ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
ร้อยไหมยกกระชับ ปรับหน้าเรียว โดยไม่ต้องผ่าตัด
การร้อยไหม เป็นหัตถการที่เราได้ยินกันมานับสิบปี และเป็นหัตถการที่มีวิวัฒนาการมาแบบยาวนาน ที่หลาย ๆ คนได้ยินกันมาว่ามีตั้งแต่ ร้อยไหมแบบปลอดภัย และไม่ปลอดภัย รวมทั้งยังเป็นหัตถการที่มีความเชื่อต่าง ๆ ในการรักษามาอย่างมากมาย ทั้งเรื่องร้อยไหมแล้วไม่สามารถเข้าเรื่อง X-ray ได้ ร้อยไหมแล้วไม่ละลาย รวมไปจนถึงร้อยไหมเหมาะกับคนอายุมาก มากกว่าคนอายุน้อย ในบทความนี้จะมาไขข้อข้องใจทุกอย่างเกี่ยวกับการร้อยไหมกันอย่างหมดเปลือก
การร้อยไหมมีทั้งไหมแบบละลายและไม่ละลาย
ไหมที่ใช้ในการร้อยไหมสามารถแบ่งได้เป็นสองประเภท คือ ไหมแบบที่ร้อยไม่ถาวร และถาวร
โดยไหมแบบไม่ถาวร คือ ไหมละลาย ผลิตด้วยวัสดุที่หลากหลาย ที่ให้ผลลัพธ์ที่มีความแตกต่างกันออกไป สามารถแบ่งได้ ดังนี้
- ไหมที่ผลิตจากวัสดุ PDO
เป็นชื่อที่ ย่อมาจาก Polydioxanone เป็นวัสดุที่ใช้ในการผลิตไหมที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากไหม PDO จะเป็นไหมที่มีความยืดหยุ่น และมีความแข็งแรงเป็นอย่างมาก ทั้งยังไม่มีผลข้างเคียงหากได้รับการร้อยเข้าไปสู่ใต้ชั้นผิว เนื่องจากไม่มีสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ทั้งยังเป็นไหมที่ศัลยแพทย์ผ่าตัดเลือกใช้ในการผ่าตัดเย็บเส้นเลือดที่บริเวณหัวใจ
ไหมที่ผลิตจากวัสดุ PDO จะสามารถคงสภาพอยู่ใต้ชั้นผิวได้ 4 ถึง 6 เดือน
- ไหมที่ผลิตจากวัสดุ PLLA
เป็นชื่อที่ ย่อมาจาก Polylactic acid เป็นอีกหนึ่งวัสดุที่ได้รับความนิยม ในการนำมาผลิตเป็นไหมที่ใช้ในการร้อยไหม เนื่องจากเป็นวัสดุที่มีความหนา แข็งแรง มีความคงทน สามารถคงสภาพอยู่ใต้ผิวได้นาน แต่ยังเป็นวัสดุที่มีปัญหาเล็กน้อย ในด้านของการยืดหยุ่นที่มีความยืดหยุ่นน้อยกว่าไหมวัสดุ PDO
ไหมที่ผลิตจากวัสดุ PLLA จะสามารถคงสภาพอยู่ใต้ชั้นผิวได้ 1 ปี
- ไหมที่ผลิตจากวัสดุ PCL
เป็นชื่อที่ ย่อมาจาก Polycaprolactone เป็นวัสดุที่ใช้ในการร้อยไหมที่มีความยืดหยุ่นสูง ลดการขาดของไหมได้เป็นอย่างดี เนื่องจากไหมสามารถยืดหยุ่นตัวได้ตามการขยับของใบหน้า รวมทั้งการแสดงสีหน้าต่าง ๆ และยังสามารถคงสภาพใต้ผิวได้นาน
หากร้อยไหมที่อยู่ในกลุ่มไหมละลาย ไหมในกลุ่มนี้จะสามารถสลายตัวได้เอง โดยไม่ตกค้างอยู่ใต้ชั้นผิว และเมื่อสลายหมดแล้วสามารถมาทำการร้อยไหมใหม่ได้ตามความต้องการหรือตามคำแนะนำของแพทย์
ไหมที่ผลิตจากวัสดุ PCL จะสามารถคงสภาพอยู่ใต้ชั้นผิวได้ 1-2 ปี
ไหมไม่ละลาย
เป็นไหมประเภทที่ไม่ได้รับการรับรอง ในสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ของประเทศไทย เป็นไหมที่ได้รับความนิยมเมื่อหลายสิบปีก่อนเนื่องจากในยุคนั้นยังไม่มีไหมละลาย ผลิตจากวัสดุที่เป็นไหมทองคำ 99.9% มักจะนำมาใช้เพื่อยกกระชับและดึงใบหน้า แต่เมื่อใช้แล้วส่งผลกระทบมากกว่าข้อดี เนื่องจากเป็นโลหะจึงนับว่าเป็นแปลกปลอมที่ส่งผลอันตรายกับใบหน้า โดยการดูดซับความร้อน จึงส่งผลให้ในบางคนเมื่อร้อยไหมชนิดนี้ไปแล้วเกิดใบหน้าผิดรูป เกิดผังผืดที่ไม่ดีใต้ชั้นผิว รวมทั้งทำให้มีปัญหาเวลา X-ray หรือเข้าเครื่องสแกนโลหะ จึงทำให้ความนิยมเริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ และเลิกผลิตไปในที่สุด
ดังนั้นเมื่อพูดถึงไหมในบทความหลังจากนี้ จะกล่าวถึงไหมละลายทั้งหมด เพราะทุกการทำหัตถการ ความปลอดภัยในการรักษา จะเป็นที่ตั้งเสมอสำหรับรมย์รวินท์คลินิก
สำหรับการเลือกใช้ไหมในการร้อยไหมในแต่ละเคสนั้น แพทย์จะเลือกใช้ไหม ที่มีความเหมาะสมกับปัญหาของคนไข้แต่ละท่าน รวมทั้งบริเวณที่ต้องการทำการร้อยไหมด้วย
การทำงานของไหมเมื่อทำการร้อยไหมที่ใบหน้า
เริ่มต้นจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้เข็มในการนำพาเส้นไหมเข้าบริเวณใต้ผิว เพื่อให้ผลในด้านการยกกระชับ และตึงผิว ตามเทคนิคและบริเวณที่ต้องการทำการรักษา โดยแพทย์แต่ละท่าน และไหมแต่ละชนิด จะมีวิธีการร้อย รวมถึงเทคนิคในการร้อยไหมที่แตกต่างกันไปตามชนิด รวมทั้งลักษณะของไหม หากเคยทำการร้อยไหมมาแล้ว ในครั้งต่อไปแพทย์ได้ทำการร้อยไหมด้วยการใช้เทคนิคที่แตกต่างไปจากเดิมจึงไม่ต้องกังวล อาจมีการเปลี่ยนชนิด หรือวัสดุของไหมจึงทำให้รูปแบบการรักษาของแพทย์ที่เปลี่ยนไปจากเดิมได้
การร้อยไหมทุกชนิดวัสดุจะมีหลักการในการรักษาที่เหมือนกัน จากการทำงานของไหมและเนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ชั้นผิว โดยเมื่อร้อยไหมเข้าไปผู้ใต้ชั้นผิวแล้ว ไหมจะทำงานด้วยการเข้าไปกระตุ้นใต้ชั้นผิวให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ กระตุ้นการหมุนเวียนของเลือดให้เลือดมาเลี้ยงผิวหนังบริเวณที่ทำการร้อยไหมได้เพิ่มมากขึ้น จากนั้นจะทำให้เกิดการกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาส เป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิว ให้เกิดการสร้างตัวขึ้นมาใหม่โดยการพันรอบแนวเส้นไหม ส่งผลในการรักษา คือการยกกระชับ และดึงใบหน้าให้มีความเต่งตึง ให้ผิวที่แน่นมากขึ้น และยังทำให้ผิวบริเวณที่ทำการร้อยไหมมีความอิ่มฟูและดูดีดูใสมากยิ่งขึ้น
ข้อดีของการร้อยไหมละลาย
- สามารถสร้างคอลลาเจนที่เกิดจากการสร้างโดยร่างกายของตัวเองในใต้ชั้นผิว
- การร้อยไหมทำให้ผิวมีความกระชับขึ้น
- ลดความหย่อนคล้อยของใบหน้า
- สามารถแก้ปัญหาใบหน้าไม่เท่ากันได้
- ผิวมีความอิ่มฟูขึ้นจากการร้อยไหม
- การร้อยไหมสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ
- ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำการร้อยไหม
- ไม่มีแผลเป็น
- ไม่มีสารตกค้าง ไม่ต้องฉีดตัวยา
- การร้อยไหมทำให้เลือดเกิดการไหลเวียนดีขึ้น
ร้อยไหมละลายสามารถแก้ปัญหาใดได้บ้าง
- เพิ่มความชัดของกรอบหน้า
- กระชับเหนียงและไขมันใต้คาง
- เก็บแก้ม
- เก็บกระเปราะแก้ม
- ยกหางคิ้ว
- ยกหางตา
- ปรับใบหน้าให้มีความเรียวสวยมากยิ่งขึ้น
- แก้ปัญหาร่องแก้ม
- ยกมุมปาก
- แก้ปัญหาร่องน้ำหมาก
ลักษณะ รูปร่างของเส้นไหมที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน
รูปร่างและลักษณะของเส้นไหมที่ใช้กันในปัจจุบันมีลักษณะที่หลากหลายมาก เกิดขึ้นจากการพัฒนา และปรับเพื่อให้เหมาะสมกับปัญหาของผู้เข้ารับบริการแต่ละคนให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีที่สุด โดยลักษณะไหมแต่ละชนิดสามารถแจกแจงได้ ดังนี้
1.Mono thread เส้นไหมที่มีลักษณะเรียบ
- ไหมชนิดนี้จะมีลักษณะไหมที่มีเส้นตรง เรียบ ตั้งแต่ต้นจรดปลาย ไม่มีการปาด บาก หรือสลักเส้นไหม จะมีเส้นไม่ยาว โดยแพทย์จะใช้ไหมชนิดนี้ในการร้อยเพื่อช่วยในการฟื้นฟูผิวให้ดีมากยิ่งขึ้น ให้มีความตึง กระชับ และสร้างคอลลาเจนให้เกิดขึ้นใต้ชั้นผิวมากยิ่งขึ้น ไหมชนิดนี้มักเป็นไหมที่แพทย์ไม่ได้ใช้ร้อยเพื่อยกกระชับ แต่ร้อยไหมชนิดนี้เพื่อคุณภาพผิวที่ดีขึ้น และกระชับมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งอาการที่จะเกิดขึ้นหลังทำการร้อยไหมชนิด Mono thread จะทำให้ใบหน้ามีความบวมขึ้นเล็กน้อย จึงทำให้หลังทำผู้เข้ารับบริการจะรู้สึกใบหน้ามีความเต่ง อิ่ม และตึงมากยิ่งขึ้นหลังทำทันทีนั่นเอง
2. Screw thread เส้นไหมที่มีลักษณะเกลียว
- ไหมชนิดนี้จะมีลักษณะเส้นเรียบตรงเหมือนกัน Mono thread หรือไหมชนิดเรียบ แต่ไหมจะมีความม้วน ขดเป็นรูปทรงเกลียวคล้ายคลึงกับลักษณะสปริง ไหมชนิดนี้จะมีทั้ง ไหมประกอบ 1 เส้น และไหม 2 เส้น ประกอบอยู่ด้วยกัน ตามแต่รุ่นของไหมที่ถูกพัฒนาออกมา ซึ่งไหมชนิดนี้จะเป็นไหมที่มีความแข็งแรง มากขึ้นกว่าไหม Mono thread หรือไหมชนิดเรียบ มักจะใช้ในบริเวณผิวที่มีความยุบ เป็นแอ่ง เป็นบ่อ หรือ หลวมเนื่องจากคอลลาเจนใต้ผิวหายไป แพทย์จะใช้ไหม Screw thread ในการเพิ่มมวลความหนาแน่น และความกระชับให้กับผิว
3.Barb thread (bidirectional barbed thread) เส้นที่มีไหมลักษณะเงี่ยง
- ไหมชนิดนี้คนมักจะรู้จักกันในชื่อไหมก้างปลา ไหมเงี่ยงกุหลาบ หรือไหมเทอนาโด เนื่องจากคลินิกต่าง ๆ นิยมนำไหมชนิดนี้มาตั้งชื่อทางการตลาดขึ้นมาใหม่ ตามลักษณะการรักษาและยกกระชับของไหม Barb Thread เป็นไหมยกกระชับที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากสามารถยกกระชับได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นไหมที่มีเงี่ยงที่มีลักษณะเหมือนหนาม แหลมออกมาจากเส้นไหม เพราะเกี่ยวรั้งผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น จึงมีความเหมาะสมที่จะใช้ในการยกกระชับ ลดความหย่อนคล้อย เงี่ยงของไหม Barb thread จะสามารถยื่น 1 หรือ 2 ทิศทางก็ได้
Barb thread เส้นที่มีไหมลักษณะเงี่ยง สามารถจำแนกประเภทของเงี่ยงได้ ดังนี้
Barb thread ที่มีลักษณะไหมเงี่ยงแบบบาก
ไหมเงี่ยงแบบบาก ในขั้นตอนการผลิตเส้นไหมจะมีการใช้กรรมวิธีบากไหมทั้งการใช้เลเซอร์ตัดห รือบากรวม ทั้งยังมีวิธีการอื่น ๆ ที่จะทำให้ไหมมีลักษณะเป็นซี่เหมือนกับเสี้ยนที่อยู่บนเปลือกไม้นั่นเอง
ลักษณะของเงี่ยงไหมสามารถจำแนกได้ดังนี้
- เงี่ยงไหมแบบ Uni-direction เป็นไหมที่มีลักษณะการบากไหมให้มีเงี่ยงเรียงตัวกันเป็นแนวยาวในทิศทางที่เรียงตรงกัน 1 แนว ด้านเดียว
- เงี่ยงไหมแบบ Bi-direction เป็นไหมที่มีลักษณะการบากไหมให้มีเงี่ยงเป็น 1 ด้านของไหม แต่มีเงี่ยงในลักษณะแบบสวนทาง แต่อยู่ในแนวเดียวกัน
- เงี่ยงไหมแบบ 3D Cog เป็นไหมที่มีลักษณะ การบากของเงี่ยง ที่มีการเรียงตัวเป็นแบบสามมิติวนไปทั่วทั้งความยาวของไหม ครบทั้ง 360 องศา
Barb thread ที่มีลักษณะไหมเงี่ยงแบบหล่อ
ไหมเงี่ยงชนิดนี้เป็นเงี่ยงที่ใช้กระบวนการหล่อขึ้นมาในขั้นตอนการผลิตเส้นไหมเลย โดยผลิตการออกแบบแม่พิมพ์ให้มีลักษณะเป็นเงี่ยง เหมือนกับก้านของดอกกุหลาบที่มีหนามออกมาจากก้านโดยไม่ต้องบากเส้นไหมนั่นเอง ซึ่งการผลิตไหมในลักษณะหล่อให้มีเงี่ยงแบบนี้ จะทำให้ได้ไหมที่มีความแข็งแรงสูง ส่งผลในการรักษา คือ สามารถเกาะกับผิวได้แน่นมากขึ้น
เงี่ยงของไหมหล่อ จะสามารถแบ่งออกเป็นชนิดได้อีก 3 ชนิด ดังนี้
- Carving cog เป็นลักษณะไหมเงี่ยง ที่มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยม ทั้งสองด้านของไหมเรียงตัวยาวตลอดเส้น
- Molding cog เป็นลักษณะไหมเงี่ยงที่การหล่อให้ไหมมีรอยแบบ ซี่ของใบเลื่อย หรือซี่ของฟันฉลาม หรือเรียกอีกอย่างว่าไหมสลัก
- 3D Molding cog เป็นลักษณะเงี่ยงของไหมที่ถูกหล่อให้เป็นหนามทรงสามเหลี่ยมที่มีขนาดใหญ่หว่าเงี่ยงชนิดอื่น ๆ โดยเงี่ยงชนิดนี้จะพันเป็นเกลียวอยู่รอบไหม
ความต่างของไหมเงี่ยงแบบบาก และไหมเงี่ยงแบบหล่อ
ไหมทั้งสองชนิดมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ในด้านความคงทนของไหม และความคงทนของเงี่ยงไหม
- ไหมเงี่ยงแบบบาก เป็นการสร้างเงี่ยงจากเส้นไหม ทำให้พื้นที่บริเวณเส้นไหมลดน้อยลง จึงทำให้ความแข็งแรงของเส้นไหม และความแข็งแรงของเงี่ยงน้อยลง
- ไหมเงี่ยงแบบหล่อ มีการสร้างเงี่ยงไหมขึ้นมาใหม่ จึงทำให้เส้นไหมและเงี่ยงมีความสมบูรณ์ จึงทำให้มีความคงทน แข็งแรงที่มากกว่าไหมเงี่ยงแบบบาก
4.เส้นที่มีไหมลักษณะเงี่ยงแบบกรวย
ไหมเงี่ยงชนิดนี้ มีลักษณะของเงี่ยงเป็นทรงกรวยล้อมอยู่รอบเส้นไหม โดยทรงกรวยดังกล่าวจะทำหน้าที่เกาะกับผิวหนัง ในบริเวณที่ทำการร้อยไหมได้เป็นอย่างดี ไม่อันตรายต่อผิว ไม่คม ไม่ขูด ไม่บาดผิว และป้องกันความเสียหายต่อผิวหนังได้มากกว่าไหมเงี่ยงชนิดอื่น ๆ
ข้อจำกัดของการร้อยไหมชนิดนี้ คือ ต้องทำการร้อยโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ และเชี่ยวชาญสูงมาก ๆ เนื่องจากเป็นไหมที่จะต้องอาศัยฝีมือในการร้อยไหม
5.เส้นที่มีไหมลักษณะเป็นโครงตาข่าย
- ไหมชนิดนี้ไม่เมีเงี่ยง ลักษณะภายนอก คือ การใช้ไหมที่มีความเรียบมาถักจนเกิดเป็นทรงตาข่าย หรือมีไหมบางรุ่นที่ใช้ไหมโครงตาข่ายเป็นด้านนอก และใช้ไหมเงี่ยงหล่อ รอบเส้น อยู่ด้านในของไหมโครงตาข่ายอีกหนึ่งที เป็นไหมชนิดที่สามารถยืดหยุ่นได้มากกว่า สร้างคอลลาเจนได้มากกว่า ทำใหผิวหน้ามีความฟูได้มากกว่า ทำให้ผิวมีความแน่นได้มากกว่าไหมชนิดอื่น ๆ
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการร้อยไหม
- ผู้เข้ารับบริการร้อยไหม ควรงดรับประทานยาจำพวกต้านการแข็งตัวของเลือด ทั้งวิตามินอาหารเสริม เพื่อให้ลดการเลือดออกมากจากการร้อยไหม
- ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1 วันก่อนทำการร้อยไหม
- ควรสระผมให้เรียบร้อยก่อนทำการร้อยไหม
- หากมีปัญหาผิวหน้า เช่น เป็นสิวอักเสบ ควรงดการเข้ารับบริการร้อยไหม และรอให้อาการดังกล่าวหายดีก่อน
ขั้นตอนการทำการร้อยไหม
- ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการประเมิน และวางแผนในบริเวณผนการร้อยไหม ให้ตรงกับปัญหาของผู้เข้ารับบริการ
- ทายาชา หรือฉีดยาชา
- ทำความสะอาดใบหน้า เพื่อเตรียมเข้ารับบริการ
- คุณหมอทำการวาดใบหน้า เพื่อเตรียมเข้ารับบริการ
- ทำการร้อยไหมด้วยความชำนาญ
- แปะพลาสเตอร์เพื่อทำการห้ามเลือด
การดูแลตัวเองหลังเข้ารับบริการร้อยไหม
- ควรประคบเย็นในบริเวณที่ทำการร้อยไหม เพื่อลดความบวม และบรรเทาอาการระบมเป็นระยะเวลา 3 วัน
- งดออกกำลังกายเป็นระยะเวลา 3 วัน เพื่อป้องกันการระบมของใบหน้าหลังการร้อยไหม
- งดการดื่มแอลกอฮอล์ 1 สัปดาห์หลังการร้อยไหม เพื่อลดอาการบวมของบริเวณที่ร้อยไหม
- งดการรับประทานอาหารหมักดอง ของแสลง และอาหารรสจัด เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์หลังการร้อยไหม เพื่อลดอาการบวมของบริเวณที่ร้อยไหม
- งดให้บริเวณที่ร้อยไหมโดนน้ำ เพื่อป้องกันการเกิดอาการติดเชื้อ
- งดทำเลเซอร์ ทรีตเมนต์ ซาวน่า หลังการร้อยไหม
ข้อควรระวังของการร้อยไหม หากไม่ได้ทำการร้อยไหมโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์
- อาจเกิดการเป็นปุ่ม ปม หรือเป็นรอยบุ๋ม บริเวณผิวหน้าที่ทำการร้อยไหมได้
- อาจเกิดการไหมขาดหลังทำการร้อยไหมได้
- หลังทำอาจเกิดความบวม เขียว ช้ำได้
- อาจเกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อในบริเวณที่ทำได้ หากร้อยไหมตึง หรือหย่อนเกินไป
- ไหมอาจเกิดการเคลื่อนจนเห็นผิวหนังหย่อน หรือคล้อยตกลงมา
ข้อเสียของการร้อยไหม
- การร้อยไหมไม่สามารถแก้ปัญหาริ้วรอย และร่องลึกได้
- การร้อยไหมไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ถาวร
- ในช่วงแรกของการร้อยไหมอาจจับเจอเส้นไหมได้
โรคอะไรบ้างที่ไม่ควรระวังในการทำการร้อยไหม
- โรคแพ้ภูมิตัวเอง
- โรคเบาหวาน
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคหัวใจ
- โรคไทรอยด์เป็นพิษ
ผู้ที่เป็นโรคประจำตัวดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษา เพื่อปรึกษาหาข้อตกลงร่วมในการรักษา เพื่อความปลอดภัย และเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ข้อดี ข้อเสีย ของเข็มที่ใช้ในการร้อยไหมประเภทต่างๆ
1. เข็มร้อยไหมประเภทแหลม
เข็มร้อยไหมประเภทแหลมมีข้อดี คือ ลดการเกิดความบวมทั้งเลือดและน้ำ เนื่องจากลักษณะของเข็มจะทำการตัดเนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ชั้นผิว จึงทำให้เกิดความเจ็บในขณะที่ทำน้อยกว่า ทำให้เกิดการบวมน้อยกว่า และสมานแผลใต้ชั้นผิวได้เร็วกว่า หากทำโดยแพทย์ที่ชำนาญ
2. เข็มร้อยไหมประเภททู่
เข็มร้อยไหมประเภททู่ อาจทำให้เกิดการบวมน้ำและเลือดได้ เนื่องจากลักษณะของเข็มจะทำงานโดยการทำให้ผิวเกิดการฉีกออก ทำให้ระหว่างทำมีความเจ็บมากกว่า แต่จะสามารถหลบเส้นเลือดที่มีขนาดเล็กและใหญ่ได้ดีกว่าเข็มปลายแหลม
3. เข็มร้อยไหมประเภทตัด
เข็มร้อยไหมประเภทนี้เป็นเข็ม กึ่งแหลมกึ่งทู่ โดยปลายเข็มจะมีลักษณะคล้ายกับหลอด มีความคมอยู่บ้างแต่ไม่มาก และจะไม่คมเท่ากับเข็มปลายแหลม
4. เข็มร้อยไหมประเภทเข็ม L
ลักษณะเข็มร้อยไหมประเภทนี้ เป็นเข็มที่มีความคล้ายกันกับเข็มประเภทตัด การใช้เข็มประเภทนี้จะบวมน้ำน้อยกว่าบวมเลือด และสมานเส้นเลือดได้ดีกว่าการใช้เข็มปลายทู่
พัฒนาต่อจากเข็มตัดอีกขั้นหนึ่ง เข็มแต่ละประเภทไม่สามารถระบุได้ว่าชนิดไหนดีที่สุด ขึ้นกับการประเมินเนื้อเยื่อของคนไข้ และความถนัดของหมอแต่ละคน เช่น ถ้าคนไข้เคยเป็นสิว และมีพังผืดเยอะ การใช้เข็มทู่ก็จะบวมช้ำมากกว่าเข็มแหลม
การพัฒนาของการร้อยไหมในปัจจุบันร้อยไหมทำอะไรได้บ้าง
ในปัจจุบันมีการร้อยไหมช่องคลอด ขึ้นมาอีกหนึ่งชนิดเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยในการยกกระชับเช่นเดียวกัน แต่เป็นยกกระชับในส่วนช่องคลอดและแก้ปัญหาต่าง ๆ ของช่องคลอด อาทิ
- ร้อยไหมกระชับช่องคลอด
- ร้อยไหมปรับปรุงสมรรถภาพทางเพศ
- ร้อยไหมแก้ปัญหาช่องคลอดแห้ง
- ร้อยไหมเพื่อให้น้องสาวมีรูปลักษณ์ที่สวยงามขึ้น
ไหมน้ำ
เป็นนวัตกรรมที่พัฒนามาจากการร้อยไหมปกติ โดยการใช้หลักการกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวเกิดความกระชับมากขึ้น อิ่มฟู และชุ่มชื้นได้มากขึ้น โดยไหมน้ำนั้นเป็นสิ่งที่ผลิตมาจากวัสดุเดียวกับวัสดุที่นำมาทำไหมที่ใช้ร้อยใบหน้า โดยสามารถแจกแจงยี่ห้อของไหม และวัสดุต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิตได้ ดังนี้
สาร PCL (Polycarpolactone)
ที่ช่วยในการสร้างความยืดหยุ่น และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวได้เป็นอย่างดี สามารถคงผลลัพธ์ใต้ผิวได้นาน
- คือ ไหมน้ำยี่ห้อ Gouri
สาร PDO (Polydioxanone)
สารที่ใช้ผลิตไหมที่มีความยืดหยุ่นสูง และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวได้ดี ทั้งยังก่อให้เกิดการแพ้สารดังกล่าวได้ยาก
- คือไหมน้ำยี่ห้อ Ultracol
สาร PLLA (Poly-L-Lactic acid)
สามารถอุ้มน้ำได้ดี ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน มีความปลอดภัย เนื่องจากสังเคราะห์มาจากพืช ทำให้มีผลข้างเคียงในการรักษาน้อย
- คือไหมน้ำ ยี่ห้อ Sculptra
สาร PDLLA (Poly D-L-Lactic Acid)
เป็นไหมน้ำที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ พัฒนาต่อจาก PLLA เพื่อใช้สำหรับการเป็นไหมน้ำ มีโมเลกุลเป็นทรงกลม ทำให้เวลาที่ฉีดไปไม่ทำอันตรายต่อใต้ผิวหนัง ช่วยในการยกกระชับผิวได้ดี ช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ผิวหนังระหว่างทำเกิดการอักเสบในบริเวณใต้ชั้นผิวได้ยาก
- คือไหมน้ำยี่ห้อ AestheFill, Lenisna, และ Juvelook
การร้อยไหมในปัจจุบัน นอกจากจะมีการพัฒนาเป็นไหมในลักษณะอื่น ๆ หรือมีการร้อยในบริเวณอื่นที่นอกจากใบหน้าแล้ว ยังมีการพัฒนาเงี่ยง รูปทรงแล้วความยาวของไหมให้แตกต่างออกไปในรูปแบบอื่น เพื่อรองรับปัญหาของผู้เข้ารับบริการที่มากขึ้น และตรงจุดขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้การร้อยไหมจำเป็นจะต้องได้รับการทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายขึ้นภายหลัง และเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีที่สุด