การเกิด “สิว” มักนึกถึงความมันบนใบหน้า การอุดตันของรูขุมขน หรือการติดเชื้อแบคทีเรีย แต่มีอีกปัจจัยทางอ้อมที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวหนัง คือ ไขมันใต้ผิวหนัง แม้ไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวโดยตรงแต่ก็มีส่วนสำคัญต่อระบบภายในที่ทำให้เกิดสิวในหลาย ๆ ด้าน บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่าไขมันใต้ผิวหนังคืออะไร ทำไมจึงเกี่ยวข้องกับสิว และนอกจากไขมันใต้ผิวหนังยังมีไขมันแบบใดอีกที่ส่งผลต่อการเกิดสิวอีกหรือไม่ เพื่อให้ผิวแข็งแรงและลดโอกาสการเกิดสิวในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไขมันใต้ผิวหนัง คืออะไร ?
ไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) คือ ไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังซึ่งมีหน้าที่ในการเก็บพลังงาน รักษาอุณหภูมิ และปกป้องอวัยวะจากแรงกระแทก โดยไขมันมีอยู่ทั่วร่างกาย แต่ปริมาณที่สะสมจะแตกต่างกันออกไป หากมีภาวะไขมันสะสมมากเกินไปสามารถส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมนและการผลิตน้ำมันบนผิวหนัง ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสในการเกิดสิวหรือทำให้สิวมีความรุนแรงมากขึ้นได้

ไขมันที่เกี่ยวข้องกับการเกิดสิว
การเกิดสิวเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายด้าน หนึ่งในสาเหตุสำคัญมักมีความเกี่ยวข้องกับไขมัน เนื่องจากมีบทบาทต่อการอุดตันและการอักเสบของผิว โดยประเภทของไขมันในร่างกายมีหลายประเภท แต่ไขมันที่มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดสิว สามารถแบ่งออกได้ 5 ประเภทหลัก ๆ ดังต่อไปนี้
- ไขมันจากต่อมไขมัน (Sebum)
ไขมันจากต่อมไขมันเป็นไขมันที่ถูกผลิตจากต่อมไขมันใต้ผิวหนัง มีบทบาทในการสร้างความชุ่มชื้นและปกป้องผิว หากมีการผลิตไขมันมากเกินไปจะทำให้รูขุมขนอุดตัน หรือเหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes จนเกิดเป็นสู่สิวได้
- กรดไขมันอิสระ (Free Fatty Acids)
กรดไขมันอิสระเกิดจากการสลายไขมัน (Sebum) โดยเอ็มไซน์จากเชื้อแบคทีเรียของไขมันเหล่านี้จะทำให้เกิดการระคายเคืองและผิวอักเสบ ส่งผลให้เกิดสิวและสิวที่มีอยู่รุนแรงมากขึ้นได้
- ไขมันจากเซลล์ผิวที่ตาย (Lipids from Dead Skin Cells)
เซลล์ผิวที่ผลัดตัวตามธรรมชาติมักมีส่วนประกอบของไขมันและโปรตีน หากการผลัดเซลล์ไม่สมดุลหรือสะสมเซลล์เก่ามากเกินไป จะทำให้การจับตัวของน้ำมันส่วนเกิน คราบเหงื่อ และสิ่งสกปรก ทำให้รูขุมขนอุดตันง่าย จึงเกิดเป็นสิวได้ง่ายมากขึ้น
- ไขมันจากอาหาร (Dietary Fats)
ไขมันจากอาหารโดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ มีส่วนกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่มีส่วนกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น จะเพิ่มเสี่ยงต่อการเกิดสิวได้
- ไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat)
ไขมันใต้ผิวหนังแม้ไม่ได้มีส่วนโดยตรงในการทำให้เกิดสิว แต่ต่อมไขมันใต้ผิวหนังมีบทบาททางอ้อมในการกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันมากขึ้น ทำให้รูขุมขนอุดตันได้ง่ายและเพิ่มโอกาสในการเกิดสิวได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
ไขมันที่เกี่ยวข้องกับการเกิดสิวไม่ได้มีเพียงไขมันจากต่อมไขมันแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังมีกรดไขมันอิสระ ไขมันจากเซลล์ผิว อาหาร และไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งแต่ละชนิดมักมีบทบาทต่อการเกิดสิวทั้งทางตรงและทางอ้อม

ความแตกต่างระหว่างไขมันใต้ผิวหนัง กับ ไขมันที่สะสมในรูขุมขนในการเกิดสิว
ไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) และไขมันที่สะสมในรูขุมขน (Sebum in pores) มีความแตกต่างกันทั้งในโครงสร้าง ระดับความลึกของชั้นผิวหนัง และผลต่อการเกิดสิว การเข้าใจความแตกต่างของไขมันใต้ผิวหนังและไขมันที่สะสมในรูขุมขน จะช่วยให้สามารถดูแลสุขภาพผิวและป้องกันสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีข้อแตกต่างกัน ดังนี้
1.ไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat)
ไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) เป็นไขมันที่อยู่ในชั้นลึกของร่างกาย โดยจะอยู่ถัดจากชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ลงไป และอยู่เหนือชั้นกล้ามเนื้อ ซึ่งปริมาณของไขมันใต้ผิวหนังจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางพันธุกรรม อายุ เพศ และวิถีชีวิต
หน้าที่หลักของไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat)
- เก็บพลังงานสำรอง
- ช่วยให้ร่างกายรักษาอุณหภูมิอบอุ่นได้
- ช่วยปกป้องอวัยวะภายใน ลดความเสียหายจากการบาดเจ็บ
- แหล่งสร้างฮอร์โมนบางชนิด ซึ่งมีส่วนควบคุมหิวและการเผาผลาญพลังงาน
บทบาทต่อสิวของไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat)
ไขมันใต้ผิวหนังไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวโดยตรง แต่การสะสมไขมันในร่างกายที่มากเกินไปสามารถส่งผลต่อฮอร์โมนและการอักเสบ ซึ่งเป็นกลไกทางอ้อมที่ทำให้เกิดสิวได้
2.ไขมันที่สะสมในรูขุมขน (Sebum in pores)
ไขมันที่สะสมในรูขุมขน (Sebum in pores) เป็นไขมันที่สะสมในรูขุมขนเกิดจากการผลิตน้ำมันโดยต่อมไขมันที่อยู่ในชั้นหนังแท้ (Dermis) และมีท่อเปิดเข้าสู่รูขุมขน น้ำมันที่ผลิตขึ้นนี้จะเคลือบผิวและเส้นขน แต่หากมีการผลิตมากเกินไป น้ำมันจะสะสมในรูขุมขนจนเกิดการอุดตัน
หน้าที่หลักของไขมันที่สะสมในรูขุมขน (Sebum in pores)
- เคลือบและปกป้องผิว เพื่อลดการสูญเสียน้ำและรักษาความชุ่มชื้น
- ปกป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและเชื้อรา
- ช่วยให้ผิวไม่แห้งกร้านและมีความนุ่ม ยืดหยุ่น
บทบาทต่อสิวของไขมันที่สะสมในรูขุมขน (Sebum in pores)
การผลิตน้ำมันมากเกินไปสามารถทำให้เกิดสิวได้ เนื่องจากน้ำมันที่ถูกผลิตออกมามากเกินไปจะเปลี่ยนสมดุลของผิว ทำให้รูขุมขนมีความเสี่ยงต่อการอุดตันมากขึ้น และกระบวนการพัฒนาไปเกิดเป็นสิวในอนาคตได้
ต่อมไขมันกับการผลิตน้ำมัน (Sebum) ที่ทำให้เกิดสิว
ต่อมไขมันเป็นต่อมขนาดเล็กที่อยู่ในชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งมีหน้าที่หลักที่ในการผลิตน้ำมัน หรือ ซีบัม (Sebum) โดยน้ำมันนี้จะถูกลำเลียงขึ้นมาตามรูขุมขนเพื่อเคลือบผิวและเส้นขน หากมีการผลิตที่ผิดปกติ ผลิตมากเกินความจำเป็นแล้วไปรวมกับเซลล์ผิวที่ตายไปแล้ว จะทำให้รูขุมขนอุดตันจนเกิดเป็นสิวได้ นอกจากนี้ต่อมไขมันยังมีหน้าที่อื่น ๆ อีก ได้แก่
- ต่อมไขมันช่วยปกป้องผิว ด้วยการช่วยเคลือบผิวให้มีเกราะป้องกัน ลดการเสียน้ำและป้องกันไม่ให้ผิวแห้งกร้าน
- ต่อมไขมันช่วยคงความชุ่มชื้น ทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น และมีความยืดหยุ่น
- ต่อมไขมันช่วยด้านเชื้อโรค ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิด
- ต่อมไขมันช่วยลดแรงเสียดสี ช่วยให้ผิวและเส้นขนลื่น ลดการเสียดสี
ต่อมไขมันเป็นต่อการปกป้องและบำรุงผิว แต่หากทำงานมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดสิวได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

ไขมันใต้ผิวหนังเกี่ยวข้องอะไรกับสิว
แม้ไขมันใต้ผิวหนังจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเกิดสิวโดยตรง แต่ก็ถือว่ามีส่วนในการเกิดสิวทางอ้อมผ่านกลไกของร่างกาย ดังนี้
- ฮอร์โมนและการผลิตน้ำมันบนผิว
ไขมันใต้ผิวหนังมีบทบาทสำคัญต่อความสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย หากร่างกายมีไขมันสะสมมากเกินไป อาจทำให้ระดับฮอร์โมนแปรปรวนจะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนจนเกิดสิวได้
- การอักเสบในร่างกาย
หากร่างกายมีการสะสมของไขมันใต้ผิวหนังปริมาณมาก จะสามารถก่อให้เกิดภาวะอักเสบเรื้อรังในร่างกาย ซึ่งภาวะนี้อาจทำให้สิวอักเสบที่มีอยู่รุนแรงมากขึ้นหรือรักษาได้สิวได้ยากขึ้นอีกด้วย
- ภาวะดื้อต่ออินซูลินและการเผาผลาญ
หากมีไขมันสะสมมากเกินไปผสมกับภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) และความผิดปกติของระบบเผาผลาญ อาจส่งผลต่อการเกิดสิวในทางอ้อมได้
แม้ไขมันใต้ผิวหนังไม่ใช่ต้นเหตุของการเกิดสิวโดยตรง แต่ก็มีผลทางอ้อมผ่านฮอร์โมน การอักเสบ และการเผาผลาญของร่างกาย การควบคุมสมดุลของไขมันใต้ผิวหนังจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดสิวและช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้นได้
กลไกการเกิดสิวกับไขมัน
การเกิดสิวบางประเภทมีความเกี่ยวข้องกับไขมัน (Sebum) เช่น สิวอักเสบ ซึ่งมักมีความเกี่ยวข้องกับต่อมไขมันและสภาพผิวที่ผลิตออกมาเพื่อเคลือบผิวและเส้นขน โดยกลไกการเกิดสิวที่มีความเกี่ยวข้องกับไขมัน ดังต่อไปนี้
- การผลิตไขมันมากเกินไป
หากต่อมไขมันทำงานมากกว่าปกติจากการกระตุ้นโดยฮอร์โมนบางชนิด จะทำให้น้ำมันถูกผลิตออกมามากเกินความจำเป็น ส่งผลให้ผิวมันและรูขุมขนอุดตันได้ง่าย
- การอุดตันรูขุมขน
ไขมันที่ถูกผลิตมากเกินไป เมื่อไปรวมกับเซลล์ผิวที่ตายไปแล้ว จะทำให้เกิดการอุดตันภายในรูขุมขนจนเกิดเป็นสิวหัวดำหรือสิวหัวขาวได้
- การเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของไขมัน (Sebum Alteration)
ไขมันที่ถูกผลิตออกมาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ เช่น ไขมันอาจเหนียวข้นหรือหนืดขึ้น ทำให้ไหลออกจากรูขุมขนได้ยาก เมื่อสะสมอยู่ภายในก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการเกิดสิวอุดตันได้
- การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย (C. acnes Proliferation)
หากมีน้ำมันมากในรูขุมขน รวมกับสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการเติบโตของเชื้อ Cutibacterium acnes แบคทีเรียชนิดนี้จะย่อยสลายไขมันและปล่อยสารบางอย่างออกมา ทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและกระตุ้นการอักเสบ ทำให้เกิดสิวได้ง่าย
- การอักเสบ (Inflammation)
การรวมกันของไขมันส่วนเกิน การอุดตันรูขุมขน และเชื้อแบคทีเรีย จะทำให้ร่างกายกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้บริเวณนั้นเกิดการบวม แดง เจ็บ และเกิดสิวได้
กลไกการเกิดสิวที่เกี่ยวข้องกับไขมันมักเกิดจากการทำงานของต่อมไขมันที่ผลิตมากเกินไป รวมกับการอุดตันรูขุมขน การเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของไขมัน และกระตุ้นการอักเสบ ทำให้เกิดได้หลายรูปแบบ

ปัจจัยที่กระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำมันจนทำให้เกิดสิว
การผลิตน้ำมัน (Sebum) ที่ถูกผลิตออกมามากเกินไปจากต่อมไขมัน จะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว เนื่องจากน้ำมันที่มากเกินไปเมื่อไปผสมกับเซลล์ผิวที่ตายไปแล้ว จะทำให้รูขุมขนอุดตัน จนเพิ่มโอกาสการเกิดสิวมากขึ้น โดยปัจจัยที่กระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น มีดังนี้
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน (Hormones)
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนถือเป็นสาเหตุสำคัญที่กระตุ้นให้ต่อมไขมันทำการผลิตน้ำมันมากขึ้น จึงทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวได้ง่ายขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนมักเกิดขึ้นได้ในหลายช่วง ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ผู้หญิงมีประจำเดือน ช่วงวัยรุ่น หรือช่วงตั้งครรภ์ ทำให้ช่วงที่ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นสิวได้ง่าย
- พันธุกรรม (Genetics)
คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นสิวง่าย มักมีต่อมไขมันที่ไวต่อฮอร์โมน ทำให้ผลิตน้ำมันมากกว่าปกติ น้ำมันส่วนเกินนี้สามารถอุดตันรูขุมขนและทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้พันธุกรรมยังมีผลต่อรูขุมขนและความไวต่อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวอักเสบอีกด้วย ทำให้ผู้ที่มีพันธุกรรมเกิดสิวให้ก็ส่งผลให้คุณเป็นสิวง่ายกว่าบุคคลทั่วไป
- อาหาร (Food)
การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง นม หรืออาหารฟาสฟู๊ด จะทำให้ร่างกายหลั่งอินซูลินมากขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันบนผิวมากขึ้น ส่วนผลิตภัณฑ์นมอาจมีฮอร์โมนที่ไปกระตุ้นไขมันด้วยเช่นกัน การรับประทานอาหารเหล่านี้ จึงทำให้ผิวมันและเกิดสิวง่ายขึ้น
- ความเครียด (Stress)
ความเครียดที่มากเกินไปจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลมากขึ้น ซึ่งฮอร์โมนนี้มักกระตุ้นให้ไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวได้ง่าย
- สิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต (Environment & Lifestyle)
สิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น อากาศร้อน ชื้น มีส่วนที่ทำให้ผิวมันง่าย การใช้เครื่องสำอางที่ทำให้รูขุมขนอุดตัน และการพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้ฮอร์โมนเสียสมดุล สามารถทำให้เกิดสิวได้ง่าย การดูแลสภาพแวดล้อม เลือกใช้เครื่องสำอางหรือสกินแคร์ที่ไม่อัดตุน รวมถึงการนอนหลับให้เพียงพอ จะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวได้
ปัจจัยที่กระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไปมีหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน , พันธุกรรม , การรับประทานอาหาร , ความเครียด และสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต
วิธีลดการเกิดสิวจากการผลิตน้ำมัน
การเกิดสิวเกิดได้จากหลายปัจจัย โดยเฉพาะการอุดตันของรูขุมขน และการผลิตน้ำมันมากเกินไปของต่อมไขมัน ซึ่งน้ำมันส่วนเกินเหล่านี้เมื่อผสมกับเซลล์ผิวที่ตายไปแล้วกับแบคทีเรียทำให้เกิดสิวได้ง่าย โดยวิธีลดการเกิดสิวจากการผลิตน้ำมัน สามารถทำได้ ดังนี้
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม
การเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสมช่วยป้องกันสิวได้ เนื่องจากการทำความสะอาดผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน จะช่วยลดการสะสมของสิ่งสกปรก และน้ำมันส่วนเกิน ลดการอุดตันในรูขุมขน ทำให้ลดโอกาสการเกิดสิวได้
- การทำความสะอาดผิวหน้าอย่างถูกวิธี
การทำความสะอาดผิวหน้าอย่างถูกวิธี โดยล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น จะช่วยลดโอกาสเกิดสิวและลดความมันบนใบหน้าได้ แต่ไม่ควรล้างบ่อยเกินไปเพราะจะกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันเพิ่ม นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการขัดถูแรง ๆ หรือใช้ผลิตภัณฑ์รุนแรง เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและอักเสบได้
- การควบคุมอาหารและน้ำหนัก
การควบคุมอาหารและน้ำหนักโดยลดการทานอาหารมันและน้ำตาลสูง พร้อมทั้งดื่มน้ำให้เพียงพอ จะช่วยควบคุมการผลิตน้ำมัน ลดการอักเสบ และทำให้ผิวแข็งแรง ลดโอกาสการเกิดสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การจัดการความเครียดและการนอน
ความเครียดเป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินความจำเป็น หากจัดการความเครียดและการพักผ่อนได้ดี จึงเป็นวิธีที่ช่วยลดน้ำมัน
- การใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์เฉพาะ
การใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์เฉพาะสามารถช่วยควบคุมการผลิตน้ำมัน ลดการอุดตัน และรักษาสิวได้ แต่ควรเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิว และหากสิวรุนแรงควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องและไม่ก่อให้เกิดอันตราย
- การดูแลพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม
การดูแลพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้สะอาดและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น แกะสิวหรือจับหน้า จะช่วยลดโอกาสการเกิดสิว และทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
การควบคุมและหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยลดการเกิดน้ำมันส่วนเกินจากต่อมไขมัน ส่งผลให้ลดโอกาสการเกิดสิวได้ค่ะ
สีขาวในสิวคือไขมันใต้ผิวหนังใช่ไหม ?
สีขาวที่มักพบในสิวหัวขาวไม่ใช่ไขมันใต้ผิวหนัง แต่เกิดจากส่วนผสมของไขมัน (Sebum) ที่ผลิตจากต่อมไขมันซึ่งอยู่ในชั้นหนังแท้ใกล้กับรูขุมขนไม่ได้อยู่ลึกถึงชั้นใต้ผิวหนัง ผสมกับเซลล์ผิวที่ตายไปแล้ว และบางครั้งอาจมีเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะสะสมอยู่ในรูขุมขนอุดตัน ทำให้เกิดเป็นสิวหัวขาว (Whitehead) หรือสิวหัวหนองได้
ไขมันในชั้นผิวหนังกับการเกิดสิว
การเกิดสิวเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับโครงสร้างและการทำงานของผิวหนัง ตั้งแต่การทำงานของต่อมไขมัน การผลัดเซลล์ผิว จนถึงการป้องกันเชื้อโรคของร่างกาย การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในแต่ละชั้นของผิว ส่งผลต่อสมดุลของชั้นผิวและกระตุ้นให้เกิดสิวได้ เพื่อให้เข้าใจสาเหตุของการเกิดสิวจากไขมันได้อย่างละเอียดรอบด้านจำเป็นต้องรู้ถึงชั้นผิวในแต่ละชั้น ดังนี้
- ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis)
ชั้นหนังกำพร้าเป็นชั้นแรกในการป้องกันผิว ทำหน้าที่ป้องกันการสูญเสียน้ำและป้องกันเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย หากสะสมของเซลล์ที่ตายไปแล้วมากเกินไปจะทำให้รูขุมขนอุดตันง่ายขึ้น จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวได้
- ชั้นหนังแท้ (Dermis)
ชั้นหนังแท้เป็นชั้นที่มีโครงสร้างสำคัญหลายด้าน และต่อมไขมัน (Sebaceous gland) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตซีบัม (Sebum) เมื่อร่างกายผลิตน้ำมันมากเกินไป รวมตัวกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว จะก่อให้การอุดตันรูขุมขนและสิวตามมาได้ หากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes ในซีบัมจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและสิวอักเสบตามมาได้อีกด้วย
- ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous fat)
ชั้นไขมันใต้ผิวหนังเป็นชั้นที่ลึกที่สุด ช่วยรองรับโครงสร้างผิวหนัง ทำหน้าที่ในการให้ความอบอุ่นและการเก็บพลังงาน แม้ไขมันใต้ผิวหนังไม่ใช่ต้นเหตุโดยตรงของสิว แต่มีความเกี่ยวข้องทางอ้อมที่ส่งผลต่อการเกิดสิวได้
สิวไม่ได้เกิดจากชั้นไขมันใต้ผิวหนังโดยตรง แต่ความหนาและการทำงานของชั้นนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องทางอ้อม
วิธีการรักษาสิวจากต่อมไขมัน
สิวที่เกิดจากการผลิตน้ำมันส่วนเกินของต่อมไขมัน มักเกี่ยวกับการอุดตันของรูขุมขนและการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย Cutibacterium acnes ทำให้เกิดสิวอุดตัน สิวอักเสบ หรือสิวหัวหนองได้ โดยการรักษาสิวที่เกิดจากการผลิตน้ำมันของต่อมไขมันสามารถทำได้ ดังต่อไปนี้
- การดูแลผิวอย่างเหมาะสม
ในการรักษาสิวที่เกิดจากการผลิตน้ำมันส่วนเกินของต่อมไขมัน ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิวและช่วยควบคุมความมัน รวมถึงใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมช่วยลดน้ำมันและหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันหรือสารที่อุดตันรูขุมขน (Comedogenic)
- การใช้ยารักษาเฉพาะที่
การรักษาสิวที่เกิดจากการผลิตน้ำมันส่วนเกินของต่อมไขมัน สามารถใช้ยาเฉพาะที่ในการลดการอุดตันและฆ่าเชื้อแบคทีเรียบนผิว หรือผลิตภัณฑ์ที่ที่ช่วยลดการอักเสบ ควบคุมเชื้อแบคทีเรีย และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอได้ แต่ทั้งนี้การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์
- การใช้ยารับประทาน
การรักษาสิวที่เกิดจากการผลิตน้ำมันส่วนเกินของต่อมไขมัน สามารถใช้ยาปฏิชีวนะในการรับประทานในการลดเชื้อ ลดการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมัน และลดการอักเสบได้ สำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวอักเสบรุนแรง แต่ทั้งนี้การเลือกยารับประทานเพื่อการรักษาสิว ควรอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์
- การทำหัตถการทางการแพทย์
การรักษาสิวที่เกิดจากการผลิตน้ำมันส่วนเกินของต่อมไขมัน สามารถทำหัตถการทางการแพทย์ในการใช้รักษาได้หลายวิธี เช่น การใช้ Aviclear ในการทำลายต่อมไขมันที่ผลิตน้ำมันส่วนเกิน
- การปรับพฤติกรรม
การรักษาสิวที่เกิดจากการผลิตน้ำมันส่วนเกินของต่อมไขมัน การปรับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นสิวและการออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อลดความเครียดและปรับสมดุลฮอร์โมน รวมทั้งพักผ่อนให้เพียงพอและดูแลความสะอาดของสิ่งต่าง ๆ ที่สัมผัสกับหน้าให้สะอาด จะช่วยลดการเกิดสิวและทำให้สิวหายได้
การรักษาสิวจากต่อมไขมันควรทำแบบรวม ทั้งการใช้ยา การดูแลผิว และการปรับพฤติกรรม โดยการเลือกวิธีรักษาสิวควรเลือกให้เหมาะสมกับความรุนแรงของสิวและคำแนะนำของแพทย์
สิวเกิดจากปัจจัยที่ซับซ้อนหลายด้านร่วมกัน โดยไขมันใต้ผิวหนังไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงในการเกิดสิว แต่มีผลทางอ้อมในการเกิดสิวผ่านการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและระบบเผาผลาญ ซึ่งอาจกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้น ขณะที่น้ำมันที่ผลิตโดยต่อมไขมัน กรดไขมันอิสระ ที่เกิดจากการย่อยสลายของซีบัมโดยแบคทีเรีย และไขมันจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป ถือเป็นปัจจัยโดยตรงที่เกี่ยวข้องกับการอุดตันของรูขุมขนและการอักเสบที่ก่อให้เกิดสิวได้
*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

