รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ดีจริงไหม ? บอกลานอนกรน แบบไม่ต้องผ่าตัด 

รักษาอาการนอนกรน

ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




    วันที่สะดวกในการติดต่อ








    รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ดีจริงไหม ? บอกลานอนกรน แบบไม่ต้องผ่าตัด 

    นอนกรน ไม่ใช่เรื่องตลก อาการนอนกรนนอกจากจะเป็นเรื่องที่กวนใจผู้คนรอบข้างแล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพของผู้ที่นอนกรนอีกด้วย หากปล่อยไว้อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพโรคเรื้อรังอื่น ๆ ตามมาได้ รู้จักกับ รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ดีจริงไหม ? บอกลานอนกรน แบบไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น ทางเลือกใหม่ที่คนนอนกรนต้องรู้จัก

     

    ปัญหานอนกรน ส่งผลกระทบอะไรบ้าง?

    นอนกรนใครว่าไม่มีปัญหา การนอนกรน ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาสุขภาพที่หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่รู้ ซึ่งการนอนกรนนั้นจะส่งผลต่อคุณภาของการนอนหลับโดยตรง ทำให้นอนหลับไม่สนิท และรู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลียหลังตื่นนอนได้ นอกจากนี้ การนอนกรนยังส่งผลกระทบในอีกหลาย ๆ เรื่อง ได้แก่

    • อาการนอนกรนเสี่ยงต่อภาวะนอนหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งอาจทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนได้
    • อาการนอนกรนเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง
    • อาการนอนกรนทำให้เสี่ยงต่อโรคอ้วนลงพุงเพิ่มขึ้น 
    • อาการนอนกรนอาจส่งผลต่อสุขภาพจิต ทำให้อารมณ์เสียได้ง่ายขึ้น ทั้งยังมีผลต่อบุคลิกภาพอีกด้วย
    • อาการนอนกรนเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุขณะขับขี่ เนื่องจากอาการง่วงนอน และเหนื่อยล้าได้
    • อาการนอนกรนอาจเกิดเสียงดังรบกวนคนในบ้าน ทำให้เกิดอาการนอนไม่พอ
    • อาการนอนกรนอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ของคู่สมรส ซึ่งอาจจะเกิดปัญหานอนไม่หลับได้

     

    ดังนั้นการนอนกรนจึงถือเป็นทั้งปัญหาสุขภาพ และปัญหาในด้านความสัมพันธ์ เนื่องจากการนอนกรนนั้นมีผลกระทบต่อคนรอบข้าง การรักษาอาการนอนกรนจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ในปัจจุบันก็มีวิธีรักษาอาการนอนกรนที่ทันสมัย ปลอดภัย อย่างการทำ Snore Laser หรือการเลเซอร์แก้นอนกรน 

     

    รักษาอาการนอนกรน Snore Laser
    รักษาอาการนอนกรน Snore Laser

     

    รักษาอาการนอนกรน Snore Laser

    อาการนอนกรน เกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในลำคอ โดยกล้ามเนื้อทางเดินหายใจเกิดการหย่อนตัวขณะหลับ เมื่ออากาศไหลผ่านทางเดินหายใจที่แคบลง ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของเพดานอ่อน ลิ้นไก่ ลิ้น หรือเนื้อเยื่อรอบ ๆ ลำคอ จึงส่งผลทำให้เกิดเสียงกรนขึ้น

     

    เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน (Snore Laser) คือ วิธีรักษาอาการนอนกรนโดยการใช้เลเซอร์ชนิดเออร์เบียม (Er: YAG laser) ยิงเข้าไปภายในช่องปาก บริเวณเพดานอ่อน กระพุ้งแก้ม ลิ้นไก่ และโคนลิ้น โดยความร้อนจากเลเซอร์ จะเข้าไปและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้เนื้อเยื่อที่หย่อนตัวกระชับเข้ากับเพดานอ่อนและลิ้นไก่ ช่วยเปิดช่องทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น ทำให้สามารถหายใจได้สะดวกขึ้น Snore Laser ช่วยกระชับเนื้อเยื่อช่องคอไม่ให้หย่อนลงมาปิดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ ช่วยลดอาการนอนกรน และลดความเสี่ยงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น ซึ่งการรักษาอาการนอนกรน ด้วย  Snore Laser นั้นสามารถทำได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ใช้เวลาไม่นาน อีกทั้งยังไม่ต้องพักฟื้นนาน

     

    ทำไมต้องรักษานอนกรนด้วยเลเซอร์ Snore Laser

    ทำไมต้องรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เลเซอร์รักษานอนกรนถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่มีปัญหานอนกรนเสียงดัง นอนกรนถี่ ทำให้คุณภาพการนอน และสุขภาพเริ่มมีปัญหา การรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser จะช่วยแก้ปัญหาการนอนกรน ลดความเสี่ยงภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นระดับเล็กน้อย-ปานกลางที่มีประสิทธิภาพสูง  ซึ่งการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เป็นการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีต้องใช้อุปกรณ์เสริม ใช้เวลาประมาณ 30 นาที และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่หลังทำครั้งแรก

     

    รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ดีอย่างไร?

    • รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น 
    • รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ช่วยทำให้อาการนอนกรนลดลง สามารถรักษาอาการนอนกรนได้ตั้งแต่ครั้งแรก
    • รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนหลับให้ดีขึ้น หลับได้ลึก ทำให้ลดอาการอ่อนเพลีย และอาการง่วงหลังตื่น
    • รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser หลังทำอาการนอนกรนสามารถลดลงถึง 80% โดยใช้เวลาในการทำประมาณ 30-45 นาทีต่อครั้ง 
    • รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser สามารถทำการรักษาต่อเนื่อง 3 ครั้ง โดยห่างกัน 2 และ 4 สัปดาห์ ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
    • รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser มีความปลอดภัย ใช้เลเซอร์ชนิดเออร์เบียมที่ได้รับการรับรองจาก FDA หรือองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาว่ามีความปลอดภัย ลดผลข้างเคียง ลดความบอบช้ำของเนื้อเยื่อโดยรอบ และช่วยให้ฟื้นฟูได้เร็ว

     

    รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เหมาะกับใคร?
    รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เหมาะกับใคร?

     

    รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เหมาะกับใคร?

    1. Snore Laser เหมาะกับผู้ที่มีอาการนอนกรนระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง หรือมีอาการนอนกรนที่เกิดจากเพดานอ่อนหย่อนตัว หรือทางเดินหายใจแคบ
    2. Snore Laser เหมาะกับผู้ที่เสี่ยงภาวะหยุดหายใจขณะหลับระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
    3. Snore Laser เหมาะกับผู้ที่มีปัญหานอนหลับไม่สนิท รู้สึกง่วง และอ่อนเพลียตอนกลางวัน ตื่นกลางดึกบ่อย เพราะรู้สึกเหมือนหายใจไม่สะดวก
    4. Snore Laser เหมาะกับผู้ที่ต้องการรักษาอาการนอนกรนแบบไม่ต้องผ่าตัด หรือไม่ต้องการใช้อุปกรณ์ระหว่างนอน การทำ Snore Laser ถือเป็นทางเลือกที่ดี เพราะไม่มีแผลผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น
    5. Snore Laser เหมาะกับผู้ที่ต้องการรักษาอาการนอนกรน ที่รบกวนคนรอบข้าง ต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว

     

    รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ไม่เหมาะกับใคร?

    1. Snore Laser ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับระดับรุนแรง อาจจะต้องพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น เครื่องช่วยหายใจ CPAP หรือการผ่าตัด หากสงสัยว่าตัวเองมี OSA ควรเข้ารับการตรวจ Sleep Test ก่อน
    2. Snore Laser ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาโครงสร้างทางเดินหายใจที่มีความซับซ้อน เช่น ลิ้นไก่ยาวผิดปกติ ต่อมทอนซิลโต หรือผนังกั้นโพรงจมูกคดอาจจะต้องใช้การรักษาวิธีอื่นร่วมด้วย
    3. Snore Laser ไม่เหมาะกับผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนรุนแรง หรือผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) สูงมาก อาจต้องลดน้ำหนักก่อนเพื่อให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพ
    4. Snore Laser ไม่เหมาะกับผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์แบบถาวรโดยไม่ปรับพฤติกรรม หากไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลสุขภาพ อาการนอนกรนก็สามารถกลับมาได้
    5. Snore Laser ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์และให้นมบุตร

     

    รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ต้องเตรียมตัวอย่างไร?

    ก่อนเข้ารับการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ควรตรวจเช็กสภาพร่างกายของตนเองและปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อให้การรักษาได้ผลดีที่สุด

    1. วัดระดับการนอนกรนล่วงหน้า สามารถตรวจอาการนอนกรน ได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การซักประวัติจากแพทย์ การตรวจการนอนหลับ (Sleep Test) หรือการตรวจวินิจฉัยด้วยภาพถ่ายเอกซเรย์ CT scan หรือ MRI และการใช้แอปพลิเคชัน SnoreLab หรืออุปกรณ์บันทึกเสียง เพื่อวัดระดับเสียงกรน จากนั้นนำผลที่ได้ไปปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินการรักษาอาการนอนกรน
    2. ตรวจสอบสุขภาพก่อนรักษาอาการนอนกรน ว่าไม่มีไข้หวัด หรือการติดเชื้อทางเดินหายใจ หากมีอาการคัดจมูก เจ็บคอ หรือไอ ควรรักษาให้หายดีก่อน
    3. งดยาแอสไพรินและยาต้านการแข็งตัวของเลือดชั่วคราว เนื่องจากยากลุ่มนี้อาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดยา
    4. ตรวจเช็กสุขภาพช่องปาก ก่อนการรักษาอาการนอนกรนต้องไม่มีแผลในปาก หรือแผลร้อนใน เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองจากเลเซอร์ได้
    5. รับประทานอาหาร และดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื่องจากการรักษาอาการนอนกรน Snore Laser ไม่จำเป็นต้องงดน้ำ หรืออาหาร ก่อนทำเหมือนการผ่าตัด

     

    รักษาอาการนอนกรนด้วยเลเซอร์ Snore Laser มีขั้นตอนอย่างไร?

     

    1. ตรวจเช็กสภาพร่างกาย ในชั้นตอนแรกแพทย์จะทำการตรวจเช็กโครงสร้างทางเดินหายใจ เช่น เพดานอ่อน ลิ้นไก่ และลำคอ จากนั้นจะทำการประเมินความรุนแรงของอาการนอนกรน เพื่อพิจารณาว่าการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เหมาะสมหรือไม่
    2. ทำการรักษาโดยการยิงเลเซอร์ชนิด Er: YAG laser ทำการยิงไปที่เพดานอ่อนและเนื้อเยื่อในลำคอ ซึ่งเลเซอร์จะเข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้เนื้อเยื่อกระชับ ลดการสั่นสะเทือนที่ทำให้เกิดเสียงกรนได้
    3. ระหว่างการรักษาอาการนอนกรน อาจทำให้ลำคอรู้สึกแห้งเล็กน้อย สามารถพักจิบน้ำเป็นระยะ ๆ  เพื่อช่วยให้รู้สึกสบายขึ้นขณะทำการรักษา
    4. รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เป็นวิธีที่ ไม่ต้องใช้ยาชา ไม่ต้องผ่าตัด และไม่มีแผล โดยจะใช้เวลารักษาประมาณ 30-45 นาทีต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล
    5. หลังรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เสร็จ ไม่ต้องพักฟื้น สามารถรับประทานอาหารและดื่มน้ำได้ตามปกติหลังทำเสร็จ และควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด และเครื่องดื่มร้อนหรือเย็นจัด ในช่วง 1 สัปดาห์แรกหลังทำ

     

    รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser หลังทำต้องปฏิบัติตัวอย่างไร

    • การรักษาด้วยเลเซอร์อาจทำให้ลำคอแห้ง ในช่วงสัปดาห์แรกจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ เพื่อช่วยให้เนื้อเยื่อฟื้นตัวเร็วขึ้น
    • หลังทำ 1 สัปดาห์ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด เช่น อาหารเผ็ด เปรี้ยว หรือเค็มจัด  เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองที่ลำคอที่ทำการรักษาได้  
    • หลังทำ 1 สัปดาห์ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ร้อนหรือเย็นเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองที่เนื้อเยื่อบริเวณที่ทำเลเซอร์

     

    รักษาอาการนอนกรนมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

    หลังทำการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser อาจจะมีผลข้างเคียงเล็กน้อย แต่อาการจะค่อย ๆ หายไปเองตามธรรมชาติ 

    • หลังทำการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser อาจรู้สึกลำคอแห้ง หรือรู้สึกระคายเคืองลำคอในช่วง 1-2 วันแรก
    • หลังทำการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser อาจมีอาการไอเล็กน้อย เนื่องจากเนื้อเยื่อเพดานอ่อนตอบสนองต่อเลเซอร์
    • หลังทำการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ในบางรายอาจรู้สึกร้อนบริเวณลำคอขณะทำ แต่ไม่มีอาการปวด และอาการหายไปเองได้

    ทั้งนี้หากมีอาการผิดปกติอื่น ๆ นอกจากที่กล่าวมาข้างต้น เช่น ลำคอบวมมาก หรือรู้สึกกลืนลำบาก ควรรีบพบแพทย์ทันที

     

    อาการนอนกรน คืออะไร? 

    อาการนอนกรน เป็นเสียงที่เกิดขึ้นขณะหายใจเข้าและออกระหว่างการนอนหลับ โดยเกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในลำคอ ซึ่งมักเกิดจากการอุดกั้นของทางเดินหายใจบางส่วน ซึ่งการนอนกรนอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งความเหนื่อยล้า หรือท่านอนบางท่า แต่ในบางกรณีอาการนอนกรนก็อาจจะเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพ อย่าง ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea – OSA) ซึ่งอาจจะทำให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายได้ในระยะยาว จึงจำเป็นอย่างมากที่ควรรักษา

     

    อาการนอนกรน เป็นอย่างไร?
    อาการนอนกรน เป็นอย่างไร?

     

    อาการนอนกรน เป็นอย่างไร?

    อาการนอนกรนของแต่ละบุคคลนั้นก็จะมีลักษณะที่แตกต่างกันไป โดยบางคนอาจจะมีอาการนอนกรนเป็นครั้งคราว บางคนอาจจะมีอาการนอนกรนเสียงดังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพในการนอนได้ วิธีสังเกตว่าเราอาการนอนกรน ดังนี้

    • มีเสียงกรนขณะนอนหลับ
    • เสียงกรนจะดังขึ้นเมื่อเกิดการเปลี่ยนท่านอน
    • ขณะหลับอาจมีอาการสะดุ้งตื่น เพราะรู้สึกหายใจไม่ออก
    • ตื่นมาพร้อมกับอาการปวดหัว
    • รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลีย และง่วงนอนในตอนกลางวัน

    ทั้งนี้ หากพบว่ามีอาการนอนกรนเสียงดังร่วมกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือมีอาการหายใจสะดุดระหว่างหลับ ควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและรักษาตามลำดับ

     

    สาเหตุของอาการนอนกรนเกิดจากอะไร? 

    อาการนอนกรนสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างทางเดินหายใจ พฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือปัญหาสุขภาพ ดังนี้

    1. โครงสร้างทางเดินหายใจ
    • อาการนอนกรนเกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณลำคอเกิดการหย่อนตัว โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง 
    • อาการนอนกรนเกิดจากโครงสร้างลำคอที่แคบกว่าปกติ ทำให้อากาศไหลผ่านลำบาก จึงเกิดอาการกรนได้
    • อาการนอนกรนเกิดจากลิ้นไก่หรือเพดานอ่อนยาวผิดปกติ อาจทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจได้
    • อาการนอนกรนเกิดจากผนังกั้นโพรงจมูกคด ทำให้หายใจทางจมูกลำบาก จึงเพิ่มโอกาสในการนอนกรนได้
    • อาการนอนกรนเกิดจากต่อมทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์โต พบมากในเด็กและอาจเป็นสาเหตุของการนอนกรน
    1. พฤติกรรมการใช้ชีวิต
    • อาการนอนกรนเกิดจากโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกิน ไขมันที่สะสมรอบคออาจกดทับทางเดินหายใจ ทำให้เกิดอาการกรน
    • อาการนอนกรนเกิดจากการนอนหงาย จะทำให้ลิ้นและเพดานอ่อนตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจได้
    • อาการนอนกรนเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์และยานอนหลับ ทำให้กล้ามเนื้อในลำคอหย่อนตัวมากขึ้น
    • อาการนอนกรนเกิดจากการสูบบุหรี่ ทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อในลำคอและเพิ่มเมือกในทางเดินหายใจ ทำให้หายใจได้ลำบาก
    • อาการนอนกรนเกิดจากการอดนอนหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้อลำคออ่อนแรงมากขึ้น ทำให้เกิดอาการกรน
    1. ปัญหาสุขภาพ
    • อาการนอนกรนเกิดจากโรคหยุดหายใจขณะหลับ เป็นภาวะที่ทางเดินหายใจอุดกั้นขณะหลับ ทำให้ร่างกายต้องตื่นขึ้นเพื่อหายใจ มักมีอาการหายใจสะดุด สะดุ้งตื่นกลางดึก และง่วงนอนตอนกลางวัน
    • อาการนอนกรนเกิดจากโรคภูมิแพ้ หรือภาวะคัดจมูกเรื้อรัง ทำให้หายใจไม่สะดวก ต้องอ้าปากหายใจแทน จึงทำให้เกิดการนอนกรนได้
    • อาการนอนกรนเกิดจากภาวะไทรอยด์ต่ำ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณลำคอเกิดการอ่อนแรง

     

    อาการนอนกรน ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร?

    แม้ว่าอาการนอนกรนจะดูเหมือนปัญหาเล็ก ๆ แต่อาการนอนกรนหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว รวมถึงส่งผลต่อการใช้ชีวิตได้

    1. อาการนอนกรนส่งผลต่อคุณภาพการนอน การนอนหลับไม่สนิทจะทำให้รู้สึกง่วงนอนในระหว่างวัน เนื่องจากตอนกลางคืนตื่นบ่อย เพราะหายใจไม่สะดวก
    2. อาการนอนกรนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือเบาหวานชนิดที่ 2
    3. ส่งผลต่อสมองและอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น สมาธิสั้น ความจำแย่ลง อารมณ์แปรปรวน มีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้า มีอาการปวดหัวตอนเช้าหลังตื่นนอน
    4. อาการนอนกรนกระทบต่อคนรอบข้าง เสียงกรนดังอาจรบกวนการนอนของคนข้าง ๆ ส่งผลให้เกิดปัญหากับครอบครัวหรือคู่รักได้

     

    อาการนอนกรน แบบไหนถึงควรพบแพทย์

    อาการนอนกรน บางครั้งอาจจะเกิดจากความเหนื่อยล้า หรือปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย แต่หากการนอนกรนที่มีเสียงดังมาก มีอาการหายใจสะดุด หรือรู้สึกง่วงผิดปกติในเวลากลางวัน อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพได้ หากมีอาการดังต่อนี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอาการนอนกรนต่อไป

    1. นอนกรนเสียงดังมากจนรบกวนคนรอบข้าง หากมีการนอนกรนเสียงดังมากในขณะหลับ หรือมีเสียงกรนเมื่อนอนหงาย
    2. มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือมีอาการหายใจสะดุด หรือหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ขณะหลับ ทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก รวมถึงมีอาการไอสำลักน้ำลาย ทำให้หายใจติดขัดเวลานอน
    3. รู้สึกไม่สดชื่นหรือมีอาการง่วงผิดปกติ หลังตื่นนอนแม้นอนเต็มอิ่ม มีอาการอ่อนเพลีย สมองไม่ปลอดโปร่ง รู้สึกง่วงตอนกลางวัน
    4. มีอาการปวดหัวตอนเช้า ซึ่งอาจเกิดจากออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอขณะหลับ อาจจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงได้
    5. มีภาวะอารมณ์แปรปรวน และมีปัญหาด้านความจำ สมาธิสั้น ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง

     

    อาการนอนกรน มีผลข้างเคียงอย่างไร

    อาการนอนกรนนั้นส่งผลกระทบในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาสุขภาพ ปัญหาการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงปัญหาครอบครัวได้ นอกจากนี้อาการนอนกรนยังมีผลข้างเคียงกับร่างกาย ดังนี้

     

    • ไม่มีสมาธิ หลงลืมง่าย
    • นอนไม่อิ่ม ไม่สดชื่นตอนตื่นนอน
    • ง่วงนอนระหว่างวัน เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย
    • ปวดหัวตอนเช้า 
    • เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่จากอาการเหนื่อยล้า
    • สมรรถภาพทางเพศในเพศชายลดลง
    • อาจเกิดภาวะซึมเศร้า
    • อาจเกิดความดันโลหิตสูง
    • โรคหัวใจและหลอดเลือด 
    • นอกจากนี้อาการนอนกรนยังเสี่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับ และเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังหลาย ๆ โรค

     

    วิธีรักษาอาการนอนกรนที่ได้ผลจริง

    ปัจจุบันมีวิธีรักษาอาการนอนกรนที่หลากหลายและได้ผลดีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การรักษาทางการแพทย์ อย่าง Snore Laser เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน หรือการปรับพฤติกรรม ดังนี้

     

    ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อรักษาอาการนอนกรน

    เป็นวิธีที่ง่ายและมีความปลอดภัยที่สุดสำหรับการรักษาอาการนอนกรน สำหรับอาการนอนกรนที่เกิดจากการพฤติกรรมการใช้ชีวิต

    • หลีกเลี่ยงการนอนหงาย เพราะอาจทำให้ลิ้นตกไปปิดกั้นทางเดินหายใจ แนะนำให้นอนตะแคง จะช่วยทำให้หายใจได้สะดวกมากขึ้น 
    • ลดน้ำหนัก จะช่วยลดไขมันรอบลำคอที่อาจไปกดทับทางเดินหายใจ
    • การออกกำลังกายและควบคุมอาหารช่วยให้กล้ามเนื้อลำคอแข็งแรงขึ้น
    • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่ เนื่องจากทำให้กล้ามเนื้อลำคอหย่อนตัวมากขึ้น รวมถึงเกิดการระคายเคืองและอักเสบในทางเดินหายใจ ส่งผลให้เกิดอาการนอนกรน

     

    อุปกรณ์ช่วยรักษาอาการนอนกรน 

    สำหรับผู้ที่มีอาการนอนกรนรุนแรง หรือไม่สามารถแก้ไขด้วยการปรับพฤติกรรมเพียงอย่างเดียว อาจต้องใช้อุปกรณ์ช่วย

    • เครื่องช่วยหายใจ CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเป่าลมเข้าไปเปิดทางเดินหายใจ เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA)
    • อุปกรณ์ครอบฟันกันกรน เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเลื่อนขากรรไกรไปด้านหน้าเล็กน้อย เพื่อลดการอุดกั้นทางเดินหายใจ ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่นอนกรนระดับปานกลาง
    • หมอนลดอาการนอนกรน ช่วยปรับตำแหน่งของศีรษะและลำคอให้อยู่ในแนวที่เหมาะสม ช่วยลดแรงกดที่ทางเดินหายใจและช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น

     

    การรักษาทางการแพทย์สำหรับอาการนอนกรน 

    สำหรับผู้ที่มีปัญหานอนกรนเสียงดัง หรือเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ และใช้อุปกรณ์ช่วยรักษาอาการนอนกรนไม่ได้ผลนั้น อาจต้องพิจารณาแนวทางการรักษาทางการแพทย์

    • เลเซอร์รักษานอนกรน Snore Laser ช่วยกระตุ้นการทำงานของเนื้อเยื่อบริเวณลำคอและเพดานอ่อนให้แข็งแรงขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะนอนกรนไม่รุนแรง
    • การผ่าตัดรักษานอนกรน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาโครงสร้างทางเดินหายใจ เช่น ผนังกั้นโพรงจมูกคด หรือต่อมทอนซิลโต

     

    อาการนอนกรน เป็นสัญญาณของโรคอะไรบ้าง?
    อาการนอนกรน เป็นสัญญาณของโรคอะไรบ้าง?

     

    อาการนอนกรน เป็นสัญญาณของโรคอะไรบ้าง? 

    อาการนอนกรน ไม่ใช่แค่ปัญหากวนใจในตอนกลางคืน แต่ยังอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรงบางอย่างที่ส่งผลต่อสุขภาพระยะยาวได้

    ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

    • มีอาการนอนกรนเสียงดังมาก และหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ขณะหลับ ทำให้สะดุ้งตื่นกลางดึก เพราะรู้สึกหายใจไม่ออก ส่งผลให้ปวดหัวหลังตื่นนอน และเกิดอาการง่วงนอนที่มากกว่าปกติในเวลากลางวัน 

    โรคหัวใจและหลอดเลือด 

    • อาการนอนกรนที่เกิดจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับ จะทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดลง และส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น จึงเสี่ยงต่อภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และเพิ่มโอกาสการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และหัวใจวายได้

    โรคความดันโลหิตสูง

    • เมื่อร่างกายขาดออกซิเจนจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองต่อการขาดออกซิเจน ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง 

    โรคสมองเสื่อม

    • อาการนอนกรน และภาวะหยุดหายใจขณะหลับนั้น อาจทำให้ร่างกายนำออกซิเจนไปเลี้ยงที่สมองได้ไม่เพียงพอ ส่งผลให้หลังตื่นนอนมีการอาการง่วง เหมือนนอนไม่เต็มอิ่ม ขาดสมาธิ เกิดอาการหลงลืม สมองล้า ซึ่งหากเป็นแบบนี้ในเวลานาน ๆ อาจส่งผลให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น และเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ได้ในอนาคต

     

    คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser

    รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ช่วยรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ได้หรือไม่?

    • Snore Laser เป็นวิธีที่รักษาอาการนอนกรน และรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ที่เกิดจากการอุดกั้นระดับเล็กน้อยถึงปานกลางได้ แต่ไม่สามารถรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับในระดับรุนแรงได้ หากมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ในระดับที่รุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาอื่น ๆ 

     

    รักษาอาการนอนกรนต้องทำกี่ครั้ง ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?
    รักษาอาการนอนกรนต้องทำกี่ครั้ง ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?

     

    รักษาอาการนอนกรนต้องทำกี่ครั้ง ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน? 

    • หากต้องการผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด ควรทำ Snore Laser ประมาณ  3 ครั้งขึ้นไป ซึ่งหลังทำครบคอร์สนั้นจะช่วยลดอาการนอนกรนได้ถึง 80% และประสิทธิภาพสามารถคงอยู่ได้นาน 6 เดือน – 2 ปี ทั้งนี้ระยะเวลาของผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและสุขภาพของแต่ละบุคคล 

     

    รักษาอาการนอนกรนต้องทำซ้ำไหม?

    • สำหรับใครที่สงสัยว่าการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser สามารถทำซ้ำได้ไหม หรือต้องทำซ้ำไหมนั้น หากอาการกรนกลับมา สามารถทำ Snore Laser ซ้ำปีละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยคงผลลัพธ์ให้ยาวนานขึ้นได้

    รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ถือเป็นหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการรักษาอาการนอนกรน แต่ไม่อยากผ่าตัด ไม่อยากใส่อุปกรณ์เสริมระหว่างนอน ซึ่งการทำ Snore Laser เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการนอนกรน และเสี่ยงอยู่ในภาวะหยุดหายใจขณะหลับในระดับเล็กน้อย ที่ต้องการเพิ่มคุณภาพการนอนให้ดีขึ้น หลับสนิทขึ้น และช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว สำหรับท่านใดที่สนใจ รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser สามารถเข้ามาสอบถามได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา