างไร?

การมีผิวแห้งนอกจากจะทำให้สูญเสียความมั่นใจแล้ว ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพผิวในระยะยาวด้วย ดังนี้

  • ริ้วรอยก่อนวัย เนื่องจากการมีผิวแห้งกร้าน และสูญเสียน้ำ จะทำให้มีริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าผิวที่ชุ่มชื้น เมื่อผิวแห้งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ริ้วรอยเหล่านั้นอาจพัฒนาเป็นร่องลึกถาวรได้
  • ผิวหย่อนคล้อย เนื่องจากการมีผิวแห้งกร้าน จะทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นตามไปด้วย ส่งผลให้โครงสร้างผิวอ่อนแอ และเสื่อมสภาพ จนเกิดความหย่อนคล้อยได้
  • ผิวหมองคล้ำ เนื่องจากการมีผิวแห้งกร้าน จะทำให้กระบวนการผลัดเซลล์ผิวทำงานช้าลง ส่งผลให้ผิวดูหมองคล้ำ และไม่สดใสได้
  • ผิวบอบบาง แพ้ง่าย เนื่องจากการมีผิวแห้งกร้าน และสูญเสียน้ำอย่างต่อเนื่อง จะทำให้เกราะป้องผิวอ่อนแอ และบอบบางลง ส่งผลให้ผิวไวต่อการระคายเคือง และแพ้ง่ายกว่าปกติ

 

ผิวแห้งมีวิธีดูแลอย่างไร?
ผิวแห้งมีวิธีดูแลอย่างไร?

 

ผิวแห้งมีวิธีดูแลอย่างไร?

การมีผิวแห้งสามารถดูแลผิวให้กลับมาชุ่มชื้นได้หลายวิธี ดังนี้

  • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสม่ำเสมอ โดยการบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid), เซราไมด์ (Ceramide), กลีเซอรีน (Glycerin) หรือวิตามินอี (Vitamin E) เพื่อช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น และเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง
  • ล้างหน้าอย่างอ่อนโยน โดยการเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีค่า pH เป็นกลาง และปราศจากส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ หรือน้ำหอม เพื่อไม่ให้ผิวแห้งตึงหลังล้างหน้า รวมทั้งควรล้างหน้าด้วยน้ำอุณหภูมิปกติแทนการใช้น้ำร้อน
  • ใช้ครีมกันแดดทุกวัน โดยการเลือกครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป และ PA +++ ทาบริเวณทั่วใบหน้า และลำคอก่อนออกแดดอย่างน้อย 15 – 30 นาที รวมถึงทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้ผิวแห้งกร้าน และสูญเสียน้ำ
  • มาสก์หน้าเป็นประจำ โดยการเลือกประเภทมาสก์ที่เหมาะกับสภาพผิว และมีส่วนผสมของสารที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เช่น ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid), เซราไมด์ (Ceramide) หรือกลีเซอรีน (Glycerin) เพื่อให้ผิวได้รับการบำรุงอย่างเข้มข้นจากภายใน
    • ดื่มน้ำให้มาก ๆ โดยการจิบน้ำบ่อย ๆ ตลอดทั้งวันอย่างน้อย 7 – 8 แก้วต่อวัน เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว และป้องกันผิวสูญเสียน้ำ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยการเลือกอาหารที่อุดมไปด้วยสารที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว เช่น โอเมก้า 3 (Omega 3) หรือวิตามินอี (Vitamin E) ซึ่งจะพบได้บ่อยในปลาแซลมอน ปลาทูน่า อะโวคาโด ถั่ว  อัลมอนด์ เมล็ดเจีย เมล็ดทานตะวัน หรือน้ำมันมะกอก
  • พักผ่อนให้เพียงพอ โดยการพักผ่อนอย่างน้อย 7 – 8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ผิวได้ฟื้นฟูตัวเองขณะนอนหลับ ซึ่งช่วยให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรง และผิวสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีมากขึ้น รวมถึงป้องกันการสูญเสียน้ำ

 

รวมหัตถการกู้ผิวแห้ง เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
รวมหัตถการกู้ผิวแห้ง เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

 

รวมหัตถการกู้ผิวแห้ง เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

การทำหัตถการทางการแพทย์ สามารถแก้ปัญหาผิวแห้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งโดยทั่วไปหัตถการที่ได้รับความนิยมในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว มีดังนี้

  • Rejuran

Rejuran เป็นหัตถการที่จัดอยู่ในกลุ่ม Skin Booster ที่ใช้ส่วนประกอบของ Polynucleotide (PN) บริสุทธิ์ที่สกัดจาก DNA ของปลาแซลมอน ซึ่งมีคุณสมบัติในการซ่อมแซม และฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสียหาย พร้อมทั้งเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง ทำให้ผิวดูฉ่ำวาว เรียบเนียน กระจ่างใส และมีความชุ่มชื้นจากภายใน โดยจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งกร้าน ไม่เรียบเนียน ผิวดูโทรม หมองคล้ำ และขาดการบำรุง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด Rejuran จะอยู่ได้นานประมาณ 3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเอง

  • Plinest

Plinest เป็นหัตถการที่จัดอยู่ในกลุ่ม Skin Booster ที่ใช้ส่วนประกอบของ Polynucleotide (PN) บริสุทธิ์ที่สกัดจาก DNA ของปลาเทราต์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการฟื้นฟูเซลล์ผิว เติมเต็ม และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน พร้อมทั้งเพิ่มความชุ่มชื้น และลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น เรียบเนียน กระจ่างใส และดูชุ่มชื้นจากภายใน โดยจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง หยาบกร้าน ไม่เรียบเนียน รูขุมขนกว้าง ผิวดูโทรม และอ่อนแอ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด Plinest จะอยู่ได้นานประมาณ 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเอง

  • Belotero Revive

Belotero Revive เป็นหัตถการที่จัดอยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์งานผิวที่ใช้ส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) ผสานกับกลีเซอรอล (Glycerol) ซึ่งมีคุณสมบัติในการปรับสภาพผิว เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และฟื้นฟูคุณภาพผิวจากภายใน ทำให้ผิวดูฉ่ำวาว อิ่มน้ำ เรียบเนียน กระชับ และดูอ่อนกว่าวัยอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ  โดยจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ ดูโทรม ไม่สดใส รูขุมขนกว้าง และมีหลุมสิวตื้น ๆ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด Belotero Revive จะอยู่ได้นานประมาณ 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเอง

  • Dorothy Dewy

Dorothy Dewy เป็นหัตถการที่จัดอยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์งานผิวที่ใช้ส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) อนุภาคเล็ก < 100  ไมครอน ซึ่งมีคุณสมบัติในการกักเก็บความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว และฟื้นฟูคุณภาพผิวจากภายใน ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว แน่นกระชับ เรียบเนียน และดูสุขภาพดีอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ โดยจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหน้าโทรม แห้งกร้าน ขาดความยืดหยุ่น รูขุมขนกว้าง และมีหลุมสิวตื้น ๆ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด Dorothy Dewy จะอยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเอง

  • Profhilo

Profhilo เป็นหัตถการที่จัดอยู่ในกลุ่มกระตุ้นคอลลาเจนที่ใช้ส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) แบบไม่เชื่อมพันธะ หรือ Non-Crosslinked HA ซึ่งมีคุณสมบัติในการฟื้นฟูโครงสร้างผิวในทุกชั้นผิว (ฺBio-Remodeling) และกระตุ้นการทำงานของเซลล์ต่าง ๆ รวมไปถึงเซลล์ไฟโบรบลาสต์ ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนมากถึง 4 ชนิด ได้แก่ คอลลาเจนชนิดที่ 1, คอลลาเจนชนิดที่ 3, คอลลาเจนชนิดที่ 4 และคอลลาเจนชนิดที่ 7 ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ แน่นกระชับ เรียบเนียน ชุ่มชื้น และดูสุขภาพดีจากภายใน โดยจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ ดูหมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง ผิวไม่กระชับ มีริ้วรอยเล็ก ๆ และมีความหย่อนคล้อยเล็กน้อย ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด Profhilo จะอยู่ได้นานประมาณ 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเอง

  • Karisma Rh Collagen

Karisma Rh Collagen เป็นหัตถการที่จัดอยู่ในกลุ่มกระตุ้นคอลลาเจนที่ใช้ส่วนประกอบของ Collagen Polypeptide a1 Chain R (Rh Collagen) ผสานกับ High Molecular Weight Hyaluronic Acid (HMW – HA) และ Carboxymethylcellulose (CMC) ซึ่งมีคุณสมบัติในการเติมเต็ม เพิ่มความยืดหยุ่น และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว รวมถึงทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1 พร้อมด้วยคอลลาเจนชนิดที่ 2 และคอลลาเจนชนิดที่ 3 ทำให้ได้คอลลาเจนที่สมบูรณ์ในระยะยาว ส่งผลให้ผิวดูชุ่มชื้น อิ่มฟู เรียบเนียน กระชับ และดูสุขภาพดีอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ โดยจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งกร้าน หมองคล้ำ ผิวไม่กระชับ รูขุมขนกว้าง และมีหลุมสิวตื้น ๆ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด Karisma Rh Collagen จะอยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเอง

  • Sculptra

Sculptra เป็นหัตถการที่จัดอยู่ในกลุ่มกระตุ้นคอลลาเจนที่ใช้ส่วนประกอบของ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ร่วมกับ Carboxymethylcellulose (CMC) และ Mannitol ซึ่งมีคุณสมบัติในการฟื้นฟูโครงสร้างผิวชั้นลึก ลดเลือนริ้วรอย และเพิ่มหนาแน่นให้ผิว รวมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1 และยกกระชับผิวบริเวณที่หย่อนคล้อย ทำให้ผิวมีความแข็งแรง ยืดหยุ่น กระชับ เต่งตึง ชุ่มชื้น และดูสุขภาพดีในระยะยาว โดยจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ร่องลึก ผิวหลวม ไม่กระชับ แห้งกร้าน รูขุมขนกว้าง และไม่เรียบเนียน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด Sculptra จะอยู่ได้นานประมาณ 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเอง

 

วิธีป้องกันผิวแห้ง

การมีผิวแห้งสามารถป้องกันได้หลายวิธี ดังนี้

  • ใช้มอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ

การใช้มอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ สามารถป้องกันผิวแห้งได้ โดยการเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid), เซราไมด์ (Ceramide), กลีเซอรีน (Glycerin) หรือวิตามินอี (Vitamin E) ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง 

  • ทาครีมกันแดดทุกวัน

การทาครีมกันแดดทุกวัน สามารถป้องกันผิวแห้งได้ โดยการเลือกครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป และ PA +++ ทาทั่วใบหน้า และลำคอก่อนออกแดดอย่างน้อย 15 – 30 นาที เพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้ผิวแห้งกร้าน คล้ำเสีย และสูญเสียน้ำได้

  • อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม สามารถป้องกันผิวแห้งได้ โดยการหลีกเลี่ยงการอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน หรืออยู่ในสถานที่ที่มีอากาศแห้งเกินไป หากมีความจำเป็น แนะนำให้ใช้เครื่องทำความชื้น เพื่อเพิ่มความชื้นในอากาศ และป้องกันไม่ให้ความชื้นถูกดูดออกจากผิว

  • หลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำร้อน

การหลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำร้อน สามารถป้องกันผิวแห้งได้ เนื่องจากน้ำร้อนจะดึงความชุ่มชื้นออกจากผิว ทำให้ผิวสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติ จนเกราะป้องกันผิวอ่อนแอได้ โดยจะแนะนำให้ล้างหน้าด้วยน้ำอุณหภูมิปกติแทนการใช้น้ำร้อน เพื่อป้องกันผิวแห้งตึง และระคายเคือง

  • ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน

การใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน สามารถป้องกันผิวแห้งได้ โดยการเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีค่า pH Balance ที่ช่วยรักษาความสมดุลของผิว และป้องกันผิวแห้งตึง ปราศจากสารระคายเคือง หรือสารเคมีที่รุนแรง เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือพาราเบน

  • ดื่มน้ำให้มาก ๆ 

การดื่มน้ำให้มาก ๆ สามารถป้องกันผิวแห้งได้ เนื่องจากน้ำมีคุณสมบัติในการรักษาความชุ่มชื้นของผิว และรักษาความสมดุลของร่างกาย รวมถึงป้องกันผิวสูญเสียน้ำ ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น และดูสุขภาพดีจากภายใน โดยจะแนะนำให้ดื่มน้ำเป็นระยะ ๆ ตลอดทั้งวันประมาณ 1.5 – 2 ลิตรต่อวัน หรือประมาณ 7 – 8 แก้ว

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สามารถป้องกันผิวแห้งได้ โดยการเลือกอาหารที่ช่วยบำรุงผิว เช่น โอเมก้า 3 (Omega 3), วิตามินซี (Vitamin C) หรือวิตามินอี (Vitamin E) ซึ่งจะพบได้ในปลาแซลมอน ปลาทูน่า นม ไข่ อะโวคาโด ถั่ว  อัลมอนด์ ผัก และผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว

  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่

การหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ สามารถป้องกันผิวแห้งได้ เนื่องจากแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียความชุ่มชื้น และทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอได้ง่าย ในขณะที่บุหรี่มีสารพิษที่ทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินในผิว ทำให้ผิวหยาบกร้าน แห้งตึง และขาดความยืดหยุ่น

 

ผิวแห้ง กับ ผิวขาดน้ำต่างกันอย่างไร?

ผิวแห้ง และผิวขาดน้ำ แม้จะมีลักษณะอาการที่คล้ายกัน แต่ก็สาเหตุที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยผิวแห้งจะเกิดจากต่อมไขมันผลิตน้ำมัน (Sebum) ออกมาน้อยลง ทำให้ผิวไม่ชุ่มชื้น และขาดน้ำมันมาหล่อเลี้ยงผิว ในขณะที่ผิวขาดน้ำจะเกิดจากการสูญเสียความชุ่มชื้นเพียงชั่วคราว ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวผสม หรือผิวมัน แม้มีน้ำมันมากก็สามารถขาดน้ำได้เช่นเดียวกัน 

 

จะเห็นได้ว่า ผิวแห้งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งอายุที่มากขึ้น สภาพอากาศที่แห้ง ใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงต่อผิว ล้างหน้าด้วยน้ำร้อน พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือดื่มน้ำน้อย แม้ผิวแห้งจะเป็นปัญหาผิวที่ไม่ร้ายแรง แต่หากปล่อยทิ้งไว้นาน และไม่รีบดูแลรักษา อาจส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้ เช่น ริ้วรอยก่อนวัย ผิวหย่อนคล้อย หมองคล้ำ และอ่อนแอ แพ้ง่าย ดังนั้นสำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาผิวแห้งอยู่ แนะนำให้ดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม และป้องกันอย่างถูกวิธี ควบคู่ไปกับการทำหัตถการทางการแพทย์ เพื่อให้ผิวกลับมาชุ่มชื้น อิ่มน้ำ และดูสุขภาพดีจากภายในอย่างแท้จริง

 

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด