Category Archives: ฉีดหน้าใส

BELOTERO REVIVE หน้าโกลว์ผิวฉ่ำวาว คืออะไร ดียังไง

BELOTERO REVIVE

BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวกระจก หน้าโกลว์ฉ่ำวาว รุ่นแรกของโลก

เทรนด์ผิวฉ่ำวาวผิวแลดูสุขภาพดี ยังคงเป็นเทรนด์ยอดนิยมตามแบบฉบับของสาวเกาหลี ซึ่งใครหลายคนอยากจะมีผิวสวยสุขภาพดีเปรียบเหมือนดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว และการมีผิวฉ่ำวาวสุขภาพดีนอกจากการรับประทานอาหารมีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว ยังมีการใช้นวัตกรรมทางการแพทย์เพื่อช่วยให้ผิวสวยสุขภาพดีแบบเร่งด่วนได้อีกด้วย 

นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ผิวกระจก ผิวฉ่ำวาว สุขภาพดีแบบสาวเกาหลีในตอนนี้คือ BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวตัวแรกของโลก เน้นผิวโกลว์ งานผิวฉ่ำวาว สุขภาพดีตั้งแต่ภายในสู่ภายนอก ทำให้ BELOTERO REVIVE ได้รับความนิยมอย่างมาก วันนี้รมย์รวินท์คลินิกได้เรียบเรียงข้อมูลที่เกี่ยวกับฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE ที่สำคัญทั้งหมดไว้ที่บทความนี้แล้ว  

เจาะลึก BELOTERO REVIVE ทำไมถึงเป็นฟิลเลอร์งานผิวที่ได้รับความนิยมที่สุดในปี 2024

revive
ส่วนประกอบของ BELOTERO REVIVE

BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว คืออะไร

ฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE เป็นรุ่นของฟิลเลอร์ยี่ห้อ BELOTERO จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นำเข้าและจัดจำหน่ายโดยบริษัท Mez Healthcare (Thailand) จำกัด นอกจาก Beloter รุ่น Revive แล้ว ทางบริษัทผู้นำเข้ายังมีฟิลเลอร์ BELOTERO รุ่นอื่น ๆ เช่น BELOTERO Soft, BELOTERO Intense และ BELOTERO Volume และทุกรุ่นผ่านการรับรองจากองค์กรอาหารและยา (อย.) รวมไปถึงองค์กรอาหารและยาสหรัฐอเมริกาและยุโรป

ฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE เป็นฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาวรุ่นแรกของโลก ที่มีการผสมผสานกันของกรดไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) และกลีเซอรอล (Glycerol) ผลิตด้วยนวัตกรรมที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ BELOTERO อย่าง CPM (Cohesive Polydensified Matrix) คุณสมบัติโดดเด่นของ HA คือ มีลักษณะเป็นเนื้อเจล มีความยืดหยุ่นสูง ช่วยกักเก็บน้ำในโมเลกุล ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหน้า ช่วยให้ผิวฉ่ำวาว ส่วนกลีเซอรอล (Glycerol) เป็นสารให้ความชุ่มชื้น ช่วยปลอบประโลมผิว ช่วยลดการอักเสบของผิวและช่วยลดการระคายเคืองของผิว รวมไปถึงทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิวจากการถูกทำลายอีกด้วย

ฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE จึงมีคุณสมบัติในเรื่องช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว ผิวหน้าโกลว์ ผิวฉ่ำวาว เพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว ฟื้นฟูผิวให้ดูสุขภาพดี ผิวเรียบเนียน รูขุมขนกระชับขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้าได้

revive
BELOTERO REVIVE ฟื้นฟูผิว 4 มิติ

BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว มีจุดเด่นอะไรบ้าง

การผสานกันของ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) และ กลีเซอรอล (Glycerol) ของ BELOTERO REVIVE ทำให้เป็นฟิลเลอร์งานผิวรุ่นแรกของโลกที่ทำให้ผิวสุขภาพดี ผิวฉ่ำวาว เรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยนวัตกรรมที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ BELOTERO คือ CPM (Cohesive Polydensified Matrix) โดยมีคุณสมบัติเด่นดังนี้

  • Cohesivity : เนื้อฟิลเลอร์เรียบเนียน กลืนตัวกับผิวหน้าได้ง่าย
  • Elasticity : เนื้อฟิลเลอร์ยืดหยุ่น ไม่ทำให้เกิดการไหลย้อยไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการ
  • Plasticity : เนื้อฟิลเลอร์ขึ้นรูปและปั้นทรงง่าย 

ทั้งนี้เมื่อฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE เข้าสู่ผิวหน้า จะทำให้ BELOTERO REVIVE มีความเนียนไปกับผิว ให้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด

BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ช่วยอะไรบ้าง

  • BELOTERO REVIVE ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว มอบผิวฉ่ำวาวสุขภาพดี ลดการสูญเสียน้ำในเซลล์ผิว
  • BELOTERO REVIVE ช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหน้า
  • BELOTERO REVIVE ช่วยทำให้กระชับ อิ่มฟูขึ้น และลดริ้วรอยเล็ก ๆ ให้จางลง
  • BELOTERO REVIVE ช่วยลดการเกิดเม็ดสีเมลานิน และป้องกันผิวจากแสงแดด

BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว เหมาะกับใคร

  • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ต้องการผิวฉ่ำวาว อิ่มน้ำแบบผิวกระจก
  • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ ริ้วรอยร่องตื้นบนใบหน้า
  • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าขาดน้ำ ผิวแห้ง และหน้ามัน
  • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าแห้งเสียจากแสงแดดทำลายผิว
  • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่มีปัญหารอยดำและรอยแดงจากสิว
  • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาบำรุงผิวหน้า
  • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน กระจ่างใสขึ้น
  • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่กระชับ
  • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบงานผิว และไม่ต้องการแต่งหน้าเยอะ

BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว มีข้อห้ามที่ต้องระวังอะไรบ้าง

  • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวหนังอักเสบในบริเวณที่ต้องการฉีด
  • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้สารฟิลเลอร์
  • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา
  • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับผู้ที่มีแผลฟกช้ำง่าย มีปัญหาเลือดออกแล้วหยุดยาก 
  • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
  • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับสตรีที่มีการตั้งครรภ์ หรือ อยู่ในช่วงให้นมบุตร
  • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเริมหรืองูสวัด
revive
BELOTERO REVIVE ควรฉีดตรงไหน

 ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง

ฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE โดยปกติแล้วนิยมที่สุดคือบริเวณหน้าแก้ม แต่สามารถฉีดในบริเวณอื่นๆได้เช่นกันนิยมฉีดบริเวณใบหน้าและลำคอ โดยสามารถฉีดได้ตามตำแหน่งต่าง ๆ ดังนี้

  • ฉีด BELOTERO REVIVE รอบดวงตา : ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา ลดรอยคล้ำรอบดวงตา
  • ฉีด BELOTERO REVIVE บริเวณแก้มและข้างจมูก : ช่วยให้ใบหน้าดูฉ่ำวาว เรียบเนียนกระชับขึ้น
  • ฉีด BELOTERO REVIVE บริเวณรอบปากและริมฝีปาก : ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ริมฝีปากและช่วยลดริ้วรอยรอบริมฝีปาก
  • ฉีด BELOTERO REVIVE บริเวณลำคอ : ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวบริเวณคอที่แห้งกร้าน

BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE คือเป็นตัวช่วยบำรุงผิวได้ตั้งแต่ผิวชั้นใน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น อิ่มฟูแน่นกระชับ เพิ่มความชุ่มชื้น ผิวฉ่ำวาว ผิวแลดูสุขภาพดี  อีกทั้งยังเห็นผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ที่ฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE ตั้งแต่ครั้งแรก โดยผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE อยู่ได้นาน 6-9 เดือน ส่วนข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE อาจมีอาการบวมและรอยแดงจากเข็มประมาณ 1 สัปดาห์ และจะค่อย ๆ หายได้เอง

BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว แตกต่างจากฟิลเลอร์อื่น ๆ อย่างไร

ฟิลเลอร์ทั่วไปจะเป็นสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) 100% โดยแต่ละยี่ห้อจะมีความเข้มข้นของสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) และโมเลกุลที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ฟิลเลอร์ยี่ห้อและรุ่นต่าง ๆ จึงมีความแตกต่างกัน

BELOTERO REVIVE มีความแตกต่างจากฟิลเลอร์รุ่นอื่น ๆ ตรงที่มีส่วนผสมของ กลีเซอรอล (Glycerol) ซึ่งเป็นฟิลเลอร์รุ่นแรกของโลกที่ผสานกันระหว่าง ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) + กลีเซอรอล (Glycerol) ช่วยเติมน้ำให้ผิวฉ่ำวาวพร้อมทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟูผิวสุขภาพดีจากภายในอีกด้วย

เปรียบเทียบ BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว กับ BELOTERO รุ่นอื่น

BELOTERO REVIVE เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเติมเต็มเฉพาะจุด แต่สามารถฉีดได้ทั่วใบหน้า เพื่อฟื้นฟูสุขภาพผิวให้เรียบเนียนกระจ่างใส ผิวฉ่ำวาวแบบสาวเกาหลี ซึ่งฟิลเลอร์ BELOTERO ยังมีหลากหลายรุ่น และในแต่ละรุ่นมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • BELOTERO Soft ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เหมาะกับการฉีดเพื่อเก็บรายละเอียดผิวชั้นตื้น แก้ไขปัญหาริ้วรอยผิวชั้นบน แก้ปัญหาใต้ตา ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
  • BELOTERO Intense ฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะกับการเติมร่องลึก ร่องที่เกิดจากการยุบตัวของเนื้อเยื่อผิวหนัง เช่น ร่องแก้ม ร่องมุมปาก เติมแก้มตอบ โดยผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • BELOTERO Volume ฟิลเลอร์ที่มีความคงตัวและมีความยืดหยุ่น ยึดเกาะได้ดี เหมาะกับการฉีดเพื่อทดแทนโครงสร้างกระดูกที่เสียไป เพิ่มวอลลุ่มให้กับใบหน้า เช่น ฟิลเลอร์แก้ปัญหาหน้าตอบ ฟิลเลอร์ใต้ตา ปรับรูปหน้าบริเวณ คาง โหนกแก้ม โดยผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน

เปรียบเทียบ BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว กับ ฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น

  • BELOTERO REVIVE vs Juvederm Volite

ฟิลเลอร์ Juvederm Volite เป็นฟิลเลอร์สัญชาติสหรัฐอเมริกา ผลิตด้วยเทคโนโลยี Vycross เนื้อฟิลเลอร์ละเอียด โมเลกุลยึดเกาะผิวได้ดี มีความหยืดหยุ่น และมีความเข้มข้นของไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) 12mg/ml ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 8-12 เดือน 

  • BELOTERO REVIVE vs Restylane Vital light

ฟิลเลอร์ Restylane Vital light เป็นฟิลเลอร์สัญชาติสวีเดน ผลิตด้วยเทคโนโลยี NASHA (Non Animal Stabilized Hyaluronic Acid) เนื้อฟิลเลอร์มีความละเอียด มีความเข้มข้นของไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) 12mg/ml ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

ส่วน BELOTERO REVIVE มีความเข้มข้นของไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) 20mg/ml และมีส่วนผสมของกลีเซอรอล (Gycerol) 17.5 mg/ml ที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นจากผิวภายใน ผิวฉ่ำวาวและผิวดูอิ่มน้ำและช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสีย ลดการอักเสบให้กับผิว ซึ่งเนื้อฟิลเลอร์เป็นเนื้อเจลที่มีความละเอียดและยืดหยุ่นกว่าฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ เพราะการผลิตด้วยเทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะของ BELOTERO คือ CPM (Cohesive Polydensified Matrix) ที่ทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความเรียบเนียนไปกับผิว ไม่เป็นก้อน

revive
BELOTERO REVIVE ฟื้นฟูผิว 4 มิติ

BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว เปรียบเทียบกับนวัตกรรมกระตุ้นคอลลาเจนอื่น ๆ 

BELOTERO REVIVE vs Sculptra

BELOTERO REVIVE เป็นฟิลเลอร์สกินบูสเตอร์ (Skin Booster) ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพผิว ด้วยการผสานกันของ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) + กลีเซอรอล (Glycerol) ทำให้ช่วยล็อกความชุ่มชื้น และเติมเต็มคุณภาพผิวฉ่ำวาวเหมือนผิวกระจก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งเสีย ขาดความชุ่มชื้น รูขุมขนกว้าง ใบหน้าไม่เรียบเนียน ต้องการฟื้นฟูผิว เพื่อผิวฉ่ำวาวแบบเร่งด่วน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-9 เดือน

ส่วน Sculptra เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว (Collagen Biostimulator) มีส่วนประกอบหลักเป็น PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างเป็นธรรมชาติ เพิ่ม Collagen Type 1 ที่จำเป็นต่อผิวสูงถึง 66.5% เหมาะสำหรับการฟื้นฟูผิวชั้นลึก เติมเต็มผิว ปรับโครงสร้างภายในผิว และช่วยให้ผิวอิ่มฟู แน่นกระชับ โดยสามารถเริ่มเห็นผลลัพธ์หลังฉีด 3 สัปดาห์ อยู่ได้นานถึง 2 ปี เมื่อฉีดครบ 2-3 ครั้งต่อเนื่องกัน

BELOTERO REVIVE vs Radiesse

BELOTERO REVIVE มีส่วนประกอบของ  ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) + กลีเซอรอล (Glycerol) เนื้อฟิลเลอร์มีความละเอียด มีความกลืนเข้ากับผิวได้อย่างเรียบเนียน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวหน้า ต้องการงานผิวฉ่ำวาวแบบเร่งด่วน โดย BELOTERO REVIVE มีคุณสมบัติช่วยแก้ปัญหาใบหน้าที่แห้งกร้าน ผิวขาดน้ำ หน้าโทรม หมองคล้ำ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-9 เดือน

ส่วน Radiesse เป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มีสารไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) แต่มีสารสำคัญ CaHA (Calcium Hydroxylapatite microsphere) ที่ช่วยในการฟื้นฟูการทำงานของเซลล์ Fibroblast ให้สร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ชั้นผิว ให้ผิวมีความแน่นกระชับ ริ้วรอยเล็ก ๆ ลดลง เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวและเพิ่มคุณภาพผิวให้แข็งแรงขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 2 ปี

BELOTERO REVIVE vs Rejuran

BELOTERO REVIVE เป็นการฉีดสารเติมเต็มที่มีคุณสมบัติกักเก็บน้ำเข้าชั้นผิวได้โดยตรงคือ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) + กลีเซอรอล (Glycerol) สามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำได้ทันที โดยผิวชุ่มชื้นและผิวฉ่ำวาวมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดการเกิดสิว ลดการอักเสบของผิวได้ด้วย

แตกต่างกับ Rejuran มีส่วนประกอบหลักคือ Polynucleotide (PN) ช่วยกระตุ้นผิวให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ เพิ่มคุณภาพผิวฉ่ำวาวสุขภาพดี ช่วยในด้านการฟื้นฟูผิว ลดรูขุมขน ลดริ้วรอย และลดหลุมสิวตื้น อีกทั้งยังช่วยเติมผิวชุ่มชื้นอิ่มน้ำมากขึ้น เห็นผลลัพธ์หลังฉีด 3-5 วันและควรทำต่อเนื่อง 4 ครั้ง ทุก 2-3 สัปดาห์ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-8 เดือน

BELOTERO REVIVE vs HIFU / Thermage / Ulthera

BELOTERO REVIVE เป็นหัตถการกลุ่มฟิลเลอร์ เหมาะกับการฉีดผิวชั้นตื้น หรือชั้นหนังแท้ ช่วยปรับสภาพผิวให้ดูดีขึ้น 4 มิติ ผิวเรียบเนียน อิ่มฟู ผิวเด้ง และชุ่มชื้นฉ่ำวาว

ส่วนเทคโนโลยี HIFU, Thermage และ Ulthera เป็นนวัตกรรมการยกกระชับ แก้ปัญหาครอบคลุมทุกชั้นผิว โดดเด่นในเรื่องของการยกกระชับ ปรับรูปหน้า และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน แบบไม่ต้องผ่าตัด

BELOTERO REVIVE และทั้ง 3 นวัตกรรมยกกระชับสามารถทำร่วมกัน เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและความต้องการในแต่ละบุคคล โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินเบื้องต้นก่อนทำทุกเคส

BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว เตรียมตัวและดูแลตัวเองก่อน-หลังฉีดอย่างไร

การเตรียมตัวก่อนฉีด BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว

ก่อนเลือกฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE อันดับแรกควรศึกษาหาข้อมูลของคลินิกที่เลือกใช้บริการว่ามีการรับรองที่ได้มาตรฐานหรือไม่ ศึกษาข้อมูลของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการฉีด รวมไปถึงการศึกษาเทคนิคของแพทย์ เพื่อความปลอดภัยและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ควรเตรียมความพร้อมก่อนฉีด BELOTERO REVIVE ดังนี้

  • ก่อนฉีด BELOTERO REVIVE ควรงดการใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดผลัดเซลล์ผิวหรือกำจัดขน 1 สัปดาห์
  • ก่อนฉีด BELOTERO REVIVE งดการใช้ผลิตภัณฑ์วิตามินและอาหารเสริม 1 สัปดาห์
  • ก่อนฉีด BELOTERO REVIVE หลีกเลี่ยงยากลุ่ม NSAID 1 อาทิตย์
  • ก่อนฉีด BELOTERO REVIVE งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น การออกกำลังกายหนัก
  • ก่อนฉีด BELOTERO REVIVE งดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง
  • ก่อนฉีด BELOTERO REVIVE หากมีโรคประจำตัว หรือยาที่ต้องรับประทานเป็นประจำ ควรแจ้งแพทย์ก่อนทำ

การดูแลตัวเองหลังฉีด BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว

หลังจากฉีด BELOTERO REVIVE แพทย์จะให้คำแนะนำที่ควรปฏิบัติตาม ดังต่อไปนี้

  • หลังฉีด BELOTERO REVIVE จะมีรอยแผลจากเข็มฉีดยา อาจมีอาการปวด บวม และมีรอยแดงหลังทำ ดังนั้นห้ามไปสัมผัส แกะ เกา หรือนวดบริเวณใบหน้า
  • หลังฉีด BELOTERO REVIVE งดการทาครีมบำรุงผิวและการแต่งหน้า 1 สัปดาห์
  • หลังฉีด BELOTERO REVIVE หลีกเลี่ยงความร้อน เช่น ซาวน่า อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
  • หลังฉีด BELOTERO REVIVE ควรทำความสะอาดใบหน้าด้วยการระมัดระวัง งดถูหน้า และงดสครับใบหน้า
  • หลังฉีด BELOTERO REVIVE งดการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
  • หลังฉีด BELOTERO REVIVE หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น การออกกำลังกายหนัก อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
  • หลังฉีด BELOTERO REVIVE ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อรักษาการอุ้มน้ำของฟิลเลอร์
  • หลังฉีด BELOTERO REVIVE ควรทานยาที่แพทย์สั่งจ่ายให้หลังฉีดต่อเนื่องจนครบ เพื่อช่วยลดอาการบวม และป้องกันการติดเชื้อ
  • หลังฉีด BELOTERO REVIVE งดการเลเซอร์ผิวชั้นลึกทุกชนิด เป็นระยะเวลา 1 เดือน
  • หลังฉีด BELOTERO REVIVE หลีกเลี่ยงการนอนตะแคงหรือนอนคว่ำ ควรนอนให้หัวสูงกว่าหน้าอกในช่วง 2-3 คืนแรกเพื่อป้องกันการกดทับของใบหน้า

BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ผลลัพธ์หลังฉีดมีอะไรบ้าง

ผลลัพธ์หลังฉีด BELOTERO REVIVE สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวได้ทันที และจะค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนี้

  • Skin Elasticity ผิวยืดหยุ่นและอิ่มฟูขึ้น ยาวนานถึง 7 เดือน
  • Skin Firmness ผิวกระชับเต่งตึงมากขึ้น ยาวนานถึง 7 เดือน
  • Skin Glow ผิวหน้าใส เปล่งปลั่งมากขึ้น ยาวนานถึง 9 เดือน
  • Skin Hydration ผิวชุ่มชื้น ผิวฉ่ำวาวมากขึ้น ยาวนานถึง 9 เดือน

BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ของแท้ ตรวจสอบอย่างไร

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE หรือฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ ต้องมั่นใจก่อนว่าคลินิกหรือสถานพยาบาลที่เลือกใช้บริการนั้นเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ที่มีมาตรฐานการรองรับ วิธีการสังเกตฟิลเลอร์แท้จะมีจุดสังเกต ดังนี้

  • BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์แท้ต้องมีเลขทะเบียน อย. และเอกสารกำกับภาษาไทยเท่านั้น
  • BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์แท้ เลข Lot. จะต้องตรงกันทั้ง 3 จุด คือ เลข Lot. บริเวณกล่องผลิตภัณฑ์, เลข Lot. บริเวณสติกเกอร์ และเลข Lot. บริเวณหลอด

BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว กับคำถามที่พบบ่อย

BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ใช้กี่ cc

โดยปกติการฉีด BELOTERO REVIVE บริเวณผิวหน้าเพื่อผิวฉ่ำวาวจะใช้เพียง 1-2 CC ต่อการฉีด 1 ครั้ง แต่ในกรณีของคนที่มีปัญหาผิวมาก แนะนำว่าควรต้องฉีด BELOTERO REVIVE ติดต่อกันถึง 3 ครั้ง โดยห่างกันครั้งละ 4 สัปดาห์ เพื่อผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้น

BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว กี่วันถึงเห็นผล

หลังจากการฉีด BELOTERO REVIVE จะสามารถเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้ทันที และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุด 3 เดือน โดยผลลัพธ์ที่ได้จาก BELOTERO REVIVE คือผิวมีความชุ่มชื้น ผิวฉ่ำวาวมากขึ้น ผิวหน้าเนียนใส เปล่งปลั่ง อีกทั้งยังช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น รูขุมขนกระชับอีกด้วย

BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว อยู่ได้นานไหม

สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาผิวเยอะมาก สามารถฉีด BELOTERO REVIVE เพียงแค่ 1 ครั้ง โดยผลลัพธ์ผิวฉ่ำวาวจะอยู่ได้นาน 6-9 เดือน แต่ในกรณีของผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งและผิวหยาบกร้านอย่างรุนแรง ควรฉีด BELOTERO REVIVE อย่างต่อเนื่องทุก 4 สัปดาห์ เป็นระยะเวลา 3 เดือน เพื่อปรับสภาพผิวใหม่ หลังจากนั้นผิวจะคงผลลัพธ์ได้นาน 6-9 เดือน

BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ดีไหม

ฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE เป็นฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาวที่สามารถฉีดได้ทั่วใบหน้า โดยจะช่วยมอบผลลัพธ์ผิวหน้าฉ่ำวาวแลดูสุขภาพดี  แก้ปัญหาผิวแห้งเสียและหมองคล้ำจากแสงแดด แก้ไขปัญหาสิวและจุดด่างดำจากรอยสิว นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวมีเกราะป้องกันจากการถูกทำลายอีกด้วย

BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว อันตรายไหม

การฉีด BELOTERO REVIVE ไม่เป็นอันตราย เนื่องจากเป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับมาตรฐานการรับรองจากองค์การอาหารและยา 50 ประเทศทั่วโลก ทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป และในประเทศไทย ซึ่งการฉีด BELOTERO REVIVE ที่ปลอดภัยต้องใช้ฟิลเลอร์แท้ที่นำเข้าอย่างถูกต้อง และเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ในด้านการฉีดฟิลเลอร์เท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงและเพื่อผลลัพธ์ผิวฉ่ำวาวที่คุ้มค่าที่สุด

BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว เจ็บไหม

ระหว่างการฉีด BELOTERO REVIVE เพื่อผิวฉ่ำวาวจะไม่รู้สึกเจ็บ เนื่องจากในขั้นตอนการฉีดแพทย์จะใช้เข็มที่มีขนาดเล็กพิเศษ ทำให้ไม่ระคายเคืองผิว โดยก่อนฉีด BELOTERO REVIVE แพทย์จะมีการแปะยาชาก่อน และในระหว่างฉีด BELOTERO REVIVE จะมีการประคบน้ำแข็งเพื่อลดความเจ็บอีกด้วย

BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม

การฉีด BELOTERO REVIVE เป็นหัตถการที่สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ เช่น การฉีดโบ, การร้อยไหม การยกกระชับด้วยเครื่อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ผิวฉ่ำวาวที่ดีและคุ้มค่าที่สุด โดยก่อนฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE แพทย์จะประเมินปัญหาผิวในแต่ละบุคคลและเลือกวิธีที่เหมาะสม เพื่อผลลัพธ์ผิวฉ่ำวาวที่ดีอย่างเป็นธรรมชาติ

หลังฉีด BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว มีผลข้างเคียงไหม

หลังฉีด BELOTERO REVIVE เพื่อผิวฉ่ำวาว อาจพบตุ่มนูนเล็ก ๆ ที่เกิดจากเนื้อฟิลเลอร์ และอาจมีรอยแดงจากเข็ม โสามารถหายได้เอง 3-4 วัน ส่วนในกรณีของคนที่มีผิวบอบบาง ช้ำง่าย อาจมีอาการเขียว ช้ำ และคันบริเวณที่ฉีด BELOTERO REVIVE นับว่าเป็นอาการปกติที่สามารถหายเองได้ภายใน 2-3 วัน

สรุป

ฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE เป็นฟิลเลอร์รุ่นแรกของโลกที่ออกแบบมาเพื่องานผิวโดยเฉพาะ ตอบโจทย์ปัญหาผิวสำหรับคนที่ต้องการผิวฉ่ำวาวสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก ได้ผลลัพธ์แบบ 4in1 ผิวเรียบเนียน อิ่มฟู ผิวเด้ง และผิวชุ่มชื้นฉ่ำวาว ด้วยการฉีดเพียง 1 ครั้ง 

สำหรับใครที่อยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมของฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE สามารถปรึกษาข้อมูลเพิ่มเติมกับรมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขาใกล้บ้านคุณ 

เปรียบเทียบ Rejuran VS Revive ต่างกันอย่างไร ผิวชุ่มชื้นต่างกันอย่างไร

ผิวชุ่มชื้น

ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




    วันที่สะดวกในการติดต่อ




    เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

    Rejuran VS Revive เปรียบเทียบงานผิวตัวไหนผิวชุ่มชื้น ตัวไหนหน้าฉ่ำ

    ผิวแห้งเสียขาดความชุ่มชื้น กลายเป็นปัญหาหนักสุดๆ สืบเนื่องจากมลภาวะ และชีวิตประจำวันที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผิวอย่างหนักหน่วง จนสภาพผิวห่างไกลจากคำว่า “ผิวชุ่มชื้น” “ผิวฉ่ำวาว” ไปไกลลับ ด้วยกิจวัตรประจำวันที่ต้องเผชิญกับมลภาวะอยู่เสมอ การดูแลผิวชุ่มชื้นแบบเดิม ๆ อาจไม่เพียงพอเสียแล้ว บางทีการหาตัวช่วยมาเติมเต็มให้ผิวที่แห้งเสีย กลับมาเป็นผิวที่ชุ่มชื้นคงจะเป็นทางออกที่ดี

    ซึ่งหากพูดถึงผลิตภัณฑ์งานผิว ที่ช่วยปรับสภาพผิวแห้งเสียให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ก็จะมีหลากหลายตัวเลือก ไม่ว่าจะเป็น Rejuran, Revive หรือเติมวิตามินผิว แต่จะเลือกงานผิวตัวไหนที่ตอบโจทย์ความต้องการ ที่อยากจะมีผิวชุ่มชื้น ห่างไกลจากผิวเสียเพราะมลภาวะรอบตัว หลายคนอาจเลือกไม่ถูกและไม่มั่นใจว่าตัวเลือกไหนที่เหมาะสำหรับงานผิวฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ

    แน่นอนว่ารมย์รวินท์คลินิกมีคำตอบเรื่องนี้ โดยหากพูดถึงผิวชุ่มชื้นและฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ มีงานผิว 2 ตัวเลือกที่มักพูดถึงและเปรียบเทียบอยู่บ่อยครั้ง คือ  Rejuran กับ  Revive ซึ่งทั้งสองนับว่าเป็นงานผิวยอดนิยมที่เน้นเรื่องผิวเรียบเนียน ผิวชุ่มชื้นและฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ทั้งสองก็มีข้อแตกต่างกัน งานนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงจะมาเปรียบเทียบว่างานผิวไหนผิวชุ่มชื้น ไหนช่วยเรื่องผิวฉ่ำวาว โดยสามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับทั้งสองตามหัวข้อต่อไปนี้

    ผิวชุ่มชื้น

    สำหรับคนที่อยากเปลี่ยนผิวที่แห้งเสีย ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น หน้าใส มีความฉ่ำวาว ตัวเลือกที่ตอบโจทย์ผิวฉ่ำวาวที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้น Rejuran ซึ่งมีงานวิจัยออกมาพูดถึงผลลัพธ์ผิวหน้าชุ่มชื้น และมีความฉ่ำวาวด้วย Rejuran ส่งผลให้หัตถการที่ช่วยปรับผิวชุ่มชื้นชนิดนี้ได้รับความนิยม และกลายเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ในสถานเสริมความงาม 

    โดยตัว Rejuran เป็นสารที่คิดค้นเพื่อผิวหน้าชุ่มชื้น สวยใสด้วยการสกัดสาร Polynucleotide (PN) จาก DNA ของปลาแซลมอนที่ได้รับการทดสอบแล้วว่า มีความใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์มากถึง 98% โดยมี คุณสมบัติด้านการฟื้นฟูสภาพผิว ช่วยคืนผิวชุ่มชื้นหลังจากแห้งเสียเป็นเวลานาน พร้อมช่วยเคลียร์ปัญหาผิว อย่างเร่งด่วน ประกอบกับคุณสมบัติของ DNA ที่คล้ายคลึงกับของมนุษย์  Rejuran จึงมีความปลอดภัย และไม่ก่อให้เกิดกระทบต่อผิวชุ่มชื้นหลังจากฉีด Rejuran

    ด้วยประสิทธิภาพด้านการเคลียร์ผิว ที่เสื่อมสภาพจากมลภาวะต่าง ๆ ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ผิวฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ และมีความปลอดภัย ส่งผลให้ Rejuran กลายเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในฐานะของหน้าใส ผิวชุ่มชื้น แต่อาจจะยังมีคนสงสัยว่าสาร Polynucleotide มีการทำงานอย่างไร ทำไมถึงผิวชุ่มชื้นด้วย DNA จากปลาแซลมอน สามารถอ่านรายละเอียดที่หัวข้อการทำงานของ Rejuran  

    การทำงานของ Rejuran สาร Polynucleotide ส่งผลต่อผิวอย่างไร?

    หลังจากทำการฉีด Rejuran ลงไปบนผิวหนังแล้ว สาร Polynucleotide (PN) จะเข้าไปควบคุม กระบวนการทำงานของเซลล์และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ โดยการกระตุ้นให้ร่างกายสารที่จะช่วยกระตุ้น การทำงานของเซลล์ Fibroblast หรือที่เรียกว่า Growth factor ซึ่งประกอบไปด้วย FGF, EGF และ IGF ที่จะเป็นตัวกลางสื่อสารระหว่างเซลล์และทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ซึ่งส่งผลให้ผิวชุ่มชื้นอย่างเป็นธรรมชาติ

    การทำงานของ Polynucleotide ที่ฉีดลงไปด้วย Rejuran ส่งผลกระทบต่อผิวเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์, จัดการกับผิวที่เสื่อมสภาพและปัญหาผิวที่เกิดจากมลภาวะ รวมถึงฟื้นฟูสภาพผิวเปลี่ยนผลลัพธ์ของผิวที่แห้งเสียให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ซึ่งระหว่างกระบวนการทำงานของสาร PN จะมีโอกาสเกิดอาการแพ้ได้น้อยมาก เนื่องจากสารที่ฉีดมาจาก DNA ปลาแซลมอนที่คล้ายคลึงกับของมนุษย์ และสามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดี จึงเป็นงานผิวชุ่มชื้นสุขภาพดีที่มีความปลอดภัย

    ผลลัพธ์ของ Rejuran ลดการเสื่อมสภาพของผิว ผิวชุ่มชื้นและแข็งแรง

    •  Rejuran ฟื้นฟูถึงระดับเซลล์ผิว พร้อมกระตุ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก เพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งช่วยลดหลุมสิวและรอยดำลง เป็นสารที่สำคัญต่อการปรับสภาพผิวช่วยให้ผิวฉ่ำวาวและผิวชุ่มชื้น
    • สาร Polynucleotide ยังช่วยเรื่องของความชุ่มชื้นบริเวณผิว ทำให้หลังจากทำ Rejuran เราจะได้สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของผิว โดย PN จะช่วยสร้างบาเรียที่ปกป้องผิวทำให้ผิวชุ่มชื้นและการสูญเสียน้ำบริเวณผิวลดลง
    •  Rejuran ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ Fibroblast ซึ่งส่งผลต่อการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินของร่างกาย และเมื่อร่างกายมีการฟื้นฟูคอลลาเจนและอีลาสติน ผิวก็จะกลับมาสดใส ผิวชุ่มชื้น และมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น
    • นอกจากช่วยจัดการกับปัญหาผิว และฟื้นฟูสภาพผิวแล้ว  Rejuran ยังช่วยลดความมันบริเวณผิว ช่วยกระชับรูขุมขน และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

    จากกระบวนการทำงานและผลลัพธ์ของ Rejuran จึงไม่แปลกเลยที่ผิวหน้าใสจาก DNA ปลาแซลมอนจะได้รับการตอบเป็นอย่างดี และเป็นที่นิยมในเวลาต่อมา เพราะนอกจากผิวชุ่มชื้นและกระจ่างใส ยังช่วยจัดการกับผิวที่เสื่อมสภาพ รวมถึงปัญหาผิวต่าง ๆ ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

    ผิวชุ่มชื้น

    Revive ทำให้ผิวชุ่มชื้นได้อย่างไร

     Revive หรือ BELOTERO Revive เป็นผลิตภัณฑ์สารเติมเต็มเนื้อบางเบา ที่ช่วยเรื่องผิวชุ่มชื้นและเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยการพัฒนาที่แตกต่างจากสารเติมเต็มฟิลเลอร์ทั่วไป ซึ่งส่งผลให้ Revive เป็นตัวเลือกที่ช่วยซัพพอร์ตเรื่องงานผิวให้ออกมามีสุขภาพดี รวมทั้งยังช่วยให้ผิวกักเก็บความฉ่ำวาวอุ้มน้ำได้ด้วย จึงเป็นคำตอบว่าทำไมฉีดสารเติมเต็ม Revive แล้วผิวชุ่มชื้น

    ซึ่งส่วนที่พัฒนาและแตกต่างจากสารเติมเต็มชนิดอื่น ๆ คือ ฟิลเลอร์สารเติมเต็มทั่วไปมักมีส่วนประกอบเป็น Hyaluronic Acid (HA) ที่เป็นส่วนประกอบหลักของสารเติมเต็ม ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นอิ่มฟูเด้งกระชับ แต่ Revive จะมีส่วนประกอบของ Glycerol เพิ่มเข้ามา ซึ่งสารประกอบ Glycerol มีประสิทธิภาพด้านปรับสภาพผิวให้กักเก็บน้ำได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ผิวชุ่มชื้นอิ่มน้ำอยู่ตลอดเวลา และการบำรุงผิวของสาร Glycerol ยังส่งผลลึกถึงผิวหนังชั้น Dermis ทำให้ผิวชุ่มชื้นยาวนานและช่วยเติมเต็มผิวให้ออกมาเรียบเนียนด้วย 

    การทำงานของ Revive ผสานผลลัพธ์ของ HA และ Glycerol ไว้ด้วยกัน

    โดยปกติแล้วสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์จะมีส่วนประกอบหลักเป็น Hyaluronic Acid ซึ่งมีกระบวน การทำงานโดยการฉีดเข้าไปใต้ชั้นผิวและจึงเกิดการปรับสภาพผิวให้ดียิ่งขึ้น โดยการเข้าไปฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะ สภาพแวดล้อม โดยผลลัพธ์ของสารเติมเต็ม HA คือ ผิวชุ่มชื้น เรียบเนียน ผิวฉ่ำวาวเต่งตึงและอ่อนเยาว์

    ส่วนการทำงานของสารประกอบ Glycerol จะช่วยเสริมสร้างให้ผิวชุ่มชื้น และกักเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนาน เป็นเหมือนสารที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของ Hyaluronic Acid ควบคู่ไปกับการปรับสภาพผิวให้ฉ่ำวาวอิ่มน้ำ และเมื่อผลลัพธ์ของ HA กับ Glycerol มารวมกันก็จะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวภายในระยะเวลาอันสั้น พร้อมจัดการกับผิวแห้งเสีย ขาดน้ำ ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้นด้วย Revive

    ผลลัพธ์ของ Revive ออกมาเป็นอย่างไร?

    •  Revive ช่วยเติมเต็มร่องลึก และกระชับปรับรูปหน้า
    •  Revive เสริมประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำของผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง
    •  Revive ช่วยลดเลือนริ้วรอยและจัดการกับหลุมสิวตื้น
    •  Revive แก้ปัญหาผิวเฉพาะจุด และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว

     ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ Revive ผ่านการเพิ่มสารประกอบ Glycerol มาผสานกับ Hyaluronic Acid มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการกักเก็บน้ำและเสริมผิวชุ่มชื้นมากกว่าสารเติมเต็มชนิดอื่น ๆ ทำให้ Revive ได้รับความนิยมเหมือนกับงานผิว Rejuran

    ผิวชุ่มชื้น

    เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง Rejuran และ Revive ต่างกันอย่างไรบ้าง ?

    จากการพัฒนาของเทคโนโลยีแ ละความต้องการวิธีการดูแลผิวที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงมีการคิดค้นหัตถการ ดูแลผิวที่ผลลัพธ์ครอบคลุม และตอบโจทย์ด้านความงามยิ่งขึ้น หัตถการงานผิวปัจจุบันจึงมีตัวเลือกมากจนบางคนไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือกทำไหนดี อย่างกรณีที่อยากมีผิวชุ่มชื้น จะทำ Rejuran ก็เป็นตัวเลือกที่ดี แต่จะฉีด Revive ก็ผิวชุ่มชื้นไม่แพ้กัน วันนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงจะมาแนะนำความแตกต่างระหว่าง Rejuran และ Revive เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจสำหรับคนที่คิดเลือกทำหัตถการความงามเป็นครั้งแรก หรือต้องการผลลัพธ์ที่เหมาะกับตัวเองที่สุด

    ซึ่งถึงแม้ว่าเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนา Rejuran ผิวชุ่มชื้น และ Revive ผิวฉ่ำวาวจะมีความแตกต่างกัน แต่ประสิทธิภาพและผลลัพธ์โดยรวมอาจมีความใกล้เคียงกันบางส่วน รายละเอียดหลังจากนี้จึงจะเป็นการเปรียบเทียบแบบชัด ๆ เลยว่าต่างกันมากน้อยแค่ไหน

    ส่วนประกอบหลักของ Rejuran และ Revive

    •  Rejuran :  Polynucleotide (PN) สารสกัด DNA จากปลาแซลมอนที่เข้ากันได้ดีกับร่างกายของคนเรา ลักษณะเป็นเจลใสไร้สีสำหรับฉีดเข้าผิวหนังส่งผลให้ผิวชุ่มชื้น
    •  Revive : ประกอบด้วยสาร Hyaluronic Acid และ Glycerol ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของสารเติมเต็ม ทำให้ผิวชุ่มชื้นยิ่งกว่าเดิม

    การทำงานของ Rejuran และ  Revive

    •  Rejuran : สาร Polynucleotide เข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิว ช่วยการผลัดเซลล์และฟื้นฟูสภาพผิว รวมถึงช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นและจัดการกับปัญหาผิว จะมีการทำงานของที่เน้นเรื่องปรับสภาพผิวมากกว่าผิวชุ่มชื้น
    •  Revive :  Hyaluronic Acid จะเข้ามาช่วยเติมเต็มร่องลึกและช่วยให้ผิวชุ่มชื้น พอมารวมกับ Glycerol ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำของผิว เป็นการบูสผิวชุ่มชื้นยิ่งกว่าเดิม

    การทำงานของทั้งสองจะแตกต่างกันที่ Revive เน้นเติมเต็ม แล้วสร้างความความชุ่มชื้น เนื่องจากมีส่วนประกอบของ HA ที่เป็นสารเติมเต็มที่เป็นส่วนประกอบสำหรับฟิลเลอร์ ส่วน Rejuran จะเข้าไปกระตุ้นเซลล์และผลัดเซลล์ผิว จึงมีความแตกต่างกัน แต่ก็ยังมีส่วนช่วยเรื่องของผิวชุ่มชื้นเหมือนกัน เพียงแต่ Revive จะตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการผิวชุ่มชื้นมากกว่าเพราะมีส่วนประกอบของ Glycerol

    ผิวชุ่มชื้น

    Rejuran และ Revive เหมาะกับการใช้งานแบบไหน

    •  Rejuran : เหมาะสำหรับช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ อันมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น มลภาวะ, ช่วงวัยที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นต้น โดยจะช่วยปรับสภาพผิวและเสริมให้ผิวชุ่มชื้น
    •  Revive : เหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยร่องตื้น ช่วยปรับโครงหน้าและเสริมการกักเก็บน้ำของผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น

     ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพการทำงานเกี่ยวกับผิวชุ่มชื้น ที่คล้ายคลึงกัน แต่ทั้งสองจะมีความแตกต่างกันที่รายละเอียดการปรับสภาพผิว โดย Revive จะตอบโจทย์การเติมเต็มผิวร่องลึกในฐานะสร้างเติมเต็ม ส่วน Rejuran จะเหมาะกับปรับสภาพผิวจากการเสื่อมสภาพและช่วยให้ผิวชุ่มชื้นยิ่งขึ้น

     Rejuran และ Revive เหมาะสำหรับบริเวณไหนบ้าง?

    •  Rejuran : สามารถฉีดได้หลายบริเวณทั่วหน้า รวมถึงรอบดวงตา หากอยากมีผิวชุ่มชื้นสามารถฉีดบริเวณแก้ม หน้าผาก หรือจุดที่ผิวแห้งเสียเป็นพิเศษ
    •  Revive : จะเหมาะสำหรับบริเวณผิวตื้น ๆ จึงนิยมฉีดบริเวณรอบดวงตา, ปาก, ลำคอ,หน้าผาก และหลังมือ โดยจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและอวบอิ่มให้กับบริเวณที่ฉีด

     ส่วนมากบริเวณที่ทำ Rejuran และ Revive เพื่อผิวชุ่มชื้นจะไม่ค่อยแตกต่างกัน แต่ Revive จะเน้นฉีดที่ผิวตื้นไม่ลงลึกถึงชั้น Dermis ส่วน Rejuran จะเหมาะสำหรับฉีดลงผิวชั้นกลางเพื่อให้สาร PN กระจายไปทั่ว ๆ และช่วยเสริมสร้างให้ผิวชุ่มชื้น มีความกระชับ

     Rejuran และ Revive มีความรู้สึกระหว่างทำที่แตกต่างกันหรือไม่

    •  Rejuran : เนื่องจาก Rejuran จำเป็นต้องฉีดลงไปที่ผิวชั้นกลางเพื่อให้สาร PN กระจายลงไปบนผิวเพื่อไปกระตุ้นให้ผิวชุ่มชื้น เลยจะมีความรู้สึกเจ็บระหว่างทำบ้าง แต่จะมีการ บรรเทาความเจ็บด้วยการฉีดยาชาก่อนทำ
    •  Revive :  Revive ถูกพัฒนาโดยคำนึงถึงคนที่กลัวเจ็บระหว่างทำ จึงมีความเจ็บปวดที่น้อยลง แต่สำหรับคนที่กลัวเจ็บสามารถทายาชาเพิ่มได้ก่อนทำ Revive

     Rejuran และ Revive ผลลัพธ์อยู่นานแค่ไหน

    •  Rejuran : สาร PN ช่วยกระตุ้นให้ผิวชุ่มชื้นอยู่นานถึง 6-8 เดือน
    •  Revive : สาร Hyaluronic Acid ช่วยเติมเต็มร่องลึก สร้างผิวชุ่มชื้นได้นานถึง 9 เดือน

    โดย Rejuran ควรฉีดอย่างต่อเนื่อง 2-3 สัปดาห์/ครั้ง และเมื่อทำครบ 4 ชั้น ผลลัพธ์ผิวชุ่มชื้นจะคงอยู่นานถึง 8 เดือน ส่วน Revive เติมเต็มผิวชุ่มชื้นเพียงครั้งเดียวก็จะได้ผลลัพธ์ของผิวฉ่ำวาวไปถึง 9 เดือนเลย ซึ่งตรงส่วนนี้จะเห็นว่าทั้งสองมีความแตกต่างทั้งระยะเวลาของผลลัพธ์และจำนวน ครั้งที่แนะนำให้ทำหัตถการ แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรตรวจสอบก่อนว่าปัญหาผิวของเราเหมาะกับไหน เพื่อผลลัพธ์ขอผิวที่เรียบเนียน ผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์อย่างมีประสิทธิภาพ

    อยากมีผิวชุ่มชื้นสร้างผิวที่ฉ่ำวาวและคงความอ่อนเยาว์ ต้องมาที่รมย์รวินท์ คลินิก

    กิจวัตรประจำวันของแต่ละคนล้วนมีส่วนที่ต้องออกมาเผชิญกับมลภาวะต่าง ๆ รวมถึงช่วงอายุที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ผิวที่เคยเรียบเนียน ผิวที่เคยชุ่มชื้นก็กลับกลายเป็นผิวที่ขาดน้ำ ขาดความกระชับ ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนแม้ว่าจะมีการบำรุงผิวให้ฉ่ำวาวด้วยครีมสกินแคร์หรือบำรุงผิวด้วยวิธีต่าง ๆ มากแค่ไหน ผิวก็ไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อย่างเต็มที่ภายในระยะเวลาสั้น ๆ

     แต่สำหรับคนที่ต้องการวิธีฟื้นฟูบำรุงผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์อย่างทันท่วงที สามารถลองมาปรึกษากับแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิก โดยทางคลินิกจะมีเทคนิคเฉพาะที่ช่วยวิเคราะห์ปัญหาผิวและเลือกวิธีการจัดการกับผิว อย่างเหมาะสม สำหรับคนที่ผิวขาดน้ำ ผิวไม่เรียบเนียนขาดความกระชับ ทางคลินิกก็จะแนะนำ Rejuran หรือ  Revive ซึ่งจะช่วยเติมเต็มสารสกัดที่เป็นประโยชน์ต่อผิว ส่งผลให้ผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ สำหรับคนที่สนใจสามารถติดต่อรมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขาเลย

    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




      วันที่สะดวกในการติดต่อ




      เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

      SkinVive วิบผิว คืออะไร ช่วยอะไร เหมาะกับใคร

      SkinVive

      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




        วันที่สะดวกในการติดต่อ




        เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

        SkinVive เติมน้ำ เพิ่มความฉ่ำให้ผิว

        ด้วยความที่เทรนด์งานผิวกำลังมาแรง และงานผิวเป็นเหมือนการเตรียมตัวเพื่อเข้ารับการบำรุงในขั้นตอนต่อไป เมื่อผิวดี การบำรุงต่างๆลงสู่ผิวก็จะง่ายมากขึ้น จึงทำให้คนหันมาดูแลและใส่ใจงานผิวกันมากขึ้นนั่นเอง

        SkinVive คืออะไร

        ใหม่ล่าสุดเทรนด์งานผิวของปีนี้คือ SkinVive ผลิตภัณฑ์จากบริษัท Juvéderm ที่จัดอยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็มในกลุ่มงานผิวโดย SkinVive เป็นการฉีด ไฮยาลูรอนิกแอซิดที่ดัดแปลง ให้เป็นไมโครดรอปเล็ตกรดไฮยาลูรอนิก (Microdroplets of Hyaluronic Acid ) ความเข้มข้นสูงในการฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้เพื่อให้ไฟโบรบลาสกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่อย่างล้ำลึก เพื่อกระตุ้นให้องค์ประกอบที่จำเป็นของผิวหนังอย่างทั้ง 3 ชนิดอย่าง อควาพอริน 3, อิลาสติน,คอลลาเจน ให้สร้างตัวทำงานและฟื้นฟูทำให้ผิวกลับมาดีแข็งแรงดังเดิม

        SkinVive ออกแบบมาเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพื่อปรับปรุงรูปลักษณ์ของผิว เป็นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกา สำหรับการฟื้นฟูผิวและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนโดยเฉพาะ SkinVive ได้รับการรับรองความน่าเชื่อถือจาก ได้รับการรับรองจาก FDA จากประเทศสหรัฐอเมริกา

        ใช้ในการรักษาริ้วรอย ร่องลึก รูขุมขน ความชุ่มชื้น และปรับสภาพผิวโดยรวม และคงผลลัพธ์ได้นานกว่า Skin Booster ทั่วไปถึง 3 เท่า

        ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการออกแบบมา ให้มีโมเลกุลที่มีขนาดเล็ก เพื่อให้เข้าทำการฟื้นฟูผิวหนังอย่างลงลึกโดยเฉพาะ ซึ่งแพทย์จะทำการฉีด SkinVive ที่ผิวชั้นบนเพื่อทดแทนปริมาตรของผิวหนังที่เกิดการสูญเสียไป รวมทั้งยังสามารถใช้ SkinVive เพื่อปรับรูปหน้าให้มีความชัดเจนมากขึ้นได้อีกด้วย

        SkinVive เป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่รับการระบุอย่างชัดเจนในการรักษาว่าสามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพผิว เพิ่มความเรียบเนียนของผิวบริเวณแก้ม และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวจากภายในให้สวยออกมาสู่ภายนอกโดยไม่ต้องเข้ารับการรักษาหลายครั้ง ภายใต้คอนเซป “ผิววิบ”

        และการมาฉีด SkinVive ก็คือการวิบผิวนั่นเอง

        SkinVive

        “ผิวโกลว์ใส เล่นแสงคือผิวที่ใครๆก็ใฝ่ฝัน”

        ส่วนผสมสำคัญของ SkinVive คือ

        AQUAPORIN-3

        •  ที่เป็นเหมือนประตูในการเปิดเก็บน้ำ ช่วยในการเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว, ให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นได้นานมากยิ่งขึ้น

        GLYCOSAMINO GLYCAN

        • ทำหน้าที่ในการเติมเต็ม และคงความชุ่มชื้นให้ผิวได้นานมากยิ่งขึ้น

        ผลลัพธ์ของ SkinVive

        • ช่วยลดริ้วรอยเล็ก
        • กระชับรูขุมขน
        • ฟื้นฟูผิวได้อย่างทั่วถึง จากภายใน
        • เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
        • ทำให้ผิวมีสุขภาพดี
        • เพิ่มคุณภาพผิวอย่างยาวนาน
        • เพิ่มความเรียบเนียนให้กับผิว
        • ทำให้ผิวดูเปล่งประกายฉ่ำวาว
        • คืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิว
        • ลดความหยาบกร้านของผิว
        • ทำให้ผิวเต่งตึง อุ้มน้ำ

        ข้อดีของ SkinVive

        • SkinVive เหมาะกับทุกสภาพผิว
        • SkinVive ได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก FDA
        • SkinVive เห็นผลลัพธ์ที่ดีตั้งแต่การทำครั้งแรก
        • SkinVive ไม่ต้องทำหลายครั้ง
        • SkinVive ใช้ระยะเวลาในการรักษาสั้น
        • SkinVive กักเก็บน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้มากถึง 3 เท่า
        • SkinVive ช่วยลดความมันบนใบหน้า

        SkinVive

        SkinVive เหมาะกับใคร

        • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ มีปัญหาผิว
        • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ มีรูขุมขนกว้าง
        • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ มีริ้วรอยเล็กๆบนใบหน้า
        • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ ต้องการฟื้นฟูคุณภาพผิว
        • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ ต้องการมีผิวสวยใสอย่างรวดเร็ว เร่งด่วน
        • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ มีรอยดำเล็กๆ บนใบหน้า
        • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ มีผิวหน้าแห้ง
        • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ แต่งหน้าไม่ติด เครื่องสำอางไม่เกาะใบหน้า
        • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ มีผิวไม่เรียบเนียน
        • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ อยากมีผิวแบบไม่ต้องบำรุง
        • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ ผิวแพ้ง่าย รวมทั้งแพ้ส่วนผสมของครีมทาผิว
        • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ ผิวหยาบกร้าน ไม่เรียบเนียน
        • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ ผิวมีความเหี่ยวย่น

        SkinVive ไม่เหมาะกับใคร

        • SkinVive ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการแพ้ง่าย
        • SkinVive ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการแพ้ ยาชาลิโดเคน แพ้สิ่งต่างๆที่เป็นสิ่งผสมของ SkinVive  รวมทั้งแพ้สารไฮยาลูรอนิกมาก่อน
        • SkinVive ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์
        • SkinVive ไม่เหมาะกับสตรีที่อยู่ในระหว่างการให้นมบุตร
        • SkinVive ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความผิดปกติด้านการสร้างเม็ดสีผิว
        • SkinVive ไม่เหมาะกับผู้ที่มีการตอบสนองของร่างกายผิดปกติ
        • SkinVive ไม่เหมาะกับผู้ที่มีแผลเป็น ในบริเวณที่ต้องการทำการรักษา
        • SkinVive ไม่เหมาะกับผู้ที่ทำการเลเซอร์ผิวมาแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการพักผิว

        การดูแลตัวเองก่อนการทำ SkinVive

        • งดการรับประทานยา หรือวิตามิน ที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
        • งดรับประทานอาหารที่มีผลต่อการเกิดการอักเสบของผิว เช่นของดอง ของแสลง
        • ดื่มน้ำให้มากๆ
        • พักผ่อนให้เพียงพอ

        การดูแลตัวเองหลังทำ  SkinVive

        • งดการออกกำลังกายอย่างหนักเป็นเวลา 24 ชั่วโมง
        • งดการสัมผัสกับแสงแดด หรือโดนความร้อนเช่น กลางแจ้ง ซาวน่า เป็นเวลานาน 24 ชั่วโมง
        • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังการรักษา
        • งดการสัมผัส จับ ถู ใบหน้าเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง

        เนื่องการทำสิ่งเหล่านี้ อาจทำให้เกิดรอยแดง บวม และหรือคันชั่วคราวที่บริเวณที่ฉีดได้

        ข้อควรระวังของการใช้ SkinVive 

        • ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ หากมีประวัติความผิดปกติในด้านการสร้างเม็ดสีผิว เนื่องจาก SkinVive ในยังไม่ได้รับการศึกษาและวิจัยใน ผู้ป่วยที่มีประวัติความผิดปกติของการสร้างเม็ดสีผิว อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีได้ จึงจำเป็นต้องแจ้งอาการให้แก่แพทย์ทราบโดยละเอียดก่อทำการรักษา
        • ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ หากอยู่ในระหว่างการรับการบำบัดหรือรักษา ในเรื่องเกี่ยวกับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของร่างกาย เนื่องจากการใช้ SkinVive อาจจะส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้
        • SkinVive ยังไม่ได้รับการศึกษาในการใช้บริเวณอื่นๆ หากนำไปใช้ผิดบริเวณอาจได้รับผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปตามต้องการ
        • หากเพิ่งผ่านการทำเลเซอร์มา ยังไม่ได้รับการพักผิวแล้วมาทำ SkinVive อาจทำให้ผิวเสี่ยงต่อการอักเสบ หรือลอกได้
        • แจ้งให้แพทย์ทราบ หากมีโรคประจำตัวและมีการใช้ยาอยู่เป็นประจำ เช่น ยาแอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยาละลายลิ่มเลือดชนิดอื่นๆ
        • หากมีแผล หรือมีปัญหาบริเวณผิวหนัง เช่น สิว ผื่นลมพิษ ซีสต์ หรือการติดเชื้อบนผิวหนัง ควรเลือนการรักษาด้วย SkinVive ไปก่อน และรักษาปัญหาดังกล่าวให้หาย ก่อนที่จะใช้บริการ SkinVive
        • อาการข้างเคียงหลังทำการรักษาด้วย SkinVive คือ รอยแดง ก้อนเนื้อ ตุ่ม อาการบวม ช้ำ ปวด เจ็บ ตึง เปลี่ยนสี และคัน โดยผลข้างเคียงสามารถจะหายได้เองภายใน 7 วัน

        ทั้งนี้ในขั้นตอนการแจ้งประวัติ หรือซักประวัติ ควรแจ้งแพทย์โดยละเอียดเพื่อทำการประเมินการรักษา หรือเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความเหมาะสมกับผู้เข้ารับบริการที่สุด

        Skinvive คืออะไร

        • Skinvive เป็นผลิตภัณฑ์ประเภทฟิลเลอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น ยืดหยุ่นและช่วยเติมน้ำให้ผิวได้มากกว้าปกติถึง 3 เท่า

        Skinvive มีความแตกต่างจากการฉีดฟิลเลอร์อย่างไร

        • Skinvive เป็นฟิลเลอร์ชนิดที่เนื้ออ่อนนุ่ม ไม่แข็ง ไม่สามารถปรับแต่งหรือปั้นขึ้นทรงได้ ออกแบบมาเพื่อฉีดในบริเวณผิวชั้นตื้น เหมาะกับการทำงานผิวให้ดีมากยิ่งขึ้นไม่ได้ให้ผลลัพธ์ด้านการเติมเต็ม

        Skinvive ช่วยลดริ้วรอยได้หรือไม่

        • Skinvive สามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยขนาดเล็ก และตื้นได้ แต่ไม่สามารถลดเลือนริ้วรอย หรือร่องต่างๆที่มีขนาดใหญ๋ได้ แนะนำหากต้องการลอดริ้วรอยด้วยควรทำ Skinvive ควบคู่ไปกับการฉีดสารเติมเต็ม หรือสารยับยั้งกล้ามเนื้อ

        Skinvive ใช้ฉีดในบริเวณใดได้บ้าง

        • สามารถใช้ Skinvive ได้กับบริเวณใบหน้าเท่านั้นตามงานวิจัย เน้นหลักที่หน้าแก้ม แก้ม หน้าผาก และใต้ตา เพื่อช่วยในการฟื้นฟูคุณภาพผิว

        ต้องมีอายุเท่าไรจึงจะทำ SkinVive  ได้

        • ผู้ที่เหมาะสมในการทำ SkinVive จะต้องมีอายุที่มากกว่า 21 ปีขึ้นไป

        การฉีด SkinVive ใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนานเท่าไร

        • การฉีด SkinVive อาจมีอาการข้างเคียง แต่ปกติแล้วจะสามารถหายได้ใน 30 วัน โดยอาการดังกล่าวที่สามารถเป็นได้คือ อาการบวมของใบหน้ามีรอยช้ำจากเข็ม รอยแดง ก้อนเนื้อ ตุ่ม อาการบวม ช้ำ ปวด เจ็บ ตึง เปลี่ยนสี และคัน โดยผลข้างเคียงหลังทำการรักษาส่วนใหญ่จะหายได้ภายใน 7 วัน

        การฉีด SkinVive สามารถคงผลลัพธ์บนผิวได้นานเท่าไร 

        • ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า SkinVive สามารถคงผลลัพธ์บนผิวได้นานถึง 6-9 เดือนหลังฉีดครั้งแรก หรือในระหว่างนั้นหากความชุ่มชื้น หรือริ้วรอยต่างๆเริ่มกลับมา หรือลดน้อยลงแล้ว ก็สามารถทำการฉีดเพิ่มได้ตามคำแนะนำของแพทย์  ทั้งนี้ผลลัพธ์ดังกล่าวขึ้นอยู่กับแต่ละสภาพผิวรวมทั้งการดูแลของผู้เข้ารับบริการ

        ฉีด Skinvive จะส่งผลให้ภาพรวมใบหน้าเปลี่ยนไปหรือไม่

        • หลังจากการฉีด Skinvive จะไม่ได้ทำให้ใบหน้าภาพรวมเปลี่ยน แต่จะทำให้ผิวหน้าภาพรวมเปลี่ยน เนื่องจากความอ่อนนุ่มของ Skinvive จะทำงานเพียงแค่ผิวชั้นหนังแท้ ไม่ได้ส่งผลให้ใบหน้าภาพรวมเปลี่ยนไปทั้งยังให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติอีกด้วย

        Skinvive มีอันตรายหรือไม่

        • ไม่อันตราย เนื่องจาก Skinvive  ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ทั้งยังมีการรับรองจาก FDA ว่าสามารถทำบริเวณแก้มได้ ทั้งยังมีงานวิจัยรองรับอีกด้วย

        Skinvive เหมาะกับคนที่มีผิวประเภทใดบ้าง

        • Skinvive เหมาะกับผู้ที่มีผิวทุกภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพผิวให้ดียิ่งขึ้น

        การฉีด SkinVive ใช้เวลาในการทำการรักษานานหรือไม่

        • ระยะเวลาในการทำการรักษาแต่ละครั้ง ขึ้นอยู่กับผู้เข้ารับบริการว่าต้องการทายาชาหรือไม่ หากทายาชาจะต้องใช้เวลาในการรอยาชาให้ออกฤทธิ์ หากไม่ต้องใช้ยาชาจะใช้เวลาประมาณ 30 นาทีในการรักษา

        Skinvive เห็นผลผลลัพธ์หลังทำเมื่อไร

        • หลังจากทำ Skinvive ผู้เข้ารับบริการ จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนได้ภายใน 1-2 สัปดาห์หลังเข้ารับบริการ

        ควรทำการฉีด SkinVive ทุกกี่เดือน

        • เพื่อการรักษาอย่างต่อเนื่อง ควรทำการฉีดทุกๆ 6 เดือน ถึงแม้จะยังมีสภาพผิวที่ยังดูดีอยู่ก็ตาม

        สามารถทำฉีด Skinvive รวมกันกับหัตถการอื่นๆได้หรือไม่

        สามารถทำ Skinvive กับหัตถการอื่นๆได้ แต่หากต้องการทำในครั้งเดียวกันแนะนำได้ดังนี้

        • หากต้องการทำ Skinvive  กับโปรแกรมประเภทยกกระชับ 

        ควรทำโปรแกรมยกกระชับก่อน ค่อยทำ Skinvive  เนื่องจากโปรแกรมยกกระชับจะทำงานโดยการส่งคลื่นลงบนชั้นผิว ทำให้ผิวมีความเจ็บ ร้อน อุ่น หากทำ Skinvive ผิวจะมีรอยเข็มและมีความบอบบางอยู่ อาจทำให้เจ็บมากขึ้น รวมทั้งเพื่อให้ตัวยาที่ฉีดเข้าไปอยู่ในตำแหน่งที่แพทย์ต้องการด้วย

        • หากต้องการทำ Skinvive  กับโปรแกรมประเภทเลเซอร์ต่างๆ

        เช่นเดียวกัน การทำเลเซอร์เป็นการรบกวนผิว อาจทำให้ผิวมีความเจ็บได้ การทำ Skinvive จะมีรอยเข็ม ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเจ็บจากความบอบบางของผิวควรทำโปรแกรมประเภทเลเซอร์ก่อนทำ Skinvive 

        • หากต้องการทำ Skinvive  กับการฉีดชนิดอื่นๆเช่นการฉีดโบ การฉีดฟิลเลอร และสารสลายไขมัน
          สามารถทำพร้อมกันได้ เนื่องจากตัวยาแต่ละชนิดทำงานกันคนละชั้นผิวฉีดโบ : ทำงานที่ชั้นกล้ามเนื้อ โดยการไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อฟิลเลอร์ : ทำงานโดยการเติมเต็มไปทั้งชั้นผิวหนังชั้นต่างๆตามแต่ปัญหาที่ต้องการแก้ไข

          สารสลายไขมัน : ทำงานที่ชั้นไขมัน โดยการเข้าไปลดขนาไขมันและสลายออก

          Skinvive : ทำงานที่ชั้นผิวหนังชั้นตื้น โดยการไปฟื้นฟู ผิวให้ดียิ่งขึ้น

        • Skinvive สามารถทำได้ตั้งแต่อายุเท่าไร

        Skinvive สามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป โดยตั้งใจจะให้เป็นหัตถการแรกที่วัยรุ่นควรทำ เพราะงานผิว เป็นสิ่งที่ทุกคนควรสร้าง ก่อนที่จะไปดูแลใบหน้าในส่วนอื่นๆ

        ประโยชน์ของการ ฉีด Skinvive คืออะไร

        • SkinVive ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวมีความอิ่มน้ำและเรียบเนียน ทั้งยังทำให้ผิวมีสุขภาพที่ดี
        • SkinVive ช่วยฟื้นฟูผิวที่แห้งเสีย ให้กลับมามาชีวิตชีวอีกครั้ง
        • SkinVive ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผิว ในระดับโครงสร้าง
        • SkinVive ช่วยลดขนาดรูขุมขน ทำให้รูขุมขนที่เป็นต้นเหตุของการอุดตันของผิวมีขนาดเล็กลง สิวขึ้นน้อยลง
        • SkinVive ช่วยทำให้ผิวแพ้ง่าย ได้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น
        • SkinVive ช่วยช่วยลดเลือนริ้วรอยขนาดเล็ก เพิ่มความเรียบเนียนให้กับผิว ลดริ้วรอยในระยะเริ่มต้น
        • SkinVive ช่วยผิวดูเปล่งปลั่ง เสริมความยืดหยุ่น นุ่มเด้งให้กับผิวเหมือนคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิว
        • SkinVive ช่วยช่วยฟื้นฟูผิวเสื่อมสภาพ ให้มีสขภาพที่ดีได้อีกครั้ง
        • SkinVive ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผิวในระดับโครงสร้าง
        • SkinVive ช่วยปรับให้กระบวนการฟื้นฟูผิว ทำงานเร็วขึ้น
        • SkinVive ช่วยลดความหย่อนคล้อย ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากวัยของผิว
        • SkinVive ช่วยปรับปรุงโทนสีผิว ทำให้ผิวสว่างกระจ่างใสขึ้นกว่าเดิม และดูดีขึ้น
        • SkinVive ช่วยทำให้ผิวเนียนละเอียด น่าสัมผัสมากขึ้น
        • SkinVive ช่วยลดความหมองคล้ำ จุดด่าดำอันเนื่องมาจากเม็ดสีได้
        • SkinVive ช่วยปรับให้กระบวนการฟื้นฟูผิวทำงานเร็วขึ้น

        เพื่อให้การรักษาด้วย SkinVive เป็นไปอย่างปลอดภัย และมีผลข้างเคียงอย่างน้อยที่สุด ควรปรึกษาคลินิกที่ให้บริการ ที่มีแพทย์ที่มีความรู้ ที่สามารถวิเคราะห์และประเมินผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำเป็นอย่างดี อีกทั้งผู้เข้ารับบริการควรมีความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ว่า ทุกผลิตภัณฑ์ไม่ได้เหมาะสมกับทุกคน การเข้ามาให้แพทย์ทำการประเมินก่อน จะทำให้ได้มีความรู้ ความเข้าใจของผลิตภัณฑ์ที่มากขึ้น และอาจเจอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับตัวเรามากกว่า

        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




          วันที่สะดวกในการติดต่อ




          เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

          ไหมน้ำ ULTRACOL ต่างจากไหมน้ำชนิดอื่นอย่างไร?

          ไหมน้ำ

          รู้ก่อนสวย ! ไหมน้ำ ULTRACOL ดีกว่าไหมน้ำชนิดอื่น ๆ อย่างไร? 

          ว่าด้วยเรื่องของนวัตกรรมความงามปี 2024 ในเรื่องของเทรนด์ผิวหน้าเด็กอ่อนเยาว์ เหมือนย้อนกลับไป 14 อีกครั้ง นั่นก็คือนวัตกรรมการฉีดไหมน้ำ เป็นนวัตกรรมเติมเต็มใบหน้า เพื่อผิวสวยกระจ่างใส นอกจากการฉีดไหมน้ำเพื่อเติมเต็มผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ยังมีการร้อยไหมที่ใช้เข็มนำเส้นไหมลงไปสู้ใต้ชั้นผิวอีกด้วย 

          ซึ่งในปัจจุบันการฉีดไหมน้ำเป็นนวัตกรรมหนึ่งที่ทำให้ผิวสวยตั้งแต่ภายในส่งผลสู่ภายนอก เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับใครต้องการฟื้นฟูผิวจากภายในให้

           

          ไหมน้ำยอดนิยมในขณะนี้คือ “ไหมน้ำ ULTRACOL” หลายคนอาจสงสัยว่าการฉีดไหมน้ำ ULTRACOL ดีกว่าไหมน้ำอื่น ๆ อย่างไร? ทำไมต้องเลือกไหมน้ำ ULTRACOL? ในบทความนี้จะไขข้อข้องใจให้คุณ ให้คุณหายข้อใจเกี่ยวกับ “ไหมน้ำ ULTRACOL”

          ไหมน้ำ

          ไหมน้ำคืออะไร?

          นวัตกรรมที่ช่วยในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนให้ผิวเพื่อเติมเต็มคุณภาพผิว ช่วยยกกระชับผิวหน้า โดยผลลัพธ์ที่ได้ของการฉีดไหมน้ำจะมีความคล้ายคลึงกับการร้อยไหม แต่เป็นในรูปแบบของการฉีดเข้าสู่ผิวแทนการร้อยไหม

          ความแตกต่างของร้อยไหม และ ฉีดไหมน้ำ

          การร้อยไหม (Thread)

          Thread คือ เส้นไหมที่มีความปลอดภัย โดยเป็นการนำเส้นไหมเข้าไปใต้ผิวหนังชั้น SMAS กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งไหมมีหลายประเภท โดยเทคโนโลยีล่าสุดได้พัฒนานำสารเคลือบไหม เช่น PCL, PDO, PLLA ที่สามารถฉีดลงสู้ชั้นผิวได้

           

          การฉีดไหมน้ำ (Biostimulator)

          Biostimulator มีสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้เกิดขึ้นที่บริเวณใต้ชั้นผิว คือสาร PCL, PDO, PLLA คอลลาเจนใต้ผิวจะช่วยกระตุ้นทำให้ผลลัพธ์ของใบหน้ามีความตึงกระชับ เปรียบเสมือนการลิฟต์กรอบหน้าได้ด้วย

          Biostimulator เป็นการฉีดลงไปสู่ชั้นใต้ผิวหนังชั้นตื้น ที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน โดยเรียกว่า ไหมน้ำ ซึ่งไหมน้ำคือสาร PDO, PCL, PLLA ส่งผลลัพธ์ช่วยให้ลดเลือนริ้วรอย ยกกระชับผิวหน้า แบบไม่ตกค้าง สามารถสลายเองได้ตามธรรมชาติ

           

          ไหมน้ำมีชนิด ชนิดใดบ้างไหนบ้าง?

          ไหมน้ำ ชนิด PDO (Polydioxanone)

          PDO คือไหมละลาย หรือที่เรียกว่า Absorbable ที่นำมาใช้ในวงการแพทย์เพื่อเย็บแผลผ่าตัดและใช้ในการสมานแผลในอวัยวะภายใน เป็นสารที่มีความยืดหยุ่นสูง ได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก USFDA ซึ่งสามารถย่อยสลายได้เอง ไหมน้ำสาร PDO เป็นไหมชนิดแรกที่นำมาใช้ในวงการแพทย์และความงาม ซึ่งพัฒนาให้เป็นโมเลกุลทรงกลมขนาดเล็ก เพื่อฉีดกระตุ้นคอลลาเจนทั่วใบหน้าได้

          ไหมน้ำ ชนิด PCL (Polycarpolactone)

          PCL คือนวัตกรรมไหมละลาย ที่พัฒนาโดยการใช้เทคโนโลยี CESABP เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของบริษัทผู้ผลิต ที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ เป็นสารที่ช่วยฟื้นฟูผิว กระตุ้นคอลลาเจน ช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ลง 

          ไหมน้ำ ชนิด PLLA (Poly-L-Lactic acid)

          สารอุ้มน้ำที่ปลอดภัยและใช้ในวงการแพทย์มานาน ประกอบไปด้วย โมเลกุลเล็กที่ถูกสังเคราะห์ให้เข้ากับร่างกายของมนุษย์ได้อย่างดี จึงมีความปลอดภัยและย่อยสลายตามธรรมชาติ ไหมน้ำสาร PLLA เป็นไหมน้ำตัวแรกที่ได้รับการรับรองจาก FDA ในประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ฟื้นฟูโครงสร้างของผิวหน้า เพิ่มเติมเต็มผิวหน้าให้อิ่มฟูอ่อนเยาว์

          ไหมน้ำ ชนิด PDLLA (Poly D-L-Lactic Acid)

          PDLLA จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen biostimulator เป็นไหมน้ำแบบใหม่ที่พัฒนามาจากประเทศเกาหลีใต้ มีอนุภาคขนาดเล็กที่ให้ผลลัพธ์ ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งมีความแตกต่างกับไหมน้ำ PLLA ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่กว่า

          ไหมน้ำ ULTRACOL คืออะไร?

          ไหมน้ำ ULTRACOL เป็นสาร PDO (Polydioxanone) ที่นำมาใช้ในวงการแพทย์เพื่อการเย็บแผล เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในวงการแพทย์มาอย่างยาวนาน เป็นไหมน้ำที่ผ่านการรับรองจาก USFDA จึงมีความปลอดภัยสูง ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ การทำโปรแกรม ULTRACOL สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type1 และ Type3 ได้นานถึง 6-8 เดือน ซึ่งผลลัพธ์หลังทำโปรแกรม ULTRACOL จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นในชั้นผิวได้ 34.36% ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย 13.33% และเพิ่มความกระจ่างใส 9.15% 

          ไหมน้ำ ULTRACOL ช่วยอะไรบ้าง?

          การทำไหมน้ำ ULTRACOL ช่วยเติมเต็มร่องลึกต่าง ๆ บนผิวหน้าและลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้าให้ตื้นขึ้น เติมเต็มผิวหน้าให้ละมุนอย่างเป็นธรรมชาติ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type1 และ Type3 คืนความอ่อนเยาว์ ย้อนอายุผิวให้กลับมาเด็กอีกครั้ง อีกทั้งยังช่วยในการยกกระชับ ผิวหน้าที่หย่อนคล้อยให้กลับมาผิวเฟิร์มเต่งตึง ช่วยเพิ่มคุณภาพผิวให้ยืดหยุ่นแข็งแรงขึ้น และยังช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใสอีกด้วย

          ไหมน้ำ

          รวมข้อดีของ ไหมน้ำ ULTRACOL

          • ไหมน้ำ ULTRACOL ช่วยกระตุ้น การสร้างคอลลาเจน ของชั้นใต้ผิวหนังได้อย่างยาวนาน
          • ไหมน้ำ ULTRACOL แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยไม่กระชับ ยกผิวตึงกระชับเทียบเท่าการร้อยไหม
          • ไหมน้ำ ULTRACOL เติมเต็มร่องลึก และริ้วรอยเล็ก ๆ เพื่อผิวอ่อนเยาว์
          • ไหมน้ำ ULTRACOL มีความปลอดภัยสูง ไม่มีการตกค้างในร่างกาย สลายได้เองตามธรรมชาติ
          • ไหมน้ำ ULTRACOL ไม่ต้องพักฟื้นนาน ไม่ต้องผ่าตัด สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังทำทันที
          • ไหมน้ำ ULTRACOL คงผลลัพธ์ยาวนาน ไม่ต้องทำซ้ำบ่อย

          ULTRACOL

          จุดเด่นของ ไหมน้ำ UTRACOL

          • ULTRACOL กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนระดับ Nano Technology เจ็บน้อยกว่าการร้อยไหมทั่วไป
          • ULTRACOL เปรียบเสมือนการร้อยไหมและฉีดฟิลเลอร์ในคราวเดียวกัน
          • ULTRACOL สามารถ Regeneration ด้วยสารกรดอะมิโนแอซิด ช่วยซ่อมแซมผิวที่สึกหรอโดยไม่เป็นอันตรายต่อผิว
          • ULTRACOL ไหมน้ำ 1 ขวด เทียบเท่าร้อยไหม 1,427 เส้น การันตีคุณภาพงานผิวระดับพรีเมี่ยม

          เปรียบเทียบ ไหมน้ำ ULTRACOL กับ ไหมน้ำ อื่น ๆ

          • ไหมน้ำ NANO LIFT

          NANO LIFT เป็นนวัตกรรมไหมน้ำสาร PCL (Polycarpolactone) มีความพิเศษตรงที่ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลลัพธ์ให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นกว่าเดิม

          • ไหมน้ำ GOURI

          GOURI เป็นไหมน้ำสาร PCL (Polycarpolactone) โมเลกุลสูง ช่วยในการกระตุ้น และฟื้นฟูคอลลาเจนใต้ผิว โดยสามารถเห็นผลลัพธ์ภายใน 1-2 สัปดาห์ หลังจากนั้นริ้วรอยบนผิวหน้าลดลงและเพิ่มความกระชับให้กับผิวหน้า

          • ไหมน้ำ SCULPTRA

          SCULPTRA จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen Stimulator ที่มีสาร PLLA (Poly D-L-Lactic Acid) ที่จะแก้ปัญหาผิวเหี่ยวย่น ที่มีร่องลึกและริ้วรอยเล็ก ๆ แห่งวัย โดย SCULPTRA จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพิ่มผิวเฟิร์มแน่นกระชับ ปรับโครงสร้างผิวให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

           

          เปรียบเทียบไหมน้ำ ULTRACOL กับ ไหมน้ำ NANO LIFT 

          ไหมน้ำ ULTRACOL เป็นนวัตกรรมใหม่มาจากประเทศเกาหลี ที่พัฒนามาจากไหมสาร PDO (Polydioxanone) ที่มีความยืดหยุ่นสูง ได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก USFDA 

          ส่วนไหมน้ำ NANO LIFT ถูกนำมาพัฒนาจากไหมสาร PCL (Polycarpolactone) โดยการใช้เทคโนโลยี CESABP เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของบริษัทผู้ผลิต

           

          เปรียบเทียบไหมน้ำ ULTRACOL กับไหมน้ำ GOURI

          ไหมน้ำ ULTRACOL สังเคราะห์มาจาก PDO (Polydioxanone) แต่ไหมน้ำ GOURI ใช้สารสังเคราะห์จาก PCL (Polycarpolactone) โดยไหมน้ำ UTRACOL จะสร้างคอลลาเจนใหม่ เพิ่มความเต่งตึงให้แก่ผิวหน้า และช่วยแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อย รวมไปถึงเติมเต็มร่องลึกให้ตื้นขึ้น ซึ่งมีความปลอดภัย ไม่เป็นอันตราย 

          ส่วนไหมน้ำ GOURI เป็นหนึ่งในวัสดุการทำไหมละลาย ที่ใช้ในกลุ่มร้อยไหมดึงหน้าที่มาในรูปแบบของเหลว (Liquid PCL) โดยสามารถนำมาฉีดเข้าผิวแบบไม่ต้องมีการละลายน้ำ ทำให้สะดวกต่อการนำมาใช้งาน ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน 

          เปรียบเทียบไหมน้ำ ULTRACOL กับไหมน้ำ SCULPTRA

          ไหมน้ำ ULTRACOL ผ่านกระบวนการ Nano Technology โดยทำให้เป็นผงละอองไข่มุก และละลายออกมาในรูปของน้ำ สามารถฉีดได้ทุกบริเวณทั่วใบหน้า ซึ่งผลลัพธ์เปรียบเสมือนการร้อยไหมและฉีดฟิลเลอร์ไปในคราวเดียวกัน

          ส่วนไหมน้ำ SCULPTRA พัฒนาสังเคราะห์มาจากสาร PLLA (Poly-L-Lactic acid) เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวที่จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen Biostmulator ซึ่งในการทำงานของ SCULPTRA จะทำการเติมเต็มระหว่างช่องว่าง ให้ผิวกลับมาเติมเต็มอิ่มฟูแน่นเฟิร์ม ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นสูง เริ่มเห็นผลลัพธ์หลังฉีดใน 2-3 อาทิตย์ และผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานกว่า 2 ปี

           

          เปรียบเทียบไหมน้ำ ULTRACOL กับ หัตถการอื่น ๆ 

          เปรียบเทียบ ULTRACOL กับ REJURAN (รีจูรัน)

          ULTRACOL อยู่ในกลุ่มของ Skin Booster โดยเน้นไปทาง Collagen Simulator โดยเน้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ใต้ชั้นผิวอย่างเป็นธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างยาวนาน ซึ่งให้ผลลัพธ์คงความอ่อนเยาว์จากภายในสู่ภานนอก

          REJURAN (รีจูรัน) เป็นกลุ่ม Skin Booster เช่นเดียวกัน โดยสกัดมาจาก Polyneucleotide (พอลินิวคลิโอไทด์) ที่ได้มาจาก DNA ของปลาแซลมอน เน้นผิวฉ่ำวาวอิ่มฟู แลดูผิวสุขภาพดีแข็งแรง เหมาะกับผู้ที่อยากมีผิวกระจก (glass skin) 

           

          เปรียบเทียบ ULTRACOL กับ ฟิลเลอร์ (Filler)

          ULTRACOL เป็นเทคโนโลยีรูปแบบของเหลวที่ช่วยเพื่อการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับคุณภาพผิวให้ยืดหยุ่นและกระชับขึ้น โดย ULTRACOL จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน แตกต่างกับการฉีดฟิลเลอร์ที่ฉีด Hyarulonic Acid เข้าผิวโดยตรงเพื่อให้ผิวนั้นชุ่มชื้นขึ้นแบบทันที

          การฉีดฟิลเลอร์ เป็นการนำสารเติมเต็ม Hyarulonic Acid เข้าผิวโดยตรงเพื่อให้ผิวสุขภาพดี เต่งตึงกระชับและมีความชุ่มชื้น อีกทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ ได้ โดยสามารถนำมาฟิลเลอร์ใช้ในการปรับรูปหน้าได้อีกด้วย

           

          เปรียบเทียบ ULTRACOL กับ การฉีดโบ 

          ULTRACOL จะช่วยในเรื่องของการเติมเต็มริ้วรอยร่องเล็กต่าง ๆ ด้วยการกระตุ้นคอลลาเจนขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ 

          ส่วนการฉีดโบ คือการฉีดสารโดยยาจะออกฤทธิ์กับปลายประสาท ทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถสื่อประสาทมาที่กล้ามเนื้อได้ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดผ่อนคลายลง จนริ้วรอยต่าง ๆ ลดลงและไม่เกิดริ้วรอยใหม่ ๆ ในอนาคต

           

          เปรียบเทียบ ULTRACOL กับเครื่องยกกระชับ (Lifting)

          ULTRACOL ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมือนกันกับโปรแกรมยกกระชับต่าง ๆ ซึ่งจะเห็นผลลัพธ์หลังฉีด ULTRACOL ตั้งแต่สัปดาห์แรก โดยแพทย์สามารถทำทั้ง 2 หัตถการนี้ร่วมกันได้เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

          เครื่องยกกระชับผิว เช่น ULTRAFORMER III, ULTHERA SPT, THERMAGE FLX เป็นการช่วยยกกระชับลดริ้วรอย และกระตุ้นคอลลาเจนด้วยพลังงานของคลื่นเสียง เหมาะกับผู้ที่กลัวเข็ม ไม่ต้องการผ่าตัด โดยเห็นชัดเจนตั้งแต่ 3 เดือนเป็นต้นไป

           

          เปรียบเทียบ ULTRACOL กับการร้อยไหม (Thread Lifting)

          ULTRACOL เป็นการฉีดนำสาร PDO (Polydioxanone) ในรูปแบบของเหลวเข้าสู่ชั้นผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของร่างกาย ช่วยปรับสภาพของคุณภาพผิวให้ดีขึ้น สู่ผิวอิ่มฟูแน่นกระชับ เน้นการปรับ skin quality ของผิวอย่างต่อเนื่อง

          ร้อยไหม (Thread Lifting) เป็นการใช้ไหมละลายที่ทำมาจากวัสดุต่าง ๆ ร้อยเข้าสู่ชั้นผิวหนังเพื่อการยกกระชับแก้ปัญหาหย่อนคล้อย ปรับรูปหน้าเรียว เห็นผลลัพธ์ชัดเจนทันทีหลังทำ คนส่วนใหญ่นิยมร้อยไหมดึงหน้าและปรับหน้าเรียวกระชับ

           

          รวมคำถามพบบ่อยของ ULTRACOL

          ไหมน้ำ ULTRACOL ควรทำกี่ครั้ง?

          ULTRACOL เป็นโปรแกรมที่ควรทำอย่างน้อย 3 ครั้ง ในทุก 4-6 เดือน โดยหลังจากนั้นอยู่ที่การพิจารณาจากแพทย์

          ไหมน้ำ ULTRACOL  อยู่ได้นานไหม?

          ULTRACOL กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type1 และ Type3 ได้นานถึง 6-8 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลรักษาในแต่ละบุคคล

          ไหมน้ำ ULTRACOLใช้ระยะเวลานานแค่ไหนกว่าจะเห็นผลลัพธ์?

          ผลลัพธ์หลังทำ ULTRACOL จะเห็นผลได้ภายในตั้งแต่ 2-4 สัปดาห์ ซึ่งการทำ ULTRACOL ต้องใช้ระยะเวลาในการให้ร่างกายของคนเรากระตุ้นคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้หลังทำ ULTRACOL ผิวหน้าจะดูอ่อนเยาว์ขึ้น ริ้วรอยต่าง ๆ ดูจางลง และยกกระชับเติมเต็มใบหน้าให้ผิวอิ่มฟูขึ้นอีกด้วย

          ไหมน้ำ ULTRACOL ตอบโจทย์ที่สุดต้องรมย์รวินท์คลินิกเท่านั้น

          รมย์รวินท์คลินิก เป็นคลินิกที่มากด้วยประสบการณ์ ใช้ยาของแท้ มีคุณภาพปลอดภัย สามารถตรวจสอบได้ และมีทีมแพทย์ผู้ชำนาญการคอยดูแลและให้คำแนะนำปรึกษาแบบ 1:1 ทุกเคส โดยทีมแพทย์มากประสบการณ์ ในด้านการดูแลคนไข้มานานกว่า 21 ปี การันตีด้วยเคสจริง รีวิวจริง และรมย์รวินท์ได้รับความไว้วางใจจากเหล่านักแสดง นางแบบ เซเลป และคนดังมีชื่อเสียงอีกมากมาย 

           

          สำหรับใครที่กำลังมีปัญหาผิวหน้า สามารถเข้ามาประเมินปัญหาของผิวหน้า เบื้องต้นกับทางแพทย์ประจำรมย์รวินท์คลินิกทุกสาขาใกล้บ้านคุณได้เลยค่ะ เพราะที่รมย์รวินท์คลินิก นอกจากหัตถการไหมน้ำ ULTRACOL เรายังมีหัตถการโปรแกรมด้านอื่น ๆ ให้บริการโดยแพทย์ผู้ชำนาญการที่มากประสบการณ์ เพื่อตอบโจทย์ทุกปัญหาผิวและทุกไลฟ์สไตล์ของคุณค่ะ

          Rejuran รีจูรัน คืออะไร รุ่นไหนทำงานอย่างไร เหมาะกับใคร

          Rejuran

          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




            วันที่สะดวกในการติดต่อ




            เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

            ผิวสวยฉ่ำวาวแบบสาวเกาหลีด้วย Rejuran

            ใครๆก็อยากผิวหน้าดี ผิวหน้าสวย ดิวอี้ มีคุณภาพผิวที่ดี เหมือนสาวเกาหลีกันทั้งนั้น แต่มันจะเป็นไปได้จริงหรือไม่ ในขณะที่อยู่ในประเทศที่เต็มไปด้วยมลภาวะทั้งยังมีแดดที่ร้อนมาก ไม่ว่าจะอยู่ในฤดูอะไรก็ตาม จึงทำให้หลายๆคนมองหาตัวช่วยในการฟื้นฟูผิวในหลายๆรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการทาครีมบำรุง การทำทรีตเมนต์ รวมไปจนถึงการฉีดตัวยาต่างๆเพื่อฟื้นฟูใบหน้า โดยสิ่งเหล่านี้ หากทำโดยศึกษาหาข้อมูลแล้วก็มักจะได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่หากไม่ได้ศึกษาหาข้อมูลให้ดี ก็อาจนำมาถึงซึ่งผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเป็นการทาครีม ที่ส่งผลในด้านของการอุดตัน ตามมาเป็นต้น 

            ประเทศเกาหลี เมืองที่ใครๆก็ชื่นชมว่าคนบ้านเขามีสุขภาพผิวที่ดี เนื้อผิวที่ละเอียด เงางามเหมือนพักผ่อนอย่างพอเพียงจนกลายเป็นผิวที่คนทั่วโลกต่างถวิลหาและต้องการ จึงทำให้แพทย์เกาหลีได้วิจัยและคิดค้นขึ้นมาหนึ่งชนิดเพื่อให้ตอบโจทย์คนทั่วโลกที่ต้องการมีผิวแบบคนเกาหลี ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน มีสภาพอากาศอย่างไรก็สามารถมีผิวหน้าที่เงาใส ฉ่ำ สวยแบบกระจกกันได้ทั้งนั้น โดยโปรแกรมที่ว่านี้มีชื่อว่า Rejuran

            Rejuran

            Rejuran คืออะไร ?

            Rejuran หรือ รีจูรัน เป็นโปรแกรมที่จัดอยู่ในกลุ่ม Skin Booster คือโปรแกรมฟื้นฟูและปรับคุณภาพของผิวที่มีความพิเศษคือการสามารถฟื้นฟูโครงสร้างของผิวได้ตั้งแต่ภายใน เพื่อให้ผลลัพธ์ส่งออกมาถึงภายนอกนั่นเอง โดย Rejuran นั้นเป็น Skin rejuvenation booster ที่ใช้ส่วนประกอบจาก polynucleotide (โพลีนิวคลีโอไทด์) ที่เรียกกันสั้นๆว่า PN  ที่มีความบริสุทธิ์สูง

            Rejuran มีส่วนประกอบหลักจาก Polynucleotide (โพลีนิวคลีโอไทด์ ) หรือ PN  อธิบายได้อย่างง่ายว่า PN นั้นคือ เซลล์สืบพันธุ์ของปลาแซลมอน (หรืออสุจิของปลาแซลมอน) ที่อยู่ในทะเลตามธรรมชาติ ไม่ใช่ปลาแซลมอนที่ถูกเลี้ยงอย่างจำกัด โดยนำมาสกัดเอา DNA ออกมาโดยเฉพาะ และเหตุผลที่แพทย์เกาหลีเลือกใช้เซลล์สืบพันธุ์ของปลาแซลมอนในการฟื้นฟูผิวของคนเรานั่นก็นั่นเป็นเพราะว่า ปลาแซลมอนนั้นมี DNA ที่คล้ายคลึงกันกับมนุษย์เราถึง 98 %  เลยทีเดียว จึงทำให้ Rejuran นั้นสามารถทำงานได้อย่างเข้ากันได้ดีกับร่างกายของมนุษย์ เมื่อได้ฉีดเข้าสู่ผิวเพื่อฟื้นฟูโดยตรง  และ DNA ที่สกัดออกมาได้นั้นมีความบริสุทธิ์และเข้มข้นถึง 2% เมื่อทำการนำมากำจัดแอนติเจนหรือโปรตีนที่อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อภูมิคุ้มกัน ออกแล้ว 

            Rejuran ผลิตที่ประเทศเกาหลีใต้ และยังได้มีการจดทะเบียนนำเข้าประเทศไทยอย่างถูกต้องทุกขั้นตอน โดยบริษัท รีเอจไลน์ จำกัด และมีการจำหน่ายอย่างถูกต้องโดยบริษัท เอสดับบลิว เฮลธ์แคร์ จำกัด

            ความปลอดภัยและการันตีของ Rejuran

            Rejuran เป็นเทคโนโลยีเฉพาะที่ผ่านการจดสิทธิบัตร DOT หรือ (Dottechnology) จึงทำให้ Rejuran เป็นโปรแกรมฟื้นฟูผิวถึงชั้น DNA ที่ได้รับความ นิยม และเชื่อมั่น เป็นวงกว้างไปทั่วโลกว่า Rejuran มีความปลอดภัยในการใช้เพื่อฟื้นฟูผิว ต่อผิวหนังและใบหน้าเป็นอย่างมาก

            Polynucleotide (pn)ใน Rejuran คืออะไร

            เป็นสารชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติในการเชื่อมต่อหลอดเลือดที่มีขนาดเล็กที่ประกอบรวมกันอยู่ในเซลล์ (microvessel) จึงทำให้เกิดการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ได้รับความเสียหายและเสื่อมสภาพให้ฟื้นคืนกลับมาดีขึ้น และ Polynucleotide (pn)ใน Rejuran ยังเป็นสิ่งที่ช่วยในการกระตุ้นการหลั่ง Growth Factor กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอิลาสตินรวมทั้ง fibroblast (ไฟโบบลาส) ที่อยู่ใต้ชั้นผิว ต้านการอักเสบของผิว จึงทำให้ผิวได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ และส่งผลให้ผิวมีความแข็งแรง ชุ่มชื้น ฉ่ำวาว และกระจ่างใส

            Rejuran

            Polyneucleotide (pn) ใน Rejuran ดีอย่างไร 

            Polyneucleotide (pn) ใน Rejuran นั้นเป็นสารที่มีความบริสุทธิ์สูงและมีความเข้มข้น ช่วยในการกำจัดแอนติเจนหรือโปรตีนที่อาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อภูมิคุ้มกัน จึงทำให้มีความปลอดภัยสูงในการนำมาฉีดลงสู่ผิวหนัง ถึงขนาดที่มีงานวิจัยออกมาว่า มีการใช้ Polyneucleotide (pn) ในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ทำให้แผลของกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานได้มีการฟื้นฟู และเร่งในการซ่อมแซมได้ด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับเม็ดสีผิว Polyneucleotide (pn) ยังช่วยในการฟื้นฟูเม็ดสีผิวได้ และในผู้ป่วยที่เป็นแผลเป็นที่ผิวก็ยังช่วยลดการอักเสบได้อีกด้วย

            Rejuran มีกี่รุ่นแต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันอย่างไร

            Rejuran001

              •  Rejuran Classic กล่องดำ

            เป็น Rejuran รุ่นที่มีความเหมาะสำหรับผู้ที่มีต้องการที่จะฟื้นฟูผิว จากภายใน โดยการฟื้นฟูในระดับโครงสร้าง ทำให้ผิวหลังจากที่ทำ ได้มีความชุ่มชื้นมากขึ้น  ดูฉ่ำ วาว เงา สวย มากขึ้น ทั้งยังช่วย ในการกระชับรูขุมขน ปรับใบหน้าให้เรียบเนียนดูผิวสุขภาพดี

            เป็น Rejuran รุ่นที่มีความหนืดน้อยที่สุด แต่กลับเป็นรุ่นที่สามารถอุ้มน้ำได้เร็วที่สุด เหมาะกับการใช้ฉีดที่บริเวณรอบดวงตา หรือแก้ริ้วรอยที่รอบดวงตา และรอบปาก

              •  Rejuran S 

            เป็น Rejuran รุ่นที่มีเนื้อที่มีความเหนียวข้น และมีความหนืด จึงเหมาะที่จะนำมาใช้เพื่อเติมเต็ม มีความเหมาะสมในการแก้ปัญหาหลุมสิว สามารถฟื้นฟูผิวที่เป็นรอยแผลเป็น ช่วยเติมเต็มในบริเวณที่มีหลุมสิว

              •  Rejuran HB

            เป็น Rejuran รุ่นที่มีความเบาบางมากที่สุด โดยมีส่วนประกอบที่โดดเด่น 3 ตัวคือ

            สูตรบางเบาตัวล่าสุดช่วยในการฟื้นฟูผิวเป็นสองเท่าจากเดิม ปรับผิวแห้ง หยาบกร้านให้ดีมากยิ่งขึ้น และยังช่วยลดรอยสิว และริ้วรอยแบบตื้นๆได้เป็นอย่างดี

            การฉีด Rejuran ช่วยฟื้นฟูผิวในด้านใดบ้าง

            สามารถจำแนกประโยชน์ของ Rejuran ได้ 3 ด้านใหญ่ๆดังนี้

              • ประโยชน์ของ Rejuran ช่วยในการฟื้นฟูผิว

            โดยจะเข้าไปทำการกระตุ้นผิวจากภายใน และช่วยฟื้นฟู แก้ปัญหาผิวที่เกิดการเสื่อมจากวัยที่เพิ่มมากขึ้นได้ ส่งผลในการช่วยลดริ้วรอยต่างๆ ทำให้ลำคอมีความเพรียวกระชับมากขึ้น ช่วยทำให้แผลเป็นดูจางขึ้น ลดขนาดรูขุมขนให้เล็กลง ช่วยลดรอยแดงและรวยดำต่างๆ

              • ประโยชน์ของ  Rejuran ช่วยในการเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว

            โดยจะเข้าไปช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ในบริเวณใต้ชั้นผิว ส่งผลให้ชั้นผิวหนังแท้มีชั้นที่หนาแน่นมากขึ้น  ทั้งยังช่วยซ่อมแซมผิวที่เสียและเสื่อมสภาพจากภายใน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น รวมทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอยขนาดเล็กที่อยู่บนผิว

              • ประโยชน์ของ  Rejuran ช่วยในการปรับสีผิว

            โดยการช่วยทำให้ผิวดูดีมากขึ้น ช่วยลดรอยแดงรอยดำที่อยู่บนผิวให้ดูจางลง ปรับผิวให้มีความกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น ให้คุณภาพผิวที่ดีขึ้นทำให้ผิวดูวาว เงา เรียบเนียนและผ่องใสมากยิ่งขึ้น

              • ประโยชน์ของ  Rejuran ช่วยในการเติมเต็ม

            การเติมเต็มของ Rejuran จะเป็นการเติมเต็มในหลุม รอยสิวให้ได้รับการเติมเต็มที่มากขึ้น โดยการใช้ร่วมกับเทคนิคเฉพาะตัวของแพทย์ ในการเซาะผังผืดที่บริเวณใต้ผิวให้หลุดออกจึงส่งผลให้ผิวในบริเวณที่แพทย์ใช้ร่วมกันดูเติมเต็มได้มากขึ้น ทั้งยังช่วยในการเติมเต็มรอยแผลเป็นที่ไม่มีความลึกจนเกินไปได้อีกด้วย

             Rejuran เหมาะกับใคร

            •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีผิวสุขภาพดี
            •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีหน้าสวยฉ่ำวาว แบบสาวเกาหลี
            •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีผิวที่เรียบเนียนสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ
            •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่มีอายุเข้าวัย 20 ช่วงปลาย ๆ  ที่เริ่มประสบปัญหาผิว
            •  Rejuran เหมาะกับผู้ต้องการให้ผิว สวยใสไร้ริ้วรอย
            •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดโอกาสการเกิดสิว
            •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับสมดุลผิว ให้ผิวมีความสมดุลมากขึ้น
            •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระชับรูขุมขน มีใบหน้าเรียบเนียน
            •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่มีผิวหมองคล้ำจากแสงแดด
            •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับสีผิวให้กระจ่างใสอย่างสม่ำเสมอ
            •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอย จุดด่างดำ ฝ้า กระ รอยสิว
            •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการให้ผิวมีความเต่งตึงแลดูอ่อนกว่าวัย
            •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่มีผิวบอบบางและผิวแพ้ง่าย
            •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการคืนความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้าและผิวในระดับ DNA
            •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่มีผิวเสื่อมโทรมหรือผิวที่เป็นแผล
            •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความหนาแน่นให้กับชั้นผิว

             Rejuran ไม่เหมาะในการฉีดกับใคร

            •  Rejuran ไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้อาหารทะเล เนื่องจาก Rejuran เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากสารสกัดจากปลาแซลมอน
            •  Rejuran ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่นโดน SLE ภูมิแพ้ตัวเอง โรคเม็ดเลือด โรคหัวใจ โรคผิวหนังอักเสบเป็นต้น
            •  Rejuran ไม่เหมาะกับผู้ที่มีการตอบสนองที่รวดเร็วต่อผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากสารโซเดียมโพลีนิวคลีโอไทด์
            •  Rejuran ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์
            •  Rejuran ไม่เหมาะกับสตรีที่อยู่ในระหว่างการให้นมบุตร

            ต้องมีอายุเท่าไรถึงจะทำ Rejuran ได้

            ผู้ที่ต้องการทำ Rejuran จะต้องมีช่วงอายุที่บรรลุนิติภาวะแล้ว คืออายุ 18 ปีขึ้นไปแต่หากเป็นผู้ที่ประเริ่มประสบปัญหาผิวคือกลุ่มผู้ที่มีอายุเข้า 20 ปีขึ้นไป และในวัยช่วง 30 ปีขึ้นไปจะเป็นวัยที่ผิวจะเริ่มร่วงลง ผิวเริ่มเกิดความหย่อนคล้อย หมองคล้ำอันเนื่องมาจากวัย สามารถทำ Rejuran และเห็นผลลัพธ์ดีเช่นกัน โดยผลลัพธ์ที่ได้แต่ละช่วงวัยก็จะส่งผลที่แตกต่างกัน โดยหลักแล้วที่เหมือนกันคือการให้คุณภาพผิวที่ดีมากยิ่งขึ้น และช่วยปรับให้ผิวหน้าภาพรวมดูสวย ฉ่ำน้ำแบบสาวเกาหลีนั่นเอง

             Rejuran ใช้วิธีการฉีดในรูปแบบใด 

            Rejuran เป็นที่ที่คล้ายกับการทำหน้าใส โดยแพทย์จะใช้การทำ Rejuran โดยการฉีดเป็นตุ่ม เล็กๆ ทั่วทั้งใบหน้า ในบริเวณชั้นผิวหนังแท้ ด้วยความชำนาญและแม่นยำ หากผู้ใดมีปัญหาผิวร่วมด้วยแพทย์จะเน้นในบริเวณที่มีปัญหาร่วมด้วยเช่นบริเวณที่ต้องการเติมเต็มหลุมสิว รูขุมขนกว้าง  หรือมีรอยแผลเป็นเป็นต้น

            Rejuran ทำในบริเวณใดได้บ้าง

            นอกจากใบหน้าแล้ว Rejuran ยังสามารถทำในส่วนอื่นๆของร่างกายได้ด้วยเนื่องจาก Rejuran เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อบำรุงและฟื้นฟูผิวให้มีสุขภาพที่ดีจึงสามารถทำการฉีดได้ในบริเวณที่หลากหลาย ดังนี้

            • ใบหน้าทั่วทั้งใบหน้า สามารถฉีดเพื่อฟื้นฟูผิวได้ทั่วทั้งใบหน้า โดยไม่มีบริเวณที่ยกเว้นนอกจากบริเวณเปลือกตาเท่านั้น
            • ลำคอ สามารถใช้ในการฉีดเพื่อลดริ้วรอย เพิ่มความสง่างามให้กับลำคอ ทำให้ดูสวยอ่อนกว่าวัยและรับกับใบหน้า โดยบริเวณลำคอเป็นบริเวณที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในหมู่ผู้ที่มีอายุเข้า 40
            • มือ นิยมฉีดกันในบริเวณหลังมือเพื่อเสริมความอวบอิ่มให้กับหลังมือ ลดรอยเส้นเลือด ทำให้มือดูไม่แห้งกร้าน นิยมทำในผู้ที่มือแห้ง มือผอมจนติดกระดูกและเจ้าสาวที่ต้องการมีมือที่สวยในขณะสวมแหวนแต่งงาน

            Rejuran

             Rejuran ควรฉีดกี่ครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

            เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการรักษาด้วย Rejuran ควรทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง ขั้นต่ำจำนวน 4 ครั้ง โดยการทำในทุกครั้งควรเว้นระยะห่าง เพื่อให้ใบหน้าได้พักในระยะเวลา 2- 4 สัปดาห์ การทำในทุกๆครั้งจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในทุกครั้ง

              • ในการรักษาด้วย Rejuran ครั้งที่ 1 

            ผู้เข้ารับบริการจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ในการรักษาภายในระยะเวลา 3-5 วัน หลังทำการรักษา โดยจะเริ่มสังเกตได้จากความ เรียบเนียน รูขุมขนเริ่มแน่นขึ้น และมีความชุ่มชื้นของผิวที่มากขึ้น

              • ในการรักษาด้วย Rejuran ครั้งที่ 2

            ผู้เข้ารับบริการจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ในการรักษาภายใน  2-4 สัปดาห์ หลังการรักษา โดยจะสัมผัสได้ว่า ผิวในบริเวณที่ทำจะเริ่มมีความเต่งตึงขึ้นมากขึ้น มีความยืดหยุ่นมากขึ้น  ริ้วรอยต่างๆจะดูจางและลดเลือนลง และรูขุมขนที่กว้างก็เริ่มมีความกระชับแน่นมากขึ้น

              • ในการรักษาด้วย Rejuran ครั้งที่ 3

            ผู้เข้ารับการรักษาจะเห็นผลลัพธ์ในการรักษาได้ภายใน 4-6 วัน หลังการรักษา โดยผิวในบริเวณที่ทำจะมีความกระชับแน่นมากขึ้น สัมผัสได้ถึงผิวที่มีความเรียบเนียน แลดูสุขภาพดี มีความฉ่ำวาว ดูสุขภาพดีและมีคุณภาพที่ดี โดยสังเกตได้ด้วยตา

              • ในการรักษาด้วย Rejuran ครั้งที่  4 

            ผู้เข้ารับการรักษาจะเห็นผลลัพธ์ในการรักษาได้ใน 6-8 วัน หลังการรักษา โดยผิวภาพรวมจะดูเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน ผิวจะมีความเรียบเนียน ให้สัมผัสที่อ่อนนุ่ม สีผิวที่เคยมีรอยแดงรอยดำก็จะดูมีความสม่ำเสมอมากขึ้น ริ้วรอยต่าง ๆก็จะดูลดลง  มีความสวย ฉ่ำ โกลด์ แต่งหน้าติดได้ง่ายขึ้นเนื่องจากมีคุณภาพผิวที่ดี และยังมีผิวที่แลดูอ่อนกว่าวัยอย่างเห็นได้ชัด

             Rejuran  ใช้ปริมาณในการฉีดกี่ CC 

            ในแต่ละบริเวณของใบหน้าจะใช้ปริมาณในการทำ Rejuran ที่แตกต่างกันดังนี้

            • ทำ Rejuran ทั่วใบหน้าใช้ปริมาณ 4 ml.
            • ทำ Rejuran ที่บริเวณแก้มใช้ปริมาณ  2 ml.
            • ทำ Rejuran ที่บริเวณลำคอใช้ปริมาณ 2 ml.

            การเตรียมตัวก่อนทำ Rejuran

            • ก่อนทำ Rejuran ควรงดรับประทานยา และอาหารเสริมที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
            • ก่อนทำ Rejuran ควรงดสูบบุหรี่เป็นระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์
            • ก่อนทำ Rejuran ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์
            • ก่อนทำ Rejuran ควรดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเตรียมตัวก่อนทำการฉีด

            การดูแลตัวเองหลังทำ Rejuran

            • หลังทำ Rejuran หากเกิดรอยแดง ช้ำ จากรอยเข็มบริเวณที่ฉีดหลังทำ สามารถประคบเย็นได้
            • หลังทำ Rejuran ควรงดการใช้ครีมบำรุงผิวในบริเวณที่ทำ ประมาณ 1 สัปดาห์
            • หลังทำ Rejuran ควรงดการแต่งหน้า 1-2 วันเพื่อให้รอยเข็มปิดก่อน
            • หลังทำ Rejuran หากมีอาการเจ็บ หรือปวด สามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาได้
            • หลังทำ Rejuran ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า
            • หลังทำ Rejuran งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เนื่องจากจะทำให้ผิวเกิดการแห้งกร้าน
            • หลังทำ Rejuran ควรดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเป็นการทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น และดูสุขภาพดี
            • หลังทำ Rejuran ควรหลีกเลี่ยงการโดนแดด ควรทาครีมกันแดดก่อนออกแดด
            • หลังทำ Rejuran ควรงดอยู่ในที่ร้อนๆ เล่นกีฬากลางแจ้ง หรืออบซาวน่า

            Rejuran ของแท้ดูอย่างไร

            Rejuran เป็นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนมีการปลอมขึ้นมาโดยสามารถตรวจสอบสินค้าของแท้ได้ดังนี้

            • บนกล่องผลิตภัณฑ์ของ Rejuran จะต้องมี Sticker Hologram ติดที่ข้างกล่อง
            • เมื่อใช้โทรทัพท์ Scan QR code ที่ Sticker Hologram จะสามารถเข้าไปที่หน้าเพจของแบรนด์ได้
            • บนกล่องของ Rejuran จะต้องมีฉลากอย.ไทย
            • ภายในกล่องของ Rejuranจะมี 2 ไซริงค์ พร้อมเข็มขนาดเล็ก

             Rejuran สามารถคงสภาพผิวอยู่ได้นานแค่ไหน

            • สามารถคงสภาพคุณภาพของตัวยาที่อยู่ใต้ผิวได้ประมาณ 3 เดือน หลังทำการฉีดไป ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลของแต่ละคน  หากต้องการผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอควรทำการฉีดอย่างต่อเนื่อง

             Rejuran มีผลข้างเคียงไหม

            • Rejuran เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ผลิตมาจาก Polynucleotide (PN) หรืออสุจิของปลาแซลมอน มีความใกล้เคียงกัน DNA ของมนุษย์ถึง 90% จึงมีโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงน้อยเนื่องจากเป็นโปรแกรมที่มีความปลอดภัยสูง

            Rejuran สามารถทำควบคู่กับการทำหัตถการชนิดอื่นได้หรือไม่

            • สามารถทำ Rejuran ร่วมกับหัตถการอื่นได้เพื่อให้การรักษาเป็นการรักษาที่มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ยิ่งเป็นการส่งเสริมให้ใบหน้าภาพรวมมีความสวยมากยิ่งขึ้น แต่ในกลุ่มหัตถการประเภทฉีดควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนทำการรักษา เนื่องจากหากทำหัตถการประเภทฉีดในชั้นผิวเดียวกันอาจทำให้ตัวยาเกิดปฏิกิริยาระหว่างกันได้

            ฉีด Rejuran ที่ไหนดี

            • ทุกการฉีดตัวยาหรือการฉีดสารต่างๆลงบนใบหน้า แน่นอนอยู่แล้วว่าผู้เข้ารับบริการจะต้องมีความกังวลเกิดขึ้น ดังนั้นหากกังวลควรเลือกสถานบริการที่ได้รับมาตรฐานดังนี้
              1. จะต้องเป็นสถานพยาบาลหรือคลินิกที่เปิดให้บริการอย่างถูกต้อง
              2. จะต้องเป็นคลินิกที่ให้บริการโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์
              3. จะต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นของแท้ ทำการตรวจสอบได้
              4. สถานพยาบาลจะต้องมีความสะอาด พนักงานมีความสะอาดตามหลักกระทรวง

            ในปัจจุบันมีคลินิกเสริมความงามมากมาย ที่ให้บริการแต่การเลือกคลินิกที่จะเข้าไปรับบริการจะต้องเลือกจากมาตรฐาน ชื่อเสียง มีเลขที่ใบอนุญาต 11 หลักครบถ้วน และรีวิวต่างๆของคลินิกเสริมความงามนั้นๆ เนื่องจากหากคลินิกที่เข้ารับบริการจะไม่ได้รับมาตรฐาน ยังนำมาซึ่งการใช้ตัวยาที่ไม่ใช่ของแท้ ทำให้ผลลัพธ์หลังการฉีดไม่เห็นผล รวมไปจนถึงอาจเกิดอันตรายตามมาได้ ดังนั้นเมื่อเข้ารับบริการ Rejuran ควรขอให้ทำการแกะกล่องต่อหน้า และทำการตรวจสอบโดยละเอียดก่อนทำการรักษา เพื่อความปลอดภัยของตัวคนไข้เอง

            หรือมาทำ Rejuran ที่รมย์รวินท์คลินิกก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถการันตีได้ว่าทุกขั้นตอนในการรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัย และยังได้มาตรฐานตรวจสอบได้ สามารถนัดคิวเพื่อประเมินการรักษาเบื้องต้นได้ทางช่องทางออนไลน์ทุกช่องทาง และสามารถเข้ารับบริการได้ทุกสาขาใกล้บ้านคุณ

            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




              วันที่สะดวกในการติดต่อ




              เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

              Radiesse Plus (Reset Plus) คืออะไร ? ดีอย่างไร ?

              Radiesse Plus

              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                วันที่สะดวกในการติดต่อ




                เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                BEFORE & AFTER

                Radiesse
                Radiesse

                Radiesse Plus (Reset Plus) คืออะไร ?

                Radiesse Plus  (Reset Plus) ไม่ใช่ฟิลเลอร์เนื่องจาก Radiesse Plus ไม่ได้ผลิตจาก Hyaluronic acid (กรดไฮยาลูโรนิกแอซิต) แต่ผลิตจาก CaHA (ไมโครสเฟียร์เจลแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์) ซึ่งเป็นสารที่ออกแบบมา เพื่อใช้ฉีดเพิ่มปริมาตรความหนาแน่นของกระดูกได้ คล้ายกับฟิลเลอร์เนื้อแข็ง หรือใช้เพื่อเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังได้เช่นกัน จึงถูกนำมาใช้ใน Radiesse (Reset Plus)

                Radiesse Plus

                ในการสร้างให้เกิดการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว และถูกนำมาใช้ใน Radiesse Plus ในการเติมชั้นโครงสร้างให้ใบหน้ามีมิติมากยิ่งขึ้น มีความปลอดภัยเนื่องจาก Radiesse Plus ได้รับการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จากถึง 3 ประเทศคือ US FDA (สหรัฐอเมริกา) EU FDA สหภาพยุโรป TH FDA และ (ประเทศไทย) เป็นผลิตภัณฑ์ที่แพทย์ความงามทั่วโลกใช้ในการรักษามาเป็นระยะเวลานานมากว่า 9 ปี ทั้งยังมีงานวิจัยสิ่งพิมพ์ที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์มากกว่า 220+ ฉบับ

                รวมทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่จัดอยู่ในกลุ่มยาฉีดตัวแรกของโลกที่ได้รับรอง US FDA ในด้านการฉีด Jawline หรือบริเวณกราม และกรอบหน้า โดยแพทย์สามารถฉีด Radiesse Plus ในชั้นผิวหนังชั้นลึก หรือชั้นใต้ผิวหนังตามแต่ปัญหาที่ต้องการแก้ไข

                Radiesse Plus

                Radiesse Plus (Reset Plus) มีองค์ประกอบคืออะไร?

                Radiesse Plus ประกอบไปด้วยสาร CaHA (ไมโครสเฟียร์เจลแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์) ที่ถูกนำมาแขวนลอยในเจล หรือ CMC gel และผสมยาชา (Lidocaine) 0.3% เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการให้บริการ และตัวยา Radiesse Plus จะเป็นตัวยาที่มีความหนืดและมีความยืดหยุ่นสูง จึงส่งผลให้ตัวยานั้นมีความคงตัวมาก ไม่เคลื่อนที่ ทำให้เวลาแพทย์ทำการฉีดไปที่บริเวณไหนจะไม่มีการขยับหรือเคลื่อนตัว

                Radiesse Plus (Reset Plus) จึงสามารถยกกระชับกรอบหน้าได้ ยกหน้าได้ ฉีดเพื่อปรับใบหน้าและรูปหน้าในชั้นโครงสร้างได้ ทำให้มีใบหน้าที่สวยงามอย่างใจต้องการ ทั้งยังทำให้ใบหน้าดูมีมิติโดยไม่ต้องพึ่งการแต่งหน้าอีกด้วย

                Radiesse Plus (Reset Plus) ใช้ฉีดในบริเวณใดของใบหน้าได้บ้าง ?

                1. Radiesse Plus ใช้ฉีดบริเวณกรอบหน้า
                2. Radiesse Plus ใช้ฉีดบริเวณโหนกแก้ม
                3. Radiesse Plus ใช้ฉีดบริเวณแนวกราม
                4. Radiesse Plus ใช้ฉีดบริเวณแนวขากรรไกร
                5. Radiesse Plus ใช้ฉีดบริเวณคาง
                6. Radiesse Plus ใช้ฉีดปรับโครงหน้า

                ข้อดีของ Radiesse Plus (Reset Plus)

                1. Radiesse Plus สามารถช่วยในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนได้
                2. Radiesse Plus สามารถยกกระชับใบหน้าได้ในทันที
                3. Radiesse Plus สามารถใช้เพื่อฉีดปรับโครงสร้างใบหน้าได้
                4. Radiesse Plus มียาชา (Lidocaine) ลดความเจ็บในระหว่างทำ
                5. Radiesse Plus สามารถเพิ่มมิติของใบหน้าได้แม้ไม่แต่งหน้า
                6. Radiesse Plus สามารถแก้ปัญหาได้โดยไม่ต้องทำการผ่าตัด
                7. Radiesse Plus ใช้หน้าได้ทันที โดยไม่ต้องพักฟื้น 
                8. Radiesse Plus คงผลลัพธ์บนใบหน้ายาวนาน 12 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับบุคคล และการดูแล
                9. Radiesse Plus สามารถตั้งทรงได้ดีมาก ปรับโครงหน้าชัด
                Radiesse Plus

                ข้อเสียของ Radiesse Plus (Reset Plus)

                1. Radiesse Plus ไม่สามารถฉีดบริเวณผิว เพื่อสร้างงานผิวได้
                2. Radiesse Plus ไม่สามารถฉีดเพื่อเพิ่มวอลลุมได้
                Radiesse Plus

                ใครเหมาะกับการฉีด Radiesse Plus (Reset Plus)

                1. ผู้ที่เหมาะกับการฉีด Radiesse Plus คือ ผู้ที่ต้องการเพิ่มมิติให้ใบหน้า
                2. ผู้ที่เหมาะกับการฉีด Radiesse Plus คือ ผู้ที่ต้องการเพิ่มความคมชัดให้กับโครงสร้างใบหน้า
                3. ผู้ที่เหมาะกับการฉีด Radiesse Plus คือ ผู้ชายที่ต้องการกรอบหน้าที่ชัดเจน ช่วยเพิ่มความแมน ความคมเข้มมากขึ้น
                4. ผู้ที่เหมาะกับการฉีด Radiesse Plus คือ ผู้ที่ต้องการปรับโครงสร้างใบหน้า
                5. ผู้ที่เหมาะกับการฉีด Radiesse Plus คือ ผู้ที่ต้องการมีสันกรามที่ดูคม
                6. ผู้ที่เหมาะกับการฉีด Radiesse Plus คือ ผู้ที่ต้องการเพิ่มคอลลาเจนในบริเวณกรอบหน้า

                ใครไม่เหมาะกับการทำ Radiesse Plus (Reset Plus)

                1. ผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีด Radiesse Plus คือ ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีขึ้นไป
                2. ผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีด Radiesse Plus คือ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์
                3. ผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีด Radiesse Plus คือ ผู้ที่อยู่ในระหว่างให้นมบุตร
                4. ผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีด Radiesse Plus คือ ผู้ที่มีประวัติการแพ้อย่างรุนแรง
                5. ผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีด Radiesse Plus คือ ผู้ที่มีอาการแพ้ส่วนประกอบใด ๆ ของผลิตภัณฑ์
                6. ผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีด Radiesse Plus คือ ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย และหยุดยาก
                Radiesse Plus
                Radiesse Plus
                Radiesse Plus

                ข้อควรระวังในการฉีด Radiesse Plus (Reset Plus)

                1. ผู้ที่ควรระวังในการฉีด Radiesse Plus คือ ผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่ฉีด
                2. ผู้ที่ควรระวังในการฉีด Radiesse Plus คือ ผู้ที่เป็นสิวอักเสบ หรือสิวหัวช้างในบริเวณที่ฉีด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการฉีด Radiesse Filler
                3. ผู้ที่ควรระวังในการฉีด Radiesse Plus คือ ผู้ที่มีความจำเป็นต้องทำ X-rays หรือ CT Scans ควรปรึกษาแพทย์โดยละเอียด
                4. ผู้ที่ควรระวังในการฉีด Radiesse Plus คือ ผู้ที่มีประวัติของโรคเริม
                5. ผู้ที่ควรระวังในการฉีด Radiesse Plus คือ ผู้ที่มีประวัติเกิดแผลคีลอยด์

                *หากต้องการฉีด Radiesse Plus (Reset Plus) ควรปรึกษาแพทย์โดยแจ้งข้อมูลดังกล่าวอย่างละเอียด เพื่อทำการประเมินก่อนรักษา และเพื่อความปลอดภัยในการรักษาอย่างสูงสุด

                การเตรียมตัวก่อนฉีด Radiesse Plus (Reset Plus)

                • ก่อนฉีด Radiesse Plus ควรศึกษาหาข้อมูลรวมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ว่ามีความเหมาะสมปัญหาของผู้เข้ารับบริการหรือไม่
                • ก่อนฉีด Radiesse Plus ควรศึกษาหาข้อมูลรวมเกี่ยวกับคลินิกที่เข้ารับบริการ
                • ก่อนฉีด Radiesse Plus ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปัญหา และเตรียมตัวเข้ารับการรักษา
                • ก่อนฉีด Radiesse Plus งดการทำหัตถการอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดแผลในบริเวณใบหน้า ขั้นต่ำ 2 สัปดาห์
                • ก่อนฉีด Radiesse Plus ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
                • ก่อนฉีด Radiesse Plus ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อเป็นการเตรียมผิวจากภายใน
                • ก่อนฉีด Radiesse Plus ควรงดยาละลายลิ่มเลือดในผู้ที่มีการรับประทาน
                • ก่อนฉีด Radiesse Plus ควรงดยาจำพวกที่ก่อให้เกิดการแข็งตัวของเลือด เนื่องจากอาจทำให้เกิดการเลือดออกมาก รวมทั้งอาจทำให้รอยช้ำหลังทำการฉีด
                Radiesse Plus
                Radiesse Plus
                Radiesse Plus

                ขั้นตอนการฉีด Radiesse Plus (Reset Plus)

                1. ผู้ช่วยแพทย์ทำความสะอาดใบหน้าและเก็บผม เพื่อความสะอาดก่อนการให้บริการ
                2. หากกลัวเจ็บสามารถทายาชาทิ้งไว้ 30-40 นาที เพื่อบรรเทาความเจ็บระหว่างฉีดได้
                3. ทำการเช็ดยาชา
                4. แพทย์ฉีด Radiesse Plus
                5. ผู้ช่วยพยาบาลใช่สำลีกดห้ามเลือดเป็นอันเสร็จ

                การดูแลตัวเองหลังฉีด Radiesse Plus (Reset Plus)

                • หลีกเลี่ยงการจับ ลูบ แตะ แกะ เกาผิวหน้าในบริเวณที่ฉีด
                • งดการแต่งหน้าหลังฉีด 12 ชั่วโมง
                Radiesse Plus

                อาการข้างเคียงหลังฉีด Radiesse Plus (Reset Plus)

                • หลังฉีด Radiesse Plus อาจมีอาการบวมจากการฉีดได้เล็กน้อย โดยอาการเหล่านี้เป็นอาการปกติของการฉีด Radiesse Plus และจะสามารถหายได้เองภายใน 72 ชั่วโมง ไม่ต้องกังวล
                • หลังฉีด Radiesse Plus ผู้รับบริการอาจสัมผัสได้ถึงก้อนบริเวณผิวที่ฉีด ซึ่งก้อนดังกล่าวจะลดลงหลังจากฉีด Radiesse Plusไปแล้ว 2- 4 สัปดาห์
                • หลังฉีด Radiesse Plus หากมีรอยช้ำ เขียว บวม สามารถประคบเย็นในวันแรก หลังจากนั้นค่อยทำการประคบอุ่น
                • หลังฉีด Radiesse Plus สามารถทาหรือรับประทานยา ที่ช่วยลดอาการช้ำ หลังจากเข้ารับบริการได้
                • หลังฉีด Radiesse Plus หากพบอาการผิดปกติอื่น ๆ ให้รีบพบแพทย์
                • หลังฉีด Radiesse Plus หลีกเลี่ยงการจับ ลูบ แตะผิวหน้า หรือไปโดนในบริเวณที่ฉีด Radiesse Plus
                Radiesse Plus
                Radiesse Plus
                Radiesse Plus

                Radiesse Plus (Reset Plus) สามารถคงผลลัพธ์อยู่ใต้ผิวได้นานเท่าไร

                Radiesse Plus สามารถคงสภาพอยู่ใต้ผิวได้นานถึง 12-18 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแล และสภาพผิวของแต่ละบุคคล

                Radiesse Plus (Reset Plus) เห็นผลหลังทำนานเท่าไร

                Radiesse  Plus จะสามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำได้ทันที ในด้านของความคมชัดของบริเวณโหนกแก้ม ไลน์กราม ขากรรไกร กรอบหน้าหรือการปรับรูปหน้า เนื่องจากเนื้อของตัวยาที่เข้าไปทำหน้าที่คงสภาพอยู่ใต้ผิว แต่ตัวผลิตภัณฑ์จะค่อย ๆ ออกฤทธิ์ในการเสริมสร้างงานผิวในบริเวณที่ทำการฉีดไปให้สวย และมีคุณภาพผิวที่ดีมากยิ่งขึ้น ส่งผลต่อสภาพผิวในระยะยาวนั่นเอง

                Radiesse Plus

                Radiesse Plus (Reset Plus) ต่างจาก Radiesse (Classic รุ่นธรรมดา) อย่างไร

                Radiesse Plus มีความต่างจาก Radiesse Classic ในด้านส่วนประกอบ บริเวณที่ฉีด และผลลัพธ์ โดยจำแนกได้ ดังนี้ 

                ส่วนประกอบของ Radiesse Plus และ Radiesse

                • Radiesse  Plus มีส่วนประกอบ คือ แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ ไมโครสเฟียร์ (Calcium Hydroxylapatite Microspheres)  CaHA microsphere  25-45 ไมครอน   30% ต่อ 1 โดส เจล Sodium carboxy-methylcellulose ขนาด(CMC)70%  และยาชา (Lidocaine)
                • Radiesse มีส่วนประกอบ คือ แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ ไมโครสเฟียร์ (Calcium Hydroxylapatite Microspheres)  CaHA microsphere  25-45 ไมครอน   30% ต่อ 1 โดส เจล Sodium carboxy-methylcellulose ขนาด(CMC)70%

                บริเวณที่ฉีดของ Radiesse Plus และ Radiesse

                • Radiesse Plus เหมาะกับการฉีดบริเวณ โหนกแก้ม กราม ขากรรไกร คาง
                • Radiesse เหมาะกับการฉีดบริเวณ ผิวที่มีริ้วรอย ร่องลึก หลุม และความเหี่ยวย่น

                ผลลัพธ์ของ Radiesse Plus และ Radiesse

                • Radiesse  Plus ให้ผลลัพธ์ คือ การเพิ่มมิติและความคมชัดให้แก่ใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูมีมิติ แม้ไม่ได้แต่งหน้า
                • Radiesse ให้ผลลัพธ์ คือ การมีคุณภาพผิวที่ดีมากยิ่งขึ้น ใบหน้าที่ยกกระชับ ลดริ้วรอยร่องลึก และหลุมต่าง ๆ บริเวณผิว

                Radiesse Plus ทำร่วมกับ Radiesse (Classic รุ่นธรรมดา) ได้หรือไม่

                สามารถทำได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำแต่ละโปรแกรม หากต้องการฉีด Radiesse  Plus ร่วมกับ Radiesse ในวันเดียวกัน ควรทำคนละบริเวณ หากเป็นในบริเวณเดียวกัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อนัดวันเข้ามาทำอีกครั้ง

                Radiesse Plus สามารถทำได้ตั้งแต่มีอายุกี่ปี

                Radiesse  Plus สามารถทำได้ตั้งแต่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป โดยสามารถปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์ที่คลินิก เพื่อประเมินการรักษาได้ก่อนเข้ารับการรักษาอย่างละเอียด

                Radiesse Plus ต่างจากการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไปอย่างไร

                Radiesse Plus เป็นโปรแกรมที่มีส่วนประกอบหลักของผลิตภัณฑ์ คือ CaHA ซึ่งเป็นสารที่มีเนื้อแข็งกว่าฟิลเลอร์เนื้อแข็ง และยังเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และเพิ่มปริมาตรในบริเวณใต้ผิวหนัง ส่งผลให้มีคุณภาพผิวที่ดีมากขึ้นไปพร้อม ๆ กับการปรับโครงสร้าง และเพิ่มมิติให้กับใบหน้า

                ซึ่งมีความต่างจากฟิลเลอร์โดยทั่วไป ที่เป็นผลิตภัณฑ์มีส่วนประกอบหลัก คือ HA (Hyaluronic) ที่มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ ทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นเพียงการเติมเต็ม และทำให้ผิวดูชุ่มชื้น แต่ไม่ได้ช่วยเรื่องการปรับโครงสร้าง และคุณภาพผิวในระยะยาว อีกทั้งฟิลเลอร์ที่มีเนื้อแข็งที่สุด ยังมีความแข็งน้อยกว่า Radiesse Plus อีกด้วย จึงทำให้ผลลัพธ์ในการสร้างความคมชัด เพิ่มมิติ ยกกระชับ Radiesse Plus สามารถทำได้มากกว่า

                Radiesse Plus สามารถฉีดกับโบได้หรือไม่

                Radiesse  Plus สามารถทำร่วมกันกับโบ เนื่องจากให้ผลลัพธ์คนละอย่าง และฉีดลงชั้นผิวหนังคนละชั้น โดยโบเป็นการฉีดสารลงไปที่ชั้นกล้ามเนื้อ เพื่อให้หยุดการทำงานของกล้ามเนื้อ ส่วน Radiesse  Plus เป็นการฉีด CaHA เพื่อสร้างมิติให้กับใบหน้า ทั้งโหนกแก้ม สันกราม กรอบหน้า และขากรรไกร หากทำร่วมกันจะยิ่งส่งผลดีอีกด้วย เนื่องจากจะยิ่งทำให้ใบหน้ามีสัดส่วนที่สวย และได้รูปมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ต้องได้รับกระประเมินรูปหน้า และความต้องการจากแพทย์ผู้มีประสบการณ์ เนื่องจากปกติจะฉีดที่บริเวณกราม และใช้เพื่อลิฟต์กรอบหน้าเพื่อลด ในขณะเดียวกันกับ Radiesse  Plus ใช้เพื่อเพิ่มความชัดที่บริเวณกราม และกรอบหน้า

                Radiesse Plus สามารถทำร่วมกับโปรแกรมกลุ่มเครื่องยกกระชับได้หรือไม่

                Radiesse Plus สามารถทำร่วมกับเครื่องยกกระชับได้ โดยหากทำในวันเดียวกันควรทำโปรแกรมกลุ่มเครื่องยกกระชับก่อนค่อยฉีด Radiesse Plus เพื่อป้องกันการสลายของตัวยาและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่หากต้องการฉีด Radiesse Plus ก่อนแนะนำให้เว้นระยะตามคำสั่งแพทย์ค่อยกลับมาใช้บริการโปรแกรมยกกระชับ

                Radiesse Plus ฉีดร่วมกันกับฟิลเลอร์ทั่วไปได้หรือไม่

                Radiesse  Plus สามารถทำร่วมกับฉีดฟิลเลอร์ทั่วไปได้ ทั้งยังส่งผลให้ผลลัพธ์ในการแก้ไขปรับรูปหน้าได้ผลดีขึ้นอีกด้วย โดยการใช้ฟิลเลอร์ในการฉีดเพื่อปรับรูปหน้าให้สายงาม และใช้ Radiesse Plus เพิ่มมิติในบริเวณโหนกแก้ม กราม ขากรรไกร และกรอบหน้า ส่งผลให้ใบหน้าทั้งสวยได้รูป และมีมิติในขณะเดียวกัน ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์เพื่อให้ออกแบบรูปหน้า และประเมินการรักษาให้เหมาะสม เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                เหตุผล … ทำไมต้องทำ Radiesse Plus ที่รมย์รวินท์คลินิก

                1. รมย์รวินท์คลินิกมีคุณหมอออย พญ.อรุณี ทองอัครนิโรจน์ ผู้เป็น KOL ของ Radiesse และ Radiesse Plus โดยตรง ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าทุกการให้บริการเป็นการให้บริการที่ดี เห็นผลที่สุด และปลอดภัยที่สุด สามารถทักแอดมิน เพื่อจองคิวรักษากับคุณหมอออยได้
                2. รมย์รวินท์คลินิกมีแพทย์ผู้มีประสบการณ์ที่เข้าอบรมการรักษาจาก Dr.Luis Perez แพทย์ชื่อดังจากประเทศจากบราซิล โดยจะต้องเป็นแพทย์เทรนเนอร์เท่านั้น จึงจะสามารถเข้ารับการอบรมในครั้งนี้ได้
                3. รมย์รวินท์คลินิกมีแพทย์ที่ผ่านการเทรนสินค้ามากฝีมือ ในการรักษาผู้เข้ารับบริการมาอย่างละเอียด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการรักษา
                4. รมย์รวินท์คลินิกเป็นคลินิกเสริมความงามที่เปิดให้บริการมาอย่างยาวนาน มีความน่าเชื่อถือ
                5. รมย์รวินท์คลินิกมีสาขาในการให้บริการมากถึง 28 สาขาทั่วประเทศไทย  
                6. รมย์รวินท์คลินิกใช้ผลิตภัณฑ์จาก merz-aesthetics ที่เป็นของแท้ สามารถตรวจสอบได้ทาง  Link  นี้ https://www.merzaesthetics.co.th/search-result/
                7. รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขามีความสะอาด ตรงตามหลักสาธารณสุข
                8. รมย์รวินท์คลินิกมีพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญในการด้านให้บริการและให้คำปรึกษา
                9. รมย์รวินท์คลินิกเดินทางง่าย สามารถเลือกสาขาที่เหมาะกับความเหมาะสม สำหรับการเดินทางของแต่ละบุคคลได้
                10. รมย์รวินท์คลินิกมีรางวัลการันตีมากมาย

                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                  วันที่สะดวกในการติดต่อ




                  เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                  Radiesse biostimulator กระตุ้นคอลลาเจนคืออะไร?

                  Radiesse

                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                    วันที่สะดวกในการติดต่อ




                    เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                    BEFORE & AFTER

                    Radieese
                    Radieese

                    Radiesse biostimulator งานผิวกระตุ้นคอลลาเจนผิวฉ่ำโกลด์

                    เทรนด์งานผิวที่เป็นที่สุดในช่วงนี้ที่ใคร ๆ ก็พูดถึง และเป็นกระแสดีไม่มีตกก็คงต้องยกให้งานผิว ไม่ว่าจะเป็น การดูแลผิวชั้นใน ผิวชั้นนอก หรือสร้างคอลลาเจนให้กับผิวเพื่อเสริม ทดแทน  และแทนที่คอลลาเจนบนใบหน้าที่เกิดการสูญเสียไปตามวัย โดยคอลลาเจนใต้ผิวของคนเราเมื่ออายุมากขึ้นจะไม่สามารถสร้างขึ้นได้เอง หากไม่มีสิ่งใดเข้าไปทดแทนหรือกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิวให้เกิดการสร้างใหม่  ผิวหนังจะเกิดการหย่อนคล้อย หลวม ไม่แน่น พร้อมกันกับปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ ความแห้งกร้าน เหี่ยวหย่อนที่จะเกิดขึ้นเมื่อผิวของเราขาดคอลลาเจน

                    อีกทั้งด้วยสภาวะ มลพิษและปัจจัยต่าง ๆ ภายนอก เพียงแค่การดื่มน้ำให้มาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง คงไม่พอที่จะช่วยในเรื่องของการสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิว เนื่องจากปัจจัยภายนอกไม่เหมือนกันกับเมื่อก่อน ดังนั้นการมีตัวช่วยที่ดี และทำควบคู่ไปกับการดูแลตัวเอง ก็นับเป็นสิ่งที่ดีที่จะช่วยฟื้นฟูผิว ให้ดีมากขึ้นไปอีกขั้นนั่นเอง

                    Radiesse biostimulator งานผิวกระตุ้นคอลลาเจนคือ ?

                    ตัวช่วยที่เป็นที่สุดแห่งยุคฟื้นฟูผิวจากภายในส่งผลให้ผิวสวยสู่ภายนอก โดยให้ผลลัพธ์ที่แลดูเป็นธรรมชาติที่สุดในตอนนี้ คือ Radiesse biostimulator ตัวงานผิวกระตุ้นคอลลาเจนฟื้นฟูผิวถึงระดับโครงสร้าง ที่มีความแตกต่างจากงานผิวชนิดอื่น ๆ เนื่องจากไม่ได้มีส่วนประกอบหลักเป็น HA หรือ Hyaluronic acid เหมือนตัวฟิลเลอร์งานผิว และไม่ได้มีส่วนประกอบหลักที่ใช้ผลิตไหมสำหรับทำการเย็บแผลอย่าง PDO PCL PLLA หรือ PDLLA แต่ Radiesse เป็น biostimulator ที่ผลิตมาจากแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทด์ หรือ Calcium Hydroxylapatite microsphere เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อกระดูกที่ตอนนี้ใครๆก็เรียกกันว่า CaHA “คาฮ่าไมโครสเฟียร์” กันจนกลายเป็นคำติดปาก

                    CaHA Microspheres“คาฮ่า ไมโครสเฟียร์” เป็นสารที่ใช้มานานกว่า 25 ปีในวงการแพทย์ โดยเป็นสารที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้เองสามารถพบ CaHA “คาห้าไมโครสเฟียร์” ได้ที่บริเวณเนื้อเยื่อกระดูกรวมถึงในบริเวณฟัน แต่ Radiesse เป็น biostimulator ที่เกิดจากการสังเคราะห์จึงทำให้มีสารที่มีขนาดสม่ำเสมอเท่า ๆ กันในขนาด 25-45 ไมครอน สามารถ เข้ากันได้ดีกับร่างกายของมนุษย์ ไม่ก่อให้เกิดการกระตุ้นให้แพ้ เป็นสารที่ร่างกายไม่ต่อต้าน มีข้อมูลตีพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนมากกว่า 250 ฉบับ จึงสามารถมั่นใจได้ในความปลอดภัย สามารถสลายได้ตามธรรมชาติ รวมทั้งยังเป็นสารที่ได้รับการอนุมัติและรับรองจากยุโรป CE  US FDA หรือองค์การอาหารและยาจากประเทศสหรัฐอเมริกา และ THFDA องค์กรอาหารและยาของประเทศไทยใช้ฉีดที่หน้าและมือด้วย

                    เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังและใบหน้าจะเกิดการผลิตตัวที่น้อยลง และที่มีอยู่เดิมก็จะเริ่มเสื่อมสภาพ ความยืดหยุ่น ความแข็งแรงก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ การใช้สารที่เป็นตัวกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวที่ดี ก็จะทำให้ผิวมีการฟื้นฟูที่ดี มีส่วนในการลดริ้วรอย ขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนั่นเอง

                    โดย Radiesse biostimulator มี Concept ส่วนตัวที่บ่งบอกถึงภาพรวมของผลิตภัณฑ์อยู่ว่า

                    “The One of a Kind Regenerative Biostimulator”

                    การทำงานของ Radiesse biostimulator

                     Radiesse biostimulator จะทำงานโดยการกระตุ้น Fibroblasts (ไฟโบรบลาส) โดย Fibroblasts จัดเป็นเซลล์ต้นกำเนิดในการสร้างคอลลาเจนให้กับผิว และเป็นสิ่งที่ทำให้คอลลาเจนใต้ผิวมีจำนวนมากขึ้นเนื่องจาก CaHA ก็เป็นสารที่ก่อตัวเป็นโครงสร้าง จึงทำให้เกิดการกระตุ้นเซลล์ในร่างกายให้เกิดการผลิตคอลลาเจนหรือเส้นใยตาข่าย 3 มิติ (3D Matrix)โดยรอบโครงสร้าง  หลังจากนั้นจึงเกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ที่บริเวณใต้ชั้นผิว เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงลึกไปจนถึงขนาดโครงสร้าง จึงทำให้หลังทำการฉีด Radiesse biostimulator ผิวจึงได้รับการฟื้นฟูมากขึ้น ทั้งสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งสร้างได้มากถึง 250% ผิวจึงมีการเติมเต็ม อิ่มฟู มีการคืนตัวได้ดีได้ในทันทีหลังทำการฉีด Radiesse biostimulator

                    รวมทั้ง Radiesse ยังเป็นโปรแกรมที่ช่วยเติมเต็ม และทำให้ลดปัญหาเกี่ยวกับการสูญเสียไขมันบนใบหน้า ในผู้ที่มีโรคประจำตัวต่าง ๆ รวมไปจนถึงผู้ที่มีโรคประจำตัว อันเนื่องมากจากไขมัน อาทิ โรค HIV Lipoatrophy ทั้งนี้หากมีโรคประจำตัวดังกล่าวที่ต้องการใช้ Radiesse ในการรักษาควรแจ้งให้แพทย์ทราบโดยละเอียด เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัย และเกิดผลลัพธ์ที่ดี

                    โดย Radiesse biostimulator มี สโลแกนที่ทำให้คนจำผลิตภัณฑ์ได้ง่ายว่าผิว YOUNG ดี ดู HEALTHY ได้กว่านี้ไปอีกนานเพื่อเป็นสิ่งบ่งบอกว่าหากได้ฉีด Radiesse ไม่ว่าจะเป็นใครก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีทุกคน

                    Radiesse biostimulator สามารถคงสภาพอยู่ใต้ชั้นผิวได้นานเท่าไร ?

                    Radiesse สามารถคงสภาพใต้ชั้นผิวได้นานถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลของแต่ละบุคคล

                    ระยะเวลาในการเห็นผลของ Radiesse biostimulator

                     Radiesse biostimulator จะสามารถแจกแจงผลลัพธ์โดยละเอียดได้ 3 ระยะหลังทำการรักษาดังนี้

                    1. ผลลัพธ์ทันทีหลังจากฉีด Radiesse

                    Radiesse จะเป็นสารที่สามารถเข้าไปเติมเต็มใต้ชั้นผิวได้ทันที โดยสามารถเปรียบเทียบได้กับการฉีดฟิลเลอร์ ที่สามารถช่วยในการเติมเต็มหรือทดแทนคอลลาเจนที่สูญเสียไปบริเวณใต้ชั้นผิวได้ ทั้งนี้ยังสามารถลดเลือนริ้วรอยได้อีกด้วย

                    2. ผลลัพธ์ระยะสั้น 1 สัปดาห์ – 1 เดือน หลังจากฉีด Radiesse

                    เมื่อทำฉีด Radiesse ไปในระยะ 1 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน CaHA ที่เป็นส่วนประกอบหลัก จะเกิดการทำงานโดยการเริ่มเข้าไปกระตุ้น Fibroblast ในบริเวณใต้ชั้นผิวให้เกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจนและอิลาสตินเพิ่ม ซึ่งคอลลาเจนและอิลาสตินดังกล่าวจะเข้ามาแทนที Radiesse ที่ทำการฉีดเข้าไปในตอนแรก และค่อย ๆ สลายตัวไปจนหมดในที่สุด หลังจากนั้นก็จะได้ผิวที่มีความหนาแน่น นุ่มเด้ง อิ่มฟู และกระชับที่มากขึ้น

                    3. ผลลัพธ์ผลระยะยาว 6-24 เดือนหลังจากทำฉีด Radiesse

                    เมื่อทำฉีด Radiesse ไปในระยะ 6-24 เดือน เส้นใยคอลลาเจนและอิลาสติน จะถูกสร้างขึ้นมาอย่างเต็มที่ และเริ่มทำงาน ส่งผลให้ใบหน้ามีความแน่นขึ้น รวมทั้งยังได้สุขภาพผิวที่ดีขึ้นในระยะยาว ผิวที่หลวมก็จะดีขึ้น และแข็งแรงขึ้น 

                    ข้อมูลผลิตภัณฑ์

                    ขนาดบรรจุ Radiesse biostimulator

                    Radiesseกล่อง บรรจุด้วยกัน 1 ไซริงค์ 1 ไซริงค์ บรรจุ 1.5 cc และยังมีเข็มฉีดยาขนาด 27 บรรจุมาด้วยในกล่องพร้อมฉีด เพื่อความสะดวกสบายในการใช้บริการของแพทย์

                    Radiesse สามารถเก็บไว้โดย ไม่จำเป็นต้องนำเข้าตู้เย็น และเก็บในอุณหภูมิห้องได้นาน 2 ปี Storage temp 15-25 Celsius degree

                    รมรวินท์คลินิกเป็นคลินิกที่มีแพทย์ที่เป็น KOLs ของ Radiesse biostimulator อย่างคุณหมอออย พญ.อรุณี ทองอัครนิโรจน์ แพทย์ผู้มีประสบการณ์เป็นผู้ทำการรักษา และทำการเทรนด์ทีมแพทย์ในคลินิกอย่างใกล้ชิด จึงทำให้ทีมแพทย์ทุกท่านในรมย์รวินท์คลินิก มีความแม่นยำในการรักษาฉีด Radiesse biostimulator อีกทั้งยังสามารถฉีดให้ได้ผลลัพธ์ของโปรแกรมที่ดีที่สุด เชื่อถือได้ และปลอดภัยที่สุด

                    Radiesse biostimulator

                    ประโยชน์ของ Radiesse biostimulator 5 ประการ CaHA

                    1. Radiesse biostimulator ช่วยในการกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการสร้างคอลลาเจน type 1 ได้สูงสุดถึง 150%
                    2. Radiesse biostimulator ช่วยในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน type 3 ให้กับใต้ชั้นผิวสูงสุดถึง 130% โดยคอลลาเจน type 3 เป็นคอลลาเจนที่พบในผิวเด็ก และยังเป็นคอลลาเจนที่ทำงานร่วมกันกับคอลลาเจน Type1
                    3. Radiesse biostimulator ช่วยในการกระตุ้นอิลาสตินในบริเวณใต้ชั้นผิวสูงสุดถึง 250% โดยอิลาสตินนั้นเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น คืนตัวง่าย และเมื่อผิวมีอิลาสตินมากก็จะทำให้ผิวไม่มีริ้วรอย และทำให้ภาพรวมดูอ่อนกว่าวัย
                    4. Radiesse biostimulator ช่วยในการกระตุ้น Proteoglycan ที่เปรียบเสมือนตัวกักเก็บน้ำของผิว ยิ่งผิวมี Proteoglycan มากเท่าไร ยิ่งทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น อิ่มน้ำ มากเท่านั้น
                    5. Radiesse biostimulator ช่วยในการกระตุ้น Angiogenesis ที่เป็นเหมือนรากแก้ว ที่ช่วยสร้างเส้นเลือดที่ร่างกายใช้ในการหล่อเลี้ยงผิว ทำให้ผิวมีสารอาหารและมีการสูบฉีดเลือดอย่างทั่วถึง ทำให้เลือดสูบฉีดดี ผิวสวย มีเลือดฝาด ดูแดงอมชมพู

                    ประสิทธิภาพ 5 ประการส่งผลให้ Radiesse biostimulator ทำให้เกิผลลัพธ์ที่เหนือกว่าถึง 3 ประการ โดยสรุปได้ดังนี้

                    1. Healthier ทำให้ผิวมีสุขภาพดีมากขึ้นในทุกมิติ 
                    2. Younger ช่วยให้ใบหน้าภาพรวมดูอ่อนเยาว์ลง สัมผัสไปรู้สึกเหมือนผิวเด็กอีกครั้ง 
                    3. Longer ช่วยยืดอายุของผิวให้ดูดี ผิวดูเด็กได้ยาวนานขึ้น 

                    ลักษณะเด่นของ Radiesse biostimulator

                    • ลักษณะเด่นของ Radiesse คือ Strong Structural Skin ทำให้ผิวมีความแข็งแรงมากขึ้น โดยเป็นการเสริมสร้างให้ผิวมีความแข็งแรงลงลึกในระดับโครงสร้าง
                    • ลักษณะเด่นของ Radiesse คือ Profound Rejuvenation ฟื้นฟูผิวในระดับล้ำลึกอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ภาพรวมของผิวดูดีและแข็งแรงมากขึ้น
                    • ลักษณะเด่นของ Radiesse คือ Cell Regenerative Stimulation ช่วยให้เกิดการสร้างเซลล์ใหม่ เพื่อมาทดแทนเซลล์เดิมที่เกิดการสูญเสียไป และเพิ่มความหนาแน่นในผิวที่เริ่มหย่อนคล้อยและหลวม
                    Radiesse biostimulator

                    ข้อดีของ Radiesse biostimulator

                    •  Radiesse ช่วยในการเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว ทั้งยังช่วยทำให้ผิวมีความแน่นกระชับมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
                    •  Radiesse ช่วยในการลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ ทั่วทุกบริเวณ
                    •  Radiesse ช่วยในการเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึกดูตื้นขึ้น
                    • Radiesse ช่วยในการกระตุ้นให้เกิดกระบวนการผลิตคอลลาเจนของผิวตามธรรมชาติ
                    • Radiesse ช่วยในการฟื้นฟูทั้งยังช่วยเสริมสร้างให้ผิวมีคุณภาพมากขึ้นทุกประการ
                    • Radiesse มีความปลอดภัย เป็นการใช้สารที่มีในร่างกายในการฟื้นฟูผิว ไม่แปลกปลอม สลายได้เองตามธรรมชาติ จึงไม่ตกค้าง และไม่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบของผิว
                    • Radiesse ใช้ระยะเวลาในการทำสั้นมาก เพียง 30-60 นาที และให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานถึง 1 ปี (ทั้งนี้เป็นผลลัพธ์เฉพาะบุคคล)

                    Radiesse biostimulator ใช้ฉีดบริเวณใดได้บ้าง

                    • Radiesse ใช้ฉีดบริเวณใบหน้าส่วนกลาง หรือ middle face”
                    • Radiesse ใช้ฉีดบริเวณใบหน้าส่วนล่าง หรือ lower face”
                    • Radiesse ใช้ฉีดบริเวณลำคอ
                    • Radiesse ใช้ฉีดบริเวณหลังมือ
                    Radiesse biostimulator

                    Radiesse biostimulator เหมาะกับใคร ?

                    • Radiesse เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป 
                    • Radiesse เหมาะกับผู้ที่มีผิวเหี่ยว มีริ้วรอย ร่องลึกที่ต้องการเติมเต็ม 
                    • Radiesse เหมาะกับผู้ที่มีใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่กระชับที่ต้องการฟื้นฟู 
                    • Radiesse เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ในการรักษาที่รวดเร็ว 
                    • Radiesse เหมาะกับผู้ที่มีคอและหลังมือเหี่ยว ที่ต้องการแก้ปัญหา 
                    • Radiesse เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยที่ต้องการแก้ปัญหาในระยะยาว 

                    Radiesse biostimulator ไม่เหมาะกับใคร ?

                    • Radiesse ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคที่เกี่ยวกับอาการเลือดออกง่าย
                    • Radiesse ไม่เหมาะกับสตรีที่ตั้งครรภ์ และสตรีที่อยู่ในระยะให้นมบุตร
                    • Radiesse ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติการแพ้ส่วนประกอบในตัวยา

                    ระยะเวลาในการฉีด Radiesse biostimulator ในแต่ละครั้ง

                    Radiesse biostimulator ใช้ระยะเวลาในการทำเพียง 30 นาทีถึง 60 นาทีเท่านั้น

                    การเตรียมตัวก่อนฉีด Radiesse biostimulator

                    1. Radiesse ก่อนทำให้งดการรับประทานยาที่ทำให้เลือดแข็งตัว อาทิ ยาจำพวกแอสไพริน น้ำมันตับปลา วิตามินอี โสม กระเทียม กิงโกะ เป็นต้น เพื่อป้องกันการเลือดออกมาก 
                    2. Radiesse ก่อนทำให้งดการทำสครับผิว หรือการผลัดเซลล์ผิวด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อป้องกันการอักเสบของผิว
                    3. Radiesse ก่อนทำควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวพร้อมกับการบำรุง 

                    ขั้นตอนการทำการฉีด Radiesse biostimulator

                    1. ผู้ช่วยแพทย์เก็บผมให้เรียบร้อย เพื่อเตรียมความพร้อมในการฉีด Radiesse 
                    2. ผู้ช่วยแพทย์ทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ 
                    3. ทา หรือ ฉีดยาชา เพื่อบรรเทาความเจ็บระหว่างการรักษา 
                    4. ทำการฉีด Radiess บนใบหน้า หรือบริเวณที่ต้องการทำการรักษา 
                    5. ผู้ช่วยแพทย์กดห้ามเลือด 

                    การดูแลตัวเองหลังฉีด Radiesse biostimulator

                    1. หลังฉีด Radiesse ให้งดกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก
                    2. หลังฉีด Radiesse ให้งดการโดนแสงแดด หรือทำกิจกรรมที่โดนความร้อนมากๆ
                    3. หลังฉีด Radiesse ไม่เอามือไปสัมผัสบริเวณที่ทำการรักษา เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

                    ผู้ที่ต้องปรึกษาแพทย์และแจ้งข้อมูลโดยละเอียดก่อนทำการรักษาด้วย Radiesse biostimulator

                    • ผู้ที่มีอาการผิวหนังมีการติดเชื้อ 
                    • ผู้ที่มีอาการเป็นสิวเรื้อรัง  
                    • ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคเริม 
                    • ผู้ที่มีประวัติการใช้ยาละลายลิ่มเลือด หรือยาที่ก่อให้เกิดการแข็งตัวของเลือด 
                    • ผู้ที่มีประวัติมีแผลแล้วกลายเป็นคีลอยด์ 
                    Radiesse biostimulator
                    Radeisse

                    ผลข้างเคียงของการฉีด Radiesse biostimulator

                    1. สามารถเกิดรอยแดงรอย จ้ำ หรือรอยเขียวช้ำหลังจากทำการฉีด Radiesse โดยอาการนี้เป็นอาการปกติ ที่สามารถเกิดขึ้นในเวลาชั่วคราว และสามารถหายได้เอง
                    2. อาจเกิดอาการคันได้ที่บริเวณที่ฉีด Radiesse โดยอาการคันที่เกิดขึ้นสามารถหายได้เอง
                    3. อาจเกิดการปวด หรือเจ็บบริเวณรอยเข็มที่ทำการฉีด Radiesse หากมีสิ่งสกปรกไปโดนอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
                    4. อาการดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น อาการคัน เจ็บ ปวด หรือรอยแดง สามารถหายได้เองใน 1-2 วัน หากเป็นนานมากกว่า 1-2 วัน ควรปรึกษาคลินิกหรือแพทย์ที่ให้บริการ
                    5. อาจมีการเปลี่ยนสีของผิวในบริเวณที่ทำ อาทิ ผิวซีดซึ่งหากเกิดอาการดังกล่าวให้ปรึกษาแพทย์
                    Radeisse

                    Radiesse biostimulator ต่างกับ Sculptra อย่างไร ?

                    • Radiesse ผลิตโดยการใช้สาร CaHA Microspheres เป็นสารสังเคราะห์ที่มีลักษณะเนื้อสารเป็นเจลมาในไซริงค์ ใช้ในการสร้างคอลลาเจนไทป์ 1 และไทป์ 3 ใช้สำหรับการฉีด เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ฟื้นฟูผิวในระดับโครงสร้าง  ยกกระชับความหย่อนคล้อย และเติมเต็มผิวในบริเวณที่มีความบกพร่อง โดยเห็นผลทันทีในการทำ อันเนื่องมาจากเนื้อเจลของตัวยา คงผลลัพธ์ยาวนาน 2 ปี
                    • Sculptra ผลิตโดยการใช้สาร PLLA (Poly-L-Lactic Acid) เป็นสารที่ใช้ในการผลิตไหมเย็บแผลใช้ในการสร้างคอลลาเจนไทป์ 1 ถึง 66.5% ใช้ในการฉีดเพื่อกระตุ้นคอลลาเจน ช่วยในการคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิว ฟื้นฟูผิวจากภายในให้ส่งผลสู่ภายนอก  คืนความอ่อนเยาว์ หลังการฉีดจำเป็นต้องทำการนวด 5 วัน เพื่อเป็นการกระจายตัวยาและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด จะเห็นผลหลังการฉีด Sculptra ประมาณ 5 วัน เนื่องจากจะต้องรอสาร PLLA จะออกฤทธิ์ และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้นหลังจากฉีดไปแล้ว 3 เดือน มีผลลัพธ์ที่ยาวนาน 2 ปี
                    • จะเห็นได้ว่าทั้งสองโปรแกรมใช้สารในการผลิตที่แตกต่างกัน จึงทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกัน 100%  อีกทั้งลักษณะของเนื้อสารยังไม่เหมือนกัน ทำให้ผลลัพธ์หลังจากการฉีดทันที่จะเห็นผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกัน สามารถทำทั้งสองชนิดควบคู่กันได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในการฟื้นฟูโครงสร้างผิวที่ดีที่สุด
                    Radeisse

                    Radiesse biostimulator ต่างกับ Gouri อย่างไร ?

                    • Radiesse ผลิตโดยการใช้สาร CaHA Microspheres เป็นสารสังเคราะห์ที่มีลักษณะเนื้อสารเป็นเจล มาในไซริงค์  ใช้ในการสร้างคอลลาเจนไทป์ 1 และไทป์ 3 ใช้สำหรับการฉีดเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ให้เกิดการสร้างในระยะยาว ฟื้นฟูผิวในระดับโครงสร้าง ยกกระชับความหย่อนคล้อย และเติมเต็มผิวในบริเวณที่มีความบกพร่อง โดยเห็นผลทันทีในการทำ อันเนื่องมาจากเนื้อเจลของตัวยา คงผลลัพธ์ยาวนาน 2 ปี
                    • Gouri ผลิตโดยการใช้สาร PCL (Polycaprolactone) มีลักษณะเป็นของเหลวมาในไซริงค์ (Fully Liquid) ช่วยในการป้องกันการเกิดริ้วรอยในอนาคต เติมเต็มผิวทำให้ผิวอิ่มฟู คงผลลัพธ์ในผิวได้ 1 ปี
                    • จะเห็นได้ว่าทั้งสองโปรแกรมให้ผลลัพธ์ในการรักษาที่มีความคล้ายคลึงกัน และ Gouri มีอายุการคงผลลัพธ์ที่สั้นกว่า Radiesse 
                    Radeisse

                    Radiesse biostimulator ต่างกับ Rejuran อย่างไร ?

                    • Radiesse ผลิตโดยการใช้สาร CaHA Microspheres เป็นสารสังเคราะห์ที่มีลักษณะเนื้อสารเป็นเจล มาในไซริงค์ ใช้ในการสร้างคอลลาเจนไทป์ 1 และไทป์ 3 ใช้สำหรับการฉีดเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวให้เกิดการสร้างในระยะยาว ฟื้นฟูผิวในระดับโครงสร้าง  ยกกระชับความหย่อนคล้อย และเติมเต็มผิวในบริเวณที่มีความบกพร่องโดยเห็นผลทันทีในการทำ อันเนื่องมาจากเนื้อเจลของตัวยา คงผลลัพธ์ยาวนาน 2 ปี
                    • Rejuran เป็นโปรแกรมฉีดในกลุ่ม Skin Booster ผลิตโดยการใช้ Polyneucleotide (พอลินิวคลิโอไทด์) หรือ PN จากปลาแซลมอน ช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวกระจ่างใส ชุ่มชื้น ลดจุดด่างดำ ฝ้า กระ รอยแดง รอยดำ รวมทั้งรอยสิว เสริมสร้างผิวให้มีความแข็งแรงมากขึ้น คงผลลัพธ์ได้นาน 3-6 เดือน
                    • จะเห็นได้ว่าทั้งสองโปรแกรมช่วยแก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน และทำงานกับผิวคนละชั้นผิว โดย Radiesse จะทำงานในชั้นผิวที่ลึกกว่า และ Rejuran จะทำงานกับผิวบริเวณชั้นตื้น จึงสามารถทำการรักษาร่วมกันเพื่อเป็นการเป็นการดูแลผิวอย่างครบถ้วนทุกมิติได้โดยสมบูรณ์แบบ ทั้งเป็นการสร้างคอลลาเจน ทั้งสร้างความชุ่มชื้น  รูขุมขนกระชับ ลดความโทรมของใบหน้าได้ด้วย
                    Radeisse

                    ทำไมควรฉีด Radiesse biostimulator ที่รมย์รวินท์คลินิก

                    1. ที่รมย์รวินท์คลินิกมีแพทย์ผู้ชำนาญการ และเป็น KOLs ของ Radiesse อย่างคุณหมอออย พญ.อรุณี ทองอัครนิโรจน์ แพทย์ผู้ชำนาญการประจำรมย์รวินท์คลินิก
                    2. ที่รมย์รวินท์คลินิกแพทย์ทุกท่าน ได้รับการเทรนการทำผลิตภัณฑ์ Radiesse มาจนชำนาญ
                    3. ที่รมย์รวินท์คลินิกแพทย์วิเคราะห์ปัญหาของคนไข้ทุกท่านตามจริงแบบเคสต่อเคส
                    4. ที่รมย์รวินท์คลินิกมีการดูแลความสะอาดตรงตามหลักกระทรวงสาธารณะสุข
                    5. ที่รมย์รวินท์คลินิกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นของแท้ จากบริษัทจัดจำหน่ายจริงสามารถตรวจสอบได้
                    6. ที่รมย์รวินท์คลินิกมีประสบการณ์กว่า 20 ปีในการรักษา และดูแลด้านความงาม
                    7. ที่รมย์รวินท์คลินิกมีการจัดอบรมพนักงาน เพื่อให้การเข้ารับบริการของคนไข้ในทุกครั้งเป็นการรับบริการที่ดีที่สุด
                    8. ที่รมย์รวินท์คลินิกมีสาขามากมาย เพื่อพร้อมสำหรับการดูแลรักษาคนไข้ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด รวม 26 สาขา
                    9. ที่รมย์รวินท์คลินิกมีที่จอดรถมากมาย
                    10. คลินิกทุกสาขาสามารถเดินทางได้สะดวกสบาย

                    รู้แบบนี้แล้วไม่ต้องลังเลรีบเข้ามารับบริการ พร้อมรับโปรโมชันสุดพิเศษได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ได้แล้ววันนี้ 

                    Radeisse

                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                      วันที่สะดวกในการติดต่อ




                      เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                      Sculptra กระตุ้นคอลลาเจน สร้างคุณภาพผิว คืออะไร?

                      Sculptra

                      BEFORE & AFTER

                      Before and After Sculptra
                      Before and After Sculptra

                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                        วันที่สะดวกในการติดต่อ




                        เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                        Sculptra ตัวสร้างคุณภาพผิวที่เป็นที่พูดถึงมากที่สุด

                        Sculptra ที่สุดของงานผิวที่เป็นที่กล่าวขานกันมาตลอด ถึงความดีงามหลังการรักษาว่าได้งานผิวที่มีคุณภาพ จนไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจึงได้รับความนิยมไปทั่วโลกขนาดนี้ เพราะเราทุกคนเชื่อว่า การจะมีผิวที่ดีได้ต้องเริ่มมาจากภายใน ซึ่งนั่นหมายถึง ชั้นใต้ผิวหนังนั่นเอง เมื่อมีอายุที่มากขึ้นก็ทำให้ผิวหนังไม่สามารถคงสภาพที่ยังดูสวยสดใสได้ เหมือนตอนยังอ่อนเยาว์จึงต้องเริ่มจากการบำรุงผิวจากใต้ชั้นผิว เพื่อให้สร้างความอ่อนเยาว์จากภายในให้ส่งผลออกมาที่ผิวภายนอกนั่นเอง

                        Sculptra เป็นหนึ่งโปรแกรมที่ช่วยสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ที่ถูกกล่าวขานอย่างแพร่หลายมาก ๆ เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่ดี ดูมีความเป็นธรรมชาติ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์กว่าวัยได้

                        Sculptra คืออะไร?

                        Sculptra Collagen Biostimulator หรือสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ที่เป็นตัวแรกของโลกได้รับความแพร่หลายไปทั่วโลกมาอย่างยาวนานตั้งแต่ 1999 Sculptra ถูกใช้อย่างเป็นวงกว้างมาแล้วกว่า 20 ปีจากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก ทั้งยังเป็น Collagen Biostimulator ตัวเดียวที่ได้รับรองมาตรฐานจาก US FDA ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้รับ อย.ไทยในปี 2023

                        Sculptra Collagen Biostimulator คือ สาร Poly-L-Lactic (PLLA) ที่ทำให้มีขนาดที่เล็กที่สุด เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการนำมาฉีด เพื่อเพิ่มการกระตุ้นคอลลาเจนให้กับบริเวณใต้ผิวหนัง ซึ่งสาร Poly-L-Lactic (PLLA) เป็นสารชนิดเดียวกับเส้นไหมที่แพทย์ใช้ทำการเย็บแผลให้กับคนไข้ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดการตกค้าง หรือส่งผลให้เกิดอันตรายหลังจากการทำ โดยสาร Poly-L-Lactic (PLLA) จะเข้าไปทำการกระตุ้นคอลลาเจนให้กับบริเวณใต้ผิวหนังที่คอลลาเจนเริ่มมีการเสื่อมสลายไปตามวัย สาร Poly-L-Lactic (PLLA) Collagen Biostimulator หลังจากฉีดไปแล้วจะสามารถย่อยสลายได้เป็น H2O, Co2 และ Lactic acid จึงสามารถเข้ากันกับร่างกายของคนเราได้เป็นอย่างดี และยังย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ทั้งนี้ Sculptra ยังมีงานวิจัยรองรับในการรักษามากกว่า 50 งานวิจัย รวมถึงได้ทำกลุ่มตัวอย่างในการรักษา และทดลองมากกว่า 1,000 ราย จึงถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีผู้รับรอง และการันตีเรื่องประสิทธิภาพความพึงพอใจ รวมทั้งความปลอดภัยในการรักษา

                        Sculptra เป็นโปรแกรมฉีดที่จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen Biostimulator ที่ใช้ในการฉีดให้ผิวเกิดการสร้างคอลลาเจนของตัวเอง เพื่อทดแทนที่คอลลาเจนเก่าใต้ผิวหนังที่สูญเสียไป โดยการทำงานใต้ผิวหนังชั้นลึก เพื่อให้ส่งผลออกมาถึงผิวหนังชั้นนอก จึงทำให้ช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจน และช่วยคืนความอ่อนเยาว์ ชุ่มชื่นให้กับผิว ยกกระชับผิวที่มีความหย่อนคล้อยให้กลับมากระชับอีกครั้ง ช่วยเติมเต็มริ้วรอยร่องลึกบนผิวให้ตื้นขึ้น ปรับผิวกระจ่างใส รูขุมขนกระชับแน่นขึ้น คุณภาพของผิวและความเต่งตึงของใบหน้าในภาพรวมดีขึ้น ปรับให้ผิวที่เคยหลวมจากการสูญเสียคอลลาเจน ให้แน่น อิ่มฟูอีกครั้ง และด้วยความที่ Sculptra ไม่ใช่การฉีดสารเติมเต็มแต่เป็น Collagen Biostimulator จะทำให้ใต้ผิวค่อย ๆ ฟื้นฟูตัวเองและได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรืออาการข้างเคียงใด ๆ ในการรักษา

                        Sculptra มีคอลลาเจนที่สำคัญต่อร่างกายอย่างไร?

                        คอลลาเจน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่จัดเป็นองค์ประกอบหลักของผิวหนังมนุษย์ และมีสัดส่วนในผิวหนังของคนเราสูงถึง 80% – 90% ไม่เพียงเท่านั้นคอลลาเจนยังเป็นส่วนของโครงสร้างสำคัญต่าง ๆ ที่ประกอบในร่างกาย อาทิ ในกระดูก ในกล้ามเนื้อ เป็นส่วนประกอบของเล็บ เส้นเอ็น รวมทั้งข้อต่อของคนเราด้วย

                        ร่างกายของมนุษย์ประกอบไปด้วยคอลลาเจนรวมกันหลายชนิดแต่จะมี 5 ชนิดที่สามารถพบได้บ่อยในร่างกาย คือ

                        1. Collagen Type 1 คอลลาเจนไทป์นี้เป็นคอลลาเจนที่มีความยืดหยุ่นรวมทั้งมีความแข็งแรงสูง สามารถพบได้บริเวณผิวหนัง และเส้นเอ็น
                        2. Collagen Type 2 คอลลาเจนไทป์นี้เป็นคอลลาเจนที่มีเส้นใยหลวมกว่าคอลลาเจนไทป์ 1 สามารถพบได้บริเวณกระดูก และข้อต่อ
                        3. Collagen Type 3 คอลลาเจนไทป์นี้เป็นคอลลาเจนที่มีความแข็งแรงต่ำ เมื่อเทียบกับคอลลาเจนไทป์ 1 สามารถพบได้ที่บริเวณผิวหนัง และหลอดเลือด
                        4. Collagen Type 4 คอลลาเจนไทป์นี้เป็นคอลลาเจนที่มีลักษณะเฉพาะตัวมาก สามารถพบได้ตามเนื้อเยื่อที่เกี่ยวพันที่หุ้มกล้ามเนื้อ ไขมัน และเส้นใยฝอยของเยื่อบุผิว
                        5. Collagen Type 5 คอลลาเจนไทป์นี้เป็นคอลลาเจนที่มีลักษณะคล้ายกันกับคอลลาเจนไทป์ 1 สามารถพบได้ตามเส้นผม เนื้อเยื่อของทารก รวมไปจนถึงผิวของเซลล์

                        Sculptra มีความสำคัญอย่างไรต่อเซลล์ Fibroblast

                        เซลล์ Fibroblast  คือ เซลล์ที่ก่อให้เกิดคอลลาเจนและอิลาสตินที่เรารู้จักกัน โดยคอลลาเจนและอิลาสตินนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้ผิวหนังของคนเรา และเป็นตัวทำหน้าที่สร้างและรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว รวมทั้งยังทำหน้าที่ในการทำให้ผิวหนังมีความแข็งแรง สร้างความยืดหยุ่น เด้งกระชับ แต่เมื่อคนเรามีอายุที่มากขึ้นโดยปกติประมาณ 25-30 ปี เซลล์ Fibroblast จะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ ตามวัย ส่งผลให้คอลลาเจน และอิลาสตินไม่เกิดการสร้างขึ้นใหม่ จึงทำให้ผิวของคนเราเกิดความหย่อนคล้อยลงเรื่อย ๆ เมื่อมีอายุที่มากขึ้น

                        กระบวนการทำงานของ Sculptra หลังฉีดลงสู่ผิว?

                        หลังฉีด Sculptra Collagen Biostimulator ลงสู้ผิวแล้วผิวจะมีความเติมเต็ม กระชับ เด้งฟูขึ้นทันทีหลังจากฉีด อันเนื่องมาจาก Sculptra เป็นโปรแกรมที่จะต้องทำการผสมกับ Sterile water ก่อนแล้วค่อยนำมาฉีดเข้าที่บริเวณผิวหนัง จึงทำให้ผิวหนังเติมเต็มขึ้นจากการฉีดน้ำเข้าไปที่ผิวหนัง หลังจากนั้นประมาณ 2-3 วันจะค่อย ๆ ยุบลง และจะกลับมายุบ ไม่เต่งตึงเหมือนเดิม เนื่องจากร่างกายได้ทำการดูดซึม Sterile water ที่ฉีดเข้าไปจนหมด

                        โดยระหว่างนั้น Sculptra ก็จะกระจายตัวไปจนทั่วผิวหนัง หลังจากนั้น Sculptra ก็จะเริ่มทำงานกับผิวหนัง โดยหลังจากที่ฉีด Sculptra และตัวยาเริ่มกระจายตัวไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของผิวหนังอนุภาคของ Sculptra จะเริ่มทำงานโดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายด้วยวิธีการ คือ การดึงเซลล์ Macrophages เพื่อมาล้อมรอบตัวอนุภาคของ Sculptra ให้มากที่สุดจากนั้นจะเริ่มทำการส่งสัญญาณให้กับ Fibroblast ที่อยู่ใต้ผิวหนัง เพื่อให้เกิดการรวมตัวที่มากขึ้น ทำให้ผิวมีความแข็งแรงขึ้น หนาแน่นขึ้น ยกกระชับมากขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไป Sculptra จะค่อย ๆ เกิดการสลายออกไปเองตามกระบวนการของร่างกาย แต่จะเหลือคอลลาเจนและอิลาสตินที่ถูกสร้าง ในขณะที่ Sculptra ยังอยู่ในร่างกายเอาไว้แทนที่ ทำให้ผิวที่เคยหลวมเกิดการกระชับแน่นขึ้น และช่วยในการยกกระชับใบหน้า และฟื้นฟูคุณภาพผิวได้ยาวนานถึง 25 เดือน ซึ่งยังไม่มี Collagen Biostimulator ตัวใดสามารถทำได้

                        ความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างใบหน้า และผิวหนังเมื่อมีอายุมากขึ้น

                        เมื่อคนเรามีอายุและวัยที่เพิ่มมากขึ้น โครงสร้างและกระดูกบนใบหน้าจะมีความเปลี่ยนแปลง เนื่องจากกระดูกของเราจะเกิดการย่อยสลาย ( Volume loss ) และกร่อนลงไปตามกาลเวลา จึงทำให้ใบหน้ามีความเปลี่ยนแปลงจากการสูญเสียปริมาตรของกระดูก  และเมื่อกระดูกมีการผุกร่อนลงไปแล้ว ใบหน้าภาพรวมจะดูโทรมขึ้น เนื่องจากโครงหน้าจะเริ่มตอบ ไม่สดใสเหมือนตอนกระดูกยังไม่ผุกร่อนนั่นเอง

                        ไม่เพียงเท่านั้น คอลลาเจนและอิลาสตินในผิวหนังของคนเรา ก็จะสร้างได้น้อยลงเรื่อย ๆ ไปจนถึงหยุดสร้าง และสูญเสียออกไปเรื่อย ๆ โดยคนเราจะเริ่มสูญเสียคอลลาเจนในผิวไปทุก ๆ ปีละ 1-2 % เมื่ออายุเราเข้าสู่วัย  20 ปี คอลลาเจนในผิวหนังจะเริ่มสร้างได้น้อยลง และจะเริ่มสูญเสียคอลลาเจนไป เมื่อเข้าสู่วัย 45 ปีในปริมาณ 1- 2% ซึ่งภาพรวมหลังจากที่ค่อย ๆ สูญเสียกระดูกอันเป็นโครงสร้างของใบหน้า รวมทั้งสูญเสียคอลลาเจนไปก็จะดูหย่อนคล้อย จากที่เคยตึงกระชับก็จะไม่เหมือนผิวในช่วงวัยก่อนหน้าอีกแล้ว

                        อะไรคือความพิเศษของ Sculptra ?

                        Sculptra เป็น Original Collagen Biostimulator ที่สามารถกระตุ้นให้ผิวหนังเกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว โดยเป็นคอลลาเจนตามธรรมชาติได้ สูงถึง 66.5% โดยเป็นคอลลาเจน type1 ที่ช่วยในการสร้างความยืดหยุ่น และความแข็งแรงให้กับผิว ได้หลังจากฉีด Sculptra ไป 3 เดือนโดยประมาณ ซึ่งคอลลาเจนที่ได้จะเป็นคอลลาเจนที่ผลิตจากผิวหนังของเราเองไม่ก่อให้เกิดอันตราย

                        ในการฉีด Sculptra ในแต่ละครั้งจะต้องใช้ปริมาณยาเท่าไร?

                        จากการทำการวิจัยเกี่ยวกับ Sculptra Collagen Biostimulator โดยเน้นการทำการทดลองจากคนจริงและมีกลุ่มตัวอย่าง ในจำนวนที่สามารถทำการคาดคะเนได้แล้ว แพทย์แนะนำให้ใช้ Sculptra ในช่วงอายุคนไข้ 10 ปี ต่อ Sculptra 1 ขวด โดยสามารถปรับเปลี่ยนตามความหลวมของผิวหนังแต่ละคนได้ ทั้งนี้ให้ปรึกษาแพทย์ถึงจำนวนตัวยาที่ใช้ในการรักษาก่อนเข้ารับบริการ

                        Sculptra

                        Sculptra เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเหมาะกับใคร ?

                        1. Sculptra เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย
                        2. Sculptra เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยบนใบหน้าทั้งริ้วรอยที่เห็นชัด และริ้วรอยที่เห็นไม่ชัด
                        3. Sculptra เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยตามวัย
                        4. Sculptra เหมาะกับผู้ที่มีอายุมากและร่างกายหยุดการผลิตคอลลาเจนแล้ว
                        5. Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน
                        6. Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีผิวที่แข็งแรง
                        7. Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีผิวที่อ่อนเยาว์
                        8. Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีคุณภาพผิวที่ดี
                        9. Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีผิวที่กระชับอิ่มฟู
                        10. Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนานไม่ต้องการฉีดบ่อย ๆ

                        Sculptra เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับใคร ?

                        1. Sculptra ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติผิวหนังมีการเกิดคีลอยด์ หรือมีแผลเป็นนูน
                        2. Sculptra ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติผิวหนังเคยแพ้ชนิดรุนแรง (Anaphylaxis)
                        3. Sculptra ไม่เหมาะกับผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง
                        4. Sculptra ไม่เหมาะกับผู้ที่มีการอักเสบของผิวในบริเวณที่ต้องการทำ
                        5. Sculptra ไม่เหมาะกับผู้ที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ ให้นมบุตร

                        หลังจากฉีด Sculptra จะมีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างไร?

                        • หลังจากฉีด Sculptra ใบหน้าที่ดูผอมตอบ จากการสูญเสียคอลลาเจน จะถูกเติมเต็มด้วย Collagen Biostimulator ให้ดูอวบอิ่ม มีน้ำมีนวลมากขึ้น
                        • หลังจากฉีด Sculptra จะช่วยในการเติมร่องลึกและริ้วรอยให้ตื้นขึ้นได้
                        •  หลังจากฉีด Sculptra จะช่วยในการเติมเต็มหน้าแก้มที่แบน ทำให้โหนกแก้มดูเล็ก ใบหน้าโดยรวมดูละมุนขึ้นได้
                        •  หลังจากฉีด Sculptra จะช่วยปรับให้ใบหน้ามีความสวยอิ่มเอิบและดูผ่อง เนื่องจากผิวดีมากขึ้น
                        • หลังจากฉีด Sculptra จะช่วยทำให้รูขุมขนเล็กลง ลดการเกิดการอุดตันอันเป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้
                        • หลังจากฉีด Sculptra จะช่วยปรับสภาพผิวให้ดีมากยิ่งขึ้นได้
                        • หลังจากฉีด Sculptra จะช่วยให้ผิวที่หลวมมีความหนาแน่นมากขึ้น
                        • หลังจากฉีด Sculptra จะช่วยประให้ผิวดูสว่างกระจ่างใสมากขึ้น
                        • หลังจากฉีด Sculptra จะช่วยลดริ้วรอยและจุดด่างดำเล็ก ๆ ได้
                        • หลังจากฉีด Sculptra จะช่วยทำให้ผิวมีคุณภาพที่ดีมากขึ้นได้
                        • หลังจากฉีด Sculptra จะช่วยให้ใบหน้าสวยอิ่มเอิบมากขึ้น ดูแตกต่างจากเดิม เปลี่ยนตัวเองให้คุณเป็นคนใหม่ได้ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์
                        Sculptra

                        Sculptra สามารถทำที่บริเวณใดได้บ้าง ?

                        • Sculptra สามารถทำได้ในบริเวณ ขมับ
                        • Sculptra สามารถทำได้ในบริเวณ หน้าแก้ม
                        • Sculptra สามารถทำได้ในบริเวณ แก้มล่าง
                        • Sculptra สามารถทำได้ในบริเวณ แนวกราม

                        Sculptra ไม่สามารถทำที่บริเวณใดได้บ้าง?

                        • Sculptra ไม่สามารถทำได้ในบริเวณ โซนใต้ตา
                        • Sculptra ไม่สามารถทำได้ในบริเวณ ทีโซน
                        • Sculptra ไม่สามารถทำได้ในบริเวณ ร่องแก้ม
                        • Sculptra ไม่สามารถทำได้ในบริเวณ ร่องน้ำหมาก

                        โดยบริเวณที่กล่าวมาทั้งหมดนับเป็นจุดที่มีความบอบบางสูง อาจทำให้เกิดความอันตรายในการทำได้ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ และเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการรักษา

                        ลักษณะของการบรรจุขวดของ Sculptra มีลักษณะของการบรรจุขวดอย่างไร?

                        • Sculptra เป็นผลิตภัณฑ์ที่บรรจุมาในขวดที่สะอาดปราศจากเชื้อ
                        • Sculptra เป็นผลิตภัณฑ์ที่มาในรูปแบบ dried powder หรือที่เรียกกันว่าเป็นแบบผง

                        Sculptra ที่บรรจุมาในขวด จะประกอบไปด้วย

                        1.  อนุภาคของสาร Poly-L-lactic acid (PLLA) ปริมาณ 150 mg โดยเป็นสารที่เป็นส่วนประกอบหลัก และไม่ก่อให้เกิดอันตราย
                        2. Sodium Carboxymethylcellulose สารให้ความคงตัว ปริมาณ 90 mg โดยเป็นส่วนประกอบที่ส่งผลในการทำละลาย และเมื่อ Sculptra เกิดการละลายแล้ว จะสามารถใช้งานได้ทันที
                        3. Mannitol ปริมาณ 127.5 mg เป็นส่วนประกอบที่ทำให้ผลิตภัณฑ์สามารถมีการบรรจุเป็นแบบสุญญากาศได้
                        Sculptra

                        จะเห็นผลหลังจากการฉีด Sculptra นานเท่าไร?

                        หลังจากการฉีด Sculptra Collagen Biostimulator จะสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นหลังจากการฉีดอย่างต่อเนื่อง โดยจะสามารถสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในระยะเวลา 2-3 สัปดาห์เป็นต้นไป และจะเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจนหลังจากฉีดไปแล้ว 3 เดือน โดยผิวหนังจะเริ่มสร้างคอลลาเจนไทป์ 1 ได้สูงถึง 66.5%

                        เมื่อเข้ารับการฉีด Sculptra ควรเตรียมตัวอย่างไร ?

                        • ก่อนที่จะเข้ารับการรักษาด้วย Sculptra ไม่ควรฉีด หรือทำการรักษาใบหน้า หรือผิวหน้าด้วยหัตถการประเภทอื่น ๆ 2 – 4 สัปดาห์
                        • ก่อนที่จะเข้ารับการรักษาด้วย Sculptra ควรหยุดการใช้ยาแก้ปวด อาทิ ยาในกลุ่มยาแอสไพริน เป็นระยะเวลาขั้นต่ำ 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันอาการฟกช้ำ
                        • ก่อนที่จะเข้ารับการรักษาด้วย Sculptra ควรงดการรับประทานวิตามินบำรุง ที่เป็นสาเหตุทำให้เลือดหยุดไหลยากในตอนฉีด Sculptra  อาทิ วิตามินอี น้ำมันตับปลาเป็นต้น แปะก๊วย เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์
                        • ผู้มีอาการป่วย หรือมีโรคประจำตัวร้ายแรง ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนเข้าทำการฉีด Sculptra
                        • ก่อนที่จะเข้ารับการรักษาด้วย Sculptra ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระยะเวลา 1-3 วัน
                        • ก่อนที่จะเข้ารับการรักษาด้วย Sculptra  ควรดูแลสุขภาพร่างกายอยู่ในสภาพปกติแข็งแรงดี

                        ขั้นตอนการฉีด Sculptra

                        • ปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์เพื่อประเมินผิวหน้า รวมทั้งสภาพผิวอย่างละเอียดก่อนการทำการฉีด Sculptra
                        • ผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดผิว เพื่อชะล้างและกำจัดความมัน รวมทั้งสิ่งสกปรกบนใบหน้า ก่อนการทำการฉีด Sculptra
                        • ทายาชาเพื่อลดความเจ็บในระหว่างทำการฉีด Sculptra ทิ้งเอาไว้ 30-40 นาที
                        • เช็ดยาชาออก เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำการฉีด Sculptra
                        • แพทย์ลงมือทำการฉีด Sculptra โดยการฉีดเข้าสู่ใต้ผิวหนังอย่างแม่นยำ เพื่อให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว
                        • เช็ดเพื่อห้ามเลือด
                        • ประคบเย็นเพื่อให้รอยเข็มจางลง และแปะพลาสเตอร์ปิดรอยเข็ม

                        วิธีการดูแลตัวเองหลังจากฉีด Sculptra เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ?

                        • หลังจากเข้ารับบริการฉีด Sculptra ควรนวดให้ครบ Triple 5 คือ นวด 5 วัน 5 ครั้ง วันละ 5 นาที ตามคำสั่งของแพทย์เพื่อให้ Sculptra กระจายตัวไปทั่วทั้งใบหน้า
                        • หลังจากเข้ารับบริการฉีด Sculptra ควรหลีกเลี่ยงการให้ใบหน้าสัมผัสแสงแดดจัด หรือแสงยูวี เช่น แสงไฟ จนกว่าอาการบวมและแดงจากการฉีดจะหายไป
                        • หลังจากเข้ารับบริการฉีด Sculptra ไม่ควรเข้ารับการทำหัตถการชนิดอื่น ๆ ในระยะเวลา 2-4 สัปดาห์ เพื่อให้ตัวยา Sculptra ได้ทำงานก่อน
                        • หลังจากเข้ารับบริการฉีด Sculptra ควรหลีกเลี่ยงการแต่งหน้า เนื่องจากใบหน้ายังมีความบวมอยู่
                        • หลังจากเข้ารับบริการฉีด Sculptra ควรหลีกเลี่ยงการอบซาวน่า หรือการอบไอน้ำในระยะเวลา 24 ชั่วโมง
                        • หลังจากเข้ารับบริการฉีด Sculptra หากมีอาการเจ็บในบริเวณที่ทำสามารถใช้เจลเย็นประคบในบริเวณที่ฉีด Sculptra ได้

                        Triple 5 วิธีการนวดใบหน้าหลังฉีด Sculptra ทั้งหมด 4 ท่า ประกอบด้วย

                        ท่าที่ 1 ใช้นิ้วโป้งนวดไปที่บริเวณขมับด้านซ้าย และด้านขวา  จากนั้น ให้กำมือและค่อย ใช้กำปั้น นวดคลึง จากเลื่อนจากหน้าผากออกไปทางขมับด้านซ้ายและขวาพร้อม ๆ กัน

                        ท่าที่ 2 ให้ยกนิ้วโป้งขึ้น แล้ววางนิ้วโป้งให้แนบกับแก้มด้านซ้ายและขวา จากนั้นค่อย ๆ เลื่อนนิ้วโป้ง ให้ออกไปบริเวณข้างแก้มพร้อมกันทั้งซ้ายและขวา โดยใช้วิธีกดแล้วค่อย ๆ เลื่อนออกอย่างช้า ๆ และเบามือ

                        ท่าที่ 3 ให้กำมือ แล้วใช้ในส่วนอุ้งมือกดเข้าที่บริเวณข้างแก้ม จากนั้นค่อย ๆ นวด โดยการเริ่มไล่จากด้านล่างใบหน้า ขึ้นไปด้านบนใบหน้า ให้ถึงบริเวณโหนกแก้ม ให้ทำวนหลาย ๆ ครั้ง ซึ่งวิธีนวดนี้จัดเป็นวิธีการยกกระชับผิวหน้า

                        ท่าที่ 4 ให้ยกนิ้วโป้งเหมือนกันกับท่าที่ 2 แล้วนำนิ้วมาจรดที่บริเวณคางจากนั้นจึงค่อย ๆ เลื่อนนิ้วโป้งไล่ขึ้นไปตามแนวสันกราม

                        โดยการนวด Triple 5  แนะนำให้นวด 5 วันหลังจากการฉีด Sculptra วันละ 5 ครั้ง และครั้งละ 5 นาที เพื่อให้ผลลัพธ์ในการฉีด Sculptra เป็นไปอย่างดีที่สุด

                        Sculptra ต้องทำกี่ครั้งเพื่อการรักษาที่ดีและเห็นผลที่สุด

                        Sculptra จำนวน 2 – 3 ครั้ง และเมื่อครบกำหนดควรมาทำเพิ่ม เพื่อผลลัพธ์อันเป็นที่น่าพึงพอใจ และเพื่อคงสภาพผลลัพธ์ของผิวให้ดีไปโดยตลอด

                        Sculptra ควรเว้นระยะเวลาการฉีดนานเท่าไร ?

                        ในการฉีด Sculptra ควรเว้นระยะห่างในการฉีดประมาณ 4 – 6 สัปดาห์ เพื่อผลลัพธ์ และประสิทธิภาพในการรักษาที่ดี

                        ผลข้างเคียงของ Sculptra มีอะไรบ้าง?

                        หลังจากฉีด Sculptra  ในช่วง 1-2 วันแรก อาจมีอาการปวด บวมหรือแดงที่ผิว อาการเหล่านี้จะสามารถหายไปเองได้ตามธรรมชาติในระยะ 4-5 วัน โดยไม่ต้องกังวล

                        หลังจากฉีด Sculptra อาจมีการเจอตุ่มนูน บวมหรือก้อนเล็ก ๆ ในบริเวณใต้ผิวหนังที่ฉีด ซึ่งเป็นอาการปกติหลังการทำสามารถหายได้เองโดยไม่ต้องกังวล หากมีความกังวลสามารถแจ้งที่เข้ารับบริการเพื่อให้แพทย์ทำการนวด เพื่อการกระจายตัวของสาร PLLA ที่มากขึ้น และไม่เกาะตัวกันเป็นก้อน

                        Sculptra สามารถทำได้ตอนอายุเท่าไร?

                        โดยปกติคอลลาเจนของคนเราจะลดลงตั้งแต่มีอายุ 20 ปี เป็นต้นไป และจะเริ่มสร้างคอลลาเจนได้ช้าลงตามลำดับ ดังนั้นเมื่อคอลลาเจนลดลง จึงสามารถทำการสร้างงคอลลาเจน เพื่อทดแทนคอลลาเจนที่ลดลงได้ในทันที เพื่อให้ผิวหนังยังคงสภาพที่ดีอยู่ และไม่ให้ความชุ่มชื้น ยืดหยุ่นบนผิวลดลง ทั้งนี้ยังเป็นการยืดอายุของผิว รวมทั้งยังช่วยคงสภาพความแน่นกระชับของผิว ให้มีริ้วรอยช้าลงกว่าผู้ที่เริ่มฉีด Sculptra ในอายุที่มากอีกด้วย

                        Sculptra สามารถทำร่วมกับโปรแกรมประเภทฉีดอื่นๆได้หรือไม่ ?

                        Sculptra เป็นโปรแกรมฉีดประเภท Biostimulator ให้เพื่อฉีดกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวโดยมีวัตถุประสงค์ต่างจากโปรแกรมฉีดชนิดอื่นๆที่อาจเป็นการฉีดเพื่อเติมเต็มอย่างฟิลเลอร์หรือลดขนาดกล้ามเนื้อ อย่างฉีดโบ จะเห็นได้ว่าโปรแกรมฉีดแต่ละชนิดจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปอีกทั้งโปรแกรมฉีดแต่ละชนิดยังทำงานคนละชั้นผิวหนังของใบหน้า

                        จึงสามารถฉีด Sculptra ร่วมกับโปรแกรมฉีดชนิดอื่นๆได้ นับเป็นสิ่งที่ดีอีกด้วยเนื่องจากเป็นการดูแลความงามอย่างทั่วถึงทุกชั้นผิวทั้งนี้ในการทำนัดเพื่อเข้ามาทำทุกโปรแกรมควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญถึงลำดับการทำเพื่อให้กระทำทุกโปรแกรมได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                        Sculptra เป็นโปรแกรมที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเนื่องจากงานผิวหรือ skin quality เป็นสิ่งที่มาแรงมากในช่วงนี้ จึงมีหลากหลายคลินิกเสริมความงามให้ความสนใจ ดังนั้นสิ่งที่ควรให้ความคำนึงถึงก่อนทำการรักษาทุกครั้งคือความน่าเชื่อถือของคลินิกที่ให้บริการ ความได้มาตรฐาน ความสะอาด ชนิดของยา และการการันตีต่างๆ รวมทั้งประสบการณ์ของแพทย์ที่ทำการดูแล จึงควรศึกษาหาข้อมูลโดยละเอียดทุกครั้งก่อนเข้ารับบริการเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เต็มประสิทธิภาพที่สุดในการรักษา

                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                          วันที่สะดวกในการติดต่อ




                          เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว