ในยุคที่ความอ่อนวัยของผิวกลายเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญ เทรนด์การดูแลผิวโดยไม่ต้องผ่าตัดกำลังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มหัตถการที่ใช้เทคโนโลยียกกระชับผิว ซึ่งช่วยฟื้นฟูความยืดหยุ่นและยกกระชับผิวปรับรูปหน้าให้ชัดเจนขึ้นได้อย่างกลมกลืนกับใบหน้า หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่หลาย คนสงสัยคือควรเลือกทำ Oligio vs Ultra 4D Lift แบบไหนถึงจะตอบโจทย์มากกว่ากัน เพราะทั้งสองนับว่าเป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่มาแรงและมีจุดเด่นแตกต่างกันไป
บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกว่า Oligio และ Ultra 4D Lift คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร เหมาะกับใครบ้าง รวมถึงวิธีการเลือกเทคโนโลยีที่ใช่สำหรับปัญหาผิวของคุณ เพื่อช่วยให้การตัดสินใจง่ายขึ้นและมั่นใจมากขึ้นในผลลัพธ์ที่ได้รับ

Oligio และ Ultra 4D Lift ต่างกันอย่างไร?
Oligio และ Ultra 4D Lift จัดเป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ช่วยปรับผิวหน้าให้ตึงกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด แม้ทั้งสองจะมีเป้าหมายคล้ายกัน แต่กลไกและคุณสมบัติกลับแตกต่างกันในหลายด้าน
Oligio ทำงานด้วยคลื่นวิทยุ Monopolar RF ที่มีความถี่เฉพาะ ส่งพลังงานความร้อนในระดับ 42–45 องศา ลงไปถึงชั้นหนังแท้และชั้นไขมันตื้น ความร้อนนี้ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใหม่และลดไขมันส่วนเกิน จึงเหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวเริ่มหย่อนคล้อย ริ้วรอยตื้น หรือผิวบางและแพ้ง่าย ความพิเศษคือมีระบบทำความเย็นและการควบคุมพลังงานที่ช่วยให้รู้สึกสบายระหว่างทำ โดยใช้เวลาเพียง 20–30 นาที และหลังทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ส่วน Ultra 4D Lift ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์แบบ Focused Ultrasound หรือ MMFU ซึ่งสามารถปรับระดับลึกได้ตั้งแต่ 1.5 มม. ไปจนถึง 13 มม. ทำให้ครอบคลุมทั้งชั้น SMAS ชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ผิว การทำงานนี้ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยรุนแรงกว่า รวมถึงช่วยลดไขมันสะสมได้ดีขึ้น ผลลัพธ์จะเห็นบางส่วนหลังทำ และจะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นในช่วง 2–3 เดือน โดยคงอยู่ได้นานประมาณ 8–12 เดือน
กล่าวโดยสรุป Oligio เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาวิธียกกระชับผิวชั้นหนังแท้และชั้นไขมัน ต้องการเห็นผลรวดเร็ว เจ็บน้อย และไม่ต้องพักฟื้น ส่วน Ultraformer 4D Lifit จะเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก ต้องการผลลัพธ์ที่ครอบคลุมทุกชั้นผิว ผลลัพธ์ยาวนาน และช่วยลดไขมันส่วนเกินได้พร้อมกัน

ทำความรู้จัก Oligio คืออะไร?
Oligio เป็นหนึ่งในเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ถูกออกแบบมาเพื่อปรับโครงสร้างผิวและลดปัญหาไขมันสะสมบนใบหน้า โดยใช้พลังงานคลื่นวิทยุ Monopolar RF ที่มีความถี่เฉพาะ ส่งผ่านความร้อนลงไปยังหลายชั้นระดับชั้นผิว ทั้งชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว ความร้อนที่ส่งลงไปช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ อีกทั้งยังช่วยลดไขมันบริเวณแก้ม เหนียง และแนวกรอบหน้า ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวที่ดูเต่งตึงแน่นขึ้น กรอบหน้าคมชัด และดูอ่อนวัยโดยไม่ต้องผ่าตัด
กลไกการทำงานของ Oligio
- ส่งพลังงานความร้อนด้วยคลื่น Monopolar RF ลงลึกถึงชั้นโครงสร้างผิว
- กระตุ้นการฟื้นฟูเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน เพื่อให้ผิวกลับมาแข็งแรงและยืดหยุ่น
- ลดการสะสมของไขมันใต้ผิว ช่วยให้ใบหน้าเรียวกระชับและได้สัดส่วนที่สมดุล
จุดเด่นของ Oligio
- Minimize Pain
หนึ่งในจุดเด่นของ Oligio คือการออกแบบระบบที่ช่วยให้ผู้เข้ารับการรักษารู้สึกสบายมากขึ้น โดยเครื่องมีระบบสั่น (Vibration) ที่ช่วยบรรเทาความรู้สึกเจ็บ พร้อมด้วยระบบทำความเย็น (Cooling System) ที่ช่วยปกป้องผิวชั้นนอกจากความร้อนของคลื่น Monopolar RF จึงสามารถส่งพลังงานไปยังชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
- Faster Treatment
Oligio ถือเป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่พัฒนาเพื่อความสะดวกและแม่นยำ ตัวเครื่องมีระบบ Auto ที่ช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างไม่อันตรายและสม่ำเสมอ ขนาดหัวทิป (Face Tip) กว้างถึง 4 ซม. ทำให้ประหยัดเวลา แต่ยังได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน โดยหัวทิป 600 ช็อต ใช้เวลาประมาณ 20–30 นาที ส่วนหัวทิป 300 ช็อตใช้เวลาเพียง 10–15 นาทีเท่านั้น
- Safe Treatment
อีกหนึ่งจุดเด่นของ Oligo คือระบบตรวจวัดอุณหภูมิแบบ Real Time หากอุณหภูมิสูงเกิน 43 องศา เครื่องจะหยุดทำงานทันทีเพื่อลดความเสี่ยงต่อผิวไหม้ เสริมด้วย Pressure Sensing ที่ช่วยตรวจสอบแรงกดระหว่างหัวทิปกับผิวหนัง ทำให้พลังงานถูกส่งลงไปอย่างแม่นยำตลอดการรักษา
- Convenience
Oligio มีโหมดการรักษาให้เลือกถึง 3 แบบ ได้แก่ Single, Double และ Auto ซึ่งแพทย์สามารถปรับใช้ได้ตามสภาพผิวและความต้องการของแต่ละคน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาอย่างเหมาะสม
- Long-Lasting Effect
ด้วยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ใต้ชั้นผิว ผลลัพธ์ของการยกกระชับผิวด้วย Oligio สามารถอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือน – 1 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลของแต่ละบุคคล
Ultra 4D Lift คืออะไร?
Ultra 4D Lift หรือ Ultraformer MPT ถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ได้รับการพัฒนาจาก Ultraformer III โดยใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์แบบ Focused Ultrasound มุ่งเป้าไปยังชั้นผิวลึกอย่างแม่นยำ กลไกการทำงานนี้ช่วยสร้างความร้อนในชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ส่งผลให้เนื้อเยื่อหดตัวเกิดการยกกระชับผิวลดเลือนริ้วรอย พร้อมช่วยจัดการกับไขมันสะสมในบางจุด เช่น เหนียงและกรอบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หนึ่งในจุดเด่นของ Ultra 4D Lift คือการปรับระดับพลังงานได้ลึกหลายชั้น สามารถส่งพลังงานได้หลายระดับตั้งแต่ 1.5 มม. 3 มม. และ 4.5 มม. ไปจนถึง 6 มม. 9 มม. และ 13 มม. ซึ่งการทำงานหลายระดับนี้ทำให้สามารถตอบโจทย์การดูแลผิวหน้าได้ครอบคลุมตั้งแต่การยกกระชับผิว แก้ปัญหาความหย่อนคล้อยบริเวณเหนียงและลำคอ ไปจนถึงการปรับสัดส่วนในบางส่วนของร่างกาย
จุดเด่นของ Ultra 4D Lift
- ใช้เทคโนโลยียกกระชับผิวแบบ MMFU (Micro & Macro Focused Ultrasound) ที่สามารถยิงพลังงานความร้อนเป็นจุดเล็ก ๆ จำนวนมากลงไปในชั้นผิวลึก ทั้งชั้น SMAS ชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ผิว ความร้อนนี้ช่วยให้เนื้อเยื่อหดตัวพร้อมกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้ผิวกระชับขึ้น ริ้วรอยลดลง และไขมันส่วนเกินค่อย ๆ ลดลงไป
- มีหัวทิปให้เลือกหลายขนาด ครอบคลุมความลึกตั้งแต่ 1.5 มม. ไปจนถึง 13 มม. ทำให้ดูแลได้ทุกระดับตั้งแต่ผิวชั้นตื้นไปจนถึงชั้นกล้ามเนื้อ จึงสามารถแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยและไขมันสะสมในหลายตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ลำคอ หรือเหนียง
- ปล่อยพลังงานได้หลายรูปแบบ เช่น เส้นตรง วงกลม จุดเล็ก ไปจนถึงเส้นวงกลม ทำให้พลังงานกระจายสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ลดความรู้สึกเจ็บระหว่างทำ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวและปรับโครงสร้างผิว
- ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีรอยแผล และไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้
- ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวค่อย ๆ กระชับขึ้น และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้นในช่วง 2–3 เดือนหลังทำ นอกจากนี้ยังช่วยให้กรอบหน้าเรียวขึ้น ลดไขมันใต้คาง และทำให้ผิวดูเต่งตึงไปพร้อมกัน
- ประสิทธิภาพการทำงานเร็วกว่าถึงประมาณ 2.5 เท่า ช่วยให้การทำหัตถการใช้เวลาน้อยลง แต่ยังคุณภาพของผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม
ด้วยคุณสมบัติทั้งหมดนี้ Ultra 4D Lift จึงถูกมองว่าเป็นหนึ่งในเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ตอบโจทย์ทั้งการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยและการลดไขมันในบริเวณต่าง ๆ ได้อย่างไม่อันตรายและมีประสิทธิภาพ

Oligio และ Ultra 4D Lift เหมาะกับใครบ้าง?
Oligio เหมาะสำหรับใคร?
- ผู้ที่เริ่มมีสัญญาณผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง
- ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิว แต่ไม่อยากเจ็บหรือกลัวความรู้สึกไม่สบายขณะทำ
- ผู้ที่มีผิวบางหรือแพ้ง่ายและกังวลเรื่องความระคายเคือง
- ผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมระดับตื้น เช่น แก้ม, เหนียง, กรอบหน้าไม่ชัด
- ผู้ที่อยากเห็นผลลัพธ์เร็วหลังทำ โดยจะตึงกระชับขึ้นบางส่วน
- ผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้น เพราะหลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
- ผู้ที่มองหาทางเลือกเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ไม่อันตราย ใช้เวลาทำไม่นาน
Ultra 4D Lift เหมาะสำหรับใคร?
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก
- ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวลึกถึงชั้น SMAS
- ผู้ที่ต้องการปรับโครงสร้างผิวอย่างชัดเจน
- ผู้ที่มีไขมันสะสมมาก เช่น เหนียงหนา กรอบหน้าไม่คม หรือมีไขมันแก้มเยอะ
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานประมาณ 8–12 เดือน
- ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวและลดไขมันสะสมไปพร้อมกัน
- ผู้ที่อยากยกกระชับผิวปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กลงและลดความหย่อนคล้อย
- ผู้ที่มองหาวิธีการที่มีความครอบคลุมและจัดการได้หลายปัญหาในครั้งเดียว
ผลลัพธ์จากการทำเทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่ว่าจะเป็น Oligio หรือ Ultra 4D Lift อาจแตกต่างกันไปจามสภาพผิว อายุ โครงสร้างใบหน้า และการดูแลหลังทำ ดังนั้นควรเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ก่อนเลือกวิธีการ เพื่อให้ได้แนวทางที่เหมาะสม ไม่อันตราย และสอดคล้องกับความต้องการของแต่ละบุคคล
ใครบ้างที่ไม่เหมาะสำหรับ Oligio และ Ultra 4D Lift
- ผู้ที่มีโรคผิวหนังในบริเวณที่จะทำ เช่น ผื่น แผลเปิด หรือติดเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการทำเทคโนโลยียกกระชับผิวจนกว่าจะหายสนิท
- ผู้ที่มีอุปกรณ์โลหะหรือรากฟันเทียมฝังอยู่ใกล้กับตำแหน่งที่จะทำการรักษา อาจไม่เหมาะกับการทำยกกระชับผิวเพราะเสี่ยงต่อการนำความร้อน
- สตรีมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร ยังไม่แนะนำให้เข้ารับการทำหัตถการด้วยเทคโนโลยียกกระชับผิว เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลความปลอดภัยที่เพียงพอ
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรง เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ ควรหลีกเลี่ยงการทำยกกระชับผิว
- ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker) หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในร่างกาย
- ผู้ที่เพิ่งเข้ารับการทำหัตถการผิวอื่น ๆ เช่น เลเซอร์ หรือร้อยไหม ควรเว้นระยะก่อนเข้ารับการทำเทคโนโลยียกกระชับผิว
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยขั้นรุนแรงมาก อาจได้ผลจากการยกกระชับผิวไม่ชัดเจน
- ผู้ที่มีผิวไวต่อความร้อนหรือมีภาวะผิวแพ้ง่ายขั้นรุนแรง อาจเกิดการระคายเคืองหรือผิวไหม้ได้ง่าย
- ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมากและมีไขมันสะสมหนา อาจต้องใช้วิธีอื่นร่วมด้วย อาจต้องใช้วิธีอื่นร่วมด้วย
- ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น SLE หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมผิว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ
- ผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เทียบเท่าการผ่าตัดดึงหน้าโดยตรง เพราะเทคโนโลียกกระชับผิวให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงแต่ไม่ถาวร
การทำหัตถการด้วยเทคโนโลยียกกระชับผิว เช่น Oligio และ Ultra 4D Lift แม้จะเป็นวิธีที่ไม่อันตรายและไม่ต้องผ่าตัด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเหมาะกับทุกคน ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือมีภาวะสุขภาพเฉพาะ ควรเข้ารับคำปรึกษาและตรวจประเมินโดยแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าการรักษาจะได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการในการยกกระชับผิว

ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ Oligio และ Ultra 4D Lift
ผลลัพธ์ที่ได้จาก Oligio
- ผิวหน้าดูตึงกระชับขึ้นบางส่วนหลังทำ
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ทำให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นขึ้น
- ริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณร่องแก้ม มุมปาก และแนวกรอบหน้าดูจางลง
- ไขมันสะสมบริเวณแก้มและเหนียงลดลง ทำให้กรอบหน้าดูชัดขึ้น
- ผิวดูเรียบเนียนและสดใสขึ้นอย่างกลมกลืนกับใบหน้า
ผลลัพธ์ที่ได้จาก Ultra 4D Lift
- ยกกระชับผิวลึกถึงชั้น SMAS ทำให้โครงหน้าชัดและกระชับขึ้น
- ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณแก้ม เหนียง และลำคอได้อย่างเห็นผล
- ช่วยลดไขมันสะสม ทำให้ใบหน้าเรียวเล็กลง
- ริ้วรอยและร่องลึกดูตื้นขึ้น ผิวดูอ่อนวัยกว่าเดิม
- ให้ความรู้สึกกระชับแน่นทั้งผิวและกล้ามเนื้อในเวลาเดียวกัน

การดูแลตัวเองหลังทำ Oligio และ Ultra 4D Lift
- ควรบำรุงผิวด้วยครีมมอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วและคงความชุ่มชื้น
- ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6–8 แก้ว เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นฟูและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะโปรตีน วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือกดนวดบริเวณที่ทำยกกระชับผิว อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงความร้อน เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ ประมาณ 1 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และควรทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพราะอาจทำให้การฟื้นฟูผิวช้าลง
ทำ Oligio หรือ Ultra 4D Lift แล้วเจ็บไหม?
- ความรู้สึกเจ็บขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความไวต่อความร้อนของแต่ละคน Oligio เจ็บน้อยมาก เพราะมีระบบทำความเย็นและระบบสั่นที่ช่วยลดความรู้สึกไม่สบายระหว่างทำ ส่วน Ultra 4D Lift อาจมีความรู้สึกเจ็บเล็กน้อย โดยเฉพาะในชั้นผิวลึก แต่น้อยกว่ารุ่นก่อน โดยรวมถือว่าเป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่มีความเจ็บน้อยเทียบกับการผ่าตัด
สามารถทำ Oligio และ Ultra 4D Lift ร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม?
- สามารถทำยกกระชับผิวร่วมกับหัตถการอื่นได้ เช่น โบลดริ้วรอย ฟิลเลอร์ ร้อยไหม หรือเลเซอร์ ควรให้แพทย์เป็นผู้ประเมินลำดับขั้นตอน เพื่อให้การรักษาได้ผลลัพธ์สูงสุด ซึ่งการทำหัตถการร่วมกับการยกกระชับผิวจะช่วยแก้ปัญหาได้รอบด้าน เช่น ริ้วรอย ร่องลึก และความหย่อนคล้อย
Oligio และ Ultra 4D Lift เหมาะกับผู้ชายไหม?
- เหมาะกับทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย โดยผู้ชายที่มีกรอบหน้าไม่ชัด หรือมีเหนียง สามารถทำยกกระชับผิวได้ผลลัพธ์ที่ดูกลมกลืนกับใบหน้า และไม่ทำให้โครงหน้าเปลี่ยนเกินไป
Oligio และ Ultra 4D Lift ควรเริ่มทำตอนอายุเท่าไหร่?
- แนะนำว่าควรเริ่มทำยกกระชับผิวตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไปเมื่อเริ่มมีสัญญาณหย่อนคล้อย ผู้ที่อายุน้อยกว่า 30 ปี สามารถทำเพื่อป้องกันการเสื่อมของคอลลาเจนและชะลอความหย่อนคล้อยได้ ยิ่งเริ่มทำเทคโนโลยียกกระชับผิวตั้งแต่เนิ่น ๆ ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานและดูกลมกลืนกับใบหน้ามากขึ้น
Oligio และ Ultra 4D Lift มีความเสี่ยงต่อการทำให้ผิวบางลงไหม?
- ทั้งสองเทคโนโลยียกกระชับผิวนี้ไม่มีผลทำให้ผิวบางลง เพราะเป็นการกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว หลังทำผิวจะดูแข็งแรงและแน่นขึ้น ไม่ทำให้ผิวอ่อนแอลง ถือเป็นการฟื้นฟูโครงสร้างผิวมากกว่าการทำลาย
สามารถทำ Oligio และ Ultra 4D Lift ได้บ่อยแค่ไหนโดยไม่เป็นอันตรายต่อผิว?
- โดยทั่วไปแนะนำให้ทำยกกระชับผิว 1 ครั้ง รอผลลัพธ์คงที่ประมาณ 6–12 เดือน หากต้องการทำซ้ำ ควรเว้นระยะตามคำแนะนำของแพทย์ เพราะการทำยกกระชับผิวบ่อยเกินไปไม่ได้ช่วยให้ผลดีกว่า
การทำ Oligio และ Ultra 4D Lift สามารถช่วยป้องกันผิวหย่อนคล้อยในอนาคตได้ไหม?
- ช่วยชะลอการเสื่อมของคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแก่ช้าลง หากทำตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยคงความกระชับและลดโอกาสผิวหย่อนคล้อยในอนาคต เปรียบเสมือนการบำรุงเชิงป้องกันผิวด้วยการยกกระชับผิว
สามารถเลือกทำ Oligio และ Ultra 4D Lift เฉพาะบางจุดได้ไหม?
- สามารถเลือกทำเฉพาะบางบริเวณที่กังวลได้ เช่น เหนียง กรอบหน้า ร่องแก้ม หรือหน้าผาก โดยแพทย์สามารถออกแบบการยิงพลังงานให้เหมาะสมกับปัญหาเฉพาะจุด ทำให้การยกกระชับผิวตอบโจทย์เฉพาะแต่ละบุคคลมากขึ้น
ถ้าหยุดทำ Oligio และ Ultra 4D Lift ผลลัพธ์จะหายไปหรือผิวยิ่งหย่อนคล้อยกว่าเดิมไหม?
- หากหยุดทำผลลัพธ์จะค่อย ๆ ลดลงตามธรรมชาติของการเสื่อมสภาพผิว ผิวจะกลับเข้าสู่สภาพเดิมตามวัย ไม่ได้ทำให้ผิวหย่อนคล้อยมากกว่าเดิม การทำต่อเนื่องจะช่วยรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้น
การทำ Oligio และ Ultra 4D Lift บ่อยเกินไป จะเป็นอันตรายต่อผิวไหม?
- หากทำบ่อยเกินไป อาจทำให้ผิวระคายเคืองหรือเกิดการอักเสบได้ จึงควรทำตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่ควรทำถี่เกินจำเป็น การทำเทคโนโลยียกกระชับผิวให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีนั้น ควรเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสมและดูแลผิวควบคู่ไปด้วย
การทำ Oligio และ Ultra 4D Lift มีผลต่อโครงหน้าในระยะยาวไหม?
- การทำ Oligio และ Ultra 4D Lift ไม่กระทบโครงหน้าในระยะยาว เพราะเป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินตามธรรมชาติ ช่วยให้ผิวตึง กระชับ และโครงหน้าชัดเจนขึ้น ผลลัพธ์จากการยกกระชับผิวอยู่ได้ราว 6–12 เดือน และจะค่อย ๆ ลดลงตามวัย แต่ไม่ได้ทำให้ผิวหย่อนคล้อยมากกว่าเดิม หากทำต่อเนื่องและดูแลผิวอย่างเหมาะสม ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานมากขึ้น
การทำ Oligio และ Ultra 4D Lift สามารถยกกระชับผิวบริเวณร่างกายได้ไหม?
- การทำ Oligio และ Ultra 4D Lift ไม่ได้จำกัดแค่การยกกระชับผิวบริเวณใบหน้าเท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาใช้กับส่วนอื่นของร่างกายได้ เช่น ลำคอ ต้นแขน หน้าท้อง หรือต้นขา เพื่อช่วยลดความหย่อนคล้อยและลดไขมันเฉพาะจุด ทำให้ผิวในบริเวณเหล่านี้ดูเรียบเนียนและกระชับขึ้นอย่างกลมกลืนกับใบหน้า
เทคโนโลยียกกระชับผิว Oligio และ Ultra 4D Lift ถือเป็นทางเลือกสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยโดยไม่ต้องผ่าตัด ด้วยเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือการฟื้นฟูผิวให้แน่นกระชับและดูอ่อนวัยขึ้น การเลือกวิธีที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพผิว ปัญหาที่ต้องการแก้ไข และผลลัพธ์ที่คาดหวัง ซึ่งทั้งหมดนี้ควรอยู่ภายใต้การประเมินของแพทย์
ปัจจุบันเทคโนโลยียกกระชับผิวได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทั้ง Oligio และ Ultra 4D Lift เป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์ทั้งด้านผลลัพธ์และความคุ้มค่า สำหรับผู้ที่กำลังมองหาวิธียกกระชับผิวเพื่อเสริมความมั่นใจ การปรึกษาแพทย์ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้ได้แนวทางที่ตรงกับความต้องการอย่างเหมาะสม

