ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
SUPER HIFU มีความแตกต่างจากนวัตกรรมยกกระชับอื่น ๆ อย่างไร?
ปัญหาหนึ่งอย่างที่เรามักเจอเป็นประจำเมื่อมีอายุมากขึ้น คือ ผิวหน้าหย่อนคล้อย ไม่เรียบเนียน ต้องการที่จะยกกระชับผิวเพื่อปรับรูปหน้าให้สวยเป๊ะ แต่ไปถึงก็ยังไม่รู้ว่าควรจะเลือกทำหัตถการไหนดี พอพูดถึงหัตถการยกกระชับก็ดันมีตัวเลือกมากมาย เวลาเดินเข้าคลินิกเสริมความงาม ด้วยเหตุนี้การหาข้อมูลจากทางอินเทอร์เน็ตจึงเป็นทางออกสำหรับคนที่อยากหาข้อมูลเพื่อ เป็นข้อมูลในการตัดสินใจในเตรียมเลือกประเภทหัตถการยกกระชับ ชนิดต่างๆ
และเมื่อพูดถึงหัตถการยกกระชับอันดับต้นๆ คนจะต้องนึกถึง HIFU เป็นอันดับแรกๆ แต่ถ้าจะให้แนะนะก็ต้องเป็น SUPER HIFU โปรแกรมยกกระชับตัว TOP ที่เป็นขั้นกว่าของ HIFU ที่พัฒนามาเป็นอย่างดี เพราะนอกจาก SUPER HIFU จะช่วยยกกระชับที่บริเวณต่าง ๆ ของร่างกายได้หลายส่วนแล้ว ยังเป็นนวัตกรรมยกกระชับที่ไม่ต้องใช้เข็ม ไม่มีการผ่าตัด แถมการดูแลตัวเองหลังรักษาไม่ยุ่งยาก เหมาะสำหรับคนพึ่งเคยเข้ารับหัตถการยกกระชับเป็นครั้งแรก แต่ก่อนจะทำ SUPER HIFU เราก็ควรทราบข้อมูลเกี่ยวกับ SUPER HIFU รวมถึงความแตกต่างของ SUPER HIFU เมื่อเปรียบเทียบกับนวัตกรรมยกกระชับอื่น ๆ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกหัตถการยกกระชับ
SUPER HIFU คืออะไร ? ทำความรู้จักก่อนเลือกนวัตกรรมยกกระชับ
ก่อนจะเลือกทำ SUPER HIFU เราควรทราบรายละเอียดและหลักการทำงานของ SUPER HIFU เสียก่อน โดย SUPER HIFU เป็นคำที่ย่อมาจาก High Intensity Focused Ultrasound เป็นหัตถการยกกระชับบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายด้วยหลักการของเครื่องที่มีการปล่อย Focused ultrasound ลงไปถึงชั้นผิว Superficial Muscular Aponeurotic System (SMAS) ที่เป็นส่วนของเนื้อเยื่อห่อหุ้มกล้ามเนื้อบริเวณผิวหน้าจนเกิดการยกกระชับ
โดยหลักการทำงานของ High Intensity Focused Ultrasound ของ SUPER HIFU เป็นคลื่นอัลตร้าซาวด์ที่พัฒนามาจากเครื่องตรวจครรภ์ด้วยคลื่นอัลตร้าซาวด์ทางการแพทย์ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ส่งผลให้นอกจาก SUPER HIFU จะช่วยยกกระชับผิวหย่อนคล้อยให้กลับมาเป็นผิวที่อ่อนเยาว์ แน่นกระชับแล้ว ยังเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยอีกด้วย
ผลลัพธ์หลังจากทำ SUPER HIFU เป็นอย่างไร ?
หลังจากยกกระชับด้วย SUPER HIFU ผลลัพธ์จะออกมาอย่างเต็มประสิทธิภาพตามสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยการทำ SUPER HIFU จะเข้าไปกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนของร่างกายตามแต่ละชั้นผิวตามที่คลื่นของ SUPER HIFU ปล่อยลงไป ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเน้นหลักในเรื่องผิวหย่อนคล้อยตามวัย หลังจากทำ SUPER HIFU จะมีผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงของผิวโดยสรุปดังนี้
- เปลี่ยนผิวที่หย่อนคล้อยให้กลับมากระชับ และมีความยืดหยุ่นเสมือนว่าเรากลับมามีผิวเด็กอีกครั้ง แต่จริง ๆ เป็นเพราะร่างกายมีการสร้างคอลลาเจนมากขึ้น ผิวของเราจึงมีความแข็งแรง อ่อนเยาว์ และยกกระชับกรอบหน้าชัดเจน
- นอกจากความยืดหยุ่นและกระชับของผิวแล้วยังช่วยลดเลือนริ้วรอยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา ริ้วรอยบนผิวหน้าและลำคอ
- นอกจากบริเวณผิวหน้าที่กระชับและเรียบเนียน SUPER HIFU ยังสามารถช่วยยกกระชับส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น เหนียงบริเวณลำคอที่เกิดจากไขมันส่วนเกินที่ย้อยลงไม่ค่อยน่ามอง SUPER HIFU สามารถช่วยยกกระชับและลดเหนียงได้
ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ของ SUPER HIFU จะมีผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์สำหรับคนที่อยากยกกระชับและแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย แต่เนื่องจากการทำ SUPER HIFU มีความแตกต่างจากการผ่าตัดศัลยกรรม ผลลัพธ์ของการยกกระชับด้วย SUPER HIFU จึงไม่คงอยู่อย่างถาวร แต่เราสามารถทำ SUPER HIFU ทุก ๆ 3-6 เดือน เพื่อรักษาผลลัพธ์การยกกระชับและผิวที่อิ่มฟูอุดมไปด้วยคอลลาเจนให้มีประสิทธิภาพไปตลอดได้
SUPER HIFU สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง ?
สำหรับคนที่สนใจอยากจะยกกระชับหลาย ๆ ส่วน คงอยากจะทราบว่า SUPER HIFU สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง ซึ่งตามความจริงแล้ว SUPER HIFU สามารถยกกระชับได้หลายส่วนของร่างกาย และสามารถปรับเปลี่ยนหัวยิงของเครื่องให้เหมาะสมกับบริเวณชั้นผิวที่จะทำ SUPER HIFU โดยสำหรับคนที่สงสัยหัวยิงของเครื่องจะมีทั้งหมด 6 รูปแบบดังนี้
- หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 2.0 mm : สามารถปล่อยพลังงานลงไปถึงชั้นผิว Dermis (ชั้นหนังแท้) เพื่อกระตุ้นร่างกายให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้นบริเวณชั้นผิว
- หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 3.0 mm : หัวยิงสำหรับชั้น Dermis และ Superficial Fat ที่เป็นไขมันชั้นตื้น โดยจะช่วยสลายไขมันและกระตุ้นคอลลาเจน
- หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 4.5 mm : สำหรับยกกระชับบริเวณผิวชั้น SMAS ช่วยยกใบหน้ากลับมากระชับและอ่อนเยาว์
- หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 6.0 mm : หัวยิงสำหรับยกกระชับกรณีที่ไขมันสะสมบริเวณใต้ชั้นผิวมีความหนาไม่เกิน 1 นิ้ว
- หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 6, 9 mm : หัวยิงสำหรับยกกระชับกรณีที่ไขมันสะสมบริเวณใต้ชั้นผิวมีความหนาประมาณ 1 – 1.5 นิ้ว โดยแต่ละคนจะมีความหนาบริเวณชั้นผิวและไขมันที่แตกต่างกัน
- หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 9, 13 mm : สำหรับกรณีที่ไขมันหนาเกินกว่า 1.5 นิ้ว และสามารถยกกระชับบริเวณต่าง ๆ เช่น ร่องแก้ม เหนียง คาง เป็นต้น รวมถึงการลดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาและร่องแก้ม
โดยบริเวณที่นิยมทำ SUPER HIFU ด้วยหัวยิงทั้ง 6 รูปแบบก็จะมีดังนี้
- ผิวหน้าและลำคอ : เป็นบริเวณที่ทำ SUPER HIFU เพื่อยกกระชับและลดรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลา รวมถึงยกเหนียง สลายไขมันเพื่อให้บริเวณดังกล่าวสามารถยกให้แน่นเฟิร์ม ไม่ขาดความกระชับ
- ร่างกาย : บริเวณต้นแขน, ต้นขา, เอวสะโพก หรือหน้าท้อง มักเป็นส่วนที่มีไขมันส่วนเกิน เนื้อขาเนื้อแขนเหี่ยวย่นย้อยลงมาไม่น่าดู SUPER HIFU ก็จะช่วยยกส่วนต่าง ๆ ที่เกินออกมาให้กระชับยิ่งขึ้น
- บริเวณรอบดวงตา : เนื่องจาก SUPER HIFU เป็นเทคโนโลยีคลื่นอัลตร้าซาวด์จึงสามารถทำการยกกระชับบริเวณรอบดวงตาได้อย่างปลอดภัย ช่วยแก้ปัญหาคิ้วตก หนังตาตก และลดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา
SUPER HIFU ตอบโจทย์สำหรับใครบ้าง ?
SUPER HIFU ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับและลดเลือนริ้วรอยความหย่อนคล้อยที่เกิดมาจากความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เสื่อมสภาพไปตามอายุ อย่างเช่นความหย่อนคล้อย ริ้วรอย ความไม่กระชับ หรือเหี่ยวย่น
นอกจากนั้น SUPER HIFU ยังเหมาะสำหรับผู้ที่กลัวเข็ม หรือ กลัวการผ่าตัด แต่ต้องการผลลัพธ์การยกกระชับผิวอย่างรวดเร็วและเป็นธรมชาติ โดยรวมแล้ว SUPER HIFU เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวดังนี้
- เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ มีริ้วรอยบริเวณผิวหน้าและรอบดวงตา
- สำหรับผู้ที่กลัวเจ็บ กลัวการผ่าตัด แต่อยากยกกระชับหน้าเรียวเหมาะสำหรับทำ SUPER HIFU
- ส่วนผู้ที่มีกรอบหน้าไม่ชัดเจน ก็สามารถทำ SUPER HIFU เพื่อสร้างกรอบหน้ากระชับหน้าให้เข้ารูป
- SUPER HIFU ยังเหมาะสำหรับคนที่ต้องการมีผิวหน้าที่อ่อนเยาว์ โดยไม่ต้องผ่าตัด
เปรียบเทียบความแตกต่างของ SUPER HIFU กับนวัตกรรมยกกระชับอื่น ๆ
หัตถการเสริมความงามเกี่ยวกับการยกกระชับได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน จึงมีการคิดค้นหัตถการยกกระชับหลากหลายรูปแบบออกมา ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีความแตกต่างทั้งด้านเทคโนโลยีที่ใช้ในการยกกระชับ, จุดเด่น, ข้อดี-ข้อเสีย, รวมถึงผลลัพธ์ของหัตถการและความเหมาะสมของแต่ละบุคคลที่ไม่เหมือนกัน รมย์รวินท์คลินิกจึงจะนำหัตถการแต่ละประเภทมาเปรียบเทียบกับ SUPER HIFU เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับคนที่สงสัยว่าแต่ละหัตถการแตกต่างกันอย่างไร
SUPER HIFU กับ Oligio แตกต่างกันอย่างไร ?
Oligio เป็นหัตถการยกกระชับตัวใหม่ล่าสุดแบบแกะกล่องจากเกาหลีใต้ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ผ่านการรับรองมาตรฐานจากทั้งไทย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ว่ามีความปลอดภัยและมีผลลัพธ์ด้านการยกกระชับที่น่าพึงพอใจทั้งยังทำให้ผิวมีคุณภาพที่ดี แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ SUPER HIFU แล้ว ทั้งสองหัตถการจะมีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน มาดูคำตอบกัน
หลักการทำงานของ Oligio กับ SUPER HIFU
Oligio มีการทำงานด้วยคลื่นวิทยุ Monopolar RF ที่สามารถปรับได้ 3 โหมดคือ โหมดเดี่ยวโหมดคู่ และโหมดอัตโนมัติ พร้อมด้วยเทคนิคพิเศษ Fast Moving Technique ที่ช่วยให้การยกกระชับด้วย Oligio มีความเสถียรมากขึ้น Oligio จึงมีจุดเด่นด้านความปลอดภัยด้วย โดยสามารถสรุปการทำงานได้ดังนี้
- Oligio ทำงานโดยอาศัยคลื่นวิทยุ Monopolar RF ความถี่สูง 6.78 MHz ที่ปล่อยคลื่นความลึกถึง 3 mm. ที่สามารถลงไปถึง ผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Fat) โดยความร้อนจากหัว Tips จะยิงพลังงานลงไปอย่างสม่ำเสมอและแม่นยำเพื่อทำให้ผิวเกิดการสังเคราะห์คอลลาเจน ช่วยให้ผิวมีความกระชับ ชั้นไขมันบางลง ผิวหย่อนคล้อยน้อยลง
ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการทำหัตถการยกกระชับ
จากความแตกต่างของเทคโนโลยีระหว่าง SUPER HIFU และ Oligio ผลลัพธ์ของทั้งสองหัตถการก็จะออกมาแตกต่างกัน และมีผลลัพธ์ที่อยู่นานไม่เหมือนกัน ถึงอย่างนั้นก็ควรพิจารณาปัจจัยอื่นปัญหาที่เกิดขึ้นของแต่ละบุคคล เช่น ริ้วรอย คุณภาพผิว หรืองบประมาณ ก่อนเลือกยกกระชับด้วยหัตถการต่าง ๆ โดยสามารถสรุปความแตกต่างของผลลัพธ์ได้ดังนี้
- ผลลัพธ์ของ Oligio ช่วยปรับใบหน้ายกกระชับให้เข้ารูปและช่วยลดไขมันส่วนเกินใต้ผิว ช่วยลดริ้วรอย ผิวเรียบเนียนด้วยปริมาณคอลลาเจนใต้ชั้นผิวที่เพิ่มมากขึ้น แถมยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของผิว อยู่นาน 6-12 เดือน
- ผลลัพธ์ของ SUPER HIFU ช่วยยกหน้ากระชับ สร้างกรอบหน้า แก้ปัญหาคิ้วตกและริ้วรอยตามบริเวณผิวหน้า รอบดวงตา และเหนียงที่ลำคอ โดยจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 1-2 เดือน และผลลัพธ์อยู่นานถึง 3-6 เดือน
ความรู้สึกระหว่างการยกกระชับ
SUPER HIFU เป็นหัตถการยกกระชับที่หลายคนบอกกันว่าเจ็บน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับหัตถการยกกระชับอื่น ๆ เช่น Thermage, Ulthera แต่สำหรับหัตถการ Oligio ที่ถูกพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์ทั้งด้านยกกระชับและความปลอดภัย นวัตกรรมคลื่น RF ความถี่ 6.78 MHz จึงถูกพัฒนาให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกสบายยิ่งขึ้น เจ็บน้อยที่สุด จึงสามารถสรุปได้ว่า SUPER HIFU มีความรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่ Oligio ให้ความสบายระหว่างการยกกระชับ
SUPER HIFU กับ Ulthera แตกต่างกันอย่างไร ?
SUPER HIFU กับ Ulthera มีความคล้ายคลึงด้านหลักการทำงานที่เป็นการอาศัยเทคโนโลยี Focused Ultrasound ความเข้มข้นสูง เพื่อยกกระชับและกระตุ้นคอลลาเจน แต่ถึงแม้จะใช้เทคโนโลยีเดียวกัน แต่ทั้งสองหัตถการก็จะมีข้อแตกต่างกันดังนี้
ลักษณะของคลื่นพลังงาน
ถึงแม้ว่าเทคโนโลยี Focused Ultrasound ของ SUPER HIFU และ Ulthera จะพัฒนามาจากนวัตกรรม Ultrasound ที่พวกเรารู้จักกันเป็นอย่างดี แต่คลื่นพลังงานที่ SUPER HIFU และ Ulthera ปล่อยลงสู่ผิวมีความแตกต่างกัน
- SUPER HIFU : ปล่อยคลื่นพลังงานออกมาเป็นจุด (Dot) และมีลักษณะการส่งพลังงานเป็นแนวเส้นประและจุดเรียงกันอย่างไม่เป็นระเบียบ
- Ulthera : คลื่นพลังงานขนาด 1 mm. ส่งพลังงานลงไปเป็นเส้นประที่เป็นระเบียบ ด้วยคลื่นพลังงานที่ใหญ่กว่า Ulthera จึงเหมาะสำหรับกรณีที่ผิวหย่อนคล้อยรุนแรงกว่า
ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการทำหัตถการยกกระชับ
ด้วยความแตกต่างของขนาดคลื่นพลังงานทำให้ Ulthera เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยมาก ๆ ส่วน SUPER HIFU จะเหมาะสำหรับคนที่ผิวหย่อนคล้อยและมีริ้วรอยร่วมด้วย รวมถึงผลลัพธ์หลังทำของทั้งสองหัตถการก็มีระยะเวลาที่แตกต่างกัน ดังนี้
- SUPER HIFU : เห็นผลทันทีหลังทำ 20% ผลลัพธ์อยู่นานถึง 3-6 เดือน
- Ulthera : เห็นผลทันทีหลังทำ 30% ผลลัพธ์อยู่นานถึง 6-12 เดือน
**ผลลัพธ์ที่ออกมาของทั้งสองหัตถการยังคงขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล**
ความรู้สึกระหว่างการยกกระชับ
เมื่อเปรียบเทียบหัตถการยกกระชับ ทั้ง SUPER HIFU และ Ulthera ก็จะมีความแตกต่างด้านความรู้สึกระหว่างทำหัตถการด้วย เนื่องจากแต่ละคนมีความอดทนต่อความเจ็บปวดที่แตกต่างกัน ปัจจัยด้านความรู้สึกหรือความเจ็บปวดจึงมักมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณาเลือกทำหัตถการต่าง ๆ ด้วย โดยสามารถสรุปได้ดังนี้
- ระหว่างการทำ SUPER HIFU ผู้เข้าใช้บริการจะรู้สึกเจ็บน้อยกว่าการทำ Ulthera
ความแตกต่างด้านราคาค่าบริการยกกระชับ
- จากราคาปัจจุบัน SUPER HIFU จะมีราคาที่แพงน้อยกว่า Ulthera แต่อย่างไรก็ตามราคาค่าบริการต่าง ๆ จะเป็นไปเงื่อนไขและโปรโมชั่นของแต่ละคลินิก
SUPER HIFU กับ Thermage แตกต่างกันอย่างไร ?
Thermage เป็นหัตถการยกกระชับที่ได้รับความนิยมเหมือนกับ SUPER HIFU ด้วยเทคโนโลยี Monopolar RF โดยไม่ต้องพึ่งพาการผ่าตัด ด้วยการยกกระชับโดยอาศัยเทคโนโลยีที่ต่างกัน SUPER HIFU กับ Thermage จึงมีความแตกต่างกัน โดยสามารถสรุปความแตกต่างได้ดังนี้
หลักการทำงานของ SUPER HIFU และ Thermage
- SUPER HIFU : นวัตกรรมยกกระชับผิวด้วยการปล่อยคลื่นอัลตร้าซาวด์ที่มีความเข้มข้นสูงลงไปลึกถึงผิวชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน (SMAS) และชั้นผิวที่อยู่ตื้นกว่าเพื่อยกกระชับและจัดการกับปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ โดยอาศัยความร้อนจุดเล็ก ๆ ลงไปตามบริเวณที่ต้องการยกกระชับ
- Thermage : เป็นการนำนวัตกรรมคลื่นวิทยุความถี่สูง Radio frequency หรือที่รู้จักกันแบบย่อ ๆ ว่า RF ในรูปแบบของ Monopolar RF ลงลึกถึงผิวใต้ชั้นหนังแท้ (Hypodermis) ซึ่งเป็นชั้นที่รวมตัวของคอลลาเจนใต้ผิวหนัง และความร้อจากคลื่นวิทยุความถี่สูง จะกระตุ้นการทำงานของคอลลาเจนและเกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ผิวจึงกระชับยิ่งขึ้น
ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการทำหัตถการยกกระชับ
เนื่องจากความแตกต่างด้านเทคโนโลยีและภาพรวมของหลักการทำงานของ SUPER HIFU และ Thermage ทั้งสองหัตถการจึงมีความแตกต่างด้านผลลัพธ์และรายละเอียดอื่น ๆ แม้จะช่วยยกกระชับได้เหมือนกัน โดยรายละเอียดความแตกต่างด้านผลลัพธ์สามารถสรุปได้ดังนี้
- ผลลัพธ์ของ SUPER HIFU : ผิวหน้ากลับมายกกระชับ กระชับสัดส่วนได้ดี แก้ปัญหาคิ้วตก ลดร่องรอยผิวหย่อนคล้อยได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับคนที่อยากสร้างกรอบหน้า โดยจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 1-2 เดือน และผลลัพธ์อยู่นานถึง 3-6 เดือน
- ผลลัพธ์ของ Thermage : ยกกระชับรักษาผิวหน้าที่หลวมให้กลับมาแน่นเฟิร์ม กระชับรูขุมขน สามารถทำได้ทั้งบริเวณผิวหน้า รอบดวงตา และร่างกาย เห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 3-6 เดือน และผลลัพธ์ยาวนานถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
ความรู้สึกระหว่างการยกกระชับ
แน่นอนว่าด้วยเทคโนโลยีที่แตกต่างความรู้สึกระหว่างทำ SUPER HIFU และ Thermage ก็จะมีความแตกต่างกันด้วย แต่อย่างไรก็ตามก่อนเข้ารับบริการทำหัตถการควรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากทางแพทย์เสียก่อน เพราะหากเรารู้สึกเจ็บจนไม่สามารถทนได้ระหว่างทำหัตถการ ผลลัพธ์ที่ออกมาคงไม่ค่อยน่าประทับใจนัก
Thermage กับ SUPER HIFU จะมีความเจ็บระหว่างทำที่แตกต่างกัน โดยแพทย์ประจำคลินิกได้มีการอธิบายความรู้สึกระหว่างการยกกระชับด้วย SUPER HIFU ว่าเป็นความเจ็บที่เหมือนโดนเครื่องเย็บผ้า ส่วน Thermage จะมีความเจ็บที่มากกว่า เพราะคลื่นพลังงานและความร้อนที่มากกว่า เลยอาจส่งผลต่อคนที่ไม่สามารถทนต่อความเจ็บได้มากนัก
SUPER HIFU กับ EMFACE แตกต่างกันอย่างไร ?
EMFACE เป็นหัตถการยกกระชับที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ตัวอื่น ๆ เลย รวมถึงพึ่งมีการเปิดตัวหัว Applicator ใหม่ล่าสุดภายใต้ชื่อ EMFACE Submentum ไปเมื่อไม่นานมานี้ ส่งผลให้ EMFACE นอกจากจะช่วยยกกระชับผิวหน้าแล้วยังมาพร้อมกับตัวเลือกยกหน้า เก็บเหนียงที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของหัตถการ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ SUPER HIFU แล้ว ทั้งสองมีความแตกต่างมากน้อยแค่ไหนมาดูกัน
หลักการทำงานของ EMFACE เปรียบเทียบกับ SUPER HIFU
ความแตกต่างด้านหลักการทำงานของ SUPER HIFU และ EMFACE มาจากเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการยกกระชับ โดย EMFACE เป็นการผสมผสานการทำงานของ 2 เทคโนโลยี ทำให้การทำงานของ EMFACE แตกต่างจาก SUPER HIFU พอสมควร โดยสามารถสรุปได้ดังนี้
EMFACE เป็นการผสมผสานระหว่างสองเทคโนโลยี ได้แก่ เทคโนโลยี HIFES (High Intensity facial electric stimulation) และ เทคโนโลยี Synchronized RF
- เทคโนโลยี HIFES (High Intensity facial electric stimulation) : เป็นคลื่นวิทยุที่มีความถี่ลักษณะพิเศษที่ออกแบบมาให้มีรูปแบบการกระจายพลังงานที่สม่ำเสมอและทั่วถึงบริเวณผิวหนัง ทำให้กล้ามเนื้อผิวหนังเกิดการหดและเกร็งตัวเสมือนการออกกำลังกาย และคลื่นตัวนี้ยังช่วยเรื่องการกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวที่เหี่ยวย่นกลับมาเรียบเนียน ไร้ริ้วรอย พร้อมระบบควบคุมการทำงานด้วย AI อัจฉริยะ ที่ควบคุมการปล่อยคลื่นออกมาไปยังชั้นผิวอย่างเหมาะสม
- เทคโนโลยี Synchronized RF : พลังงานจากคลื่นวิทยุแม่เหล็กที่มีกำลังไฟฟ้าแรงสูงร่วมกับคลื่นวิทยุ RF ช่วยกระตุ้นการยกกระชับผิวและเผาผลาญไขมันอย่างมีประสิทธิภาพ ผิวจึงมีความยืดหยุ่นและกระชับได้ดียิ่งขึ้น โดยมีระบบควบคุมพลังงานเพื่อป้องกันอันตรายและไม่ให้ผิวเบิร์นเนื่องจากความร้อนที่มากจนเกินไป
ด้วยเทคโนโลยีที่มีความหลากหลายของ EMFACE การทำงานของหัตถการจึงแตกต่างจาก SUPER HIFU แต่ SUPER HIFU ยังคงมีประสิทธิภาพด้านการยกกระชับเหมือนกับ EMFACE โดยอาศัยเทคโนโลยี High Intensity Focused Ultrasound
ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการทำหัตถการยกกระชับ
- ผลลัพธ์ของ EMFACE : ช่วยยกกระชับใบหน้า ลดเหนียงและไขมันบริเวณผิวหน้า อยู่ได้นานถึง 1 ปี ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ SUPER HIFU ที่ผลลัพธ์อยู่นาน 3-6 เดือน เห็นผลชัดเจนหลังทำ 1-2 เดือน ส่วน EMFACE จะเห็นผลชัดเจนหลังทำครบ 4 ครั้ง
ความรู้สึกระหว่างการยกกระชับ
EMFACE ออกแบบมาเหมาะสมกับคนที่กลัวเจ็บ เนื่องจากการทำ EMFACE ระหว่างทำจะไม่รู้สึกเจ็บเลยจะรู้สึกแค่กระตุก และโดนบังคับให้ขยับใบหน้าเพียงเท่านั้น
ถึงแม้ว่า SUPER HIFU จะทำให้รู้สึกเจ็บน้อยแล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ EMFACE ก็นับได้ว่า EMFACE ตอบโจทย์เรื่องความสบายระหว่างทำการยกกระชับมากกว่า
รมย์รวินท์คลินิก คำตอบของการยกกระชับอยู่ที่นี่แล้ว !
ทางทีมแพทย์ของรมย์รวินท์คลินิกพร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำหัตถการที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ด้วยคอนเซปต์ ROMRAWIN for the better you และประสบการณ์การทำงานด้านหัตถการเสริมความงามมามากกว่า 30 ปี พร้อมให้บริการสำหรับทุกคนที่มีปัญหาผิวไม่ว่าจะเป็นผิวหน้าหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ มีริ้วรอย ก็สามารถมายกกระชับด้วยนวัตกรรมต่าง ๆ ที่รมย์รวินท์คลินิก ด้วยหัตถการยกกระชับที่มีตัวเลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น SUPER HIFU, Oligio, EMFACE และ EMFACE Submentum