การฉีดฟิลเลอร์ปาก เป็นหนึ่งในหัตถการยอดฮิตที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ด้วยคุณสมบัติที่สามารถปั้นรูปทรงได้ตามความต้องการ และเพิ่มความอวบอิ่มให้ริมฝีปากได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การฉีดฟิลเลอร์ปากนั้นกลายเป็นทางเลือกที่หลายคนให้ความสนใจ แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ปาก หลายคนอาจยังลังเล หรือมีความไม่แน่ใจว่า ควรเลือกปรับรูปทรงปากแบบไหนดี? ในบทความนี้ รมย์รวินท์จะมาแนะนำทรงปากยอดนิยมฉบับอัปเดตว่า มีทั้งหมดกี่ทรง? แต่ละทรงแตกต่างกันอย่างไร? พร้อมบอกเคล็ดลับการเลือกทรงปากอย่างไรให้เหมาะกับหน้า? เพื่อเป็นแนวทางก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ปาก

แนะนำทรงปากยอดนิยม
ปัจจุบันทรงปากมีให้เลือกหลากหลายทรง ซึ่งแต่ละทรงก็มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
- ทรงปากธรรมชาติ (Classy Kysse)
ทรงปากธรรมชาติ (Classy Kysse) มีลักษณะริมฝีปากที่ดูอวบอิ่ม และมีความสมดุลรับกับใบหน้าอย่างกลมกลืน โดยที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปทรงเดิมมาก เหมาะสำหรับผู้ที่มีริมฝีปากบาง ต้องการเพิ่มความอวบอิ่มเล็กน้อย แต่ยังคงผลลัพธ์ที่แลดูเป็นธรรมชาติอยู่
- ทรงปากเชอร์รี่ (Cherry Kysse)
ทรงปากเชอร์รี่ (Cherry Kysse) มีลักษณะริมฝีปากคล้ายลูกเชอร์รี่ ซึ่งริมฝีปากบนจะเป็นทรงกระจับ และมีติ่งตรงกลางเล็กน้อย ส่วนริมฝีปากล่างดูอวบอิ่ม คล้ายลูกเชอร์รี่เล็ก ๆ ประกบกัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ใบหน้าดูละมุน และดูหวานมากขึ้น
- ทรงปากแมว (Cat Lips)
ทรงปากแมว (Cat Lips) มีลักษณะริมฝีปากที่มีความอวบอิ่ม และโค้งมน ทั้งริมฝีปากบน และริมฝีปากล่าง ในขณะที่มุมปากจะยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายปากแมว ซึ่งถือเป็นรูปทรงที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความละมุน และความหวานให้ใบหน้า
- ทรงปากกระจับ
ทรงปากกระจับ มีลักษณะริมฝีปากที่ดูโค้งเว้าคล้ายกระจับอย่างชัดเจน ริมฝีปากบนมีติ่งตรงกลางเล็กน้อย ส่วนริมฝีปากล่างจะมีความอวบอิ่ม และหนากว่าริมฝีปากบน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ริมฝีปากเป็นทรงกระจับอย่างชัดเจน
- ทรงปากปีกนก
ทรงปากปีกนก มีลักษณะริมฝีปากบนดูโค้งเว้าได้รูป และริมฝีปากล่างมีความอวบอิ่มเล็กน้อย ส่วนมุมปากจะยกขึ้นคล้ายกับปีกนก ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนเวลายิ้ม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหามุมปากตก ปากคว่ำ ต้องการเพิ่มความอ่อนหวานให้ใบหน้า
- ทรงปากอวบอิ่ม (Sexy Lips)
ทรงปากอวบอิ่ม (Sexy Lips) มีลักษณะริมฝีปากที่มีความอวบอิ่มอย่างเห็นได้ชัด ทั้งริมฝีปากบน และริมฝีปากล่าง ขอบปากมีความคมชัด แต่ไม่ดูอวบหนาเท่าทรงปากสายฝอ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ริมฝีปากดูเซ็กซี่ และมีเสน่ห์มากขึ้น
- ทรงปากคิวปิด (Cupid’s Bow)
ทรงปากคิวปิด (Cupid’s Bow) มีลักษณะริมฝีปากบนมีรอยหยักคล้ายรูปหัวใจ หรือคันธนูคิวปิด ส่วนริมฝีปากล่างดูอวบอิ่ม และมีความนูนขึ้นทั้งสองฝั่งรับกับริมฝีปากบน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ริมฝีปากดูสวยหวาน และเซ็กซี่มากขึ้น
- ทรงปากสายเกา
ทรงปากสายเกา มีลักษณะริมฝีปากที่มีความอวบอิ่ม แต่ยังแลดูเป็นธรรมชาติอยู่ ริมฝีปากบนเป็นทรงกระจับเล็กน้อย มุมปากดูยกขึ้น และขอบปากไม่คมชัด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ริมฝีปากดูละมุนรับกับใบหน้า และต้องการให้ริมฝีปากดูสุขภาพดี
- ทรงปากสายฝอ
ทรงปากสายฝอ มีลักษณะริมฝีปากที่มีความอวบอิ่ม และเนื้อปากแน่นอย่างชัดเจน ทั้งริมฝีปากบน และริมฝีปากล่าง ขอบปากมีความคมชัด และดูมีมิติ เหมาะสำหรับที่มีเนื้อปากเยอะ ต้องการให้ริมฝีปากดูโดดเด่น เซ็กซี่ และดูมีเสน่ห์แบบสายฝอ
- ทรงปาก Full Lips
ทรงปาก Full Lips มีลักษณะริมฝีปากที่มีความอวบอิ่ม ทั้งริมฝีปากบน และริมฝีปากล่าง โดยมีสัดสวน 1:1 เท่ากัน ซึ่งจะไม่เน้นความโค้งเว้าตรงกลาง เหมาะสำหรับผู้ที่มีโครงหน้าชัด ใบหน้าคม และต้องการเพิ่มความโดดเด่นให้ริมฝีปาก
- ทรงปาก Heavy Lower Lips
ทรงปาก Heavy Lower Lips มีลักษณะริมฝีปากล่างดูอวบหนา และมีความใหญ่กว่าริมฝีปากบน เน้นวอลลุ่มอย่างชัดเจน ส่วนริมฝีปากบนจะมีสัดส่วนที่พอดี และขอบปากคมชัด เหมาะสำหรับผู้ที่มีริมฝีปากล่างบาง และต้องการเพิ่มความโดดเด่นในริมฝีปาก
- ทรงปาก Heavy Upper Lips
ทรงปาก Heavy Upper Lips มีลักษณะริมฝีปากบนอวบหนา เต็มอิ่ม และมีความใหญ่กว่าริมฝีปากล่าง โดยริมฝีปากบนจะเป็นทรงกระจับเล็กน้อย แต่เน้นความอวบอิ่มมากกว่า ส่วนริมฝีปากล่างจะมีสัดส่วนที่พอดี ไม่ใหญ่จนเกินไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีริมฝีปากบนบาง และต้องการเพิ่มเสน่ห์ให้ริมฝีปาก
- ทรงปาก Wide Lips
ทรงปาก Wide Lips มีลักษณะริมฝีปากมีความอวบอิ่ม และมีขนาดกว้างมากกว่าทรงอื่น ๆ ซึ่งจะมีความสมดุลกันทั้งริมฝีปากบน และล่าง รวมถึงมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีริมฝีปากแคบ ริมฝีปากเล็ก และต้องการขยายริมฝีปากให้ยาวรับกับใบหน้า
- ทรงปากมาสด้า
ทรงปากมาสด้า มีลักษณะริมฝีปากมีรอยหยักเป็นรูปตัว M และมีความโค้งเว้าคล้ายโลโก้ของรถยนต์ ซึ่งริมฝีปากบนจะเห็นติ่งตรงกลางได้อย่างชัดเจน ขอบปากดูคมชัด และมุมปากยกขึ้น ส่วนริมฝีปากล่างมีร่องตรงกลาง และมีความอวบอิ่มเล็กน้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีริมฝีปากแบน ขอบปากไม่ชัด และต้องการเพิ่มเสน่ห์ให้ริมฝีปาก

ทรงปากกระจับ กับ ทรงปากสายเกา กับ ทรงปากสายฝอต่างกันอย่างไร?
ทรงปากกระจับ ทรงปากสายเกา และทรงปากสายฝอมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้
- ทรงปากกระจับ
ทรงปากกระจับ เป็นรูปทรงปากที่มีความโค้งเว้าคล้ายผลกระจับอย่างชัดเจน มีติ่งตรงกลางบริเวณริมฝีปาก และเห็นขอบปากชัด โดยไม่ได้เน้นเพิ่มวอลลุ่มมากนัก ซึ่งทรงปากนี้จะทำให้ริมฝีปากดูมีเสน่ห์ และทำให้ใบหน้าโดยรวมดูโดดเด่นมากขึ้น
- ทรงปากสายเกา
ทรงปากสายเกา เป็นรูปทรงปากที่มีความอวบอิ่ม และมีความกระจับเล็กน้อย ริมฝีปากบน และริมฝีปากล่างมีความสมดุลกัน เน้นรูปทรงธรรมชาติ มุมปากยกขึ้น และขอบปากไม่ชัด ซึ่งทรงปากนี้จะทำให้ใบหน้าดูอ่อนหวาน และละมุนแบบสาวเกาหลี โดยไม่ได้เน้นความอวบอิ่มมาก
- ทรงปากสายฝอ
ทรงปากสายฝอ เป็นรูปทรงปากที่มีความหนาใหญ่ อวบอิ่ม และมีวอลลุ่มอย่างชัดเจน ทั้งริมฝีปากบน และริมฝีปากล่าง ขอบปากคมชัด และมีความเจ่อเล็กน้อย ซึ่งทรงปากนี้จะช่วยเสริมความโดดเด่นให้กับใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูเซ็กซี่ มั่นใจ และเฉี่ยวคมแบบสายฝอ
เลือกทรงปากอย่างไรให้เหมาะกับหน้า?
การเลือกทรงปากให้สวยงาม และรับกับใบหน้านั้น ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก โดยเริ่มจากการพิจารณาสัดส่วนของใบหน้าโดยรวม ทั้งความยาว และความกว้างของใบหน้า ไปจนถึงการพิจารณาจากลักษณะริมฝีปากเดิม เช่น ความบาง ความหนา เส้นขอบปาก ความสมดุลของริมฝีปากบน และริมฝีปากล่าง รวมถึงรูปทรงปากที่ต้องการ เพื่อให้การปรับรูปทรงปากนั้นออกมาสวยงาม และกลมกลืนเข้ากับใบหน้าอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ปากแนะนำให้เข้ารับการปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ช่วยประเมินโครงสร้างใบหน้า วิเคราะห์ปัญหา พร้อมแนะนำรูปทรงปากที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการ และลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงหลังฉีด
ลักษณะทรงปากที่ดีเป็นอย่างไร?
ตามหลักความเชื่อทางโหราศาสตร์จีน รูปทรงปากถือเป็นตำแหน่งที่สำคัญบนใบหน้า ที่สามารถบ่งบอกถึงบุคลิกภาพ ความสัมพันธ์ วาสนา และทักษะการเจรจาสื่อสาร โดยเชื่อกันว่า ลักษณะของริมฝีปากที่ได้รูป และสมดุลนั้น จะช่วยเสริมดวงชะตา และเพิ่มความเป็นสิริมงคล เพื่อส่งเสริมเรื่องโชคลาภ ความรัก หรือความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ของชีวิต โดยทรงปากที่ดี และด้อยจะมีลักษณะ ดังนี้
- ลักษณะทรงปากที่ดี
ลักษณะทรงปากที่ดี จะมีขนาดริมฝีปากที่ได้มาตรฐาน มีความอวบอิ่ม รับกับรูปหน้า รวมถึงมีขอบปาก และมีรอยหยัก มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ไม่ทิ่มลง ริมฝีปากดูเรียบเนียน ชุ่มชื้น และไม่แห้งแตกลอก
- ลักษณะทรงปากด้อย
ลักษณะทรงปากด้อย จะมีขนาดริมฝีปากที่ไม่ได้มาตรฐาน ริมฝีปากบาง ไม่รับกับใบหน้า ขอบปากไม่ชัด มุมปากคว่ำ มุมปากตก และริมฝีปากแห้งแตกลอก เป็นร่องอย่างชัดเจน
การฉีดฟิลเลอร์ปากคืออะไร?
การฉีดฟิลเลอร์ปาก เป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid (HA) เข้าไปยังบริเวณริมฝีปาก เพื่อปรับรูปทรงปาก เพิ่มความอวบอิ่ม เติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก รวมถึงแก้ไขความไม่สมดุลระหว่างริมฝีปากบน และริมฝีปากล่าง โดยสาร HA มีคุณสมบัติเด่นในการอุ้มน้ำ และกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ริมฝีปากดูสุขภาพดี อิ่มฟู และมีวอลลุ่มอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ

การฉีดฟิลเลอร์ปากมีข้อดีอย่างไร?
- ปรับรูปทรงปากได้ตามต้องการ
การฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถปรับรูปทรงปากได้ตามความต้องการ และมีสัดส่วนที่รับกับใบหน้ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทรงปากธรรมชาติ ทรงปากเชอร์รี่ ทรงปากสายเกา หรือทรงปากสายฝอ
- แก้ไขปัญหาริมฝีปากได้หลากหลาย
การฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถแก้ไขปัญหาริมฝีปากได้อย่างหลากหลาย และครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปากบาง ริมฝีปากไม่เท่ากัน ริมฝีปากมีร่องลึก ริมฝีปากแห้ง ริมฝีปากเหี่ยว ขอบปากไม่ชัด หรือแม้แต่มุมปากตก
- เห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว
การฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และให้ผลลัพธ์ที่มีความชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด
- ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้นนาน
การฉีดฟิลเลอร์ปาก เป็นหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด จึงให้ความรู้สึกเจ็บน้อยมาก และใช้เวลาในการทำหัตถการไม่นานเพียง 15 – 30 นาที รวมถึงหลังฉีดไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
- ปรับแต่งเพิ่ม หรือแก้ไขง่าย
หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก หากต้องการเพิ่มวอลลุ่ม หรือปรับรูปทรงปากเพิ่มเติม สามารถกลับมาฉีดเพิ่มได้ โดยไม่เป็นอันตราย แต่หากไม่พึงพอใจในผลลัพธ์ สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ด้วยการใช้เอนไซม์ Hyaluronidase
การฉีดฟิลเลอร์ปากช่วยเรื่องอะไร?
- ช่วยเพิ่มความอวบอิ่มให้กับริมฝีปาก
- ช่วยปรับรูปทรงปากให้มีความสวยงาม
- ช่วยเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึกบริเวณริมฝีปาก
- ช่วยปรับแต่งริมฝีปากให้มีความสมส่วน
- ช่วยเพิ่มความคมชัดให้กับขอบปาก
- ช่วยยกมุมปากขึ้น แก้ไขปัญหามุมปากตก
- ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก
- ช่วยให้ทาลิปสติกติดง่ายมากขึ้น และดูไม่ตกร่อง
- ช่วยเพิ่มความมั่นใจ และเสริมบุคลิกภาพให้ดูดีมากขึ้น

การฉีดฟิลเลอร์ปากเหมาะกับใคร?
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริมฝีปากบาง ริมฝีปากแบน
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริมฝีปากไม่สมส่วน ไม่รับกับใบหน้า
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริมฝีปากเบี้ยว ริมฝีปากไม่เท่ากัน
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องลึกบริเวณริมฝีปาก
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีริมฝีปากแห้งกร้าน แตกลอก
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาขอบปากไม่คมชัด ดูขาดมิติ
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหามุมปากคว่ำ มุมปากตก ใบหน้าดูดุ
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับแต่งรูปทรงปาก
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มวอลลุ่มให้กับริมฝีปาก
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
- เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดศัลยกรรมปาก
คำแนะนำ ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งข้อมูลสุขภาพให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ ประวัติการรักษา และยาที่รับประทานอยู่
การฉีดฟิลเลอร์ปากใช้กี่ CC?
การฉีดฟิลเลอร์ปากแต่ละรูปทรงจะใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะริมฝีปากเดิม รูปทรงที่ต้องการ โครงสร้างใบหน้าโดยรวม และการพิจารณาของแพทย์ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วปริมาณฟิลเลอร์ที่นิยมใช้ มีดังนี้
- สำหรับผู้ที่ต้องการทรงปากที่แลดูเป็นธรรมชาติ ไม่เน้นความอวบอิ่มมาก เช่น ทรงปากกระจับ ทรงปากสายเกา ทรงปากปีกนก หรือทรงปากแมว อาจใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1 – 2 CC เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
- สำหรับผู้ที่ต้องการทรงปากที่มีความอวบอิ่มมาก เน้นเพิ่มวอลลุ่ม เพิ่มความหนา และต้องการขอบปากคมชัด เช่น ทรงปากสายฝอ ทรงปากอวบอิ่ม หรือทรงปาก Full Lips อาจใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 2 – 3 CC เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
การฉีดฟิลเลอร์ปาก กับ ศัลยกรรมปากต่างกันอย่างไร?
การฉีดฟิลเลอร์ปาก และการศัลยกรรมปาก ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมในการปรับแต่งรูปทรงปาก ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ และการศัลยกรรมปากมีความแตกต่างกัน ดังนี้
- การฉีดฟิลเลอร์ปาก
การฉีดฟิลเลอร์ปาก เป็นการใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid (HA) ฉีดเข้าไปยังบริเวณริมฝีปาก เพื่อปรับแต่งรูปทรง เพิ่มความอวบอิ่ม เติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก รวมถึงแก้ไขสัดส่วนของริมฝีปากให้มีความสมดุล โดยสาร HA มีคุณสมบัติเด่นในการอุ้มน้ำ และกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ริมฝีปากดูสุขภาพดี อิ่มฟู และมีวอลลุ่มอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งหลังฉีดสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และให้ผลลัพธ์ที่มีความชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
- การทำศัลยกรรมปาก
การศัลยกรรมปาก เป็นการใช้มีดผ่าตัดตกแต่งรูปทรงปาก เพื่อให้มีสัดส่วนที่สวยงาม สมดุลรับกับใบหน้า และแก้ไขปัญหาริมฝีปากที่เกิดจากโครงสร้างเดิม เช่น ริมฝีปากหนา ริมฝีปากไม่เท่ากัน มุมปากตก หรือริมฝีปากไม่มีรูปทรงที่ชัดเจน ซึ่งหลังทำศัลยกรรมปากนั้นอาจมีแผลผ่าตัด และบวมช้ำอย่างชัดเจนในช่วงแรก จึงต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนาน และรอให้ผลลัพธ์เข้าที่อย่างน้อย 1 เป็นต้นไป
การฉีดฟิลเลอร์ปากมีข้อจำกัดไหม?
- ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติเคยแพ้สารในฟิลเลอร์ หรือมีประวัติแพ้ Hyaluronic Acid (HA)
- ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคผิวหนังบริเวณริมฝีปาก
- ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่อาการติดเชื้อ และอักเสบอย่างรุนแรงบริเวณริมฝีปาก
- ไม่เหมาะสำหรับผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ และกำลังให้นมบุตร
- ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเลือดออกง่าย หรือมีภาวะที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด
- ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีภาวะที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
- ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์แบบถาวร
คำแนะนำ ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งข้อมูลสุขภาพให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ ประวัติการรักษา และยาที่รับประทานอยู่

รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก
ฉีดฟิลเลอร์ปาก กี่วันเข้าที่?
- โดยทั่วไปแล้วการฉีดฟิลเลอร์ปาก จะใช้ระยะเวลาในการเข้าที่ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ เมื่ออาการบวมค่อย ๆ ลดลง จากนั้นจะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างสมบูรณ์ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์หลังฉีด ทั้งนี้แนะนำให้ดื่มน้ำให้มาก ๆ งดโดนความร้อน งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณริมฝีปากอย่างรุนแรง เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงอันตราย
ฉีดฟิลเลอร์ปาก อยู่ได้นานไหม?
- โดยเฉลี่ยไปแล้วการฉีดฟิลเลอร์ปาก จะสามารถคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อฟิลเลอร์ เนื้อฟิลเลอร์ และการปฏิบัติตัวหลังฉีด
ฉีดฟิลเลอร์ปาก อันตรายไหม?
- โดยทั่วไปแล้วการฉีดฟิลเลอร์ปาก เป็นหัตถการที่ไม่มีความอันตราย หากฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ และใช้ฟิลเลอร์แท้ที่มีการรับรองจาก อย. นอกจากนี้การฉีดฟิลเลอร์ปาก ยังเป็นหัตถการที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ จึงไม่ทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตรายในระยะยาว
ฉีดฟิลเลอร์ปาก มีอาการข้างเคียงไหม?
- โดยทั่วไปแล้วหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก อาจมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นได้บ้างหลังฉีด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาการที่พบได้บ่อย และสามารถดีขึ้นเองภายใน 1 – 2 สัปดาห์ ได้แก่ อาการบวม รู้สึกปวดตึง และมีรอยฟกช้ำจากเข็ม
ฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถสลายได้เองไหม?
- โดยทั่วไปแล้วการฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ หากใช้ฟิลเลอร์แท้ประเภท Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งหลังฉีดจะไม่ทิ้งสารตกค้างอันตรายในชั้นผิว แต่ในกรณีที่ต้องการให้ฟิลเลอร์สลายหมดก่อนระยะเวลาที่กำหนด สามารถใช้เอนไซม์ Hyaluronidase ในการฉีดสลายฟิลเลอร์ เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด หรือผลลัพธ์ที่ไม่พึงพอใจหลังฉีด โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย
หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก มีข้อควรระวังอย่างไร?
โดยทั่วไปแล้วหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก มีข้อควรระวังที่ควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันอาการอักเสบ อาการบวม และผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีด ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการจับ บีบ กด หรือนวดบริเวณริมฝีปาก
- หลีกเลี่ยงการทำลายผิวบริเวณริมฝีปาก เช่น ดึง หรือลอกหนังริมฝีปาก
- หลีกเลี่ยงการใช้หลอดดื่มน้ำ และการทาลิปสติกสีในช่วงแรก
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสความร้อน หรือโดนความร้อนโดยตรง
- งดการสูบบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มที่มีความร้อน
- งดการรับประทานอาหารรสจัด และอาหารที่มีโซเดียมสูง
- งดการออกกำลังกายที่รุนแรง หรือทำกิจกรรมหนัก ๆ
จะเห็นได้ว่า ทรงปากยอดนิยมในปัจจุบันมีให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทรงปากธรรมชาติ ทรงปากเชอร์รี่ ทรงปากแมว ทรงปากกระจับ ทรงปากสายเกา หรือแม้แต่ทรงปากสายฝอ ซึ่งแต่ละรูปทรงปากก็มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์ปาก จึงกลายเป็นอีกหนึ่งหัตถการยอดฮิตที่สามารถเพิ่มความอวบอิ่ม เติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ปรับรูปทรง และแก้ไขความไม่สมส่วนของริมฝีปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรพิจารณาอย่างรอบคอบในหลาย ๆ ด้าน ทั้งลักษณะริมฝีปากเดิม รูปทรงที่ต้องการ และโครงสร้างใบหน้าโดยรวม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม และตรงตามความต้องการ
*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

