ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
Rejuran VS Revive เปรียบเทียบงานผิวตัวไหนผิวชุ่มชื้น ตัวไหนหน้าฉ่ำ
ผิวแห้งเสียขาดความชุ่มชื้น กลายเป็นปัญหาหนักสุดๆ สืบเนื่องจากมลภาวะ และชีวิตประจำวันที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผิวอย่างหนักหน่วง จนสภาพผิวห่างไกลจากคำว่า “ผิวชุ่มชื้น” “ผิวฉ่ำวาว” ไปไกลลับ ด้วยกิจวัตรประจำวันที่ต้องเผชิญกับมลภาวะอยู่เสมอ การดูแลผิวชุ่มชื้นแบบเดิม ๆ อาจไม่เพียงพอเสียแล้ว บางทีการหาตัวช่วยมาเติมเต็มให้ผิวที่แห้งเสีย กลับมาเป็นผิวที่ชุ่มชื้นคงจะเป็นทางออกที่ดี
ซึ่งหากพูดถึงผลิตภัณฑ์งานผิว ที่ช่วยปรับสภาพผิวแห้งเสียให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ก็จะมีหลากหลายตัวเลือก ไม่ว่าจะเป็น Rejuran, Revive หรือเติมวิตามินผิว แต่จะเลือกงานผิวตัวไหนที่ตอบโจทย์ความต้องการ ที่อยากจะมีผิวชุ่มชื้น ห่างไกลจากผิวเสียเพราะมลภาวะรอบตัว หลายคนอาจเลือกไม่ถูกและไม่มั่นใจว่าตัวเลือกไหนที่เหมาะสำหรับงานผิวฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ
แน่นอนว่ารมย์รวินท์คลินิกมีคำตอบเรื่องนี้ โดยหากพูดถึงผิวชุ่มชื้นและฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ มีงานผิว 2 ตัวเลือกที่มักพูดถึงและเปรียบเทียบอยู่บ่อยครั้ง คือ Rejuran กับ Revive ซึ่งทั้งสองนับว่าเป็นงานผิวยอดนิยมที่เน้นเรื่องผิวเรียบเนียน ผิวชุ่มชื้นและฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ทั้งสองก็มีข้อแตกต่างกัน งานนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงจะมาเปรียบเทียบว่างานผิวไหนผิวชุ่มชื้น ไหนช่วยเรื่องผิวฉ่ำวาว โดยสามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับทั้งสองตามหัวข้อต่อไปนี้
สำหรับคนที่อยากเปลี่ยนผิวที่แห้งเสีย ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น หน้าใส มีความฉ่ำวาว ตัวเลือกที่ตอบโจทย์ผิวฉ่ำวาวที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้น Rejuran ซึ่งมีงานวิจัยออกมาพูดถึงผลลัพธ์ผิวหน้าชุ่มชื้น และมีความฉ่ำวาวด้วย Rejuran ส่งผลให้หัตถการที่ช่วยปรับผิวชุ่มชื้นชนิดนี้ได้รับความนิยม และกลายเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ในสถานเสริมความงาม
โดยตัว Rejuran เป็นสารที่คิดค้นเพื่อผิวหน้าชุ่มชื้น สวยใสด้วยการสกัดสาร Polynucleotide (PN) จาก DNA ของปลาแซลมอนที่ได้รับการทดสอบแล้วว่า มีความใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์มากถึง 98% โดยมี คุณสมบัติด้านการฟื้นฟูสภาพผิว ช่วยคืนผิวชุ่มชื้นหลังจากแห้งเสียเป็นเวลานาน พร้อมช่วยเคลียร์ปัญหาผิว อย่างเร่งด่วน ประกอบกับคุณสมบัติของ DNA ที่คล้ายคลึงกับของมนุษย์ Rejuran จึงมีความปลอดภัย และไม่ก่อให้เกิดกระทบต่อผิวชุ่มชื้นหลังจากฉีด Rejuran
ด้วยประสิทธิภาพด้านการเคลียร์ผิว ที่เสื่อมสภาพจากมลภาวะต่าง ๆ ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ผิวฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ และมีความปลอดภัย ส่งผลให้ Rejuran กลายเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในฐานะของหน้าใส ผิวชุ่มชื้น แต่อาจจะยังมีคนสงสัยว่าสาร Polynucleotide มีการทำงานอย่างไร ทำไมถึงผิวชุ่มชื้นด้วย DNA จากปลาแซลมอน สามารถอ่านรายละเอียดที่หัวข้อการทำงานของ Rejuran
การทำงานของ Rejuran สาร Polynucleotide ส่งผลต่อผิวอย่างไร?
หลังจากทำการฉีด Rejuran ลงไปบนผิวหนังแล้ว สาร Polynucleotide (PN) จะเข้าไปควบคุม กระบวนการทำงานของเซลล์และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ โดยการกระตุ้นให้ร่างกายสารที่จะช่วยกระตุ้น การทำงานของเซลล์ Fibroblast หรือที่เรียกว่า Growth factor ซึ่งประกอบไปด้วย FGF, EGF และ IGF ที่จะเป็นตัวกลางสื่อสารระหว่างเซลล์และทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ซึ่งส่งผลให้ผิวชุ่มชื้นอย่างเป็นธรรมชาติ
การทำงานของ Polynucleotide ที่ฉีดลงไปด้วย Rejuran ส่งผลกระทบต่อผิวเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์, จัดการกับผิวที่เสื่อมสภาพและปัญหาผิวที่เกิดจากมลภาวะ รวมถึงฟื้นฟูสภาพผิวเปลี่ยนผลลัพธ์ของผิวที่แห้งเสียให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ซึ่งระหว่างกระบวนการทำงานของสาร PN จะมีโอกาสเกิดอาการแพ้ได้น้อยมาก เนื่องจากสารที่ฉีดมาจาก DNA ปลาแซลมอนที่คล้ายคลึงกับของมนุษย์ และสามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดี จึงเป็นงานผิวชุ่มชื้นสุขภาพดีที่มีความปลอดภัย
ผลลัพธ์ของ Rejuran ลดการเสื่อมสภาพของผิว ผิวชุ่มชื้นและแข็งแรง
- Rejuran ฟื้นฟูถึงระดับเซลล์ผิว พร้อมกระตุ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก เพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งช่วยลดหลุมสิวและรอยดำลง เป็นสารที่สำคัญต่อการปรับสภาพผิวช่วยให้ผิวฉ่ำวาวและผิวชุ่มชื้น
- สาร Polynucleotide ยังช่วยเรื่องของความชุ่มชื้นบริเวณผิว ทำให้หลังจากทำ Rejuran เราจะได้สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของผิว โดย PN จะช่วยสร้างบาเรียที่ปกป้องผิวทำให้ผิวชุ่มชื้นและการสูญเสียน้ำบริเวณผิวลดลง
- Rejuran ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ Fibroblast ซึ่งส่งผลต่อการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินของร่างกาย และเมื่อร่างกายมีการฟื้นฟูคอลลาเจนและอีลาสติน ผิวก็จะกลับมาสดใส ผิวชุ่มชื้น และมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น
- นอกจากช่วยจัดการกับปัญหาผิว และฟื้นฟูสภาพผิวแล้ว Rejuran ยังช่วยลดความมันบริเวณผิว ช่วยกระชับรูขุมขน และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
จากกระบวนการทำงานและผลลัพธ์ของ Rejuran จึงไม่แปลกเลยที่ผิวหน้าใสจาก DNA ปลาแซลมอนจะได้รับการตอบเป็นอย่างดี และเป็นที่นิยมในเวลาต่อมา เพราะนอกจากผิวชุ่มชื้นและกระจ่างใส ยังช่วยจัดการกับผิวที่เสื่อมสภาพ รวมถึงปัญหาผิวต่าง ๆ ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
Revive ทำให้ผิวชุ่มชื้นได้อย่างไร
Revive หรือ BELOTERO Revive เป็นผลิตภัณฑ์สารเติมเต็มเนื้อบางเบา ที่ช่วยเรื่องผิวชุ่มชื้นและเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยการพัฒนาที่แตกต่างจากสารเติมเต็มฟิลเลอร์ทั่วไป ซึ่งส่งผลให้ Revive เป็นตัวเลือกที่ช่วยซัพพอร์ตเรื่องงานผิวให้ออกมามีสุขภาพดี รวมทั้งยังช่วยให้ผิวกักเก็บความฉ่ำวาวอุ้มน้ำได้ด้วย จึงเป็นคำตอบว่าทำไมฉีดสารเติมเต็ม Revive แล้วผิวชุ่มชื้น
ซึ่งส่วนที่พัฒนาและแตกต่างจากสารเติมเต็มชนิดอื่น ๆ คือ ฟิลเลอร์สารเติมเต็มทั่วไปมักมีส่วนประกอบเป็น Hyaluronic Acid (HA) ที่เป็นส่วนประกอบหลักของสารเติมเต็ม ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นอิ่มฟูเด้งกระชับ แต่ Revive จะมีส่วนประกอบของ Glycerol เพิ่มเข้ามา ซึ่งสารประกอบ Glycerol มีประสิทธิภาพด้านปรับสภาพผิวให้กักเก็บน้ำได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ผิวชุ่มชื้นอิ่มน้ำอยู่ตลอดเวลา และการบำรุงผิวของสาร Glycerol ยังส่งผลลึกถึงผิวหนังชั้น Dermis ทำให้ผิวชุ่มชื้นยาวนานและช่วยเติมเต็มผิวให้ออกมาเรียบเนียนด้วย
การทำงานของ Revive ผสานผลลัพธ์ของ HA และ Glycerol ไว้ด้วยกัน
โดยปกติแล้วสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์จะมีส่วนประกอบหลักเป็น Hyaluronic Acid ซึ่งมีกระบวน การทำงานโดยการฉีดเข้าไปใต้ชั้นผิวและจึงเกิดการปรับสภาพผิวให้ดียิ่งขึ้น โดยการเข้าไปฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะ สภาพแวดล้อม โดยผลลัพธ์ของสารเติมเต็ม HA คือ ผิวชุ่มชื้น เรียบเนียน ผิวฉ่ำวาวเต่งตึงและอ่อนเยาว์
ส่วนการทำงานของสารประกอบ Glycerol จะช่วยเสริมสร้างให้ผิวชุ่มชื้น และกักเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนาน เป็นเหมือนสารที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของ Hyaluronic Acid ควบคู่ไปกับการปรับสภาพผิวให้ฉ่ำวาวอิ่มน้ำ และเมื่อผลลัพธ์ของ HA กับ Glycerol มารวมกันก็จะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวภายในระยะเวลาอันสั้น พร้อมจัดการกับผิวแห้งเสีย ขาดน้ำ ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้นด้วย Revive
ผลลัพธ์ของ Revive ออกมาเป็นอย่างไร?
- Revive ช่วยเติมเต็มร่องลึก และกระชับปรับรูปหน้า
- Revive เสริมประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำของผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง
- Revive ช่วยลดเลือนริ้วรอยและจัดการกับหลุมสิวตื้น
- Revive แก้ปัญหาผิวเฉพาะจุด และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว
ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ Revive ผ่านการเพิ่มสารประกอบ Glycerol มาผสานกับ Hyaluronic Acid มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการกักเก็บน้ำและเสริมผิวชุ่มชื้นมากกว่าสารเติมเต็มชนิดอื่น ๆ ทำให้ Revive ได้รับความนิยมเหมือนกับงานผิว Rejuran
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง Rejuran และ Revive ต่างกันอย่างไรบ้าง ?
จากการพัฒนาของเทคโนโลยีแ ละความต้องการวิธีการดูแลผิวที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงมีการคิดค้นหัตถการ ดูแลผิวที่ผลลัพธ์ครอบคลุม และตอบโจทย์ด้านความงามยิ่งขึ้น หัตถการงานผิวปัจจุบันจึงมีตัวเลือกมากจนบางคนไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือกทำไหนดี อย่างกรณีที่อยากมีผิวชุ่มชื้น จะทำ Rejuran ก็เป็นตัวเลือกที่ดี แต่จะฉีด Revive ก็ผิวชุ่มชื้นไม่แพ้กัน วันนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงจะมาแนะนำความแตกต่างระหว่าง Rejuran และ Revive เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจสำหรับคนที่คิดเลือกทำหัตถการความงามเป็นครั้งแรก หรือต้องการผลลัพธ์ที่เหมาะกับตัวเองที่สุด
ซึ่งถึงแม้ว่าเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนา Rejuran ผิวชุ่มชื้น และ Revive ผิวฉ่ำวาวจะมีความแตกต่างกัน แต่ประสิทธิภาพและผลลัพธ์โดยรวมอาจมีความใกล้เคียงกันบางส่วน รายละเอียดหลังจากนี้จึงจะเป็นการเปรียบเทียบแบบชัด ๆ เลยว่าต่างกันมากน้อยแค่ไหน
ส่วนประกอบหลักของ Rejuran และ Revive
- Rejuran : Polynucleotide (PN) สารสกัด DNA จากปลาแซลมอนที่เข้ากันได้ดีกับร่างกายของคนเรา ลักษณะเป็นเจลใสไร้สีสำหรับฉีดเข้าผิวหนังส่งผลให้ผิวชุ่มชื้น
- Revive : ประกอบด้วยสาร Hyaluronic Acid และ Glycerol ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของสารเติมเต็ม ทำให้ผิวชุ่มชื้นยิ่งกว่าเดิม
การทำงานของ Rejuran และ Revive
- Rejuran : สาร Polynucleotide เข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิว ช่วยการผลัดเซลล์และฟื้นฟูสภาพผิว รวมถึงช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นและจัดการกับปัญหาผิว จะมีการทำงานของที่เน้นเรื่องปรับสภาพผิวมากกว่าผิวชุ่มชื้น
- Revive : Hyaluronic Acid จะเข้ามาช่วยเติมเต็มร่องลึกและช่วยให้ผิวชุ่มชื้น พอมารวมกับ Glycerol ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำของผิว เป็นการบูสผิวชุ่มชื้นยิ่งกว่าเดิม
การทำงานของทั้งสองจะแตกต่างกันที่ Revive เน้นเติมเต็ม แล้วสร้างความความชุ่มชื้น เนื่องจากมีส่วนประกอบของ HA ที่เป็นสารเติมเต็มที่เป็นส่วนประกอบสำหรับฟิลเลอร์ ส่วน Rejuran จะเข้าไปกระตุ้นเซลล์และผลัดเซลล์ผิว จึงมีความแตกต่างกัน แต่ก็ยังมีส่วนช่วยเรื่องของผิวชุ่มชื้นเหมือนกัน เพียงแต่ Revive จะตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการผิวชุ่มชื้นมากกว่าเพราะมีส่วนประกอบของ Glycerol
Rejuran และ Revive เหมาะกับการใช้งานแบบไหน
- Rejuran : เหมาะสำหรับช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ อันมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น มลภาวะ, ช่วงวัยที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นต้น โดยจะช่วยปรับสภาพผิวและเสริมให้ผิวชุ่มชื้น
- Revive : เหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยร่องตื้น ช่วยปรับโครงหน้าและเสริมการกักเก็บน้ำของผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น
ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพการทำงานเกี่ยวกับผิวชุ่มชื้น ที่คล้ายคลึงกัน แต่ทั้งสองจะมีความแตกต่างกันที่รายละเอียดการปรับสภาพผิว โดย Revive จะตอบโจทย์การเติมเต็มผิวร่องลึกในฐานะสร้างเติมเต็ม ส่วน Rejuran จะเหมาะกับปรับสภาพผิวจากการเสื่อมสภาพและช่วยให้ผิวชุ่มชื้นยิ่งขึ้น
Rejuran และ Revive เหมาะสำหรับบริเวณไหนบ้าง?
- Rejuran : สามารถฉีดได้หลายบริเวณทั่วหน้า รวมถึงรอบดวงตา หากอยากมีผิวชุ่มชื้นสามารถฉีดบริเวณแก้ม หน้าผาก หรือจุดที่ผิวแห้งเสียเป็นพิเศษ
- Revive : จะเหมาะสำหรับบริเวณผิวตื้น ๆ จึงนิยมฉีดบริเวณรอบดวงตา, ปาก, ลำคอ,หน้าผาก และหลังมือ โดยจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและอวบอิ่มให้กับบริเวณที่ฉีด
ส่วนมากบริเวณที่ทำ Rejuran และ Revive เพื่อผิวชุ่มชื้นจะไม่ค่อยแตกต่างกัน แต่ Revive จะเน้นฉีดที่ผิวตื้นไม่ลงลึกถึงชั้น Dermis ส่วน Rejuran จะเหมาะสำหรับฉีดลงผิวชั้นกลางเพื่อให้สาร PN กระจายไปทั่ว ๆ และช่วยเสริมสร้างให้ผิวชุ่มชื้น มีความกระชับ
Rejuran และ Revive มีความรู้สึกระหว่างทำที่แตกต่างกันหรือไม่
- Rejuran : เนื่องจาก Rejuran จำเป็นต้องฉีดลงไปที่ผิวชั้นกลางเพื่อให้สาร PN กระจายลงไปบนผิวเพื่อไปกระตุ้นให้ผิวชุ่มชื้น เลยจะมีความรู้สึกเจ็บระหว่างทำบ้าง แต่จะมีการ บรรเทาความเจ็บด้วยการฉีดยาชาก่อนทำ
- Revive : Revive ถูกพัฒนาโดยคำนึงถึงคนที่กลัวเจ็บระหว่างทำ จึงมีความเจ็บปวดที่น้อยลง แต่สำหรับคนที่กลัวเจ็บสามารถทายาชาเพิ่มได้ก่อนทำ Revive
Rejuran และ Revive ผลลัพธ์อยู่นานแค่ไหน
- Rejuran : สาร PN ช่วยกระตุ้นให้ผิวชุ่มชื้นอยู่นานถึง 6-8 เดือน
- Revive : สาร Hyaluronic Acid ช่วยเติมเต็มร่องลึก สร้างผิวชุ่มชื้นได้นานถึง 9 เดือน
โดย Rejuran ควรฉีดอย่างต่อเนื่อง 2-3 สัปดาห์/ครั้ง และเมื่อทำครบ 4 ชั้น ผลลัพธ์ผิวชุ่มชื้นจะคงอยู่นานถึง 8 เดือน ส่วน Revive เติมเต็มผิวชุ่มชื้นเพียงครั้งเดียวก็จะได้ผลลัพธ์ของผิวฉ่ำวาวไปถึง 9 เดือนเลย ซึ่งตรงส่วนนี้จะเห็นว่าทั้งสองมีความแตกต่างทั้งระยะเวลาของผลลัพธ์และจำนวน ครั้งที่แนะนำให้ทำหัตถการ แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรตรวจสอบก่อนว่าปัญหาผิวของเราเหมาะกับไหน เพื่อผลลัพธ์ขอผิวที่เรียบเนียน ผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์อย่างมีประสิทธิภาพ
อยากมีผิวชุ่มชื้นสร้างผิวที่ฉ่ำวาวและคงความอ่อนเยาว์ ต้องมาที่รมย์รวินท์ คลินิก
กิจวัตรประจำวันของแต่ละคนล้วนมีส่วนที่ต้องออกมาเผชิญกับมลภาวะต่าง ๆ รวมถึงช่วงอายุที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ผิวที่เคยเรียบเนียน ผิวที่เคยชุ่มชื้นก็กลับกลายเป็นผิวที่ขาดน้ำ ขาดความกระชับ ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนแม้ว่าจะมีการบำรุงผิวให้ฉ่ำวาวด้วยครีมสกินแคร์หรือบำรุงผิวด้วยวิธีต่าง ๆ มากแค่ไหน ผิวก็ไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อย่างเต็มที่ภายในระยะเวลาสั้น ๆ
แต่สำหรับคนที่ต้องการวิธีฟื้นฟูบำรุงผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์อย่างทันท่วงที สามารถลองมาปรึกษากับแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิก โดยทางคลินิกจะมีเทคนิคเฉพาะที่ช่วยวิเคราะห์ปัญหาผิวและเลือกวิธีการจัดการกับผิว อย่างเหมาะสม สำหรับคนที่ผิวขาดน้ำ ผิวไม่เรียบเนียนขาดความกระชับ ทางคลินิกก็จะแนะนำ Rejuran หรือ Revive ซึ่งจะช่วยเติมเต็มสารสกัดที่เป็นประโยชน์ต่อผิว ส่งผลให้ผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ สำหรับคนที่สนใจสามารถติดต่อรมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขาเลยลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ