Category Archives: ยกกระชับ ปรับรูปหน้า

UltraClear ยกกระชับ ดูแลปัญหาใบหน้าครบวงจร ช่วยอะไร แก้ปัญหาอะไรบนใบหน้าได้บ้าง

UltraClear

UltraClear ดูแลใบหน้า ปิดจบปัญหาแบบครบวงจร

UltraClear เป็นเทคโนโลยีที่สร้างขึ้นโดย ผู้เชี่ยวชาญในด้านความงาม และการผ่าตัด Acclaro Medical ก่อตั้งขึ้นในปี 2018 โดยเป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมระดับโลกในการมุ่งมั่นที่จะพัฒนา สร้างสรรค์นวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อตอบสนองด้านความต้องการทางการแพทย์ ความงาม และการผ่าตัดUltraClear

UltraClear คืออะไร

UltraClear เป็นเครื่องครบวงจร เพื่อผิวที่ดูอ่อนเยาว์ คือ Cold Ablative Fiber หรือเลเซอร์ไฟเบอร์ ในรูปแบบที่มีความเย็นเป็นตัวแรกของโลก เพื่อใช้ในการต่อต้านสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากวัยที่เพิ่มมากขึ้น โดย Ultraclear ใช้ MID IR Fiber รุ่นแรกที่มี wavelength ใหม่คือ 2910 นาโนเมตร ซึ่งเลเซอร์ดังกล่าว ทำงานภายใต้การดูดซับน้ำอย่างสูงสุด มากกว่าทุกคลื่น ที่มีในท้องตลาดถึง 95% ของพลังงานคลื่น จะถูกใช้ในการทำงานกับเนื้อเยื่อ ผิวหนัง และทิ้งความร้อน หรืออาการต่าง ๆ ไว้ที่ผิวของผู้เข้ารับบริการน้อยมาก หลังจากเข้ารับบริการ เนื่องจาก ไฟเบอร์ MID IR มีการระเหยของคลื่นที่ดี และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายจากความร้อนอื่น ๆ อันเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของ PIH และ PIE ส่งผลให้ผิว มีความปลอดภัยหลังจากทำการรักษา นอกจากนี้ UltraClear ยังมีวิธีการสร้างพลังงาน โดยใช้ คลื่นเออร์เบียม (Erbium fluoride) ซึ่งเป็นคลื่นไม่มีหลอดไฟ  (lamp) เหมือนกับเครื่องอื่น ๆ ในสมัยก่อน ทั้งยังมีการออกแบบเครื่องที่แตกต่าง จากเครื่องตระกูลเลเซอร์ทุกตัว จึงทำให้ UltraClear ไม่ต้องมีการปรับเทียบพลังงานบ่อย ๆ จึงเป็นการทำให้เครื่องเกิดความเสถียรในการทำงานมากยิ่งขึ้น

อีกทั้ง UltraClear ยังมีการระเหยแบบเย็น และการแข็งตัวแบบ dialed-in รวมทั้งแบบ intra-ablative เพื่อให้ผู้เข้ารับบริการสามารถทำซ้ำได้ อย่างปลอดภัย และให้ผลลัพธ์ที่ดี

UltraClear ออกแบบมาเพื่อให้เป็นโปรแกรมที่มีความแม่นยำที่สูง ด้วยคุณภาพลำแสงที่เหนือชั้นกว่า และมีขนาดจุดที่เล็กของ MIRACL และให้พลังงานที่สามารถกระจายตัวได้อย่างมีความละเอียดสูง และมีความสม่ำเสมอสูง ทั้งยังมีขนาดจุดคลื่นที่เล็กลง เพื่อให้สามารถยังช่วยให้คลื่นพลังงาน สามารถเจาะลึกลงสู่ชั้นผิวได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น  สามารถปิดช่องไมโคร ที่ทำลายได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ช่วยลดความเจ็บปวด ทำให้ในการรักษาใช้ระยะเวลาไม่นาน และยังมีส่วนในการป้องกันเลือดออก

มีเทคโนโลยีการสแกน X-Y ที่เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับรางวัล ของแพลตฟอร์มรองรับ ในด้านการทำลายผิว พร้อมกับมีการปรับโครงสร้างคอลลาเจนในระดับลึกในครั้งเดียว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีความสม่ำเสมอสูง

สามารถทำได้ทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติใด มีผิวสีเข้มในระดับใด ก็สามารถทำ Ultraclear ได้ทั้งสิ้น 

UltraClear ยังได้รับการรับรองจาก FDA  ในด้านการแก้ปัญหาผิวหน้า และฟื้นฟูผิวหน้าด้วย เลเซอร์ MID IR Fiber ตัวแรกของโลก ที่สามารถรักษาชั้นผิวหนังได้พร้อมกันหลาย ๆชั้น โดยนับตั้งแต่ชั้นหนังกำพร้า ลงไปจนถึงชั้นผิวหนังแท้ เพื่อเป็นการช่วยอาการต่าง ๆ ที่เกิดจากวัยที่เพิ่มขึ้น

ด้วยการทำงานของ UltraClear ผิวที่หมองคล้ำจะถูกกำจัดออกไป และชั้นผิวด้านล่าง จะได้รับพลังงานความร้อน ที่แพทย์สามารถทำการควบคุมได้อย่างแม่นยำ จึงทำให้ผิวที่ทำ UltraClear ถูกรักษา และเกิดการปรับโครงสร้างขึ้นมาใหม่ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการสร้างเซลล์ผิวขึ้นใหม่ เพิ่มการผลิตคอลลาเจนรวมทั้ง อิลาสตินใต้ผิวหนังอีกด้วย จึงทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี มีผิวที่เรียบเนียน มีสุขภาพผิวที่ดี มีความกระจ่างใสมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังมีผิวภาพรวมที่ดูอ่อนกว่าวัย

UltraClear ประกอบไปด้วย 6 Applications ในเครื่องเดียว 

เนื่องจาก Ultraclear มีความตั้งใจที่จะเป็นเครื่องที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาของผู้เข้ารับการรักษาได้หลากหลาย จึงออกแบบมาให้สามารถตอบโจทย์ผู้เข้ารับบริการที่มีหลากหลายปัญหา ทำให้สามารถทำงานได้คลอบคลุมเกือบทุกปัญหาบนผิวหน้า นับตั้งแต่ การทำหน้าใส บนผิวหนังชั้นตื้น ๆ แก้ปัญหาริ้วรอยในขนาดเล็กจนถึง ขนาดใหญ่  แก้ปัญหาหลุมสิว แผลเป็นได้อย่างแตกต่าง โดยที่ยังไม่มีเครื่องชนิดไหนที่สามารถทำได้ คือ วิธีการ laser coring ที่เป็นลักษณะการตัดหนังส่วนเกิน คล้ายกับการผ่าตัดดึงหน้า แต่เป็นการใช้ laser ตัดหนังที่เป็นจุดเล็ก ๆ ในการเจาะลงไปได้ลึก ตั้งแต่ 0.5 – 4 มม. ใช้สำหรับการยกกระชับผิว แบบดึงหน้า ดึงคอ โดยเป็นการเอาหนังส่วนเกินออกไป โดย Ultraclear  ประกอบด้วย 6 Applications  ดังนี้

  • Clear Mode
  • Clear+ Mode
  • Ultra Mode
  • UltraClear Mode
  • Laser-Coring Mode
  • Surgical Mode

1.Clear Mode

เป็นโหมดที่ใช้การระเหยตัวด้วยความเย็นของชั้นผิว stratum corneum ที่มีสูง 15% โดยทำงานกับชั้นผิว stratum corneum ทำให้มีผลลัพธ์ในการรักษาอย่าง รวดเร็วสำหรับในด้านของการรักษาผิวสัมผัส ความเสียหายของผิวอันเนื่องจากแสงแดด รวมทั้งยังช่วยในการรักษารอยด่างดำของผิวได้อีกด้วย โดยใช้เวลาในการพักฟื้นต่ำ และมีความเจ็บในระหว่างการรักษาที่ไม่มาก

2.Clear+ Mode

เป็นโหมดที่ใช้การระเหยด้วยความเย็นที่สูงมากถึง 80% โดยทำงานกับชั้นหนังกำพร้า ช่วยในการปรับปรุงผิวให้มีคุณภาพที่ดีมากขึ้น ในการลดริ้วรอย ลดจุดด่างดำ กระเนื้อ รวมทั้งรอยแผล และรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวได้เป็นอย่างดี

3.Ultra Mode

เป็นโหมดการฟื้นฟูอย่างล้ำลึกในผิวหนังชั้น mid dermis โดยการใช้เทคโนโลยี 3DIntelliPulse ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ UltraClear โดยเฉพาะ เน้นช่วยในการสร้างคอลลาเจน และสร้างอิลาสติน ใต้ผิวหนังขึ้นมาใหม่เพื่อให้ผิวเกิดความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยเติมเต็มริ้วรอยลึก ริ้วรอยขนาดเล็ก ๆ รวมทั้งรักษารอยแผลได้

4.UltraClear Mode

เป็นโหมดที่ทำการผสมผสานทั้งโหมด 2 คือ โหมด Clear+ Mode และ โหมด 3 Ultra Mode เพื่อให้ได้ผลลัพธ์หลังการทำที่ดีอย่างสูงสุด และยาวนานที่สุด คือ การให้ผิวที่เรียบเนียน กระชับ กระจ่างใส และดูอ่อนเยาว์ขึ้น

5.Laser-Coring Mode

เป็นโหมดที่ต้องใช้เทคนิคขั้นสูงในการทำ โดยให้ผลลัพธ์เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการแก้ไขริ้วรอยร่องลึก รวมทั้งรอยแผลเป็นที่มีความลึก อีกทั้งโหมดนี้ ยังช่วยให้มีผิวที่เรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น

6.Surgical Mode

เป็นโหมดผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ และการศัลยกรรมตกแต่งเปลือกตา ให้เกิดผลลัพธ์หลังจากทำอย่างทันที 

UltraClear ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง

UltraClear เป็นนวัตกรรมที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นของผิว อันประกอบไปด้วยหลายอย่างครอบคลุมใน 1 การรักษา เพื่อผู้เข้ารับบริการ สามารถดูดีได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย อย่างมีประสิทธิภาพ โดย 

UltraClear สามารถแก้ปัญหาผิวหน้าได้ ดังนี้ 

  • UltraClear ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยตื้นและริ้วรอยลึก
  • UltraClear ช่วยแก้ปัญหาจุดด่างดำ 
  • UltraClear ช่วยแก้ปัญหาฝ้าหนาที่ไม่ร้ายแรง
  • UltraClear ช่วยแก้ปัญหารอยแผลเป็น 
  • UltraClear ช่วยแก้ปัญหารอยสิว รอยดำต่าง ๆ
  • UltraClear ช่วยแก้ปัญหาโทนสีและเนื้อผิว
  • UltraClear ช่วยยกกระชับใบหน้าได้อย่างทั่วถึง

UltraClear

ข้อดีในการทำ UltraClear

  • UltraClear ช่วยลดอายุใบหน้าได้ โดยเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรก
  • UltraClear ลดริ้วรอย จุดด่างดำได้
  • UltraClear ช่วยในการยกกระชับ รูปหน้า และผิวหน้า
  • UltraClear รักษารอยแผลเป็น 
  • UltraClear ช่วยปรับสีผิว ที่มีความหมองคล้ำ
  • UltraClear ช่วยปรับให้ผิวที่มีความหยาบกร้านดีขึ้นได้
  • UltraClear ช่วยในการกำจัดเซลล์ที่ตายไปแล้ว
  • UltraClear ช่วยในการสร้างเซลล์ใหม่ตามธรรมชาติ
  • UltraClear ช่วยในการฟื้นฟูผิวให้มีความเรียบเนียน เปล่งปลั่ง
  • UltraClear ปรับให้ผิวภาพรวมดูอ่อนเยาว์มากขึ้น
  • UltraClear สามารถรักษาร่วมกับเครื่องอื่น ๆ ได้ โดยไม่อันตราย
  • UltraClear สามารถทำได้ในทุกสีผิว
  • UltraClear ใช้ระยะเวลาในการทำแต่ละครั้งไม่นาน
  • UltraClear ใช้เวลาพักฟื้นน้อย
  • UltraClear เครื่องเดียวใช้แก้ปัญหาได้อย่างหลากหลาย

UltraClear

ใครเหมาะกับการทำ UltraClear

  • UltraClearเหมาะกับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับ ใบหน้า และลำคอ
  • UltraClear เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิว
  • UltraClear เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการลดริ้วรอย ร่องลึก
  • UltraClear เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการลดริ้วรอย จุดด่างดำ
  • UltraClear เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการรักษารอยแผลเป็น
  • UltraClear เหมาะกับ ผู้ที่ผู้ที่ต้องการรักษารอยแผลเป็นจากสิว
  • UltraClear เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการมีคุณภาพผิวที่ดี

ใครไม่เหมาะกับการทำ UltraClear

  • UltraClear ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์
  • UltraClear ไม่เหมาะกับสตรีที่อยู่ในระหว่างให้นมบุตร

หากมีโรคประจำตัวต่าง ๆ หรือใส่อุปกรณ์พิเศษที่เป็นโลหะในร่างกาย ให้แจ้งแพทย์ผู้ทำการรักษา เพื่อประเมินการรักษาและความเหมาะสมในการเข้ารับบริการ และเพื่อความปลอดภัยที่สุดในการรักษา

UltraClear

UltraClearใช้ระยะเวลาในการทำแต่ละครั้งกี่นาที

UltraClear ใช้ระยะเวลาในการทำแต่ละครั้งไม่เกิน 15 นาที ตามแต่ปัญหาของผู้เข้าใช้บริการแต่ละคน

ในการรักษา UltraClear แต่ละครั้ง ต้องใช้การรักษากี่โหมด

แพทย์สามารถทำ UltraClear ในหลาย mode ใน 1 การเข้ารักษาแต่ละครั้งได้ ตามแต่ปัญหาที่ผู้เข้าใช้บริการเป็น และต้องการเข้ารับการรักษา และสามารถทำร่วมกันกับเครื่องหรือโปรแกรมอื่น ๆ ในการแก้ไขปัญหาอื่น ๆ เพิ่มเติมได้

UltraClear

UltraClear ต่างจากเครื่องยกกระชับชนิดอื่นๆอย่างไร

เครื่องยกกระชับชนิดอื่น ๆ ทำงานโดยการยกกระชับผิวโดยคลื่น ไม่ว่าจะเป็น คลื่น RF หรือคลื่น Ultrasound แต่เทคนิค Coring ของ UltraClear จะเปรียบเสมือนการเอาหนังส่วนเกินที่มีออกไปด้วย 1 หรือ 2 ส่วน ทำให้ผิวกระชับได้มากขึ้นนั่นเอง โดยในปัจจุบันจะยังไม่มีโปรแกรม หรือเครื่องชนิดไหนทำการตัดหนังส่วนเกินในรูปแบบนี้ออกได้

UltraClear ทำได้ในทุกสีผิวหรือไม่

สามารถทำได้ทุกสีผิว ตั้งแต่ระดับ skin type 1-6  โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิว และไม่ก่อให้เกิดผลเสียอื่น ๆ ตามมา

UltraClear ต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนานหรือไม่หลังจากการทำ

UltraClear เป็นโปรแกรมที่ไม่อันตราย ไม่ร้อน ไม่แสบ ไม่มีผลเสียหลังการทำ จึงทำให้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพักฟื้นนาน ในแต่ละครั้งจะใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 3-4 วันเท่านั้น

UltraClear รักษาสิวได้ไหม

UltraClear รักษาสิวโดยตรงไม่ได้ แต่จะเป็นการแก้ปัญหาต้นตอของการเกิดสิว อย่างเช่น รูขุมขน รวมทั้งยังแก้ปัญหารอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวได้

UltraClear

ข้อจำกัดของเครื่องที่ใช้พลังงานต่างๆ ในการรักษาและการยกกระชับ

IPL 

  • ไม่สามารถปรับพลังงาน ให้เหมาะสมในการกำจัดการสร้างหลอดเลือด ขนาดเล็กบนใบหน้า
  • มีความเสี่ยง PIH สูงสำหรับผู้ที่มีผิวสี
  • มีการสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินที่น้อยกว่าการทำเลเซอร์ชนิดอื่น ๆ
  • ไม่มีการทำลายผิวหนัง
  • ไม่มีการผลัดเซลล์ผิว ไม่สามารถเคลียร์ริ้วรอย ไม่สามารถรักษารอยแผลเป็น และริ้วรอยต่าง ๆ ได้
  • ต้องใช้เวลาในการรักษา 6-8 ครั้งจึงจะเห็นผล

*ผลลัพธ์ในการรักษาขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล รวมทั้งการดูแลหลังการทำ

RF System 

  • ให้ความร้อนแก่เนื้อเยื่อ เพื่อให้การหดตัวของผิวหนังโดยชั่วคราว เป็นระยะเวลาสูงสุด 6 เดือน
  • ไม่มีการทำลายผิวหนัง ไม่เกิดการผลัดเพื่อกำจัดผิวหนังชั้นนอก ที่เกิดความเสียหาย หรือผิวหนังที่ตาย 
  • มีผลต่อการสร้างเม็ดสีผิวน้อย
  • ความสามารถในการฟื้นฟูผิวมีจำกัด
  • เห็นผลลัพธ์ในการรักษา 6-8 สัปดาห์
  • มีความแม่นยำน้อย  มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก ต้องใช้ร่วมกับหัว Tip ที่ปลอดเชื้อ

*ผลลัพธ์ในการรักษาขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล รวมทั้งการดูแลหลังการทำ

UltraClear

Micro-Needling 

  • เป็นเทคนิคที่ใช้การดูแลผิวหนังด้วยเข็ม หรือเครื่องที่มีเข็มเป็นจำนวนมาก เพื่อทำให้ผิวกระชับขึ้น โดยจะไม่มีการทำลายผิวหนังชั้นนอก
  • ไม่มีผลในการลอกผิวเพื่อให้ผิวเกิดความเรียบเนียน
  • เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้เข้ารับบริการ มีความเจ็บปวดมาก 
  • ต้องเข้ารับบริการหลายครั้ง เพื่อทำการดูผลลัพธ์หลังทำ
  • โดยปกติจะทำควบคู่กันกับ การทำเลเซอร์เพื่อปรับสภาพผิว เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดหลังการทำ
  • คงสภาพผลลัพธ์หลังการทำได้ 3-5 เดือน
  • มีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยแผลเป็น หลังเข้ารับบริการหากดูแลไม่ดี

*ผลลัพธ์ในการรักษาขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล รวมทั้งการดูแลหลังการทำ

Chemical Peel 

  • เป็นสารละลายเคมี ที่อาจทำให้ผิวเกิดการหลุด ลอดได้
  • สามารถรักษารอยไหม้จากแสงแดด และรอยแผลเป็นได้
  • ผู้เข้ารับบริการอาจมีความเสี่ยง ในการเกิดอาการ PIH สำหรับผู้ที่มีผิวที่มีสีเข้ม
  • หากทำการรักษาในผิวที่มีความลึก อาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นได้
  • เป็นเทคโนโลยีที่ไม่มีการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ ในผิวหนังระดับลึก

*ผลลัพธ์ในการรักษาขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล รวมทั้งการดูแลหลังการทำ

CO2 Lasers 

  • เป็นเทคโนโลยีที่มีความจำกัด เฉพาะผิวหนังประเภท 1-3 เท่านั้น
  • อาจมีความเสี่ยงต่อ PIH และ PIE สูงสำหรับในผู้ป่วยที่มีผิวสี
  • อาจทำลายผิวหนังชั้นนอก เนื่องจากการบาดเจ็บจากความร้อนที่มากจนเกินไป
  • เวลาในการพักฟื้นตัวที่นานกว่า
  • มีความเจ็บปวดในระหว่างทำ
  • ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอายุน้อย อาจมีอาการบวมน้ำเป็นเวลานาน

*ผลลัพธ์ในการรักษาขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล รวมทั้งการดูแลหลังการทำ

UltraClear

ER:YAG Lasers 

  • ระยะเวลาการฟื้นตัวของผิวหนังนาน
  • อาจมีความเจ็บในระหว่างที่ทำ หากได้รับการดูแลที่ไม่ดีมากพอ
  • อาจมีความเสี่ยงต่อ PIH 
  • ผลลัพธ์ที่ไม่มั่นคง หากทำให้บริเวณที่มีผิวบอบบาง

*ผลลัพธ์ในการรักษาขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล รวมทั้งการดูแลหลังการทำ

Pico Second lasers 

  • ไม่มีการทำลายผิวหนัง
  • ไม่ได้ช่วยในการกำจัดริ้วรอย และรอยแผลเป็นต่าง ๆ
  • สามารถกำจัดเม็ดสีผิวหนังได้
  • สามารถกำจัดเม็ดสีผิวหนัง (90% ของเม็ดสี) 
  • ใช้พลังงาน 532 นาโนเมตร
  • ทำการรักษา 5-7 ครั้ง
  • ไม่เหมาะสำหรับคนเข้ารับบริการที่มีอายุมาก

*ผลลัพธ์ในการรักษาขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล รวมทั้งการดูแลหลังการทำ

Fraxel 

  • ไม่ทำลายผิวชั้นหนังกำพร้า
  • รักษาริ้วรอย รอยแผลเป็น และรอยตำหนิจากหนังกำพร้าได้น้อย
  • อาจความเสี่ยงของ PIH สูงต่อผิวสี
  • อาจมีความเจ็บเนื่องจากความร้อนในขณะทำ อาจใช้ยาชาร่วมด้วย
  • อาจมีข้อจำกัดในการทำบริเวณรอบดวงตา
  • เข้ารับบริการ 6-8 ครั้ง 
  • ใช้เวลาในการรักษาแต่ละครั้งนานกว่า 1 ชั่วโมง

*ผลลัพธ์ในการรักษาขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล รวมทั้งการดูแลหลังการทำ

โดยข้อมูลดังกล่าว เป็นข้อมูลเปรียบเทียบเพื่อประกอบการตัดสินใจในการทำการรักษา โดยการใช้เครื่อง UltraClear เพียงเท่านั้น ดังนั้นก่อนเข้ารับบริการ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการรักษา ควรปรึกษาแพทย์และแจ้งปัญหาต่าง ๆ ที่พบ และต้องการทำการแก้ไขโดยละเอียด เพื่อประเมินความเหมาะสมในการรักษา เนื่องจากผู้เข้ารับบริการทุกท่าน จะมีความต้องการ และสภาพผิวที่แตกต่างกันออกไป การประเมินโดยละเอียด จะทำให้ผลลัพธ์ในการรักษาเป็นไปตามต้องการอย่างดีที่สุด และควรเข้ารับบริการโดยคลินิกเสริมความงามที่มีแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญในการรักษา และประเมินปัญหาตามจริงเพื่อผลลัพธ์ที่ดี และปลอดภัยในการรักษา

Thermage FLX BLUE Tip คืออะไร ต่างจาก Thermage FLX หัวอื่นๆ อย่างไร

Thermage BLUE

ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




    วันที่สะดวกในการติดต่อ




    เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

    เปิดตัว 1 ใน 3 คลินิกแรก Thermage FLX BLUE Tip ผิวแน่น ผิวเฟิร์ม ผิวกระชับ

    รมย์รวินท์คลินิกเปิดตัว Thermage FLX BLUE Tip หัว Tip ที่เป็น NEW VERSION เป็น 1 ใน 3 คลินิกแรกของประเทศไทย ที่มีหัว Tip ชนิดนี้ให้บริการ  ตอกย้ำความเป็นหนึ่งในการดูแลงานผิว โดยครั้งนี้เป็นหมวดหมู่ของงานผิวกระชับแน่น แข็งแรง และมีคุณภาพที่ดี โดยไม่ต้องใช้เข็ม เหมาะเป็นอย่างยิ่งในสมัยนี้ ที่ผู้คนต้องการมีผิวที่สวย ฉ่ำวาว และดูเป็นธรรมชาติกันมากขึ้น โดย Thermage FLX BLUE Tip ตอบโจทย์ของคนทุกรุ่นอายุ ตั้งแต่วัยรุ่น ไปจนถึงวัยที่ร่างกายสร้างปริมาณคอลลาเจนได้น้อยลง

    Thermage FLX BLUE Tip คืออะไร ?

    Thermage FLX BLUE Tip เป็นหัวทิปของเทคโนโลยียกกระชับ Thermage FLX ที่พัฒนาขึ้นมาอย่างล่าสุด เพื่อตอบโจทย์เทรนด์งานผิวที่กำลังอินเทรนด์เป็นอย่างมากในยุคสมัยนี้ เนื่องจากตอนนี้เป็นยุคที่คนเรามีความเชื่อว่า ก่อนที่จะแก้ปัญหาอื่น ๆ บนใบหน้าต้องแก้ปัญหา “ผิว” หน้าให้ดีก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากผิวที่ดีทำให้บำรุงอะไรเข้าไป ผิวก็จะสามารถรับสิ่งที่บำรุงเข้าไปอย่างเต็มที่ ไม่ใช่เรื่องของครีมบำรุงผิวเพียงเท่านั้น เมื่อเราแต่งหน้า การที่เรามีผิวที่สุขภาพดี เครื่องสำอางต่าง ๆ ก็จะติดผิวหน้าได้เป็นอย่างดีด้วย

    การทำ Thermage FLX BLUE Tip นับเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการมีผิวหน้าที่สวย แน่น เฟิร์ม ผิวมีความกระชับมากขึ้น ในผู้ที่ไม่ต้องการทำหัตถการที่ใช้เข็ม ไม่ว่าจะเป็น การฉีดเพื่อฟื้นฟูผิวหน้า หรือสะกิดผิวหน้าในชั้นผิวหนังชั้นนอก หรือชั้นหนังกำพร้า ให้มีความสวยใสหรือช่วยฟื้นฟูผิว

    Thermage FLX BLUE Tip ทำงานอย่างไร ?

    Thermage FLX BLUE Tip ทำงานโดยการใช้พลังงานความร้อนจากคลื่น Monopolar RF ซึ่งเป็นคลื่นวิทยุที่มีความถี่สูง เหมือนกันกับการรักษา Thermage FLX รุ่นอื่น ๆ จึงเป็นการการันตีว่าในการรักษาทุกครั้งมีความปลอดภัยสูง เนื่องจาก Thermage FLX ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ US-FDA ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้รับการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ อย.นั่นเอง

    Thermage BLUE

    Thermage FLX BLUE Tip ต่างจาก Thermage FLX Tip อื่นๆอย่างไร

    ความจริงแล้ว หัว Tip ของ Thermage FLX มีหลากหลาย เหมาะกับหลากหลายปัญหาของผู้เข้ารับบริการ โดยหลัก ๆ แล้ว Tip แต่ละหัวนั้นจะทำงานโดยให้ผลลัพธ์ด้านการยกกระชับใบหน้า และผิวหน้า แต่ Thermage FLX BLUE Tip จะเป็นหัว Tip ที่ทำงานโดยการให้ผลลัพธ์บนชั้นผิว โดยสามารถจำแนกการทำงานของหัว Tip แต่ละหัวได้ ดังนี้

    1. Thermage FLX BLUE Tip  3.0 หัว Tip สีฟ้า เป็นหัว Tip ใหม่ล่าสุด ที่ออกแบบมาเพื่อใช้บริเวณใบหน้าโดยเฉพาะ โดยหลักการทำงาน คือ การส่งพลังงานจาก Thermage FLX BLUE Tip ลงไปสู่ชั้นผิวหนังอย่างแม่นยำ เพื่อเติมเต็มร่องลึก และริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า เพิ่มความเรียบเนียนของผิวหน้า โดยการกระตุ้นคอลลาเจนที่ใต้ชั้นผิว และจัดเรียงคอลลาเจนที่ใต้ชั้นผิวให้เกิดการเรียงตัวใหม่อย่างมีระเบียบ ส่งผลให้ผิวหน้ามีความแน่น กระชับ และเฟิร์มมากยิ่งขึ้น รูขุมขนกระชับมากขึ้น รวมทั้งมีคุณภาพผิวภาพรวมที่ดีมากยิ่งขึ้น
    2. Thermage New Total Tip 4.0 หัว Tip สีม่วง เป็นหัว Tip ที่เหมาะสำหรับใช้กับบริเวณใบหน้า โดยสามารถใช้ได้ทั่วใบหน้า รวมถึง ใต้คาง และลำคอ มีคุณสมบัติในการยกกระชับใบหน้าที่หย่อนคล้อยให้กระชับมากยิ่งขึ้น หัว Tip สามารถกระจายพลังงานได้เป็นอย่างดี มีความแม่นยำสูง คลื่นพลังงานในหัว Tip นี้ สามารถลงลึกได้ไปจนถึงชั้นไขมันใต้ผิว 
    3. Thermage Eye Tip 0.25 หัว Tip สีเขียว เป็นหัว Tip ที่เหมาะสำหรับใช้กับบริเวณที่บอบบาง เช่น บริเวณรอบดวงตา และเปลือกตา เนื่องจากเป็นหัว Tip ที่ ใช้พลังงานไม่ลึก จึงเหมาะสำหรับการยิงเพียงบริเวณผิวที่ตื้น เพื่อจัดการริ้วรอยเล็ก ๆ  รวมทั้งปัญหาบริเวณดวงตา เช่น หนังตาตก หางตาตก คิ้วทั้งสองข้างไม่เท่ากัน  เป็นต้น
    4. Thermage Body Tip 16.0 หัว Tip สีส้ม เป็นหัว Tip ที่มีความเหมาะสมที่จะใช้กับบริเวณร่างกาย โดยหัว Tip สีส้มนั้น สามารถทำได้ทั่วร่างกาย ทั้งบริเวณลำตัว แขน ขา รวมทั้งบริเวณหน้าท้อง  ความสามารถของหัว Tip ชนิดสีส้ม คือ การยกกระชับผิวกายที่หย่อนคล้อย เก็บและกำจัดไขมันที่เป็นส่วนเกินได้เป็นอย่างดี 

    Thermage FLX BLUE Tip ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง ?

    1. Thermage FLX BLUE Tip ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ใต้ชั้นผิวให้ผลิตมากขึ้น
    2. Thermage FLX BLUE Tip ช่วยในการจัดเรียงคอลลาเจนใต้ชั้นผิวให้เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบมากขึ้น
    3. Thermage FLX BLUE Tip ช่วยในการฟื้นฟูริ้วรอยบนใบหน้าที่ตื้น ๆ 
    4. Thermage FLX BLUE Tip ช่วยในการเติมเต็มร่องลึกบนใบหน้า
    5. Thermage FLX BLUE Tip ช่วยในการยกกระชับผิวหน้าให้เฟิร์ม แน่น อิ่ม ฟู มากยิ่งขึ้น
    6. Thermage FLX BLUE Tip ช่วยในการกระชับรูขุมขน อันเป็นสาเหตุของการอุดตันสิ่งสกปรก
    7. Thermage FLX BLUE Tip ช่วยในการทำให้ผิวหน้ามีคุณภาพที่ดีมากขึ้น ทำให้ผิวละเอียดขึ้น 

    Thermage

    ใครเหมาะกับการทำ Thermage FLX BLUE Tip 

    • ผู้ที่มีผิวหน้าหลวม ไม่กระชับ
    • ผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง
    • ผู้ที่ผิวหน้าไม่ดี และต้องการบำรุง
    • ผู้ที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า
    • ผู้ที่มีร่องลึกที่ต้องการเติมเต็ม
    • ผู้ที่มีความต้องการฟื้นฟูผิวแต่กลัวเข็ม
    • ผู้ที่ไม่ชอบการฉีดสารต่าง ๆ บนใบหน้า
    • ผู้ที่กลัวเจ็บ
    • ผู้ที่ไม่ต้องการพักฟื้น
    • ผู้ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพผิว
    • ผู้ที่ต้องการมีผิวที่ดูอ่อนเยาว์

    ใครไม่เหมาะกับการทำ Thermage FLX BLUE Tip 

    • ผู้ที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ 
    • ผู้ที่อยู่ในระหว่างการให้นมบุตร
    • ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ต้องติดอุปกรณ์ในร่างกาย คลื่นที่ใช้ในการรักษาอาจส่งผลทำให้เกิดอันตรายได้
    • ผู้ที่ฝังโลหะไว้ในบริเวณต่าง ๆ ในร่างกาย คลื่นที่ใช้ในการรักษา อาจส่งผลทำให้เกิดอันตรายได้
    • ผู้ที่ใบหน้ามีแผลอักเสบ มีแผลติดเชื้อ
    • ผู้ที่มีสิวอักเสบอย่างรุนแรง
    • ผู้ที่พึ่งผ่านการทำหัตถการอื่นมา โดยสามารถให้แพทย์ประเมินความเหมาะสมก่อนทำการรักษาได้ 

    ข้อดีของ Thermage FLX BLUE Tip คืออะไรบ้าง

    Thermage FLX BLUE Tip สามารถเก็บทุกรายละเอียดของงานผิวได้เป็นอย่างดี

    • Thermage FLX BLUE Tip ผิวให้ผิวหน้าหลังทำมีความละเอียด เนียนเรียบมากยิ่งขึ้น
    • Thermage FLX BLUE Tip ช่วยในการฟื้นฟูริ้วรอยตื้น ๆ ได้เป็นอย่างดี
    • Thermage FLX BLUE Tip ช่วยในเติมเต็มร่องลึกบนใบหน้าได้ โดยไม่ต้องใช้สารเติมเต็ม
    • Thermage FLX BLUE Tip ช่วยปรับให้ผิวหน้ามีความกระชับยกผิวให้เฟิร์มแน่นมากยิ่งขึ้น
    • Thermage FLX BLUE Tip ช่วยในการกระชับรูขุมขน
    • Thermage FLX BLUE Tip ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ทำให้เป็นการเติมเต็มด้วยธรรมชาติจากคอลลาเจนของเราเอง
    • Thermage FLX BLUE Tip ช่วยในการจัดเรียงคอลลาเจนใต้ผิวใหม่ ทำให้คอลลาเจนเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ
    • Thermage FLX BLUE Tip ไม่เจ็บ ไม่แสบ ไม่ทรมานผิว สบายผิวเป็นอย่างมากในขณะเข้ารับบริการ
    • Thermage FLX BLUE Tip ไม่ต้องใช้ยาชา 
    • Thermage FLX BLUE Tip ไม่ต้องพักฟื้น ใช้หน้าได้ทันทีหลังทำ

     การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการทำ Thermage FLX BLUE Tip

    • เข้าปรึกษาปัญหาผิวหน้ากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำการประเมินสภาพผิว และประเมินการรักษา ตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล
    • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเตรียมความพร้อมของผิวในการรักษา
    • งดสูบบุหรี่ดื่มแอลกอฮอล์ก่อนเข้ารับบริการ Thermage FLX BLUE Tip เพราะจะทำให้คอลลาเจนและอีลาสติน ที่อยู่ใต้ผิวเกิดการเสื่อมสภาพได้

    ขั้นตอนการทำการรักษาด้วย Thermage FLX BLUE Tip

    • ปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการอีกครั้ง รวมทั้งประเมินจำนวนช็อตในการยิง เพื่อความแม่นยำที่สุดในการรักษา
    • ผู้ช่วยแพทย์เก็บผม เพื่อความสะอาดปราศจากเชื้อโรคในการเข้ารับบริการ
    • ทำความสะอาดใบหน้า เพื่อเตรียมใบหน้าให้พร้อมในขั้นตอนการรักษา
    • แพทย์ทำ Thermage FLX BLUE Tip ในระยะเวลา 40-90 นาที ตามแต่ปัญหาของแต่ละบุคคล
    • เช็ดทำความสะอาดใบหน้าหลังทำ เป็นอันเสร็จ

    Thermage BLUE

    ขั้นตอนการใช้เครื่อง Thermage FLX  BLUE Tip

    1. วางหัว Thermage FLX  BLUE Tip ให้สัมผัสแนบสนิทกับผิว
    2. เมื่อเปิดใช้งาน หัว Thermage FLX  BLUE Tip จะเริ่มมีความสั่น (Vibration ) และจะทำงานพร้อมกับระบบ Cryogen ที่มากับทุกหัว Tip ทำให้เกิดความเย็นในระหว่างทำการรักษา โดยความเย็นดังกล่าวจะช่วยในการปกป้องผิวชั้นบน (ชั้นหนังกำพร้า) ไม่ให้เกิดความร้อนมากจนเกินไป
    3. Thermage FLX  BLUE Tip จะเริ่มปล่อยพลังงาน RF ลงผิวหนังจนเกิดความร้อนลงสู่ใต้ชั้นผิวในระดับลึก และในขณะเดียวกันหัว Thermage FLX  BLUE Tip จะยังคงมีการสั่นอย่างต่อเนื่อง
    4. ผิวหนังชั้นบน หรือชั้นหนังกำพร้าจะได้รับความเย็นจาก Cryogen เป็นจำนวน 3 ครั้ง ในขณะที่ความร้อน และหัว Thermage FLX  BLUE Tip ก็จะยังคงความสั่นอย่างต่อเนื่อง
    5. เมื่อความเย็นจาก Cryogen ทำงานครบ จำนวน 3 ครั้ง แล้วนั้นในครั้งสุดท้ายความร้อน และการสั่นของหัว Thermage FLX  BLUE Tip  จะหยุดทำงาน แต่ความเย็นของ Cryogen ยังคงอยู่ที่ผิว เพื่อเป็นการปกป้องผิว ทำให้ผิวชั้นหนังกำพร้ามีความเย็นคงอยู่ เพื่อเป็นการปลอบประโลมผิว

    ข้อปฏิบัติหลังทำ Thermage FLX BLUE Tip

    Thermage FLX BLUE Tip เป็นโปรแกรมฟื้นฟูผิวที่ไม่ทำอันตรายต่อผิว ไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ส่งผลอันตรายต่อผิว แต่อาจส่งผลให้ผู้เข้ารับบริการบางคนเกิดความแดงในบริเวณที่ทำการรักษาได้ โดยเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ส่งผลอันตราย และสามารถหายได้เอง แต่หากต้องการผลลัพธ์หลังการรักษาที่ดีที่สุดควรปฏิบัติตัว ตามนี้ 

    • ผู้เข้ารับบริการ Thermage FLX BLUE Tip ควรงดการทำทรีตเมนต์ ขัดผิว ทำเลเซอร์ หรือกระทำการใด ๆ ที่เป็นการรบกวนผิว เป็นระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์
    • ผู้เข้ารับบริการ  Thermage FLX BLUE Tip ควรหลีกเลี่ยง แสงแดด ความร้อน  เนื่องจากใบหน้าในระหว่างเข้ารับบริการมีการโดนคลื่นความร้อน 
    • ผู้เข้ารับบริการ Thermage FLX BLUE Tip ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ผิวได้รับการบำรุง
    • ผู้เข้ารับบริการ Thermage FLX BLUE Tip ควรดื่มน้ำให้มาก หลังเข้ารับบริการ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น

    Thermage BLUE

    Thermage FLX BLUE Tip เห็นผลหลังทำกี่เปอร์เซ็นต์

    • ผู้เข้ารับบริการสามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำ Thermage FLX BLUE Tip ได้ทันทีประมาณ 20-30% และจะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ ใน 2-3 เดือน หลังจากการเข้ารับบริการ

    Thermage FLX BLUE Tip สามารถคงผลลัพธ์หลังการรักษาได้นานเท่าไร

    • Thermage FLX BLUE Tip จะสามารถคงผลลัพธ์หลังทำการรักษานาน 1-2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของผู้เข้ารับบริการ การดูแล และการใช้ชีวิตประจำวัน

    Thermage FLX BLUE Tip ใช้เวลาทำต่อครั้งนานหรือไม่

    • Thermage FLX BLUE Tip ใช้เวลาในการทำแต่ละครั้งไม่นาน หากทำการนัดแพทย์ และจองคิวคลินิกก่อนเข้ารับบริการ โดยจะใช้เวลาเพียงประมาณ 40-90 นาที ในการเข้ารับการบริการในแต่ละครั้งเท่านั้น

    Thermage FLX BLUE Tip ต้องทายาชาหรือไม่

    • ไม่ต้อง เนื่องจาก Thermage FLX BLUE Tip เป็นหัว Tip ที่ออกแบบมาเพื่อความสบายผิว เหมาะกับผู้ที่มีผิวบอบบาง และผู้ที่กลัวอันตรายต่อผิว สามารถลงมือทำได้เลย หลังจากทำความสะอาดใบหน้าเสร็จโดยไม่ต้องทายาชา

    Thermage FLX BLUE Tip ต้องทำบ่อยแค่ไหน

    • การรักษาในแต่ละครั้ง สามารถคงผลลัพธ์ได้นาน 1-2 ปีก็จริง แต่การคงสภาพของผลลัพธ์นั้นขึ้นอยู่กับการดูแลของแต่ละบุคคล หากแต่ใครต้องการผลลัพธ์ที่ต่อเนื่องในการรักษา สามารถทำครั้งถัดไปได้ตามความต้องการ โดยควรเว้นระยะในการทำแต่ละครั้งขั้นต่ำเป็นระยะเวลา 3 เดือน

    ทำ Thermage FLX BLUE Tip  แล้ว สามารถทำ Thermage FLX หัว Tip อื่นๆเพื่อแก้ปัญหาอื่นร่วมด้วยได้หรือไม่

    • ได้ และสามารถทำในการรักษาครั้งเดียวกันได้โดยไม่ต้องรอ เนื่องจากแต่ละหัว Tip ใช้เครื่องที่ปล่อยพลังงานเครื่องเดียวกัน คลื่นเดียวกัน เปลี่ยนเพียงแค่หัว Tip เท่านั้น จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายในขณะ และภายหลังการทำ

    Thermage FLX BLUE Tip  ต้องทำกี่ช็อตจึงจะเห็นผล

    • การประเมินจำนวนช็อตด้วยตัวเอง อาจไม่แม่นยำเท่าแพทย์ผู้มีประสบการณ์ประเมิน ดังนั้นเพื่อความแม่นยำ ควรให้แพทย์ประเมินจำนวนช็อตตามปัญหาของแต่ละคนที่เป็น เพื่อการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด 

    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




      วันที่สะดวกในการติดต่อ




      เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

      ร้อยไหม (Thread lift) คืออะไร มีกี่ประเภท อันตรายไหม

      ร้อยไหม

      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




        วันที่สะดวกในการติดต่อ




        เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

        ร้อยไหมยกกระชับ ปรับหน้าเรียว โดยไม่ต้องผ่าตัด

        การร้อยไหม เป็นหัตถการที่เราได้ยินกันมานับสิบปี และเป็นหัตถการที่มีวิวัฒนาการมาแบบยาวนาน ที่หลาย ๆ คนได้ยินกันมาว่ามีตั้งแต่ ร้อยไหมแบบปลอดภัย และไม่ปลอดภัย รวมทั้งยังเป็นหัตถการที่มีความเชื่อต่าง ๆ ในการรักษามาอย่างมากมาย ทั้งเรื่องร้อยไหมแล้วไม่สามารถเข้าเรื่อง X-ray ได้ ร้อยไหมแล้วไม่ละลาย รวมไปจนถึงร้อยไหมเหมาะกับคนอายุมาก มากกว่าคนอายุน้อย ในบทความนี้จะมาไขข้อข้องใจทุกอย่างเกี่ยวกับการร้อยไหมกันอย่างหมดเปลือก

        การร้อยไหมมีทั้งไหมแบบละลายและไม่ละลาย

        ไหมที่ใช้ในการร้อยไหมสามารถแบ่งได้เป็นสองประเภท คือ ไหมแบบที่ร้อยไม่ถาวร และถาวร

        โดยไหมแบบไม่ถาวร คือ ไหมละลาย ผลิตด้วยวัสดุที่หลากหลาย ที่ให้ผลลัพธ์ที่มีความแตกต่างกันออกไป สามารถแบ่งได้ ดังนี้

        • ไหมที่ผลิตจากวัสดุ PDO 

        เป็นชื่อที่ ย่อมาจาก Polydioxanone เป็นวัสดุที่ใช้ในการผลิตไหมที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากไหม PDO จะเป็นไหมที่มีความยืดหยุ่น และมีความแข็งแรงเป็นอย่างมาก ทั้งยังไม่มีผลข้างเคียงหากได้รับการร้อยเข้าไปสู่ใต้ชั้นผิว เนื่องจากไม่มีสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ทั้งยังเป็นไหมที่ศัลยแพทย์ผ่าตัดเลือกใช้ในการผ่าตัดเย็บเส้นเลือดที่บริเวณหัวใจ 

        ไหมที่ผลิตจากวัสดุ PDO จะสามารถคงสภาพอยู่ใต้ชั้นผิวได้ 4 ถึง 6 เดือน

        • ไหมที่ผลิตจากวัสดุ PLLA 

        เป็นชื่อที่ ย่อมาจาก Polylactic acid เป็นอีกหนึ่งวัสดุที่ได้รับความนิยม ในการนำมาผลิตเป็นไหมที่ใช้ในการร้อยไหม เนื่องจากเป็นวัสดุที่มีความหนา แข็งแรง มีความคงทน สามารถคงสภาพอยู่ใต้ผิวได้นาน แต่ยังเป็นวัสดุที่มีปัญหาเล็กน้อย ในด้านของการยืดหยุ่นที่มีความยืดหยุ่นน้อยกว่าไหมวัสดุ PDO 

        ไหมที่ผลิตจากวัสดุ PLLA จะสามารถคงสภาพอยู่ใต้ชั้นผิวได้  1 ปี

        • หมที่ผลิตจากวัสดุ PCL 

        เป็นชื่อที่ ย่อมาจาก Polycaprolactone เป็นวัสดุที่ใช้ในการร้อยไหมที่มีความยืดหยุ่นสูง ลดการขาดของไหมได้เป็นอย่างดี เนื่องจากไหมสามารถยืดหยุ่นตัวได้ตามการขยับของใบหน้า รวมทั้งการแสดงสีหน้าต่าง ๆ และยังสามารถคงสภาพใต้ผิวได้นาน

        หากร้อยไหมที่อยู่ในกลุ่มไหมละลาย ไหมในกลุ่มนี้จะสามารถสลายตัวได้เอง โดยไม่ตกค้างอยู่ใต้ชั้นผิว และเมื่อสลายหมดแล้วสามารถมาทำการร้อยไหมใหม่ได้ตามความต้องการหรือตามคำแนะนำของแพทย์ 

        ไหมที่ผลิตจากวัสดุ PCL จะสามารถคงสภาพอยู่ใต้ชั้นผิวได้ 1-2  ปี 

        ไหมไม่ละลาย 

        เป็นไหมประเภทที่ไม่ได้รับการรับรอง ในสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ของประเทศไทย เป็นไหมที่ได้รับความนิยมเมื่อหลายสิบปีก่อนเนื่องจากในยุคนั้นยังไม่มีไหมละลาย ผลิตจากวัสดุที่เป็นไหมทองคำ 99.9% มักจะนำมาใช้เพื่อยกกระชับและดึงใบหน้า แต่เมื่อใช้แล้วส่งผลกระทบมากกว่าข้อดี เนื่องจากเป็นโลหะจึงนับว่าเป็นแปลกปลอมที่ส่งผลอันตรายกับใบหน้า โดยการดูดซับความร้อน จึงส่งผลให้ในบางคนเมื่อร้อยไหมชนิดนี้ไปแล้วเกิดใบหน้าผิดรูป เกิดผังผืดที่ไม่ดีใต้ชั้นผิว รวมทั้งทำให้มีปัญหาเวลา X-ray หรือเข้าเครื่องสแกนโลหะ จึงทำให้ความนิยมเริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ และเลิกผลิตไปในที่สุด

        ดังนั้นเมื่อพูดถึงไหมในบทความหลังจากนี้ จะกล่าวถึงไหมละลายทั้งหมด เพราะทุกการทำหัตถการ ความปลอดภัยในการรักษา จะเป็นที่ตั้งเสมอสำหรับรมย์รวินท์คลินิก

        สำหรับการเลือกใช้ไหมในการร้อยไหมในแต่ละเคสนั้น แพทย์จะเลือกใช้ไหม ที่มีความเหมาะสมกับปัญหาของคนไข้แต่ละท่าน รวมทั้งบริเวณที่ต้องการทำการร้อยไหมด้วย 

        การทำงานของไหมเมื่อทำการร้อยไหมที่ใบหน้า

        เริ่มต้นจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้เข็มในการนำพาเส้นไหมเข้าบริเวณใต้ผิว เพื่อให้ผลในด้านการยกกระชับ และตึงผิว ตามเทคนิคและบริเวณที่ต้องการทำการรักษา โดยแพทย์แต่ละท่าน และไหมแต่ละชนิด จะมีวิธีการร้อย รวมถึงเทคนิคในการร้อยไหมที่แตกต่างกันไปตามชนิด รวมทั้งลักษณะของไหม หากเคยทำการร้อยไหมมาแล้ว ในครั้งต่อไปแพทย์ได้ทำการร้อยไหมด้วยการใช้เทคนิคที่แตกต่างไปจากเดิมจึงไม่ต้องกังวล อาจมีการเปลี่ยนชนิด หรือวัสดุของไหมจึงทำให้รูปแบบการรักษาของแพทย์ที่เปลี่ยนไปจากเดิมได้

        การร้อยไหมทุกชนิดวัสดุจะมีหลักการในการรักษาที่เหมือนกัน จากการทำงานของไหมและเนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ชั้นผิว โดยเมื่อร้อยไหมเข้าไปผู้ใต้ชั้นผิวแล้ว ไหมจะทำงานด้วยการเข้าไปกระตุ้นใต้ชั้นผิวให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ กระตุ้นการหมุนเวียนของเลือดให้เลือดมาเลี้ยงผิวหนังบริเวณที่ทำการร้อยไหมได้เพิ่มมากขึ้น จากนั้นจะทำให้เกิดการกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาส เป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิว ให้เกิดการสร้างตัวขึ้นมาใหม่โดยการพันรอบแนวเส้นไหม ส่งผลในการรักษา คือการยกกระชับ และดึงใบหน้าให้มีความเต่งตึง ให้ผิวที่แน่นมากขึ้น และยังทำให้ผิวบริเวณที่ทำการร้อยไหมมีความอิ่มฟูและดูดีดูใสมากยิ่งขึ้น

        thread lift

        ข้อดีของการร้อยไหมละลาย

        • สามารถสร้างคอลลาเจนที่เกิดจากการสร้างโดยร่างกายของตัวเองในใต้ชั้นผิว
        • การร้อยไหมทำให้ผิวมีความกระชับขึ้น
        • ลดความหย่อนคล้อยของใบหน้า
        • สามารถแก้ปัญหาใบหน้าไม่เท่ากันได้
        • ผิวมีความอิ่มฟูขึ้นจากการร้อยไหม
        • การร้อยไหมสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ
        • ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำการร้อยไหม
        • ไม่มีแผลเป็น
        • ไม่มีสารตกค้าง ไม่ต้องฉีดตัวยา
        • การร้อยไหมทำให้เลือดเกิดการไหลเวียนดีขึ้น

        ร้อยไหม

        ร้อยไหมละลายสามารถแก้ปัญหาใดได้บ้าง

        • เพิ่มความชัดของกรอบหน้า
        • กระชับเหนียงและไขมันใต้คาง
        • เก็บแก้ม
        • เก็บกระเปราะแก้ม
        • ยกหางคิ้ว 
        • ยกหางตา
        • ปรับใบหน้าให้มีความเรียวสวยมากยิ่งขึ้น
        • แก้ปัญหาร่องแก้ม
        • ยกมุมปาก
        • แก้ปัญหาร่องน้ำหมาก

        ลักษณะ รูปร่างของเส้นไหมที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน

        รูปร่างและลักษณะของเส้นไหมที่ใช้กันในปัจจุบันมีลักษณะที่หลากหลายมาก เกิดขึ้นจากการพัฒนา และปรับเพื่อให้เหมาะสมกับปัญหาของผู้เข้ารับบริการแต่ละคนให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีที่สุด โดยลักษณะไหมแต่ละชนิดสามารถแจกแจงได้ ดังนี้

        ร้อยไหม

        1.Mono thread เส้นไหมที่มีลักษณะเรียบ

        • ไหมชนิดนี้จะมีลักษณะไหมที่มีเส้นตรง เรียบ ตั้งแต่ต้นจรดปลาย ไม่มีการปาด บาก หรือสลักเส้นไหม จะมีเส้นไม่ยาว โดยแพทย์จะใช้ไหมชนิดนี้ในการร้อยเพื่อช่วยในการฟื้นฟูผิวให้ดีมากยิ่งขึ้น ให้มีความตึง กระชับ และสร้างคอลลาเจนให้เกิดขึ้นใต้ชั้นผิวมากยิ่งขึ้น ไหมชนิดนี้มักเป็นไหมที่แพทย์ไม่ได้ใช้ร้อยเพื่อยกกระชับ แต่ร้อยไหมชนิดนี้เพื่อคุณภาพผิวที่ดีขึ้น และกระชับมากขึ้นเท่านั้น  ซึ่งอาการที่จะเกิดขึ้นหลังทำการร้อยไหมชนิด Mono thread จะทำให้ใบหน้ามีความบวมขึ้นเล็กน้อย จึงทำให้หลังทำผู้เข้ารับบริการจะรู้สึกใบหน้ามีความเต่ง อิ่ม และตึงมากยิ่งขึ้นหลังทำทันทีนั่นเอง

        2. Screw thread เส้นไหมที่มีลักษณะเกลียว

        • ไหมชนิดนี้จะมีลักษณะเส้นเรียบตรงเหมือนกัน Mono thread หรือไหมชนิดเรียบ แต่ไหมจะมีความม้วน ขดเป็นรูปทรงเกลียวคล้ายคลึงกับลักษณะสปริง ไหมชนิดนี้จะมีทั้ง ไหมประกอบ 1 เส้น และไหม 2 เส้น ประกอบอยู่ด้วยกัน ตามแต่รุ่นของไหมที่ถูกพัฒนาออกมา ซึ่งไหมชนิดนี้จะเป็นไหมที่มีความแข็งแรง มากขึ้นกว่าไหม Mono thread หรือไหมชนิดเรียบ มักจะใช้ในบริเวณผิวที่มีความยุบ เป็นแอ่ง เป็นบ่อ หรือ หลวมเนื่องจากคอลลาเจนใต้ผิวหายไป แพทย์จะใช้ไหม Screw thread ในการเพิ่มมวลความหนาแน่น และความกระชับให้กับผิว

        3.Barb thread (bidirectional barbed thread) เส้นที่มีไหมลักษณะเงี่ยง 

        • ไหมชนิดนี้คนมักจะรู้จักกันในชื่อไหมก้างปลา ไหมเงี่ยงกุหลาบ หรือไหมเทอนาโด เนื่องจากคลินิกต่าง ๆ นิยมนำไหมชนิดนี้มาตั้งชื่อทางการตลาดขึ้นมาใหม่ ตามลักษณะการรักษาและยกกระชับของไหม Barb Thread เป็นไหมยกกระชับที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก  เนื่องจากสามารถยกกระชับได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นไหมที่มีเงี่ยงที่มีลักษณะเหมือนหนาม แหลมออกมาจากเส้นไหม เพราะเกี่ยวรั้งผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น จึงมีความเหมาะสมที่จะใช้ในการยกกระชับ ลดความหย่อนคล้อย เงี่ยงของไหม Barb thread จะสามารถยื่น 1 หรือ 2 ทิศทางก็ได้

        Barb thread เส้นที่มีไหมลักษณะเงี่ยง สามารถจำแนกประเภทของเงี่ยงได้ ดังนี้

        Barb thread ที่มีลักษณะไหมเงี่ยงแบบบาก

        ไหมเงี่ยงแบบบาก ในขั้นตอนการผลิตเส้นไหมจะมีการใช้กรรมวิธีบากไหมทั้งการใช้เลเซอร์ตัดห รือบากรวม ทั้งยังมีวิธีการอื่น ๆ ที่จะทำให้ไหมมีลักษณะเป็นซี่เหมือนกับเสี้ยนที่อยู่บนเปลือกไม้นั่นเอง

        ลักษณะของเงี่ยงไหมสามารถจำแนกได้ดังนี้

        • เงี่ยงไหมแบบ Uni-direction เป็นไหมที่มีลักษณะการบากไหมให้มีเงี่ยงเรียงตัวกันเป็นแนวยาวในทิศทางที่เรียงตรงกัน 1 แนว ด้านเดียว
        • เงี่ยงไหมแบบ  Bi-direction เป็นไหมที่มีลักษณะการบากไหมให้มีเงี่ยงเป็น 1 ด้านของไหม แต่มีเงี่ยงในลักษณะแบบสวนทาง แต่อยู่ในแนวเดียวกัน
        • เงี่ยงไหมแบบ  3D Cog เป็นไหมที่มีลักษณะ การบากของเงี่ยง ที่มีการเรียงตัวเป็นแบบสามมิติวนไปทั่วทั้งความยาวของไหม ครบทั้ง 360 องศา

        Barb thread ที่มีลักษณะไหมเงี่ยงแบบหล่อ

        ไหมเงี่ยงชนิดนี้เป็นเงี่ยงที่ใช้กระบวนการหล่อขึ้นมาในขั้นตอนการผลิตเส้นไหมเลย โดยผลิตการออกแบบแม่พิมพ์ให้มีลักษณะเป็นเงี่ยง เหมือนกับก้านของดอกกุหลาบที่มีหนามออกมาจากก้านโดยไม่ต้องบากเส้นไหมนั่นเอง ซึ่งการผลิตไหมในลักษณะหล่อให้มีเงี่ยงแบบนี้ จะทำให้ได้ไหมที่มีความแข็งแรงสูง ส่งผลในการรักษา คือ สามารถเกาะกับผิวได้แน่นมากขึ้น

        เงี่ยงของไหมหล่อ จะสามารถแบ่งออกเป็นชนิดได้อีก 3 ชนิด ดังนี้

        • Carving cog เป็นลักษณะไหมเงี่ยง ที่มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยม ทั้งสองด้านของไหมเรียงตัวยาวตลอดเส้น
        • Molding cog เป็นลักษณะไหมเงี่ยงที่การหล่อให้ไหมมีรอยแบบ ซี่ของใบเลื่อย หรือซี่ของฟันฉลาม หรือเรียกอีกอย่างว่าไหมสลัก
        • 3D Molding cog เป็นลักษณะเงี่ยงของไหมที่ถูกหล่อให้เป็นหนามทรงสามเหลี่ยมที่มีขนาดใหญ่หว่าเงี่ยงชนิดอื่น ๆ โดยเงี่ยงชนิดนี้จะพันเป็นเกลียวอยู่รอบไหม

        ความต่างของไหมเงี่ยงแบบบาก และไหมเงี่ยงแบบหล่อ 

        ไหมทั้งสองชนิดมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ในด้านความคงทนของไหม และความคงทนของเงี่ยงไหม

        • ไหมเงี่ยงแบบบาก เป็นการสร้างเงี่ยงจากเส้นไหม ทำให้พื้นที่บริเวณเส้นไหมลดน้อยลง จึงทำให้ความแข็งแรงของเส้นไหม และความแข็งแรงของเงี่ยงน้อยลง
        • ไหมเงี่ยงแบบหล่อ มีการสร้างเงี่ยงไหมขึ้นมาใหม่ จึงทำให้เส้นไหมและเงี่ยงมีความสมบูรณ์ จึงทำให้มีความคงทน แข็งแรงที่มากกว่าไหมเงี่ยงแบบบาก

        4.เส้นที่มีไหมลักษณะเงี่ยงแบบกรวย

        ไหมเงี่ยงชนิดนี้ มีลักษณะของเงี่ยงเป็นทรงกรวยล้อมอยู่รอบเส้นไหม โดยทรงกรวยดังกล่าวจะทำหน้าที่เกาะกับผิวหนัง ในบริเวณที่ทำการร้อยไหมได้เป็นอย่างดี ไม่อันตรายต่อผิว ไม่คม ไม่ขูด ไม่บาดผิว และป้องกันความเสียหายต่อผิวหนังได้มากกว่าไหมเงี่ยงชนิดอื่น ๆ 

        ข้อจำกัดของการร้อยไหมชนิดนี้ คือ ต้องทำการร้อยโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ และเชี่ยวชาญสูงมาก ๆ เนื่องจากเป็นไหมที่จะต้องอาศัยฝีมือในการร้อยไหม

        5.เส้นที่มีไหมลักษณะเป็นโครงตาข่าย

        • ไหมชนิดนี้ไม่เมีเงี่ยง ลักษณะภายนอก คือ การใช้ไหมที่มีความเรียบมาถักจนเกิดเป็นทรงตาข่าย หรือมีไหมบางรุ่นที่ใช้ไหมโครงตาข่ายเป็นด้านนอก และใช้ไหมเงี่ยงหล่อ รอบเส้น อยู่ด้านในของไหมโครงตาข่ายอีกหนึ่งที เป็นไหมชนิดที่สามารถยืดหยุ่นได้มากกว่า สร้างคอลลาเจนได้มากกว่า ทำใหผิวหน้ามีความฟูได้มากกว่า ทำให้ผิวมีความแน่นได้มากกว่าไหมชนิดอื่น ๆ

        ร้อยไหม

        การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการร้อยไหม

        • ผู้เข้ารับบริการร้อยไหม ควรงดรับประทานยาจำพวกต้านการแข็งตัวของเลือด ทั้งวิตามินอาหารเสริม เพื่อให้ลดการเลือดออกมากจากการร้อยไหม
        • ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1 วันก่อนทำการร้อยไหม
        • ควรสระผมให้เรียบร้อยก่อนทำการร้อยไหม 
        • หากมีปัญหาผิวหน้า เช่น เป็นสิวอักเสบ ควรงดการเข้ารับบริการร้อยไหม และรอให้อาการดังกล่าวหายดีก่อน

        ขั้นตอนการทำการร้อยไหม

        • ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการประเมิน และวางแผนในบริเวณผนการร้อยไหม ให้ตรงกับปัญหาของผู้เข้ารับบริการ
        • ทายาชา หรือฉีดยาชา
        • ทำความสะอาดใบหน้า เพื่อเตรียมเข้ารับบริการ
        • คุณหมอทำการวาดใบหน้า เพื่อเตรียมเข้ารับบริการ
        • ทำการร้อยไหมด้วยความชำนาญ
        • แปะพลาสเตอร์เพื่อทำการห้ามเลือด

        ร้อยไหม

        การดูแลตัวเองหลังเข้ารับบริการร้อยไหม

        • ควรประคบเย็นในบริเวณที่ทำการร้อยไหม เพื่อลดความบวม และบรรเทาอาการระบมเป็นระยะเวลา 3 วัน
        • งดออกกำลังกายเป็นระยะเวลา 3 วัน เพื่อป้องกันการระบมของใบหน้าหลังการร้อยไหม
        • งดการดื่มแอลกอฮอล์ 1 สัปดาห์หลังการร้อยไหม เพื่อลดอาการบวมของบริเวณที่ร้อยไหม
        • งดการรับประทานอาหารหมักดอง ของแสลง และอาหารรสจัด เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์หลังการร้อยไหม เพื่อลดอาการบวมของบริเวณที่ร้อยไหม
        • งดให้บริเวณที่ร้อยไหมโดนน้ำ เพื่อป้องกันการเกิดอาการติดเชื้อ
        • งดทำเลเซอร์ ทรีตเมนต์ ซาวน่า หลังการร้อยไหม

        ข้อควรระวังของการร้อยไหม หากไม่ได้ทำการร้อยไหมโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์

        • อาจเกิดการเป็นปุ่ม ปม หรือเป็นรอยบุ๋ม บริเวณผิวหน้าที่ทำการร้อยไหมได้
        • อาจเกิดการไหมขาดหลังทำการร้อยไหมได้
        • หลังทำอาจเกิดความบวม เขียว ช้ำได้
        • อาจเกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อในบริเวณที่ทำได้ หากร้อยไหมตึง หรือหย่อนเกินไป
        • ไหมอาจเกิดการเคลื่อนจนเห็นผิวหนังหย่อน หรือคล้อยตกลงมา

        ข้อเสียของการร้อยไหม

        • การร้อยไหมไม่สามารถแก้ปัญหาริ้วรอย และร่องลึกได้
        • การร้อยไหมไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ถาวร
        • ในช่วงแรกของการร้อยไหมอาจจับเจอเส้นไหมได้

        โรคอะไรบ้างที่ไม่ควรระวังในการทำการร้อยไหม

        • โรคแพ้ภูมิตัวเอง 
        • โรคเบาหวาน 
        • โรคความดันโลหิตสูง 
        • โรคหัวใจ 
        • โรคไทรอยด์เป็นพิษ 

        ผู้ที่เป็นโรคประจำตัวดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษา เพื่อปรึกษาหาข้อตกลงร่วมในการรักษา เพื่อความปลอดภัย และเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

        ข้อดี ข้อเสีย ของเข็มที่ใช้ในการร้อยไหมประเภทต่างๆ

        1. เข็มร้อยไหมประเภทแหลม 

        เข็มร้อยไหมประเภทแหลมมีข้อดี คือ ลดการเกิดความบวมทั้งเลือดและน้ำ เนื่องจากลักษณะของเข็มจะทำการตัดเนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ชั้นผิว จึงทำให้เกิดความเจ็บในขณะที่ทำน้อยกว่า ทำให้เกิดการบวมน้อยกว่า และสมานแผลใต้ชั้นผิวได้เร็วกว่า หากทำโดยแพทย์ที่ชำนาญ

        2. เข็มร้อยไหมประเภททู่ 

        เข็มร้อยไหมประเภททู่ อาจทำให้เกิดการบวมน้ำและเลือดได้ เนื่องจากลักษณะของเข็มจะทำงานโดยการทำให้ผิวเกิดการฉีกออก ทำให้ระหว่างทำมีความเจ็บมากกว่า แต่จะสามารถหลบเส้นเลือดที่มีขนาดเล็กและใหญ่ได้ดีกว่าเข็มปลายแหลม

        3. เข็มร้อยไหมประเภทตัด

        เข็มร้อยไหมประเภทนี้เป็นเข็ม กึ่งแหลมกึ่งทู่ โดยปลายเข็มจะมีลักษณะคล้ายกับหลอด มีความคมอยู่บ้างแต่ไม่มาก และจะไม่คมเท่ากับเข็มปลายแหลม 

        4. เข็มร้อยไหมประเภทเข็ม L

        ลักษณะเข็มร้อยไหมประเภทนี้ เป็นเข็มที่มีความคล้ายกันกับเข็มประเภทตัด การใช้เข็มประเภทนี้จะบวมน้ำน้อยกว่าบวมเลือด และสมานเส้นเลือดได้ดีกว่าการใช้เข็มปลายทู่ 

        พัฒนาต่อจากเข็มตัดอีกขั้นหนึ่ง เข็มแต่ละประเภทไม่สามารถระบุได้ว่าชนิดไหนดีที่สุด ขึ้นกับการประเมินเนื้อเยื่อของคนไข้ และความถนัดของหมอแต่ละคน เช่น ถ้าคนไข้เคยเป็นสิว และมีพังผืดเยอะ การใช้เข็มทู่ก็จะบวมช้ำมากกว่าเข็มแหลม

        การพัฒนาของการร้อยไหมในปัจจุบันร้อยไหมทำอะไรได้บ้าง

        ในปัจจุบันมีการร้อยไหมช่องคลอด ขึ้นมาอีกหนึ่งชนิดเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยในการยกกระชับเช่นเดียวกัน แต่เป็นยกกระชับในส่วนช่องคลอดและแก้ปัญหาต่าง ๆ ของช่องคลอด อาทิ

        • ร้อยไหมกระชับช่องคลอด
        • ร้อยไหมปรับปรุงสมรรถภาพทางเพศ
        • ร้อยไหมแก้ปัญหาช่องคลอดแห้ง
        • ร้อยไหมเพื่อให้น้องสาวมีรูปลักษณ์ที่สวยงามขึ้น

        ไหมน้ำ 

        เป็นนวัตกรรมที่พัฒนามาจากการร้อยไหมปกติ โดยการใช้หลักการกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวเกิดความกระชับมากขึ้น อิ่มฟู และชุ่มชื้นได้มากขึ้น โดยไหมน้ำนั้นเป็นสิ่งที่ผลิตมาจากวัสดุเดียวกับวัสดุที่นำมาทำไหมที่ใช้ร้อยใบหน้า โดยสามารถแจกแจงยี่ห้อของไหม และวัสดุต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิตได้ ดังนี้

        สาร PCL (Polycarpolactone)

        ที่ช่วยในการสร้างความยืดหยุ่น และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวได้เป็นอย่างดี สามารถคงผลลัพธ์ใต้ผิวได้นาน

        • คือ ไหมน้ำยี่ห้อ Gouri

        สาร PDO (Polydioxanone)

        สารที่ใช้ผลิตไหมที่มีความยืดหยุ่นสูง และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวได้ดี ทั้งยังก่อให้เกิดการแพ้สารดังกล่าวได้ยาก 

        • คือไหมน้ำยี่ห้อ Ultracol

        สาร PLLA (Poly-L-Lactic acid)

        สามารถอุ้มน้ำได้ดี ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน มีความปลอดภัย เนื่องจากสังเคราะห์มาจากพืช ทำให้มีผลข้างเคียงในการรักษาน้อย

        • คือไหมน้ำ ยี่ห้อ  Sculptra  

        สาร PDLLA (Poly D-L-Lactic Acid)

        เป็นไหมน้ำที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ พัฒนาต่อจาก PLLA เพื่อใช้สำหรับการเป็นไหมน้ำ มีโมเลกุลเป็นทรงกลม ทำให้เวลาที่ฉีดไปไม่ทำอันตรายต่อใต้ผิวหนัง ช่วยในการยกกระชับผิวได้ดี ช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวได้เป็นอย่างดี  ส่งผลให้ผิวหนังระหว่างทำเกิดการอักเสบในบริเวณใต้ชั้นผิวได้ยาก

        • คือไหมน้ำยี่ห้อ AestheFill, Lenisna, และ Juvelook

        การร้อยไหมในปัจจุบัน นอกจากจะมีการพัฒนาเป็นไหมในลักษณะอื่น ๆ หรือมีการร้อยในบริเวณอื่นที่นอกจากใบหน้าแล้ว ยังมีการพัฒนาเงี่ยง รูปทรงแล้วความยาวของไหมให้แตกต่างออกไปในรูปแบบอื่น เพื่อรองรับปัญหาของผู้เข้ารับบริการที่มากขึ้น และตรงจุดขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้การร้อยไหมจำเป็นจะต้องได้รับการทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายขึ้นภายหลัง และเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีที่สุด

        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




          วันที่สะดวกในการติดต่อ




          เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

          Oligio VS Thermage FLX โปรแกรมไหนที่เหมาะสำหรับเรา

          Oligio vs Thermage

          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




            วันที่สะดวกในการติดต่อ




            เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

            ความแตกต่างระหว่าง Oligio และ Thermage FLX

            Oligio และ Thermage FLX ต่างก็เป็นหัตถการเสริมความงามที่มีการพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากทั้งสองหัตถการมีความสามารถด้านการยกกระชับผิวอย่างเหนือชั้น ทำให้ทั้ง Oligio และ Thermage FLX เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวหน้าไม่เต่งตึง กรอบหน้าไม่ชัดเจน แล้ว Oligio และ Thermage FLX มีความแตกต่างกันอย่างไร ?

            สำหรับคนที่อยากจะยกกระชับผิวสร้างกรอบหน้าที่ชัดเจน คงกำลังพิจารณาความแตกต่างระหว่าง Oligio และ Thermage FLX อยู่ เพราะถึงแม้ว่าทั้งสองจะเป็นโปรแกรมที่มีความสามารถเรื่องการยกกระชับผิวเหมือนกัน แต่ก็มีจุดที่แตกต่างกันอยู่ สำหรับผู้ใช้บริการแล้วทุกคนล้วนอยากเลือกโปรแกรมที่ตอบโจทย์ด้านปัญหาผิวและเหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด รมย์รวินท์คลินิกจึงอยากนำเสนอเกี่ยวกับ Oligio และ Thermage FLX เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับพิจารณาความแตกต่างของทั้งสองโปรแกรม

            Oligio vs Thermage

            รู้จักกับโปรแกรม “Oligio” และกระบวนการทำงานของโปรแกรม

            Oligio เป็นหัตถการเครื่องยกกระชับใหม่ล่าสุดจากประเทศเกาหลีใต้ โดยอาศัยนวัตกรรมคลื่นวิทยุ Monopolar RF ความถี่ 6.78 MHz เข้ามาช่วยยกกระชับและปรับกรอบหน้า โดยส่วนที่พัฒนาเพิ่มเติม คือ การลดความเจ็บปวดระหว่างทำหัตถการ ทำให้เวลาทำจะมีความผ่อนคลายสบายกว่าเครื่องอื่น อีกทั้งยังช่วยลดไขมันบริเวณแก้มและเหนียง ทำให้ Oligio ตอบโจทย์ทั้งสำหรับคนที่อยากมีหน้าเรียวสวย และคนที่กลัวรู้สึกเจ็บระหว่างทำหัตถการ

            การทำงานของ Oligio

            การทำงานของ Oligio เป็นการนำเทคโนโลยีคลื่นวิทยุ Monopolar RF ความถี่ 6.78 MHz ที่สามารถ ปล่อยคลื่นความลึก 3 mm. ลงไปสู่ชั้นผิวหนังแท้และชั้นไขมันเพื่อยกกระชับผิวหน้า โดยสามารถปรับได้ถึง 3 โหมด ได้แก่ โหมดเดี่ยว โหมดคู่ และโหมดอัตโนมัติ ซึ่งเมื่อยิงลงสู่ชั้นผิวผ่านหัวเข็ม Tips F4.0 สามารถปรับเข้าสู่โหมดอัตโนมัติ เพื่อควบคุมการปล่อยคลื่นพลังงานลงสู่ผิวหนังที่มีความสม่ำเสมอ จึงได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

            โดยพลังงานที่ส่งลงไปสู่ชั้นผิวหนัง จะช่วยเพิ่มปริมาณคอลลาเจนที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังอย่างเป็นระบบระเบียบ ผลลัพธ์ของหัตถการจึงออกมาเป็นผิวหน้าที่มีความเต่งตึง มีความยืดหยุ่น และไขมันบริเวณแก้มและเหนียงก็จะลดลงไปจากเดิมที่หน้าดูหย่อนคล้อย มีเหนียงชัด ก็จะมีกรอบหน้าที่ชัดขึ้น เหนียงลดลงนั่นเอง

            จุดเด่นของ Oligio

            • เครื่องของ Oligio มาพร้อมกับระบบเซนเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิผิว (Skin Temperature Tracking Sensor) เพื่อเป็นการตรวจสอบอุณหภูมิผิวตลอดการทำหัตถการ ร่วมกับระบบ Cryogen Gas ที่เป็นการปล่อยความเย็นมาประโลมผิวก็จะช่วยให้ผลข้างเคียงจากการ Burn และ อาการระคายเคืองลดลง ผู้เข้ารับบริการจะรู้สึกผ่อนคลายบริเวณที่ทำยิ่งขึ้น
            • จากระบบ Skin Temperature Tracking Sensor และ Cyrogen Gas ทำให้ Oligio มีความปลอดภัยที่สูงมาก เพราะมีมาตรการรองรับการ Burn ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทำหัตถการ รวมถึงมีการแจ้งเตือนกับทางแพทย์เมื่ออุณหภูมิผิวสูงเกินกำหนด
            • เวลาที่ใช้ในการยกกระชับด้วย Oligio จะอยู่ที่ประมาณ 20 – 30 นาที นับว่าเป็นระยะเวลาที่ไม่นานจนเกินไป เมื่อเทียบกับหัตถการยกกระชับอื่น ๆ ที่ใช้เวลาตั้งแต่ 45 – 60 นาทีเลย
            • หลังทำ Oligio สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้น
            • ไม่ต้องทายาชา สามารถลงมือทำได้เลย

            Oligio สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง ?

            Oligio เป็นนวัตกรรมยกกระชับ ที่สามารถทำได้เกือบทั่วทั้งใบหน้า โดยบริเวณที่นิยมทำ Oligio อยู่เช่นกัน โดยสามารถเช็กรายละเอียดบริเวณที่นิยมทำหัตถการ Oligio ที่ด้านล่างนี้เลย

            • บริเวณกรอบหน้า – ยกกระชับเพื่อสร้างกรอบหน้า
            • บริเวณผิวหน้าและรอบดวงตา – ช่วยยกผิวที่หย่อนคล้อย ให้กลับมาเต่งตึง แข็งแรง
            • บริเวณแก้ม เหนียง ใต้คาง – ช่วยสลายไขมันทำให้ผิวบริเวณนั้นกลับมายืดหยุ่นและกระชับ
            • บริเวณลำคอ – ลดรอยเหี่ยวรอยย่นบริเวณคอ
            • หน้าท้องและต้นแขน – สลายไขมันและลดรอยเหี่ยวย่นของผิว บริเวณหน้าท้องและต้นแขน สังเคราะห์คอลลาเจนทำให้ผิวบริเวณนั้นกลับมาเรียบเนียน ช่วยยกกระชับผิว

            Oligio vs Thermage

            “Thermage FLX FLX” นวัตกรรมยกกระชับและกระบวนการทำงานของโปรแกรม

            Thermage FLX FLX นวัตกรรมยกกระชับผิว ด้วยคลื่นวิทยุ Monopolar RF ที่ลงลึกไปถึงผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) จากนั้นคลื่นความร้อนที่ปล่อยลงไปจะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง เมื่อผิวมีจำนวนคอลลาเจนมากขึ้น ก็จะส่งผลให้สุขภาพของผิวเปลี่ยนไปในทางที่ดียิ่งขึ้น จากเดิมที่ผิวหน้ามีริ้วรอย หย่อนคล้อยก็จะเริ่มกลับมาเป็นผิวที่เรียบเนียนกระชับ นับว่าเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมยกกระชับที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้บริการ

            การทำงานของ Thermage FLX FLX

            หลักการทำงานของ Thermage FLX FLX คือ กระบวนการที่ส่งคลื่นความถี่วิทยุ Monopolar RF ที่ก่อให้เกิดความร้อนลงไปที่ชั้นหนังแท้ (Dermis) ที่อยู่ภายใต้ผิวหนังเพื่อกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดคอลลาเจน ซึ่งส่งผลให้ริ้วรอยจางลง ผิวมีความแข็งแรงยืดหยุ่นและลดการสะสมของไขมัน

            แต่ Thermage FLX FLX มาพร้อมระบบที่คล้ายคลึงกับ Oligio คือ ระบบทำความเย็น (Cooling System) ที่ปล่อยออกมาระหว่างกระบวนการทำ Thermage FLX เพื่อทำให้ผิวชั้นบนได้รับความเย็นในระหว่างการลงมือทำ Oligio จึงทำให้ความร้อนจากเครื่องกลายเป็นความรู้สึกอุ่น ๆ สบาย ๆ เวลาทำ Thermage FLX และส่วนสำคัญของระบบ Cooling System คือ ลดการเบิร์นของผิวระหว่างการทำหัตถการ

            นอกจากนั้นยังมีเทคโนโลยี AccuREP ที่ช่วยปรับพลังงานให้เหมาะสมกับสภาพผิวตลอดเวลาที่ทำ Thermage FLX ทำให้พลังงานคลื่นวิทยุ Monopolar RF ลงสู่ผิวอย่างสม่ำเสมอ และลดความเสี่ยงจากการเบิร์น เนื่องจากทางแพทย์สามารถตรวจสอบอุณหภูมิระหว่างการทำงานของเครื่อง เพื่อปรับพลังงานให้เหมาะสมกับผิว

            จุดเด่นของ Thermage

            • Thermage FLX สามารถทำได้ทุกสภาพผิวและทุกสีผิว โดยพลังงานความร้อนจากคลื่นความถี่วิทยุ Monopolar RF สามารถยกกระชับได้ทุกชั้นผิว
            • หลังทำ Thermage FLX ไม่มีร่องรอยของแผลหรือการผ่าตัด ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น หลังทำเลยสามารถกลับ ไปทำกิจวัตรต่าง ๆ ได้ตามปกติ
            • เห็นผลหลังจากทำ Thermage FLX ทันทีอย่างน้อย 20% และจะเห็นผลชัดเจนหลังจากผ่านไป 2-3 เดือน
            • ระยะเวลาการทำ Thermage FLX อยู่ที่ 45-60 นาที ซึ่งถ้าเทียบกับ Oligio แล้ว Thermage FLX อาจจะใช้เวลาทำนานกว่า แต่ Thermage FLX ก็ถือว่าใช้เวลาไม่นาน
            • ผลลัพธ์ของการทำ Thermage FLX 1 ครั้ง สามารถอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล แต่เนื่องจากผลลัพธ์ที่อยู่นานถึง 1-2 ปี ทำให้ไม่ต้องทำ Thermage FLX บ่อย ๆ

            Thermage FLX สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง ?

            ก่อนเลือกทำ Thermage FLX หลายคนน่าจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ Thermage FLX ว่าสามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง ? แล้วคนอื่น ๆ นิยมมาทำ Thermage FLX ที่บริเวณไหน เรื่องนี้ทางรมย์รวินท์คลินิกมีคำตอบให้กับทุกท่าน โดยปกติแล้ว Thermage FLX สามารถทำได้ทุกบริเวณของร่างกาย แต่ก็จะมีบริเวณที่ได้รับความนิยมดังต่อไปนี้

            • รอบดวงตา : ช่วยยกกระชับบริเวณรอบดวงตา แก้ปัญหาหนังตาตกและริ้วรอยรอบดวงตา
            • ผิวหน้า : ช่วยยกกระชับผิวจากเดิม ที่มีริ้วรอยและความหย่อนคล้อย ผิวหน้าจะกระชับเข้าทรงกับรูปหน้า และช่วยสลายไขมันบริเวณแก้ม ใบหน้าจึงมีความเรียวสวยยิ่งขึ้น
            • คอ : บริเวณลำคอที่มีการสะสมของไขมันจำนวนมาก จนเกิดเป็นเหนียงใต้ลำคอ การทำ Thermage FLX จะช่วยสลายไขมันและยกกระชับผิวบริเวณนี้ให้กลับมาเรียบเนียน มีกรอบหน้าชัดเจน
            • ร่างกาย : Thermage FLX สามารถทำได้หลากหลายส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นแขน, หน้าท้อง, สะโพก, ต้นขา หรือบริเวณที่มีความหย่อนคล้อย Thermage FLX ก็สามารถยกกระชับให้ผิวกลับมาเรียบเนียน ไม่มีร่องรอยของความหย่อนคล้อยและไขมันออกมาให้เห็น

            Oligio vs Thermage

            ระหว่าง Oligio และ Thermage FLX มีความแตกต่างกันอย่างไร ?

            เวลามาใช้บริการที่รมย์รวินท์คลินิก เกี่ยวกับโปรแกรมยกกระชับ ทางคลินิกก็จะมีโปรแกรมตัวเลือกหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น Oligio หรือ Thermage FLX ในฐานะของผู้ใช้บริการสิ่งสำคัญที่ควรรู้ก่อนเดินเข้ามาที่รมย์รวินท์คลินิก คือ ความแตกต่างระหว่างทั้งสองโปรแกรม ซึ่งข้อมูลตรงส่วนนี้จะช่วยให้เราเข้าใจความแตกต่างระหว่างทั้งสองโปรแกรมและสามารถเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมกับตัวเองได้

            หากไม่แน่ใจว่าควรเลือกทำโปรแกรมไหน อีกหนึ่งทางออก คือ การสอบถามแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิกได้เลย ทางรมย์รวินท์คลินิกสามารถให้คำปรึกษาเรื่องหัตถการได้ แต่การที่เราทราบข้อมูลเกี่ยวกับหัตถการทั้งสอง ก่อนเข้ามาที่คลินิกก็จะเป็นประโยชน์ต่อการเลือกทำโปรแกรมยกกระชับเช่นกัน เพราะฉะนั้นมาดูข้อแตกต่างกัน แล้วค่อยเลือกว่าจะทำ Oligio ดีหรือไม่

            Oligio มีระบบทำความเย็น (Cooling System) ที่ตอบโจทย์สำหรับคนกลัวเจ็บมากกว่า

            ถึงแม้ว่าหัตถการทั้งสองจะมีผลลัพธ์ที่ดีเหมือนกัน แต่ระบบทำความเย็น (Cooling System) ของ Oligio ทำออกมาตอบโจทย์คนที่กลัวความเจ็บได้เป็นอย่างดี Cyrogen Gas ที่ปล่อยออกมาจะช่วยทำให้บริเวณผิวที่ทำ Oligio รู้สึกเย็น ไม่เจ็บผิวและไม่เกิดการไหม้บริเวณผิว ส่วนของ Thermage FLX จะเป็นระบบปล่อยความเย็นที่ช่วยลดอาการแสบร้อนได้บ้าง แต่ผลลัพธ์ด้านการบรรเทาความเจ็บปวดและการเบิร์นไม่เท่า Oligio

            ระยะเวลาของการทำหัตถการด้วย Oligio รวดเร็วกว่า

            ถึงแม้ว่าเครื่อง Thermage FLX จะใช้เวลาทำเพียง 45-60 นาที Oligio กลับใช้เวลาในการทำน้อยกว่า เพียง 20-30 นาที ซึ่งนับว่าใช้เวลาน้อยกว่าพอสมควร ทำให้ Oligio มีจุดเด่นเรื่องระยะเวลาที่ใช้น้อยลงกว่าการทำ Thermage FLX เมื่อเทียบกับจำนวนช็อตเท่ากัน ดังนั้น Oligio จึงตอบโจทย์เรื่องความเร่งรีบมากกว่า หากไม่ค่อยมีเวลามาทำหัตถการนาน ๆ

            Oligio มาพร้อมหัวทิปที่ดีกว่าและมีโหมดที่สามารถปรับได้ถึง 3 โหมด

            หัวทิปของ Oligio มีเซนเซอร์สำหรับตรวจจับอุณหภูมิ เมื่อตรวจพบบริเวณที่อุณหภูมิสูงกว่าที่กำหนด ระบบจะหยุดการทำงานเพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าบริการ รวมถึงมีโหมดที่สามารถปรับได้ถึง 3 โหมด ได้แก่ โหมดเดี่ยว, โหมดคู่ และโหมดอัตโนมัติ ซึ่งช่วยควบคุมพลังงานความร้อนที่ปล่อยลงผิวได้อย่างพอดี Oligio จึงช่วยลดการเบิร์นของผิวได้อย่างเห็นผล และมีการกระจายพลังงานที่ดีกว่า Thermage

            ไม่ว่าจะเป็น Oligio หรือ Thermage FLX ที่รมย์รวินท์คลินิกก็พร้อมให้บริการ

            สำหรับคนที่อยากมีผิวที่กระชับเรียบเนียน มีกรอบหน้าเป็นทรงสวยชัดเจน สามารถมาบอกลาริ้วรอยความหย่อนคล้อยได้ที่รมย์รวินท์คลินิก ซึ่งทางคลินิกมีโปรแกรมที่ช่วยจัดการกับปัญหาผิวและยกกระชับหลากหลายทางเลือก ไม่ว่าจะเป็น Oligio เครื่องยกกระชับผิวส่งตรงจากเกาหลีใต้, Thermage FLX โดยสำหรับคนที่สนใจสามารถอ่านรีวิว Oligio หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขา

            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




              วันที่สะดวกในการติดต่อ




              เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

              Thermage FLX ยกกระชับผิวลดความหย่อนคล้อยคืออะไร ทำงานอย่างไร ?

              Thermage FLX

              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                วันที่สะดวกในการติดต่อ




                เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                Thermage FLX ยกกระชับ ลดความหย่อนคล้อยพร้อมเพิ่มมิติให้กับใบหน้า

                Thermage FLX เทคโนโลยีในการยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อย ด้วยคลื่นวิทยุ Monopolar RF โดยหลักการของ Thermage FLX คือ การปล่อยพลังงานความร้อนที่ได้รับการวิจัยมาแล้วว่าปลอดภัยต่อผิวหนังโดยเป็นการยิงลงสู่ชั้นผิวหนังชั้นลึก Dermis หรือชั้นหนังแท้ ซึ่งเป็นชั้นผิวที่มีความหนา และมีความยืดหยุ่น เป็นอย่างมากจะอยู่ในบริเวณลึกที่สุดในชั้นโครงสร้างผิว จากนั้นจะผ่าน ชั้น Subcutaneous fat หรือที่รู้จักกันว่าเป็นไขมันใต้ผิวหนังที่เป็นชั้นผิวหนังที่มีคอลลาเจนประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งหลังจากทำการยิง Thermage FLX ลงสู่ผิวแล้วคลื่นวิทยุ Monopolar RF ดังกล่าว จะเข้าไปสู่ใต้ชั้นผิวและทำให้ชั้นผิวหนังเกิดการหดตัว จากนั้นใต้ชั้นผิวหนังจะเกิดการสร้างตัวของคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ที่บริเวณใต้ชั้นผิว โดยคอลลาเจนนั้นเป็นสิ่งที่ร่างกายของเราจะทำการผลิตได้น้อยลงเมื่อมีอายุที่เพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้ผิวหนังหลังจากการทำ Thermage FLX มีความแน่น ฟูมากขึ้น อันเนื่องมาจากการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง

                ที่รมย์รวินท์คลินิกใช้ Thermage FLX ด้วยเทคนิค Lifting Select ที่เป็นเทคนิคเฉพาะของรมย์รวินท์คลินิก
                เป็นเทคนิคที่มุ่งเน้นศาสตร์การวิเคราะห์ใบหน้า เพื่อค้นพบจุดงดงามผ่าน 3 เฟรมเวิร์ค คือ
                • Frame Selection ยกโครงหน้า ย้อนเวลาให้ผิว
                • Light & Shadow สร้างมิติให้ใบหน้าเน้นแสงและเงา
                • Conceal Selection เก็บรายละเอียดงานผิว
                โดยรมย์รวินท์คลินิกจะใช้ Thermage FLX ในส่วนที่ 2. Light & Shadow คือใช้ในการสร้างมิติให้กับใบหน้าด้วยหัว TIPS ที่มีขนาดความลึกในระดับ 3  mm. ที่ทำงานถึงชั้นไขมันใต้ชั้นผิว ในการยกกระชับผิวชั้นนอก ทั้งยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว
                และใช้ Thermage FLX ในส่วนที่ 3.Conceal Selection ในการเก็บรายละเอียดของผิวให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ Thermage FLX  ในการแก้ปัญหารูขุมขนกว้าง (Pore Tightening) นั่นเอง
                 
                ซึ่งการให้บริการ Thermage FLX ที่ รมย์รวินท์คลินิก มีให้บริการครอบคลุม ทั้งบริเวณ ผิวหน้า ลำคอ และรูปร่าง โดยคุณหมอที่รมย์รวินท์ ทุกท่านผ่านการเทรนและอบรมมาเป็นอย่างดี และให้บริการลูกค้า มาแล้วมากกว่า 10,000 เคส หรือมากกว่า 9,000,000 Shot โดยใช้ Concept ”Less is more for the better you หรือน้อยแต่มากเพื่อสิ่งที่ดีกว่าสำหรับคุณ“ ด้วยเทคนิค Lifting Select (**ข้อมูลจากลูกค้า ผู้รับบริการที่รมย์รวินท์คลินิกช่วงปี 2018-ปัจจุบัน)

                Thermage FLX3 scaled

                Thermage FLX เป็นโปรแกรมยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อย ที่มีผลงานวิจัยรองรับในด้านการยกกระชับในเรื่องของผลการรักษา และยังได้รับการรับรองทางด้านการแพทย์ในด้านความปลอดภัย การันตีมากกว่า 50 ฉบับ ทั้งนี้ Thermage FLX ยังนับเป็นทรีตเมนต์ที่มีการใช้เพื่อเป็นตัวช่วยในการยกกระชับใบหน้ามากกว่า 2 ล้านทรีตเมนต์จากทั่วโลกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น Thermage FLX ยังได้รับรางวัลจาก The Aesthetic Guide ในหัวข้อ Best new technology ภายใต้ชื่อรางวัล “2017 Thermage® FLX system” ประจำปี 2017 ทั้งยังได้รับการรับรองมาตรฐานจาก US-FDA หรือที่รู้จักกันดีว่า องค์การอาหารและยาจากประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาจากประเทศไทยด้วย Thermage FLX จึงนับเป็นโปรแกรมยกกระชับผิวที่มีความน่าเชื่อถือในระดับสากล และยังมีความปลอดภัยอีกด้วย อีกหนึ่งการการันตีในความปลอดภัย และการคร่ำหวอดในวงการยกกระชับด้านการยกกระชับผิว

                Thermage FLX คือ การที่ Thermage FLX เป็นผู้ริเริ่มต้นในการผลิตเทคโนโลยีกระยกกระชับผิวในบริเวณต่าง ๆ อย่างปลอดภัยได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2002 และยังจัดเป็นโปรแกรมยกกระชับผิวที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลกเป็นอันดับสูงสุด คือจำนวนมากกว่า 2 ล้านทรีตเมนต์ทั่วโลกอีกด้วย

                หลักการทำงานของโปรแกรม Thermage FLX

                หลักการทำงานของ Thermage FLX

                Thermage FLX ทำงานโดยการใช้คลื่นวิทยุ Monopolar Radiofrequency โดยการยิงคลื่นลงบนผิวทำให้ผิวหนังเกิดความร้อน และอาการสั่น Vibration โดยอาการสั่นดังกล่าวจะออกจาก Thermage FLX และลงลึกสู้ชั้นผิวหนังชั้นลึกหรือ Dermis จากนั้นผิวหนังจะเกิดการแยกโมเลกุลของน้ำเป็นส่วนประกอบของใต้ชั้นผิว ให้ออกจากคอลลาเจนที่รวมตัวกันอยู่ใต้ชั้นผิว โดยส่งผลให้เกิดการหดตัวลงในเวลาที่ออกจากเส้นใยคอลลาเจน จึงทำให้คอลลาเจนที่สะสมอยู่ใต้ชั้นผิวนั้นเกิดการหดตัวลงในทันที ซึ่งการสั่นใน Thermage FLX เป็นการสั่นเพื่อบรรเทาและป้องกันอาการเจ็บนั่นเอง ไม่เพียงเท่านั้น Thermage FLX ยังเป็นโปรแกรมที่เมื่อตัวโปรแกรมได้ส่งพลังงานความร้อนไปที่ชั้นผิวหนังเมื่อไร โปรแกรมก็จะส่งคลื่นความเย็นออกมาสลับเพื่อให้ผิวหนังในบริเวณที่เกิดความผ่อนคลายมากขึ้นเป็นระยะ ๆ โดยความเย็นที่ปล่อยออกมานี้ยังสามารถลดการเกิดอาการเบิร์น หรือผิวไหม้ได้อีกด้วย

                ความหมายของโปรแกรม Thermage FLX

                ความหมายของ Thermage FLX

                Thermage FLX เป็นโปรแกรม Thermage รุ่นใหม่ล่าสุด และมีการใส่ชื่อให้มีความแตกต่างจากของเดิมโดย FLX ที่พ่วงท้ายมากับชื่อ คือ โปรแกรมย่อมาจาก

                  •  F ย่อมาจาก “FASTER” ให้ความรวดเร็วในการรักษาที่มากขึ้น และยังปล่อยระดับพลังงานความร้อนได้ถึง 4.0 มิลลิเมตร

                เป็นหัว Tip ที่ได้รับการพัฒนาให้ดีและเร็วกว่าหัว Tip แบบเดิม 25% โดยเป็นหัวที่สามารถทำได้ครอบคลุมบริเวณพื้นที่ผิวหนังได้เพิ่มมากกว่าเดิมถึง 33% เมื่อเทียบกับของเดิมจึงทำให้ได้ผลลัพธ์ในการยกกระชับผิว และการรักษาที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

                  • L ย่อมาจาก “ALGORITHM” มีระบบที่แม่นยำแน่นอน เนื่องจากใช้เทคโนโลยี AccuREP

                ซึ่งสามารถปรับพลังงานตามความเหมาะสมกับสภาพผิวหนังของผู้ใช้บริการได้แบบ Real time และยังมีความแม่นยำสม่ำเสมอเป็นอย่างมาก ที่สำคัญยังมีความปลอดภัยต่อผิวหนังมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

                  • X ย่อมาจาก “EXPERIENCE” เพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่ดีในการรักษาด้วย Thermage FLX

                เนื่องจาก Thermage FLX เป็นโปรแกรมที่พัฒนาให้มีความสบายในการรักษาที่มากขึ้น  ซึ่งในระหว่างการรักษาจะมีการปล่อย Cooling effect คือ ระบบทำความเย็นเพื่อลดความร้อนและป้องกันผิวไหม้เบิร์น ในระหว่างการรักษาและยังมีระบบสั่นในตัว เพื่อลดและบรรเทาความเจ็บในขณะทำการรักษาและยกกระชับผิว

                โดยประสบการณ์พิเศษดังกล่าวเกิดจากการที่ Thermage FLX มีการใส่เทคโนโลยีชนิดใหม่เพิ่มเข้ามา ดังนี้

                  • AccuREPTM Technology  เทคโนโลยีชนิดใหม่ล่าสุดที่เป็นตัวตรวจความด้านทานของผิวได้อย่างอัตโนมัติ หรือเรียกกันว่า Automatic Skin Impedance Measurement โดยจะทำงานในระยะก่อนปล่อยพลังงานทุกช็อตลงสู่ผิวหนัง จึงส่งผลให้พลังงานทุกช็อตที่ลงสู่ผิวหนังนั้นเป็นพลังงานที่มีความเหมาะสมที่สุด ทั้งกับผิวหนัง และต่อบริเวณที่ทำการรักษา ซึ่งทำให้การยกกระชับผิวด้วย Thermage FLX เป็นการรักษาที่มีความปลอดภัยมีประสิทธิภาพ รวมทั้งยังมีความแม่นยำมากขึ้น
                  • Advanced Comfort Pulse Technology ระบบที่ช่วยในการทำให้ผิวบริเวณที่ได้ทำการยกกระชับมีความผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ทำให้ระหว่างการทำการยกกระชับผิวจะไม่รู้สึกแสบผิวหรือมีความเจ็บ ระบม เนื่องจากตัวเครื่องจะมี Multi-Directional Vibration และระบบความเย็น  ที่แพทย์สามารถปรับระดับ และควบคุมได้ตามความเหมาะสม เพื่อปกป้องผิวในระหว่างทำ Thermage FLX

                Thermage FLX

                หัว Tip ของ Thermage FLX ประกอบไปด้วย

                Total Tip 4.0 cm 2 หัว Tip เป็นหัวทิปที่มีความเหมาะสมที่จะใช้กับใบหน้า และส่วนอื่น ๆ ในร่างกาย

                • หัวทิปชนิดนี้ เป็นหัวทิปที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมสำหรับการใช้ เพื่อยกกระชับผิวหน้าและใบหน้า จึงมีความเหมาะสมเป็นอย่างมากในการใช้เพื่อลดแก้ม ลดไขมันที่เกิดการสะสมบริเวณบนใบหน้า ลดเหนียงใต้คางที่มีไขมันสะสม ลดคางสองชั้น ไม่เพียงเท่านั้นหัวทิปชนิดนี้ยังสามารถใช้ได้กับบริเวณร่างกาย โดยนอกจากจะช่วยในการลดไขมันแล้ว ยังช่วยในการลดความหย่อนคล้อยของผิว ปรับผิวให้มีความอิ่ม ฟู แน่น และลดความหลวมของผิว
                • TT4.00F6-XXX มีทั้งหัวจำนวน 300 ช็อต 600 ช็อต และ 900 ช็อต

                Eye Tip 0.25 cm 2 หัว Tip เป็นหัวทิปที่เหมาะสมในการใช้กับบริเวณรอบดวงตา

                • หัวทิปชนิดนี้ เหมาะสมในการใช้แก้ปัญหาหนังตาตก การลดริ้วรอย รวมทั้งยกกระชับบริเวณต่าง ๆ ทั่วร่างกาย
                • TT0.25F6-XXX จำนวน 450 ช็อต

                Body Tip 16.0 cm 2 หัวTip เป็นหัวทิปที่เหมาะสมในการใช้กับบริเวณใบหน้าและลำตัว

                • หัวทิปชนิดนี้ เหมาะสมในการใช้แก้ปัญหา ริ้วรอยบริเวณร่างกาย ยกกระชับผิวที่มีความเหี่ยว ย่น ไม่กระชับ เช่น ในบริเวณต้นแขน ต้นขา และหน้าท้อง
                • TT16.00F6-XXX จำนวน 500 ช็อต

                New total Tip 3.0 cm  เป็นหัวทิปที่เหมาะกับการใช้กับบริเวณใบหน้า

                • หัวทิปชนิดนี้ เหมาะสำหรับการยิงบริเวณใบหน้า เพื่อทำให้ผิวมีความกระชับ แน่น เฟิร์มและสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
                • ใช้ลิดริ้วรอยขนาดเล็ก ร่องลึก ลดรูขุมขน และปรับสภาพผิวได้
                • เป็นหัวทิปที่มีจำนวน จำนวน 400 ช็อต

                Thermage FLX มีระดับพลังงานเท่าไรบ้าง ?

                การตั้งระดับพลังงานในการรักษาด้วย Thermage FLX ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์โดยแพทย์จะประเมินจากปัญหาของแต่ละบุคคล โดยระดับพลังงานของ Thermage FLX มี 4 ระดับดังนี้

                  • ระดับพลังงาน 0-1 เป็นระดับพลังงานที่ในระหว่างการรักษาจะมีความรู้สึกว่าผิวในบริเวณที่ทำการรักษาจะมีความสั่น แต่จะยังไม่รับรู้ถึงความรู้สึกอื่น ระดับพลังงาน 0-1 เป็นระดับการรักษาที่มีผลในการรักษาที่ต่ำที่สุด
                  • ระดับพลังงาน 2-2.5 เป็นระดับพลังงานที่ระหว่างการรักษาจะมีความรู้สึกร้อน แต่เป็นความร้อนในระดับที่ร่างกายทนได้ ผลลัพธ์ในการรักษาโดยพลังงานนี้จะสามารถเกิดได้ตามความต้องการของแพทย์ สามารถทำได้ตามความต้องการและปัญหา
                  • ระดับพลังงาน 3-4 เป็นระดับพลังงานที่ระหว่างการรักษาจะในผู้เข้ารับบริการบางคนอาจมีความรู้สึกร้อน หรือเจ็บ มากจนเกินไป แต่ระดับพลังงานนี้เป็นระดับพลังงานที่ส่งผลลัพธ์ในการรักษาที่มีความชัดเจนมากที่สุด แพทย์ที่จะทำการรักษาในระดับความร้อนระดับนี้จะต้องมีความชำนาญมาก เนื่องจากเสี่ยงต่อความเผาไหม้ของผิวหนัง

                ในระหว่างการรักษา แพทย์จะมีการสอบถามถึงระดับความร้อน ที่ผู้เข้ารับบริการสามารถรับได้ทุกครั้ง เพื่อป้องกันความร้อน และความเจ็บที่มากจนเกินกว่าจะทนไหวในแต่ละบุคคล และเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการรักษา

                ส่วนประกอบของเครื่อง Thermage FLX

                Thermage FLX 1 เครื่องจะมีส่วนประกอบดังนี้

                ตัวเครื่องที่มีขนาดเครื่องไม่ใหญ่ และไม่เล็กเกินไป ที่ล้อทำให้เคลื่อนย้ายเครื่องได้อย่างสะดวกสบาย ไม่เป็นอันตราย

                  • เครื่องประกอบไปด้วย หน้าจอแสดงผลที่สามารถแสดงผลระหว่างการรักษาได้อย่างรวดเร็วขณะทำการรักษา มีความแม่นยำเป็นอย่างมาก และสามารถแสดงจำนวนช็อตในขณะที่แพทย์ทำการยิงได้
                  • ที่เชื่อมต่อขั้วไฟฟ้า
                  • ด้ามอุปกรณ์
                  • หัวทิปขนาดความลึกระดับต่าง ๆ

                Thermage FLX

                ใครเหมาะกับการทำการรักษาด้วย Thermage FLX ?

                  • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการยกกระชับปรับรูปหน้า
                  • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียว เล็กมีกรอบหน้าที่ชัด คมมากขึ้น
                  • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการลดความหย่อนคล้อยของผิว
                  • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้า กระชับรูขุมขน
                  • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิว
                  • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการลดไขมันสะสมบนใบหน้า อาทิ ผู้ที่มีเหนียง มีคางสองชั้น มีแก้มห้อย
                  • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา
                  • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการลดความหย่อนคล้อยคล้อยรอบดวงตา
                  • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาตาสองชั้นหลบในที่ต้องการให้เห็นตาสองชั้นชัดเจนมากขึ้น
                  • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการลดความหย่อนคล้อยคล้อยบริเวณร่างกาย เช่น หน้าท้อง ต้นแขน
                  • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาเซลลูไลต์
                  • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาไขมันสะสมที่บริเวณสะโพก ต้นขา และบั้นท้าย

                ใครไม่เหมาะกับการรักษาด้วย Thermage FLX ?

                  • Thermage FLX ไม่เหมาะสมกับผู้หญิงที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์
                  • Thermage FLX ไม่เหมาะสมกับผู้หญิงที่กำลังให้นมบุตร
                  • Thermage FLX ไม่เหมาะสมกับผู้ต้องทำการรักษาด้วยการกระตุ้นไฟฟ้าที่หัวใจ
                  • Thermage FLX ไม่เหมาะสมกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด
                  • Thermage FLX ไม่เหมาะสมกับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ รวมทั้งผู้ที่มีโลหะภายในร่างกาย อาทิ ผู้มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ , ICD, or any electronic implanted device เป็นต้น
                  • Thermage FLX ไม่เหมาะสมกับผู้ที่มีสภาพผิวผิดปกติขั้นรุนแรง เช่น ผู้ที่มี Fibroblast และ Elastin ผิดปกติ
                  • Thermage FLX ไม่เหมาะสมกับผู้ที่มีประวัติการใช้ยาในกลุ่ม NSAIDS ยาต้านอักเสบ หรือยาแก้อักเสบที่มีส่วนผสมจาก Corticosteriods เป็นระยะเวลาติดต่อกัน
                  • Thermage FLX ไม่เหมาะสมกับผู้ที่เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
                  • Thermage FLX ไม่เหมาะสมกับผู้ที่เป็นโรคเริม
                  • Thermage FLX ไม่เหมาะสมกับผู้ที่เป็นโรคลมบ้าหมู

                ในกรณีผู้ที่ทำหัตถการบนใบหน้าเช่นฉีดฟิลเลอร์ หรือฉีดโบ ควรเว้นระยะห่างในการทำ Thermage FLX โดยสามารถปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาอย่างเหมาะสม และประเมินการรักษาเบื้องต้นได้

                โดยบริเวณที่นิยมทำ Thermage FLX

                Thermage FLX นิยมทำบริเวณ หน้าผาก ขมวดคิ้ว หางตา ใต้ตา เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอย ความเหี่ยวย่นบนใบหน้า

                Thermage FLX นิยมทำบริเวณรอบดวงตา เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอย ตีนกา คิ้วตกที่ต้องการยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อยของหนังตา ต้องการเปิดหนังตาให้มากขึ้น

                Thermage FLX นิยมทำบริเวณรอบปาก เพื่อแก้ปัญหา ปากคว่ำ มุมปากตกที่ต้องการยกมุมปาก รวมทั้งแก้ปัญหาริ้วรอยรอบๆริมฝีปาก

                Thermage FLX นิยมทำบริเวณ ใบหน้าเหนียง บริเวณใต้คาง และคางสองชั้น เพื่อยกกระชับผิวลดความหย่อนคล้อยบนใบหน้า เพิ่มกรอบหน้า เพิ่มมิติให้กับใบหน้า ทำให้ใบหน้าได้รูป สวยกระชับมากขึ้น

                Thermage FLX นิยมทำบริเวณลำคอ เพื่อกระชับ ลดความเหี่ยวย่น ลดความหย่อนคล้อย แก้ปัญหารอยพับที่ลำคอ

                Thermage FLX นิยมทำบริเวณหน้าท้อง เพื่อลดริ้วรอยแตกลาย เพิ่มความกระชับลดความหย่อนคล้อย ทำให้เรียบเนียนมากขึ้น

                Thermage FLX นิยมทำบริเวณสะโพกและต้นขา เพื่อให้เกิดสัดส่วนที่ดี และผิวทั่วเรือนร่างเรียบสวยงาม

                Thermage FLX นิยมทำบริเวณร่างกาย เพื่อรักษาและทำให้ผิวที่ไม่ยกกระชับ ลดความหย่อนคล้อยและเหี่ยวย่น

                การเตรียมตัวก่อนทำการยกกระชับผิวด้วย Thermage FLX

                  • Thermage FLX เป็นโปรแกรมที่ผู้เข้ารับบริการสามารถเข้ารับบริการได้เลย โดยไม่ต้องทำการเตรียมตัวก่อน
                  • หากร้อยไหม ฉีดฟิลเลอร์ และฉีดโบ ควรเว้นระยะขั้นต่ำ 1 เดือนก่อนทำ Thermage FLX

                ขั้นตอนการทำ Thermage FLX

                ทำการประเมินใบหน้าหรือบริเวณอื่นๆที่ผู้เข้ารับบริการมีความกังวล

                ผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดผิวในบริเวณที่แพทย์จะทำ Thermage FLX

                ผู้ช่วยแพทย์ทำการแปะยาชาทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที เพื่อบรรเทาอาการเจ็บในระหว่างทำ Thermage FLX

                แพทย์ทำการยิง Thermage FLX ด้วยความชำนาญ ตามจำนวน Shot ที่ได้ทำการประเมินไปเบื้องต้น

                หลังทำ โปรแกรม Thermage FLX ควรดูแลอย่างไร

                การปฏิบัติตัวหลังจากเข้าทำ Thermage FLX

                  • หลังจากเข้าทำ Thermage FLX ควรหลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ 2 สัปดาห์
                  • หลังจากเข้าทำ Thermage FLX ควรหลีกทรีตเมนต์ และขัดผิว 2 สัปดาห์
                  • หลังจากเข้าทำ Thermage FLX หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันการกลับมาหย่อนคล้อยของผิวหน้า

                อาการหลังทำ Thermage FLX

                  • Thermage FLX จะมีรอยแดงบนผิว โดยรอยแดงบนผิวที่เกิดขึ้น Thermage FLX จะสามารถหายได้เองใน 1-2 ชั่วโมง
                  • Thermage FLX อาจมีความบวมในบางผู้เข้ารับบริการ โดยอาการบวมหลังทำ Thermage FLXจะสามารถหายได้เองใน 5 วันถึง 1 สัปดาห์โดยไม่ต้องกังวล

                FAQ เกี่ยวกับ Thermage FLX ที่ควรรู้ก่อนทำ

                  1. Thermage FLX จะเห็นผลทันทีเลยหรือไม่ ?

                โดยปกติแล้วผู้ที่ทำ Thermage FLX ไปครึ่งหน้าแล้ว เมื่อส่องกระจกจะสามารถเห็นได้ทันที่ว่าใบหน้าข้างที่ถูกทำไปแล้วครึ่งหน้าว่ามีความเปลี่ยนแปลง และเมื่อทำเสร็จทั้งสองด้านจะเห็นถึงความยกกระชับของผิวบริเวณที่ทำมากขึ้นจากเดิม โดยสิ่งที่เปลี่ยนไปจะสังเกตได้ว่าผิวมีสภาพที่ดีขึ้น ริ้วรอยเล็กๆจะลดลง เนื่องจาก Thermage FLX จะสามารถเห็นผลได้ทันทีหลังทำ 20% โดยประมาณทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และสภาพปัญหาของแต่ละบุคคล

                  1. Thermage FLX จะเห็นผลที่ในระยะเวลานานเท่าไร ?

                    • Thermage FLX จะเห็นผลลัพธ์ด้านการยกกระชับลดความหย่อนคล้อยจะเริ่มเห็นผล ในระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือน
                    • ในระหว่างนั้นคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวหนังจะถูกจัดเรียงให้มีสภาพที่ดีขึ้น และยังถูกกระตุ้นด้วย Thermage FLX จึงทำให้เกิดการสร้างขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เมื่อครบระยะเวลาประมาณ 6 เดือน จะเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน ในบางคนอาจเห็นผลลัพธ์เร็วกว่า 6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลของแต่ละบุคคล
                  1. Thermage FLX ควรทำบ่อยแค่ไหน ?

                สามารถทำ Thermage FLX ได้ทุก ๆ 1 ปี เพื่อคงสภาพผลลัพธ์การยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อยของใบหน้า รวมทั้งลดริ้วรอยบนใบหน้าให้ได้นานมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้หากมีความต้องการจะทำ Thermage FLX ก่อนระยะเวลา 1 ปี สามารถปรึกษาแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำได้เช่นกัน

                  1. ระหว่างทำ Thermage FLX เจ็บไหม ?

                Thermage FLX ไม่เจ็บระหว่างที่ทำ เนื่องจากก่อนทำการยกกระชับผิวในแต่ละบริเวณผู้ช่วยแพทย์จะทำการมาส์กยาชา และรอให้ออกฤทธิ์ เพื่อบรรเทาความเจ็บในระหว่างทำก่อนอยู่แล้ว

                  1. ระหว่างทำ Thermage FLX รู้สึกอย่างไร ?

                อุ่น : ระหว่างทำ Thermage FLX จะสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกอุ่น ๆ ที่หัวทิปสัมผัสกับผิวหนังเท่านั้น โดยระดับความอุ่นที่ออกมาจาก Thermage FLX จะเป็นความอุ่นในระดับที่คนเราทนไหว และไม่ร้อนจนเกินไป แต่จะบรรเทาความอุ่นได้เองเป็นระยะในขณะทำการรักษา

                สั่น : ระหว่างทำ Thermage FLX จะรู้สึกสั่นที่หัวทิป แต่จะเป็นความสั่นที่มาเพียงเป็นระยะเท่านั้น โดยความสั่นนี้เป็นความสั่นของ Thermage FLX ที่ใส่มาเพื่อให้ช่วยในการบรรเทาความบาดเจ็บของผิวที่เกิดจากการรักษา

                  1. เมื่อทำการรักษาด้วย Thermage FLX ไปแล้วสามารถคงผลลัพธ์ได้นานเท่าไร ?

                เมื่อทำการยกกระชับผิวด้วย Thermage FLX แล้วนั้นจะสามารถคงสภาพผลลัพธ์ได้นาน 1-2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา การใช้ชีวิต และสภาพผิวของผู้เข้ารับการรักษาแต่ละบุคคล

                  1. สามารถตรวจสอบ Thermage FLX โดยวิธีใดว่าคลินิกที่เราเข้ารับบริการเป็นของแท้หรือไม่ ?

                    • ต้องเลือกคลินิกเสริมความงามที่ น่าเชื่อถือ มีอุปกรณ์ ที่ได่มาตรฐานของคลินิก โดย รมย์รวินท์คลินิก เป็นคลินิกเสริมความงามที่เปิดมายาวนานกว่า 21 ปีแล้ว คร่ำหวอดในวงการคลินิกเสริมความงามมาเป็นระยะเวลานาน จึงมีความน่าเชื่อถือในแวดวงความงามเป็นอย่างมาก
                    • คลินิกที่เข้ารับบริการจะต้องมีสติกเกอร์ Thermage FLX ติดอยู่ที่บริเวณตัวเครื่อง เพื่อเป็นการการันตีตัวเครื่องว่าเป็นเครื่องแท้ ผู้เข้ารับบริการ Thermage FLX สามารถสอบถามเจ้าหน้าที่ในคลินิกเกี่ยวกับสติกเกอร์ที่ตัวเครื่องได้ ในกรณีที่หาด้วยตนเองไม่พบ
                    • เครื่อง Thermage FLX ที่ทำการรักษาก็จะต้องมีการติดสติกเกอร์ Thermage FLX เครื่องแท้เช่นกัน โดยหากมีข้อสงสัย สามารถเรียกถาม และขอดูสติกเกอร์ดังกล่าวที่พนักงานได้

                Thermage FLX เป็นโปรแกรมยกกระชับ ลดริ้วรอยที่สามารถใช้ได้ทั้งใบหน้า และทั่วทั้งร่างกาย มีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งกับผู้ที่ต้องการยกกระชับ ลดริ้วรอยที่กลัวเจ็บเนื่องจาก Thermage FLX มีทั้งระบบความเย็น และยังมีระบบสั่น เพื่อป้องกันความสั่น โดยรมย์รวินท์คลินิกจัดเป็นคลินิกอันดับต้น ๆ ของประเทศที่ทำการให้บริการด้านการยกกระชับด้วย Thermage FLX กับคนไข้มาเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 1,000 เคส คลินิกทุกสาขาได้รับมาตรฐาน และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านการยกกระชับ ปรับรูปหน้าในทุกสาขา

                ท่านใดที่ประสบปัญหา ไม่ว่าจะเป็น ใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่กระชับ มีริ้วรอย มีความเหี่ยวย่น สามารถปรึกษาได้ที่หน้าสาขารมย์รวินท์คลินิกทุกสาขา และช่องทางออนไลน์เพื่อรับโปรโมชั่นพิเศษ

                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                  วันที่สะดวกในการติดต่อ




                  เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                  Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว คืออะไร ?

                  Ultraformer mpt

                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                    วันที่สะดวกในการติดต่อ




                    เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                    BEFORE & AFTER

                    Ultraformer MPT
                    Ultraformer MPT

                    Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิวคืออะไร?

                    Ultraformer MPT หรือในชื่อเต็มคือ Ultraformer Micro-Pulse Technology โปรแกรมยกกระชับผิวหน้าอีกโปรแกรมหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมในระดับสูงในทั้งไทยและต่างประเทศ เป็นโปรแกรมที่มีความปลอดภัยในการรักษา และยังได้รับมาตรฐานการรับรองอย่างหลากหลายมาตรฐาน ทั้ง คณะกรรมการอาหารและยา ระดับสากลของประเทศเกาหลี (KFDA) และคณะกรรมการอาหารและยาประเทศไทย

                    Ultraformer MPT มีความพิเศษอยู่ที่การสลายไขมันใต้ผิวไปพร้อม ๆ กับการยกกระชับผิวได้ภายในเครื่องเดียว นับเป็นโปรแกรมที่ตอบโจทย์คนที่มีความกังวลเกี่ยวกับ ปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่กระชับ มีเหนียง มีแก้ม รวมทั้งมีไขมันสะสมบนใบหน้า ทำการยกกระชับโดยใช้พลังงานคลื่นเสียง Micro & Macro Focused Ultrasound หรือ MMFU ที่ทำการส่งพลังงานเสียงที่มีความเข้มข้นสูงลงสู้ชั้นผิวหนัง ด้วยความจำเพาะเจาะจงในชั้นความลึกของผิวหนังชั้นที่ต้องการ ส่งผลให้ผิวหน้าที่มีความหย่อนคล้อย เกิดความยกกระชับให้กรอบหน้ามีความชัดขึ้น ช่วยกระชับผิวหน้าที่ย้วย ไม่เฟิร์ม ให้กระชับมากขึ้น ช่วยกระชับไขมันที่สะสมอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง รวมทั้งยังช่วยในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ผิว ให้ผิวได้มีความแน่น อวบอิ่ม มีคุณภาพที่ดีมากขึ้น ด้วยสองพลังงานคลื่นเสียง

                    1.Micro Focused Ultrasound

                    เป็นพลังงานคลื่นที่มีคุณสมบัติช่วยยกกระชับใบหน้า ด้วยวิธีการส่งพลังงานคลื่นลงไปใต้ผิว ในระดับความลึก mm 3.0 mm และ 4.5 mm  พลังงานคลื่น Micro Focused Ultrasound เมื่อลงสู่ชั้นผิวหลังจากการปล่อยออกมานั้น จะมีพลังงานความร้อนสะสมในระดับความร้อน 65-70 องศาเซลเซียส โดยพลังงานความร้อนในระดับนี้สามารถลงลึกได้ถึงชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน SMAS หรือ Superficial Muscular Aponeurotic System ที่ทุกคนทราบกันดีว่าเป็นชั้นผิวหนังที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดทำศัลยกรรม เมื่อ คลื่น Micro Focused Ultrasound ลงไปสู่ชั้น SMAS แล้ว ผิวหนังชั้นดังกล่าวจะเกิดการหดตัวลง อันเป็นเหตุผลให้ผิวหนังที่หย่อนคล้อย เกิดการกระชับ เรียบเนียน และเต่งตึงขึ้นนั่นเอง

                    2.Macro Focused Ultrasound

                    เป็นพลังงานคลื่นที่มีความเข้มข้นมากกว่าคลื่น Micro Focused Ultrasound ถึง 8 เท่าโดยการปล่อยคลื่นที่มีความร้อน 65-70 องศาเซลเซียส ลงไปในชั้นผิวที่มีความแตกต่างกันตั้งแต่ความลึก 6 mm, 9 mm และ 13 mm  โดยคลื่น Micro Focused Ultrasound จะลงไปสู่ใต้ผิว โดยการลดไขมัน สลายไขมัน และกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิว ส่งผลให้ผิวมีความเรียบเนียน ยกกระชับ และยืดหยุ่นมากขึ้น

                    สำหรับคลื่น Micro Focused Ultrasound เป็นคลื่นที่มักจะนิยมใช้สำหรับการลดสัดส่วน เรือนร่าง ไขมันสะสมตามต้นขา มากกว่าใบหน้า เนื่องจากเป็นพลังงานที่สูง

                    Ultraformer MPT

                    ลักษณะการปล่อยพลังงานคลื่นของ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว

                    Ultraformer MPT เป็นโปรแกรมที่มีการปล่อยพลังงานอย่างหลากหลาย โดยแพทย์สามารถเลือกยิงได้ตามความเหมาะสมกับปัญหาของผู้เข้ารับบริการแต่ละคน โดยหลักการปล่อยพลังงานคลื่นดังกล่าวเป็นสิ่งที่ช่วยยกประสิทธิภาพในการทำการยกกระชับได้มากขึ้น โดยสามารถจำแนกรูปแบบการปล่อยพลังงานของ Ultraformer MPT ได้ดังนี้

                    1. NORMAL MODE (Normal Dot) เป็นการปล่อยพลังงานจาก Ultraformer MPT “เป็นเส้นประ” เป็นการยิงพลังงานเป็นลักษณะจุดไข่ปลา ที่มีขนาดเล็กเรียงตัวกันเป็นแถว
                    2. MP MODE (Micro pulse) เป็นการปล่อยพลังงานจาก Ultraformer MPT “เป็นเส้นตรง”เป็นการยิงพลังงานเป็นลักษณะเส้นตรง โดยลักษณะการยิงแบบนี้จะเป็นการช่วยสะสมพลังงาน
                    3. ULTRA BOOST MODE (Circular Dot) เป็นการปล่อยพลังงานจาก Ultraformer MPT “เป็นเส้นประวงกลม” ช่วยเข้ามาปรับสภาพผิวเรียบเนียนโดยเฉพาะ
                    4. ULTRA BOOST MP MODE (Micro circular) เป็นการปล่อยพลังงานจาก Ultraformer MPT “เป็นวงกลม” ช่วยเรื่องงานผิวปรับให้ผิวดี มีความเรียบเนียน ช่วยสร้างคอลลาเจน ปรับผิวกระจ่างใส
                    Ultraformer mpt

                    หัวยิงของ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว สามารถยิงได้ในระดับความลึกเท่าไร

                    หัวยิงของ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว มีด้วยกัน 7 ขาดระดับความลึก แบ่งได้ดังนี้

                    1. หัวยิง Ultraformer MPT 1.5 mm. (ปล่อยพลังงานเป็นวงกลม) ช่วยในการลดริ้วรอยที่มีขนาดเล็ก บริเวณรอบดวงตา บริเวณหางตา บริเวณมุมปาก รวมทั้งยังช่วยในการยกคิ้วที่ตกลงให้ยกขึ้นได้
                    2. หัวยิง Ultraformer MPT 2.0 mm.ลักษณะหัวยิงคนละแบบกับ 1.5 mm. แต่ทำการยิงในระดับที่ลึกกว่า ให้ผลลัพธ์เหมือนกัน คือ ลดริ้วรอยที่มีขนาดเล็กบริเวณรอบดวงตา บริเวณหางตา บริเวณมุมปาก รวมทั้งยังช่วยในการยกคิ้วที่ตกลงให้ยกขึ้น แต่เป็นการยิงโดยพลังงานที่ลึกกว่า
                    3. หัวยิง Ultraformer MPT 3.0 mm. (ปล่อยพลังงานเป็นวงกลม) ช่วยในการยกกระชับผิวในระดับชั้นนอก และช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว
                    4. หัวยิง Ultraformer MPT 4.5 mm. (ปล่อยพลังงานเป็นวงกลม) เป็นการยิงที่ลงลึกในชั้นผิวถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่ใช้ในการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า ช่วยในการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อย
                    5. หัวยิง Ultraformer MPT 6.0 mm.ช่วยในการสลายไขมัน ลดเหนียง แก้ม คางสองชั้น และไขมันส่วนเกินต่าง ๆ บนใบหน้า ในการหดไขมันทำให้ผิวตึงกระชับขึ้น
                    6. หัวยิง Ultraformer MPT 9.0 mm.ช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ที่มีการสลายลงไป และยังช่วยสลายไขมัน กระชับสัดส่วนในบริเวณที่ทำได้
                    7. หัวยิง Ultraformer MPT 13.0 mm.สามารถช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวที่มีการสลายลงไป และยังช่วยสลายไขมัน กระชับสัดส่วนในบริเวณที่ทำได้ลึกกว่าหัวขนาดความลึก 9.0 mm.

                    โดยลักษณะเด่นในการยกกระชับของ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว คืออะไร ?

                    Ultraformer mpt

                    ลักษณะเด่นในการยกกระชับของ Ultraformer MPT คือการยกหน้า 4 มิติ ในเพียง 3 ขั้นตอนเท่านั้นคือ

                    ขั้นตอนที่ 1

                    1D Ultraformer MPT ช่วยยกผิวหน้าให้แน่นกระชับ และลดเลือนริ้วรอย

                    แบ่งเป็นใบหน้าส่วนบน คือ ลดริ้วรอยหน้าผาก,ลดริ้วรอยรอบดวงตา, ลดถุง/ใต้ตา , ยกหางตา ด้วยหัว Ultraformer MPT ความลึก 1.5 และ 2.0 mm.

                    ใบหน้าส่วนล่าง Ultraformer MPT จะช่วยปรับผิวแน่นเฟิร์ม, ยกกระชับใบหน้า, สร้างคอลลาเจน, สลายไขมันชั้นตื้น ด้วยหัว Ultraformer MPT ความลึก 3.0 และ 4.5 mm.

                    2D  Ultraformer MPT ช่วยสร้างกรอบหน้า

                    ผิวหน้าแน่นเฟิร์ม, ยกกระชับใบหน้า , สร้างคอลลาเจน, สลายไขมันชั้นตื้น

                    ขั้นตอนที่ 2

                    3D Ultraformer MPT ช่วยสร้างกรอบหน้า

                    ลดเนียง, สลายไขมัน, ปรับกรอบหน้าให้คมชัด

                    ขั้นตอนที่3

                    4D Ultraformer MPT ช่วยเก็บงานผิว

                    กระชับรูขุมขนเนียนละเอียดทั่วหน้า ,ผิวกระจ่างใสสุขภาพดี

                    จุดเด่นของ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว

                    • Ultraformer MPT เป็นโปรแกรมยกกระชับใบหน้าที่มีความปลอดภัย
                    • Ultraformer MPT มีหลากหลายระดับความลึกของหัว สามารถปล่อยพลังงานได้หลากหลายชั้นผิว
                    • Ultraformer MPT ใน 1 line สามารถปล่อยพลังงานออกมาได้ถึง 417 dots
                    • Ultraformer MPT เป็นโปรแกรมที่ยิงเร็วกว่า Ultraformer รุ่นอื่น 2.5 เท่า จึงทำให้ใช้เวลาในการทำน้อยลง
                    • Ultraformer MPT เป็นโปรแกรมที่สามารถสลายไขมันได้พร้อมกับกระชับ
                    • Ultraformer MPT เป็นโปรแกรมที่ไม่ทำลาย หรือส่งผลเสียต่อผิวโดยรอบ
                    • Ultraformer MPT เป็นโปรแกรมที่สามารถกำหนดรูปแบบการปล่อยพลังงานได้อย่างแม่นยำ
                    • Ultraformer MPTเป็นโปรแกรมที่ให้พลังงานความร้อนที่มีความละเอียด และมีความหนาแน่นกว่า Ultraformer รุ่นอื่นถึง 25 เท่า
                    • Ultraformer MPT สามารถกำหนดจุดที่ต้องการรักษาได้อย่างแม่นยำ
                    • Ultraformer MPT ใช้แก้ปัญหาความหย่อนคล้อยได้ ทั้ง ใบหน้าลำคอ เหนียง คางสองชั้น และลำตัว
                    • Ultraformer MPT เป็นโปรแกรมยกกระชับที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้นแต่ให้ผลลัพธ์เทียบเท่า
                    Ultraformer mpt

                    ข้อดีของการทำการรักษาโดย Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิวคืออะไร?

                    • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ สามารถช่วยในการยกกระชับผิวทั้งใบหน้า และร่างกายที่มีความหย่อนคล้อยได้เป็นอย่างดี
                    • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ สามารถช่วยในการยกกระชับปรับ และเพิ่มกรอบหน้าให้เรียว ชัด คม เข้ารูป มีมิติมากขึ้น
                    • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ สามารถช่วยลดไขมันบริเวณใบหน้า และร่างกายได้
                    • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ สามารถช่วยในการลดริ้วรอย และร่องลึกได้
                    • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ สามารถช่วยลดริ้วรอยร่องตื้นต่าง ๆ บนบริเวณใบหน้าได้
                    • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ สามารถช่วยในการแก้ปัญหาผิวหน้า งานผิวที่มีคุณภาพไม่ดี เช่น รูขุมขนกว้างไม่กระชับเป็นบ่อเกิดของสิว ผิวหน้ามันได้
                    • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ มีความปลอดภัยสูง น่าเชื่อถือ
                    • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลตัวเอง แต่กลัวความเจ็บ หรือมีความกังวลในการเข้าคลินิกความงาม
                    • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ สามารถช่วยยกกระชับได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด จึงไม่ทำให้เกิดบาดแผล และไม่เสียเวลาพักฟื้น
                    • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ หลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ปกติ โดยไม่ต้องกังวลอาการต่าง ๆ
                    • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ สามารถแต่งหน้าได้ทันที
                    • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ  สามารถออกกำลังกายได้ทันที

                    ข้อด้อยของ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิวคืออะไร?

                    • Ultraformer MPT ไม่เห็นผลลัพธ์หลังการทำ 100%
                    • Ultraformer MPT ต้องให้เวลาผิวในการฟื้นฟู

                    Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว สามารถใช้สำหรับการแก้ปัญหาในจุดไหนได้บ้าง?

                    ด้วยความที่ Ultraformer MPT สามารถใช้ได้ทั้งแก้ปัญหาการยกกระชับ และยังช่วยในการสลายไขมัน จึงสามารถทำให้ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งร่างกาย โดยสามารถแบ่งเป็นใบหน้า และเรือนร่างได้ ดังนี้

                    1. Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว สามารถแก้ปัญหาบริเวณใบหน้าอะไรได้บ้าง?

                    • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหา ริ้วรอยบนหน้าผากได้
                    • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา ริ้วรอยบริเวณหางตา ตีนการิ้วรอยบริเวณใต้ตาได้
                    • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยบริเวณคิ้ว และหว่างคิ้วได้
                    • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยบริเวณแก้ม และร่องแก้มได้
                    • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยมุมปาก ร่องน้ำหมากได้
                    • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหากรอบหน้าไม่ชัด ไขมันเยอะได้
                    • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาสลายไขมันใต้คางได้
                    • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่นบริเวณลําคอได้

                    2. Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว สามารถแก้ปัญหาบริเวณเรือนร่าง อะไรได้บ้าง?

                    • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาต้นแขนไม่กระชับ หย่อนคล้อยได้
                    • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาหน้าอกหย่อนคล้อยได้
                    • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาหน้าท้องหย่อนย้วยไม่กระชับได้
                    • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาหลังมีเนื้อ และมีไขมันสะสมได้
                    • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาลดไขมันสะสมบริเวณรอบเอวได้
                    • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาลดไขมันบริเวณเหนือหัวเข่าได้
                    • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาลดไขมันสะสมบริเวณต้นขาได้
                    • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาลดไขมันสะสมบริเวณน่องได้
                    • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาเนื้อส่วนเกิน นมน้อย เนื้อปลิ้น บริเวณใต้รักแร้ได้

                    Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว เหมาะกับใครบ้าง ?

                    • Ultraformer MPT เหมาะกับ ผู้ที่มีใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่ตึงกระชับ
                    • Ultraformer MPT เหมาะกับ ผู้ที่มีลําคอหย่อนคล้อย ไม่กระชับ มีรอยสร้อยคอ เหี่ยว ย่น
                    • Ultraformer MPT เหมาะกับ ผู้ที่คิ้วตก จนใบหน้าดูเศร้า
                    • Ultraformer MPT เหมาะกับ ผู้ที่มีหางตาตกจนใบหน้าดูเศร้า
                    • Ultraformer MPT เหมาะกับ ผู้ที่มีหนังตาตก อันเนื่องมาจากวัยที่มากขึ้น หรือพันธุกรรม
                    • Ultraformer MPTเหมาะกับ ผู้ที่มีขอบตาด้านล่างหย่อนคล้อย
                    • Ultraformer MPTเหมาะกับ ผู้ที่มีริ้วรอยรอบดวงตา หรือตีนกา
                    • Ultraformer MPTเหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด ไม่คม
                    • Ultraformer MPTเหมาะกับ ผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณใบหน้า ทั้ง แก้ม เหนียง และใต้คาง
                    • Ultraformer MPT เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก
                    • Ultraformer MPT เหมาะกับ ผู้ที่มีผิวหมองคล้ำขาดความสดใส
                    • Ultraformer MPT เหมาะกับ ผู้ที่มีผิวหลวม ไม่กระชับที่ต้องการสร้างคอลลาเจน
                    • Ultraformer MPTเหมาะกับ ผู้ที่มีไขมันส่วนเกินบนร่างกาย แต่ไม่ต้องการแก้ปัญหาด้วยการผ่าตัดศัลยกรรม
                    Ultraformer MPT

                    การเตรียมตัวก่อนทำ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว

                    1. การเตรียมตัวก่อนทำ Ultraformer MPT ควรปรึกษาแพทย์ถึงความกังวล และสิ่งที่ต้องการทำการรักษา หากมีโรคประจำตัว หรือมีปัญหาผิวบาง ให้แจ้งแพทย์ เพื่อทำการปรับแผนการรักษา
                    2. การเตรียมตัวก่อนทำ Ultraformer MPT ควรงดรับประทานยาในกลุ่มแอสไพริน ยาวิตามิน น้ำมันตับปลา อาหารเสริมต่าง ๆ
                    3. การเตรียมตัวก่อนทำ Ultraformer MPT ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
                    4. การเตรียมตัวก่อนทำ Ultraformer MPT ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ก่อนเข้ารับบริการ
                    5. การเตรียมตัวก่อนทำ Ultraformer MPT ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผิวก่อนเข้ารับบริการ

                    ขั้นตอนการทำ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว

                    1. ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินแผนการรักษา โดยแพทย์จะประเมินจาก
                      • ปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวของแต่ละบุคคล หรือ Facial Sagging
                      • ปัญหาความหนา ความหลวมของผิวในแต่ละบุคคล หรือ Skin Thickness
                      • ปัญหาความหนาของชั้นไขมันบนใบหน้าในแต่ละบุคคล Facial Fat Pad Layer
                      • ปัญหาแนวการยกผิวของใบหน้าของแต่ละบุคคล Facial Vector for Lifting
                      • ปัญหาผิวอื่น ๆ ของแต่ละบุคคลร่วมด้วย หรือ Other skin conditions อาทิปัญหา รูขุมขนกว้าง ปัญหาหลุมสิว
                        ปัญหาผิวหน้า ปัญหาฝ้ากระจุดด่างดำ ปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ ที่อยู่บนใบหน้า
                    2. ผู้ช่วยแพทย์ทำหน้าที่เตรียมใบหน้า ทำความสะอาดใบหน้า เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนลงมือทำ
                    3. ผู้ช่วยแพทย์ทำการแปะยาชา โดยทิ้งไว้ประมาณ 45-60 นาที
                    4. ผู้ช่วยแพทย์ทำความสะอาดใบหน้า เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรักษาด้วย Ultraformer MPT
                    5. แพทย์ทำ Ultraformer MPT ในระหว่างที่ทำ Ultraformer MPT ผู้เข้ารับการรักษาจะรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยจากการรักษาเท่านั้น
                    6. ทำความสะอาดใบหน้าหลังทำ Ultraformer MPTเสร็จเรียบร้อย

                    การดูตัวเองหลังการทำ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว

                    • หลังการทำ Ultraformer MPT ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดด ในระยะเวลา 4-5 วันแรก
                    • หลังการทำ Ultraformer MPT ควรงดกิจกรรมที่ทำให้ผิวสัมผัสกับความร้อน เช่น ซาวน่า การเล่นกีฬา แช่ออนเซ็น
                    • หลังการทำ Ultraformer MPT ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อผิวที่ดี
                    • หลังการทำ Ultraformer MPT หากมีอาการบวมแดง ทำการประคบเย็น เพื่อบรรเทาความเจ็บได้
                    • หลังการทำ Ultraformer MPT หากมีอาการบวมบริเวณที่ทำ ควรนอนหมอนสูง เพื่อให้ลดอาการบวม ปกติแล้วอาการบวมสามารถหายได้เองภายใน 2-3 วัน เป็นอาการปกติไม่ต้องกังวล

                    Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิวใช้เวลาในการเห็นผลนานเท่าไร?

                    Ultraformer MPT สามารถเห็นผลหลังทำได้ในทันทีประมาณ 20% ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยสามารถรู้สึกได้ว่าใบหน้ามีความตึงมากขึ้น เมื่อส่องกระจกจะเห็นว่าใบหน้ามีความยกกระชับมากขึ้น

                    MPT

                    หลังจากนั้น Ultraformer MPT ที่ทำการยิงลงสู่ผิวหน้าไปแล้วนั้น จะเริ่มทำการกระตุ้นให้สร้างคอลลาเจนที่อยู่ภายใต้ชั้นผิวขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ได้ใน 1-3 เดือน และสามารถคงผลลัพธ์ได้นาน 6-8 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวการใช้ชีวิตประจำวัน และการดูแลของแต่ละบุคคล

                    Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว ควรทำบ่อยแค่ไหน?

                    Ultraformer MPT ควรทำทุก ๆ 3-6 เดือน เพื่อเป็นการคงสภาพความยกกระชับของใบหน้าให้คงที่ไม่หย่อนคล้อย รวมทั้งเพื่อความต่อเนื่องในการรักษา

                    ULTRAFORMER MPT
                    ULTRAFORMER MPT

                    Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว เจ็บหรือไม่ ?

                    การทำ Ultraformer MPT จะมีความเจ็บเพียงเล็กน้อย เนื่องจากมีการทายาชาก่อนทำการรักษาเพื่อบรรเทาความเจ็บ จะมีเพียงความรู้สึกอุ่น ๆ และเจ็บจี๊ด ๆ ในระหว่างการทำ Ultraformer MPT เท่านั้น โดยความเจ็บที่เกิดขึ้นระหว่างที่ทำ เป็นความเจ็บในระดับที่ทนได้ผู้เข้ารับบริการไม่ต้องกังวลใจ

                    Ultraformer MPT

                    ทำ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว บริเวณใด ใช้จำนวน Lines เท่าไร ?

                    จำนวน Lines ในการทำ Ultraformer MPT ขึ้นอยู่กับปัญหาและความกังวลของแต่ละบุคคล ทั้งนี้ก่อนทำการรักษาควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินจำนวน Lines ในการรักษาอย่างแม่นยำ โดยสามารถประเมินจำนวน Lines ในการทำ Ultraformer MPT อย่างคร่าว ๆ ได้ ดังนี้

                    • ทำ Ultraformer MPT ทั่วทั้งใบหน้า ใช้จำนวนประมาณ 400-600 Lines
                    • ทำ Ultraformer MPT ในบริเวณหน้าผาก ใช้จำนวนประมาณ 100-200 Lines
                    • ทำ Ultraformer MPT ในบริเวณรอบดวงตา ใช้จำนวนประมาณ 100-200 Lines
                    • ทำ Ultraformer MPT ในบริเวณหน้าแก้มทั้ง 2 ด้าน ใช้จำนวนประมาณ 300-500 Lines
                    • ทำ Ultraformer MPT ในบริเวณ คาง หรือเหนียง ใช้จำนวนประมาณ 200 Lines
                    ULTRAFORMER MPT
                    ULTRAFORMER MPT

                    วิธีการเลือกคลินิกในการเข้ารับบริการ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว ให้ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                    1. เลือกคลินิกเสริมความที่ได้รับความน่าเชื่อถือ
                    2. เลือกคลินิกเสริมความงามที่คร่ำหวอดในวงการมาเป็นระยะเวลายาวนาน
                    3. เลือกคลินิกเสริมความงามที่ใช้ Ultraformer MPT เครื่องแท้ โดยสามารถตรวจสอบเครื่องแท้ได้ (สามารถตรวจสอบได้ ที่นี่ )
                    4. เลือกคลินิกเสริมความงามที่มีความสะอาดถูกหลักกระทรวงสาธารณสุข
                    5. เลือกคลินิกเสริมความงามที่ได้มาตรฐานในระดับสากล
                    6. เลือกคลินิกที่มีการการันตีจากผู้ใช้บริการจริง
                    ULTRAFORMER MPT
                    ULTRAFORMER MPT

                    รมย์รวินท์คลินิก มีให้บริการ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิวในทุกสาขา ท่านใดมีความกังวลเรื่องใบหน้าไม่ยกกระชับ มีไขมันสะสมบนใบหน้า ที่ต้องการการยกกระชับอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้นหน้า สามารถเข้ามาปรึกษาที่ได้รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขาทั่วประเทศไทยทั้ง 28 สาขา พร้อมทั้งยังมีแพทย์ผู้มีประสบการณ์พร้อมให้การบริการในทุกสาขา สามารถมั่นใจได้ว่าทุกการรักษาปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน

                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                      วันที่สะดวกในการติดต่อ




                      เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                      Oligio ยกกระชับคืออะไร ? ลดไขมัน ได้อย่างไร ? สร้างงานผิวได้ยังไง ?

                      Oligio

                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                        วันที่สะดวกในการติดต่อ




                        เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                        BEFORE & AFTER

                        oligio

                        oligio

                        ในยุคที่ทั้งผู้หญิง ผู้ชายแทบทุกคน สวยหล่อ ครบจบเสร็จพร้อมตั้งแต่หัวจรดเท้า และหันมาดูแลตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อให้ดูดีในแบบที่เป็นตัวเอง ในแบบที่ตัวเองชอบ ไม่ว่าจะเป็น มีสีผิวที่พึงพอใจ มีรูปร่างที่พึงพอใจ มีทรงผมที่พึงพอใจ รวมไปจนถึงมีใบหน้าที่พึงพอใจ บางคนอาจจะทำศัลยกรรมเพื่อให้มีรูปหน้าในแบบที่ตัวเองต้องการ หรือใครที่กลัวการผ่าตัดอาจจะเลือกเครื่องยกกระชับที่มีความเหมาะสมกับตัวเองที่สุด เพื่อให้ได้ใบหน้าที่สวยงามในแบบที่พอดีตามต้องการ

                        ในท้องตลาดแวดวงความงามมีเครื่องยกกระชับมากมาย ทั้ง ยกกระชับ ลดไขมัน ยกกระชับผิวหน้า ยกกระชับผิวหนัง หรือยกกระชับกล้ามเนื้อ ทุกโปรแกรมยกกระชับจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจทำโปรแกรมยกระชับสามารถแจ้งความต้องการ และแจ้งปัญหาให้แพทย์ทราบเบื้องต้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ

                        โปรแกรม Oligio ลีน ลด เฟิร์ม ยก

                        Oligio โปรแกรมยกกระชับตัวใหม่ล่าสุดในท้องตลาด เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีที่สามารถยกกระชับ ปรับใบหน้าให้เรียวสวยสมใจ โดยที่ไม่เจ็บและไม่แม้แต่จะต้องทายาชาในระหว่างหรือก่อนทำด้วย

                        Oligio เป็นโปรแกรมยกกระชับจากบริษัท Wontech บริษัทเครื่องมือการแพทย์และความงามจากประเทศเกาหลีใต้ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานทั้งในไทย ยุโรป และ อเมริกา จึงมีความปลอดภัยในการทำการรักษา

                        Oligio ใช้นวัตกรรมคลื่น RFความถี่ 6.78 MHz  ในการช่วยยกกระชับแต่เป็นการพัฒนาให้มีความสบายในระหว่างทำมากยิ่งขึ้น มีความเจ็บในระหว่างทำที่น้อยลง เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวเจ็บ หรือกลัวกระแสคลื่นต่าง ๆ ในระหว่างทำ

                        โปรแกรม Oligio คืออะไร

                        การทำงานของ Oligio

                        Oligio เป็นการใช้เทคโนโลยีคลื่นความถี่สูง 6.78 MHz ที่สามารถปรับได้ 3 โหมด คือ โหมดเดี่ยว โหมดคู่ และโหมดอัตโนมัติ ยิงลงลึกสู่ชั้นผิว 3 mm. ซึ่งเป็นชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Fat) ในการช่วยยกกระชับผิวหน้า โดยการใช้ความร้อนจากหัว Tips ที่มีลักษณะเป็นหัวเข็ม F4.0 ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และสามารถปรับโหมดการยิงแบบอัตโนมัติได้ ทำให้การยิงพลังงาน ในการส่งกระแสคลื่นลงไปสู่ชั้นผิวหนังมีความสม่ำเสมอ แม่นยำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสังเคราะห์คอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิว ให้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่อย่างเป็นระเบียบ และเพิ่มปริมาณที่มากขึ้น ส่งผลให้ผิวหน้าหลังได้ทำดีขึ้น ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และความหนาแน่นให้กับผิว ลดไขมัน ทำให้ชั้นไขมันมีขนาดที่บางลง

                        การทำงานของ โปรแกรม Oligio

                        ที่สำคัญยังสามารถช่วยในการลดการเกิดปัญหาอันไม่พึงประสงค์ในขณะที่ทำการรักษา เนื่องจาก Oligio มีการตรวจสอบอุณหภูมิของผิว และระบบตรวจจับแรงกดอย่างแม่นยำในตัว มีระบบทำความเย็นอัจฉริยะ ที่ช่วยปล่อยลมออกมาในระหว่างทำอย่างอัตโนมัติ และยังมีช่องระบายความร้อนที่สามารถกำหนดเองได้ในคนไข้แต่ละราย จึงทำให้ช่วยลดอัตราความเสี่ยงในการสะสมค่าพลังงานความร้อนที่อยู่ใต้ผิวที่สะสมอยู่มากจนเกินไปในชั้นผิว ส่งผลให้ลดโอกาสในการเกิดการเผาไหม้ (Burn) ของผิว และไม่ทำให้ผิวไหม้ หรือมีตุ่มพอง หนอง เป็นต้น

                        เทคนิคเฉพาะตัวของโปรแกรม OLIGIO FAST MOVING TECHNIQUE

                        เทคนิคเฉพาะตัวของ Oligio Fast Moving Technique

                        เป็นเทคนิคที่ออกแบบมาสำหรับการรักษาโดย Oligio เท่านั้น โดย Fast Moving Technique เป็นเทคนิคที่ทำให้การรักษามีความเสถียรมากขึ้น เนื่องจากพลังงานที่ลงสู่ชั้นผิวโดย Oligio นั้นจะลงสู่ชั้นผิวที่เท่ากัน อย่างแม่นยำ ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ลดการเบิร์นหรือการเผาไหม้ของผิวหนังในระหว่างทำ จึงทำให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจมากกว่า โดยแพทย์ทุกท่านของรมย์รวินท์ได้รับการเทรนด์ Fast Moving Technique มาเป็นอย่างดี ทั้งภาคทฤษฏีและปฏิบัติจึงสามารถเชื่อถือได้ว่า หากเข้ามาบรับบริการ Oligio Fast Moving Technique ที่รมย์รวินท์คลินิกจะสามารถให้การรักษาที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยอย่างแน่นอน

                        จุดเด่นของโปรแกรม Oligio

                        จุดเด่นของ Oligio

                        Minimize Pain

                        Oligio มีระบบ Vibration ในตัวจึงทำให้ช่วยลดและบรรเทาความเจ็บในปวดขณะคนไข้ทำการรักษาอยู่ รวมถึงยังมีระบบ Cooling system ซึ่งเป็นตัวช่วยในการปกป้องผิวชั้นนอกจากความร้อนของคลื่น Monopolar RF ทั้งยังช่วยส่งพลังงานความถี่สูงไปยังผิวชั้นลึก ส่งผลให้หลังทำการรักษาไม่จำเป็นต้องรับการพักฟื้น จึงทำให้สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ปกติเลยในทันที

                        Faster Treatment

                        Oligio มีฟังชันก์ Auto ในการทำงาน จึงมีความแม่นยำ และปลอดภัย แม่นยำในขณะทำการรักษา นอกจากนี้ขนาดของ Face Tip ยังมีขนาดกว้างถึง 4 ซม. ช่วยประหยัดเวลาในการทำมากขึ้น แต่ให้ผลลัพธ์ดีเหมือนเดิม

                        Oligio มีหัว Tip 600 Shots ใช้เวลาในการทำเพียง 20-30 นาที และ หัว Tip 300 shots ใช้เวลาในการทำเพียง 10-15 นาทีเท่านั้น

                        Safe Treatment

                        Oligio มีระบบ Real-Time temperature Monitoring ที่ช่วยในการวัดอุณหภูมิของผิวหนังแบบ real-time ตามจริง เมื่ออุณหภูมิของผิวหนังสูงขึ้นมากกว่า 43 องศา จะทำให้เครื่องหยุดการทำงานทันที จึงเป็นการช่วยลดความเสี่ยงของการเผาไหม้ของบริเวณผิวหนัง รวมถึงยังมีระบบ Pressure Sensing ที่ช่วยตรวจสอบแรงกดระหว่างหัว Tip และผิวหนัง จึงเป็นการลดความเสี่ยงที่จะเกิดผิวไหม้ อันเนื่องมาจากการที่หัว Tip ไม่แนบกับผิวในระหว่างการรักษา

                        Convenience

                        Oligio มีระบบ Treatment ทั้งหมด 3 โหมด ได้แก่ Single / Double / Auto ซึ่งแพทย์ หรือผู้ชำนาญการสามารถปรับใช้ได้ตามความสะดวก

                        Long-Lasting Effet

                        Oligio กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินใต้ชั้นผิว จึงทำให้คงสภาพผลลัพธ์ได้นานถึง 6 เดือน – 1 ปี

                        Oligio ใช้ระยะเวลานานเท่าไรจึงจะเห็นผลลัพธ์ในการทำ ?

                        ผู้เข้ารับการรักษาด้วย Oligio จะสามารถเห็นผลการยกกระชับ ลดไขมัน ได้ทันที หลังจากทำเสร็จในครั้งแรก เนื่องจากหลังทำคอลลาเจนจะเกิดการหดตัวลง ประมาณ 20-30% จากนั้นผิวหนังจะเกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่บริเวณใต้ผิว ผิวจะค่อย ๆ ฟื้นฟู และจะเห็นผลเต็มที่หลังการรักษาในเวลาประมาณ 3-6 เดือน

                        ควรเว้นระยะเวลาในการทำ Oligio นานเท่าไร ?

                        สามารถทำ Oligio ได้ทุก ๆ 6 เดือน เพื่อให้ผลลัพธ์ในการยกกระชับคงสภาพได้ดีที่สุด รวมทั้งยังลดไขมัน ที่เกิดการสะสมขึ้นมาใหม่ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งรายละเอียดในการรักษาโดยละเอียดเพื่อความปลอดภัย

                        ทำ Oligio ควรทำตั้งแต่อายุเท่าไร ?

                        สามารถทำ Oligio ได้ตั้งแต่ผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป เพื่อป้องกันใบหน้าหย่อนคล้อยในอนาคต และในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป จะเป็นการทำเพื่อยกกระชับใบหน้าที่หย่อนคล้อยลงตามวัย ลดไขมันที่สะสมบริเวณใบหน้า และสามารถทำได้โดยไม่จำกัดเพศ

                        Oligio สามารถทำบริเวณใดได้บ้าง?

                        • Oligio สามารถทำบริเวณ “รอบดวงตา” ได้
                        • Oligio สามารถทำบริเวณ “ทั่วผิวหน้า” ได้
                        • Oligio สามารถทำบริเวณ “กรอบหน้า” ได้
                        • Oligio สามารถทำบริเวณ “ใต้คาง หรือเหนียง” ได้
                        • Oligio สามารถทำบริเวณ “ลำคอ” ได้
                        • Oligio สามารถทำบริเวณ “หน้าท้อง” ได้
                        • Oligio สามารถทำบริเวณ “ต้นแขน” ได้
                        ผลลัพธ์ของการทำ โปรแกรม Oligio

                        ข้อดีของ Oligio ในการยกกระชับใบหน้าคือ ?

                        • Oligio จะช่วยยกกระชับผิวที่มีความหย่อนคล้อยอันเนื่องมาจากการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว
                        • Oligio จะช่วยกระตุ้นการสร้าง และจัดเรียงตัวใหม่ของ collagen ใต้ผิวหนัง
                        • Oligio จะช่วยเพิ่มคุณภาพของ collagen ให้มีคุณภาพที่ดี
                        • Oligio จะช่วยลดไขมันส่วนเกินบนใบหน้าที่สะสมอยู่ใต้ผิว ลดแก้มและลดเหนียง ช่วยปรับให้ใบหน้ามีความเรียว เล็ก เข้ารูป กรอบหน้าคมชัดมากขึ้น
                        • Oligio จะช่วยเพิ่มคอลลาเจนและอีลาสติน ใต้ชั้นผิวทำให้ผิวหนาขึ้นและผิวมีความแข็งแรงขึ้นมากขึ้น
                        • Oligio จะช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพให้กลับมายืดหยุ่นอีกครั้ง
                        • Oligio จะช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของผิว
                        • Oligio จะช่วยทำให้ผิวที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่น และมีความหย่อนคล้อย กลับมาเรียบตึงอีกครั้ง
                        • Oligio จะช่วยลดขนาดรูขุมขนที่มีความกว้างให้เล็กและกระชับขึ้น
                        • Oligio จะช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน และลดริ้วรอยบนใบหน้า
                        โปรแกรม Oligio เหมาะกับใครบ้าง ทำบริเวณไหนได้บ้าง

                        Oligio เหมาะกับใคร ?

                        • Oligio เหมาะกับผู้ที่ ต้องการยกกระชับ ใบหน้ามีความหย่อนคล้อย ไม่กระชับ
                        • Oligio เหมาะกับผู้ที่ มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด มีไขมันสะสมบนใบหน้า ต้องการลดไขมัน
                        • Oligio เหมาะกับผู้ที่ มีปัญหา ร่องแก้มลึก มีร่องน้ำหมาก และริ้วรอยต่าง ๆ
                        • Oligio เหมาะกับผู้ที่ มีปัญหาเนื้อแก้มเยอะ ทำให้หน้าดูบาน ใหญ่ ที่ต้องการลดไขมัน
                        • Oligio เหมาะกับผู้ที่ อยากให้ใบหน้าเข้ารูป v shape ดูเล็กลง
                        • Oligio เหมาะกับผู้ที่ มีปัญหาเหนียง
                        • Oligio เหมาะกับผู้ที่ มีปัญหาเปลือกตาเริ่มตก หนังตาตก ต้องการยกคิ้ว ต้องการกระชับ
                        • Oligio เหมาะกับผู้ที่ มีมุมปากตก
                        • Oligio เหมาะกับผู้ที่ คอลลาเจนบนใบหน้าเริ่มลดลงตามวัย และต้องการเพิ่มปริมาณคอลลาเจน
                        • Oligio เหมาะกับผู้ที่ มีปัญหารูขุมขนกว้างที่ต้องการกระชับรูขุมขนให้มีขนาดเล็กลง
                        • Oligio เหมาะกับผู้ที่ ต้องการชะลอการเกิดความหย่อนคล้อยของผิวในอนาคต
                        • Oligio เหมาะกับผู้ที่ ผู้ที่มีลำคอเหี่ยวย่นตามวัย
                        • Oligio เหมาะกับผู้ที่ มีหน้าท้องเหี่ยวย่น

                        Oligio ไม่เหมาะกับใคร ?

                        • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีการฝังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในร่างกาย
                        • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีการฝังน็อต หรือ สกรู ที่บริเวณกะโหลก (Bioabsorbable) หรือรากฟันเทียม
                        • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่เป็นโรคผิวหนังบางชนิด และยังอยู่ในกระบวนการรักษาบาดแผล
                        • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีการติดเชื้อบางชนิด ที่บริเวณผิวหนังที่ต้องการทำการรักษา
                        • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร
                        • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีโรคประจำตัว อาทิ โรคเบาหวาน โรคลมบ้าหมู โรคเกี่ยวกับเลือด รวมทั้งโรคที่ส่งผลต่อระบบการแข็งตัวของเลือด
                        • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคแพ้ภูมิตัวเอง รวมทั้งผู้ที่อยู่ในระหว่างการรับประทานยาต้านการอักเสบของผิวหนังทุกวัน
                        • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีแผลเปิด ในบริเวณที่ต้องการทำการรักษา
                        • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีการติดเชื้อไวรัสเริม และยังมีอาการอักเสบอยู่
                        • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีประวัติการรักษาโรคด้วย โปรแกรมยับยั้งกล้ามเนื้อ หรือฉีดฟิลเลอร์ในระยะเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์
                        • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายผิวหนัง หรือปลูกถ่ายไขมันในบริเวณที่ทำการรักษาไม่เกิน 6 เดือน

                        การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษาด้วย Oligio

                        • ก่อนทำ Oligio ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อเตรียมผิว
                        • ก่อนทำ Oligio ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อพร้อมต่อการเข้ารับการรักษา
                        • ก่อนทำ Oligio ควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดโดยตรง และใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูงเมื่อออกนอกบ้าน
                        • ก่อนทำ Oligio ควรเตรียมพร้อมร่างกายให้สุขภาพดี เพื่อพร้อมต่อการเสริมสร้างคอลลาเจน

                        ขั้นตอนการทำการรักษาด้วย Oligio

                        • ผู้ช่วยแพทย์จะทำการรวบผม เก็บผมให้คนไข้ให้เรียบร้อย
                        • ผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดใบหน้าคนไข้ให้สะอาด ปราศจากเครื่องสำอาง และความมัน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนทำการรักษา
                        • ผู้ช่วยแพทย์ทำการแปะแผ่นสื่อที่แผ่นหลัง เพื่อเป็นสื่อในการทำการรักษา
                        • แพทย์ทำการทาเจลเย็นลงบนผิวบริเวณที่ต้องการทำการรักษา
                        • แพทย์ใช้ Oligio ในการแก้ปัญหาทั่วใบหน้าจนครบจำนวน Shot ผู้ช่วยแพทย์ทำความสะอาดใบหน้า เป็นอันเสร็จการรักษา
                        คำแนะนำหลังทำ โปรแกรม Oligio

                        การดูแลตัวหลังทำการรักษาด้วย Oligio

                        • หลังทำ Oligio ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด และความร้อนโดยตรง เนื่องจากผิวบริเวณที่ทำการรักษาจะมีความบอบบางและแพ้ง่ายอยู่
                        • หลังทำ Oligio ควรงดการทำเลเซอร์ อบซาวน่า หลังทำการรักษา 1 สัปดาห์ เพื่อให้ผิวได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่
                        • หลังทำ Oligio ควรทาครีมกันแดด SPF 50 +++ ขึ้นไป เนื่องจากผิวยังมีความบอบบาง
                        • หลังทำ Oligio ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันอาการอักเสบของผิว

                        ความรู้สึกระหว่างทำ Oligio

                        ระหว่างทำ Oligio จะมีความรู้สึกร้อนในผิวบริเวณที่ทำการรักษาเพียงเล็กน้อย จะเป็นความรู้สึกร้อนสลับกันกับความเย็นจากการทำงานของหัว Tip และความร้อนจะไม่ได้ร้อนจนเกิดอันตราย และ Oligio ไม่จำเป็นจะต้องทายาชาก่อนทำการรักษา

                        Q&A รวบรวมคำถามเกี่ยวกับ Oligio

                        oligio

                        1. Oligio สามารถเห็นผลได้นานเท่าไร ?

                        • หลังทำ Oligio สามารถคงสภาพผลลัพธ์หลังทำได้นาน 6 เดือน – 1 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลของแต่ละบุคคล

                        2. การทำ Oligio มีความอันตรายหรือไม่ ?

                        • Oligio เป็นโปรแกรมที่ไม่มีอันตราย เนื่องจากมีระบบ AI ควบคุมการทำงาน ทำให้สามารถจ่ายพลังงานคลื่น Monopolar RF ในการรักษาได้อย่างสม่ำเสมอ มีการป้องกันความเจ็บด้วยระบบสั่น และระบบทำความเย็น ทั้ง Oligio ยังเป็นโปรแกรมที่ได้รับการผ่านการรับรองมาตรฐานทั้งในไทย ยุโรป และ อเมริกา

                        oligio3. Oligio ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล ?

                        • Oligio เป็นโปรแกรมที่เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยสามารถทำการยกกระชับได้ในทันที และจะเห็นผลเต็มที่ใน 3-6 เดือนหลังจากการรักษา

                        4. Oligio ต้องทำบ่อยแค่ไหน ?

                        • สามารถทำ Oligio ได้ตั้งแต่หลังทำการรักษาไปครบ 6 เดือน เพื่อคงสภาพผลลัพธ์ในการยกกระชับและ ลดไขมัน ที่ดีที่สุด
                        oligio
                        oligio

                        5. Oligio ต่างจาก Ultrafomer III อย่างไร ?

                          • Oligio ใช้คลื่น Monopolar RF ในการรักษาจะทำงานบริเวณผิวหนังชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้ผิว มีแก้ม เหนียง คาง 2 ชั้น ต้องการลดไขมัน และต้องการให้ผิวแน่นกระชับ กรอบหน้าไม่ชัด มีริ้วรอยรอบดวงตา
                          •  Ultrafomer III ใช้คลื่น Macro and Micro Focused Ultrasound (MMFU) จะสามารถปล่อยพลังงานได้ถึงชั้น SMAS เหมาะสำหรับ ผู้ที่ผิวหย่อนคล้อย ร่องแก้มชัด มีถุงใต้ตา ริ้วรอย มุมปากตก คิ้วตก แก้มหย่อน

                        จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันที่คลื่นพลังงานที่ใช้ในการยิงความร้อนลงชั้นผิวหนัง จึงทำให้คลื่นความร้อนในการยิงลงสู่ชั้นผิวหนังในชั้นที่แตกต่างกัน และเหมาะกับการแก้ปัญหากันคนละแบบ สามารถทำการรักษาร่วมกันได้ เพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ในการยกกระชับที่ดีมากขึ้น นอกจากนี้ ทั้งสองเครื่องยังสามารถใช้แก้ปัญหากันได้คนละปัญหา หากทำการรักษาร่วมกัน จะได้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมทั่วทุกบริเวณมากขึ้น

                        6. Oligio ต่างจาก Thermage FLX อย่างไร ?

                        • Oligio ใช้คลื่น Monopolar RF ในการรักษา จะทำงานบริเวณผิวหนังชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้ผิว มีแก้ม เหนียง คาง 2 ชั้น ต้องการลดไขมัน และต้องการให้ผิวแน่นกระชับ กรอบหน้าไม่ชัด มีริ้วรอยรอบดวงตา
                        • Thermage FLX ใช้คลื่น Monopolar RF ในการรักษา ชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ไขมันสะสมใต้ชั้นผิวมีริ้วรอยรอบดวงตา
                        • จะเห็นได้ว่าทั้งสองโปรแกรม มีหลักการทำงานที่คล้ายกัน เนื่องจากการใช้คลื่นพลังงานในการรักษาที่เป็นคลื่นเดียวกัน แต่ Thermage FLX จะเป็นโปรแกรมยกกระชับที่ไม่มีการสลับพลังงานความร้อน และความเย็นในการรักษาเหมือนกับ Oligio
                        oligio
                        oligio

                        7. Oligio ต่างจาก Ulthera SPT อย่างไร ?

                        • Oligio ใช้คลื่น Monopolar RF ในการรักษา จะทำงานบริเวณผิวหนังชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้ผิว มีแก้ม เหนียง คาง 2 ชั้น ต้องการลดไขมัน และต้องการให้ผิวแน่นกระชับ กรอบหน้าไม่ชัด มีริ้วรอยรอบดวงตา
                        •  Ulthera SPT ใช้คลื่น Micro Focused Ultrasound With Visualization (MFU-V) ในการรักษาจะทำงานในบริเวณผิวหนังชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน และชั้น SMAS เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด ไม่ต้องการผ่าตัดดึงหน้า มีจอแสดงผลทำให้เห็นถึงความแม่นยำในการรักษา
                        • จะเห็นได้ว่า ทั้งสองโปรแกรมยกกระชับจะทำงานกันคนละชั้นผิว ใช้คลื่นพลังงานในการรักษาที่แตกต่างกัน สามารถทำการรักษาทั้งสองโปรแกรมยกกระชับร่วมกันได้ เพื่อผลลัพธ์ในการรักษาที่ได้ผลลัพธ์ในการยกกระชับที่ดีที่สุด อีกทั้งยังเป็นการยกกระชับใบหน้าอย่างทั่วถึงทุกชั้นผิว ทำให้หลังจากทำการยกกระชับทั้งสองเครื่องร่วมกันจะเป็นการช่วยในการยกกระชับ และยังชะลอการหย่อนคล้อยได้อีกด้วย

                        8. Oligio ต่างจาก Morpheus 8 อย่างไร ?

                        • Oligio ใช้คลื่น Monopolar RF ในการรักษา จะทำงานบริเวณผิวหนังชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้ผิว มีแก้ม เหนียง คาง 2 ชั้น ต้องการลดไขมัน และต้องการให้ผิวแน่นกระชับ กรอบหน้าไม่ชัด มีริ้วรอยรอบดวงตา
                        •  Morpheus 8 ใช้คลื่น RF ในการรักษา จะทำงานบริเวณ ชั้นผิวหนังแท้  เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย และริ้วรอย รูขุมขนกว้าง
                        • จะเห็นได้ว่า ทั้งสองโปรแกรมยกกระชับใช้พลังงานในการรักษาที่แตกต่างกัน จึงทำให้ทำงานกันคนละชั้นผิวอย่างชัดเจน โดย Morpheus 8 จะสามารถกระตุ้นคอลลาเจน รวมทั้งลดริ้วรอยร่องลึก ลดไขมันส่วนเกิน ลดแก้ม เหนียง คาง 2 ชั้นได้น้อยกว่า Oligio แต่ Morpheus 8 จะช่วยในการปรับผิวให้เรียบเนียน และรักษารอยแผลเป็นได้มากกว่า Oligio แนะนำให้ทำร่วมกันทั้ง 2 โปรแกรมเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการยกกระชับ
                        oligio
                        oligio

                        9. Oligio ต่างจาก Ultrafomer MPT อย่างไร ?

                        • Oligio ใช้คลื่น Monopolar RF ในการรักษา จะทำงานบริเวณผิวหนังชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้ผิว มีแก้ม เหนียง คาง 2 ชั้น ต้องการลดไขมัน และต้องการให้ผิวแน่นกระชับ กรอบหน้าไม่ชัด มีริ้วรอยรอบดวงตา
                        • Ultrafomer MPT ใช้คลื่น Macro and Micro Focused Ultrasound (MMFU) ในการรักษาโดยสามารถปล่อยพลังงานลงชั้นผิวได้ถึงชั้น SMAS เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ คิ้ว หรือหางตาตก รูขุมขนกว้าง ไม่กระชับ มีริ้วรอยร่องลึก
                        • โดย Ultrafomer MPT จะสามารถทำการลดไขมันสะสมบนใบหน้า เหนียงใต้คางสองชั้น ได้น้อยกว่า Oligio แต่ช่วยกระชับความหย่อนคล้อยได้มากกว่า จึงเหมาะเป็นอย่างยิ่งหากจะทำการรักษาร่วมกันกับ Oligio จะได้ให้ผลลัพธ์ในการยกกระชับ ลดไขมันบริเวณใบหน้าในแบบครบรูปแบบ และได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                        10. Oligio ต่างจาก Volnewmer อย่างไร ?

                        • Oligio ใช้คลื่น Monopolar RF ในการรักษา จะทำงานบริเวณผิวหนังชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้ผิว มีแก้ม เหนียง คาง 2 ชั้น ต้องการลดไขมัน และต้องการให้ผิวแน่นกระชับ กรอบหน้าไม่ชัด มีริ้วรอยรอบดวงตา
                        • Volnewmer ใช้คลื่น Monopolar RF โดยความเย็นของโปรแกรมยกกระชับชนิดนี้จะใช้น้ำในการหล่อเลี้ยงซึ่งอาจจะมีความไม่เสถียรอยู่บ้าง และจะทำการรักษาที่ชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่ผิวไม่ตึง มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย เริ่มมีริ้วรอย กรอบหน้าไม่ชัด
                        • ถึงแม้จะใช้พลังงานเช่นเดียวกัน ในการรักษาจะมีส่วนผลลัพธ์ที่แตกต่างกันในบางส่วน และ Oligio จะมีความเสถียรในการทำความเย็นที่น้อยกว่า อีกทั้ง Volnewmer จะมีราคาที่สูงกว่า

                        11. Oligio ต่างจาก Sylfirm อย่างไร ?

                        • Oligio ใช้คลื่น Monopolar RF ในการรักษา จะทำงานบริเวณผิวหนังชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้ผิว มีแก้ม เหนียง คาง 2 ชั้น ต้องการลดไขมัน และต้องการให้ผิวแน่นกระชับ กรอบหน้าไม่ชัด มีริ้วรอยรอบดวงตา
                        •  Sylfirm ใช้คลื่น RF Microneedling System ในการรักษา โดยจะส่งพลังงานลงสู่ชั้นผิวชั้นหนังแท้ เหมาะกับผู้ที่มีผิวไม่กระชับ รูขุมขนกว้าง มีริ้วรอย และเน้นไปทางสีผิว
                        • จะเห็นได้ว่าทั้งสองโปรแกรมทำงานต่างกันทั้งตัวคลื่นพลังงานที่ใช้ในการยิง การรักษา รวมทั้งผลลัพธ์หลังการรักษา หากทำการรักษาร่วมกันทั้งสองเครื่องจะให้ผลลัพธ์ที่ให้ทั้งใบหน้ายกกระชับ และผิวกระจ่างใสไร้ริ้วรอย รวมทั้งมีผิวหน้าที่ดีมากยิ่งขึ้นด้วย

                        12. Oligio ต่างจาก Emface อย่างไร ?

                        • Oligio ใช้คลื่น Monopolar RF ในการรักษาจะทำงานบริเวณผิวหนังชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้ผิว มีแก้ม เหนียง คาง 2 ชั้น ต้องการลดไขมัน และต้องการให้ผิวแน่นกระชับ กรอบหน้าไม่ชัด มีริ้วรอยรอบดวงตา
                        •  Emface ใช้คลื่น RF + HIFES ในการรักษา และจะทำการยกกระชับถึงชั้นกล้ามเนื้อ จึงทำให้เหมาะเป็นอย่างยิ่งที่จะทำกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพกล้ามเนื้อ และผิว กลัวเจ็บ กลัวการผ่าตัด กลัวเข็ม
                        • ทั้งสองโปรแกรมเป็นโปรแกรมยกกระชับที่ทำการรักษากันคนละแบบ พลังงานลงชั้นผิวกันคนละชั้น สามารถทำร่วมกันได้ เนื่องจากเป็นโปรแกรมยกกระชับเหมือนกันที่ทำงานที่ชั้นผิวที่แตกต่างกัน  ทำให้การยกกระชับได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และเห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                        ซึ่งจากข้อมูลข้างต้น Oligio ถือเป็นโปรแกรมยกกระชับ ลดไขมันที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการความรวดเร็ว และผู้ที่ต้องการยกกระชับผิว ซึ่งทางรมย์รวินท์พร้อมให้บริการ Oligio แล้วในวันนี้และยังมีโปรแกรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจ โดยสามารถทักหาแอดมินได้ทุกช่องทาง  รวมทั้งยังเข้าไปปรึกษาได้ที่หน้าสาขาได้ตั้งแต่วันนี้

                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                          วันที่สะดวกในการติดต่อ




                          เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                          EMFACE คืออะไร? ทำงานยังไง? ยกกระชับได้อย่างไร?

                          EMFACE

                          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                            วันที่สะดวกในการติดต่อ




                            เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                            BEFORE & AFTER

                            Emface
                            Emface

                            EMFACE เครื่องยกกระชับกล้ามเนื้อ เครื่องแรกของโลกที่ตอบโจทย์คนกลัวเจ็บ

                            EMFACE ยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าเครื่องแรกและเครื่องเดียวของโลก มาพร้อม Applicator  ใหม่ ช่วยลดเหนียง สลายไขมัน

                            สุดยอดเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี สำหรับใช้ในการยกกระชับถึงชั้นกล้ามเนื้อของใบหน้า เครื่องแรก และเครื่องเดียวในโลก ที่สามารถทำได้ในขณะนี้ อีกทั้ง EMFACE ยังเป็นโปรแกรมที่ได้รับการยอมรับจากแพทย์และผู้ใช้จริง เซเลป ดารา คนดังจากทั่วโลก ว่าได้รับผลลัพธ์ที่เป็นที่น่าพึงพอใจ ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปีที่ผ่านมา ทั้งยังครองใจใครหลาย ๆ คน จนกลายเป็นกระแสว่าแพทย์ท่านใดไม่ได้ทำ EMFACE หรือคลินิกใดไม่มี EMFACE ไว้ให้บริการคนไข้ เท่ากับเชย ล้าสมัย หรือไม่เลือกสรรเทคโนโลยีที่ดีให้กับลูกค้า มาถึงขนาดนี้แล้วมาทำความรู้จักกับ EMFACE โดยละเอียดกันดีกว่า

                            EMFACE คืออะไร ?

                            EMFACE คือ โปรแกรมที่ผ่านการออกแบบวิจัยรวมทั้งพัฒนาโปรแกรมมาเป็นอย่างดี ในการใช้สำหรับยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้า จึงทำให้ได้รับการขนานนามว่าเป็นที่สุดของเครื่องยกกระชับกล้ามเนื้อ ที่ทำงานกับกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ ลึกกว่า และตรงจุดกว่า จึงเป็นการรักษาที่ได้ผลลัพธ์อย่างตรงจุด ทำให้ EMFACE ได้รับความน่าเชื่อถือ รวมทั้งได้รับการรับรองประสิทธิภาพ ความปลอดภัยจาก USFDA หรือ อย. จากประเทศสหรัฐอเมริการวมถึงทั่วโลก

                            EMFACE ยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าทำงานอย่างไร ให้ผลลัพธ์อย่างไร ?

                            EMFACE ยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้า เป็นโปรแกรมที่ให้ผลลัพธ์ในการยกกระชับกล้ามเนื้อบนใบหน้าในระยะยาว โดยการทำงานของตัวเครื่องจะทำงาน โดยการใช้พลังงานในการช่วยกระตุ้นให้เกิดการทำงานต่อชั้นผิวบนใบหน้าได้อย่างครบทุกชั้น ตั้งแต่ชั้นผิวหนัง ไขมัน ไปจนถึงชั้นกล้ามเนื้อ อย่างครบถ้วนจึงทำให้ EMFACE ยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าได้ ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีเครื่องใดในโลกที่สามารถยกกระชับได้ถึงชั้นกล้ามเนื้อได้เลยในปัจจุบัน

                            EMFACE ยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้า ไม่ใช่แค่เพียงกระตุ้นและยกกระชับกล้ามเนื้อบนใบหน้าเพียงอย่างเดียว EMFACE นั้นยังช่วยในการลดริ้วรอยขนาดเล็ก ๆ ร่องน้ำหมาก  ร่องแก้ม รวมทั้งยังช่วยสลายไขมันในได้ในเครื่องเดียว

                            โปรแกรม emface ใช้คลื่นอะไรในการยกกระชับ ?

                            EMFACE ใช้คลื่นอะไรในการยกกระชับ ?

                            EMFACE เป็นเครื่องยกกระชับกล้ามเนื้อ ที่มีความผสมผสานระหว่างสองเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน อันประกอบไปด้วย

                              • เทคโนโลยี HIFES (High Intensity facial electric stimulation)  คลื่นวิทยุความถี่ที่มีลักษณะพิเศษ ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถกระจายพลังงานความร้อนจากตัวคลื่นได้อย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ ทำให้ผิวหนังในบริเวณที่ทำเกิดการหด เกร็ง เป็นจังหวะ 125 cycles จากการหดเกร็งนี่เอง จึงเป็นเหมือนการทำให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าเปรียบเสมือนได้รับการออกกำลังกาย จึงก่อให้เกิดคุณภาพของกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่ดีมากยิ่งขึ้นถึง 30% จากเดิม อีกทั้งเทคโนโลยีนี้ยังสามารถลงลึกถึงใต้ชั้นผิวได้ถึง 20 มิลลิเมตร และยังมีความปลอดภัยมาก เนื่องจากมี AI คอยควบคุมคุณภาพ และวัดระดับความลึกของการปล่อยคลื่นให้อยู่ในระดับที่เหมาะแก่การทำการรักษา  นอกจากนี้คลื่นชนิดนี้ยังช่วยในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างการผลิตคอลลาเจน และอิลาสตินบริเวณใต้ผิวหนัง ในผิวหนังชั้น ไขมันใต้ผิวหนัง และชั้นผิวหนังแท้ จึงทำให้ผิวบริเวณที่ทำ มีความเรียบเนียน กระชับ ไร้ริ้วรอย และรอยเหี่ยวย่น  
                              • เทคโนโลยี Synchronized RF พลังงานคลื่นวิทยุแม่เหล็กที่มีไฟฟ้าแรงสูง ที่ช่วยในการกระตุ้นการยกกระชับ ตั้งแต่ชั้นผิวหนังแท้ ไปจนถึงชั้นกล้ามเนื้อ และจะทำงานร่วมกันกับพลังงาน RF จึงสามารถช่วยในการเผาผลาญไขมันที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังได้ อีกทั้งพลังงานยังสามารถควบคุมพลังงาน RF ดังกล่าวให้ไม่ปล่อยความร้อนลงสู่ชั้นผิว จึงทำให้ไม่เกิดการเบิร์นของผิวและยังช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน รวมถึงอีลาสตินที่อยู่บริเวณใต้ผิว ทั้งยังคงความยืดหยุ่นรวมกับช่วยพยุงผิวหนังไปพร้อม ๆ กันกับการยกกระชับกล้ามเนื้อแบบลงลึกถึง 37%
                            โปรแกรม emface ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

                            EMFACE ยกกระชับกล้ามเนื้อบนใบหน้า ได้รับการวิจัยอย่างแม่นยำแล้วว่าสามารถยกกระชับได้ลงลึกถึงกล้ามเนื้อ และยังสามารถช่วยเพิ่มจำนวนและปริมาณการสร้างคอลลาเจน (Collagen) ใต้ชั้นผิวได้ถึง 27% เพิ่มอิลาสติน (Elastin) บริเวณใต้ชั้นผิวได้สูงสุดถึง 129% EMFACE  ยังช่วยในการเพิ่มความหนาแน่นของกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้สูงสุดถึง 19.2% ช่วยเพิ่มเส้นใยของกล้ามเนื้อใบหน้าได้ 19.2% ช่วยลดริ้วรอยได้สูงสุดถึง 37% ช่วยในการยกกระชับผิวหนังได้สูงสุดถึง 23% ช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อและยกกระชับกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้อีกถึง 30% เลยทีเดียว

                            ไฮไลต์สำคัญของ EMFACE คือการเป็นโปรแกรมที่ช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าได้ถึงบริเวณชั้น SMAS ที่เป็นเนื้อเยื่อติดกับกล้ามเนื้อ มีคุณสมบัติในการยกพยุงโครงสร้างใบหน้า เป็นชั้นที่ศัลยแพทย์ใช้สำหรับการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า

                            รวมทั้ง EMFACE ยังสามารถลงลึกถึงผิวหนังชั้น Muscle หรือชั้นกล้ามเนื้อที่ยังไม่มีเครื่องใดทำได้ จึงทำให้ผลลัพธ์ในการทำ EMFACE ได้ผลที่ดีเกินคาดจากผู้ใช้บริการจริง ไม่เพียงเท่านั้น EMFACE ยังช่วยในการลดความหย่อนคล้อยของบริเวณ Skin layer ทั้งสองชั้นอย่าง ชั้นหนังกำพร้า (epidermis) ชั้นหนังแท้ (dermis) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง Superfacial Fat (Subcutaneous) ได้อีกด้วย

                            EMFACE ยกกระชับได้ในผิวหนังชั้นใดบ้าง? 

                            สามารถแจกแจงได้ดังนี้

                            Skin Layer 

                              • Epidermis
                              • Dermis

                            Superficial 

                              • Fat (Subcutaneous)

                            SMAS

                            Muscle 

                              • Retaining Ligament & Spaces

                            การติดเครื่องมือ Applicator ของ EMFACE จะติดด้วยกัน 3 บริเวณคือ 

                              1. บริเวณแก้มซ้าย
                              2. บริเวณแก้มขวา
                              3. บริเวณหน้าผาก

                            ใหม่ล่าสุด EMFACE ออก Applicator ใหม่ เอาใจคนมีไขมันบนใบหน้าเยอะ มีเหนียง มีแก้มล่างสะสมที่ต้องการจะลดเหนียง ซึ่งในขณะนี้มีเพียงไม่กี่คลินิกในประเทศไทย และรมรวินท์คลินิกมีให้บริการเป็นคลินิกอันดับต้น ๆ ของไทย

                            Emface Submentum

                             EMFACE และ EMFACE Submentum แตกต่างกันอย่างไร ? 

                             EMFACE Submentum แตกต่างกับ EMFACE คือ การที่ออกแบบ Applicator ใหม่ ที่ต่างจากของเดิม เนื่องจาก Applicator ใหม่นี้จะทำงานโดยเน้นสลายไขมันบริเวณใต้คาง เพื่อช่วยในการลดเหนียง ไปพร้อม ๆ กับยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณใต้คาง (Double Chin) ซึ่งจะช่วยในการลดขนาดของเซลล์ไขมันสะสม ที่เป็นส่วนเกินอยู่บริเวณใต้คาง จนกลายเป็นเหนียง หรือคางสองชั้นที่เราเห็นกันนั่นเอง

                            ในกรณีนี้ไม่ใช่เพียงแค่คนเจ้าเนื้อหรืออ้วนเท่านั้น คนผอมก็สามารถมีเหนียง หรือคางสองชั้นได้เช่นกัน โดยการติดเครื่องมือของ EMFACE Submentum เพื่อลดเหนียงจะติด Applicator ในบริเวณที่แตกต่างกับ EMFACE ปกติ เนื่องจากจะเน้นเป็นการลดเหนียงและคางสองชั้นมากกว่า โดยจะติดด้วยกัน 3 บริเวณ คือ

                              1. บริเวณแก้มซ้าย
                              2. บริเวณแก้มขวา
                              3. บริเวณเหนียง ใต้คาง

                            Applicator แต่ละแผ่นของ EMFACE และ EMFACE Submentum ทำงานอย่างไร ? 

                            Applicator ของ EMFACE ติดบริเวณหน้าผาก

                            เพื่อช่วยในการยกกระชับกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณหน้าผาก เหนือคิ้ว หางคิ้ว ยกหางตาตก และยังช่วยลดริ้วรอยบริเวณใบหน้าส่วนบน หรือ (Upper face) ให้มีขนาดเล็กลง จนถึงไม่มีเลย  

                            Applicator ของ EMFACE ติดบริเวณแก้มซ้ายและขวา

                            เพื่อช่วยในการยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าส่วนกลาง และส่วนล่าง ให้ยกขึ้น เช่น ยกแก้มที่หย่อนคล้อย มุมปากที่ตกลง กระเปาะแก้มที่หย่อนและตกลงให้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดริ้วรอย อาทิ ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ร่องลึกต่าง ๆ ให้ตื้นขึ้น และดียิ่งขึ้น เปรียบเสมือนการออกกำลังกายให้กับใบหน้า 

                            Applicator ของ EMFACE Submentum ติดบริเวณเหนียง (Double Chin 

                            เพื่อช่วยลดลดเหนียง และสลายไขมันที่สะสมอยู่บริเวณใต้คาง ทั้งยังช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อในบริเวณใต้คางไปพร้อม ๆ กัน จึงทำให้ผลลัพธ์ที่ได้จะได้ทั้ง ลดเหนียง และยกกระชับในคราวเดียวกันหลังจากทำการรักษา 

                            emface เหมาะกับใคร

                            EMFACE และ EMFACE Submentum เหมาะกับใคร ? 

                            EMFACE EMFACE Submentum สามารถทำได้ตั้งแต่คนไข้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป โดยคนที่มีอายุในช่วง 20 ปี จะเป็นกลุ่มที่ยังไม่ปัญหาเรื่องความหย่อนคล้อยมากนัก แต่อาจจะมีปัญหาเรื่อง Baby Fat

                            หากทำ EMFACE จะช่วยในการยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้า ปรับขนาดใบหน้าให้เล็กลงและยกกระชับมากขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าดูคมชัด ได้สัดส่วนที่สวยงามมากขึ้น และยังช่วยยืดอายุ ป้องกันใบหน้าไม่ให้หย่อนคล้อยก่อนวัย และช่วยชะลออายุผิวได้ด้วยในอนาคต

                            หากทำ EMFACE Submentum จะช่วยลดไขมันบริเวณใบหน้า ทั้งแก้ม ใต้คางหรือลดเหนียง ทำให้ใบหน้าดูโตเป็นสาวมากขึ้น และเห็นรูปหน้าที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

                            EMFACE EMFACE Submentum ในกลุ่มคนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป จะเริ่มมีปัญหาใบหน้า และผิวหน้ามากขึ้นแล้ว การทำ EMFACE เป็นเหมือนการยกความหย่อนคล้อยของใบหน้าอย่างตรงจุด ที่สามารถทำได้ทุก ๆ ปี เมื่อรู้สึกกังวล แต่ได้ผลลัพธ์เทียบเท่าการทำศัลยกรรมดึงหน้า แต่ไม่จำเป็นต้องหย่อนคล้อยมากจึงจะทำได้ เหมือนการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าก็สามารถทำได้

                            หากทำ EMFACE จะช่วยลดความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นจากวัย และปัจจัยอื่น ๆ บนใบหน้า โดยหากทำ EMFACE จะเข้าไปทำการยกกระชับกล้ามเนื้อ ลดริ้วรอยทั้งลึกและตื้น ทั้งนี้ยังช่วยเรื่องความอ่อนเยาว์ และทำให้ใบหน้าดูสดใส เนื่องจาก EMFACE ยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าช่วยยกทั้ง หางตา และมุมปาก อันเป็นส่วนที่เมื่อมีอายุจะเริ่มตกลง จึงทำให้ใบหน้าของคนเราดูเศร้า และดูดุด้วย

                            EMFACE Submentum จะช่วยทำให้ช่วงล่างของใบหน้า และบริเวณกรอบหน้ามีความคมชัดมากขึ้น และยังเป็นการลดยกกระชับในส่วนไขมัน ลดเหนียง คางสองชั้น กระเปาแก้ม ที่ไม่ว่าจะเป็นคนในช่วงอายุเท่าไรก็สามารถมีได้ทุกคนด้วย

                            หากทำ EMFACE จะช่วยแก้ปัญหาอะไรบนใบหน้าได้บ้าง ? 

                              • EMFACE จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณหน้าผาก
                              • EMFACE จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม
                              • EMFACE จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณ Jawline
                              • EMFACE จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณคิ้ว
                              • EMFACE จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณหางตา
                              • EMFACE จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อมุมปาก
                              • EMFACE จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อกรอบหน้า
                              • EMFACE จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อกระเปาะแก้ม
                              • EMFACE ช่วยลดริ้วรอยทั่วทั้งใบหน้า

                            EMFACE Submentum ช่วยแก้ปัญหาอะไรบนใบหน้าได้บ้าง ? 

                              • EMFACE Submentum จะช่วยลดเหนียง (Double Chin) และลดไขมันใต้คาง
                              • EMFACE Submentum จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม
                              • EMFACE Submentum จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อมุมปาก
                              • EMFACE Submentum จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อกระเปาะแก้ม
                              • EMFACE Submentum จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อกรอบหน้า
                              • EMFACE Submentum จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณ Jawline

                            EMFACE และ EMFACE Submentum ต้องเข้ารับการรักษาต่อเนื่องกี่ครั้งจึงจะเห็นผลดีที่สุด ?

                            เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการรักษา EMFACE และ EMFACE Submentum ควรเข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอให้ครบ Protocol ของโปรแกรม คือ 4 ครั้ง และเว้นระยะห่างในการทำแต่ละครั้ง 1 สัปดาห์ หรือ 7 วัน หรือตามวันนัดของแพทย์ เพื่อผลลัพธ์ในการลดเหนียง 

                            EMFACE และ EMFACE Submentum สามารถคงผลลัพธ์ได้นานเท่าไร ? 

                            หลังจากการทำ EMFACE และ EMFACE Submentum ครบ Protocol สามารถคงผลลัพธ์ในการยกกระชับกล้ามเนื้อ ลดเหนียงและไขมันบนใบหน้าได้นานถึง 1 ปี 

                            หลังจากทำ EMFACE และ EMFACE Submentum ครบแล้วควรเข้ามาทำอีกทีเมื่อไหร่ ? 

                            หลังจากเข้ารับการรักษา EMFACE และ EMFACE Submentum แล้ว จะสามารถคงสภาพการยกกระชับกล้ามเนื้อไขมัน และลดเหนียงได้ถึง 1 ปี จึงทำให้ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาบ่อย และสามารถทิ้งช่วงการรักษาได้ถึง 1 ปี ในระหว่างนั้นสามารถทำโปรแกรมยกกระชับอื่น เพื่อเป็นการทำให้ผลลัพธ์ในการรักษาดียิ่งขึ้นได้ 

                            emface นวัตรกรรมออกกำลังกายให้กระชับใบหน้า

                            EMFACE และ EMFACE Submentum ใช้เวลาในการรักษานานเท่าไร? 

                            ในการรับการรักษา EMFACE และ EMFACE Submentum ใช้ระยะเวลาในการทำเพียง 20 นาทีเท่านั้น และไม่ต้องทา หรือฉีดยาชาร่วมในการรักษา  

                            EMFACE และ EMFACE Submentum ใช้เวลานานเท่าไรจึงจะเห็นผลลัพธ์ในการรักษา ? 

                            สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำในครั้งแรก แต่จะเห็นผลลัพธ์ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เข้ารับการรักษาในครั้งที่ 1-3 และจะเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน หลังจากทำการรักษาครบ 4 ครั้ง นอกจากนี้หลังจากทำการรักษาครบ 4 ครั้งแล้ว ประสิทธิภาพของ EMFACE และ EMFACE Submentum ยังจะทำงานกับผิวหน้าต่อ จึงส่งผลให้การรักษาเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

                            ความรู้สึกระหว่างทำโปรแกรม emface และโปรแกรม EMFACE Submentum

                            ความรู้สึกระหว่างทำ EMFACE และ EMFACE Submentum

                              • ระหว่างทำจะรู้สึกตึงบนหน้า
                              • ระหว่างทำจะรู้สึกเหมือนโดนดึงหน้า
                              • ระหว่างทำจะรู้สึกกระตุก ๆ บนใบหน้า
                              • ระหว่างทำจะรู้สึกเหมือนโดนเครื่องบังคับใบหน้าให้ขยับไปตามเครื่อง
                              • ระหว่างทำจะรู้สึกอุ่นในบริเวณที่แปะ Applicator
                              • ระหว่างทำจะรู้สึกกระตุกจากการยกกระชับของกล้ามเนื้อที่อยู่บนใบหน้า
                              • ระหว่างทำจะรู้สึกเหมือนถูกนวด
                              • บริเวณเหนียงจะมีความอุ่นมากกว่าบริเวณใบหน้า เนื่องจากพลังงานของ Applicator มีความร้อนที่สูงกว่า
                            •  
                            emface ยกกระชับใบหน้าทันทีหลังทำ

                            หมายเหตุ*

                            ความรู้สึกตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้น จะเป็นเพียงการส่งกระแสคลื่นพลังงานตามจังหวะ และพัก สลับกันเป็นจังหวะ ไม่ใช่การดูด หรือการช๊อตของไฟฟ้า ผู้ที่มีความกลัว หรือกังวล รวมทั้งกลัวเข็ม สามารถเข้ารับการรักษาได้โดยไร้กังวล

                            emface
                            emface

                            การดูแลตัวเองก่อนเข้ารับการรักษา EMFACE และ EMFACE Submentum  

                              • พักผ่อนให้เพียงพอ
                              • ดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อเตรียมพร้อมผิวให้พร้อมรับการกระตุ้น
                              • ไม่ต้องแต่งหน้าวันที่เข้ารับการรักษา

                            การดูแลตัวเองหลังเข้ารับการรักษา EMFACE และ EMFACE Submentum

                            EMFACE และ EMFACE Submentum เป็นโปรแกรมที่หลังเข้ารับการรักษาจะไม่มีรอยเข็ม ไม่มีรอยช้ำ จึงไม่จำเป็นต้องดูแลเป็นพิเศษ สามารถทาครีมบำรุง และแต่งหน้า รวมทั้งใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ 

                            emface
                            emface

                            อาการหลังเข้ารับการรักษา EMFACE และ EMFACE Submentum  

                            หลังเข้ารับการรักษาในแต่ละครั้ง หากเป็นผู้ที่มีผิวบาง หรือผิวแพ้ง่าย อาจจะเห็นเป็นรอยแดงจากการติดแผ่น Applicator และความอุ่นของเครื่องเพียงเล็กน้อย ในระยะเวลาอันสั้น จึงไม่ต้องกังวล เนื่องจากรอยแดงที่เกิดขึ้นนั้นสามารถหายไปได้เอง และอาจมีอาการเสียวฟันบ้างในผู้เข้ารับการรักษาบางท่าน

                            โดยอาการดังกล่าวไม่เป็นอาการอันตราย

                            emface
                            emface

                            ใครไม่เหมาะกับการเข้ารับการรักษาด้วย EMFACE และ EMFACE Submentum ? 

                              • ผู้ที่มีโลหะใกล้กับบริเวณที่ทำการรักษา หรือบริเวณที่ติดเครื่องมือ
                              • ผู้ที่มีประวัติเคยทำการรักษาโรค ด้วยการใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ
                              • ผู้ที่เคยมี หรือกำลังมีอาการตับหรือไตวาย
                              • ผู้ที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือมีอาการเกี่ยวกับหัวใจ
                              • ผู้ที่ทำเคมีบำบัด
                              • ผู้ที่อยู่ในระหว่างการใช้รังสีรักษา
                              • ผู้ที่มีการเสริมซิลิโคนหน้าผาก เนื่องจากอาจทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของซิลิโคนที่เสริมมา
                              • สตรีที่กำลังตั้งครรภ์

                            ทั้งนี้ในการปรึกษา ก่อนเข้ารับการรักษาควรแจ้งอาการของโรคที่เป็น และอาการต่าง ๆ ในร่างกายให้แพทย์ทราบโดยละเอียด เพื่อให้การประเมินการรักษา เป็นไปอย่างแม่นยำที่สุด  เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และความปลอดภัยในการรักษา

                            emface VS เครื่องยกกระชับที่มาแรง

                            EMFACE และ EMFACE Submentum สามารถทำร่วมกับหัตถการประเภทใดได้บ้าง ? 

                            สามารถจำแนกได้เป็นกลุ่มการรักษา ดังนี้ 

                            หัตถการกลุ่มฉีด

                            สามารถทำ EMFACE และ EMFACE Submentum ร่วมกับหัตถการกลุ่มฉีดได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น สารยับยั้งกล้ามเนื้อ หรือฉีดโบ ,สารเติมเต็ม (ฉีด Filler ไม่ว่าจะเป็นฉีดเพื่อปรับรูปหน้า หรือฉีดฟิลเลอร์งานผิว) สารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator เช่น ฉีด Radiesse ฉีด sculptra) ฉีดงานผิว (เช่น ฉีด Rejuran หรือไหมน้ำชนิดต่าง ๆ) รวมทั้งการสลายไขมันลดเหนียง เป็นต้น

                            หัตถการกลุ่มฉีดดังกล่าว สามารถทำร่วมกับ EMFACE และ EMFACE Submentum ได้เนื่องจากพลังงานของตัวเครื่องจะไม่ส่งผลเสียกับตัวยา และไม่ก่อให้เกิดอันตราย แต่หากทำหัตถการกลุ่มฉีดมาแล้ว ควรเว้นระยะเวลา 2-4 สัปดาห์ ก่อนเข้ารับการรักษาด้วย EMFACE และ EMFACE Submentum เพื่อให้รอยแผลจากการฉีดปิดสนิทเข้าที่ และตัวยาที่ฉีดเข้าไปเข้าที่เข้าทางเป็นอย่างดี

                            หากต้องการเข้ารับการรักษา EMFACE และ EMFACE Submentum และหัตถการประเภทฉีดในการรักษาครั้งเดียวกัน ควรทำ EMFACE และ EMFACE Submentum ก่อนเสมอ เพื่อป้องกันตัวยาเกิดการเคลื่อนที่และกระจายตัว นอกจากนี้คลื่นจาก EMFACE และ EMFACE Submentum อาจเข้าไปทำการสลายตัวยา หรือเข้าไปทำให้ตัวยาออกฤทธิ์ผิดชั้นได้

                            หัตถการกลุ่มเครื่อง

                            สามารถทำ EMFACE และ EMFACE Submentum ร่วมกับหัตถการกลุ่มเครื่องได้ทุกชนิด แต่ต้องเข้ารับการรักษาคนละครั้ง เนื่องจากเครื่องยกกระชับ และลดเหนียงแต่ละเครื่องมีพลังงานการส่งคลื่นคนละชนิด และความลึกในการยิงคลื่นลงชั้นผิวยังมีความแตกต่างกัน หากทำร่วมกับโปรแกรมยกกระชับเครื่องอื่น ๆ จะยิ่งเป็นการทำให้ผลลัพธ์ในการรักษาดียิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นการยกกระชับในทุกชั้นผิวอย่างทั่วถึงนั่นเอง

                            emface VS เครื่องยกกระชับอื่น ต่างกันอย่างไร

                            ทรีทเมนต์ (Treatment) 

                            สามารถทำ EMFACE และ EMFACE Submentum ได้ เนื่องจากเป็นการดูแลปรนนิบัติผิว ไม่มีแผล ไม่มีรอยเข็ม สามารถทำก่อน หรือหลังการทำ EMFACE และ EMFACE Submentum ได้โดยไม่มีอันตราย

                            การทำหัตถการเฉพาะจุด เช่นฉีดสิว

                            สามารถทำได้แต่ควรทำ EMFACE และ EMFACE Submentum ก่อน เนื่องจากป้องกันการเจ็บ อาการช้ำจากรอยเข็มที่ทำการรักษา หรือควรทำคนละรอบการรักษาโดยทิ้งระยะห่างในการรักษา 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้ตัวยาที่ฉีดมาออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ก่อน

                            กลุ่มให้วิตามินบำรุงผิว และฟื้นฟูร่างกาย

                            สามารถทำการรักษาได้ตามปกติ เนื่องจากการรักษากลุ่มนี้เป็นการดูแลผิว และไม่ได้ทำบริเวณใบหน้า ไม่มีคลื่น และรอยเข็มบนใบหน้า จึงไม่ทำให้เกิดอันตรายจากรอยเข็ม อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมผิวทั่วทั้งร่างกาย

                            ทั้งนี้ก่อนเข้ารับการรักษา ควรแจ้งความประสงค์แก่เจ้าหน้าที่ในการเข้ารับการรักษา เพื่อการเรียงลำดับการทำหัตถการในแต่ละครั้งให้ถูกต้อง และเพื่อผลลัพธ์ในการรักษาทุกโปรแกรม ทุกตัวยา และทุกเครื่องอย่างดีที่สุด


                            EMFACE เป็นโปรแกรมยกกระชับกล้ามเนื้อเครื่องแรก และเครื่องเดียวในโลก ที่ตอนนี้มีการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น โดยการเพิ่ม Applicator ที่ใช้ติดบริเวณเหนียง เพื่อลดเหนียงทำให้การรักษาครอบคลุมทั่วทั้งใบหน้า มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากไม่มีเข็ม ไม่เจ็บ ไม่แสบ ไม่ร้อนในระหว่างทำ แต่เป็นเครื่องที่อาศัยความแม่นยำในการติดแผ่น Applicator ของแพทย์เป็นอย่างมาก หากติดผิดพลาด ไม่ถูกทิศทางของกล้ามเนื้อ หรือไม่รู้สรีระบนใบหน้า อาจทำให้การรักษาไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี และอาจทำให้เกิดผลกระทบอื่น ๆ ตามมา


                            รมย์รวินท์คลินิก คลินิกเสริมความงามอันดับต้นๆของประเทศไทย 

                            รมย์รวินท์คลินิก นำทีมโดยแพทย์ที่มากความสามารถและได้รับความน่าเชื่อถือมากมายพร้อมให้การรักษารวมทั้งให้คำปรึกษา ทั้งยังมีประสบการณ์ในการดูแลคนไข้นับ 30 ปี และมีสาขาทั่วทั้งประเทศไทย พร้อมให้คนไข้เข้ารับการรักษา จึงเป็นเครื่องการันตีได้ว่ามีความน่าเชื่อถือ ทุกการรักษาเห็นผลจริง จึงทำให้มีคนไข้เข้ามาเข้ารับการรักษาเป็นจำนวนมาก

                            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                              วันที่สะดวกในการติดต่อ




                              เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                              Ultherapy SPT ยกให้ตึง ดึงให้เป๊ะ ดีไซน์หน้าใหม่ให้กระชับ

                              Ultherapy SPT

                              ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับเกิดขึ้นได้กับทุกคน เพราะเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น คอลลาเจนจะถูกสร้างน้อยลง แต่กลับถูกทำลายเพิ่มมากขึ้น เรียกได้ว่าผลิตไม่ทันใช้ ทำให้เราเริ่มสังเกตเห็นริ้วรอยเล็กๆ และรูขุมขนเริ่มกว้างออกตอนวัยใกล้ 30 เมื่อเข้าสู่ช่วงวัย 40 หากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง นอกจากริ้วรอย ร่องลึกจะเริ่มชัดขึ้น ผิวแลดูหยาบกร้าน ขาดความชุ่มชื้น เส้นใยอิลาสตินที่ยึดโครงสร้างผิวก็จะยืดออก ขาดความยืดหยุ่นหรือสปริงตัว ทำให้หางตาตก หนังตาตก แก้มห้อย มีคางสองชั้นหรือมีเหนียง ผิวโดยรวมหย่อนคล้อย เริ่มเห็นร่องแก้มที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

                              เทคนิคการรักษาแบบใหม่ 10 1

                              ปัจจุบันมีเทคโนโลยีการยกกระชับผิวอย่างหลากหลาย และหนึ่งในเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ครองใจสาวๆ ทั่วโลก คือ การยกกระชับผิวด้วยคลื่นเสียง Ultrasound หรือ Ultherapy  โดยได้พัฒนาคลื่นเสียงตัวนี้ให้มีความจำเพาะเจาะจง (Focused Ultrasound) ให้ตรงเข้าแก้ปัญหาใต้ชั้นผิวที่อยู่ชั้นลึกในระดับชั้นผ่าตัดดึงหน้า (SMAS) เพื่อช่วยทำให้เกิดการหดตัว ยกดึงขึ้น อีกทั้งพลังงาน Ultrasound ที่ถูกเปลี่ยนเป็นความร้อนยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับการเรียงตัวใหม่ของเส้นใยอิลาสติน ทำให้ผิวอิ่มฟู ช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องลึก และทำให้ผิวดูเรียบเนียน กระชับมากขึ้น

                              How to ultherapy

                              Ultherapy

                               

                              Program Ultherapy

                              – ยกคิ้ว หางตา

                              – ดึงหน้าให้กระชับ ร่องแก้มดูตื้นขึ้น

                              – เก็บกรอบหน้า

                              – ลดเหนียงใต้คาง

                              – กระชับลำคอ

                              – ผิวตึง เรียบเนียน ลดริ้วรอย

                              เทคนิคการรักษาแบบใหม่ 3

                              Ultherapy SPT คือ อะไร?

                              เพราะชั้นผิวของเรามีความแตกต่างกัน แผนการรักษาด้วยการยกกระชับ Ultherapy จึงถูกสร้างขึ้นมาเฉพาะสำหรับบุคคลนั้น ๆ (Customized)

                              ลืมคอนเซ็ปท์การรักษาแบบเดิมๆ (Standard) กับการรักษาที่สร้างความจำเพาะสำหรับผิวของคุณเท่านั้น เพราะปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เราแต่ละคนแตกต่างกัน ทั้งอายุ เพศ น้ำหนักและความลึกของชั้นผิวภายใน เป็นต้น การรักษาด้วยการยกกระชับอัลเทอราพีแบบใหม่ นอกจากจะทำให้ผลลัพธ์ของการยกกระชับดีขึ้น ด้วยการมองเห็นภาพของชั้นผิวแบบเรียลไทม์ ทำให้พลังงานคลื่นเสียง (MFU-V: Microfocused ultrasound with visualization) ลงไปใต้ชั้นผิวที่เราต้องการได้อย่างตรงจุด ยังส่งผลให้ความเจ็บในขณะทำลดลง จำนวนการยิงที่น้อยลงแต่กลับส่งผลถึงประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิม

                              ด้วยการรักษา 3 ขั้นตอนของการยกกระชับ Ultherapy SPT
                              1. S (see) คือการมองเห็นชั้นผิวแบบเรียลไทม์ เพื่อให้การวางแผนการยิงที่ความลึกใต้ผิวต่างๆ กัน ได้ผลลัพธ์ไปยังชั้นผิวที่เราต้องการซึ่งเป็นชั้นที่อุดมไปด้วยเส้นใยคอลลาเจนทำให้เกิดความยกกระชับของใบหน้าสูงสุด ไม่สูญเสียช็อตในการลงพลังงานแบบที่ไร้ประโยชน์
                              2. P (plan) แพทย์สามารถวางแผนการยิงที่ระดับความลึกต่างๆ สำหรับบริเวณที่แตกต่างกันทั่วใบหน้าและลำคอ และกำหนดจำนวนการยิงและระดับพลังงานที่จะใช้ในการทำแต่ละบริเวณให้ได้ผลลัพธ์ที่เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
                              3. T (treat) แพทย์ลงมือรักษาตามแผนที่วางไว้ โดยขณะที่ลงพลังงานแต่ละช็อต สามารถเช็คระดับชั้นผิวได้ที่หน้าจอของเครื่องอัลเทอราพีแบบเรียลไทม์ได้ตลอดเวลา

                              จะเห็นได้ว่า การรักษาแบบใหม่มีความจำเพาะต่อบุคคลแต่ละคนมากกว่าเดิม (แบบเดิมจะมีการยิงเป็นแบบแผนที่เหมือนกัน ใช้ความลึกที่เท่ากันในบริเวณเดียวกัน โดยไม่คำนึงถึงความต่างของแต่ละบุคคล) จึงต้องอาศัยแพทย์ที่ผ่านการฝึกฝนและมีประสบการณ์ในการใช้เครื่องมือ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ของการยกกระชับสูงสุด และด้วยหลักการของการกระตุ้นเส้นใยคอลลาเจนใต้ผิว จึงต้องรอผลลัพธ์ที่เริ่มเห็นชัดที่ 2-3 เดือนหลังการทำ และผลของการยกกระชับนี้ สามารถอยู่ได้ยาวนาน 12-18 เดือน ขึ้นกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

                               

                               

                               

                              เทคนิคการรักษาแบบใหม่ 5 1

                              เทคนิคการรักษาแบบใหม่ 4 1

                               

                              ผลหลังการรักษาด้วย Program Ultherapy

                                      เทคนิคการรักษาแบบใหม่ 7 1

                              เทคนิคการรักษาแบบใหม่ 8 1

                              เทคนิคการรักษาแบบใหม่ 9 1

                              11111

                              ครีมหน้าเรียวช่วย “ปรับรูปหน้าเรียว” ได้จริงหรือไม่

                              212

                              มีสาวๆ จำนวนไม่น้อยที่อยากมีรูปหน้าเรียวสวย แต่ก็กลัวการผ่าตัดศัลยกรรมปรับรูปหน้าเรียว ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากเสี่ยง แนะนำให้ฉีดโบ ฟิลเลอร์ ร้อยไหม ก็บอกว่ากลัวเข็มอีก สุดท้ายจึงเลือกที่จะใช้ครีมครีมทาเพื่อปรับรูปหน้าเรียว ว่าแต่ว่า…ครีมหน้าเรียวแบบนี้ จะช่วยปรับรูปหน้าเรียวได้จริงหรือ ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่สงสัยเหมือนกันมาหาคำตอบกันค่ะ

                              ครีมหน้าเรียวช่วยปรับรูปหน้าเรียวแบบไหนได้บ้าง

                              ปัญหาส่วนใหญ่ของสาวอยากหน้าเรียวเป็นเพราะ “กรามใหญ่” หน้าใหญ่ไม่ได้รูปจนอยากปรับรูปหน้าเรียว แม้ไม่ต้องใช้หลักวิชาการอะไรก็สามารถวิเคราะห์ได้ว่า “เป็นไปไม่ได้” ที่หน้าไม่ได้รูปเนื่องจากโครงสร้างกระดูกจะ แก้ไขไม่ได้โดยการทาครีม ปรับรูปหน้าเรียวได้ แต่ที่ยังมีโอกาสเห็นผลอยู่ก็คือคนที่ แก้มเยอะ เหนียงย้อย คือต้องเป็นหน้าที่ไม่ได้รูปเพราะมีกล้ามเนื้อหรือไขมันส่วนเกินเยอะเท่านั้น

                              เหตุผลที่ทำให้ครีมหน้าเรียวช่วยปรับรูปหน้าเรียวได้

                              การออกกำลังกายทำให้รูปร่างที่เผละด้วยไขมันกระชับได้สัดส่วนขึ้นฉันใด การออกกำลังให้ใบหน้าก็ย่อมทำให้รูปหน้ากระชับขึ้นได้ฉันนั้น ครีมหน้าเรียวจึงช่วยปรับรูปหน้าเรียวได้ ด้วยเหตุผลดังนี้

                              1. หน้าใหญ่เพราะการทำงานของเลือดและน้ำเหลืองผิดปกติ เมื่อมีการทาครีมพร้อมกับการนวดกระตุ้นทำให้ระบบโลหิตและน้ำเหลืองทำงานได้ดีขึ้น รูปหน้าจึงปรับเปลี่ยนไปด้วย
                              2. หน้าใหญ่เพราะกล้ามเนื้อและไขมันบนใบหน้ามากเกินไป ลองนึกถึงสภาพคนมีกล้ามเนื้อเป็นลูกๆ ดูนะคะ ถ้าการนวดลดที่ต้นเหตุได้ การใช้ครีมนวดหน้าเสริมเข้าไปก็ช่วยให้ใบหน้าดูเรียวเล็กลงได้เช่นกัน
                              3. ปกติครีมทำหน้าเรียวมักจะต้องให้นวดหน้าควบคู่ไปด้วย แม้แต่การนวดหน้าธรรมดายังช่วยยกกระชับใบหน้า การมีครีมนวดหน้ามาเสริมจึงให้ผลในทิศทางเดียวกัน

                              ครีมนวดหน้าปรับรูปหน้าให้เรียวได้ขนาดไหน

                              ถ้าคิดว่าใช้ครีมนวดหน้าเรียวแล้ว จะมีหน้า V-Shape เหมือนไปฉีดโบมา หรือไปผ่าตัดมา ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าเป็นไปได้ คงไม่มีใครเลือกที่จะเจ็บจากการเข้าคลินิกความงามทั้ง ๆ ที่ทั้งเจ็บ ทั้งเสียเงินมาก และเสียเวลาในการรักษาตัวมากกว่า จึงต้องบอกว่าความคาดหวังว่าใบหน้าจะเรียวจากการนวดหน้ายังคงต้องอยู่ในขอบเขตที่จำกัด

                              แต่คำว่าครีมหน้าเรียวช่วยปรับรูปหน้าเรียวได้นั้น เป็นเพราะอาศัยการนวดกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหรือไขมันเข้าช่วย ทำให้ชั้นผิวหนังมีความกระชับมากขึ้น อย่างไรก็ตามหากอยากนวดแล้วได้ผลต้องอาศัยความต่อเนื่อง สม่ำเสมอ จึงจะทำให้รูปหน้ากระชับขึ้น หากเป็นครีมนวดคุณภาพดี นวดถูกวิธีตามหลักการ และจะสามารถปรับรูปหน้าเรียว V-Shape ได้มีกรณีเดียวคือ รูปหน้าดั้งเดิมเป็น V-Shape อยู่แล้วแต่เปลี่ยนไปเพราะมีกล้ามเนื้อและไขมัน เมื่อนวดไปจึงสามารถกลับไปเหมือนเดิมได้

                              สำหรับท่านใดที่มีปัญหาในการปรับรูปหน้าเรียว แนะนำให้ปรึกษาเพทย์ผู้เชียวชาญดีกว่านะคะ อย่างคลินิกรมย์รวิทท์ของเรา มีโปรแกรมในการปรับรูปหน้าเรียวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำ Thermage, Ulthera, Hifu, ฉีดโบ, ร้อยไหม เป็นต้น ด้วยการคัดสรรเครื่องมือที่ทันสมัย ความรู้ความชำนาญของแพทย์ ประกอบกับประสบการณ์มากกว่า 14 ปีของเรา จึงมั่นใจได้ว่าจะช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับคนไข้ที่มาใช้บริการกับเราอย่างแน่นอนค่ะ

                              ลูกกลิ้งนวดหน้า ช่วยทำ “หน้าเรียว” ได้จริงหรือไม่

                              211

                              ลูกกลิ้งหน้าเรียว เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยมีขายในท้องตลาดมานาน ด้วยคุณสมบัติที่โฆษณาว่า เป็นลูกกลิ้งนวดหน้า ช่วยปรับรูปหน้าเรียวได้ด้วยวิธีง่ายๆ เพียงกลิ้งลูกกลิ้งดังกล่าวไปมาบริเวณใบหน้าเท่านั้น อีกทั้งราคาที่แสนถูก จึงสร้างความสงสัยให้ผู้บริโภคสืบต่อกันมาว่า ลูกกลิ้งนวดหน้าช่วยทำหน้าเรียวได้จริงหรือไม่ คุณเองก็เป็นคนหนึ่งที่สงสัยใช่มั้ยคะ? ถ้าอย่างนั้นมาหาคำตอบไปพร้อมกันเลย

                              สมมุติฐานว่าลูกกลิ้งนวดหน้าน่าจะช่วยทำให้หน้าเรียวได้จริง

                              1. สินค้าชนิดนี้ มีจำหน่ายในต่างประเทศมานานเป็น 10 ปีแล้ว มาตรฐานการควบคุมสินค้าในต่างประเทศอยู่ในระดับเคร่งครัด
                              2. ถ้าไม่มีคุณภาพจริง คงอยู่ในท้องตลาดไม่ได้ จะหายไปตามความไม่ต้องการของตลาด ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงมีแนวโน้มว่าช่วยทำหน้าเรียวได้จริง

                              แนวคิดการทำงานของลูกกลิ้งนวดหน้าเพื่อการปรับรูปหน้าเรียว

                              เมื่อเทียบกับการปรับรูปหน้าเรียวด้วยโปรแกรม Hifu, Ulthera หรือ Thermarge โปรแกรมเหล่านี้จะเป็นการกระตุ้นผิวที่ถูกทำให้เกิด “บาดแผลแบบรูเข็ม” คือเป็นแผลขนาดเล็กมากใต้ผิวหนังชั้นลึก หลังจากนั้นร่างกายจะพยายามสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเพื่อจะซ่อมแซมตัวเอง

                              แต่ในส่วนของ การนวดคลึงบนผิวหนังนั้น หลักการทำงานคือเป็นการกระตุ้นให้มีการไหลเวียนเลือด โดยปกติแม้ใช้กำลังมือกำลังนิ้วเหมือนการนวดแผนไทยทั่วไปก็สามารถกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดได้ แต่ลูกกลิ้งมีการกระตุ้นที่มากกว่ามือ เพราะอุปกรณ์ที่มีความนูนหรือเป็นคลื่นกล้ามเนื้อจึงเหมือนได้ออกกำลังกาย จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิว

                              แต่ถึงอย่างนั้นลูกกลิ้งก็ยังมีประสิทธิภาพในการทำงานได้น้อยกว่าโปรแกรมทำหน้าเรียว เพราะโปรแกรมจากคลินิกที่มาพร้อมกับเครื่องมืออันทันสมัย ประกอบกับความรู้ความชำนาญของแพทย์ จะทำให้กระตุ้นผิวในชั้นที่ลึกกว่า และใช้เวลาน้อยกว่าลูกกลิ้งนวดหน้าหลายเท่า

                              วิธีใช้ลูกกลิ้งนวดปรับรูปหน้าเรียว

                              ก่อนอื่นต้องล้างหน้าให้สะอาดหมดจด สาวๆ อาจจะสครับผิวหน้าก่อนก็ได้เพื่อให้แน่ใจว่าผิวหน้าสะอาดอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นสิ่งสกปรกตกค้างจะถูกผลักเข้าสู่รูขุมขนจนทำให้เกิดสิวได้ จากนั้นทาครีมบำรุงที่ใบหน้าเล็กน้อยเพื่อผลักสารอาหารเข้าสู่ผิวและลดการเสียดสีที่อาจทำให้บาดเจ็บมากเกินไป แล้วกลิ้งลูกกลิ้งไป-มา บริเวณข้างแก้ม กลิ้งขึ้น-ลง ต่อเนื่องครั้งละ 15-30 นาทีต่อครั้ง

                              ทำไมบางคนบอกว่าปรับรูปหน้าเรียวด้วยลูกกลิ้งไม่ได้ผล

                              1. ทำไม่ถูกวิธี และไม่ทำอย่างต่อเนื่องจริงจัง
                              2. ไม่อดทนรอการเปลี่ยนแปลง ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณหนึ่ง
                              3. ตระหนกตกใจกับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น เช่น เมื่อย เจ็บ หรือระคายเคือง

                              ผลข้างเคียงจากการใช้ลูกกลิ้งทำหน้าเรียว

                              1. ใช้ไม่เป็น ขาดคำแนะนำที่ถูกต้อง ใช้น้ำหนักแรงเกินไป บ่อยเกินไป อาจทำให้เกิดแผลอักเสบ จากความระคายเคืองได้
                              2. ติดเชื้อจากบาดแผลที่เกิดขึ้นจากการทำงานของลูกกลิ้ง แต่ดูแลลูกกลิ้งไม่สะอาดพอ จนอาจส่งผลให้สิวขึ้นมากกว่าเดิม
                              3. ใช้ร่วมกับผู้อื่น ทำให้มีการส่งต่อเชื้อโรคผ่านลูกกลิ้ง

                              การใช้ลูกกลิ้งนวดหน้าช่วยทำให้หน้าเรียวได้ระดับหนึ่งก็จริง แต่ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าการทำหน้าเรียวด้วยลูกกลิ้ง เป็นการทำงานกับผิวชั้นนอก อีกทั้งไม่ได้มีเครื่องมือทางการแพทย์อื่นมากระตุ้น ฉะนั้นต้องอาศัยความสม่ำเสมอทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องใช้เวลาหลายเดือนเลยทีเดียว แต่ถ้าหากหลายคนท้ออยากจะได้ผลที่เร็วและชัวร์ แนะนำให้ปอาศัยเครื่องมือที่ทันสมัยจากคลินิก อย่างรมย์รวินท์คลินิกของเราก็มีโปรแกรมปรับรูปหน้ามากมายเอาไว้บริการคุณค่ะ

                              รูปหน้าของคนมีกี่ประเภท รูปหน้าแบบไหนที่เหมาะกับการ “ทำหน้าเรียว”

                              210

                              รูปหน้าโดยธรรมชาติของคนเรานั้นมีหลายแบบ บางคนหน้ารูปไข่ บางคนหน้าเล็ก บางคนก็หน้ากลม และอีกหลายรูปทรงใบหน้าแตกต่างกันไปตามเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ และพันธุกรรม แล้วคุณละคะมีรูปหน้าแบบไหน ตอนนี้พึงพอใจในรูปหน้าของตัวเองแล้วหรือยัง ถ้ายังมาดูกันว่ารูปหน้าแบบคุณเหมาะกับการทำหน้าเรียวตามเทรนด์ในปัจจุบันได้หรือไม่

                              ประเภทของรูปหน้า

                              1. หน้ารูปหัวใจ เป็นรูปทรงหน้าที่ดูสวยและมีเสน่ห์กว่าใคร เริ่มตั้งแต่หน้าผากจะมีความคล้ายรูปวาดหัวใจมีไรผมแหลมลงมาที่กลางหน้าผาก จากหน้าผากลงมาถึงคาง ส่วนกรอบหน้าจะค่อย ๆ เรียวลงมาจนถึงส่วนคางซึ่งจะมีความมนเหมือนปลายรูปหัวใจ
                              2. หน้ารูปสี่เหลี่ยม รูปหน้าแบบนี้มีความกว้างและความยาวพอๆ กัน กรอบหน้าสองข้างค่อนข้างตรงลงมา ปลายคางตัด และมีสันกรามที่ค่อนข้างกว้างจึงทำให้ดูเป็นเหลี่ยม 
                              3. รูปหน้ากลม ลองนึกถึงวงกลมเทียบกับใบหน้า คือมีความกว้างและความยาวของหน้าเกือบเท่ากันทุกองศา ช่วงที่กว้างที่สุดจะเป็นช่วงโหนกแก้ม หน้าผากกับช่วงกรามจะเล็กกว่า ลักษณะช่วงกรามจะมีรูปมนๆ
                              4. หน้ารูปไข่ เป็นอีกหนึ่งรูปทรงใบหน้าที่หลายคนชอบ ด้วยความยาวของใบหน้าจะมากกว่าความกว้าง ส่วนหน้าผากจะกว้างกว่าช่วงกราม ส่วนของกรามและคางจะมนเรียวได้รูป เมื่อดูภาพรวมของใบหน้าก็จะมีความมน ดูสวยแบบมีมิติ
                              5. รูปหน้ายาว มีลักษณะคล้ายกับหน้ารูปไข่เหมือนกันแต่จะมีความยาวมากขึ้นจากส่วนหน้าผากและคาง กรอบหน้าเล็ก เมื่อมองภาพรวมจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าความยาวใบหน้าจะมากกว่าด้านข้าง
                              6. รูปหน้าสามเหลี่ยมหรือตัววี รูปหน้า V-Shape ที่สาว ๆ ไฝ่ฝันและนิยมทำหน้าเรียวกันมาก คือโครงหน้าที่เหมือนสามเหลี่ยมกลับหัวเนื่องจากมีส่วนหน้าผากกว้างและสูง มีเส้นกรอบหน้าแคบเรียวลงมาจนถึงส่วนคาง ในขณะที่ส่วนคางจะแหลมจนเห็นได้ชัดคล้ายเป็นเป็นตัววี
                              7. ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือรูปเพชร นึกภาพสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ใบหน้ารูปแบบนี้จะมีส่วนโหนกแก้มกว้างที่สุด  หน้าผากกับบริเวณสันกรามจะไล่เลี่ยกัน

                              เทคนิคการดูรูปหน้าของตัวเองว่าเป็นแบบไหน

                              สำหรับใครที่อยากรู้ว่ารูปหน้าของตนเป็นอย่างไร สามารถวัดได้ดังนี้

                              1. วัดส่วนกว้างที่สุดของใบหน้าจากซ้ายไปขวา
                              2. วัดความยาวที่สุดของใบหน้า จากบริเวณไรผมตรงหน้าผากลงมาจรดปลายคาง
                              3. วัดจากสันกรามมาถึงคางเป็นอีกส่วนที่ใช้ประกอบการพิจารณาว่ามีรูปหน้าแบบไหน
                              4. อย่างไรก็ตามขนาดใบหน้าของแต่ละคนไม่เท่ากันจึงจำกัดความด้วยตัวเลขได้ยาก ทั้งนี้ให้เทียบสัดส่วนด้านกว้าง ด้านยาวของกรอบหน้า จากนั้นเปรียบเทียบกับคำจำกัดความของรูปหน้าประเภทต่างๆ ก็จะรู้ว่ามีตัวเองมีรูปหน้าแบบไหน

                              รูปหน้าที่ทำหน้าเรียวได้สวยจะต้องมีพื้นฐานรูปหน้ามีความยาวมากกว่าความกว้างและต้องอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม เช่น หน้ารูปไข่ หน้าสามเหลี่ยม หน้าเพชร แต่ทั้งนี้ต้องไม่ยาวจนเกินไป ส่วนรูปหน้าเหลี่ยม หรือหน้ากลมมากเกินไป อาจไม่ค่อยนิยมมากนักในหมู่คนไทย สำหรับใครที่อยากทำหน้าเรียว สามารถทำได้ด้วยการใช้โปรแกรมเสริมความงามเข้าช่วย โดยสอบถามได้ที่ 080-153-9000 หรือเดินทางเข้ามาปรึกษากับรมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขา เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มากด้วยประสบการณ์ที่พร้อมดูแลคุณค่ะ

                              อยากทำหน้าเรียว V-Shape ด้วยเทอร์มาจควรเริ่มต้นอย่างไร

                              209

                              เทคโนโลยีความงามด้านการทำหน้าเรียวมีด้วยกันหลายวิธี หนึ่งในวิธีที่นิยมก็คือ THERMAGE (เทอร์มาจ) ที่หลายคนก็อาจจะลองทำบ้าง แต่สำหรับใครที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ย่อมอยากรู้ถึงขั้นตอนการทำเอาไว้เผื่อประกอบการตัดสินใจในการทำหน้าเรียว บทความนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงขออาสาทุกท่านไปทำความรู้จักกับการปรับรูปหน้าเรียวด้วยการทำเทอร์มาจกันค่ะ

                              เทอร์มาจ (Thermage) คืออะไร  

                              เทอร์มาจ เป็นเทคโนโลยีในการทำหน้าเรียว ทำให้ผิวตึงกระชับด้วยใช้ความถี่ของคลื่นวิทยุแบบขั้วเดียวเข้าไปกระตุ้นผิวตั้งแต่ชั้นหนังแท้ผ่านเข้าไปจนถึงจนถึงผิวหนังชั้นลึก (SMAS) ความร้อนในระดับที่สม่ำเสมอที่ถูกส่งผ่านเข้าไปจะช่วยให้โครงสร้างผิวหนังมีความยืดหยุ่น กระชับตัวดีขึ้น มีการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ที่ส่งผลให้ผิวมีสุขภาพดี นุ่มนวล รูขุมขนเล็กลง

                              สิ่งที่ควรรู้ก่อนทำหน้าเรียวด้วยเทอร์มาจ

                              แน่นอนว่าก่อนที่จะเดินเข้าคลินิกศัลยกรรมความงามไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ใดก็ตาม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเสียก่อน อย่างน้อยก็ต้องทำความเข้าใจให้แตกฉานว่าโปรแกรมที่เราสนใจทำนั้น แท้จริงมีประโยชน์อย่างไร ช่วยแก้ไขปัญหาของเราได้อย่างตรงจุดหรือไม่  เพราะโปรแกรมเสริมความงามก็มีด้วยกันหลายวิธี ซึ่งบางวิธีก็มีความคล้ายคลึงกัน

                              กรณีการทำเทอร์มาจนั้น เป็นโปรแกรมที่ช่วยในการกระชับปรับรูปหน้าเรียว ทำหน้าเรียว เน้นการกระชับ (Tightening) ฉะนั้นจึงเหมาะกับผู้ที่มีไขมันที่หน้าเยอะ ผู้ที่มีใบหน้าอ้วน หน้าไม่กระชับ กรณีผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยร่วมด้วย การทำเทอร์มากอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ ก็อาจจะต้องทำโปรแกรมอื่นร่วมด้วย ความเข้มข้นของการยิง Shot ก็มีความสำคัญ เพราะหากยิง Shot ที่น้อยเกินไป หรือลงไปไม่ถึงผิวหนังชั้นลึก ก็ย่อมทำให้ผิวหน้ากระชับได้ไม่เต็มที่

                              นอกจากนี้ยังมีเรื่องของข้อจำกัด เช่น หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยเป็นมะเร็ง ผู้ที่มีสายสวนหัวใจ มีโลหะในร่างกาย กลุ่มคนนี้ ทำเทอร์มาจไม่ได้ ควรศึกษาข้อดี-ข้อเสียให้ครบ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อทราบปัญหาที่ต้องแก้ไข โดยก่อนเข้ารับการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียว ท่านสามารถ Walk in เข้ามาปรึกษากับที่แพทย์ได้ที่รมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขา เมื่อมั่นใจแล้วค่อยตกลงนัดหมายเวลาไปทำเทอร์มาจอีกครั้งค่ะ

                              ขั้นตอนการทำหน้าเรียวด้วยเทอร์มาจ

                              1. ทายาชาและรอจนกว่ายาชาออกฤทธิ์ ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที
                              2. ออกแบบตำแหน่งที่จะทำเทอร์มาจ โดยทำการลอกตารางเทอร์มาจลงบนใบหน้า
                              3. ใช้อุปกรณ์ทำเทอร์มาจในจุดที่กำหนดไว้ โดยกดเครื่องมือบนใบหน้าให้คลื่นวิทยุส่งผ่านความร้อนเข้าไปในชั้นคอลลาเจนของไขมัน กระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวกระชับ
                              4. ขณะทำเทอร์มาจมีความร้อนจากอุปกรณ์สู่ผิวที่ต้องมีการควบคุมระดับความร้อน จึงต้องอาศัยแพทย์ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเครื่องมือดีเพียงพอ ใช้ให้เหมาะกับผิวจะได้ไม่เกิดผลข้างเคียง
                              5. สุดท้ายจะมีการใช้ความเย็นต่อผิวเพื่อลดการระคายเคือง
                              6. การทำเทอร์มาจจากจุดเริ่มต้นทำถึงเสร็จจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณ Shot ที่ยิง
                              7. เมื่อทำเสร็จ คนไข้สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที ไม่ต้องพักรักษาตัว

                              ผลข้างเคียงหลังจากทำเทอร์มาจ

                              ในส่วนของผลข้างเคียงจากาการทำหน้าเรียวด้วยเทอร์มาจนั้น อาจมีรอยแดงหลังทำบ้างซึ่งเกิดจากระดับความร้อนหรือระยะเวลาที่ทำ แต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะรอยแดงจะหายไปเอง หลังทำเสร็จจะเห็นถึงความแตกต่างราว 20-30% หลังจากนั้นจะมีความชัดเจนขึ้นในช่วง 1 เดือนขึ้นไปเพราะเป็นช่วงที่ชั้นผิวสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินขึ้นมาซ่อมแซมผิวอย่างเต็มที่ ส่วนผลที่สมบูรณ์จะคงสภาพต่อเนื่องได้ถึง 1-2 ปีค่ะ สำหรับงบประมาณการทำหน้าเรียวด้วยเทอร์มาจนั้น จะอยู่ระหว่าง 30,000 – 100,000 บาทขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล รวมถึงกรณีที่ต้องทำร่วมกับโปรแกรมอื่นด้วย

                              และนี่ก็เป็นข้อมูลสำคัญที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจกระชับปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวด้วยเทอร์มาจ เมื่อเข้าใจหลักการเหล่านี้ดีแล้ว ลำดับต่อไปก็สามารถเข้าไปปรึกษาแพทย์ที่คลินิกได้เลยนะคะ หรือจะโทรสอบถามได้ที่สายตรงได้ที่ 080-153-9000 รมย์รวินท์คลินิกยินดีให้บริการค่ะ

                              ทำหน้าเรียวด้วยวิธีการฉีด กับการผ่าตัดศัลยกรรมอะไรดีกว่ากัน

                              208

                              เทรนด์สาวหน้าเรียวรูปทรง V-Shape ยังอยู่ในกระแสไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหน ส่วนใครที่หน้ไม่ได้รูปก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะมีวิธีการทำหน้าเรียวมากมายให้เลือกทำกัน นอกจากวิธีทำศัลยกรรมแล้ว ยังมีวิธีที่เจ็บตัวน้อยกว่า นั่นก็คือ การฉีดฟิลเลอร์ ฉีดโบ ร้อยไหม ฯลฯ ว่าแต่ว่า…หากเปรียบเทียบกันแล้ววิธีการไหนจะดีกว่ากัน ถ้าอยากรู้ ตามมาดูกันเลยค่ะ

                              เปรียบเทียบการทำหน้าเรียวด้วยวิธีการฉีดกับการผ่าตัดศัลยกรรม

                              1.ระดับความเปลี่ยนแปลง ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า การทำหน้าเรียวด้วยการฉีด (ซึ่งอาจจะเป็นการฉีดโบ ฟิลเลอร์ ร้อยไหม ฯลฯ) เปรียบเทียบเหมือนกับการปรับรูปหน้าชั่วคราว ผลจะอยู่ได้ประมาณ 1 ปี คือเมื่อปริมาณของสารที่ฉีดเข้าไปหมดฤทธิ์ลงก็จะต้องทำซ้ำ แต่การผ่าตัดศัลยกรรม (ไม่ว่าจะเป็นการเสริมซิลิโคนไปจนถึงการผ่าตัดกราม) จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างถาวร หรืออย่างน้อยก็อยู่ได้ 10 ปีจึงค่อยแก้ไขใหม่

                              2.ความเจ็บและการรักษาตัว การปรับรูปหน้าเรียวด้วยวิธีฉีดคือการใช้เข็มในการฉีดตัวยาเข้าไปที่ใบหน้า ข้อดีคือเจ็บน้อยกว่า และไม่ต้องรักษาตัวนาน ส่วนการทำศัลยกรรมเป็นหัตถการณ์ที่ใหญ่กว่า บางเคสถึงกับต้องวางยาสลบเข้าช่วย การศัลยกรรมปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวส่วนใหญ่จะทำการเปิดแผลภายในช่องปากเพื่อซ่อนแผลเป็น จึงทำให้กระทบต่อการพูดและการทานอาหารด้วย 

                              3.ระยะเวลารักษาตัว การทำหน้าเรียวด้วยการฉีด ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ทำเสร็จเรียบร้อย และสามารถกลับบ้านได้เลยไม่ต้องพักฟื้น อาจจะมีอาการบวมช้ำบ้างในช่วง 3-7 วันแต่ก็สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ ส่วนการผ่าตัดศัลยกรรมทำหน้าเรียว ส่วนใหญ่แล้วใช้เวลาทำ 30 นาทีขึ้นไปขึ้นอยู่กับประเภทของการผ่าตัด ต้องใช้เวลาพักฟื้นรักษาแผลอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ และต้องให้เวลาร่างกายปรับตัวอีกหลายเดือนกว่าผลลัพธ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร

                              4.ระยะเวลาของผลลัพธ์ การทำหน้าเรียวด้วยการฉีดไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้ 6-12 เดือนโดยประมาณ เนื่องจากการฉีดสารเป็นการทำให้กล้ามเนื้อเปลี่ยนไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น หากใบหน้าเริ่มกลับไปเหมือนเดิมต้องทำการฉีดซ้ำอีก แต่การผ่าตัดศัลยกรรมทำหน้าเรียวมีความเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างถาวร อย่างการเสริมซิลิโคนที่คางก็สามารถอยู่ได้ราว 10 ปีขึ้นไป หรือถ้าเป็นการผ่าตัดกระดูกกรามก็ให้ผลที่ถาวรตลอดไป

                              5.ความเสี่ยงด้านการผิดพลาด ไม่ว่าจะทำหน้าเรียวด้วยวิธีไหนก็ล้วนมีความเสี่ยง เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความเชี่ยวชาญของแพทย์ รวมทั้งการฉีดสารที่ไม่ได้คุณภาพ ยกตัวอย่าง

                              • ถ้าเป็นการฉีดพลาด ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดสลายใน 3-4 วัน หรือรอให้หมดฤทธิ์ตามอายุของสารแล้วค่อยฉีดใหม่ แต่ผลข้างเคียงก็อาจทำให้หน้าเบี้ยวไปสักพักใหญ่
                              • แต่ถ้าผิดพลาดมากฉีดถูกเส้นประสาทสำคัญบนใบหน้าอาจส่งผลถาวร
                              • ส่วนกรณีฉีดกับหมอกระเป๋าราคาถูก ก็เสี่ยงที่จะทำให้เกิดการอักเสบได้
                              • ส่วนศัลยกรรมผิดพลาดก็จะต้องศัลยกรรมแก้ไข ซึ่งจะได้ผลมากน้อยเพียงใดอยู่ที่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นและต้องอาศัยฝีมือของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการแก้ไข

                              6.ค่าใช้จ่าย การฉีดแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่าย 3,000 บาทขึ้นไป แต่ผลลัพธ์อยู่ได้ 6-8 เดือนก็ต้องฉีดใหม่เป็นระยะ ซึ่งจะเป็นอยู่เช่นนี้ตลอดที่ยังต้องการทำ หากเปรียบเทียบระยะยาวอาจมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการศัลยกรรมครั้งเดียว ส่วนการศัลยกรรมมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง แต่เป็นการจ่ายคราวเดียวแล้วจบ โดยอยู่ที่ประมาณ 40,000 – 100,000 บาท ตามแต่ปัญหาที่ต้องการแก้ไข แต่ข้อดีคือผลอยู่ได้ถาวรหรืออย่างน้อยก็ 10 ปีขึ้นไปไม่ต้องทำใหม่อีก

                              การทำหน้าเรียวด้วยวิธีการฉีดกับการผ่าตัดศัลยกรรม ต่างก็มีข้อดี ข้อเสีย และข้อจำกัดที่แตกต่างกัน หากถามว่าวิธีไหนจะดีกว่ากันนั้น ต้องตอบว่าขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เพราะแต่ละคนมีปัญหาโครงสร้างใบหน้าที่แตกต่างกัน สำหรับท่านใดที่สนใจทำหน้าเรียวแต่ยังไม่รู้ว่าควรจะทำด้วยวิธีไหนดี สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขาค่ะ

                              ทำหน้าเรียวด้วยวิธีไหน ให้ผลที่ยาวนานที่สุด

                              ฉีดโบ

                              หลายคนที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด หน้ากลม คางเยอะ หน้าดูอ้วน ไม่เป็น v-shape ตามสมัยนิยม ปัจจุบันนี้มีเทคนิควิธีทำหน้าเรียวมาให้เลือกทำกันมากมาย ซึ่งแต่ละวิธีก็มีจุดดีจุดเด่นแตกต่างกันไป รวมถึงปัญหาของแต่ละคน สภาพร่างกายของแต่ละคน ซึ่งส่งผลต่อรูปแบบวิธีการรักษา แต่วันนี้เราจะมาดูกันว่าวิธีการทำหน้าเรียวแบบไหนที่คงผลการรักษาได้ยาวนานที่สุด

                              1. การผ่าตัด การผ่าตัดทำหน้าเรียวเป็นวิธีที่ผลลัพธ์ที่ยาวนานที่สุด ได้ผลลัพธ์ชัดเจนแน่นอนที่สุด วิธีนี้สามารถแก้ไขใบหน้าได้หลากหลายแบบ ตั้งแต่ โหนกแก้ม กราม และคาง ปัจจุบันวิทยาการแพทย์ล้ำหน้าไปมากสามารถผ่าตัดผ่านด้านในปาก โดยอาศัยเครื่องมือพิเศษในการตัดกระดูกในช่องปาก ข้อดีคือไม่มีรอยแผลเป็นทิ้งไว้ให้เห็นจากภายนอก สิ่งสำคัญคือแพทย์ผู้ทำการรักษาต้องมีประสบการณ์สูง มีความชำนาญเฉพาะทาง เพราะการผ่าตัดเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่เส้นประสาท ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้เข้ารับบริการเป็นอย่างมาก
                              2. Thermage เทคโนโลยียกกระชับผิวด้วยพลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง สามารถส่งพลังเข้าไปยังชั้นผิวหนังทำให้เกิดความร้อนใต้ชั้นผิวบริเวณที่มีคอลลาเจน เมื่อชั้นผิวถูกกระตุ้นจะส่งผลให้มีการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่ ช่วยคืนความยืดหยุ่นและยกกระชับทำให้ผิวดูอิ่มเต็ม การทำหน้าเรียววิธีนี้ที่ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น ทำเสร็จแล้วสามารถกลับบ้านและทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำเสร็จ จะเห็นผลชัดเจนขึ้นภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ และคงผลการรักษายาวนาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและสภาพร่างกายของแต่ละคน
                              3. ร้อยไหม การใช้ไหมเส้นเล็กจำนวนมากหลายร้อยเส้น นำมาเรียงร้อยเชื่อมโยงกันไว้ใต้ผิวหนัง ไหมที่นำมาใช้ได้มาตรฐานเดียวกับไหมละลายที่ใช้เย็บเส้นเลือดหัวใจ จึงมีความปลอดภัยและสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว การร้อยไหมเป็นการทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ กระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนบริเวณรอบเส้นไหม เมื่อมีคอลลาเจนเพิ่มขึ้นผิวบริเวณดังกล่าวก็จะตึงกระชับ ลดความหย่อนคล้อย ช่วยปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวอย่างได้ผล โดยปกติเส้นไหมจะสลายตัวไปภายใน 8 เดือน หลังทำเสร็จจะมีอาการบวมตามแนวรอยไหมบ้าง แต่จะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ ผลลัพธ์จะปรากฏชัดเจนขึ้นภายในเวลา 2 เดือน และให้ผลยาวนาน 1-2 ปี
                              4. Lipo Lifting อีกหนึ่งวิธีปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียว ที่หลายคนให้ความสนใจ เพราะไม่บวมไม่ช้ำไม่แสบเหมือนยาสลายไขมันตัวอื่น โดยใช้เทคนิคการฉีดไหมเข้าสู่ใต้ผิวหนัง เส้นไหมที่ได้ผลิตจากสารสกัดธรรมชาติ จึงไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ พร้อมทั้งเคลือบด้วยสารชนิดพิเศษที่สามารถละลายไขมันใต้ผิวหนังได้ดี การฉีดไหมแต่ละครั้งจะเทียบเท่าการร้อยไหมแบบเรียบ โดยเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาไขมันส่วนเกินบริเวณแก้ม คาง เหนียง หรือบริเวณผิวที่หย่อนยาน เมื่อทำเสร็จจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน ผิวยกกระชับขึ้นทันที มองเห็นกรอบหน้าชัดเจน เป็นการทำหน้าเรียวที่ได้ผลดี โดยไม่ต้องทำศัลยกรรม ไม่ทิ้งอาการบวมแดงช้ำไว้บนใบหน้า ไม่ต้องเสียเวลาพักพื้น หลังทำเสร็จแล้วทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นภายใน 3-4 สัปดาห์ และคงผลการรักษาได้ยาวนานเป็นปี
                              5. ดูดไขมัน การดูดไขมันไม่ได้ใช้กับบริเวณหน้าท้อง สะโพก หรือต้นขาเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เพื่อปรับรูปหน้าเรียวได้ด้วย โดยเฉพาะผู้ที่ไขมันส่วนเกินบริเวณใต้คาง เหนียง สามารถใช้เทคนิควิธีการดูดไขมันได้เช่นเดียวกัน ปัจจุบันเครื่องดูดไขมันได้มีการพัฒนาก้าวล้ำหน้า หลังจากดูดไขมันออกไปแล้วผิวจึงไม่หย่อนคล้อย และมีเพียงรอยแผลเล็กๆ เท่านั้น หลังทำเสร็จจะสังเกตเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลง สำหรับผลการรักษาจะคงอยู่ได้ยาวนานเพียงใดขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของผู้เข้ารับการรักษาแต่ละราย

                              วิธีการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียว มีตั้งแต่การผ่าตัดใหญ่ จนถึงการใช้เครื่องมือพิเศษที่ไม่ทำให้เกิดรอยแผล สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาก็คือเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยของสถานเสริมความงาม และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ใช้รักษา การตัดสินใจจากงบประมาณเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเสมอไป รมย์รวินท์คลินิก ให้ความสำคัญกับความทันสมัยของเครื่องมือเป็นสิ่งแรก มีการคัดสรรเครื่องมือเพื่อให้ตอบโจทย์ปัญหาผิวลูกค้า ด้วยจุดนี้เองจึงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับคนไข้ที่มาใช้บริการรมย์รวินท์คลินิกของเรา

                              ทำหน้าเรียว ด้วยวิธีไหนใช้เวลาพักฟื้นน้อยที่สุด

                              206

                              วิธีการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวมีอยู่มากมายหลายวิธี ตั้งแต่ศัลยกรรมดึงหน้า ผ่าตัดใส่ซิลิโคน ฉีดสารเติมแต่ง หรือใช้เครื่องมือไฮเทคต่างๆ ซึ่งมีข้อดีข้อเด่นแตกต่างกันไป แต่ถ้าหากเลือกได้หลายคนคงจะเลือกวิธีทำหน้าเรียวที่ได้ผลลัพธ์ยอดเยี่ยมและใช้เวลาพักฟื้นน้อยที่สุด วันนี้เรามีวิธีปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวมาแนะนำกัน ลองตามไปดูกันว่ามีวิธีไหนบ้าง

                              1. Hifu เทคนิคการทำหน้าเรียวที่ขึ้นชื่อว่าไม่เจ็บ เห็นผลไว เป็นการใช้คลื่นอัลตราซาวด์เข้มข้นสูง ส่งผ่านพลังงานเข้าไปยังชั้นผิว SMAS ซึ่งเป็นชั้นกล้ามเนื้อเดียวกับที่ทำศัลยกรรมดึงหน้า เมื่อชั้นเนื้อเยื่อได้รับการกระตุ้นจะมีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวยกกระชับ อิ่มเต็ม หลังจากทำเสร็จไม่ต้องพักฟื้น ไม่เกิดอาการบวม ช้ำ แดง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัดเจน มีไขมันส่วนเกินบริเวณใบหน้า ผลการรักษาจะเห็นชัดเจนขึ้นภายใน 4-6 สัปดาห์ และคงผลลัพธ์ต่อเนื่องยาวนานเป็นปี
                              2. Thermage เทคโนโลยียกกระชับผิว ทำหน้าเรียวด้วยการส่งคลื่นความถี่วิทยุ RF ส่งพลังเข้าไปยังชั้นผิวหนังระดับลึก เพื่อกระตุ้นให้เนื้อเยื่อสร้างคอลลาเจนใหม่เพิ่มขึ้น ขณะทำหัตถการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะคอยควบคุมความร้อนสลับเย็นให้คงที่ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์สูงสุด หลังทำเทอมาร์จผู้รับบริการจะรู้สึกได้ทันทีว่าริ้วรอยลดลง ผิวแข็งแรงขึ้น ทำหน้าเรียวเป็น v-shape มากขึ้น และที่สำคัญหลังจากทำเสร็จไม่จำเป็นต้องพักฟื้น สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ทั้งแต่งหน้า ช้อปปิ้ง ออกกำลังกาย แต่ก็อาจจะมีบางรายที่มีผิวแดงเล็กน้อย แต่ก็จะหายไปเองในเวลาอันรวดเร็ว
                              3. Filler ฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มชนิดหนึ่งที่ใช้ฉีดเพื่อลดและแก้ปัญหาริ้วรอยบริเวณต่างๆ บนใบหน้า รวมถึงเติมเต็มจุดที่บกพร่อง เพื่อปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวได้ตามต้องการ โดยสารเติมเต็มดังกล่าวมีให้เลือกหลายประเภท ที่นิยมแพร่หลายก็จะมีการใช้ไขมันตนเอง คอลลาเจนจากสัตว์ หรือไฮยาลูโรนิก-แอซิด ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมกันอย่างมาก หลังฉีดแล้วจะเห็นผลได้ทันที และเห็นผลชัดเจนมากขึ้นเมื่ออาการบวมน้ำหายไป ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ 6 เดือน หรือมากน้อยกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน หลังฉีดแล้วไม่ต้องพักฟื้น สามารถแต่งหน้า หรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ
                              4. ฉีดโบ เทคนิคการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวที่นิยมทำกันมาก คือการฉีดโบ ซึ่งเป็นสารสกัดโปรตีนธรรมชาติจากแบคทีเรีย มีคุณสมบัติช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดเลือนริ้วรอย เติมเต็มร่องลึกบริเวณต่างๆ ช่วยแก้ปัญหาข้อบกพร่องบนใบหน้าได้ดี โดยคุณหมอจะเป็นผู้วินิจฉัยและกำหนดตำแหน่งการฉีดอย่างเหมาะสม ซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญชำนาญเป็นอย่างมาก จึงจะปรับรูปหน้าทำหน้าเรียวได้อย่างสวยงาม หลังฉีดโบอาจจะต้องระมัดระวังอย่าจับหรือนวดบริเวณที่ฉีด โดยบางรายอาจจะมีรอยแดงบ้างเล็กน้อย แต่จะหายไปเองภายใน 1 วัน หลังจากนั้นจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์
                              5. Lipo Lifting เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณแก้ม คาง เหนียง ทำให้หน้าดูกลมดูอ้วน การปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวที่มีปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ง่าย โดยวิธีการฉีดไหมไลโป ซึ่งให้ผลลัพธ์ปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวเทียบเท่าการร้อยไหม แต่ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น ไม่ทิ้งรอยช้ำบวมแดงให้เห็น ตัวยาที่ใช้สกัดมาจากธรรมชาติมีคุณสมบัติช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินใต้ผิวหนัง ตัวเส้นไหมจะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นเนื้อเยื่อ ช่วยให้ผิวยกกระชับ ลดอาการหย่อนคล้อยได้ดี ส่งผลให้ทำหน้าเรียวเล็ก ดูเป็น v-shape ตามสมัยนิยม หลังฉีดไหมไลโปไม่จำเป็นต้องพักฟื้น สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ ทั้งนี้คุณหมอแนะนำว่าให้ดื่มน้ำเพิ่ม เพื่อช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันให้ดีขึ้น

                              เทคนิควิธีการทำหน้าเรียวเหล่านี้ ล้วนมีจุดประสงค์เพื่อปรับรูปหน้าให้เรียวกระชับ มองเห็นกรอบหน้าชัดเจนทั้งสิ้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลการรักษาแตกต่างกันไป คือ อายุ ลักษณะโครงสร้างและสภาพผิวพรรณของผู้รับบริการ ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการวิเคราะห์อย่างละเอียดและแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสม จะทำให้แก้ไขปัญหาผิวได้ตรงจุดมากกว่า สำหรับท่านใดที่ต้องการเข้ามาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สามารถ Walkin เข้ามาได้ที่รมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขา

                              ทำหน้าเรียว ด้วยวิธีไหนเจ็บตัวน้อยที่สุด

                              205

                              ปัจจุบันมีเทคนิคการทำหน้าเรียวอยู่มากหมายหลายวิธี ซึ่งต่างก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีได้ดั่งใจ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมากคือความเจ็บปวดทรมานของการทำสวย ถึงแม้จะอยากให้หน้าเรียวหน้ากระชับมากแค่ไหน แต่ถ้าต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดมากมายก็คงต้องขอบายไปก่อน วันนี้เรามีวิธีปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวที่แม้แต่คนที่มีระดับความอดทนต่อความเจ็บต่ำก็ยังรับได้ แสดงว่าคนทั่วไปก็รับได้แน่นอน

                              HIFU (ไฮฟู)

                              การทำ Hifu เป็นหนึ่งในวิธีปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวที่หลายคนยืนยันคอนเฟิร์มว่าเจ็บตัวน้อยที่สุด เพราะไม่มีการใช้เข็ม ไม่มีการใช้มีดผ่าตัดมาเกี่ยวข้อง มีเพียงเครื่องมืออันทันสมัยที่ส่งคลื่นอัลตราซาวด์เข้มข้น ที่สามารถส่งพลังเข้าสู่ใต้ผิวระดับลึกที่เรียกว่าชั้น SMAS เป็นชั้นกล้ามเนื้อเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ดึงหน้า ด้วยคุณสมสบัติของเครื่องชนิดนี้จึงสามารถใช้การส่งคลื่นที่มีความเข้มข้นสูงเข้าไปกระตุ้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังเพื่อให้เกิดแผลขนาดเล็กมาก

                              จากนั้นร่างกายจะกระตุ้นให้บริเวณดังกล่าวสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ซึ่งส่งผลให้ผิวกระชับอิ่มเต็ม ช่วยปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวเป็น v-shape มองเห็นกรอบหน้าชัดเจนขึ้นมาก ด้วยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทันทีหลังทำ จึงมีผู้นิยมใช้บริการทำไฮฟูกันมากมาย ซึ่งอาจจะทำร่วมกับวิธีการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวแบบอื่นก็ได้ ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ผู้ให้การรักษาและความต้องการของผู้เข้ารับบริการ

                              ฉีดโบ

                              วิธีการสุดคลาสสิคในการทำหน้าเรียว ซึ่งคุณหมอท่านบอกว่าเจ็บน้อยถึงน้อยที่สุด เพราะใช้เข็มที่มีขนาดเล็กจึงทำให้รู้สึกเจ็บน้อย ประกอบกับการฉีดโบเป็นจุดๆ ตามตำแหน่งที่เกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อย ทุกครั้งที่ฉีดเสร็จก็จะมีการนวดคลึงกันเล็กน้อยพอให้ยากระจายตัว หลังฉีดเสร็จครบทุกจุด ผู้รับบริการสามารถเดินออกจากคลินิกได้เลยโดยไม่ต้องพักฟื้น ที่สำคัญเห็นผลการเปลี่ยนแปลงแทบจะทันที สามารถแต่งหน้า ทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ

                              แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของคุณหมอด้วย สำหรับหมอที่มีประสบการณ์มีชั่วโมงบินสูง ก็รับประกันได้ว่ามือเบาและแม่นยำ สำหรับระยะเวลาออกฤทธิ์ของการฉีดโบ การทำหน้าเรียวก็อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล สามารถเข้ามาฉีดซ้ำได้เพื่อให้ผลการรักษาคงอยู่ยาวนาน ซึ่งควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้บริการเอง

                              LIPO LIFTING (การฉีดไหมไลโป)

                              เทคนิควิธีทำหน้าเรียวที่ใช้แนวคิดการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายซ่อมแซมตนเองโดยใช้การฉีดไหมที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ จึงไม่ทิ้งสารเคมีตกค้างไว้ภายในร่างกาย วิธีการฉีดไหมแบบนี้เทียบเท่าได้กับการร้อยไหมเรียบ  ถ้าจะให้เทียบกัน การฉีดไหมหนึ่งมิลลิลิตรเทียบเท่าการร้อยไหมหนึ่งเส้น โดยให้ผลลัพธ์ดีเทียบเท่ากันได้เลย แต่ที่สำคัญคือ หลังจากทำเสร็จเห็นผลยกกระชับ ทำหน้าเรียวได้ทันที ไม่ทำให้บวมช้ำเหมือนการร้อยไหมทั่วไป ฉีดเสร็จแล้วสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้

                              ก่อนการฉีดไหมไม่จำเป็นต้องทายาชา ไม่ต้องประคบเย็น สามารถฉีดเข้าไปได้เลย จึงเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวด้วยวิธีนี้ไม่ทำให้เจ็บตัวแน่นอน หลังฉีดเสร็จจะมีเพียงอาการร้อนบริเวณที่ฉีดประมาณ 1-2 นาที หลังจากนั้นจะรู้สึกเป็นปกติ การฉีดไหมไลโปนั้นจะช่วยทั้งเรื่องการยกกระชับรูปหน้า ลดความหย่อนคล้อยและริ้วรอยต่างๆ รวมถึงการสลายไขมันส่วนเกิน กระตุ้นให้มีการเผาผลาญไขมันและกำจัดออกจากร่างกาย ผลลัพธ์ของการฉีดไหมทำหน้าเรียวจะเห็นผลทันทีและจะเห็นผลชัดเจนมากขึ้นภายในเวลาไม่กี่วัน โดยยังคงผลลัพธ์ไว้ได้ยาวนานเป็นปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพใบหน้าของผู้เข้ารับบริการแต่ละคน

                              ด้วยวิธีการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวที่กล่าวมา ทุกวิธีล้วนมีจุดเด่นสำคัญคือทำแล้วไม่เจ็บ ไม่ช้ำ หรือปวดบวม หลังทำเสร็จเห็นผลได้ทันที จึงเป็นที่นิยมของผู้ที่รักสวยรักงามส่วนใหญ่ แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่จะลืมไปเสียไม่ได้ คือมาตรฐานความปลอดภัยของสถานเสริมความงาม ความน่าเชื่อถือและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ทำการรักษา และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้ ถ้ามีครบองค์ประกอบทุกอย่าง ก็เลือกใช้บริการเสริมความงามได้ด้วยความสบายใจ สำหรับท่านใดที่ต้องการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ มีชั่วโมงบินสูง อย่าลืมเลือกใช้บริการที่รมย์รวินท์คลินิกนะคะ

                              ทำหน้าเรียวด้วยวิธีไหนที่ค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด

                              204

                              ในปัจจุบันเทคนิคการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวมีอยู่มากมายหลายวิธีให้ได้เลือกใช้บริการกัน โดยแต่ละวิธีมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับโครงสร้างรูปหน้า ผิวพรรณและปัญหาของแต่ละคน นอกจากเทคนิควิธีการในการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวแล้วยังมีเรื่องของงบประมาณค่าใช้จ่ายที่ต้องคำนึงถึงด้วย วันนี้เรามีข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับงบประมาณการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

                              การฉีดโบ

                              เริ่มจากวิธียอดฮิตที่หลายคนมักจะนึกถึง คือการทำหน้าเรียวด้วยการฉีดโบ  ซึ่งเป็นโปรตีนสกัดจากแบคทีเรียที่มีความบริสุทธิ์สูง เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัวจึงช่วยลดริ้วรอยลดความหย่อนคล้อยของใบหน้าได้ หลังฉีดจะรู้สึกว่าใบหน้าตึงกระชับทันที แต่จะออกฤทธิ์เห็นผลเต็มที่หลังฉีดประมาณ 2-14 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าของแต่ละคน การทำหน้าเรียวด้วยวิธีนี้ควรเลือกทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะต้องฉีดเข้ากล้ามเนื้อเล็กบนใบหน้าซึ่งต้องใช้ความละเอียดเป็นอย่างมาก สำหรับค่าบริการเริ่มต้นก็อยู่ที่หลักพันถึงหลายพันบาท ขึ้นอยู่กับโปรโมชันของแต่ละคลินิกและจำนวนยูนิตที่ฉีด ซึ่งขึ้นอยู่กับการพิจารณาแพทย์และปัญหาของผู้เข้ารับบริการแต่ละราย

                              การทำไฮฟู่

                              การทำหน้าเรียวด้วยไฮฟู่ (Hifu) เป็นเครื่องมือที่ใช้คลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง ส่งพลังเข้าไปกระตุ้นชั้นกล้ามเนื้อระดับลึก เปรียบได้กับการเย็บดึงกล้ามเนื้อที่มีความละเอียดสูง จึงช่วยกระตุ้นชั้นเนื้อเยื่อให้มีการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวยกกระชับ ลดความหย่อนคล้อย ทำหน้าเรียว ลดริ้วรอยได้ดี ที่สำคัญไม่ต้องเจ็บตัวโดนเข็มจิ้มให้หวาดเสียวกันด้วย โดยปกติหลังจากทำไฮฟู่จะเห็นผลทันทีประมาณ 10-30% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างใบหน้าของแต่ละคน และจะเห็นผลชัดเจนขึ้นภายในเวลา 1 เดือน ค่าบริการเริ่มต้นที่หลักพันถึงหลายพันบาทเช่นกัน ซึ่งมีคลินิกบางแห่งไม่จำกัดจำนวนช็อตในการยิงด้วยซ้ำ เรียกได้ว่ายิงกันทั่วหน้าราคาบุฟเฟ่ต์ไปเลย

                              การทำ LLD Fat

                              สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องไขมันส่วนเกินบริเวณแก้มและเหนียงต้องการปรับทำหน้าเรียว วิธีการทำ LLD Fat หรือ Lipolytic Lymph Drainage เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เหมาะสมเพราะมีคุณสมบัติในการสลายไขมันส่วนเกินอย่างรวดเร็ว ผลิตมาจากสารสกัดจากธรรมชาติ 100% จึงมีความปลอดภัยสูง หลังฉีดเห็นผลทันที 10-20% ระยะเวลาที่เห็นผลชัดที่สุดหลังจากฉีดไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ ที่สำคัญหลังฉีดเสร็จไม่ต้องพักฟื้น สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ สำหรับผู้ที่มีชั้นไขมันมากสามารถกลับมาฟอลโลอัพฉีดซ้ำได้ เพื่อให้เห็นผลชัดเจนช่วยกระชับ ทำหน้าเรียวเป็น v-shape ได้ดั่งใจ ทางด้านราคาก็เพียงแค่หลักพัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณซีซีที่ใช้ฉีดเข้าไป ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร ยังคงเป็นราคาที่สาวๆ เอื้อมถึงได้แน่นอน

                              การร้อยไหม

                              เป็นปกติของผู้ที่มีอายุมากขึ้น การสร้างคอลลาเจนของร่างกายก็ย่อมจะลดน้อยถอยลงไป ส่งผลให้ผิวพรรณหย่อนคล้อยไม่เต่งตึง การร้อยไหมเป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้เพื่อยกกระชับผิว ทำหน้าเรียว โดยใช้วิธีร้อยไหมละลายจำนวนหลายร้อยเส้นเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นให้เนื้อเยื่อใต้ผิวมีการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูอิ่มเต็มกระชับ ช่วยปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวตามสมัยนิยมอีกด้วย ปัจจุบันมีการร้อยไหมหลายแบบ ทั้งไหมเงี่ยงกุหลาบ ไหมก้างปลา ฯลฯ ซึ่งแล้วแต่ว่าคลินิกใดจะนำเสนอไหมในลักษณะไหน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในการยกกระชับใบหน้าได้ ทำหน้าเรียวสวยอย่างที่ต้องการ ด้วยราคาที่ไม่สูงเกินเอื้อมเพียงแค่ไม่กี่พัน ก็สามารถทำหน้าเรียวได้แล้ว

                              ถึงแม้ว่าการทำหน้าเรียวแต่ละวิธีจะมีค่าใช้จ่ายในการทำไม่แพงมากนัก แต่ถ้าหากบริหารจัดการงบประมาณไม่ดี ก็อาจทำให้คอร์สบานปลายได้ สำหรับท่านใดที่กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย สามารถโทรปรึกษากับสายตรงรมย์รวินท์ได้ที่ 080-153-9000 หรือเดินทางเข้าไปปรึกษาแพทย์ผู้เขี่ยวชาญได้ทั้ง 24 สาขา เพื่อประเมินปัญหาผิวที่แท้จริง ก็จะทำให้คุณประเมินค่าใช้จ่ายได้แม่นยำมากขึ้น

                              ทำหน้าเรียว…ด้วยวิธีฉีดโบอย่างไรให้ปลอดภัย

                              203

                              ใครๆ ก็อยากมีใบหน้าแต่งตึงเรียวงามได้รูปกันทั้งนั้น หนึ่งในเทคนิควิธีที่ช่วยทำหน้าเรียว v-shape ได้ดั่งใจ นั่นคือการฉีดการฉีดโบ แต่ก็ยังมีหลายคนที่รู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ที่จะต้องฉีดเอาสารบางอย่างเข้าไปในร่างกาย สำหรับคนที่ไม่เคยปรับรูปหน้าเรียวด้วยการฉีดโบมาก่อนไม่ต้องกังวลใจไป วันนี้เรามีคำแนะนำดีๆเกี่ยวกับการทำหน้าเรียวมาแนะนำกัน รับประกันว่าทั้งสวยและปลอดภัยแน่นอน

                              มาทำความรู้จักการฉีดโบกันก่อน

                              การฉีดโบ เป็นโปรตีนสกัดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งซึ่งนิยมใช้ในวงการความสวยความงามมายาวนาน เมื่อใช้ในปริมาณพอเหมาะจะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ช่วยลดริ้วรอยและยกกระชับผิวช่วยปรับรูปหน้าเรียวได้ดี การทำงานของการฉีดโบเมื่อฉีดเข้าสู่บริเวณที่ต้องการแล้ว จะเข้าไปจับที่ปลายประสาท ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวคลายตัว ส่งผลให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้นและจางลง ทำหน้าเรียว โดยระยะเวลาเห็นผลจะขึ้นอยู่กับลักษณะความหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าว ซึ่งต้องอาศัยเวลาตั้งแต่ 2-14 วัน แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล

                              ทำหน้าเรียวด้วยวิธีการฉีดโบอย่างไรจึงปลอดภัย

                              การฉีดโบจัดได้ว่าเป็นยาที่มีการขึ้นทะเบียนเพื่อการรักษาริ้วรอย ทำหน้าเรียว ผ่านการรับรองจาก อย. ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ปัจจุบันทั่วโลกมีการใช้โการฉีดโบเพื่อทำหน้าเรียวอย่างแพร่หลายมานานแล้ว จึงมั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัย เพียงแต่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน สามารถสืบย้อนกลับที่มาของยาได้ แบรนด์ที่นิยมใช้ในประเทศไทยมีทั้งของสหรัฐอเมริกาและของเกาหลี ซึ่งเป็นการฉีดโบบริสุทธิ์ที่มีความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์สามารถนำมาใช้ปรับรูปหน้าเรียวได้ดี

                              นอกจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองแล้ว สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือแพทย์ผู้ฉีดการฉีดโบต้องเป็นแพทย์ที่ได้รับอนุญาตจากแพทยสภา ศึกษามาทางด้านความงามโดยเฉพาะ พร้อมทั้งการพิจารณาถึงประสบการณ์การรักษาที่ผ่านมา ยิ่งผ่านเคสการรักษามาเยอะ ยิ่งมีความเชี่ยวชาญชำนาญ สามารถให้คำแนะนำและแก้ปัญหาให้กับผู้เข้ามารับบริการโดยเฉพาะผู้ที่ต้องการทำหน้าเรียวได้อย่างตรงจุด

                              เหนือสิ่งอื่นใดการเลือกใช้บริการจากสถาบันความงามที่ผ่านมาตรฐานการรับรองจะช่วยให้ผู้เข้ารับบริการได้รับความปลอดภัยสูงสุด อย่างรมย์รวินท์คลินิกของเรา ด้วยประสบการณ์อันยาวนานกว่า 15 ปี 24 สาขา เราจึงมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมที่จะให้บริการทุกท่านอย่างทั่วถึง และสามารถขอคำปรึกษาได้ตลอดเวลาหลังจากใช้บริการไปแล้วก็ยังสามารถติดตามผลได้

                              ข้อควรระวัง

                              การที่อยากจะปรับรูปหน้าเรียว ทำหน้าเรียว ด้วยการฉีดโบโดยพิจารณาจากราคาถูกเข้าว่า อย่างที่หลายคนรู้จักกันในนามของหมอกระเป๋า ที่ให้บริการฉีดโบกันถึงบ้าน หมอประเภทนี้ถ้าหากตรวจสอบกันจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะมีใบประกอบโรคศิลป์หรือเปล่าด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นก็คือหมอเถื่อน คงไม่ต้องอธิบายกันต่อว่าอันตรายขนาดไหน ทั้งนี้ตามปกติแพทย์จะไม่นิยมให้บริการนอกสถานที่ เพราะถึงแม้จะเป็นเรื่องการเสริมความงามแต่ก็ต้องอาศัยเครื่องไม้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่สะอาดปลอดภัย อยู่ในห้องที่ควบคุมความสะอาดผ่านการฆ่าเชื้ออย่างดี การใช้แสง การใช้ยา และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งจะเป็นการดีกว่าที่ผู้รับบริการจะเข้าใช้บริการที่คลิกนิก

                              ที่สำคัญคือความเสี่ยงจากการได้รับการฉีดโบปลอม ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก การฉีดโบปลอมทำให้ปากเบี้ยว หนังตาตก ยิ่งไปกว่านั้นถ้าฉีดมากเกินไปยากระจายออกฤทธิ์วงกว้างไปทั่วเกินการควบคุม ทำให้กล้ามเนื้อส่วนอื่นเป็นอัมพาตไปด้วย อาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ และอีกหนึ่งสิ่งที่อาจจะถูกมองข้ามจากการใช้การฉีดโบปลอมก็คืออาการดื้อยา ซึ่งถ้าหากดื้อยาเสียแล้วจากนี้ต่อไปก็จะดื้อยาทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นการฉีดโบจริงหรือปลอมก็ตาม

                              จริงอยู่ที่การเสริมความงามเป็นการเสริมสร้างบุคลิกภาพเพื่อให้เกิดความมั่นใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของชีวิต ก่อนเข้ารับบริการเสริมความงามครั้งใดก็ตาม ขอให้สละเวลาตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานของสถานเสริมความงาม ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ รวมถึงใบอนุญาตของแพทย์ที่ทำการรักษา หรือสามารถโทรสอบถามการให้บริการของเราได้ที่ 080-153-9000 รมย์รวินท์คลินิกยินดีให้บริการค่ะ

                              รู้ไว้ใช่ว่า ปรับรูปหน้าเรียว Thermage, Ulthera และ Hifu เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

                              202

                              หน้าไม่กระชับ ผิวหนังหย่อนคล้อย เป็นหนึ่งในปัญหาหลักของผู้หญิงที่พบเห็นกันได้อยู่เสมอ แน่นอนว่าปัจจัยสำคัญคือเรื่องของอายุซึ่งเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าเราจะต้องยอมจำนนต่อธรรมชาติเสมอไป โชคดีที่สมัยนี้มีเทคโนโลยีในการทำหน้าเรียวมากมายที่ทำให้เราสวยได้เพียงเจ็บตัวนิดเดียวเท่านั้น สำหรับบทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับ 3โปรแกรมยกกระชับปรับรูปหน้าเรียวที่ฮิตที่สุดในเวลานี้ค่ะ

                              3 โปรแกรมยอดฮิต ยกกระชับผิวหน้า ปรับรูปหน้าเรียว

                              1. Thermage เทอร์มาจ เป็นการใช้ความถี่ของคลื่นวิทยุส่งพลังงานความร้อนผ่านชั้นผิวด้านบนสุดเข้าไปทำงานในผิวชั้นล่าง หลักการคือคลื่นเสียงนี้จะทำให้โครงสร้างใต้ผิวหนังเกิดการสั่นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวกระชับตัวดีขึ้น ปรับรูปหน้าเรียวได้
                              2. Ulthera อัลเทาร่า เป็นการทำงานโดยคลื่นอัลตร้าซาวด์ ส่งผ่านพลังงานแบบไปที่ชั้นผิวหนังชั้น smas ซึ่งเป็นผิวหนังชั้นลึก จึงทำให้เกิดการหดตัว Ulthera เป็นนวัตกรรมที่สามารถทำงานกับชั้นผิวที่ลึกที่สุดเลยก็ว่าได้
                              3. Hifu ส่วนไฮฟูนั้นใช้หลักการเดียวกันกับอัลเทร่า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับรูปหน้าเรียวเหมือนกัน เพียงแต่ความเข้มข้นของการส่งผ่านคลื่นจะน้อยกว่า แต่ข้อดีคือเจ็บน้อยที่สุด เหมาะสำหรับคนที่กลัวความเจ็บ

                              Thermage ต่างกับ Ulthera และ Hifu อย่างไร

                              เป็นอะไรที่ทำให้หลายคนสับสนพอสมควรระหว่างตัวช่วยในการยกกระชับทั้ง 3 ตัว กับ เทอร์มาจ อัลเทาร่า และ ไฮฟู ก่อนอื่นเลยขอแบ่งตามประเภทของคลื่นก่อน โดย “เทอร์มาจ เป็นการใช้ความถี่ของคลื่นวิทยุ”[  ส่วน “อัลทาร่า และ ไฮฟู ใช้คลื่นประเภทเดียวกันคือคลื่นอัลตราซาวด์”

                              จุดเด่นของโปรแกรมแต่ละประเภทก็แตกต่างกัน ในความเข้าใจของคนไทยมักจะเรียกโปรแกรม 3 อย่างนี้ว่าการ”ยกกระชับปรับรูปหน้า” แต่ความหมายในเชิงลึก “อัลทาร่าและไฮฟูจะเน้นไปที่…การยก” (ส่งคลื่นลงไปใต้ชั้นผิวหนังเพื่อทำให้ไขมันและกล้ามเนื้อที่ห้อยย้อย ยกกลับมายังจุดเดิม) ส่วน “เทอร์มาจจะเน้นที่…การกระชับ” (คลื่นเสียงจะทำให้ไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังเกิดการสั่นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการเกาะกลุ่มกันแน่นขึ้น กระชับขึ้น ทำให้ชั้นไขมันที่หนา ดูบางลง ปรับรูปหน้าเรียวได้)

                               ส่วนอัลทาร่ากับไฮฟู หลายคนอาจสงสัยว่าต่างกันอย่างไร อัลทาร่าจะเป็นการส่งผ่านคลื่นลงไปในชั้นผิวที่ได้ลึกกว่า ซึ่งก็คือชั้น SMAS การทำงานในระดับที่ลึกกว่าทำให้ผลที่ได้อยู่นานกว่า แต่ก็เจ็บกว่า และค่าใช้จ่ายมากกว่าไฮฟู ส่วนไฮฟูข้อดีตรงกันข้ามกับอัลเทอร่า คือเจ็บน้อยกว่า แต่ก็ผลลัพธ์อยู่ได้น้อยกว่า ถ้าหากจะทำให้ได้ผลดีอย่างต่อเนื่องควรทำไฮฟูซ้ำปีละ 2-3 ครั้ง ต่างกับอัลเทร่าที่อยู่ได้นานถึง 1 ปี

                              ทำไมถึงปรับรูปหน้าเรียวแล้วไม่ได้ผล

                              หลายคนสงสัยว่าทำไมเข้าคอร์สยกกระชับปรับรูปหน้าเรียวแล้วไม่ได้ผล ต้องยอมรับว่าตัวแปรหนึ่งที่สำคัญคือ “ปริมาณของ Shot ที่ยิงนั้นน้อยเกินไป” หลายคนเข้าใจว่าขอแค่ได้ยิงผลลัพธ์ก็น่าจะไม่ต่างกัน ความจริงแล้วความเข้มข้นและความลึกของการส่งพลังงานคลื่นนั้นมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยเยอะเป็นพิเศษ หรือผู้ที่มีไขมันเยอะเป็นพิเศษ การยิง Shot ที่น้อยก็ไม่ต่างจากการทาครีมกันแดดบาง ๆ แล้วคาดหวังจะกันแดดได้นานหลายชั่วโมง ส่วนความลึกในการส่งคลื่นลงสู่ชั้นผิวก็เปรียบเหมือนกับค่า SPF ที่ยิ่งน้อยก็ย่อมป้องกันแดดได้น้อยกว่า แต่เหตุผลที่ปรับค่าของเครื่องให้ส่งน้อยลงนั้นเป็นเพราะหลายคนกลัวเจ็บนั่นเอง

                              จะเห็นได้ว่าโปรแกรมยกกระชับปรับรูปหน้าเรียวทั้ง 3 นี้ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง การเลือกจำนวน shot เยอะย่อมนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายที่สูง ส่วนการส่งคลื่นลงไปในระดับผิวที่ลึกย่อมทำให้รู้สึกเจ็บ ฉะนั้นวิธีการแก้ไขที่ดีที่สุดคือการทำทั้ง 3 โปรแกรมรวมกัน หรือเลือกทำสองอย่างควบคู่กัน แต่ทั้งนี้แต่ละคนควรจะ mixed and match แบบไหนดี ควรจะปรึกษาแพทย์เป็นรายบุคคลค่ะ สำหรับท่านใดที่อยากปรึกษาการยกกระชับปรับรูปหน้าเรียวด้วย 3 โปรแกรมนี้ สามารถสอบถามได้ฟรี ที่รมย์นวินท์คลินิกทุกสาขาค่ะ

                              รู้ไว้ใช่ว่า หลักการ “ปรับรูปหน้าเรียว”ด้วย HIFU สิ่งที่สาวๆควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ

                              201

                              Hifu นวัตกรรมความงามที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการปรับรูปหน้าเรียว ทำงานโดยใช้คลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ยิงเข้าไปใต้ชั้นผิว จุดเด่นของมันคือการยิงคลื่นโดยทำให้เกิดแผล เป็น shot เล็กๆ จากภายในโดยที่ผิวหน้าด้านนอกไม่มีเลือดออกเลย จากนั้นร่างกายจะสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเอง เป็นการปรับรูปหน้าเรียวโดยที่ไม่ต้องเติมสารใดเข้าสู่ร่างกาย จึงทำให้หลายคนมั่นใจว่าจะไม่เกิดความเสี่ยงต่อการแพ้ค่ะ ว่าแต่ Hifu จะได้ผลหรือไม่ จะมีข้อเสียอย่างไรถ้าอยากรู้ตามมาดูกันค่ะ

                              ผู้ใดที่เหมาะสำหรับการทำ Hifu

                              Hifu ขึ้นชื่อในเรื่องของการปรับรูปหน้าเรียว เพิ่มความกระชับ ลดความหย่อนคล้อย เก็บกรอบหน้า ทำให้หน้าได้รูปสวยคมขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีไขมันเยอะบริเวณเหนียง คาง จะเหมาะสำหรับการทำ Hifu เป็นอย่างมาก โดยการทำ Hifu จะตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแต่อยู่ในระดับที่เพิ่งเริ่มหรือผิวหย่อนคล้อยไม่มาก เพราะมีระดับความแรงและราคาที่เหมาะสม แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยมากๆ อาจจะต้องทำร่วมกับโปรแกรมดูแลผิวหน้าชนิดอื่น หรือเพิ่มความแรงขึ้นเป็นการยิง Shot ด้วยโปรแกรมที่เรียกว่า Ulthera แทน

                              การทำ Hifu เจ็บหรือไม่

                              การทำ Hifu ถ้าบอกว่าไม่เจ็บเลยก็คงจะเป็นเรื่องที่โกหก เพราะการยิง Shot ผ่านผิวหนังลงไปนั้นมันจะเกิดความรู้สึกหน่วง ๆ บ้าง หรือในจุดที่ยิงผ่านส่วนโครงหน้าที่เป็นกระดูก ก็จะทำให้ใบหน้าของเราเกิดความหน่วงมากขึ้น หรือเจ็บแบบแปล๊บๆ (เป็นระดับที่ทนได้) แต่นั่นคือสัญญาณที่ดี เพราะมันสะท้อนให้เห็นว่าประสิทธิภาพของเครื่องถือว่าใช้ได้ ปรับระดับพลังงานที่พอดีไม่ต่ำเกินไป เพราะถ้าไม่เจ็บเลยนั่นแปลว่ายิง Shot ลงไปได้ไม่ลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งแน่นอนว่าการปรับรูปหน้าเรียวอาจจะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร 

                              การทำ Hifu อยู่ได้นานแค่ไหน

                              การทำ Hifu แต่ละครั้งจะเห็นผลหลังทำเสร็จเพียง 20-30% (สำหรับท่านใดที่ทำเสร็จแล้วไม่รู้สึกต่าง อย่าเพิ่งตกใจนะคะ ให้สังเกตที่ร่องลึก หรือกรอบหน้าก็จะพอเห็นการปรับรูปหน้าเรียวได้บ้าง) แต่ช่วง 1 เดือนหลังจากนั้นร่างกายจะค่อยๆ สร้างคอลลาเจนขึ้นมาจึงทำให้เห็นผลชัดขึ้นในช่วง 1 เดือน ผลของการทำ Hifu โดยเฉลี่ยจะอยู่ได้นานราว 5-6 เดือน หมายความว่า ใน1ปีถ้าทำ 2-3 ครั้งกำลังดี หรือถ้าหากต้องการยิงซ้ำก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยให้เว้นช่วงจากการทำครั้งแรกประมาณ 3 เดือน จากนั้นก็สามารถยิงซ้ำได้ค่ะ

                              เลือกทำ Hifu ที่เรทราคาเท่าไหร่ดี

                              สำหรับใครที่สนใจการปรับรูปหน้าเรียวด้วย Hifu อาจจะพบว่ามีราคาที่แตกต่างกันมากอย่างน่าตกใจ ตั้งแต่หลัก(หลาย)หมื่นบาทไปจนถึงไม่กี่พันบาทเท่านั้น คงจะเป็นเรื่องยากที่จะฟังธงอะไรดีหรือไม่ดี แต่ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดราคาคือยี่ห้อของเครื่องและ หัวยิง Shot เพราะหัวยิงแต่ละหัวมีประสิทธิภาพในการยิงหน้าตื้นต่างกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วหัวยิงที่คุณภาพดี ยิงได้ลึก พลังงานคงที่ จะมีราคาสูงจึงทำให้ต้นทุนสูง และค่าใช้จ่ายแพงกว่า แต่ก็ตามมาด้วยผลลัพธ์ที่ดีกว่า ฉะนั้นก่อนเลือกคอร์สยิง Hifu จากที่ใด ควรสอบถามด้วยว่าที่คลินิกใช้เครื่องรุ่นใดแล้วไปศึกษาคุณภาพของเครื่องเพิ่มเติม ก็จะช่วยคุณตัดสินใจเลือกคอร์สยิง Hifu ได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น 

                              สำหรับท่านใดที่สนใจการปรับรูปหน้าเรียว หรืออยากเก็บโครงหน้าให้ชัดเจนขึ้น โดยที่อาจมีปัญหารูปหน้าไม่มากนัก และมีงบปานกลาง Hifu เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณที่สุดแล้วล่ะค่ะ ในส่วนของจำนวน Shot ที่กำลังกังวลว่าควรทำจำนวนเท่าไหร่และบริเวณไหนดี สามารถปรึกษาฟรีได้ที่ โทร 080-153-9000   หรือ Walk in ได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขาค่ะ

                              รู้ไว้ใช่ว่าหลักการ “ปรับรูปหน้าเรียว” ด้วยวิธีร้อยไหม สิ่งที่สาวๆควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ

                              200

                              เมื่อใบหน้าเริ่มหย่อนคล้อยไปตามกาลเวลา หลายคนก็ต้องเริ่มหาตัวช่วยที่จะทำให้หน้ายังคงความสวยใสเหมือนวัยรุ่นดังเดิม “การร้อยไหม” เป็นวิธีปรับรูปหน้าเรียวอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมเสมอมา หลักการคือ ร้อยเส้นไหมชนิดพิเศษเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง จากนั้นร่างกายก็จะทำหน้าที่สร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ส่งผลให้ผิวเราสวยใสเต่งตึงตามที่ต้องการ

                              ไหมมีกี่ประเภท

                              สมัยก่อนไหมที่นิยมในการนำมาร้อยปรับรูปหน้านั้นทำมาจากวัสดุที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโลหะหนัก (ทองคำ) หรือพลาสติก(พอลิโพไพรลีน) ที่ทนความร้อนสูงและไม่ละลายง่าย แต่ในระยะยาวกลับปรากฏว่าไหมที่ไม่ละลายอาจนำมาซึ่งผลเสียที่เยอะกว่าเช่นเส้นไหมทะลุเพราะชั้นผิวหนังและชั้นไขมันใต้ผิวหนังของเราบางลง

                              ปัจจุบันนี้ จึงนิยมการใช้ “ไหมละลาย” ซึ่งเป็นไหมสังเคราะห์ชนิดพิเศษที่ทำขึ้นมาเพื่อใช้ในวงการความงาม การปรับรูปหน้าเรียวโดยเฉพาะ มีทั้งไหม PDO (Polydioxanone) และไหม PGA (Synthetic Absorbable Monofilament) มีคุณสมบัติพิเศษหลายอย่าง ได้แก่ ไม่ทำปฏิกิริยาที่ระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อ, ช่วยลดอาการอักเสบและติดเชื้อ, เมื่อไหมหมดอายุการใช้งาน (6-8 เดือน) มันจะสามารถสลายหายไปได้เอง, และยังถูกออกแบบมาหลากหลายรูปแบบเพื่อคุณสมบัติที่เฉพาะเจาะจงขึ้น

                              • ไหมสปริง (Spring Lifting) หรือบางคนเรียกว่าไหมเกลียว คุณลักษณะจะมีซิลิโคนกลมพันอยู่รอบเส้นไหม เพื่อเกี่ยวและยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ปรับรูปหน้าเรียวได้มากขึ้น
                              • ไหมก้างปลา (Barb) เป็นไหมที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบันนี้ โดยเป็นไหมที่ถูกบากให้เป็นเงี่ยงออกมา เมื่อทำการร้อยเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังเงี่ยงก้างปลาก็จะเกี่ยวพันเนื้อเยื่อให้ยกขึ้นและดึงให้ตึงขึ้น
                              • ไหม Molding PDO เป็นไหมอีกประเภทที่ได้รับความนิยมพอๆกับไหมก้างปลา คุณสมบัติเด่นคือเป็นไหมที่หล่อขึ้นมาทั้งเส้น จุดบากมีความแข็งแรง สามารถเกี่ยวพันเนื้อเยื่อได้ดีกว่า ปรับรูปหน้าเรียวเห็นผลนานกว่า 
                              • ไหมกรวย (Silhouette soft) ไหมกรวยตัวเส้นไหมจะมัดเป็นปม และจะมีพลาสติกทรงกรวยอยู่ระหว่างปมของเส้นไหม มีหน้าที่ในการช่วยยกกระชับและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

                              ผู้ที่เหมาะและไม่เหมาะสำหรับการทำร้อยไหม

                              การร้อยไหมเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด โดยทั่วไปเป็นช่วงอายุประมาณ 35 – 55 ปี ซึ่งจะเห็นผลได้ชัดเจนมากกว่า เป็นวิธีการปรับรูปหน้าเรียวที่รวดเร็ว ร้อยไหมปุ๊บเริ่มเห็นผลทันทีและจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่ร่างกายสร้างคอลลาเจนอย่างเต็มที่ อีกทั้งผลลัพธ์นี้สามารถอยู่ได้นานราว 6 เดือนถึง 1 ปีเลยทีเดียว

                              หลายคนบอกว่าการร้อยไหมสามารถทำได้ทุกคน เพราะเป็นกระบวนการยกกระชับ ปรับรูปหน้าเรียว ช่วยลดเลือนริ้วรอยซึ่งประโยชน์ของมันนั้นไม่ผิดเลย แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่มีอายุยังน้อย ที่ยังไม่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมากนัก ก็อาจจะยังไม่จำเป็นต้องร้อยไหมก็ได้  เพราะสามารถปรับรูปหน้าเรียวได้ด้วยวิธีอื่นอีกหลายวิธี

                              ร้อยไหมอยู่ได้นานแค่ไหน ทำได้อีกครั้งเมื่อไหร่

                              สำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าเรียวอย่างเห็นได้ชัด สามารถกลับมาร้อยไหมซ้ำหลังจากทำครั้งแรกไปแล้วอย่างน้อย 3 เดือน หลังจากการร้อยไหมเสร็จสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ทันทีไม่ต้องพักฟื้น แต่สิ่งที่ต้องระวังคือในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังการร้อยไหม ควรเลี่ยงการอ้าปากกว้าง หัวเราะดัง ๆ ตะโกนดัง ๆ หรือแสดงอารมณ์ทางสีหน้ามากเกินไปเพื่อป้องกันไหมฉีกขาดและอักเสบ

                              ส่วนผลข้างเคียง นอกจากการบวมเขียวช้ำที่เกิดได้ตามปกติแล้ว อาจเกิดการติดเชื้อ เกิดรอยบุ๋ม หน้าไม่เรียบได้ ฉะนั้นควรที่จะทำภายใต้คลินิกที่สะอาด ปลอดภัย และได้มาตรฐาน เพราะแพทย์ที่เชี่ยวชาญจะเข้าใจดีว่าควรร้อยไหมเข้าไปในระดับความลึกแค่ไหนจึงจะเหมาะสม

                              สำหรับผู้ที่ต้องการร้อยไหมปรับรูปหน้าเรียว สร้างความเต่งตึง หรืออยากสอบถามปรึกษาปัญหาผิวหน้าสามารถเข้ามาสอบถามกับคลินิกรมย์รวินท์ของเราได้ทุกสาขา จากประสบการณ์มากกว่า 14 ปี บวกกับความทันสมัยของเครื่องมือ เราเชื่อว่าจะช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับคนไข้ที่มาใช้บริการของเราค่ะ

                              รู้ไว้ใช่ว่า หลักการปรับรูปหน้าเรียวด้วย Filler สิ่งที่สาวๆควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ

                              filler

                              การฉีด Filler เป็นการปรับรูปหน้าเรียวได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องผ่าตัด เป็นกระบวนการที่ใช้เวลาอันสั้นเพียงไม่กี่นาที แต่ผลลัพธ์อยู่ได้นานเป็นปี แถมราคายังถูกกว่าการศัลยกรรมหลายเท่า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ได้รับความนิยมในวงการความงามเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นหลายคนก็ยังอดกังวลไม่ได้ว่าการปรับรูปหน้าเรียวด้วยฟิลเลอร์นั้นมีผลข้างเคียงหรือไม่

                              Filler ฟิลเลอร์คืออะไร?

                              Filler หรือฟิลเลอร์ เป็นสารเติมเต็มที่มีประโยชน์ในการปรับรูปหน้าเรียว หรือแก้ไขข้อบกพร้องของใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นการลดเลือนริ้วรอย การเติมจมูก, คาง หรือส่วนที่ดูตอบให้มีความนูนมากขึ้น ฟิลเลอร์ที่ใช้ในวงการความงามคือ “กรดไฮยาลูรอนิค แอซิด” (Hyaluronic acid หรือ HA) ความจริงแล้วสารเหล่านี้มีอยู่ในร่างกายของเรา แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นกระบวนการสังเคราะห์สารตัวนี้จะลดลง โดยเฉพาะเมื่ออายุเข้าสู่วัย 30 ขึ้นไป

                              ความรู้ทางการแพทย์ สมัยก่อนมีการใช้ กรดไฮยาลูรอนิค แอซิดในการรักษาอาการข้อเข่าเสื่อมหรือโรค ที่เกี่ยวกับข้อต่อ เพราะมีลักษณะหนืดข้น ละลายน้ำได้ดี ช่วยลดการเสียดสี ลดอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณข้อต่อ แต่จากการศึกษายังพบว่าสารนี้มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดี และมีประโยชน์ในวงการความงามจึงนิยมนำมาใช้ในการปรับรูปหน้าเรียว หรือปรับโครงสร้างใต้ชั้นผิวหนังให้ดูเต็มมากขึ้น

                              ฉีดฟิลเลอร์แล้วทำไมถึงไหล?

                              อีกหนึ่งคำถามที่มักจะได้ยินอยู่เสมอคือ “ปรับรูปหน้าเรียวด้วยฟิลเลอร์แล้วกลัวมันไหลจะทำอย่างไร” ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ฟิลเลอร์มีหลายชนิด มีลักษณะโมเลกุลต่างกันตั้งแต่โลเลกุลใหญ่ไปจนถึงละเอียด ซึ่งแต่ละชนิดต่างก็มีคุณสมบัติในการใช้กับวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น

                              ฟิลเลอร์ที่มีโลเลกุลใหญ่ จะเหมาะสำหรับการปั้นรูปหรือขึ้นรูป เช่นบริเวณจมูก คาง ฟิลเลอร์ที่มีโลเลกุลเล็กลงมาหน่อย จะเหมาะสำหรับการฉีดเพื่อเติมเต็ม ซึ่งได้แก่ บริเวณร่องแก้ม หน้าผาก หรือฉีดบนใบหน้าสำหรับผู้ที่มีปัญหาหย่อนคล้อยไม่มากที่ต้องการเน้นผิวที่ดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวล ฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลละเอียด จะเหมาะสำหรับการฉีดเฉพาะจุด เช่น ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว ผู้ที่มีริ้วรอยร่องตื้น และยังใช้ในการปรับรูปหน้าเรียวได้เช่นกัน

                              ฉะนั้นคำถามคือกรณีที่ฟิลเลอร์ไหล จะต้องมาดูแล้วว่าเราฉีดฟิลเลอร์ชนิดใดเข้าสู่ผิวบริเวณใด ถ้าฉีดฟิลเลอร์ชนิดที่มีโมเลกุลใหญ่กับผิวที่ไม่เหมาะ ก็อาจทำให้ฟิลเลอร์เกิดการเคลื่อนที่ไปยังบริเวณบนใบหน้าได้ 

                              ฟิลเลอร์ ละลายได้จริงหรือไม่?

                              อีกหนึ่งคำถามยอดฮิต “เมื่อเจอความร้อนฟิลเลอร์ละลายหรือไม่” ทำความเข้าใจกันก่อนโดยปกติเมื่อฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าเรียวย่อมฉีดอยู่ในบริเวณแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นแก้ม คาง หน้าผาก ฯลฯ ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นจุดที่ไม่ได้โดนความร้อนโดยตรง หรือถ้าสัมผัสก็ช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นไดรเป่าผม น้ำอุ่น หรืออาหารที่ร้อนซึ่งก็จะกระทบเฉพาะบริเวณริมฝีปาก แต่ระยะเวลาที่สัมผัสความร้อนเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงสั้น ๆ การสัมผัสความร้อนจึงไม่ได้ส่งผลให้ฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าเรียวละลายได้ขนาดนั้น

                              แต่อย่างไรก็ตาม ฟิลเลอร์เป็นสารที่สังเคราะห์จากธรรมชาติ ฟิลเลอร์คุณภาพมาตรฐาน ที่ใช้ปรับรูปหน้าเรียวจะสลายหายไปอยู่แล้วในช่วงระยะเวลา 1 ปีโดยเฉลี่ย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณความเข้มข้น บริเวณที่ฉีด พฤติกรรมของเรา รวมทั้งคุณภาพของฟิลเลอร์ด้วย เมื่อหมดระยะเวลามันจะสามารถสลายตัวได้เองจนไม่เหลือตกค้าง 100% ฉะนั้นถ้าอยากให้ผลของการฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าเรียวออกมาดีที่สุดต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียดนะคะ สำหรับท่านใดที่ยังมีข้อสงสัยสามารถโทรสอบถามสายตรงได้ที่ 080-153-9000 รมย์รวินท์คลินิกยินดีให้บริการค่ะ

                               

                              รู้ไว้ใช่ว่าการฉีดโบก็มีอันตราย เลือกให้ดีก่อนทำหน้าเรียว

                              ฉีดโบ

                              เมื่อกล่าวถึง การฉีดโบมั่นใจได้เลยว่าไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะว่าด้วยเรื่องของความงาม ผู้คนส่วนใหญ่จะต้องนึกถึงการทำการฉีดโบเป็นอันดับต้นๆ อยู่แล้วฉีดโบมีประโยชน์ในการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวมากมายไม่ว่าจะเป็นการลดกราม ลดเลือนริ้วรอย ร่องแก้ม รอยตีนกา ฯลฯ เรียกว่าฉีดโบช่วยได้ทั่วทั้งใบหน้าเลยทีเดียว แต่ถึงแม้จะได้รับความนิยมมากแค่ไหน สาวๆ ก็ต้องระวังกันด้วยนะคะ เพราะภายใต้ความนิยมนี้ก็ยังมีของปลอมซ่อนอยู่

                              รู้ไว้ใช่ว่าฉีดโบปลอมก็มีนะ

                              เมื่ออะไรที่เป็นของดังก็มักจะมีของเลียนแบบเป็นธรรมดา การฉีดโบปลอมก็ย่อมมีเช่นกัน แถมยังเป็นสิ่งที่ระวังยาก เพราะบางครั้งการก็อปปี้นี้ก็ทำได้แนบเนียนราวกับเป็นของจริง ด้วยบรรจุภัณฑ์ที่คล้ายซะจนแยกไม่ออก ยิ่งเป็นตัวยาแล้วยิ่งไม่สามารถดูออกได้เลยว่าเป็นของแท้แน่นอนหรือไม่ ฉะนั้นสิ่งที่หลายคนต้องตระหนักก็คือการตรวจสอบให้ดีก่อนเลือกใช้บริการ

                              วิธีการตรวจสอบการฉีดโบก่อนใช้บริการ

                              1. ลืมเรื่องราคาโปรโมชั่นไปให้หมดสิ้น เชื่อว่าสาวๆ บางคนต้องมีอาการแพ้คำว่าโปรโมชั่น เมื่อเจอคำว่า “โปรโมชั่น” เมื่อไหร่ต้องตื่นตาตื่นใจทุกที ความจริงแล้วการทำหน้าเรียวช่วงโปรโมชั่นไม่ใช่สิ่งผิด เพราะมันเป็นการตลาดที่ทุกคลินิกต่างก็เลือกใช้ แต่สิ่งที่อยากให้ระวังคือโปรโมชั่นที่มีราคาถูกมากจนน่าตกใจ เช่นโปรจากหลักหมื่นลดเหลือแค่หลักร้อยปลายๆ หรือพันต้นๆ ถ้าเจออย่างนี้ควรจะเอะใจ และศึกษาข้อมูลก่อนเลือกใช้บริการ
                              2. ขอตรวจสอบขวดบรรจุพร้อมกล่องทุกครั้ง โดยปกติการฉีดโบของแท้ขวดที่บรรจุกับกล่องของขวดนั้น ๆ จะต้องมีเลข Lot ที่ตรงกัน ก่อนใช้บริการควรขอตรวจสอบเลขข้างกล่องนี้ ซึ่งจะมีตั้งแต่เลข Lot ที่ผลิต วันผลิต วันหมดอายุ ของแท้จะต้องตรงกันทั้งหมด ควรเป็นขวดที่เปิดใหม่ และอย่าลืมดูขนาดรูปร่างของขวดด้วยล่ะ จงอย่าอายที่จะขอดูเพื่อความแน่ใจ พึงระลึกไว้เสมอว่าถ้าหากโชคร้ายเจอการฉีดโบปลอม นอกจากจะปรับรูปหน้าไม่เรียวแล้ว ยังอาจจะแพ้ หรือหน้าพังไปเลยก็ได้
                              3. ตรวจสอบบยี่ห้อการฉีดโบกับบริษัทผู้นำเข้า ถ้าเป็นไปได้ควรขอตรวจสอบยี่ห้อของโบและนำยี่ห้อนั้นไปตรวจสอบกับผู้นำเข้า ว่าคลินิกชื่อ…(ที่เราจะเข้ารับบริการ)…ได้ทำการสั่งสินค้าจากผู้นำเข้าโดยตรงหรือไม่ วิธีการนี้อาจจะดูยากและซับซ้อน แต่จะทำให้คุณในฐานะผู้บริโภคจะได้รับบริการที่มีคุณภาพที่สุด ส่วนวิธีการขอตรวจสอบยี่ห้อก่อนนั้นอาจจะใช้วิธี Walk in เข้าไปปรึกษาการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวด้วยการฉีดโบก่อนและขอดูยี่ห้อของโบที่ใช้ สำหรับคลินิกใดที่ใช้ของแท้ย่อมยินดีที่จะให้ลูกค้าดูอย่างไม่ลังเล
                              4. ทำการบ้านก่อนที่จะเดินเข้าคลินิก จากการสำรวจที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มคนที่อยากปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวด้วยการฉีดโบมักจะเชื่อใจคลินิกมากกว่าเชื่อใจตนเอง เพราะด้วยความที่คิดว่าคลินิกมีความเชี่ยวชาญมากกว่าเรา มีชื่อเสียง มีฐานลูกค้ามากมาย คงไม่กล้าใช้ของไม่ได้คุณภาพเป็นแน่ อีกทั้งด้วยความที่โบเป็นสินค้าเฉพาะทางมีศัพท์ทางเทคนิคที่เข้าใจยาก ทำให้เลี่ยงการหาข้อมูลพื้นฐานด้วยตัวเองแต่เลือกที่จะเชื่อเจ้าหน้าที่แทน ความจริงแล้วเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนัก ในฐานะผู้บริโภคควรที่จะต้องศึกษาข้อมูลก่อนเบื้องต้น อย่างน้อยก็ควรที่จะรู้ว่าการฉีดโบมีกี่ประเภท นิยมนำเข้าจากที่ไหนบ้าง คลินิกที่เราจะใช้บริการใช้ผลิตภัณฑ์โบยีห้ออะไร ที่คลินิกฉีดให้ใช้กี่ยูนิต เป็นต้น
                              5. ควรตรวจสอบหลาย ๆ คลินิก อย่าเพิ่งเชื่อรีวิว หรือคำบอกเล่าต่างๆ นานา เกี่ยวกับทุกคลินิกที่ได้ข้อมูลมาก แต่จงเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ในใจแล้วเดินเข้าไปปรึกษาคลินิกด้วยตนเอง และที่สำคัญคือควรสอบถามพูดคุยกับหลายๆคลินิก การที่ได้สอบถาม พูดคุย การตอบคำถามของแพทย์ การให้ข้อมูลต่าง ๆ ของเจ้าหน้าที่จะเป็นส่วนช่วยให้คุณตัดสินได้ง่ายขึ้นค่ะ

                              ในแต่ละปีมีผู้สนใจทำหน้าเรียวด้วยการฉีดโบเป็นหมื่นเป็นแสนคน แต่คนที่ทำแล้วหน้าไม่เรียวดั่งใจก็มีไม่น้อยเช่นกัน ฉะนั้นถ้าคุณไม่อยากเป็นคนหนึ่งที่พลาด เสียเงินฟรีโดยไม่เกิดผลลัพธ์แถมยังต้องเสี่ยงต่อการแพ้ต่าง ๆ ควรศึกษาหาข้อมูลเยอะๆ นะคะ สำหรับใครที่อยาก Walk in เข้ามาพูดคุยเพื่อดูบรรยากาศ สามารถ walk in เข้ามาได้ที่รมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขา เจ้าหน้าที่ของเราพร้อมให้คำปรึกษา และยินดีต้อนรับทุกท่านค่ะ

                              วิธีดูแลตัวเองหลังจากศัลยกรรมปรับรูปหน้า

                              261

                              แน่นอนว่าการทำศัลยกรรมปรับรูปหน้านั้นจะต้องก่อให้เกิดบาดแผลจากการผ่าตัด ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรในการดูแลรักษาให้บาดแผลกลับคืนสู่สภาวะปกติ สำหรับผู้ที่กำลังอยากจะทำศัลยกรรมจะต้องมีแนวทางในการดูแลตัวเองเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงปรารถนา หรือทำให้ผลที่ได้จากการศัลยกรรมปรับรูปหน้าไม่เป็นไปตามความคาดหวังที่ควรจะเป็น วิธีดูแลตัวเองหลังศัลยกรรมมีดังนี้

                              ข้อปฏิบัติหลังจากทำศัลยกรรมปรับรูปหน้า

                              การศัลยกรรมปรับรูปหน้ามีหลายประเภท มีทั้งศัลยกรรมขนาดเล็กและขนาดใหญ่ แต่ส่วนใหญ่แล้วการศัลยกรรมปรับรูปหน้า นั้นมักจะเป็นการเปิดแผลภายในปากเพื่อจุดประสงค์ของการซ่อนบาดแผล แล้วเสริมด้วยซิลิโคน หรือบางกรณีก็กรอเอาเนื้อกระดูกออก แต่ไม่ว่าจะเซาะร่องปากขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ย่อมกระทบกับช่องปากโดยรวมอยู่ดี จึงมักจะต้องดูแลภายในปากเป็นพิเศษ

                              1. หลังผ่าตัด ศัลยกรรมปรับรูปหน้าต้องงดรับประทานอาหารในช่วง 3-4 วันหลังจากศัลยกรรม โดยในช่วงเวลาดังกล่าวให้ดื่มแต่เครื่องดื่มที่ไม่มีกากใยเท่านั้น เพื่อไม่ให้เศษอาหารติดภายในปากซึ่งยากต่อการทำความสะอาดและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
                              2. หมั่นบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าทุกชั่วโมง และบ้วนด้วยน้ำยาที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ทุก2 ชั่วโมง ระวังเรื่องการกลั้วน้ำยา ควรอมไว้อย่างน้อย 1 นาทีเพื่อให้ฆ่าเชื้อได้อย่างหมดจด
                              3. ผู้ที่การศัลยกรรมปรับรูปหน้าต้องเปลี่ยนมาใช้แปรงสีฟันขนาดเล็ก เพราะในช่วงแรกเราจะอ้าปากไม่สะดวก อีกทั้งเพื่อไม่ให้กระทบกับบาดแผลภายในปากมากนัก
                              4. งดเว้นการแต่งหน้าล้างหน้า รวมถึงสระผมด้วยให้ทำความสะอาดด้วยการเช็ดหน้าเบา เพื่อไม่ให้แผลโดนน้ำ หลังจากเอาเทปออกและเห็นว่าแผลสมานกันดีแล้วจึงจะเริ่มล้างหน้าได้ตามปกติ
                              5. ถ้าการศัลยกรรมปรับรูปหน้าแบบใดที่ต้องใช้ผ้ารัดหน้าเพื่อประคองรูปหน้าให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยใช้ผ้ารัดหน้าให้คงที่ วันละ 4-6 ชั่วโมง เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ หรือตามแพทย์สั่ง
                              6. 2 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัดปรับรูปหน้า ไม่นอนคว่ำควรนอนให้หน้าสูงกว่าหัวใจหรือนอนในท่านั่ง (นั่งหลับ)จะช่วยลดบวมได้เร็วขึ้น
                              7. งดเว้นการการแช่น้ำหรืออบซาวน่าอย่างเด็ดขาด
                              8. งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด อย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังผ่าตัดศัลยกรรมปรับรูปหน้า

                              ข้อควรระวังหลังศัลยกรรมปรับรูปหน้าในช่วง 1 เดือน

                              1. ไม่อ้าปากกว้างๆ เป็นระยะเวลา 1 เดือน เพื่อรอให้การปรับรูปหน้าเข้าที่อย่างสมบูรณ์
                              2. ต้องมีการควบคุมเรื่องการรับประทานอาหารเลี่ยงการทานอาหารแข็งๆ ที่ต้องมีการบดเคี้ยว ควรทานแต่อาหารอ่อนๆ ประเภทโจ๊ก หรือ โยเกิร์ต
                              3. 1-3 วันแรกของการศัลยกรรมปรับรูปหน้า ให้ประคบเย็นเพื่อลดการกระจายตัวของเลือดที่เสีย แต่หลังจากนั้นต้องมีการประคบอุ่นบริเวณใบหน้าอย่างต่อเนื่อง 1 เดือน และควรมีการเช็คเรื่องอุณหภูมิด้วย เพราะประสาทสัมผัสบนใบหน้ายังตอบรับเรื่องอุณหภูมิได้ไม่สมบูรณ์ดี
                              4. หลังศัลยกรรมปรับรูปหน้าให้งดเว้นการออกกำลังกาย 1 เดือนเป็นต้นไป หรือให้การออกกำลังกายเบาๆเช่น การเดินบริหาร

                              การศัลยกรรมปรับรูปหน้าสามารถให้ผลตามต้องการได้ หากรู้จักดูแลตัวเองหลังศัลยกรรม ต้องปฏิบัติติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเท่านั้น แต่สำหรับใครที่กลัวการศัลยกรรมและกังวลกับการดูแลหลังผ่าตัด เพราะกลัวว่าจะพลาดไปจนทำให้เกิดแผลติดเชื้อซึ่งอันตรายมาก คุณสามารถขอคำปรึกษาจากรมย์รวินท์คลินิกได้ เพราะเรายังมีหลายโปรแกรมที่ช่วยปรับรูปหน้าได้โดยไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรมปรับรูปหน้า ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ได้ก็ดีเทียบเท่ากัน ทำให้การดูแลตัวเองง่ายกว่า อีกทั้งราคาถูกกว่าด้วย

                              กระชับผิวหน้าบอกลาความหย่อนคล้อยด้วย Thermage

                              260

                              โปรแกรมกระชับผิวหน้าปรับรูปหน้าเป็นโปรแกรมที่ได้รับความนิยมจากคุณผู้หญิงเป็นอย่างมาก ซึ่งมีตั้งแต่วัยรุ่นที่อยู่ในช่วงวัยทำงานจนถึงวัยกลางคน เพราะมีหลายปัจจัยที่คอยจ้องจะทำร้ายผิวเราทุกวัน เมื่อผิวหน้าไม่กระชับจึงปล่อยไว้ไม่ได้ โปรแกรมหนึ่งที่นิยมในการกระชับผิวหน้าในปัจจุบันก็คือ Thermage สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจว่าเจ้า Thermage นี้ทำงานอย่างไร เราลองมาศึกษาไปพร้อม ๆ กันค่ะ

                              การกระชับผิวหน้าด้วยโปรแกรม Thermage คืออะไร

                              โปรแกรม Thermage เป็นนวัตกรรมการดูแลผิวหน้าที่ทำงานลึกลงไปในแต่ระดับชั้นของผิว ตั้งแต่ผิวหนังกำพร้า ผิวหนังแท้ จนถึงผิวหนังชั้นไขมัน ทำหน้าที่ช่วยสร้างความเต่งตึงของไขมันใต้ชั้นผิว ช่วยสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินทำให้ผิวกลับมายืดหยุ่นเรียบเนียนขึ้น ช่วยกระชับผิวหน้าและแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยได้

                              หลักการทำงานกระชับผิวหน้าของThermage เป็นการใช้เทคโนโลยีคลื่นวิทยุซึ่งมีความร้อนสูง โดยส่งผ่านคลื่นความร้อนลงไปยังชั้นผิวแต่ละระดับชั้น โครงสร้างภายในผิวของคนเรานั้นมีส่วนประกอบมากมาย ทั้งกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ รวมทั้งไขมันด้วยพลังความร้อนที่ส่งผ่านเข้าไปนี้จะเป็นตัวกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของไขมัน โดยหลักการคือเมื่อไขมันเจอคลื่นความร้อนจะทำให้เกิดแรงต้าน แต่ยิ่งต้านเท่าไหร่ยิ่งทำให้ผิวหน้าหรือไขมันภายในเกิดความแน่น จึงเป็นสาเหตุทำให้ผิวหน้าของเรากระชับนั่นเอง

                              ทำไมจึงควรเลือกใช้โปรแกรมกระชับผิวหน้า Thermage

                              หลายคนอาจทำการศึกษาโปรแกรมกระชับผิวหน้ามาบ้างแล้ว และพบว่ายังมีอีกหลายโปรแกรมที่สามารถกระชับผิวหน้าได้ แต่สำหรับ Thermage เป็นโปรแกรมที่เหมาะกับการ “กระชับหน้า” เป็นที่สุดเพราะด้วยหลักการที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งข้อดีของโปรแกรมนี้ยังมีอยากหลายอย่างได้แก่            

                              1. เป็นการยกกระชับผิวหน้าที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องรักษาตัวนาน ไม่มีรอยบาดแผล
                              2. หลังยกกระชับผิวหน้าด้วย Thermage จะทิ้งร่องรอยเพียงแค่แดงๆ และจะจางหายไปภายในเวลาเพียง 1-2 ชั่วโมง เท่านั้น ผู้เข้ารักษาจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันแบบปกติได้ในทันที รวมถึงจะแต่งหน้าก็สามารถทำได้เหมือนปกติ
                              3. ถึงขึ้นขื่อว่าคลื่นความร้อน แต่โปรแกรมนี้สามารถจัดระดับความร้อนให้เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคนได้ หากผู้เข้ารักษาจะรู้สึกร้อนมากเกินไปก็สามารถปรับได้ตามความเหมาะสม จึงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
                              4. โปรแกรม Thermage  เป็นโปรแกรมที่รับรองความปลอดภัยในการรักษาผลของการยกกระชับผิวหน้าแต่ละครั้ง สามารถอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี จึงคุ้มค่าคุ้มราคาไม่ต้องคอยทำบ่อย ๆ
                              5. หลังจากยกกระชับผิวหน้าด้วย Thermage จะทำให้คุณดูเหมือนย้อนวัยอย่างที่ต้องการผิวที่เคยหย่อนคล้อยจะกลับยกกระชับขึ้น มีส่วนให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปหน้าให้เรียวขึ้น

                              โปรแกรมยกกระชับผิวหน้าด้วย Thermage นี้เป็นโปรแกรมที่เหมาะกับผู้มีสภาพผิวหนังหย่อนคล้อยเล็กน้อย จนถึงระดับปานกลาง หรือคนที่มีแก้มเยอะซึ่งเกิดจากมีไขมันที่หน้ามากกว่าคนทั่วไป เหมาะกับผู้มีอายุอยู่ในช่วง 35-60 ปี หลังจากทำแล้วจะเห็นผลที่ชัดเจนว่า หน้ารู้สึกเต่งตึงขึ้น ร่องแก้มดูตื้นขึ้น ใบหน้าดูกระชับได้รูปส่วนผิวที่หย่อนคล้อยจะดูอวบอิ่มฟูแน่นขึ้น

                              สำหรับใครที่สนใจการกระชับผิวหน้าด้วยโปรแกรม Thermage สามารถรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ รมย์รวินท์ คลินิก (โทร 080 153 9000 หรือ 080 154 9000) หรือ Walk in เข้ามาปรึกษาแพทย์ฟรีได้ทุกวัน ที่รมย์รวินท์ คลินิกทั้ง 24 สาขาทั่วประเทศใกล้บ้านคุณ

                              5 วิธีกระชับผิวหน้า นวดหน้าด้วยตัวเอง

                              259

                              ผิวหน้าของคุณผู้หญิงควรได้รับการนวดกระชับผิวหน้าเป็นประจำ เพื่อกระตุ้นให้คงความมีชีวิตชีวาไม่ให้หย่อนคล้อยไปตามวัย คนที่นวดหน้าเป็นประจำจะมีผิวที่ขาวใส ทาครีมบำรุงก็ซึมซับเข้าสู่ผิวได้ง่าย เวลาแต่งหน้าเครื่องสำอางก็ยังติดทน อีกทั้งยังช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าได้ด้วย นี่คือเหตุผลที่สาว ๆ ทุกคนควรนวดกระชับผิวหน้าเป็นประจำทุกสัปดาห์ ซึ่งการนวดหน้าด้วยตัวเองนั้นสามารถทำได้ไม่ยาก มีหลายวิธีให้เลือกดังนี้

                              1. นวดหน้าแบบมาตรฐาน เป็นการกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไร เพียงใช้ฝ่ามือของเรานี่เองหลักการคือให้ลูบขึ้นด้านบนนวดเป็นส่วน ๆทีละซีกหน้าเริ่มจากนวดเก็บเหนียงโดยลูบปาดจากปลายคางไปทางแก้มนวดปากโดยเริ่มที่มุมปากขึ้นไปทางโหนกแก้ม ปาดสันจมูกไปทางด้านข้าง ต่อด้วยนวดจากหัวตาไปทางหางตา ลูบหนังคิ้วขึ้นด้านบน และส่วนหน้าผากก็นวดจากล่างขึ้นบน ทั้งหมดนี้ให้ทำอย่างละ 10 ครั้งทั้งสองข้าง
                              2. นวดหน้าด้วยวิธีการกดจุด เป็นการนวดกระชับผิวหน้าโดยการกดจุดสำคัญ 9 จุดคือ  1) เหนือริมฝีปาก  2) กึ่งกลางคาง 3) มุมปากทั้งสองข้าง 4) บริเวณลักยิ้ม  5) ปีกจมูกสองข้าง 6) หัวคิ้ว ตรงจุดนี้เปลี่ยนมาใช้นิ้วหัวแม่มือ 7) กลางหน้าผาก 8) ไรผมตรงหน้าผาก 9) ข้างขมับทั้งสองด้าน ในการทำแต่ละจุด จะต้องมีการนวดวนๆ ควรทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 15-20 นาที  ระวังอย่ากดจุดแรงเกินไป เดี๋ยวผิวจะช้ำ
                              3. นวดหน้าแบบเกาหลี  ลักษณะการนวดกระชับผิวหน้าสไตล์นี้ มีทั้งการนวดวนด้วยฝ่ามือ การกดจุดบริเวณ หน้าผาก โหนกแก้ม คาง และกราม หรือใช้นิ้วดึงช่วงโหนกแก้มขึ้น มีการนวดคลึงแถวหลังใบหู เพราะเป็นจุดรวมต่อมน้ำเหลือง ลากมือลงมาถึงช่วงคอ กดจุดกลางหน้าผาก และนิยมนวดบนหัวด้วย
                              4. นวดหน้าแบบญี่ปุ่น นวดกระชับผิวหน้าด้วยปลายนิ้วทั้ง 4 คือนิ้วชี้ถึงนิ้วก้อย เริ่มนวดจากกึ่งกลางหน้าผากลูบออกด้านข้าง ผ่านโหนกแก้มถึงปลายคาง ส่วนบริเวณรอบดวงตา ใช้เพียงนิ้วเดียวในการกดแล้วลาก จากหางตา วนรอบด้านล่างแล้วกลับไปด้านบนตรงใต้คิ้ว จากหัวตาลูบไปทางหางตา จนถึงโหนกแก้ม  นวดกึ่งกลางคาง ลูบขึ้นด้านบนเหนือริมฝีปาก นวดใต้จมูก ใช้สองนิ้วกดลากขึ้นไปถึงสันจมูก จากนั้นลูบไล่ลงมาตามแนวปีกจมูก ทำอย่างละ 3 รอบ
                              5. นวดหน้าแบบฝรั่งเศส  เป็นการนวดกระชับผิวหน้าโดยการใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้ง pinching ทั่วใบหน้า เหมือนใช้สองนิ้วหนีบผิวแล้วดึง-ปล่อยเร็วๆ  ช่วยการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต อุณหภูมิใต้ชั้นผิวหนังจะสูงขึ้น เมื่อสาว ๆ ทำทั่วใบหน้าประมาณ 3 รอบ จะเห็นว่าหน้าเริ่มมีสีสันมากขึ้น

                              และนี่ก็เป็น 5 วิธีกระชับผิวหน้าด้วยตัวเองที่เรานำเอามาฝากกัน เป็นวิธีที่ง่าย ๆ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรมากมายใช้เพียงแค่สองมือของเรานี่เอง แต่สำหรับใครที่บอกว่าการนวดหน้าด้วยตัวเองนั้นไม่ค่อยได้ผล ซึ่งอาจจะเป็นเพราะทำเองไม่ถนัด ทำไม่ถูกวิธี หรือต้องการการบำรุงที่ล้ำลึกมากขึ้น สามารถเข้ารับบริการกระชับผิวหน้าในคลินิกได้ซึ่งจะให้ผลดีกว่าเนื่องจากเป็นการทำงานระดับมืออาชีพ

                              อย่างโปรแกรมกระชับผิวหน้าในรมย์รวินท์คลินิกของเรา ก็มีทั้งการทรีทเม้นท์บำรุงผิวหน้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นขาวใสจากภายนอก ไปจนถึงโปรแกรมกระชับผิวหน้าจากภายในซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของแพทย์ประกอบกับเครื่องมืออันทันสมัย เรามีหลักการดูแลผิวที่ถูกต้องเพื่อช่วยถนอมใบหน้าของคุณให้กระชับ โดยมีผลกระทบต่อผิวน้อยที่สุดแต่ในขณะเดียวกันต้องมีผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และยาวนานที่สุดด้วย

                              รู้ไว้ใช่ว่า…ก่อน “ยกกระชับหน้า” ควรเตรียมตัวให้พร้อมดังนี้

                              258

                              ในยุคที่ผู้หญิงสามารถกำหนดความสวยของตัวเองได้ ไม่ว่าจะแค่ปรับสภาพผิวแก้ปัญหาสิวฝ้ากระ หรือจะยกกระชับหน้าเพื่อย้อนวัย “ตรึง” ความอ่อนเยาว์ให้คงไว้ไม่ให้ร่วงโรยนานาสารพัดวิธีของโปรแกรมยกกระชับหน้าที่สาว ๆ สามารถเลือกทำเลือกใช้ เพราะโชคดีที่เครื่องมือและเทคโนโลยีด้านความงามมีการพัฒนาอย่างไม่เคยหยุดยั้ง แต่ถึงอย่างนั้นผู้บริโภคก็ยังต้องรีเสิร์ชข้อมูลเบื้องต้นก่อนเพื่อเลือกโปแกรมยกกระชับที่เหมาะสมที่สุด ท่านที่สนใจจึงควรเตรียมตัวให้พร้อมดังนี้

                              1. ศึกษาโปรแกรมเกี่ยวกับการยกกระชับหน้าเพราะอย่างที่ทราบดีว่าโปรแกรมยกกระชับหน้านั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ฉีดโบ, ร้อยไหม, ฟิลเลอร์, เทอร์มาจ, ไฮฟู, อัลเทอร่า เป็นต้น แน่นอนว่าแต่ละโปรแกรมย่อมมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน และที่สำคัญกว่านั้นคือแต่ละโปรแกรมยังเหมาะสมกับช่วงวัยที่แตกต่างกันฉะนั้นแค่เลือกโปรแกรมที่เราสนใจอย่างเดียวคงไม่พอ แต่ถ้าจะให้ดีควรเลือกโปรแกรมยกกระชับหน้าที่เหมาะกับสภาพผิวและช่วงวัยของคุณด้วย
                              2. ทำความเข้าใจกับการทำงานของชั้นผิวหนังบนใบหน้า ก่อนจะตัดสินใจยกกระชับหน้า คุณผู้หญิงควรที่จะทราบเสียก่อนว่า บนใบหน้าของคนเรานั้นประกอบด้วยชั้นผิวหนังกี่ชั้น แต่ละชั้นมีการทำงานอย่างไร มีเส้นประสาท กล้อมเนื้อ หรือเนื้อเยื่อเกี่ยวพันใดที่มีความสัมพันธ์กับการทำงานบนใบหน้าของเราบ้างเพราะโปรแกรมยกกระชับหน้าต่างๆ อาจจะมีผลต่อใบหน้าของเรา ผู้บริโภคจึงต้องมีความรู้ในระดับหนึ่ง ก่อนที่จะไปพึ่งความสามารถของแพทย์ผู้ให้บริการ
                              3. ผลลัพธ์ที่ต้องการมีระยะเวลาที่จำกัด การยกกระชับหน้าเป็นการช่วยฟื้นฟูผิวก็จริง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ไม่สามารถคงอยู่ตลอดไป เพราะถึงแม้จะเข้าโปรแกรมแล้ว คนเราก็ยังต้องเจอปัจจัยเดิมที่ทำลายผิวหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะ ความเครียด โดยเฉพาะ“เวลา” ที่เดินหน้าอยู่เสมอไม่เคยหยุด ด้วยเหตุนี้ผลของการยกกระชับหน้าจึงอยู่ได้ไม่ถาวร บางโปรแกรมสามารถอยู่ได้ 1-2 ปี หรือกรณีผ่าตัดศัลยกรรมอาจอยู่ได้ยาวนานเป็น 10 ปี แต่ไม่มีการยกกระชับหน้าแบบใดที่ทำครั้งเดียวอยู่ได้ตลอดชีวิต
                              4. การยกกระชับหน้าต้องให้เวลาเพื่อความสมบูรณ์ หลังเข้าโปรแกรมคุณอาจเห็นความเปลี่ยนแปลงทันทีประมาณ 10-30% ซึ่งแล้วแต่โปรแกรมยกกระชับหน้าที่เลือกและปัญหาผิว แต่อย่างไรก็ตามหลังจากเข้าโปรแกรมล้าร่าวกายก็ยังต้องใช้เวลาสร้างคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูใบหน้า จึงไม่มีใครทำปุ๊บได้ผล100% ในทันที ผู้เข้าโปรแกรมจึงต้องเข้าใจและอดทนที่จะรอความสมบูรณ์ดังกล่าว และไม่คาดหวังผลแบบทันทีทันใด
                              5. โรคประจำตัวบางอย่างอาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้าโปรแกรม การยกกระชับหน้าด้วยการศัลยกรรม อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางโรค เช่น ความดัน เบาหวาน เป็นต้น ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการว่ามีความเป็นไปได้และมีความเสี่ยงมากแค่ไหน และจะหาวิธีการแก้ไขปัญหาผิวอย่างไรจึงจะเป็นทางออกที่เหมาะสม
                              6. ต้องเตรียมงบประมาณค่าใช้จ่าย เนื่องจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อความงาม มีค่าใช้จ่ายอยู่พอประมาณ บางโปรแกรมหรือบางคนที่มีปัญหาผิวหนักมาก อาจจะต้องทำการเข้าคอร์สยกกระชับหน้าอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นนอกจากการเตรียมพร้อมเรื่องข้อมูลแล้วยังต้องเตรียมเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย

                              ในส่วนของการเลือกคลินิกนั้น คงไม่ต้องบอกว่ามีความสำคัญมากขนาดไหน เพราะเชื่อได้เลยว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนรู้ดีว่าต้องเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือที่สุดเท่านั้น “รมย์รวินท์ คลินิก”เราใส่ใจในฝีมือและมุ่งพัฒนาเครื่องมืออย่างไม่เคยหยุดยั้ง ด้วยประสบการณ์มากกว่า 14 ปีเราจึงมั่นใจได้ว่าโปรแกรมยกกระชับหน้าและเครื่องมืออันทันสมัยที่เรามี จะสามารถตอบโจทย์และแก้ปัญหาผิวให้กับคุณผู้หญิงทุกท่านได้อย่างเหมาะสมที่สุด 

                              โปรแกรม ยกกระชับหน้า แบบไหนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

                              257

                              ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้การยกกระชับหน้ามีหลายโปรแกรมที่น่าสนใจ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเข้ารับการดูแลผิวด้วยวิธีใดนั้น ควรมีการศึกษาถึงข้อดีข้อเสียทั้งในส่วนของตัวโปรแกรมและส่วนของคลินิกเสียก่อน ซึ่งโปรแกรมหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากก็คือ การยกกระชับหน้าด้วย Ulthera (อัลเทอร่า) โปรแกรมนี้มีความพิเศษอย่างไรถึงได้รับความนิยมจากคุณผู้หญิงกันถ้วนหน้า ถ้าอยากรู้…ลองมาดูกัน

                              โปรแกรมยกกระชับหน้า Ulthera มีลักษณะเด่นอย่างไร

                              ลักษณะการยกกระชับหน้าของคลื่นในโปรแกรม Ulthera เป็นการทำงานที่เรียกว่า “โฟกัสอัลตร้าซาวน์” (Focused Ultrasound) โดยจะเป็นการส่งผ่านคลื่นไปยังผิวชั้นในที่ชื่อ SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่ลึกกว่าผิวหนังชั้นกำพร้าเข้าไปหลายชั้น เป็นชั้นผิวที่มักมีปัญหาเมื่อคนเราเริ่มมีอายุ เพราะความกระชับของใบหน้าจะลดน้อยลงหรือหายไปตามอายุที่มากขึ้น เป็นชั้นผิวที่ครีมบำรุงโดยทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้

                              หลักการทำงานของคลื่นโฟกัสอัลตร้าซาวน์คือ การยิงตัวคลื่นจากผิวหนังชั้นบนส่งผ่านไปยังผิวหนังชั้น SMAS เป็นการยิงแบบโฟกัสเพื่อให้ผิวหนังชั้น SMAS นั้นเกิดรอยแผล ทั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ผิวหนังเกิดการซ่อมแซมตัวเองโดยการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินที่เป็นธรรมชาติขึ้นมา จุดนี้เองที่เป็นส่วนสำคัญในการยกกระชับหน้า ทำให้ผิวกลับมาเต่งตึงเป็นธรรมชาติ และช่วยฟื้นคืนสภาพผิวให้กลับมาราวกับได้ย้อนวัยอีกครั้ง

                              จุดเด่นของการยกกระชับหน้าด้วยโปรแกรม Ulthera คือเป็นการสร้างแผลภายในผิวหนังชั้น SMAS โดยที่ผิวหนังด้านนอกนั้นไม่มีรอยแผลเป็น ไม่มีเลือดออก ไม่มีรอยเย็บหรือรอยเข็มใด ๆ เลย อีกทั้งรอยแผลภายในจะมีขนาดเล็กเหมือนกับการเย็บผิว คือเป็นแผลเล็ก ๆ แต่มีความถี่ จึงเป็นที่มาของคำว่าโฟกัสอัลตร้าซาวน์ (Focused Ultrasound) นั่นเอง

                              ทำไมโปรแกรมยกกระชับหน้า Ulthera ถึงได้รับความนิยม

                              โปรแกรมยกกระชับหน้าด้วย Ulthera เป็นโปรแกรมที่อาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงที่ไม่ต้องมีการผ่าตัดใฟ้เจ็บตัว แต่ใช้วิธีส่งคลื่นไปยังชั้นเยื่อส่วนลึก ซึ่งคลื่นที่ใช้เป็นคลื่นความถี่สูง และมีความแม่นยำสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับโปรแกรมอื่นที่ใกล้เคียงกันแล้วนับเป็นโปรแกรมที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด นอกจากนี้ Ultheraยังมีข้อดีอีกมากมาย อาทิ

                              1. การทำงานของคลื่นในโปรแกรม Ultheraจะไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อชั้นในของผิวให้สร้างคอลลาเจนจากธรรมชาติ ทำให้ผิวตึงขึ้น ปรากฏออกสู่ภายนอกอย่างชัดเจน ริ้วรอยที่หย่อนคล้อยหายไป ยกกระชับหน้าและผลที่ได้แลดูเป็นธรรมชาติ
                              2. เป็นการทำงานเฉพาะจุดที่ต้องการยกกระชับหน้าได้ ไม่กระทบต่อชั้นผิวอื่น และสามารถเลือกทำได้หลายส่วน เช่น แก้ม เหนียง หางตา หน้าผาก แม้แต่จุดละเอียดอ่อนอย่างรอบดวงตา
                              3. ใช้เวลาในการรักษาไม่นาน โดยตั้งแต่เริ่มแปะยาชาจนถึงรักษาเสร็จ รวมแล้วไม่ถึง 2 ชั่วโมงเสียด้วยซ้ำ ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถจัดสรรเวลาง่ายขึ้น
                              4. เป็นโปรแกรมยกกระชับหน้าที่ไม่มีแผลเป็น ไม่มีรอยเลือดหรือรอยเข็มหลังการรักษา มีเพียงรอยแดงบนใบหน้าที่จางได้เองภายใน 1-3 ชั่วโมง ทำให้ไม่ต้องหยุดพักรักษาตัวนาน และหลังรักษายังดูแลตัวเองง่ายกว่าการศัลยกรรมหลายเท่าเลยทีเดียว
                              5. หลังการยกกระชับหน้าจะเห็นความแตกต่างในทันทีราว 10-30% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบุคคล แต่หลังจากนั้นคอลลาเจนจะค่อยๆ สร้างตัวขึ้นผิวจึงค่อย ๆ เห็นผลชัดเจนขึ้นเป็นระยะโดยจะเห็นผลอย่างชัดเจนที่สุดราว 1-3 เดือน
                              6. ระดับความเจ็บปวดขณะที่ใช้โปรแกรมนี้อาจจะมากกว่าบางโปรแกรมเล็กน้อยแต่ต้องยอมรับเลยว่าเป็นโปรแกรมยกกระชับหน้าที่คงสภาพหลังรักษาได้นานถึง 1 ปีหรือปีครึ่ง ซึ่งถือว่านานกว่าการใช้โปรแกรมอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน นั่นแปลว่าไม่ต้องกลับมาทำซ้ำบ่อย ๆ ได้ผลดีกว่าและประหยัดเงินมากกว่าด้วย
                              7. เป็นโปรแกรมยกกระชับหน้าที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เพราะเป็นวัยที่เริ่มมีริ้วรอยเยอะขึ้น ผู้ที่เข้าโปรแกรมจะเห็นผลชัดเจนมาก จึงเป็นที่พอใจสำหรับคุณผู้หญิงวัย 40 Up ที่สุด

                              จะเห็นได้ว่าโปรแกรมยกกระชับหน้าด้วย Ulthera นี้ นอกจากเจ็บตัวน้อย หายเร็ว และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นแล้ว ยังเป็นโปรแกรมที่ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานมาก ถือเป็นโปรแกรมยกกระชับหน้าที่คุ้มค่าคุ้มราคาเสียจริง ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้โปรแกรม Ulthera ได้รับความนิยมที่สุดในหมู่คุณผู้หญิงวัย 40 ขึ้นไป โดยในวัยนี้หากมีปัญหาผิวควรให้ผู้เชี่ยวชาญดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อการแก้ปัญหาผิวได้ตรงจุดที่สุด สำหรับท่านที่มีปัญหาผิวไม่กระชับ สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านของรมย์รวินท์ คลินิกได้ทุกสาขา หรือแอดไลน์พูดคุยกับเราก่อนได้ที่ ………

                              5 เคล็ดลับ ยกกระชับหน้า ด้วยวิธีธรรมชาติ

                              256 1

                              ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย เราก็ล้วนแต่ต้องการให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ไร้ริ้วรอยก่อนวัยทั้งนั้น โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่มักเจอกับปัญหาผิวแก่ก่อนวัยมากกว่าผู้ชาย ทำให้สาวๆ ต้องสรรหาวิธีมา ยกกระชับหน้า กันแบบเร่งด่วน!

                              ผิวของเรามีความยืดหยุ่นและน้ำมันหล่อเลี้ยงที่คอยปกป้องผิวตามธรรมชาติ ทำให้ผิวหน้าของวัยสาวมีความนุ่มเนียน เด้งกระชับ เต่งตึง แต่เมื่อเวลาผ่านไปการผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิวลดลง รวมถึงผิวของเราถูกทำร้ายจากมลภาวะต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก ส่งผลให้ผิวที่เคยเนียนกระชับ กลับต้องพบกับริ้วรอยแห่งวัย ไม่สดใสเต่งตึงเหมือนเดิม เทคนิคการยกกระชับหน้า จึงเข้ามาเป็นทางเลือกให้กับเรานั่นเองค่ะ

                              5 เคล็ดลับยกกระชับหน้าด้วยตัวเองโดยวิธีธรรมชาติ

                              1. กระตุ้นและบริหารกล้ามเนื้อบนใบหน้า
                                การบริหารกล้ามเนื้อบนใบหน้า สามารถทำได้โดยฝึกขยับใบหน้าโดยใช้ปาก ให้ขยับปากคล้ายการออกเสียงตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ คือ ตัว A, E, I, O, U หมั่นทำเป็นประจำทุกวันอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ใบหน้าดูเรียวสวย ยกกระชับหน้าได้มากขึ้น 
                              2. นวดเพื่อยกกระชับหน้า 
                                การนวดช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง นอกจากนี้ยังช่วยยกกระชับหน้าให้ดูเด็กลงได้ เริ่มจากการใช้นิ้วมือนวดคลึงบริเวณใบหน้า ไล่ตั้งแต่คางขึ้นไปจนถึงหน้าผากอย่างเบามือ นอกจากการนวดจะทำให้ผิวกระชับขึ้นแล้ว ยังส่งผลให้ระบบน้ำเหลืองไหลเวียนดีขึ้น
                              3. ช่วยลดอาการบวมของใบหน้า
                                ลดการรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง การทานอาหารที่มีโซเดียมสูง เป็นตัวการทำให้หน้าบวมน้ำ แถมยังทำให้แก่เร็ว มีริ้วรอยก่อนวัยเกิดขึ้นง่าย ใครที่อยากยกกระชับหน้าต้องเลี่ยงค่ะ
                              4. ลดการเคี้ยวอาหารที่เหนียว เคี้ยวยากหรือต้องออกแรงบริเวณกราม
                                ไม่ว่าจะเป็นขนมที่มีความเหนียวอย่างมันฝรั่งหรือขนมขบเคี้ยวต่างๆ ก็ควรลดลง ไม่ควรกินบ่อยๆ เพราะจะส่งผลให้กรามหนาและใหญ่ขึ้น อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดริ้วรอยลึกบริเวณร่องแก้มได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
                              5. บำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง
                                ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าหลายๆ ตัวที่มีความสามารถในการลดเลือนริ้วรอยและยกกระชับหน้า ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งสดใสขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน แต่การใช้ครีมก็เป็นเพียงแค่การบำรุงภายนอกเท่านั้น หากหยุดใช้หรือผ่านไปไม่นาน ผิวหน้าก็จะกลับมาหย่อนคล้อยเหมือนเดิม

                              และจะมีทางไหนมั้ยนะที่สามารถยกกระชับหน้าอย่างได้ผลและมีประสิทธิภาพ แต่ก็ยังคงความเป็นธรรมชาติและไม่มีผลเสียต่อร่างกาย? คำตอบก็คือ “การทำทรีทเม้นท์ยกกระชับหน้า Thermage จากรมย์รวินทร์คลินิก” นั่นเองค่ะ

                              ทรีทเม้นท์ Thermage จากรมย์รวินท์คลินิกคืออะไร?

                              โปรแกรมยกกระชับหน้า Thermage จากรมย์รวินทร์คลินิกใช้เทคโนโลยียกกระชับหน้าด้วยเทคนิคการทำให้เส้นใยคอลลาเจนเก่าหดตัวและช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวขึ้นใหม่ ทำให้ผิวกระชับ เต่งตึง เป็นการยกกระชับหน้าด้วยวิธีกระตุ้นคอลลาเจนตามธรรมชาติใต้ชั้นผิวของเรา นอกจากนี้เรายังพัฒนาให้ความเจ็บระหว่างขั้นตอนการทำลดลง ความร้อนกระจายตัวสู่ผิวได้สม่ำเสมอขึ้น เห็นผลชัดเจนและเหมาะกับผิวของคนไทยอีกด้วยค่ะ

                              เรื่องของการย้อนวัยให้ผิวเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอายุของผิวหน้าจะส่งผลกระทบทั้งต่อบุคลิกและความมั่นใจของเรา เพราะฉะนั้นใครที่รู้ตัวว่าริ้วรอยแห่งวัยเริ่มถามหา อย่าลืมนำวิธียกกระชับหน้าที่เรานำมาฝากวันนี้ไปใช้กันดูนะคะ

                              เตรียมตัวให้พร้อม ทั้งก่อนและหลังปรับรูปหน้าเรียวอย่างไรให้ถูกวิธี

                              หน้าเรียว

                              ด้วยเทคโนโลยีทางด้านความงามที่ก้าวหน้ามากขึ้นในปัจจุบัน ทำให้การแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวพรรณจากวิธีทำหน้าเรียว อย่างเช่นการร้อยไหมปรับรูปหน้าเรียว หรือการฉีดโบซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมสูงนั้น สามารถตอบสนองความต้องการแก่ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหน้าได้เป็นอย่างดี

                              ความสำคัญของทำหน้าเรียวเพื่อความกระชับที่แลดูอ่อนเยาว์

                              ความสำคัญของการทำหน้าเรียวส่วนใหญ่จะเป็นศัลยกรรมเพื่อปรับรูปหน้าเรียวโดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัดหรือพักฟื้นแต่อย่างใด สำหรับการร้อยไหมจะเห็นผลลัพธ์ทันทีตั้งแต่ทำครั้งแรก ส่วนการฉีดโบหรือวิธีอื่นๆ จะเห็นผลใน 2–3 วันต่อมา และจะสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นใน 1–2 เดือน

                              สิ่งสำคัญของการเสริมความงามด้วยการทำหน้าเรียวก็คือ ต้องเลือกสถานที่ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานและทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อป้องกันการเกิดข้อผิดพลาดหรือผลข้างเคียงต่างๆ ที่อาจเป็นอันตรายตามมาในภายหลัง และเมื่อเราได้รับการปรับรูปหน้าเรียวจนสวยสมใจแล้ว ก็สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ แต่จะมีข้อควรระวังเล็กน้อยตามความแตกต่างของแต่ละวิธี

                              เตรียมตัวอย่างไรให้ถูกวิธีก่อนตัดสินใจทำหน้าเรียว

                              การทำหน้าเรียวนั้นมีข้อดีคือใช้เวลาเพียงไม่นาน ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องลางานหลายๆ วัน โดยที่พอทำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที แต่ก่อนที่จะเข้ารับการปรับรูปหน้าเรียวจะต้องงดรับประทานยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทุกชนิดเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ โดยเฉพาะยาแอสไพริน วิตามินอี และน้ำมันปลา เพราะมีผลทำให้เลือดไหลไม่หยุดได้ ก่อนทำหน้าเรียวสิ่งสำคัญคือการหาข้อมูลให้มาก แต่หลังทำแล้วจะต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ

                              การเตรียมตัวอย่างถูกวิธีหลังทำหน้าเรียว

                              เพื่อผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและความปลอดภัยหลังจากที่สาวๆ เข้ารับบริการปรับรูปหน้าแล้วควรปฏิบัติและระวังกิจกรรมบางอย่างดังต่อไปนี้

                              1. อาการบวมที่เกิดขึ้นหลังจากปรับรูปหน้าเรียวจะเกิดขึ้นในช่วง 1 – 3 วันแรก โดยจะมีอาการบวมช้ำมากขึ้นอยู่ประมาณ 5 – 14 วัน โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตาที่ผิวหนังมีความบอบบางมากที่สุด จากนั้นจึงค่อยๆ ลดลงตามระยะเวลา แต่ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
                              2. สำหรับการทำหน้าเรียวด้วยวิธีร้อยไหมจะต้องใช้ท่อเข็มเล็กๆ เพื่อช่วยในการร้อยไหมเข้าสู่ผิวหนัง ซึ่งอาจจะทำให้เห็นรอยบริเวณที่ใส่ท่อได้ แต่รอยนี้จะดีขึ้นภายใน 2 – 3 วัน หรือใช้วิธีปกปิดด้วยการแต่งหน้า ส่วนการฉีดโบให้งดเว้นการบีบนวดบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันสารโบไหลกระจายไปตามจุดที่อื่น ซึ่งอาจทำให้มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้
                              3. หลังจากเข้ารับการปรับรูปหน้าเรียวแล้ว อาจจะยังรู้สึกตึงๆ ที่ผิวหน้า แต่อาการดังกล่าวนี้จะดีขึ้นหลังจากนั้น 1 – 2 วัน หรืออาจจะมีอาการคงอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ ดังนั้นระหว่างนี้ให้งดการนวดหน้าหรือสครับผิวหน้าแรงๆ
                              4. ควรรับประทานยาและทายาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด พร้อมกับหมั่นประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการบวม และควรงดการเข้าห้องซาวน่า อบตัว หรือออกกำลังกายหนักๆ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ จนกว่าแพทย์ที่ให้บริการทำหน้าเรียวจะแนะนำว่าเริ่มออกกำลังกายตามปกติได้
                              5. กรณีที่ใบหน้ามีอาการบวมมากขึ้นหรือรูปหน้าเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติ มีการติดเชื้อ หรือร้อยไหมปรับรูปหน้าเรียวแล้วมีการเคลื่อนตัว รวมทั้งปลายไหมและปมไหมปรากฏออกมา ให้รีบไปพบแพทย์ที่ให้บริการเพื่อดำเนินการแก้ไข 

                              สำหรับการทำหน้าเรียวที่คลินิกรมย์รวินท์นั้น ผู้เข้ารับบริการสามารถมั่นใจได้ถึงคุณภาพและความคุ้มค่าที่จะได้รับ เพราะด้วยประสบกาณณ์อันยาวนาน ความเชี่ยวชาญของแพทย์ อีกทั้งเรายังมีเครื่องมือเทคโนโลยีที่ทันสมัย จึงสามารถให้คำปรึกษาและให้บริการสำหรับลูกค้าเพื่อมีรูปหน้ากระชับได้สัดส่วนที่ดีขึ้น ทำให้คุณดูอ่อนเยาว์อีกครั้งจนอาจลืมไปเลยก็ได้ว่าอายุปัจจุบันเท่าไร

                              ปรับรูปหน้าเรียวด้วยการฉีดโบ VS ฟิลเลอร์แตกต่างกันอย่างไร

                              251

                              ว่าด้วยเรื่องของการปรับรูปหน้าเรียวหลายคนอาจจะคุ้นเคยกับคำว่าการฉีดโบและฟิลเลอร์กันมาบ้าง บางคนอาจเคยทำมาแล้วเสียด้วยซ้ำไป แต่อาจมีบางคนที่อาจจะเพียงแค่เคยได้ยิน หรือยังไม่เข้าใจในขั้นตอนอย่างชัดเจนว่ามันคืออะไรกันแน่ กระบวนการต่างๆ จะปรับรูปหน้าเรียวได้อย่างไร จะต้องผ่าตัดศัลยกรรมเจ็บตัวอย่างจริงจังหรือไม่ มีผลดีผลเสีย และมีอันตรายมากน้อยเพียงใด สำหรับบทความนี้จึงต้องหาข้อมูลการปรับรูปหน้าเรียวมาเล่าให้สาวๆ ได้รับรู้กัน

                              ทำความรู้จักกับการปรับรูปหน้าเรียวด้วยการฉีดโบ VS ฟิลเลอร์ คืออะไรและต่างกันอย่างไร
                              จากผลวิจัยของสถาบัน International Society of Aesthetic Plastic Surgery เรื่องการเสริมความงามกล่าวว่าคนไทยสมัยใหม่นี้มีสถิติการทำความงามสูงเป็นอันดับที่ 21 ของโลก โดยเฉพาะการปรับรูปหน้าเรียว การเสริมหน้าอก ดูดไขมัน เสริมจมูก แต่งเปลือกตา และอื่นๆ ซึ่งโปรแกรมปรับรูปหน้าเรียวที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดก็คือการฉีดโบ และ ฟิลเลอร์ (Filler) นั่นเอง

                              • ฉีดโบ 
                                การฉีดโบคือโปรตีนชนิดหนึ่งได้จากการสกัดแบคทีเรียมีสรรพคุณในการคลายกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดโดยเฉพาะที่ใบหน้าให้กับผู้ที่ต้องการลบรอยตีนกา รอยเหี่ยวย่นหรือแม้แต่ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าเรียวให้สวยใสภายในไม่กี่วัน                                                                                              
                                การทำงานของการฉีดโบคือ เมื่อฉีดเข้าไปในใบหน้าแล้ว มันจะเข้าไปหยุดการคลายตัวของกล้ามเนื้อบริเวณนั้น แต่ผลดังกล่าวจะไม่อยู่อย่างถาวร หรืออาจอยู่ได้ประมาณ 6-8 เดือนเท่านั้นและอาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนขึ้นได้ เช่น หนังตาและคิ้วตก อาการตาแห้ง มุมปากและรูปปากเบี้ยว เกิดรอยจ้ำเลือดตรงบริเวณที่ฉีด
                              • ฟิลเลอร์ (Filler)
                                ฟิลเลอร์ (Filler) คือสารประกอบของคอลลาเจนที่มีอยู่แล้วในผิวหนังของคนเรา เป็นการเติมเต็มด้วยสาร Hyaluronic Acid ซึ่งก็คงทราบกันดีอยู่แล้วว่าคอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สำคัญต่อผิว เนื่องจากจะทำให้ผิวเต่งตึงลบรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า โปรตีนของคอลลาเจนจะเสื่อมสภาพลงเมื่อมีอายุมากขึ้น ทำให้ผิวไม่เต่งตึงดังเดิมจึงมีความจำเป็นต้องเสริมคอลลาเจนเพื่อให้ผิวฟื้นตัวและกลับมามีสภาพเหมือนเดิม                                                                                                                                          
                                การฉีดฟิลเลอร์จึงนิยมฉีดเพื่อการปรับรูปหน้าเรียว และการแก้ไขรูปใบหน้า เช่น การเสริมจมูก คาง แก้ม และการเติมเต็มร่องรอยต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น ร่องใต้ตา ร่องแก้ม หรือแม้แต่บริเวณลำคอ และหน้าอกให้กลับมาตึงเต่งเหมือนเดิม สารฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปสามารถที่จะย่อยสลายไปได้เองตามธรรมชาติของกระบวนการในร่างกาย ซึ่งจะมีผลอยู่ได้นานประมาณ 9-12 เดือน

                              ก่อนทำศัลยกรรมด้วยการฉีดโบ หรือฟิลเลอร์ ควรพิจารณาแพทย์ที่มีความชำนาญ และเข้าใจในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี เพื่อผลของการฉีดให้เกิดประโยชน์สูงสุด สำหรับสาวๆ ที่กำลังสนใจทำหน้าเรียวที่ปลอดภัยที่สุด ให้ผลดีที่สุด และคุ้มค่ากับการลงทุนปรับรูปหน้ามากที่สุด สามารถรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ รมย์รวินท์ คลินิก ทั้ง 24 สาขาทั่วประเทศหรือโทร 080 153 9000 หรือ 080 154 9000 ปรึกษาแพทย์ฟรีได้ทุกวัน

                               

                              5 วิธีทำหน้าเรียว วิธีไหนได้ผลดีที่สุด

                              5 วิธีทำหน้าเรียว

                              5 วิธีทำหน้าเรียว วิธีไหนได้ผลดีที่สุด

                              คุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจทำหน้าเรียวแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีใช่หรือไม่! เพราะในปัจจุบันมีเทคนิควิธีการปรับรูปหน้าเรียวมากมายหลากหลายประเภท ซึ่งล้วนแล้วแต่ให้ผลลัพธ์คล้ายคลึงกันทั้งสิ้น ถ้าเป็นเช่นนั้นเราลองมาพิจารณากันในรายละเอียดดีกว่าว่าวิธีการทำหน้าเรียวนั้นมีกี่ประเภทและเหมาะกับใครบ้าง

                              ฉีดโบ

                              ฉีดโบเป็นวิธีการทำหน้าเรียวรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ฉีดโบเป็นโปรตีนสกัดจากแบคทีเรีย “คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม” เมื่อฉีดเข้าไปจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นเป็นอัมพาตชั่วคราว ส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัว ช่วยลดริ้วรอยและเหมาะสำหรับใช้ปรับรูปหน้าให้ยกกระชับดูเรียว แต่ถ้าใช้มากเกินไปจะทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าไม่สามารถแสดงอารมณ์ได้และบางรายอาจมีอาการปวดบริเวณที่ฉีด

                              ร้อยไหม

                              การปรับรูปหน้าเรียวด้วยวิธีร้อยไหมละลายจำนวนหลายร้อยเส้นเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นอักเสบ ซึ่งจะไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่บริเวณรอบเส้นไหม จึงทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวถูกดึงรั้งขึ้นจนเต่งตึงทำให้หน้าเรียวดูกระชับวิธีการนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ผิวหนังยังไม่หย่อนคล้อยมากนัก แต่การร้อยไหมจะทำให้รู้สึกเจ็บ ไม่สบายหน้า บวม ฟกช้ำ ต้องใช้เวลา 1-2 วันจึงจะกลับมาเป็นปกติ

                              เมโสแฟต

                              เป็นการปรับรูปหน้าเรียวโดยใช้วิธีการฉีดยาที่เป็นสารสกัดจากถั่วเหลืองหรือไข่แดงและวิตามินต่างๆ โดยฉีดเข้าไปที่ชั้นไขมัน เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะทำให้ไขมันบริเวณดังกล่าวสลายตัว ทำให้เนื้อเยื่อมีความแข็งแรงและยกกระชับมากขึ้น การทำหน้าเรียวแบบนี้เหมาะสำหรับผู้มีสุขภาพดีแต่มีไขมันสะสมบริเวณต่างๆ บนใบหน้า ทั้งนี้ในบางรายอาจจะมีอาการแพ้สารที่ฉีดหรือติดเชื้อ หรือเกิดรอยช้ำและแผลเป็นรวมถึงอาจทำให้เป็นโรคชั้นไขมันอักเสบได้ ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังในการเลือกสถานบริการเสริมความงาม

                              ฟิลเลอร์

                              เป็นสารชนิดหนึ่งที่ใช้ฉีดเข้าสู่ผิวหนังเพื่อเติมเต็มบริเวณริ้วรอยหรือร่องลึกบนใบหน้า เป็นการทำหน้าเรียวอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลดี ฟิลเลอร์มีสองประเภทคือ แบบชั่วคราวซึ่งเป็นสารสกัดจากธรรมชาติมีความปลอดภัยสูงและสลายตัวตามธรรมชาติ กับประเภทถาวรที่สกัดจากซิลิโคน หรือน้ำมันพาราฟิน ซึ่งอาจจะมีผลข้างเคียงได้ การฉีดฟิลเลอร์เหมาะกับผู้มีริ้วรอย ร่องลึกบริเวณรอบดวงตา มุมปาก แก้ม รวมถึงบริเวณอื่นๆ บนใบหน้า ซึ่งสามารถฉีดเติมตามจุดที่ต้องการได้ง่ายและสะดวก แต่สำหรับบางรายอาจมีอาการบวมแดงหรือจับตัวเป็นก้อนได้ถ้าฉีดในปริมาณมากเกินไป

                              HIFU หรือ High Intensity Focus Ultrasound

                              เป็นการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์เข้มข้นสูงเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อ ทำให้ชั้นผิวหนังหดตัว กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้ผิวดูยกกระชับและปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยไม่มาก วิธีการทำหน้าเรียวแบบนี้ราคาไม่แพง ไม่ทำให้ผิวแสบร้อนและไม่ต้องใช้ยาชา แต่สำหรับบางรายอาจมีรอยแดงหลังทำแต่จะหายไปเองภายในเวลา 1-2 ชั่วโมง

                              การปรับรูปหน้าเรียวแต่ละประเภทมีความเหมาะสมกับแต่ละบุคคลแตกต่างกันไป ก่อนตัดสินใจเข้ารับบริการควรหาศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนโดยเลือกรับบริการจากสถานเสริมความงามที่ปลอดภัยได้มาตรฐานอย่างเช่นที่ รมย์รวินท์ คลินิก ด้วยประสบการณ์อันยาวนานกว่า 14 ปีจึงมั่นใจได้ว่าจะสามารถดูแลลูกค้าทุกท่านด้วยบริการปรับรูปหน้าเรียวที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยสามารถโทรเข้ามาปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนได้ที่เบอร์ โทร 080 153 9000 หรือ 080 154 9000

                              รู้ไว้ใช่ว่า ทำหน้าเรียว V-shape อย่างไรให้ได้ผล

                              249

                              ต้องยอมรับว่าความนิยมในการทำหน้าเรียวหรือทำให้ใบหน้าเป็น V-Shape นั้น คือความฝันของสาวไทยกว่า 90% เพราะใบหน้าที่เรียวงาม เป็นรูปหน้าที่ใครต่อใครต่างก็ยอมรับว่าสวย ทำให้คุณเป็นที่สะดุดตาสะดุดใจของผู้พบเห็น อีกทั้งใบหน้าเรียวยังช่วยเพิ่มโอกาสให้คนเราอย่างมากมาย เช่น งานบางสายก็ยังต้องอาศัยรูปร่างหน้าตาเป็นใบเบิกทาง ด้วยเหตุนี้ใครต่อใครจึงปรารถนาที่จะทำหน้าเรียว V-shape ว่าแต่ว่า ถ้าจะทำทั้งทีจะมีวิธีทำการอย่างไรให้ได้ผลดีที่สุดอันนี้คือโจทย์ต่อไปที่สำคัญ

                              • ความต่อเนื่องคือหัวใจของความสำเร็จ ว่าด้วยเรื่องของโปรแกรมการทำหน้าเรียวของบ้านเรานั้น มีเป็นหลายสิบวิธีกันเลยทีเดียว โปรแกรมที่หลายคนคุ้นชื่อกันดีก็อย่างเช่น การฉีดโบ, ฟิลเลอร์, ร้อยไหม,การทำ Hifu, Ulthera, การใช้เลเซอร์สลายไขมันบริเวณแก้ม,การฉีดเมโสประเภทต่างๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งสำหรับสาวที่อยากทำหน้าเรียวควรรู้คือ ผลของโปรแกรมเหล่านี้มักจะคงสภาพอยู่ได้ประมาณ 8-12เดือนเท่านั้นไม่ใช่คงอยู่ตลอดไป (ซึ่งขึ้นอยู่กับปัญหาและวิธีการทำหน้าเรียวที่เราเลือกใช้) ฉะนั้นสำหรับใครที่อยากมีใบหน้า V-shape ที่สวยสมใจจำเป็นต้องมีการทำซ้ำอย่างต่อเนื่อง
                              • เลือกวิธีที่ใช่สำหรับตัวคุณ อย่างที่หลายคนรู้แล้วว่าโปรแกรมการทำหน้าเรียวนั้นมีอยู่มากมายหลายวิธีโดยแต่ละโปรแกรมต่างก็มีจุดเด่นและวิธีการแตกต่างกันไป บางโปรแกรมเป็นการใส่สารเติมเต็มเข้าไปภายในร่างกาย บางโปรแกรมเป็นการสลายการทำงานของกล้ามเนื้อ บางโปรแกรมเป็นการสร้างแผลภายใต้ชั้นผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หรือสำหรับคนที่มีปัญหาที่โครงสร้างกระดูกอาจจะต้องทำการผ่าตัดศัลยกรรมเหลากรามใหม่กันเลยทีเดียว แต่การที่จะเลือกวิธีไหนนั้นสาวๆ ต้องรู้ให้แน่ชัดว่าปัญหาที่แท้จริงของตัวเองคืออะไร จากนั้นค่อยเลือกทำหน้าเรียวด้วยโปรแกรมที่เหมาะสม
                              • ทำควบคู่กันหลายวิธีสำหรับสาวๆ บางคนอาจจะมีปัญหาร่วมกันอยู่หลายอย่าง ฉะนั้นก็คงไม่ผิดถ้าหากจะใช้โปรแกรมที่หลากหลายเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน อย่างเช่นการทำหน้าเรียวด้วยการฉีดโบสำหรับผู้ที่ปัญหาเหนียงห้อยย้อยหย่อนยาน แต่ในขณะเดียวกันอาจจะมีการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มร่องแก้มและริ้วรอยบริเวณหางตาอย่างนี้เป็นต้น การทำหน้าเรียวด้วยหลากหลายวิธีผสมกันยิ่งจะทำให้สาวๆ มีรูปหน้า V-shape ที่สวยสมใจได้ง่ายขึ้น
                              • เลือกคลินิกดีมีชัยไปกว่าครึ่งเชื่อว่ายังมีคนที่อยากทำหน้าเรียวอีกบางส่วนที่ตัดสินใจทำหน้าเพียงเพราะโปรโมชั่นราคาที่โดนใจมากกว่าการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของคลินิก หรือคุณภาพของโปรแกรมของคลินิกแต่ละแห่ง เพราะการลดราคาที่ถูกจนน่าตกใจบางครั้งอาจซ่อนความจริงบางอย่างเอาไว้ เช่น ลดความเข้มข้นของตัวยาลง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเราอาจจะเสียเงินทำไปโดยที่ไม่ได้ผลอยู่ดี

                              และนี้ก็เป็นคำแนะนำเล็กๆน้อยๆ สำหรับการทำหน้าเรียวให้สวยได้รูป V-shape ที่เรานำมาฝากกัน บางครั้งการสนใจทำตามกระแสอย่างเดียวก็คงไม่พอ แต่เราในฐานะผู้บริโภคต้องศึกษาวิธีการอย่างละเอียด รวมถึงเลือกคุณภาพมากกว่าราคา เพียงเท่านี้ก็จะทำให้คุณทำหน้าเรียวได้สวยสมใจสำหรับท่านที่มีปัญหาอยากปรึกษาการปรับรูปหน้าให้ได้ผลดีที่สุด สามารถติดต่อเราได้ที่ รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขา เรามีโปรแกรมทำหน้าเรียวไว้คอยบริการท่านอย่างครบวงจร

                              ร้อยไหม ปรับรูปหน้าเรียว เหมาะสำหรับใคร เตรียมตัวเอาไว้จะได้ไม่พลาด

                              248

                              การปรับรูปหน้าเรียวให้ดูดีถือเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยปรับบุคลิกภาพภายนอกเพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองมากขึ้น และต้องยอมรับว่าในยุคสมัยนี้โปรแกรมทำหน้าต่างก็ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย อย่างเช่นวิธีปรับรูปหน้าเรียวด้วยการร้อยไหม ซึ่งสามารถช่วยชะลออายุให้กลับไปแลดูเหมือนหนุ่มสาวได้อีกครั้ง และยังเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆในคลินิกเสริมความงามอีกด้วย

                              ร้อยไหมปรับรูปหน้าเรียวคืออะไร

                              การร้อยไหมปรับรูปหน้าเรียวเป็นการศัลยกรรมอีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถช่วยปรับรูปหน้าเรียวให้กระชับได้สัดส่วนอย่างสวยงาม ซึ่งไม่ต้องอาศัยการผ่าตัดหรือใช้เวลาพักฟื้นนานๆ อีกทั้งยังมีผลกระทบหรือผลข้างเคียงน้อยด้วยเช่นกัน โดยชนิดของไหมที่ใช้นั้นมีหลายแบบ แต่ส่วนใหญ่ที่ใช้จะเป็นไหมละลายที่มีคุณสมบัติช่วยยกกระชับและปรับรูปหน้าเป็น V – shape
                              โดยปกติแพทย์มักจะเลือกใช้ไหมละลายแบบมีเขี้ยวหรือมีเงี่ยงที่เรียกว่า Cog threadsเพราะจะช่วยเกี่ยวชั้นใต้ผิวหนังพร้อมกับดึงขึ้นเพื่อล็อกเนื้อเยื่อ เพียงแค่ใช้ไหม 10 เส้น ก็สามารถปรับรูปหน้าเรียวของโครงสร้างใบหน้าได้ตามที่ต้องการได้ หลังจากนั้นจะมีการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้เกี่ยวพันรอบแนวเส้นไหม รวมทั้งยังช่วยให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงบริเวณนั้นได้ดี จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นการยกกระชับผิวพร้อมกับฟื้นฟูสภาพผิวให้แลดูอ่อนเยาว์ไปในตัว

                              ขั้นตอนกาปรับรูปหน้าเรียวด้วยการร้อยไหม

                              แพทย์จะเริ่มต้นด้วยการทายาชากับฉีดยาชาบริเวณบางจุดบนผิวหนังก่อนปรับรูปหน้าเรียวด้วยการร้อยไหมจากนั้นจึงค่อยนำเส้นไหมที่อยู่ปลายเข็มเข้าไปยึดกับเนื้อเยื่อผิวหนัง โดยพิจารณาตามโครงสร้างใบหน้าของผู้รับบริการ ซึ่งใช้เวลาในการทำทั้งหมดประมาณ 20 – 40 นาที และอาจจะรู้สึกเจ็บระหว่างทำหรือมีอาการบวมและรอยช้ำบ้างเล็กน้อย แต่จะหายไปเองได้ภายใน 1 – 2 สัปดาห์

                              การปรับรูปหน้าเรียวด้วยวิธีนี้จะสังเกตเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น หลังจากที่ร้อยไหมทำหน้าเรียวแล้ว 2 สัปดาห์ โดยจะคงสภาพรูปหน้า V – shape นี้ได้ประมาณ 1 – 2 ปี ก็ควรจะกลับมาทำการร้อยไหมซ้ำใหม่อีกครั้ง เพื่อรักษาโครงหน้าให้ยกกระชับตามความต้องการ

                              ร้อยไหมทำหน้าเรียวเหมาะสำหรับใคร

                              เมื่อใบหน้าที่เรียวกระชับได้รูปตามโครงสร้างใบหน้าอย่างสวยงาม คือสุดยอดความปรารถนาด้านความงามของผู้ที่อยากใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ดุจวัยหนุ่มสาว ดังนั้นกลุ่มคนที่เหมาะกับการร้อยไหมทำหน้าเรียวมีดังต่อไปนี้

                              1. ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยไม่กระชับ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป เนื่องจากช่วงวัยนี้จะมีการผลิตคอลลาเจนที่ชั้นใต้ผิวหนังลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้โครงสร้างขาดความยืดหยุ่นกระชับ ก่อให้เกิดปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหนังได้ เพราะฉะนั้นการปรับรูปหน้าเรียวด้วยวิธีร้อยไหมจึงเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนว่าผิวหนังที่หย่อนคล้อยนั้นกระชับยกขึ้น
                              2. ผู้ที่มีไขมันบริเวณแก้มและกรามเยอะ กลุ่มนี้จะเป็นคนที่มีใบหน้าค่อนข้างกลม เนื่องจากมีปริมาณไขมันสะสมที่แก้มและกรามเยอะ จนทำให้ใบหน้าแลดูบานหรือมีเหนียงย้อยนั่นเอง แต่ควรปรับรูปหน้าเรียวด้วยวิธีนี้ควบคู่กับการฉีดสลายไขมันที่แก้มไปด้วย ถึงจะได้ผลอย่างน่าพึงพอใจ หากสาวๆ อยากมีใบหน้าที่เรียวยกกระชับได้รูป การปรับรูปหน้าเรียวด้วยวิธีร้อยไหมก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยได้ทันใจและไม่ต้องเสียเวลาผ่าตัดหรือพักฟื้นด้วยแล้ว ผิวหน้ายังเต่งตึงแลดูเปล่งปลั่งอย่างกับได้ย้อนวัยสาวอีกครั้งเลยค่ะ

                              หากสาวๆ อยากมีใบหน้าที่เรียวยกกระชับได้รูป การปรับรูปหน้าเรียวด้วยวิธีร้อยไหมก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยได้ทันใจและไม่ต้องเสียเวลาผ่าตัดหรือพักฟื้นด้วยแล้ว ผิวหน้ายังเต่งตึงแลดูเปล่งปลั่งอย่างกับได้ย้อนวัยสาวอีกครั้งเลยค่ะ

                              ผิวขาดความกระชับ “กระชับผิวหน้า” ลดหน้าหย่อนคล้อย กับ HIFU

                              7

                              การมีรูปหน้าที่ตึงกระชับได้รูปผิวหน้าหน้ากระจ่างใส ไร้จุดด่างดำ นั้นเป็นความโชคดีของผู้หญิงโดยแท้ แต่จะมีสักกี่คนที่มีความสมบูรณ์แบบทั้งรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณที่ไร้ตำหนิ แต่ด้วยสิ่งที่ผู้หญิงต้องการนั้นมันไม่ได้มาแบบพร้อมกันซะทีเดียวจะต้องมีได้เสริมเติมแต่ง ตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองด้วยกันทั้งนั้นยิ่งสาว ๆ ด้วยแล้ว ผิวหน้านี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ทุกคนถวิลหา อยากมีผิวใสหน้าสวย ผิวเรียบเนียน ตึงกระชับผิวหน้า ได้รูปกันทั้งนั้น 

                              ดังนั้นสาว ๆ จึงต้องสรรหาวิธีการมาบำรุงผิวหน้า เพื่อกระชับผิวหน้า เพื่อชะลอการเกิดริ้วรอย เพื่อช่วยลดความหย่อนคล้อยของใบหน้าอยู่เสมออันดับแรกของการดูแลผิวหน้าที่สะดวกที่สุดที่ทุกคนนึกถึง น่าจะเป็นครีมบำรุงผิว ยี่ห้อต่าง ๆ ที่มีการโฆษณา ทั้งทางทีวี  อินเตอร์เน็ต สื่อออนไลน์ ทั้งหลาย ซึ่งคุณสมบัติของการใช้ครีมบำรุงผิว ก็คล้าย ๆ กัน ใช้แล้วเห็นผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง แต่บางคนซ้ำร้ายไปกว่านั้น  เลือกใช้ครีมที่ไม่ได้มาตรฐาน กลับทำให้หน้าพังไปกว่าเดิม แย่กันไปเลยใช่มั๊ยค่ะ  อย่าเพิ่งกังวลไป ด้วยปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ก้าวล้ำไปมาก  ทำให้คิดค้นนวัตกรรมตัวใหม่ที่มีประสิทธิภาพทางการรักษาผิวหน้าให้ยกกระชับ ได้รูปได้สัดส่วน เรียบเนียน ตึงกระชับผิวหน้า ได้ในไม่กี่ชั่วโมง แถมสะดวก และง่าย จบปิ้งในขั้นตอนเดียว อีกทั้งไม่เจ็บ และไม่ต้องฟักฟื้นอีกด้วย

                              นวัตกรรมตัวใหม่ล่าสุด ที่กำลังเป็นที่นิยมตามสถาบันเสริมความงามต่าง ๆ ก็คงต้องยกให้พระเอกตัวจริง เป็นตัวนี้เลย กับ นวัตกรรม  HIFU  เป็นเทคโนโลยีการรักษาทางการแพทย์สำหรับผิวโดยเฉพาะ คุณสมบัติช่วยยกกระชับปรับรูปหน้า กระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด

                              HIFU คืออะไร

                              HIFU หรือชื่อเต็ม High Intensity Focus Ultrasound เป็นการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ความเข้มข้นสูง เป็นเทคโนโลยีล่าสุดสำหรับทำการรักษาด้านความงามหลักการทำงานของ HIFU คือ การใช้คลื่น ส่งผ่านไปยังเนื้อเยื่อแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ในอุณหภูมิประมาณ 65 องศาเซลเซียส ซึ่งพลังความร้อนจากคลื่น  Ultrasound จะทำให้เกิดความร้อนในบริเวณที่โฟกัสเท่านั้น โดยคลื่นพลังงานจะไม่ส่งผลกระทบต่อชั้นหนังกำพร้า  จึงไม่ทำให้ผิวเกิดการแสบไหม้ หรือเกิดรอยดำเกิดขึ้น ผลที่ได้จากการรักษาด้วยเทคโนโลยี  HIFU คือ ช่วยปรับหน้าที่ห้อย หย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัดเจน มุมปากตก มีร่องมุมปากหนังตาหย่อน  ให้กระชับผิวหน้าขึ้น

                              shutterstock 748987114

                              ผลลัพธ์รักษาด้วย HIFU

                              • ภายใน 1 สัปดาห์ หลังทำผิวจะอิ่มฟูขึ้น ประมาณ 20% และหากทำอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เห็นผลที่ชัดเจน และคงทนขึ้นมากขึ้น
                              • การยกกระชับผิวหน้าด้วย HIFU ไม่มีสารแปลกปลอมเข้าใบหน้า ปลอดภัยในระยะยาว และไม่ต้องทนเจ็บขณะทำ หลังทำไม่มีรอยช้ำ บวมแดง หรือแผลใดๆเกิดขึ้น
                              • ประสิทธิภาพของ HIFU จะเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อในชั้นผิวหนังระดับลึก ใต้ผิวหนังทำให้ผิวหนังหดตัว คล้ายกับการเย็บที่เนื้อ ส่งผลทำให้เกิดกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนหรือสร้างเนื้อเยื่อใหม่เพิ่มขึ้นมา ซึ่งเป็นการดึงหน้าที่ทำให้ผิวดูยกกระชับและดูอ่อนเยาว์ขึ้น
                              • เนื้อเยื่อที่เกิดขึ้นใหม่ จะทำให้ผิวจะมีความเรียบเนียนขึ้นเรื่อย ๆ เห็นผลชัดเจนภายใน 3 เดือน เมื่อทำแล้วจะคงสภาพอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน – 1 ปี
                              • การอยู่คงทนของผิว ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งของการทำ HIFU และแต่ละคนจะไม่เท่ากัน โดยขึ้นอยู่กับปัญหาของรูปหน้าแต่ละคน การดูแลรักษาผิวหลังการใช้บริการ และสภาพผิวของแต่ละคนก็มีส่วน

                              ข้อดีของ HIFU

                              การรักษารูปหน้ายกกระชับผิวหน้าด้วย HIFU เป็นวิธีที่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิว และริ้วรอยไม่มากนัก อีกทั้งราคายังไม่แพงมากเกินไปทำบ่อยครั้งได้ และยังสามารถทำการรักษาร่วมกับ โปรแกรมอย่างอื่นได้ ระหว่างทำการรักษาด้วย HIFU จะรู้สึกอุ่นๆ บนผิวขณะทำ ผิวจะไม่แสบร้อนจึงไม่ต้องใช้ยาชา ทำให้ผู้ที่เข้ารับการรักษาไม่รู้สึกเจ็บหลังจากการทำ และสามารถใช้ชีวิตปกติประจำวันได้เพราะไม่มีบาดแผล ไม่บวมแดง และไม่ต้องพักฟื้น หลังจากเข้าใช้บริการ

                              ข้อเสียของ HIFU

                              หลังการเข้าใช้บริการ รักษาด้วย Ultrasound  ของ HIFU อาจมีรอยแดงเกิดขึ้นบ้างหลังการทำ และจะหายไปได้เองภายใน 1 – 2 ชั่วโมง

                              การเตรียมตัวเองก่อนการทำ HIFU

                              ไม่ควรสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เนื่องจากมีส่วนจะช่วยเอื้อต่อการสร้างคอลลาเจนให้กับเซลล์ที่กำลังถูกสร้างขึ้นมาใหม่เป็นไปได้ด้วยดีต้องดูแลสุขภาพให้พร้อม พักผ่อนให้เพียงพอ ก่อนเข้าใช้บริการ

                              การดูแลหลังการทำ HIFU

                              ควรทาครีมบำรุงผิวเพื่อเป็นการบำรุงผิวที่เกิดขึ้นใหม่ให้มีความชุ่มชื่นอยู่เสมอ ผิวจะได้แข็งแรงคงอยู่ได้อย่างยาวนานขึ้นเมื่อต้องออกแดด ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ เข้าไว้ หลีกเลี่ยงแสงแดดที่มากระทบผิวโดยตรง หากมีอาการตึงผิวสามารถทานยาแก้ปวดได้ และไม่ควรถูนวดใบหน้าแรงๆ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะไปยับยั้งและทำลายการสร้างคอลลาเจนที่กำลังเกิดขึ้นใหม่ในชั้นใต้ผิวหนัง

                              เห็นอย่างนี้แล้วต้อง ขอขอบคุณเทคโนโลยีด้านความงามสมัยนี้จริงๆ นวัตกรรม HIFU นี้ ช่วยเติมเต็มให้ผู้หญิงผู้ที่มีความรักสวยรักงาม ได้เป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบได้สมใจ อีกทั้งยังสะดวกรวดเร็วยกกระชับผิวหน้าได้ดั่งใจเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกในขั้นตอนเดียว ให้ความรู้สึกถึงผลลัพธ์ของการรักษาก่อนทำและหลังทำได้ชัดเจน มันช่างเป็นที่น่ายินดียิ่งนักใช่มัยค่ะสาว ๆ สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาผิวอยากทดสอบประสิทธิภาพของ HIFU ก่อนตัดสินใจทำ ก็ควรเลือกสถานบริการที่ปลอดภัย ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ เช็คข้อมูลกันให้แน่นๆ เพื่อผลลัพธ์ที่ได้มานั้น คุ้มค่า คุ้มราคา กับค่าใช้จ่ายที่หายไปจากกระเป๋ากันให้ดีนะคะ…

                              ปรับหน้า V ให้หน้าเรียว “กระชับผิวหน้า” ด้วย HIFU ช่วยปรับรูปหน้า

                              6

                              จะมีสักกี่คน ปัจจุบันนี้ที่ไม่อยากหน้า วีเซฟ มันคือสุดยอดของการมีหน้าที่สวย สะดุดตาอยู่ไม่น้อยสำหรับ สาว ๆ คนไหนที่มีรูปหน้า วี หน้าเรียว ไม่แปลกที่สาวๆ จะหาวิธี และ หาเครื่องมือที่จะใช้ปรับรูปหน้าให้กระชับผิวหน้าได้สัดส่วน บางคนหันไปเพิ่งมีดหมอ ตัดนั่น เติมนี่ สวยด้วยแพทย์กันทั้งนั้น ยุคนี้สมัยนี้ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องอาย ที่จะบอกใคร ๆ ต่อใครว่าที่สวยได้แบบนี้เพราะหมอทำ มีแต่จะบอกว่า หมอที่ไหนดี ทำที่ไหนดี ทำให้ต่างเสาะหาแหล่งทำสวยกันโครม ๆ  เปิดเผยแบบออกนอกหน้ากันไปเลย

                              ปัจจุบันจึงได้มี เทคโนโลยีกระชับผิว อย่าง HIFU เกิดขึ้น เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตส์ของสาว ๆ กัน  ยุคนี้สมัยนี้ใครไม่รู้จัก HIFU ถือว่าเอ้าส์ แล้วนะ ดังนั้นเรามาทำความรู้จัก HIFU แบบชัด ๆ กันว่ามันคืออะไร ทำไมถึงทำให้หน้ากระชับได้

                              HIFU คืออะไร

                              HIFU หรือ ชื่อเต็มเรียกว่า  High Intensity Focus Ultrasound เป็นการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ความเข้มข้นสูง เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดสำหรับการทำการรักษาด้านความงาม  หลักการทำงานของ HIFU คือ การ ultrasound ลงไปยังชั้นผิว คลื่นอัลตร้าซาวด์จะถูกส่งผ่านไปยังเนื้อเยื่อแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน อุณหภูมิประมาณ 65 องศาเซลเซียส โดยพลังความร้อนจะโฟกัสในจุดบริเวณที่เท่านั้น โดยจะไม่ส่งผลต่อผิวชั้นหนังกำพร้า  จึงไม่ทำให้ผิวแสบไหม้ หรือเกิดรอยดำขึ้นที่ผิว การรักษาด้วยเทคโนโลยี  HIFU  ช่วยปรับหน้าที่ห้อย หย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัดเจน มุมปากตก มีร่องมุม ร่องแก้ม ร่องปาก ให้กระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น

                              shutterstock 1182525256

                              HIFU ให้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างไร

                              • บริเวณที่ทำการรักษาด้วย HIFU จะเห็นผลภายใน  1 สัปดาห์ ผิวจะค่อย ๆ อิ่มฟูขึ้น สามารถทำได้หลายครั้งต่อเนื่องได้ การทำหลายๆ ครั้งอย่างต่อเนื่องจะเห็นผลที่ชัดเจน และยาวนานขึ้น 
                              • การทำ HIFU ไม่มีสารแปลกปลอมเข้าใบหน้า ปลอดภัยในระยะยาว การรักษาไม่เจ็บมากระหว่างทำ หลังทำไม่เกิดรอยช้ำ บวมแดง หรือเป็นแผล
                              • HIFU เข้าไปทำลายเนื้อเยื่อในชั้นผิวหนังระดับลึก   ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนหรือสร้างเนื้อขึ้นเยื่อมาใหม่ ซึ่งส่งผลให้ผิวดูยกกระชับและอ่อนเยาว์ขึ้น
                              • หลังทำกรรักษา ผิวจะมีความเรียบเนียนขึ้นภายใน 1-3  เดือน ให้ผลชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ  เมื่อทำแล้วจะคงสภาพอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน – 1 ปี 
                              • การรักษาด้วยHIFU จำนวนครั้งที่ทำจะไม่เท่ากัน  โดยขึ้นอยู่กับปัญหาและรูปโครงหน้าของแต่ละคน แต่ควรเว้นระยะห่างจากการทำจากครั้งแรกประมาณ 2 เดือน โดยต้องทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน

                              การดูแลหลังการทำ HIFU

                              ต้องใช้ครีมบำรุงผิวเพื่อบำรุงผิวให้เกิดความชุ่มชื้น เพื่อบำรุงผิวที่เกิดขึ้นใหม่ให้แข็งแรง และทาครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกนอกบ้าน และควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ เข้าไว้  อาจมีอาการเมื่อยหรือตึงผิว หากมีอาการให้ทานยาแก้ปวดได้ และไม่ควรนวด ถูใบหน้าแรงๆ ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเป็นสาเหตุตัวการทำลายการสร้างคอลลาเจนที่กำลังถูกสร้างขึ้นมาใหม่ใต้ชั้นผิวหนัง

                              เทคโนโลยีความงามยุคนี้สมัยนี้วิเศษมากจริง ๆ   ช่วยทำให้ผู้หญิงอย่างเราเดินต่อไปได้ สร้างปรกฎการณ์หน้าตึงกระชับ ยกส่วนที่หย่อนคล้อย ห้อยย้อย ให้กลับมาเต่งตึงยังกับเสกได้ ที่สำคัญทำเพียงครั้งแรกก็ให้ความรู้สึกรับรู้ถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผิว  ก่อนทำและหลังทำได้อย่างชัดเจนช่างเป็นตัวเลือกที่น่าพิสูจน์ความจริงให้กับสาว ๆ ได้ลองเลือกใช้เพื่อคงความสวย ผิวเรียบตึงกระชับ แลดูอ่อนเยาว์ สวยใสได้ไปอีกนาน……. 

                              เก็บแนวคาง ลดเหนียง.. ยก “กระชับผิวหน้า” ในขั้นตอนเดียว

                              5

                              ปัญหาของคนเรา พอเริ่มมีอายุมาขึ้น ปัญหาหลากหลายเริ่มตามมา คนส่วนใหญ่มักจะเกิดความหย่อนยานของผิวหนัง แทบทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะผิวบริเวณใบหน้า หน้าผาก หางตา หนังตา ร่องแก้ม คางเหนียง เกิดขึ้นได้ ซึ่งแต่ละคนก็หาวิธีที่จะดูแล บำรุง อยากให้ผิวบริเวณใบหน้ากลับมาเรียบดึง กระชับผิวหน้าเหมือนเดิม บางคนฉีดสารเคมี ทำเลเซอร์ หรือผ่าตัด กันซะเลย เพื่อแก้ปัญหาให้กับผิวหน้า

                              แต่ด้วยวิวัฒนาการสมัยใหม่ เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีการพัฒนา ได้มีเครื่องมือในการยกกระชับผิวหน้า ให้ ผิวบริเวณต่างๆ ให้ยกกระชับ ในขั้นตอนเดียว โดยเฉพาะผิวหน้า ล็อคกรอบหน้า ให้ตึงกระชับได้รูป ด้วย HIFU และ Thermage ที่อยากแนะนำ สองตัวนี้ช่วยยกกระชับผิวหน้าได้เหมือนกัน แต่ประสิทธิภาพต่างกัน จึงขอเปรียบเทียบข้อมูลให้เพื่อเป็นทางเลือกให้ได้ชิมลางกัน

                              HIFU  คืออะไร

                              HIFU คือ การใช้เลเซอร์ รักษายกกระชับผิวหน้า ชื่อก็น่าใช้แล้วเนอะ ทำแล้วหน้าจะต้องฟู ๆ แน่ๆ  HIFU  ย่อมาจาก High Intensity Focus Ultrasound เป็นการนำคลื่นเสียงความถี่สูงที่สามารถปล่อยคลื่นเสียงออกโดยโฟกัสเฉพาะจุด ตรงลึกถึงโครงสร้างเนื้อเยื่อชั้นใน คลื่นมีความเข้มข้นสูงถูกปล่อยออกมา 1000 ครั้ง / วินาที ผลที่ได้คือทำให้เกิดกระบวนการเสริมสร้างเนื้อเยื่อใหม่ของร่างกายและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยยกกระชับผิวหน้าที่มีความหย่อนคล้อย ทำแล้วไม่เจ็บปวดเวลาทำซึ่งเป็นการดึงหน้าที่ส่งผลให้ผิวดูยกกระชับและอ่อนเยาว์ ให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6 เดือน ถึง 1 ปี

                              shutterstock 655858126

                              Thermageคืออะไร

                              Thermage เป็นการใช้ความถี่ของคลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว ซึ่งนำมาใช้กระตุ้นได้ลึกลงตั้งแต่ชั้นหนังแท้จนถึงชั้นกล้ามเนื้อ โดยคลื่นนี้จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ และทำให้ส่วนที่หย่อนคล้อยไม่กระชับหดตัว ผิวที่ถูกทำด้วย Thermage จะกลับมามีเกลียวขึงเนื้อเยื่อทำให้มีความยืดหยุ่นและกระชับได้ดีอีกครั้ง Thermage  ช่วยยกกระชับได้ทั้งผิวหน้า ผิวกาย และลดริ้วรอยโดยไม่ต้องผ่าตัด อีกทั้งผิวในบริเวณที่ทำ Thermage จะดูมีน้ำมีนวลเต่งตึงขึ้น ส่งผลให้ยกกระชับผิวหน้า ลดความหย่อนคล้อยของผิวหน้า ผิวกายผิวมีริ้วรอยร่องแก้มลึก ผู้ที่มีหนังตาตก ต้องการยกคิ้ว ยกหางตาขึ้นกระชับหนังตาบน อีกทั้งผิวหมองคล้ำไม่สดใส มีริ้วรอยรอบดวงตา หน้าผาก และริมฝีปาก ยังเหมะกับผู้ที่มีปัญหาผิวเหี่ยวย่นบริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา และมือ แม้แต่ผู้ที่ผิวไม่เรียบเนียนเป็นเซลล์ลูไลท์ก็สามารถทำได้ทำแล้วอยู่ได้นาน1 – 2 ปีทำให้ดูอ่อนเยาว์ลง แต่ตอนเวลาทำค่อนข้างเจ็บ ต้องแปะยาชาก่อนทำ

                              ผลลัพธ์หลังทำ HIFU และ Thermage

                              1. ช่วยดึง ยกกระชับผิวหน้าและผิวกายที่หย่อนคล้อยให้ตึงกระชับขึ้น
                              2. ช่วยแก้ไขปัญหาหนังตาตก
                              3. ช่วยดึงกระชับขอบตาล่างที่หย่อนยาน
                              4. ช่วยดึงกระชับ ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น

                              ข้อดีของHIFU

                              • เป็นวิธีที่เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยน้อยๆ
                              • ทำได้บ่อยครั้งและหลังการทำ HIFU ยังสามารถทำการรักษาอย่างอื่นอีกได้
                              • เวลาทำจะรู้สึกอุ่นๆ บนผิวขณะทำ ผิวจะไม่แสบร้อนและไม่ต้องใช้ยาชา
                              • ไม่รู้สึกเจ็บหลังจากการทำไม่มีบาดแผลและไม่ต้องพักฟื้น

                              ข้อดีของ Thermage

                              • ไม่มีผลข้างเคียงในระยะยาว
                              • ทำง่าย สะดวก รวดเร็ว และไม่มีร่องรอยหรือบาดแผลหลังทำ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
                              • ทำได้กับทุกสีผิวหรือผู้ที่มีผิวเข้มก็ทำได้
                              • รักษาเพียงครั้งเดียว ก็เห็นผล ซึ่งต่างจากเลเซอร์ทั่วไปที่ต้องทำซ้ำถึง 3 – 4 ครั้ง

                              การดูแลหลังการรักษา

                              1. อาจมีรอยแดงเกิดขึ้นเล็กน้อยหลังทำ และจะจางหายไปเองภายใน 1-3 ชั่วโมง
                              2. หลีกเลี่ยงการสตรีมซาวด์น่า นวดหน้าด้วยความร้อน หลังทำ 1 สัปดาห์
                              3. หลีกเลี่ยงแสงแดดที่มากระทบผิวโดยตรงและทาครีมกันแดดทุกครั้งที่ออกแดด
                              4. สามารถใช้ครีมบำรุงต่างๆ หรือแต่งหน้าได้ตามปกติทันที

                              จะเห็นได้ว่า วิวัฒนาการทางการแพทย์สามารถช่วยแก้ปัญหา ให้กับเราได้ แต่การจะเลือกใช้อะไรเป็นตัวช่วยนั้นต้องศึกษาในรายละเอียดให้ดี ๆ  เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ ที่เป็นที่น่าพึงพอใจ อย่างวิธีที่แนะนำ ระหว่าง HIFU และ Thermage นั้น สามารถช่วยยกกระชับผิวหน้าได้เหมือนกัน จะแตกต่างกันที่ผลลัพธ์ และ ราคา ที่เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจว่าควรจะใช้ตัวไหนดี และควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง การให้ความสำคัญแก่สถานที่ ที่ให้บริการ เครื่องมือ และอุปกรณ์ในการรักษาก็ควรเลือกสถานบริการที่น่าเชื่อถือ เพื่อความคุ้มค่า คุ้มราคากับเงินที่ต้องจ่ายออกไปกันนะค่ะ

                              คืนรูปหน้า..หน้าเสียทรง “กระชับผิวหน้า” ลดอายุผิว ให้หน้าตึงกระชับ

                              3

                              พออายุมากขึ้น กระดูกจะเล็กลง เป็นสาเหตุทำให้จุดเชื่อมใบหน้าไม่แข็งแรง ทำให้เกิดปัญหา หน้าตก หย่อนคล้อย

                              ทำให้ไขมันใต้ผิวลดลงตามอายุที่มากขึ้น การดูแลตั้งแต่เริ่มต้น ป้องกันไว้ไม่ให้โครงหน้าทรุด ใบหน้าก็จะสวยอ่อนวัย

                              หากมาแก้ไขปัญหารูปหน้าในเวลาที่สายเกินไป นอกจากจะแก้ไขยาก ใช้เงินเยอะแล้ว ยังยากที่จะทำให้กลับมาหน้าตึงสวยเหมือนตอนวัยรุ่น ซึ่งการคงกระชับผิวหน้าไว้ หยุดมันไว้จะดูง่ายกว่ามาก

                              หน้าตึงได้แบบไม่ศัลย์ด้วย Thermage

                              การทำ Thermage ช่วยแก้ปัญหาผู้ที่มีใบหน้าหย่อนคล้อย กระชับผิวหน้า มีริ้วรอยร่องแก้มลึก มีหนังตาตก ต้องการยกคิ้ว ยกหางตาขึ้นกระชับหนังตาบน อีกทั้งผู้ที่มีผิวหมองคล้ำไม่สดใส มีริ้วรอยรอบดวงตา หน้าผาก และริมฝีปาก และยังช่วยแก้ปัญหาผิวเหี่ยวย่นบริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา และมือ ผิวไม่เรียบเนียนเป็นผิวเซลล์ลูไลท์ก็สามารถทำได้ทั่วทั้งตัว

                              shutterstock 1125103823

                              Thermage กับ คอลลาเจน

                              คอลลาเจน (Collagen)  เป็นโปรตีนเนื้อเยื่อเส้นใยที่ร่างกายมนุษย์สร้างขึ้นได้เองตามธรรมชาติทำหน้าที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายผิวหนังที่มีคอลลาเจนอยู่ในชั้นหนังแท้ จะช่วยทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล กระชับผิวหน้า ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนได้มากเมื่ออายุยังน้อย แต่เมื่อมีอายุเพิ่มขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนจะลดลงเรื่อยๆ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยปล่อยให้ผิวร่วงเลยไปตามวัย เทคโนโลยีทางการแพทย์กับนวัตกรรม Thermage สามารถช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวทำให้ผิวแข็งแรง เรียบเนียน ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวและชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้

                              ปัจจัยที่ทำลายคอลลาเจน

                              • เมื่ออายุเพิ่มขึ้น คอลลาเจนจะค่อย ๆ เสื่อมตามอายุที่มากขึ้น เพราะเซลล์ไฟโบรบลาสต์ที่ทำหน้าที่ผลิตคอลลาเจนเสื่อมลง
                              • แสงแดด รังสี UVA มีส่วนทำลายคอลลาเจนในชั้นผิวลึกได้ และทำให้เกิดริ้วรอย
                              • สภาพแวดล้อม มลภาวะ ทั้งฝุ่นละออง ควันพิษที่ต้องเผชิญในแต่ละวัน
                              • ความเครียด ทำให้ร่างกายผลิตคอร์ติซอล ฮอร์โมนที่ไปทำลายคอลลาเจนใต้ผิวหนัง
                              • การสูบบุหรี่ สารนิโคตินจะไปรบกวนการสร้างคอลลาเจน

                              ดังนั้น จึงเป็นตัวช่วยในการเสริมสร้างคลอลาเจนที่ถูกทำลายและลดน้อยลงไปตามอายุ และวัยที่ล่วงเลย วิธีการรักษาด้วย  Thermage เป็นการใช้คลื่นวิทยุส่งผ่านความร้อนไปยังชั้นหนังแท้ส่วนที่ลึกที่สุดของผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่มีอยู่เดิมให้สร้างขึ้นมาใหม่ ทำให้กระชับผิวหน้าขึ้นผิวเรียบเนียน รูขุมขนเล็กลง และช่วยลดริ้วรอย  อีกทั้งการรักษาไม่ต้องผ่าตัดทำศัลย์กรรม ไม่ทิ้งร่องรอยและแผลเป็นให้กับผิว

                              ใครที่เหมาะที่จะทำThermage

                              • ผู้ที่มีปัญหาไขมันใบหน้าเยอะ หน้าหย่อนคล้อยมีเหนียงใต้คาง
                              • ผู้ที่ มีริ้วรอยร่องแก้มลึก
                              • ผู้ที่มีหนังตาตก หรือยกหางตาขึ้นและกระชับหนังตาบน
                              • ผู้ที่ต้องการยกคิ้ว หน้าผาก
                              • ผู้ที่ผิวหมองคล้ำไม่สดใส มีริ้วรอยรอบดวงตา
                              • ผู้ที่มีปัหาริมฝีปากไม่กระชับได้รูป
                              • ผู้ที่มีปัญหาผิวเหี่ยวย่นบริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา และมือ
                              • ผู้ที่มีผิวไม่เรียบเนียน มีไขมันเป็นเซลล์ลูไลท์ สามารถทำได้ทุกส่วนของร่างกาย

                              ข้อดีของThermage

                              • ผิวตึงกระชับทันทีหลังทำการรักษา จะเห็นผลได้ชัดเจน ตั้งแต่เดือนแรกและชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเดือนที่ 6
                              • ใช้เวลาในทำการรักษาประมาณ 30-60นาที /ครั้ง
                              • ให้ผลได้ยาวนาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิว การดูแลบำรุงผิวการทานอาหาร และการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล
                              • หลังการรักษาไม่ทำให้เกิดริ้วรอยและแผลเป็น
                              • หลังทำสามารถทาครีม แต่งหน้า ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

                              ผู้ที่ต้องระวังสำหรับทำThermage

                              • ผู้ป่วยตั้งครรภ์
                              • ผู้ป่วยโรคมะเร็ง
                              • ผู้ป่วยใส่สายสวนหัวใจ
                              • ผู้ป่วยที่มีโลหะในร่างกาย

                              อย่างไรก็ตามการกระชับผิวหน้าด้วยการทำ Thermage อาจมีผลข้างเคียงจากการทำ คือ อาจเกิดผื่นในจุดที่ทำและมีอาการบวมแดงเล็กน้อย แต่ไม่ต้องกังวลอะไร ซึ่งสามารถหายได้เอง และการทำการรักษามีความเจ็บปวดอยู่บ้าง ก่อนทำจึงต้องทายาชาเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดของคนไข้ แต่สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาคือ มาตรฐานของสถานที่ให้การบริการรักษา ต้องได้รับการยอมรับ และมีแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญประจำอยู่ตลอดการรักษาเพื่อผลลัพธ์ของการกระชับผิวหน้าที่ได้มาเป็นที่น่าพึงพอใจ และคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายออกไปนะค่ะ

                              ผิวหน้าตึง ผิวแข็งแรง HIFU ยก “กระชับผิวหน้า” ปรับรูปหน้า

                              2

                              ถึงแม้ว่าคนเราต่างมีรูปโครงหน้าที่แตกต่างกัน ตามโครงสร้างของแต่ละคน แต่ทุกคนย่อมมีความต้องการเหมือนกันคือ การมีรูปหน้าได้รูป กระชับผิวหน้า ผิวหน้าหน้ากระจ่างใสด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งสาว ๆ ด้วยแล้ว ผิวหน้านี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ทุกคนถวิลหา อยากมีหน้าใส หน้าสวย ผิวเรียบเนียน ตึงกระชับ ต้องสรรหาวิธีการใหม่ ๆ มาบำรุงผิวหน้า เพื่อชะลอริ้วรอย ความหย่อนคล้อยของใบหน้าอยู่ร่ำไป

                              ต้องสรรหาครีมมาบำรุงผิวหน้าสารพัด ทั้ง เซรั่ม ทรีทเม้นต์  ตัวไหนที่ว่าดี จัดมาทุกตัว ได้ผลบ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ว่ากันไป แต่วันนี้ที่อยากแนะนำ นวัตกรรมตัวใหม่ล่าสุด ที่กำลังเป็นที่นิยมตามสถาบันเสริมความงามต่าง ๆ ก็คงต้องเป็นตัวนี้เลย HIFU  เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ผิวหนัง ช่วยยกกระชับผิวหน้า ปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด

                              คุณสมบัติของ HIFU

                              HIFU คืออะไร

                              HIFU หรือ High Intensity Focus Ultrasound เป็นการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ความเข้มข้นสูง เป็นเทคโนโลยีล่าสุดสำหรับการรักษาด้านความงามหลักการทำงานของ HIFU คือ ultrasound จะถูกส่งผ่านไปยังเนื้อเยื่อแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน อุณหภูมิประมาณ 65 องศาเซลเซียส พลังความร้อยจะเกิดขึ้นในบริเวณที่โฟกัสเท่านั้น โดยไม่ส่งผลต่อชั้นหนังกำพร้า  ดังนั้นจึงไม่ทำให้ผิวแสบไหม้ หรือเกิดรอยดำ การรักษาที่ให้ผลดีของเทคโนโลยี  HIFU คือ ช่วยปรับหน้าที่ห้อย หย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัดเจน มุมปากตก มีร่องมุมปาก กระชับผิวหน้าขึ้น

                              ผลลัพธ์ยกกระชับด้วย HIFU

                              • หลังทำจะเห็นผลภายใน  1 สัปดาห์ 20% กระชับผิวหน้า ผิวจะอิ่มฟูขึ้น การทำหลายๆ ครั้งต่อเนื่องจะช่วยให้เห็นผลที่ชัดเจน และคงทนขึ้น 
                              • ดีกว่า การร้อยไหมคือ ไม่มีสารแปลกปลอมเข้าใบหน้า ปลอดภัยในระยะยาว และ ไม่เจ็บ หลังทำไม่มีรอยช้ำ หรือแผลใดๆ
                              • เข้าไปทำลายเนื้อเยื่อในชั้นผิวหนังระดับลึก   ถึงชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ทำให้ผิวหนังในชั้น SMAS หดตัว คล้ายกับการเย็บที่เนื้อ เพื่อทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนหรือสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ซึ่งเป็นการดึงหน้าที่ส่งผลให้ผิวดูยกกระชับและอ่อนเยาว์ขึ้น
                              • เนื้อเยื่อจะเกิดขึ้นใหม่ ผิวจะมีความเรียบเนียนขึ้นภายใน 3 เดือน เมื่อทำแล้วจะคงสภาพอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน – 1 ปี  แต่ก็ขึ้นอยู่กับการดูแล รักษาผิวหลังการใช้บริการ และสภาพผิวของแต่ละคน
                              • จำนวนครั้งของการทำ HIFU ในแต่ละคนจะไม่เท่ากัน โดยขึ้นอยู่กับปัญหาของรูปหน้าแต่ละคน ซึ่งควรจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง แต่ควรเว้นระยะห่างจากการทำจากครั้งแรกประมาณ 2 เดือน
                              image003

                              ดูแลอย่างไรหลังการทำ HIFU

                              ควรเลือกใช้ครีมบำรุงผิวเพื่อเป็นบำรุงผิวที่เกิดขึ้นใหม่ให้คงอยู่ได้อย่างยาวนาน ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ แล้วหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง หากมีอาการเมื่อยหรือรู้สึกตึงๆผิวก็สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้ ข้อควรระวัง ไม่ควรนวดหรือถูใบหน้าแรงๆ รวมทั้งไม่ควรสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะเป็นการทำลายการสร้างคอลลาเจนที่ชั้นใต้ผิวหนัง มากกว่าการสร้างคอลลาเจน

                              เทคโนโลยีของ HIFU คือการดูแลและยกกระชับผิวหน้าที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกับผิวหน้าได้อย่างชัดเจน บางคนแม้ทำเพียงครั้งแรกก็รับรู้ถึงประสิทธิภาพที่ได้มา ให้ความรู้สึกของความแตกต่างระหว่างก่อนทำและหลังทำได้ดี จึงเป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่รักสวยรักงาม และผู้ที่ต้องการดูแลผิวตั้งแต่อายุไม่มากนักในราคาที่พอจับต้องได้เทคโนโลยีความงามสมัยนี้ทำให้ผู้หญิงอย่างเราเดินต่อไปได้อย่างเริ่ด ๆ สวยๆ ทุกอย่างก้าวไปเลย