โบลดน่อง ปรับขาเรียว บอกลาขาใหญ่ แบบไม่ต้องผ่าตัด

โบลดน่องปรับขาเรียวแบบ ไม่ต้องผ่าตัด

ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




    วันที่สะดวกในการติดต่อ








    โบลดน่อง ปรับขาเรียว บอกลาขาใหญ่ แบบไม่ต้องผ่าตัด 

    ในยุคที่ความสวยความงามเป็นเรื่องสำคัญ การมีเรียวขาสวยเป๊ะก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยเสริมบุคลิกภาพให้โดดเด่นได้ แต่สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องน่องใหญ่ กล้ามเนื้อน่องชัด หรือมีปัญหาเรื่องรูปร่างของน่องไม่สมส่วน “การฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว” อาจเป็นทางออกของขาเรียวสวยที่น่าสนใจ เพราะเป็นวิธีที่ช่วยให้คุณมีเรียวขาที่เพรียวบางได้อย่างรวดเร็วและเห็นผลชัดเจน

     

    การฉีดโบลดน่องจึงกลายเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มคนที่ต้องการแก้ไขปัญหาเรื่องน่องใหญ่ เพราะเป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่เสียเวลาพักฟื้น และเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้คุณมั่นใจและพร้อมที่จะเผยให้เห็นเรียวขาที่สวยงามได้อย่างเต็มที่

     

    ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว คืออะไร?

     

    โบลดน่อง คือ การใช้สารที่ออกฤทธิ์ช่วยคลายกล้ามเนื้อ ฉีดเข้าไปยังกล้ามเนื้อ Gastrocnemius บริเวณน่อง เมื่อฉีดโบเข้าไปบริเวณน่องขา โบลดน่องจะออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณน่องที่ใหญ่มีขนาดเล็ก ลดขนาดของกล้ามเนื้อให้เล็กลง ซึ่งเทคนิคของการฉีดโบลดน่องของแพทย์นั้น แพทย์จะฉีดเฉพาะกล้ามเนื้อบางส่วนในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น ซึ่งไม่ส่งผลต่อการยืนหรือการเดิน

     

    น่องใหญ่เกิดจากอะไร?
    น่องใหญ่เกิดจากอะไร?

    สาเหตุที่ทำให้น่องใหญ่ น่องปูด มีอะไรบ้าง?

    ปัญหาน่องใหญ่ น่องปูด มีหลากหลายปัจจัยด้วยกัน ดังนี้

    • น่องใหญ่ น่องปูด จากไขมัน : เกิดจากการสะสมของไขมันส่วนเกินบริเวณน่อง ปัญหานี้พบได้ในคนที่มีไขมันส่วนเกินสะสมในร่างกายมาก กับคนที่มีน้ำหนักเกิน หรือมีปัญหาการเผาผลาญไขมัน ถ้าการเผาผลาญไม่ดีอาจทำให้ไขมันสะสมมากขึ้นในบริเวณต่าง ๆ รวมถึงบริเวณน่องด้วย
    • น่องใหญ่ น่องปูด จากกล้ามเนื้อ : เกิดจากการที่กล้ามเนื้อน่องทำงานหนักเกินไป หรือเกิดจากการออกกำลังกายที่เน้นการใช้งานกล้ามเนื้อน่องโดยเฉพาะ เช่น การปั่นจักรยาน การวิ่ง การยืนนาน หรือการใส่ส้นสูงประจำ ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ทำให้กล้ามเนื้อน่องมีขนาดใหญ่ขึ้นได้
    • น่องใหญ่ น่องปูด จากพันธุกรรม : ลักษณะทางพันธุกรรม มีผลอย่างมากต่อการสะสมกล้ามเนื้อและไขมันในร่างกาย โดยบางคนอาจมีกล้ามเนื้อน่องที่ขยายใหญ่ขึ้นได้ง่ายกว่าคนอื่น ๆ
    • น่องใหญ่ น่องปูด จากการอักเสบของเส้นเอ็น : อาการเส้นเอ็นอักเสบอาจทำให้เกิดอาการบวมบริเวณน่องได้ และทำให้น่องดูใหญ่กว่าปกติ
    • น่องใหญ่ น่องปูด จากภาวะบวมน้ำ : ภาวะบวมน้ำจากการยืนนาน ๆ หรือระบบการไหลเวียนของเลือดที่ไม่ดี อาจทำให้น่องดูใหญ่ขึ้นได้
    • น่องใหญ่ น่องปูด จากการใส่รองเท้าไม่เหมาะสม : การใส่รองเท้าที่หลวมหรือคับจนเกินไป อาจส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อน่องและทำให้เกิดอาการบวมบริเวณน่องได้
    • น่องใหญ่ น่องปูด จากกล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานมาก : การเดินขึ้นบันไดบ่อย ๆ การวิ่ง หรือการเล่นกีฬาที่ใช้ขานาน ๆ สามารถทำให้กล้ามเนื้อน่องมีขนาดใหญ่ขึ้นได้ โดยเฉพาะหากมีการใช้งานหนักอย่างต่อเนื่อง กล้ามเนื้อจะตอบสนองโดยการสร้างเส้นใยกล้ามเนื้อใหม่ขึ้น ทำให้น่องดูใหญ่มากขึ้น

     

    กระบวนการทำงานของโบลดน่อง
    กระบวนการทำงานของโบลดน่อง

     

    ฉีดโบลดน่องมีกระบวนการทำงานอย่างไร?

    สำหรับหลักการทำงานของการฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียวนั้น จะเป็นการฉีดโบไปยังบริเวณกล้ามเนื้อที่มีชื่อว่า Gastrocnemius บริเวณน่อง เพื่อให้โบเข้าไปออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อน่องที่ใหญ่ให้มีขนาดเล็กลง ซึ่งการทำงานคล้ายกับการฉีดโบลดกรามปรับหน้าเรียว โดยก่อนฉีดโบลดน่อง ปรับหน้าเรียว แพทย์จะทำการประเมินก่อนว่าปัญหาของน่องใหญ่ น่องปูดมาจากไขมันสะสมหรือกล้ามเนื้อ เพื่อวางแผนการรักษาปรับรูปทรงน่องให้กลับมาสมดุลและเรียวสวย เข้ากับสรีระร่างกายของในแต่ละบุคคล

     

    โบลดน่อง ปรับขาเรียว ช่วยอะไรบ้าง?

    • โบลดน่อง ปรับขาเรียว ช่วยลดขนาดของกล้ามเนื้อน่อง
    • โบลดน่อง ปรับขาเรียว ช่วยให้น่องเรียวสวยและสมส่วน
    • โบลดน่อง ปรับขาเรียว ช่วยทำให้น่องไม่เป็นก้อนนูน
    • โบลดน่อง ปรับขาเรียว ช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อน่อง

     

    ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว

     

    การฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่อยากมีขาเรียวสวย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีปัญหาน่องใหญ่จากกล้ามเนื้อ อาจเกิดจากการออกกำลังกายที่เน้นการใช้กล้ามเนื้อ หรือเกิดจากคนที่ใช้กล้ามเนื้อน่องบ่อย ๆ เช่น การยืนนาน ทำให้กล้ามเนื้อน่องใหญ่ขึ้น โดยการฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว เหมาะกับคนที่มีปัญหา ดังนี้

     

    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว เหมาะกับคนที่น่องใหญ่ น่องปูดจากกล้ามเนื้อ
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว เหมาะกับคนที่มีปัญหากล้ามเนื้อน่องตึง
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว เหมาะกับคนที่มีปัญหาน่องใหญ่ไม่สมส่วน
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว เหมาะกับคนที่เคยลดน่องด้วยวิธีอื่นมาแล้วไม่ได้ผล
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว เหมาะกับคนที่อยากปรับรูปทรงขา เพื่อขาเรียวสวย
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว เหมาะกับคนที่ต้องการสร้างความมั่นใจในการใส่กระโปรงหรือกางเกงขาสั้น
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว เหมาะกับคนที่อยากขาสวยแต่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว เหมาะกับคนที่อยากได้ผลลัพธ์ขาเรียวสวยแบบรวดเร็ว

     

    ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว?

     

    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ไม่เหมาะกับคนที่ต้องใส่ส้นสูงนาน ยืนนาน หรือเดินนาน
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ไม่เหมาะกับคนมีอายุต่ำกว่า 18 ปี
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ไม่เหมาะกับคนที่น่องใหญ่ น่องปูดจากไขมัน
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ไม่เหมาะกับคนที่แพ้สารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ไม่เหมาะกับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ไม่เหมาะกับคนที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคเกี่ยวกับระบบประสาท โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคเลือดออกง่าย เป็นต้น
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ไม่เหมาะกับคนที่มีภาวะผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด อาจทำให้เกิดรอยช้ำง่าย
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ไม่เหมาะกับคนที่มีการติดเชื้อบริเวณที่ต้องการฉีด ควรรอให้แผลหายสนิทก่อน 
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ไม่เหมาะกับคนที่มีความผิดปกติทางระบบประสาทบางชนิด เช่น โรคเส้นเลือดในสมองตีบ โรคพาร์กินสัน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ถาวร

     

    ข้อดีและข้อเสียของการฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว

     

    วิธีการฉีดโบลดน่องเป็นหนึ่งในทางเลือกที่เหมาะกับคนที่ต้องการปรับรูปทรงน่องให้เรียวสวย แต่ก่อนตัดสินใจฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียวต้องพิจารณาข้อดีและข้อเสีย เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างรอบคอบ ดังนี้

     

    ข้อดีของการฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว

     

    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ช่วยทำให้รูปทรงของน่องดูเรียวสวย และสมส่วนมากขึ้น
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว เหมาะกับคนที่อยากแก้ไขน่องใหญ่ น่องปูดแบบไม่ต้องผ่าตัด
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องเจ็บตัว
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว กับแพทย์ที่มีประสบการณ์ ใช้โบลดน่องแท้ จะมีความปลอดภัยสูง
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว สามารถใช้ชีวิตประจำวันหลังทำได้ตามปกติ

     

    ข้อเสียของการฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว

    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ผลลัพธ์ไม่ถาวร ต้องฉีดซ้ำหลังจากโบลดน่องสลายไปตามธรรมชาติ
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว อาจเกิดอาการบวม ปวด แดง หรือช้ำตรงบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะค่อย ๆ หายได้เองหลังจากนั้น
    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ไม่เหมาะสมกับคนที่มีน่องใหญ่จากไขมัน หรือคนที่มีโรคประจำตัวบางชนิด

     

    โบลดน่องเลือกยี่ห้อไหนดี
    โบลดน่องเลือกยี่ห้อไหนดี

    ยี่ห้อโบลดน่อง ปรับขาเรียว เลือกแบบไหนดี?

    • โบลดน่อง ปรับขาเรียว จากประเทศอเมริกา (Allergan)

    โบลดน่อง ปรับขาเรียว ยี่ห้อ Allergan เป็นบริษัทออริจินอลแบรนด์ดังของการฉีดโบ ที่มีงานวิจัยรองรับมากที่สุดถึง 3,500 งานวิจัย ได้รับการรับรองจาก FDA ตั้งแต่ปี 1985 มีผลการรักษาแม่นยำที่สุด โดยตัวยามีการกระจายตัวแคบ มีความบริสุทธิ์มากถึง 99.5% ทำให้เกิดโอกาสดื้อโบน้อยที่สุด เพื่อผลลัพธ์ที่ออกมาแม่นยำและตรงจุด สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยเฉพาะจุดได้ดี เช่น ริ้วรอยย่นบนหน้าผาก ริ้วรอยย่นระหว่างคิ้ว และริ้วรอยหางตา อีกทั้งยังเหมาะกับการฉีดโบลิฟกรอบหน้า  ฉีดโบลดกราม ซึ่ง Allergan เป็นหนึ่งในยี่ห้อที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างมาก

     

    • โบลดน่อง ปรับขาเรียว จากประเทศอังกฤษ (Dysport)

    โบลดน่อง ปรับขาเรียว ยี่ห้อ Dysport จากประเทศอังกฤษ ผลิตโดยบริษัท Ipsen ได้รับการรับรองจาก FDA ในปี 2009 มีขนาดของโมเลกุลที่เล็กกว่าโบลดน่องยี่ห้อ Allergan มีลักษณะการกระจายตัวเป็นวงกว้าง ทำให้การฉีดโบลดน่องยี่ห้อ Dysport ต้องฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ และต้องระมัดระวังในการฉีดสูง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการแก้ไขปัญหาริ้วรอยย่นบนหน้าผาก ลดกราม รวมไปถึงยังช่วยลดกลิ่นเหงื่อ กลิ่นตัว ลดน่อง และลดต้นแขน โดยผลลัพธ์ที่ได้จะค่อนข้างรวดเร็ว ใครที่ต้องการผลลัพธ์เร่งด่วนต้องเลือกฉีดโบลดน่อง Dyspot

     

    • โบลดน่อง ปรับขาเรียว จากประเทศเยอรมัน (Xeomin)

    โบลดน่อง ปรับขาเรียว ยี่ห้อ Xeomin จากประเทศเยอรมัน ได้รับการรับรองจาก FDA ในปี 2011 มีจุดเด่นที่นำข้อดีของยี่ห้อ Allergan และ Dysport มารวมไว้ด้วยกัน ซึ่งโบลดน่อง ปรับขาเรียว Xeomin เป็นยี่ห้อแรกที่มีความบริสุทธิ์สูงมาก ไม่มีสารเติมแต่งใด ๆ ทำให้ดูมีความเป็นธรรมชาติ ไม่ตึงจนเกินไป สามารถป้องกันการเกิดโอกาสดื้อโบได้ นอกจากนี้ยังมีอาการผลข้างเคียงน้อยและเห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็วอีกด้วย

     

    • โบลดน่อง ปรับขาเรียว จากประเทศเกาหลี (Nabota และ Aestox)

    โบลดน่อง ปรับขาเรียว จากประเทศเกาหลีมีทั้งหมด 2 ยี่ห้อด้วยกัน คือ โบลดน่องยี่ห้อ Nabota และ โบลดน่องยี่ห้อ Aestox รายละเอียดของโบลดน่อง ปรับขาเรียว มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ดังนี้

    • โบลดน่อง ปรับขาเรียว ยี่ห้อ Nabota เป็นโบลดน่องแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวจากประเทศเกาหลีที่ได้รับการรับรองจาก FDA ในปี 2018 ที่มีความบริสุทธิ์ถึง 98.7% ผ่านการวิจัยทดลองมากว่า 30 ปี มีจุดเด่นในด้านการออกฤทธิ์ไวกว่าโบเกาหลียี่ห้ออื่น ช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอยร่องตื้นบนใบหน้า เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์เร่งด่วน
    • โบลดน่อง ปรับขาเรียว ยี่ห้อ Aestox เป็นโบลดน่อง ปรับขาเรียว ที่มีตัวยาบริสุทธิ์ 99.5% ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว เกิดโอกาสดื้อยาน้อย ออกฤทธิ์ไวใกล้เคียงกับโบลดน่องยี่ห้อ Allerganจากสหรัฐอเมริกา แต่ผลลัพธ์อยู่ได้สั้นกว่า  มักนิยมใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาริ้วรอย ปรับรูปหน้าเรียวเล็ก และทำให้กรอบหน้าคมชัด 

    การเตรียมตัวก่อนฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว

    • ก่อนฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินปัญหาให้เหมาะสมในแต่ละบุคคล
    • ก่อนฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดโบลดน่องอย่างละเอียด 
    • ก่อนฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ ได้รับการรับรอง มีเครื่องมือที่ทันสมัย และแพทย์ที่มีประสบการณ์
    • ก่อนฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ควรแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด รวมไปถึงโรคประจำตัว ยาที่กำลังรับประทาน และการแพ้ยาต่าง ๆ 
    • ก่อนฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว งดดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ก่อนทำ อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เนื่องจากส่งผลต่อการฟื้นตัว
    • ก่อนฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว หลีกเลี่ยงยาบางชนิดที่ส่งผลต่อการทำงานของโบลดน่อง
    • ก่อนฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ควรงดยากลุ่มที่ลดการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน 

     

    ขั้นตอนการฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว

    1. ปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการประเมินสภาพกล้ามเนื้อน่อง และประเมินปริมาณโบลดน่องที่เหมาะสมในบริเวณที่ต้องการฉีด
    2. ทำความสะอาดบริเวณที่ต้องการฉีดโบลดน่องด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
    3. สำหรับคนที่กลัวเจ็บ แพทย์อาจทายาชาบริเวณที่ต้องการฉีด เพื่อบรรเทาความเจ็บจากเข็มจากการฉีดโบลดน่อง
    4. แพทย์จะใช้เข็มฉีดสารที่ออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการลดขนาด โดยเลือกจุดฉีดที่เหมาะสมเพื่อผลลัพธ์อย่างเป็นธรรมชาติ
    5. หลังจากฉีดโบลดน่องเสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะประคบเย็นบริเวณที่ฉีด เพื่อลดอาการบวมและรอยช้ำจากเข็ม

     

    การดูแลตัวเองหลังฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว

     

    • หลังฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว สามารถประคบเย็นได้เป็นระยะ เพื่อลดอาการบวม
    • หลังฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ควรขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดทันทีประมาณ 30 นาที เพื่อให้โบลดน่องถูกเซลล์ประสาทดูดซึมเข้าไปมากที่สุด
    • หลังฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักในช่วง 2-3 วันแรก
    • หลังฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว หลีกเลี่ยงการนวดบริเวณที่ฉีด
    • หลังฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด 3 วัน
    • หลังฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว งดดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด 3 วัน
    • หลังฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว งดอาหารรสจัด อาหารหมักดอง 3 วัน
      โบลดน่อง VS ดูดไขมันน่อง
      โบลดน่อง VS ดูดไขมันน่อง

     

    การฉีดโบลดน่อง VS การดูดไขมันน่อง แตกต่างกันอย่างไร?

    ฉีดโบลดน่อง ปรับหน้าเรียว

    • การฉีดโบลดน่อง เป็นกระบวนการที่ใช้สารออกฤทธิ์เพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อในบริเวณน่อง ซึ่งโบลดน่องมีกระบวนการที่มีหน้าที่ป้องกันการส่งผ่านสัญญาณจากเซลล์ประสาทไปยังกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถทำงานได้นาน ๆ ส่งผลให้เกิดการลดขนาดของกล้ามเนื้อในบริเวณที่ถูกฉีด โดยจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนในระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ผลลัพธ์คงอยู่ได้นาน 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองในแต่ละบุคคล การฉีดโบลดน่องจะเน้นที่กล้ามเนื้อบางส่วนเท่านั้น และไม่มีผลกระทบต่อการยืนหรือการเดิน เนื่องจากมีกล้ามเนื้ออื่นที่ยังคงรับน้ำหนักและปรับท่าทางในการเคลื่อนไหว

     

    การดูดไขมันลดน่อง

    • ปัญหาน่องใหญ่ น่องปูด จากไขมันสะสมจากการรับประทาน แก้ไขปัญหาโดยการดูดไขมันน่องจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เนื่องจากการดูดไขมันส่วนเกินบริเวณน่องออก ทำให้น่องเล็กลง ขาเรียวสวยขึ้น เห็นผลลัพธ์ไว ปลอดภัย ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย ซึ่งปัจจุบันมีหลายเทคโนโลยีในการดูดไขมันลดน่อง ทั้งนี้การดูดไขมันลดน่องเหมาะกับคนที่มีปัญหาน่องใหญ่ น่องปูด ที่เกิดจากไขมันสะสม ที่อยากลดขนาดของน่องขาให้เรียวเล็กลง เพราะการออกกำลังกายไม่สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะจุดใดจุดหนึ่งได้ จำเป็นต้องใช้การดูดไขมันลดน่องร่วมด้วย

     

    คำถามพบบ่อยของการฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว

     

    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว ใช้กี่ยูนิต?

    โดยปกติทั่วไป หากต้องการลดขนาดของน่องให้เล็กลง อาจต้องใช้ปริมาณของโบลดน่องมากถึง 500-600 ยูนิตต่อขา 1 ข้าง ซึ่งร่างกายของคนเราไม่สามารถรับปริมาณของโบได้มากเกิน 300 ยูนิต ในะยะเวลา 3 เดือน  และถ้าหากฉีดครั้งเดียวในปริมาณที่มากเกินไป จะส่งผลต่อการเดือนและการยืนได้ แนะนำให้ทยอยฉีดเพียงครั้งละ 200 ยูนิตเท่านั้น

     

    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว เจ็บไหม?

    การฉีดตัวยาเข้าสู่กล้ามเนื้อมีความเจ็บเป็นเรื่องปกติ แต่เป็นความเจ็บในระดับที่อดทนได้ หากมีความกังวลเรื่องของความเจ็บระหว่างฉีดโบลดน่อง สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อขอทายาชาหรือประคบเย็นก่อนฉีดได้ เพื่อลดความเจ็บจากเข็ม

     

    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว มีผลข้างเคียงไหม?

    ผลข้างเคียงหลังที่อาจเกิดขึ้นหลังจากฉีดโบลดน่องที่พบโดยทั่วไป คือ อาการบวม แดง หรือมีรอยช้ำบริเวณที่ฉีด อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ  รวมไปถึงอาจมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงชั่วคราวได้ โดยอาการเหล่านี้สามารถหายได้เองในเวลาต่อมาได้ นอกจากผลข้างเคียงที่เกิดจากการฉีดโบลดน่องเหล่านี้แล้ว ยังมีผลข้างเคียงที่เกิดจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น ปริมาณที่ใช้ในการฉีดโบลดน่อง เทคนิคการฉีดโบลดน่อง ดังนั้นการฉีดโบลดน่องในปริมาณที่เหมาะสม ใช้โบแท้ และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ จะทำให้ไม่มีผลข้างเคียงที่อันตรายอย่างแน่นอน

     

    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกไหม?

    ในการฉีดโบลดน่อง จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ชัดเจนประมาณ 3 เดือน ซึ่งในการฉีด 1 ครั้งขนาดของกล้ามเนื้อบริเวณน่องจะลดลงได้ประมาณ 10-20% เพราะกล้ามเนื้อบริเวณน่องเป็นมัดกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ ทำให้ค่อนข้างใช้ระยะเวลาในการฉีดซ้ำอย่างต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

     

    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว อันตรายไหม?

    ถ้าฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียวกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ และใช้ตัวยาในปริมาณที่เหมาะสม ก็จะไม่มีผลข้างเคียงที่อันตราย แต่ถ้าหากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ ใช้ปริมาณโบลดน่องไม่เหมาะสม อาจเกิดปัญหากับการเดินหรือการยืนได้ รวมไปถึงการฉีดโบลดน่องกับหมอกระเป๋า หมอปลอม ที่ใช้ยาหิ้ว ทำให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน ดังนั้นก่อนฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียวต้องเลือกคลินิกที่ได้รับมาตรฐานเพื่อความปลอดภัยเท่านั้น

    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว อยู่ได้นานไหม?

    การฉีดโบลดน่อง สามารถช่วยลดขนาดน่องให้เรียวเล็กลงได้ โดยผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ยี่ห้อของโบลดน่องที่เลือกใช้ และระดับการใช้งานกล้ามเนื้อน่องของแต่ละบุคคล หากมีการใช้งานกล้ามเนื้อน่องมาก เช่น การเดินหรือออกกำลังกายบ่อย ๆ ผลลัพธ์อาจสลายเร็วขึ้น ดังนั้นจึงแนะนำให้ฉีดซ้ำทุก 4-6 เดือนเพื่อรักษาผลลัพธ์ให้คงอยู่ต่อไป

     

    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว กี่ครั้งเห็นผล?

    โดยทั่วไปแล้ว การฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว จะเริ่มเห็นผลชัดเจนประมาณ 1-2 เดือน หลังจากการฉีดครั้งแรก และผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน แต่หากต้องการให้กล้ามเนื้อบริเวณน่องเล็กลงอย่างต่อเนื่อง อาจต้องฉีดซ้ำทุกๆ 6 เดือน หรือตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

     

    • ฉีดโบลดน่อง ปรับขาเรียว มีผลต่อการเดินไหม?

    การฉีดโบลดน่องนั้น หากทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และฉีดในปริมาณที่เหมาะสม โดยทั่วไปจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเดิน เพราะแพทย์จะฉีดเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้อน่องส่วนที่ทำให้เกิดน่องใหญ่เท่านั้น โดยยังคงเหลือกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ ที่ช่วยในการยืนและเดินอยู่ ดังนั้นหากฉีดโบลดน่องในปริมาณที่มากเกินไป หรือฉีดผิดจุด อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรงมากเกินไปจนส่งผลต่อการเดินได้ ดังนั้นจึงควรเลือกคลินิกและแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการฉีดโบลดน่องโดยเฉพาะ

     

    การฉีดโบลดน่อง เป็นขั้นตอนการทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน สำหรับคนที่ต้องการปรับรูปร่างให้ขาเรียวสวย โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาน่องใหญ่ กล้ามเนื้อน่องเป็นมัด หรือต้องการแก้ไขปัญหาความไม่สมส่วนของขา ใครที่กำลังสนใจและต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องของการฉีดโบลดน่อง สามารถติดต่อและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขาใกล้บ้านคุณ

    ฉีดโบลดกรามหน้าเรียวครั้งแรก ควรรู้อะไรบ้าง 

    ฉีดโบลดกรามช่วยอะไรบ้าง

    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




      วันที่สะดวกในการติดต่อ








      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ควรรู้อะไรบ้าง 

      การฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว อาจเป็นคำตอบที่สาว ๆ และหนุ่ม ๆ กำลังมองหา ในยุคที่ความสวยงามเป็นสิ่งสำคัญ การมีใบหน้าที่เรียวเล็ก ใบหน้าได้สัดส่วน เป็นสิ่งที่ใครหลายคนต้องการ ซึ่งการผ่าตัดศัลยกรรม อาจไม่ใช่ทางเลือกแรกสำหรับทุกคน แต่ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้น การฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว จึงกลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ มาจนถึงในยุคปัจจุบัน

       

      บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการฉีดโบลดกรามอย่างละเอียด ตั้งแต่หลักการทำงานของโบลดกราม ผลลัพธ์ที่ได้จากการฉีดโบลดกราม หรือ โบลดกราม ปรับหน้ารวมเหมาะกับใครบ้าง รวมไปจนถึงข้อควรระวังและการเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้ตัดสินใจก่อนฉีดโบลดกรามได้อย่างมั่นใจก่อนเข้ารับการรักษา

       

      ฉีดโบกรามคืออะไร ช่วยอะไรบ้าง
      ฉีดโบกรามคืออะไร ช่วยอะไรบ้าง

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว คืออะไร?

      การฉีดโบลดกราม เป็นวิธีการลดกรามให้เล็กลงด้วยการฉีดสารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่สร้างมาจากแบคทีเรียที่ชื่อ Clostridium เมื่อฉีดเข้าไปบริเวณกล้ามเนื้อบริเวณกราม ทำให้กรามมีขนาดเล็กลง ใบหน้าจึงเรียวเล็กลง ช่วยให้รูปหน้ามีความวีเชฟมากขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น หลังฉีดสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ อีกทั้งยังสามารถฉีดซ้ำได้เรื่อย ๆ เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้คงอยู่ต่อเนื่อง

       

      ปัญหากรามใหญ่ หน้าบาน เกิดจากอะไร?

       

      • กรามใหญ่จากพันธุกรรม ลักษณะกรามใหญ่นั้นสามารถถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้ โดยเฉพาะคนเอเชียที่มักจะมีขากรรไกรใหญ่ และกรามใหญ่จากกรรมพันธุ์
      • กรามใหญ่จากกล้ามเนื้อกราม หากกล้ามเนื้อกรามถูกใช้งานหนัก จากพฤติกรรมการบดเคี้ยวอาหารเหนียวและแข็งเป็นระยะเวลานาน จะทำให้กล้ามเนื้อกรามมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นและมีความแข็งแรงมากขึ้น 
      • กรามใหญ่จากไขมัน เป็นผลมาจากการบริโภคอาหาร ที่มีปริมาณไขมันและน้ำตาลสูง เช่น ของทอด ขนมหวาน น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งส่งผลให้เกิดการสะสมไขมันบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะส่วนล่างของแก้ม เมื่อน้ำหนักไขมันส่วนนี้ สะสมร่วมกับกล้ามเนื้อกรามที่เด่นชัด จะทำให้ใบหน้าดูกว้างและขาดความเรียวกระชับ 
      • กรามใหญ่จากกระดูก ในบางคนอาจมีการเจริญเติบโตของกระดูกที่มากกว่าปกติ ส่งผลให้กรามใหญ่

       

      กรามใหญ่ มีกี่แบบ?

       

      1. กรามใหญ่ หน้าเหลี่ยม เกิดจากการที่โครงสร้างกระดูกขากรรไกรใหญ่ ทำให้ใบหน้าดูเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม
      2. กรามใหญ่ แก้มเยอะ ทำให้ใบหน้าดูใหญ่ และหน้าบาน
      3. กรามใหญ่แบบข้างเดียว เกิดจากการเจริญเติบโตของกระดูกที่ผิดปกติ หรือเกิดจากการเคี้ยวอาหารข้างเดียว ทำให้กรามทั้งสองข้างไม่เท่ากัน
      4. กรามใหญ่ โหนกแก้มสูง ทำให้ใบหน้าดูดุและดูแข็ง
      5. กรามใหญ่ คางสั้น ทำให้ใบหน้าดูกลม หน้าสั้น ใบหน้าดูไม่มีมิติ

       

      ฉีดโบลดกราม ช่วยลดกราม ปรับหน้าเรียว ได้อย่างไร?

       

      การออกฤทธิ์ของโบลดกราม แพทย์จะทำการฉีดตัวยาเข้าไปบริเวณกล้ามเนื้อ โดยตัวยาจะแยกออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ ส่วนที่ถูกดูดซึมเข้าไปเก็บไว้ในเซลล์ประสาท และ ส่วนที่ไม่ดูดซึมจะถูกนำออกไปตามกระแสเลือด ไม่เกิน 1 ชั่วโมงหลังฉีด โดยจะถูกขับออกจากร่างกายตามกลไกธรรมชาติ แบบไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์อื่น ๆ

       

      การฉีดโบลดกราม จะช่วยลดการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อ Masseter โดยตัวยาจะออกฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนี้ทำงานน้อยลงชั่วคราว เมื่อกล้ามเนื้อไม่ได้ถูกใช้งานอย่างหนัก ขนาดของกล้ามเนื้อกรามจึงค่อย ๆ เล็กลง ส่งผลให้รูปหน้าดูเรียวและสมส่วนมากยิ่งขึ้น

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ช่วยอะไรบ้าง?

       

      • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ช่วยให้ใบหน้าดูเรียวเล็กมากขึ้น
      • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ช่วยให้ส่วนกรามดูเล็กลง 
      • ฉีดโบลดกราม ช่วยให้แก้มดูเรียวขึ้น เนื่องจากเนื้อบริเวณกรามเล็กลง

       

      ฉีดโบกรามเหมาะกับใคร
      ฉีดโบกรามเหมาะกับใคร

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว เหมาะกับใคร?

      • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว เหมาะกับ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 18 ปี
      • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการลดขนาดกล้ามเนื้อบริเวณกราม
      • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก แบบไม่ต้องผ่าตัด
      • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการใช้หน้าเร็ว ๆ เพราะไม่มีเวลาพักฟื้น

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เหมาะกับใคร?

       

      • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคถุงลมโป่งพอง
      • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อในการกลืนอาหาร
      • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีอาการติดเชื้อในจุดที่ต้องการฉีด
      • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เหมาะกับ ผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงต่าง ๆ
      • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาแก้มตอบ เนื่องจากแก้มจะยิ่งตอบมากขึ้นถ้ากรามมีขนาดเล็กลง
      • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาโหนกแก้มชัด เนื่องจากกรามเล็กลงทำให้โหนกแก้มอาจจะยิ่งเห็นชัดขึ้น
      • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณแก้มช่วงล่าง กรามเล็กลงอาจจะทำให้แก้มหย่อนคล้อยเพิ่มขึ้นได้
      • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีปริมาณไขมันที่แก้มเยอะ อาจต้องลดแก้มร่วมด้วย
      • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีกระดูกขากรรไกรใหญ่กว่ากล้ามเนื้อกราม
      • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีกล้ามเนื้อกรามขนาดเล็ก เนื่องจากไม่มีกล้ามเนื้อกรามให้ลด

       

      โบกรามเลือกยี่ห้อไหนดี
      โบกรามเลือกยี่ห้อไหนดี

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ยี่ห้อไหนดี?

      ปัจจุบันโบลดกรามมีอยู่หลายยี่ห้อที่ผ่านอย. ไทย โดยยี่ห้อที่เหมาะสมกับการนำมาฉีดโบลดกราม มีดังนี้

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ยี่ห้อ Allergan

       

      โบลดกราม Allergan จากประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นแบรนด์แรกที่ได้รับการรับรองให้ใช้ในการลดเลือนริ้วรอยและปรับรูปหน้า ที่มีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5% ช่วยลดโอกาสการดื้อยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังได้รับความไว้วางใจในด้านคุณภาพและความปลอดภัยจากแพทย์และผู้ใช้งานทั่วโลก

       

      ซึ่งโบลดกราม Allergan เป็นแบรนด์ระดับโลกที่มีชื่อเสียง และได้รับการรับรองจากงานวิจัยมากกว่า 3,500 ฉบับ โดยมีจุดเด่นที่สำคัญคือ การออกฤทธิ์แบบกระจายตัวแคบ ซึ่งช่วยให้การรักษามีความแม่นยำและตรงจุด เหมาะสำหรับการฉีดเพื่อลดกล้ามเนื้อบริเวณกราม

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ยี่ห้อ Dysport

       

      โบลดกราม จากประเทศอังกฤษ ตัวยามีโมเลกุลขนาดเล็ก มีการออกฤทธิ์ในรูปแบบการกระจายเป็นวงกว้าง ให้ผลลัพธ์อย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับการนำมาฉีดลดการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณกว้าง เช่น ต้นแขน ต้นขา อีกทั้งยังเหมาะสำหรับการฉีดลดริ้วรอยบริเวณระหว่างคิ้วได้อีกด้วย

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ยี่ห้อ Nabota

       

      โบลดกรามคุณภาพสูงจากประเทศเกาหลี ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Daewoong Pharmaceutical และมีการทดสอบอย่างเข้มงวดเพื่อยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ซึ่งได้รับการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกา โดยมีความบริสุทธิ์ของตัวยาถึง 98.7% ทำให้มีประสิทธิภาพในการปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าแบบเห็นผลทันที

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ยี่ห้อ Aestox

       

      เป็นโบลดกรามจากเกาหลีที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย โดยมีคุณสมบัติเด่นคือ ความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5% ซึ่งช่วยลดโอกาสในการดื้อยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังเน้นการปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และผลลัพธ์ที่ได้จะมีอายุการใช้งานนานกว่าโบเกาหลีอื่น ๆ

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ยี่ห้อ Xeomin

       

      โบลดกราม จากประเทศเยอรมัน ผลิตด้วยเทคโนโลยี XTRACT ทำให้ สารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ ไม่มีการปนเปื้อน จากโปรตีน ตัวยามีโมเลกุลขนาดเล็กและมีความบริสุทธิ์สูง ออกฤทธิ์แบบกระจายกว้าง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฉีดลดเลือนริ้วรอย อีกทั้งยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากรามใหญ่ไม่มากอีกด้วย

       

      การเตรียมตัวก่อนฉีดโบกราม
      การเตรียมตัวก่อนฉีดโบกราม

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว เตรียมตัวก่อนฉีดอย่างไร?

      • ก่อนฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว งดการรับประทานอาหารเสริมบางชนิด เช่น น้ำมันปลา หรือวิตามินอี ล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 วัน
      • ก่อนฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 3-7 วัน
      • ก่อนฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว งดยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ ประมาณ 1 สัปดาห์
      • ก่อนฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่รับประทานประจำ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนฉีด
      • ก่อนฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ควรศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวกับโบแท้ และควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน

       

      การดูแลตัวเองหลังฉีดโบกราม
      การดูแลตัวเองหลังฉีดโบกราม

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ดูแลตัวเองหลังฉีดอย่างไร?

      • หลังฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ควรรีบขยับเกร็งกล้ามเนื้อจุดที่ฉีดทันที 1-2 ครั้ง
      • หลังฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว งดนอนราบ 3 ชั่วโมง เพราะอาจทำให้ตัวยาไหลไปเกาะบริเวณที่ไม่ต้องการได้
      • หลังฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ควรหลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดและกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง 
      • หลังฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดและงดสูบบุหรี่
      • หลังฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว งดอาหารหมักดอง
      • หลังฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ควรฉีดโบลดกรามต่อเนื่องในระยะที่เหมาะสม ไม่ฉีดถี่เกินไป และไม่ควรเว้นระยะห่างเกินไป

       

      เปรียบเทียบฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว กับ หัตถการอื่น ๆ

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว vs ร้อยไหมหน้าเรียว

       

      การฉีดโบลดกราม และการร้อยไหม สามารถช่วยให้ใบหน้าเรียวได้ทั้งสองหัตถการ ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละปัญหานั้นเหมาะกับหัตถการแบบไหน ซึ่งการฉีดโบลดกรามจะช่วยลดกล้ามเนื้อให้เล็กลง ส่วนการร้อยไหมจะช่วยในการยกกระชับ แก้ปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย กรณีที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว vs ผ่าตัดเหลากราม

       

      ปัญหากรามใหญ่ เกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ ทั้งกระดูก กล้ามเนื้อ และไขมัน การเลือกวิธีแก้ปัญหา ควรเลือกวิธีแก้ปัญหาอย่างเหมาะสมกับในแต่ละบุคคล ความแตกต่างของการฉีดโบลดกราม กับ การผ่าตัดเหลากราม มีดังนี้

      • การฉีดโบลดกรามนั้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีกล้ามเนื้อกรามใหญ่ ซึ่งหลังฉีดกรามไม่จำเป็นต้องพักฟื้น กรามยุบเต็มที่ใช้ระยะเวลา 2-3 เดือน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 4-5 เดือน 
      • การผ่าตัดเหลากราม เหมาะกับคนที่มีกระดูกกรามใหญ่ ผลลัพธ์อยู่ได้นานถาวร แต่หลังผ่าตัดต้องดูแลความสะอาดช่องปากเป็นพิเศษ และต้องกินยาที่แพทย์จ่ายอย่างต่อเนื่อง ต้องใช้ระยะเวลาพักฟื้นนานจนกว่าแผลจะหายดี  6-12 สัปดาห์ 

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เห็นผลลัพธ์ เพราะอะไร?

       

      หลายคนที่ฉีดโบลดกรามมา แล้วไม่เห็นผลลัพธ์ มีสาเหตุมาจาก 2 ปัจจัย ดังนี้

       

      • แก้ปัญหาไม่ตรงสาเหตุ : กรณีที่เป็นคนกรามใหญ่เพราะโครงสร้างกระดูกใบหน้า หรือ กรามใหญ่เพราะไขมันกระพุ้งแก้ม การฉีดโบลดกรามเพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อ จึงไม่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ เพราะในกรณีที่กรามใหญ่จากกระดูก ต้องใช้การผ่าตัดเหลากราม ส่วนกรณีกรามใหญ่เพราะไขมัน ต้องฉีดแฟต หรือดูดไขมันออก เท่านั้น
      • ใช้ตัวยาที่ไม่ได้มาตรฐาน : การฉีดโบลดกราม ต้องมั่นใจว่าเป็นโบลดกรามแท้ ผ่าน อย. เพราะหากเป็นโบลดกรามปลอม โบลดกรามที่ผสมน้ำเกลือมากเกินไป ฉีดแล้วจะไม่เห็นผลลัพธ์ และอาจทำให้เกิดอันตรายได้ เช่น ปากเบี้ยว หรือ มุมปากตก

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว กับคำถามพบบ่อย

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ใช้กี่ยูนิต?

      • โดยทั่วไปการฉีดโบลดกรามจะอยู่ที่ 50-100 ยูนิต เนื่องจากกล้ามเนื้อกราม (Masseter muscle) มีความหนาและแข็งแรงกว่ากล้ามเนื้อในบริเวณอื่น ๆ การฉีดโบลดกรามจึงต้องใช้ปริมาณโบที่มากกว่า หากผู้เข้ารับบริการมีกล้ามเนื้อกรามขนาดใหญ่มาก อาจต้องใช้ถึง 200 ยูนิต เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมที่สุด

       

      หลังฉีดโบกราม จะปวดกรามหรือเมื่อยกรามไหม?

      • อาการปวด หรืออาการเมื่อยบริเวณกราม เป็นผลข้างเคียงของการฉีดโบลดกรามที่อาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณที่ได้รับการฉีดโบลดกรามทำงานน้อยลง

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียวได้จริงไหม?

      • ฉีดโบลดกราม ช่วยให้หน้าเรียวได้จริง แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคลด้วย เพราะโบลดกรามจะใช้ได้ผลดีกับบริเวณกล้ามเนื้อเท่านั้น โดยแพทย์จะประเมินว่ามีปัญหาจากจุดไหน จากกระดูก กล้ามเนื้อ หรือว่าไขมัน เพื่อแนะนำหัตถการที่เหมาะสมกับปัญหาดังกล่าว

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว เจ็บไหม?

      • ปกติการฉีดโบลดกราม จะมีการแปะยาชาก่อนฉีด 30 นาที หลังจากนั้นยาชาจะออกฤทธิ์ ทำให้ไม่มีความรู้สึกเจ็บระหว่างฉีด แต่ในบางกรณีอาจรู้สึกตึง ๆ ระหว่างฉีดได้

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว กี่วันเห็นผล?

      • หลังจากฉีดโบลดกรามเพื่อปรับรูปหน้าเรียว ผลลัพธ์จะเริ่มปรากฏให้เห็นภายใน 1-2 สัปดาห์แรก กล้ามเนื้อบริเวณกรามจะเริ่มคลายตัว และไม่แข็งตึงเมื่อกัดฟัน โดยผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดมักปรากฏในช่วง 2-3 เดือนหลังการฉีด ทั้งนี้ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับการตอบสนองของแต่ละบุคคลและการดูแลหลังฉีดอย่างเหมาะสม

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว อันตรายไหม?

      • การฉีดโบลดกราม หากฉีดโดยแพทย์ที่มีความชำนาญการ และฉีดด้วยโบลดกรามแท้ ผ่าน อย. ที่ตรวจสอบได้ ไม่เป็นอันตายอย่างแน่นอน และควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของคลินิก แพทย์ที่มีความชำนาญการ และตัวยาแท้ เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่อันตราย เช่น หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว และอาจทำให้เกิดการดื้อโบลดกรามได้

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว อยู่ได้นานไหม?

      • ระยะเวลาผลลัพธ์ของโบลดกรามจะอยู่ได้นาน 5-6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโบลดกรามที่เลือกใช้และการดูแลตัวเองในแต่ละบุคคลอีกด้วย หากรับประทานอาหารที่ต้องเคี้ยวบ่อย ๆ กล้ามเนื้อกรามจะสามารถถูกกลับมากระตุ้นให้กลับมาทำงานเร็วขึ้นได้

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ฉีดบ่อย ๆ ได้ไหม?

      • การฉีดโบลดกราม ควรมีการเว้นระยะห่างระหว่างแต่ละครั้งอย่างเหมาะสม โดยทั่วไปแนะนำให้ฉีดห่างกันทุก 3-6 เดือน เพื่อให้กล้ามเนื้อกรามค่อย ๆ ลดขนาดลงอย่างเป็นธรรมชาติ การฉีดถี่เกินไปอาจทำให้ร่างกายดื้อต่อโบลดกราม ในขณะที่การเว้นช่วงนานเกินไป อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่ต่อเนื่องและต้องใช้ปริมาณโบลดกรามมากขึ้นในครั้งถัดไป เพื่อให้เห็นผลที่ชัดเจน

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว มีผลข้างเคียงไหม?

      การฉีดโบลดกราม มีผลข้างเคียงที่สามารถเกิดขึ้นได้ตามปกติทั่วไป และสามารถหายได้เองภายใน 7 วัน มีดังนี้

      • หลังฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว อาจรู้สึกเจ็บ หรืออาการบวม มีรอยแดง 
      • หลังฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว อาจมีรอยช้ำที่เกิดจากเข็มโดนเส้นเลือด

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ทำไมเหนียงเยอะขึ้น?

      • เมื่อฉีดโบลดกรามลงบนกล้ามเนื้อกราม เมื่อกรามยุบลงไป จะทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยขึ้น และผิวหนังบริเวณลำคอเยอะขึ้น ทำให้ใบหน้าดูห้อยหย่อนคล้อยลง ในบางกรณีแพทย์จะแนะนำให้ฉีดโบลดกรามคู่กับโบลิฟกรอบหน้า จะทำให้ผิวกระชับพอดี ไม่หย่อนคล้อยลงมา นอกจากนี้หากฉีดโบด้วยเทคนิค Nefertiti lift จะช่วยลดเหนียงได้อีกด้วย

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ทำให้ยิ้มแข็ง หรือยิ้มไม่สุด เกิดจากอะไร?

      สาเหตุของการการฉีดโบลดกรามแล้วมีอาการยิ้มแข็ง ยิ้มไม่สุด เกิดได้จากสาเหตุ ดังนี้

      • การฉีดโบลดกรามผิดตำแหน่ง
      • กล้ามเนื้อไรซอเรียสเกาะต่ำกว่าปกติ ไม่เหมือนของคนอื่นทั่วไป สามารถพบได้ 1-2%
      • ใช้ปริมาณของโบลดกรามเยอะ ยาจึงแพร่กระจายเป็นวงกว้าง ซึ่งสาเหตุนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการทยอยฉีดโบลดกราม
      • ใช้ตัวยาโบลดกรามปลอม ตัวยาที่ไม่คุณภาพทำให้ยากระจายตัวไม่สม่ำเสมอกัน

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว แล้วปากเบี้ยว เกิดจากอะไร?

      • การที่ปากเบี้ยวหลังจากฉีดโบลดกราม อาจเกิดจากการกระทบกับกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของปาก เช่น กล้ามเนื้อ Risorius หรือ Zygomaticus ซึ่งมีหน้าที่ช่วยในการยิ้มและการเคลื่อนไหวของมุมปาก เมื่อโบถูกฉีดเข้าไปใกล้บริเวณนี้ อาจทำให้กล้ามเนื้อเหล่านี้อ่อนกำลังลงและส่งผลให้มุมปากไม่สมดุลกันได้ ดังนั้นการฉีดโบลดกรามควรทำโดยแพทย์ที่มีความรู้ มีประสบการณ์ และควรเลือกใช้เทคนิคที่ระมัดระวังในการฉีด

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว แล้วแก้มห้อย เพราะอะไร?

      • การเกิดก้อนหลังการฉีดโบลดกราม เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังการฉีด เนื่องจากโบจะต้องใช้เวลาทำงาน เพื่อคลายกล้ามเนื้อกรามให้มีความนิ่มขึ้น บางครั้งกล้ามเนื้อบางส่วนอาจไม่ตอบสนองทันที ซึ่งอาจรู้สึกเป็นก้อนหรือแข็งตัวเมื่อเคี้ยวอาหารหรือขยับกราม การเกิดก้อนในช่วงนี้ถือเป็นอาการชั่วคราวและจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป จนถึงผลลัพธ์ที่ชัดเจนภายใน 2-3 สัปดาห์

       

      ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว แล้วแก้มตอบ ปรับหน้าเรียว แล้วแก้มตอบ เพราะอะไร?

      • เป็นกรณีที่สามารถพบได้ในคนที่มีเนื้อแก้มน้อย แก้มตอบ เนื่องจากกล้ามเนื้อกรามอยู่บริเวณแนวกระดูกกรามยาวไปจนถึงบริเวณแก้มตอบ การฉีดโบลดกรามจำเป็นต้องอาศัยเทคนิคการฉีดอย่างมาก โดยแพทย์จะเน้นฉีดลดกล้ามเนื้อกรามลงแค่บริเวณส่วนล่างของกล้ามเนื้อตรงแนวกระดูกกราม รวมไปถึงใช้ปริมาณยูนิตที่เหมาะสม ไม่เยอะจนเกินไป เท่านี้ก็จะสามารถช่วยลดโอกาสเกิดแก้มตอบจากการฉีดโบลดกรามได้

       

      ทำไมฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว แล้วเป็นก้อน?

      • หลังจากการฉีดโบลดกรามเพื่อปรับหน้าเรียว บางคนอาจรู้สึกถึงการเป็นก้อนในบริเวณกราม ซึ่งเกิดจากการที่โบที่ฉีดไปยังกล้ามเนื้อกรามต้องใช้เวลาในการกระจายตัวและทำงาน โดยเฉพาะในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกที่ผลลัพธ์ยังไม่สมบูรณ์ เมื่อกล้ามเนื้อเริ่มคลายตัวและยุบลง ก้อนที่เกิดขึ้นจะค่อย ๆ ลดลงเองจนเห็นผลลัพธ์สุดท้ายใน 2-4 สัปดาห์หลังการฉีด

       

      การฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ดูเรียวสวยขึ้น อีกทั้งยังเหมาะกับคนที่มีกล้ามเนื้อบริเวณกรามใหญ่ นอกจากการฉีดโบลดกรามเพื่อปรับให้รูปหน้าเรียวเล็กแล้ว ยังมีการฉีดโบลิฟกรอบหน้า เพื่อให้ใบหน้าดูเรียวกระชับ กรอบหน้าชัดขึ้นได้เช่นกัน ทั้งนี้ก่อนตัดสินใจเลือกฉีดโบลดกราม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพใบหน้า และเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีจากการฉีดโบลดกราม

      ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ก่อนฉีดต้องรู้อะไรบ้าง?

      ฉีดโบหน้าผากต้องรู้อะไรบ้าง

      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




        วันที่สะดวกในการติดต่อ








        ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ก่อนฉีดต้องรู้อะไรบ้าง?

         

        เมื่ออายุที่เพิ่มมากขึ้น ปัญหาผิวที่คนส่วนมากต้องพบเจอคือ ปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่นบริเวณหน้าผาก เป็นหนึ่งในปัญหาริ้วรอยที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังเกิดจากการแสดงสีหน้า จนทำให้เกิดริ้วรอยเล็ก ๆ ขึ้น เมื่อเกิดริ้วรอยบนหน้าผาก ทำให้ใบหน้าไม่สดใส ดูมีอายุ หมดความมั่นใจ ซึ่งวิธีแก้ไขปัญหาริ้วรอยที่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด คือ การฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย 

         

        ในบทความนี้รมย์รวินท์คลินิกจะมาแนะนำเรื่องของการฉีดโบหน้าผากว่า การฉีดโบหน้าผากคืออะไร ฉีดโบหน้าผากช่วยอะไร ก่อนและหลังฉีดโบหน้าผากต้องดูแลตัวเองอย่างไร รวมทุกเรื่องของการฉีดโบหน้าผากที่ต้องรู้ก่อนฉีด

         

        ฉีดโบหน้าผาก ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ฉีดครั้งแรกต้องรู้อะไรบ้าง 

         

        ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย คืออะไร?

         

        การฉีดโบหน้าผาก คือ การฉีดสารโออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นสารสกัดจากแบคทีเรียชื่อ คลอสตริเดียม โบลูทินัม เข้าไปออกฤทธิ์เพื่อยับยั้งเซลล์ประสาทไม่ให้ผลิตสาร อะซีติลโคลีน เป็นสารที่ทำหน้าที่สั่งให้กล้ามเนื้อยืดและหด ส่งผลลัพธ์ให้กล้ามเนื้อคลายตัวชั่วคราว เมื่อฉีดโบลดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก จะไม่เกิดริ้วรอยย่น เวลาแสดงสีหน้า เช่น ขมวดคิ้ว เลิกคิ้ว เป็นต้น ทำให้ผิวบริเวณหน้าผากเรียบเนียนขึ้น

        ข้อดีของการฉีดโบหน้าผาก
        ข้อดีของการฉีดโบหน้าผาก

        ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย ดีอย่างไร?

        • ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย เป็นหัตถการที่แก้ไขปัญหาริ้วรอยได้อย่างตรงจุด และช่วยลดริ้วรอยบริเวณอื่น ๆ ได้ เช่น หางตา รอยขมวดระหว่างคิ้ว
        • ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย ช่วยให้บริเวณหน้าผากเรียบเนียนขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น
        • ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย สามารถชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ในอนาคต
        • ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย ใช้เวลาทำไม่นาน ไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีรอยแผล
        • ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย ผลลัพธ์อยู่ได้นานหลายเดือน และสามารถกลับมาฉีดซ้ำได้

         

        ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

        • ฉีดโบหน้าผาก ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยบริเวณหน้าผากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
        • ฉีดโบหน้าผาก ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยบริเวณหน้าผากในอนาคต
        • ฉีดโบหน้าผาก ช่วยแก้ปัญหาร่องพับ ร่องลึก ที่เกิดจากการแสดงสีหน้า
        • ฉีดโบหน้าผาก ช่วยลดริ้วรอยระหว่างคิ้ว หน้าผาก และลดรอยหางตาได้

         

        ฉีดโบหน้าผากเหมาะกับใคร
        ฉีดโบหน้าผากเหมาะกับใคร

        ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย เหมาะกับใคร?

        • ฉีดโบหน้าผาก เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยหน้าผาก เมื่อแสดงสีหน้าจะเห็นริ้วรอยชัด
        • ฉีดโบหน้าผาก เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยร่องลึกบริเวณหน้าผากชัดเจน แม้เวลาไม่ได้แสดงสีหน้า
        • ฉีดโบหน้าผาก เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยหน้าผาก โดยไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า
        • ฉีดโบหน้าผาก เหมาะกับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์หลังฉีดรวดเร็ว
        • ฉีดโบหน้าผาก เหมาะกับผู้ที่ไม่อยากมีริ้วรอยบริเวณหน้าผาก ต้องการป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ในอนาคต

         

        ฉีดโบหน้าผาก ไม่เหมาะกับใคร?

        • ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย ไม่เหมาะกับ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
        • ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีอาการแพ้โบลดริ้วรอย
        • ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย ไม่เหมาะกับ ผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
        • ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีผิวหนังอักเสบ หรือติดเชื้อในบริเวณที่ต้องการฉีด

        ริ้วรอยหน้าผากเกิดจากอะไร
        ริ้วรอยหน้าผากเกิดจากอะไร

         

        ริ้วรอยย่นบนหน้าผาก เกิดจากอะไร?

        ปัญหาของริ้วรอยย่นบนหน้าผาก เกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลักของปัญหานี้ คือ อายุที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากคอลลาเจนและชั้นไขมันเสื่อมสภาพ หรือ มีปริมาณของคอลลาเจนและไขมันลดน้อยลง จึงทำให้เกิดรอยย่น หรือรอยพับ จากการแสดงสีหน้า นอกจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้ผิวเสื่อมสภาพจนเกิดริ้วรอยก่อนวัย ดังนี้

        • การสูบบุหรี่ : ในบุหรี่มีสารที่เรียกว่า นิโคติน ซึ่งสารนี้ทำให้การไหลเวียนของเลือดช้าลง ทำให้ผิวบาง ผิวแห้ง และผิวหย่อนยาน จนทำให้เกิดริ้วรอยได้
        • การดื่มแอลกอฮอล์ : ทำให้ร่างกายขาดวิตามินบี ส่งผลเสียต่อผิวพรรณ เนื่องจากผิวมีความต้องการวิตามินบี การขาดวิตามินบีจะทำให้ผิวพรรณแห้งและเหี่ยวง่าย
        • รังสียูวีเอจากแสงแดด : ทำให้เซลล์เนื้อเยื่อของผิว หรือ คอลลาเจน เสื่อมสภาพเร็ว 

         

        วิธีแก้ปัญหาริ้วรอยย่นบนหน้าผากมีอะไรบ้าง?

         

        การแก้ปัญหาริ้วรอยย่นบนหน้าผาก ให้มีความเรียบเนียนขึ้นสามารถแก้ไขได้หลายวิธี ทั้งวิธีธรรมชาติ และวิธีการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งการฉีดโบหน้าผาก เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับแรก เพราะสามารถแก้ปัญหาริ้วรอยได้อย่างตรงจุด ส่วนวิธีแก้ปัญหาริ้วรอยบนหน้าผาก มีดังนี้

         

        • การลดริ้วรอยย่นบนหน้าผากแบบธรรมชาติ

        การลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผากแบบธรรมชาติ เป็นเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้า ด้วยการมาสก์หน้าจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น ว่านหางจระเข้ แตงกวา น้ำผึ้ง เป็นต้น ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื้นและลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ ได้ โดยแนะนำให้มาสก์ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออก ซึ่งวิธีนี้จะช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งหรือริ้วรอยเล็ก ๆ เท่านั้น 

         

        • การลดริ้วรอยย่นบนหน้าผาก ด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

        เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดริ้วรอยหน้าผากให้ลดน้อยลง ผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยต่อต้านริ้วรอย ลดริ้วรอย มักมีส่วนผสมของสารโคเอนไซม์ คิวเทน, กรดไฮยาลูรอน, ซาโปนิน และเพนทาเปปไทด์ เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเน้นการบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น เหมาะกับคนที่มีปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ และต้องการบำรุงผิวหน้า

         

        • การลดริ้วรอยย่นบนหน้าผาก ด้วยแผ่นแปะมาสก์หน้าผาก

        การแปะแผ่นมาสก์หน้าผาก เหมาะกับผู้ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว สามารถใช้แผ่นมาสก์แปะหน้าผากขณะหลับโดยไม่เสียเวลา ซึ่งแผ่นมาสก์หน้าผาก สามารถช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยย่นโดยการบังคับกล้ามเนื้อหน้าผาก ไม่ให้เกิดการเคลื่อนไหว  โดยแปะมาสก์หน้าผากทิ้งไว้อย่างน้อย 3 ชั่วโมง

         

        • การฉีดฟิลเลอร์ลดริ้วรอยย่นบนหน้าผาก

        การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ลดริ้วรอยย่นยับ คือการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอน มีคุณสมบัติช่วยกักเก็บน้ำในชั้นผิวหนัง เพิ่มความยืดหยุ่นใต้ผิวหนัง ช่วยลดเลือนริ้วรอย และผิวเรียบเนียนขึ้นได้ นอกจากนี้การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ยังช่วยแก้ปัญหา หน้าผากแบน หน้าผากยุบ หน้าผากบุ๋ม เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่อยากมีแผล และต้องการเติมเต็มร่องลึกที่เกิดจากการยุบตัวของบริเวณหน้าผาก สามารถเห็นผลลัพธ์ทันที เป็นวิธีการลดริ้วรอย และเติมเต็มหน้าผากที่อยู่ได้นาน 1 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์และการดูแลตัวเองในแต่ละบุคคล

         

        • เครื่องยกกระชับ ลดริ้วรอยย่นบนหน้าผาก

        เครื่องมือยกกระชับหย่อนคล้อย ที่สามารถลดเลือนริ้วรอยบริเวณหน้าผาก รวมถึงริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา ระหว่างคิ้ว ร่องแก้ม ร่องมุมปาก เหนียง ลำคอ รวมถึงช่วยยกกระชับปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น หลังทำยกกระชับจะเห็นผลลัพธ์ทันที 20-30% หลังจากนั้น 2-3 เดือนจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเต็มที่ เหมาะกับคนที่ต้องการยกกระชับแบบไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล และไม่ต้องพักฟื้น

         

        • การศัลยกรรมผ่าตัดดึงหน้า ลดริ้วรอยย่นบนหน้าผาก

        การผ่าตัดศัลยกรรมผ่าตัดดึงหน้า เป็นการผ่าตัดยกหนังหน้าผากและคิ้วขึ้นไปบริเวณตำแหน่งที่เหมาะสม โดยเป็นการผ่าตัดหนังศีรษะส่วนเกิน และตัดแต่งกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดรอยย่นบนหน้าผากและหัวคิ้วออก หรือใช้วัสดุทางการแพทย์ ที่มีลักษณะเป็นหมุดขนาดเล็ก ยึดกับผิวหนัง ลดริ้วรอย โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหนังศีรษะ เหมาะกับผู้ที่ต้องการดึงหน้าเพื่อความอ่อนเยาว์แบบถาวร

        ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย ยี่ห้อไหนดี?

         

        โบหน้าผาก ลดริ้วรอย ยี่ห้อ Allergan

         

        เป็นแบรนด์แรกที่นำการฉีดโบมาใช้ในวงการแพทย์ เพื่อการรักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท ก่อนที่จะถูกนำมาใช้เพื่อความงามในการลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า และลดกราม โดยมีการรับรองจาก U.S. FDA ซึ่งยืนยันถึงความปลอดภัย ซึ่งโบหน้าผากยี่ห้อ Allergan ผลิตโดยบริษัท Allergan จากประเทศสหรัฐอเมริกา โบยี่ห้อนี้มีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5% ซึ่งถือว่าเป็นระดับความบริสุทธิ์ที่สูงที่สุด เมื่อเทียบกับโบยี่ห้ออื่น ๆ ทำให้เหมาะสำหรับการลดริ้วรอยบนใบหน้า และปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ที่ได้สามารถอยู่ได้นาน 6-8 เดือน 

         

        จุดเด่นของโบหน้าผาก ยี่ห้อ Allergan

         

        •  มีความบริสุทธิ์สูงมากถึง 99.5%
        • โอกาสดื้อโบลดริ้วรอยน้อย
        • ยากระจายตัวแคบ ออกฤทธิ์ได้อย่างแม่นยำ

         

        โบหน้าผาก ลดริ้วรอย ยี่ห้อ Aestox

         

        โบหน้าผากยี่ห้อ Aestox เป็นโบหน้าผากจากประเทศเกาหลี ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก KFDA (อย. เกาหลี) และมีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5% จุดเด่นของโบหน้าผากยี่ห้อ Aestox คือผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เมื่อเทียบกับโบอื่น ๆ ของเกาหลี การฉีดโบหน้าผาก Aestox ต่อเนื่องจะช่วยให้ผลลัพธ์การรักษาครั้งถัดไปมีความคงทนมากขึ้น และปริมาณที่ต้องการฉีดลดลง ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงขึ้นในระยะยาว

         

        จุดเด่นของโบหน้าผาก ลดริ้วรอย ยี่ห้อ Aextox

        • มีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5%
        • โอกาสดื้อโบหน้าผากน้อย
        • ออกฤทธิ์ได้ไวและมีความอ่อนโยน
        • หลังฉีดเห็นผลลัพธ์ไว

        โบหน้าผาก ลดริ้วรอย ยี่ห้อ Dysport

        ผลิตจากประเทศอังกฤษ มีโมเลกุลขนาดเล็ก จุดเด่นคือตัวยามีการกระจายวงกว้าง เมื่อฉีดเข้าไปในบริเวณกล้ามเนื้อ จะไม่รวมตัวกันอยู่ในพื้นที่แคบ เหมาะกับการฉีดเพื่อลิฟกรอบหน้า หรือฉีดยกกระชับด้วยเทคนิค Dermolift และสามารถฉีดบริเวณกล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ เช่น ฉีดโบลดต้นแขน ฉีดโบลดน่อง ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 4-6 เดือน 

         

        จุดเด่นของโบหน้าผาก ยี่ห้อ Dysport

         

        • มีความบริสุทธิ์สูง
        • โอกาสดื้อโบลดริ้วรอยน้อย
        • ยากระจายตัวกว้าง ไม่ทำให้หน้าแข็งจนเกินไป

         

        โบหน้าผาก ลดริ้วรอย ยี่ห้อ Xeomin 

         

        ผลิตโดยบริษัท MERZ PHARMA GMBH & CO. KGaA จากประเทศเยอรมนี มีโมเลกุลขนาดเล็กเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น ๆ แต่ยังคงประสิทธิภาพการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท เพราะใช้กระบวนการผลิต XTRACT Technology™ ในการกำจัดโปรตีนที่ไม่จำเป็นออก ทำให้ขนาดโมเลกุลมีขนาดเล็กลง ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 4-6 เดือน

         

        จุดเด่นของโบหน้าผาก ลดริ้วรอย ยี่ห้อ XEOMIN 

        • มีความบริสุทธิ์สูง
        • ใช้เทคโนโลยีเฉพาะ XTRACT Technology
        • สามารถฉีดในเคสดื้อโบลดริ้วรอยตัวอื่น ๆ ได้
        • โอกาสดื้อโบลดริ้วรอยน้อย
        • ยากระจายตัวดี ฉีดแล้วไม่ตึงจนเกินไป

         

        โบหน้าผาก ลดริ้วรอย ยี่ห้อ Nabota

         

        เป็นโบหน้าผากจากประเทศเกาหลีใต้ ผลิตโดยบริษัท DAEWOONG และเป็นโบจากเกาหลียี่ห้อเดียวที่ได้รับการรับรองจาก U.S. FDA ตั้งแต่ปี 2018 ด้วยการพัฒนาให้มีการออกฤทธิ์ที่รวดเร็ว และมีความบริสุทธิ์สูง ทำให้เห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงหลังการฉีดอย่างชัดเจน แม้ผลลัพธ์จะไม่ยาวนานเท่าโบจากอเมริกา ซึ่งโบหน้าผากยี่ห้อ Nabota เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเห็นผลลัพธ์เร็ว โดยผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน

         

        จุดเด่นของโบหน้าผาก ยี่ห้อ Nabota

         

        • มีความบริสุทธิ์สูง 98.7%
        • มีการใช้เทคโนโลยีเฉพาะ HI-PURE Technology
        • มีโอกาสดื้อโบลดริ้วรอยน้อย
        • ยาออกฤทธิ์ไว

         

        ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย การดูแลตัวเองก่อน-หลังอย่างไร?

         

        เตรียมตัวก่อนฉีดโบหน้าผาก
        เตรียมตัวก่อนฉีดโบหน้าผาก

         

        การดูแลตัวเองก่อนฉีดโบหน้าผาก

        • ก่อนฉีดโบหน้าผาก ควรศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวกับการฉีดโบหน้าผาก
        • ก่อนฉีดโบหน้าผาก ควรเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ และความปลอดภัย
        • ก่อนฉีดโบหน้าผาก ควรใช้โบหน้าผากแท้ ผ่านการรับรองจาก อย. เท่านั้น
        • ก่อนฉีดโบหน้าผาก ควรงดยาในกลุ่มที่ลดการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแก้ปวด เป็นต้น
        • ก่อนฉีดโบหน้าผาก งดสครับหน้า 2-3 วันก่อนฉีด เพื่อลดความเสี่ยงของอาการเขียวช้ำ
        • ก่อนฉีดโบหน้าผาก หากมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

         

        ขั้นตอนการฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย

        • ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการประเมินสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
        • แพทย์จะเลือกยี่ห้อของโบลดหน้าผาก ให้เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล
        • แพทย์จะเริ่มฉีดโบหน้าผากในตำแหน่งที่ต้องการรักษา โดยใช้ระยะเวลา 30 นาทีโดยประมาณ
        • หลังจากแพทย์ฉีดโบหน้าผากเสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะแนะนำข้อควรปฏิบัติตัวดูแลตัวเองหลังฉีดโบหน้าผาก ทั้งนี้ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อคงผลลัพธ์ให้นานที่สุด

         

        ดูแลตัวเองหลังฉีดโบหน้าผาก
        ดูแลตัวเองหลังฉีดโบหน้าผาก

         

        การดูแลตัวเองหลังฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย

        • หลังฉีดโบหน้าผาก ควรขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด 1-2 ครั้ง จะทำให้ตัวยาที่ฉีดเข้าไปกระจายได้ทั่วกล้ามเนื้อหน้าผาก
        • หลังฉีดโบหน้าผาก ห้ามนอนราบ ห้ามนอนตะแคง และห้ามก้มหน้า 3-4 ชั่วโมง
        • หลังฉีดโบหน้าผาก หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ส่งผลให้หน้าแดง เช่น ปั่นจักรยาน คาร์ดิโอ วิ่ง เป็นต้น
        • หลังฉีดโบหน้าผาก หลีกเลี่ยงการโดนความร้อนทุกชนิด เช่น การทำซาวน่า การใช้น้ำอุ่นล้างหน้า ประมาณ 2-4 สัปดาห์หลังฉีดโบหน้าผาก
        • หลังฉีดโบหน้าผาก งดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์ 
        • หลังฉีดโบหน้าผาก งดการกด การนวด หรือการถู บริเวณที่ฉีด เพราะจะทำให้ตัวยากระจายไปยังกล้ามเนื้อบริเวณอื่น
        • หลังฉีดโบหน้าผาก สามารถทำความสะอาดใบหน้าและใช้ครีมบำรุงผิวหน้าได้ตามปกติ
        • หลังฉีดโบหน้าผาก งดอาหารหมักดอง อาหารรสจัด เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์
        • หลังฉีดโบหน้าผาก หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด  ควรทาครีมกันแดด SPF 50 PA+++ก่อนออกข้างนอกทุกครั้ง
        • หลังฉีดโบหน้าผาก ควรฉีดโบหน้าผากต่อเนื่องในระยะเวลาที่เหมาะสม แต่ควรเว้นระยะห่าง 3 เดือน เป็นอย่างต่ำ ไม่ควรฉีดถี่จนเกินไป

         

        ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย กับคำถามพบบ่อย

         

        ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย ใช้กี่ยูนิต?

         

        • การฉีดโบหน้าผาก จะใช้โบหน้าผากประมาณ 30 ยูนิต โดยในแต่ละเคสอาจใช้ปริมาณของการฉีดโบหน้าผากไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาริ้วรอยในแต่ละบุคคล 

         

        ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย เจ็บไหม?

         

        • ก่อนฉีดโบหน้าผาก สามารถเลือกได้ว่าต้องการแปะยาชาหรือไม่ ในกรณีที่เลือกแปะยาชานั้น จะต้องแปะยาชาทิ้งไว้ก่อนฉีดประมาณ 30-45 นาที และจะมีการประคบเย็นก่อนฉีด เพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บจากการฉีดโบหน้าผาก

         

        ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย กี่วันเห็นผลลัพธ์?

         

        • ปกติการฉีดโบหน้าผาก ผิวจะเริ่มตึงขึ้นในช่วง 3-4 วัน และเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงชัดเจนหลังฉีด ใช้ระยะเวลา 1-2 สัปดาห์

         

        ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย อยู่ได้นานกี่เดือน?

         

        ผลลัพธ์จากการฉีดโบหน้าผาก จะอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของโบที่เลือกใช้ รวมถึงการดูแลหลังการฉีด เมื่อฤทธิ์ของโบเริ่มหมด สามารถฉีดซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้น โบจะสลายไปเองตามธรรมชาติ 100% โดยไม่เหลือสารตกค้างในร่างกาย ทำให้เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับการลดเลือนริ้วรอยหน้าผาก

        ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย อันตรายไหม?

         

        การฉีดโบหน้าผากต้องฉีดในบริเวณที่ใกล้ส่วนสำคัญของใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณดวงตา เพราะฉะนั้นการฉีดโบหน้าผากจำเป็นต้องฉีดกับแพทย์ที่มีความชำนาญการเท่านั้น ซึ่งหลักการฉีดโบหน้าผากที่ปลอดภัย มีดังนี้

        • เลือกคลินิกที่ได้รับมาตรฐานความปลอดภัย และมีความน่าเชื่อถือ มีทีมแพทย์ที่ความชำนาญการสูง และสถานที่ตั้งของคลินิกหรือสถานพยาบาลต้องมีความสะอาด อยู่ในจุดที่สังเกตได้ง่าย
        • เลือกแพทย์ที่มีความชำนาญการด้านการฉีดโบหน้าผาก แพทย์ต้องสามารถประเมินกล้ามเนื้อบริเวณที่ต้องการฉีดได้ หากฉีดไม่ตรงจุดอาจจะเห็นผลลัพธ์ช้าและอยู่ได้สั้นลง รวมไปถึงควรหลีกเลี่ยงเทคนิคของการฉีดที่ไม่ได้เข้าไปในกล้ามเนื้อโดยตรง เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการดื้อยาได้ 
        • ตรวจสอบโบหน้าผากแท้หรือไม่ ก่อนฉีดโบหน้าผาก ควรศึกษาวิธีตรวจสอบโบหน้าผากแท้ไว้เบื้องต้น เพื่อตรวจสอบให้มั่นใจว่าโบหน้าผากที่เลือกนำมาฉีดนั้นเป็นโบหน้าผากแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย. 

         

        ฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย มีผลข้างเคียงไหม?

         

        หลังจากการฉีดโบหน้าผาก จะมีผลข้างเคียงเล็กน้อย ซึ่งไม่เป็นอันตราย แต่บางคนอาจมีผลข้างเคียงที่ไม่ปกติ หากไม่ได้ฉีดโบหน้าผากที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยผลข้างเคียงปกติและผลข้างเคียงผิดปกติของการฉีดโบหน้าผาก มีดังนี้

         

         ผลข้างเคียงปกติ

        • หลังฉีดโบหน้าผากจะรู้สึกตึง ๆ บริเวณที่ฉีด 
        • มีรอยแดง รอยเขียวช้ำ บริเวณที่ฉีด เป็นรอยช้ำเข็มที่สามารถพบได้โดยทั่วไป 

         

        ผลข้างเคียงที่ผิดปกติ

        • หากฉีดโบหน้าผากแล้วรู้สึกเจ็บหรืออักเสบในบริเวณที่ฉีด หรือมีอาการบวมแดง ติดเชื้อ อาการนี้เกิดได้จากโบหน้าผากที่ไม่ได้มาตรฐาน
        • ใบหน้าดูหน้าแข็ง ไม่เป็นธรรมชาติ ขยับใบหน้าได้ลำบาก เกิดจากการใช้ปริมาณโบหน้าผากมากเกินความเหมาะสม ในบางกรณีอาจมีอาการปวดหัวร่วมด้วย

         

        หลังฉีดโบหน้าผาก ลดริ้วรอย มีอาการอะไรบ้าง?

         

        • โดยปกติทั่วไปอาการหลังจากฉีดโบหน้าผาก อาจมีความรู้สึกตึงเล็กน้อย นับเป็นอาการปกติ แต่ในบางรายอาจมีอาการปวดหัว อาการนี้อาจเกิดจากการแพ้โบลดริ้วรอย ซึ่งมักพบได้น้อยมาก หากมีอาการดังกล่าวควรอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ในกรณีที่หลังฉีดโบหน้าผากแล้วรู้สึกตึงมากจนเกินไป อาจเกิดจากการที่แพทย์ใช้ปริมาณของโบลดริ้วรอยมากเกินไป เพราะฉะนั้นควรฉีดโบหน้าผากกับแพทย์ที่มีความชำนาญการเท่านั้น

         

        ฉีดโบหน้าผากแล้วปวดหัว เกิดจากอะไร?

         

        • ในบางกรณีฉีดโบหน้าผากอาจมีอาการปวดหัวได้ ซึ่งอาการนี้เกิดจากการแพ้โบหน้าผาก ควรได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด

         

        ฉีดโบหน้าผากตึงมากเกินไป ทำอย่างไร?

         

        • การฉีดโบหน้าผากจนตึงเกินไป อาจเกิดจากการที่แพทย์ใช้ปริมาณโบหน้าผากมากเกินไป ควรเลือกฉีดโบหน้าผากกับแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น เพื่อการคำนวณปริมาณของโบหน้าผากที่เหมาะสมในแต่ละบุคคล

         

        เสริมหน้าผากมา สามารถฉีดโบหน้าผากได้ไหม?

         

        • กรณีคนที่เสริมหน้าผากมาจนหายดีปกติแล้ว สามารถฉีดโบหน้าผากได้ เนื่องจากการฉีดโบหน้าผากจะฉีดเข้าไปบริเวณชั้นกล้ามเนื้อที่อยู่บนผิวหนังชั้นตื้น ซึ่งเป็นคนละชั้นกับซิลิโคนหน้าผาก ซึ่งการฉีดโบหน้าผากไม่ได้ฉีดลงลึกไปถึงชั้นซิลิโคน

         

        สรุปเรื่องของโบหน้าผาก ลดริ้วรอย

         

        ปัญหาของการเกิดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก เกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น และเกิดจากการแสดงสีหน้า จนทำให้เกิดรอยพับและริ้วรอยบริเวณหางตา การฉีดโบหน้าผากจึงเป็นทางเลือกอันดับต้น ๆ ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาริ้วรอยบริเวณหน้าผาก รอยหางตา รวมไปถึงช่วยทำให้รูขุมขนกระชับมากขึ้นอีกด้วย

         

        สำหรับใครที่กำลังต้องการฉีดโบหน้าผาก ควรหาศึกษาข้อมูลของคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน และควรศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวกับการฉีดโบหน้าผากทั้งหมด เนื่องจากการฉีดบริเวณหน้าผากใกล้กับจุดสำคัญอย่างเช่น บริเวณดวงตา เพราะฉะนั้นก่อนตัดสินใจเลือกฉีดโบหน้าผาก ควรปรึกษากับแพทย์ผู้มีความรู้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุด

        ฉีดโบหางตา ช่วยอะไรบ้าง ดียังไง ตาแข็งจริงไหม

        โบหางตา แก้ปัญหาริ้วรอยโดยไม่ต้องผ่าตัด

        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




          วันที่สะดวกในการติดต่อ








          ฉีดโบหางตา แก้ปัญหาริ้วรอยหางตา เห็นผลลัพธ์ชัดเจน แบบไม่ต้องผ่าตัด

          ปัญหาริ้วรอยรอบบริเวณดวงตา และริ้วรอยหางตา เป็นปัญหาที่ใครหลายคนต้องเจอเมื่อมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น ในบางกรณีมีปัญหาถุงใต้ตาร่วมด้วย ยิ่งทำให้ใบหน้าดุ และใบหน้าดูมีอายุมากกว่าเดิม ซึ่งวิธีแก้ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตาและหางตาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ “การฉีดโบหางตา” เป็นหัตถการที่ช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด เกิดการคลายตัวชั่วคราว ช่วยรักษาริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา รวมไปถึงริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา และริ้วรอยหางตา ซึ่งเห็นผลลัพธ์ภายใน 5-7 วัน 

           

          ในบทความนี้จะมาแนะนำเรื่องของการฉีดโบหางตา เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่อยากยกหางตา แก้ปัญหาริ้วรอย พร้อมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการฉีดโบหางตาทั้งหมด ที่ทุกคนจำเป็นต้องรู้ก่อนฉีด

           

          ฉีดโบหางตา ลดริ้วรอยรอบดวงตา แก้ตาตก เห็นผลลัพธ์ชัดเจน 

           

          ฉีดโบหางตา ยกหางตา ลดริ้วรอย คืออะไร?

           

          การฉีดโบหางตา เป็นหัตถการที่ใช้สารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อในการลดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา โดยเฉพาะรอยหางตาและริ้วรอยเล็ก ๆ ที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเมื่ออายุมากขึ้น สารของโบจะช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด ทำให้ริ้วรอยลดลงและผิวดูเรียบตึงขึ้น 

           

          ริ้วรอยหางาเกิดจากอะไร
          ริ้วรอยหางาเกิดจากอะไร

           

          ริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา รอยหางตา เกิดจากอะไร?

          สาเหตุส่วนใหญ่ของปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา มาจากคอลลาเจน อีลาสติน และกรดไฮยาลูรอนิกในผิวนั้นลดลง และสารต้านอนุมูลอิสระทำลายเซลล์ผิว ทำให้ผิวเริ่มเสื่อมและหย่อนคล้อยลง ซึ่งเกิดจากการสะสมของน้ำและไขมันที่มากขึ้น

           

          ปัญหาริ้วรอยหางตา ริ้วรอยรอบดวงตา อาจไม่ได้เกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นอย่างเดียว แต่อาจเกิดได้จากปัจจัยอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น พฤติกรรมที่ชอบขยี้ตาแรง ๆ  การแสดงอารมณ์ทางสีหน้า รวมไปถึงผิวหนังที่ถูกทำลายด้วยแสงแดดและการสูบบุหรี่

           

          นอกจากนี้ การระคายเคืองของผิวหนังรอบดวงตา อาการภูมิแพ้จากสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ล้วนแต่จะมีส่วนที่ทำให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตาได้ชัดเจนมากขึ้น แต่ในกรณีที่มีริ้วรอยรอบดวงตาที่เกิดจากการทรุดตัวของกระดูก จนทำให้มองเห็นเบ้าตาลึก ตาโหล มีร่องใต้ตา ซึ่งปัญหานี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดโบหางตาอย่างเดียว จำเป็นต้องฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อเข้าไปช่วยปรับใบหน้าโดยรวม ให้กลับมาดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ 

           

           

          โบหางตา ช่วยลดริ้วรอยได้อย่างไร?

           

          เมื่อฉีดโบหางตา แพทย์จะทำการฉีดตัวยาเข้าไปสู่บริเวณกล้ามเนื้อส่วนที่ต้องการ โดยตัวยาแยกออกเป็น 2 ส่วน

          1. ส่วนที่ถูกดูดซึมเข้าไปเก็บไว้ในเซลล์ประสาท เป็นส่วนที่จะเข้าไปออกฤทธิ์กับระบบประสาท
          2. ส่วนที่ไม่ถูกดูดซึม เป็นส่วนที่ไปตามกระแสของเลือด และถูกขับออกจากร่างกายตามธรรมชาติ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์อื่น ๆ ในเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงหลังฉีดโบ

           

          เมื่อฉีดโบหางตา ส่วนของตัวยาที่ถูกดูดซึมเข้าไปในเซลล์ประสาท โดยจะเข้าไปออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อทำงานลดลงชั่วคราว เมื่อกล้ามเนื้อไม่ได้ทำงาน ทำให้ไม่มีการดึงรั้งผิวหนังชั้นบนให้ย่นหรือพับ ช่วยลดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นการฉีดโบหางตาตั้งแต่อายุน้อย จะช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้ไม่เกิดรอยพับ หรือรอยย่น ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้ ทำให้เห็นผลลัพธ์ได้ดีกว่าคนที่ฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย ในตอนที่อายุเยอะแล้ว

           

           

          ฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย ฉีดตำแหน่งไหน?

           

          ตำแหน่งในการฉีดโบหางตา ในแต่ละบุคคลนั้นอาจจะไม่เหมือนกัน เนื่องจากในแต่ละบุคคลมีลักษณะปัญหาที่แตกต่างกัน แพทย์จะทำการประเมินเบื้องต้นก่อน ถึงจะกำหนดตำแหน่งของการฉีดโบหางตาได้ โดยทั่วไปตำแหน่งที่ฉีดหลัก ๆ ดังนี้

          1. บริเวณหางตา : จุดฉีดโบหางตาสำหรับลดริ้วรอยหางตา ลดรอยพับหางตา
          2. บริเวณหน้าผาก : จุดฉีดโบหน้าผากสำหรับลดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก
          3. บริเวณระหว่างคิ้ว : จุดฉีดโบลดริ้วรอยระหว่างคิ้ว

          สำหรับกรณีที่มีปัญหาหางตาตก หางคิ้วตก แพทย์จะทำการฉีดโบคลายกล้ามเนื้อทั้ง 3 บริเวณให้ทำงานน้อยลง เพื่อจำกัดพื้นที่ตรงกลางระหว่างกล้ามเนื้อหน้าผาก และกล้ามเนื้อตา ซึ่งการฉีดโบเพื่อล็อกพื้นที่ทั้ง 3 บริเวณนี้ จำเป็นต้องฉีดโดยแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น

           

          โบหางตา ช่วยอะไร
          โบหางตา ช่วยอะไร

          ฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย ช่วยอะไร?

          • ฉีดโบหางตา ช่วยลดริ้วรอยย่นใต้ตา และบริเวณหางตา
          • ฉีดโบหางตา ช่วยให้ดวงตาดูกลมโตขึ้น ใบหน้าสดใสกว่าเดิม
          • ฉีดโบหางตา ปรับรูปทรงตาให้ดูเฉี่ยว
          • ฉีดโบหางตา ช่วยยกหางตาตก แก้ปัญหาตาตก
          • ฉีดโบหางตา ช่วยปรับโหงวเฮ้งให้ดูดีขึ้น

           

          ฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย เหมาะกับใคร?

          • ฉีดโบหางตา เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาหนังตาตก ผิวบริเวณดวงตาหย่อนคล้อย 
          • ฉีดโบหางตา เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา 
          • ฉีดโบหางตา เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณใต้ตา
          • ฉีดโบหางตา เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับใบหน้าให้สดใสมากขึ้น
          • ฉีดโบหางตา เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจเวลาแสดงสีหน้า เช่น ยิ้ม หัวเราะ 

           

          ฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร?

          • ฉีดโบหางตาแก้ ผ่านการรับรองจาก อย. ไทย และมีความปลอดภัยสูง
          • ฉีดโบหางตา ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
          • ฉีดโบหางตา สามารถช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้าให้อ่อนเยาว์ขึ้น
          • ฉีดโบหางตา สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว

           

          ข้อเสียของการฉีดโบหางตา

          • ฉีดโบหางตา ผลลัพธ์อยู่ไม่ถาวร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโบหางตาที่เลือกใช้
          • การฉีดโบหางตา หากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ หรือแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ อาจเกิดผลข้างเคียง หรือผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ

           

          ฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย ยี่ห้อไหนดี?

          การเลือกโบยกหางตา ลดริ้วรอย เป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากมีหลายยี่ห้อที่มีคุณสมบัติและผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน โดยในปัจจุบันมีโบยกหางตาที่ได้รับการรับรองจากอย.ไทยมากมาย เช่น Allergan, Dysport, Nabota และ Aestox เป็นต้น ซึ่งแต่ละยี่ห้อจะมีจุดเด่นเฉพาะตัวที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้แตกต่างกันไป ดังนี้

           

          โบหางตา ลดริ้วรอย ยี่ห้อ Allergan (โบสหรัฐอเมริกา)

           

          Allergan เป็นบริษัทต้นตำรับของโบลดริ้วรอย ที่มีงานวิจัยรองรับยาวนานที่สุด กว่า 3,500 งานวิจัย ตั้งแต่ปี 1989 เป็นโบลดริ้วรอยที่ผ่านการพัฒนา เพื่อลดโอกาสดื้อโบลดริ้วรอยน้อยที่สุด ทำให้ผลลัพธ์หลังฉีดดีที่สุดเมื่อเทียบกับโบลดริ้วรอยยี่ห้ออื่น 

          จุดเด่นของโบหางตา ลดริ้วรอย Allergan ให้ผลลัพธ์การรักษาที่แม่นยำที่สุด ยากระจายตัวแคบที่สุด ทำให้แพทย์สามารถคาดคะเนการออกฤทธิ์ของโบลดริ้วรอยได้อย่างแม่นยำ ทำให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด

           

          โบหางตา ลดริ้วรอย ยี่ห้อ Dysport (โบอังกฤษ)

           

          โบหางตา ลดริ้วรอย จากประเทศอังกฤษ ที่เน้นการพัฒนาตัวยาเพื่อลดโอกาสในการดื้อโบลดริ้วรอยน้อยลง และช่วยให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น จุดเด่นของโบหางตา ลดริ้วรอย ยี่ห้อ Dysport คือ ทำให้ตัวยากระจายตัวได้อย่างทั่วถึง ยามีความกระจายตัว

           

          ซึ่งโบหางตายี่ห้อ Dysport มีโมเลกุลที่เล็กกว่าโบหางตาบางยี่ห้อ ทำให้สามารถกระจายตัวได้กว้างและให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวบริเวณหางตา และลดเลือนริ้วรอยอย่างมีประสิทธิภาพ

           

          โบหางตา ลดริ้วรอย ยี่ห้อ Aestox (โบเกาหลี)

           

          โบหางตา ลดริ้วรอย จากประเทศเกาหลี ที่ได้รับการรับรองจากมาตรฐาน อย.เกาหลี (KFDA) มีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5% จุดเด่นของโบหางตา ลดริ้วรอยยี่ห้อ Aestox คือ ผลลัพธ์จะมีความเป็นธรรมชาติ เมื่อเทียบกับกลุ่มโบยี่ห้ออื่น ๆ จากประเทศเกาหลี เมื่อฉีดโบหางตา ลดริ้วรอยต่อเนื่อง จะช่วยให้ผลลัพธ์การฉีดครั้งต่อไปอยู่ได้นานมากขึ้น

           

          โบหางตา ลดริ้วรอย ยี่ห้อ Xeomin (โบเยอรมัน)

           

          โบหางตา ลดริ้วรอย จากประเทศเยอรมนี ที่พัฒนาเอาข้อดีของ Allergan กับ Dysport มารวมกัน โดยคุณสมบัติต่าง ๆ นั้น จะอยู่กึ่งกลางระหว่างสหรัฐอเมริกากับอังกฤษ คือมีความบริสุทธิ์สูง ตัวยากระจายตัวกว้าง ทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่แสดงว่าโบหางตา ลดริ้วรอย ยี่ห้อ Xeomin ได้ผลลัพธ์ดีในเคสที่ดื้อโบลดริ้วรอย ซึ่งเคสนั้นต้องหยุดการฉีดโบมาแล้วอย่างน้อย 2-3 ปี

           

          โบหางตา ลดริ้วรอย ยี่ห้อ Nabota (โบเกาหลี)

           

          โบหางตา ลดริ้วรอย จากประเทศเกาหลี เป็นโบยี่ห้อแรกและยี่ห้อเดียว ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (USFDA) และอย. ไทย มีความบริสุทธิ์สูงถึง 98.7% ทำให้มีความปลอดภัยและลดโอกาสในการดื้อยา ซึ่งโบหางตา ลดริ้วรอย ยี่ห้อ Nabota มีคุณสมบัติเด่นในการลดริ้วรอยรอบดวงตาและหางตาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 3-7 วันหลังการฉีด และผลลัพธ์จะชัดเจนขึ้นในระยะเวลา 14 วัน

           

          เตรียมตัวก่อนฉีดโบหางตา
          เตรียมตัวก่อนฉีดโบหางตา

          ฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย เตรียมตัวก่อนฉีดอย่างไร?

          • ก่อนฉีดโบหางตา งดสครับใบหน้าและขัดหน้า เป็นเวลา 2-3 วัน
          • ก่อนฉีดโบหางตา หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 3-7 วัน
          • ก่อนฉีดโบหางตา งดทานยา หรืออาหารเสริม ที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 2-3 วัน
          • ก่อนฉีดโบหางตา งดยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ ประมาณ 1 สัปดาห์
          • ก่อนฉีดโบหางตา หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่รับประทานประจำ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนฉีด
          • ก่อนฉีดโบหางตา หากมีคอร์สทำหน้า ควรทำก่อนฉีด เพราะหากทำหลังฉีดจะต้องรออีก 2 สัปดาห์
          • ก่อนฉีดโบหางตา ควรศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวกับโบแท้ และควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน

           

          ขั้นตอนการฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย

           

          • ก่อนฉีดโบหางตา ต้องปรึกษาแพทย์เพื่อทำการประเมินรูปหน้า สภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
          • แพทย์จะเลือกยี่ห้อของโบหางตา ลดริ้วรอย ให้เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล
          • แพทย์จะเริ่มฉีดโบหางตาในตำแหน่งที่ต้องการรักษา โดยใช้ระยะเวลา 30 นาทีโดยประมาณ
          • หลังจากแพทย์ฉีดโบหางตาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรรีบขยับเกร็งกล้ามเนื้อที่ฉีดทันที 1-2 ครั้ง
          • แพทย์จะแนะนำข้อควรปฏิบัติตัวดูแลตัวเองหลังฉีดโบหางตา ทั้งนี้ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อคงผลลัพธ์ให้ยาวนานที่สุด

           

          การดูแลตัวเองหลังฉีดโบหางตา
          การดูแลตัวเองหลังฉีดโบหางตา

          ฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย ดูแลตัวเองหลังฉีดอย่างไร?

          หลังฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย การปฏิบัติดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้โบออกฤทธิ์ได้ดีอย่างมีประสิทธิภาพ คงผลลัพธ์การรักษาได้นาน โดยมีแนวทางปฏิบัติดูแลตัวเองหลังฉีด ดังนี้

           

          หลังฉีดโบหางตา 3 ชั่วโมง

          • หลังฉีดโบหางตา ไม่ควรประคบเย็น เนื่องจากจะขัดขวางตัวยาเข้าเซลล์ประสาท
          • หลังฉีดโบหางตา ไม่ควรนอนราบ รวมถึงไม่ควรก้มต่ำกว่าระดับหัวใจ
          • หลังฉีดโบหางตา ไม่ควรจับ ลูบคลำ หรือนวดบริเวณที่ฉีด 

           

          หลังฉีดโบหางตา 24 ชั่วโมง

          • หลังฉีดโบหางตา สามารถทาครีมบำรุงผิวทับบริเวณเข็ม และสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ

           

          หลังฉีดโบหางตา 48 ชั่วโมง

          • หลังฉีดโบหางตา ควรหลีกเลี่ยงอาหารและความร้อน เช่น การอบซาวน่า การทานชาบู การทานปิ้งย่าง

           

          หลังฉีดโบหางตา 2-3 วัน

          • เริ่มเห็นผลลัพธ์จากการฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย
          • หลังฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย สามารถเกิดผลข้างเคียง เช่น ปวดหัว คอแห้ง ซึ่งจะหายได้เองใน 2สัปดาห์

           

          หลังฉีดโบหางตา 7-10 วัน

          • หลังฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย อาจมีรอยเขียวช้ำหลงเหลืออยู่บ้าง จะค่อย ๆ หายได้เองใน 14 วัน และไม่ควรประคบร้อน

           

          หลังฉีดโบหางตา 14 วัน

          • เห็นผลลัพธ์จากการฉีดโบหางตา ลดริ้วรอยชัดเจนมากขึ้น
          • หลังฉีดโบหางตา สามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ
          • หลังฉีดโบหางตา ควรหลีกเลี่ยงการยิงเลเซอร์ ทำยกกระชับใบหน้า RF
          • หลังฉีดโบหางตา ควรฉีดต่อเนื่องในระยะเวลาที่เหมาะสม ไม่ฉีดโบถี่จนเกินไป

           

          ฉีดโบหางตา ยกหางตา กับวิธียกหางตาอื่น ๆ

           

          ปัญหาหางตาตก ริ้วรอยเยอะ นอกจากแก้ไขด้วยการฉีดโบยกหางตาแล้ว ยังมีวิธีทางการแพทย์อื่น ๆ ที่ช่วยยกหางตา แก้ปัญหาหางตาตกได้ โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าวิธีไหนเหมาะสม แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดที่สุด โดยวิธียกหางตาอื่น ๆ มีดังนี้

           

          • Ultraformer lll และ Ulthera SPT ยกกระชับผิวรอบดวงตาด้วยพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ยกคิ้ว ยกหางตา เหมาะสำหรับผู้ที่หางตาตกไม่มาก
          • Thermage FLX เป็นเทคโนโลยีกระชับผิวด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (RF) รุ่นที่พัฒนาล่าสุด ที่สามารถส่งพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นผิวได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ โดยอุปกรณ์จะปล่อยคลื่น RF ผ่านหัวทรีตเมนต์ลงสู่ผิวหนังชั้นลึก ความร้อนที่เกิดขึ้นจะกระตุ้นให้เส้นใยคอลลาเจนที่มีอยู่เดิมหดตัว พร้อมกับกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง
          • ร้อยไหมยกหางตา ช่วยให้หางตายกขึ้นทันทีหลังทำ เหมาะกับคนที่หางตาตกมาก และหนังตาหย่อนคล้อยจนชั้นตาปิด วิธีนี้ให้ผลลัพธ์ดีเทียบเท่ากับการผ่าตัด แต่ใช้เวลาทำน้อยกว่า และไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น
          • ผ่าตัดยกหางตา ช่วยปรับรูปตา ยกหางตาให้สูงขึ้น เป็นวิธีที่สามารถกำหนดระดับความสูงของหางตาได้เท่าที่ต้องการ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหางตาตกมาก หลังทำต้องใช้เวลาในการพักฟื้น

           

          ฉีดโบหางตา ที่ไหนดี
          ฉีดโบหางตา ที่ไหนดี

           

          ฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย ที่ไหนดี?

          1. ฉีดโบหางตากับคลินิกที่ได้มาตรฐาน  ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข  มีเลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก
          2. คลินิกควรตั้งอยู่ในทำเลที่ปลอดภัย สะอาด และกว้างขวาง เช่น ห้างสรรพสินค้า อาคารพาณิชย์
          3. ฉีดกับแพทย์ที่มีใบรับรอง สามารถนำชื่อ-นามสกุล เข้าไปตรวจสอบในเว็บไซต์ของแพทยสภาได้ และควรฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ฉีดโบหางตามาก่อน
          4. ใช้โบหางตาแท้เท่านั้น ควรศึกษาวิธีดูโบหางตาแท้เบื้องต้น 
          5. ดูรีวิวฉีดโบหางตาจากผู้ที่เคยใช้บริการจริง ในแหล่งที่น่าเชื่อถือเท่านั้น

           

          ฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย กับคำถามพบบ่อย

          คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับ โบหางตา
          คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับ โบหางตา

          ฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย เจ็บไหม?

          • การฉีดโบหางตา เป็นหัตถการไม่น่ากลัวอย่างที่หลายคนกังวล จะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยแบบอดทนได้ ในกรณีที่กลัวเจ็บมาก ๆ สามารถทายาชาและประคบน้ำแข็งเพื่อบรรเทาความเจ็บได้

           

          ฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย ใช้กี่ยูนิต?

          • การฉีดโบหางตา โดยปกติจะใช้ปริมาณของตัวยาประมาณ 25 ยูนิต ทั้งนี้ปริมาณของโบหางตาที่ใช้ขึ้นอยู่กับปัญหาของในแต่ละบุคคล รวมไปถึงกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดในแต่ละบุคคลด้วย ซึ่งแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสม เพื่อผลลัพธ์ของการรักษาที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ

           

          ฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย กี่วันถึงเห็นผล?

          • การฉีดโบหางตาจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ในช่วง 3-4 วัน และจะรู้สึกได้ว่าผิวบริเวณหางตาตึง กระชับขึ้นได้ชัดเจนเต็มที่ในช่วงประมาณ 14 วัน 

           

          ฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย ต้องฉีดซ้ำไหม อยู่ได้นานเท่าไหร่?

          • การฉีดโบหางตา ต้องฉีดซ้ำทุก 3-4 เดือนเพื่อรักษาผลลัพธ์ เนื่องจากโบหางตาไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ถาวร หลังฉีดโบหางตาจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ในช่วง 3-4 วัน และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ประมาณ 14 วัน ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองในแต่ละบุคคล และควรเว้นระยะห่างการฉีดโบหางตาแต่ละครั้ง ประมาณ 2 เดือนเป็นอย่างน้อย เพราะอาจจะเสี่ยงกับการดื้อโบ และกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดฝ่อและบางลง

           

          ฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย อันตรายไหม?

          • การฉีดโบหางตา ไม่เป็นอันตราย หากฉีดด้วยโบแท้ กับแพทย์ที่มีความชำนาญการ ในคลินิกที่มีมาตรฐาน ในกรณีที่ฉีดโบหางตาแล้วอันตรายนั้น คือการฉีดยาหิ้วกับหมอกระเป๋า ไม่ควรฉีดโบหางตากับหมอกระเป๋าเด็ดขาด เนื่องจากตัวยาจำเป็นต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสม หากไม่ได้เก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสม จะทำให้คุณภาพตัวยาคุณภาพลดลง

           

          ฉีดโบหางตา ลดริ้วรอย มีผลข้างเคียงไหม?

          • ผลข้างเคียงของการฉีดโบหางตาที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยทั่วไป คือ จะมีรอยเข็มจากการฉีดโบหางตา และอาจมีอาการเมื่อยบริเวณกล้ามเนื้อที่ฉีดในช่วงแรก สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

           

          ฉีดโบหางตา มีอะไรที่ต้องระวังก่อนฉีดบ้าง?

          • การฉีดโบหางตาต้องฉีดโดยใช้โบแท้ที่ได้มาตรฐาน ผ่านอย. และนำเข้ามาอย่างถูกต้องเท่านั้น หากใช้โบหางตาปลอม หรือไม่ได้มีการผสมตัวยาให้ดูต่อหน้า ฉีดแล้วอาจไม่ได้ผลลัพธ์ หรือตัวยากระจายไปบริเวณกล้ามเนื้อส่วนที่ไม่ต้องการ
          • ควรฉีดโบหางตากับแพทย์ที่มีประสบการณ์ สามารถประเมินบริเวณที่ต้องการฉีด และปริมาณตัวยาที่ฉีดได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม หากใช้โบหางตาไม่เพียงพอ หรือน้อยเกินไป จะทำให้รูปทรงคิ้วเปลี่ยนได้

           

          โดยสรุปแล้ว การฉีดโบหางตาเป็นวิธีที่ช่วยลดริ้วรอยบริเวณหางตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น การฉีดโบในจุดนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยแบบไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ใช้ระยะเวลาในการทำไม่นาน เห็นผลลัพธ์ชัดเจนอย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกสถานพยาบาลหรือคลินิกที่มีความรู้และใช้โบหางตาที่มีคุณภาพ เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัย ใครที่กำลังกังวลหรือลังเลว่า ฉีดโบหางตา ดีไหม แนะนำให้เข้ามาปรึกษากับทางรมย์รวินท์คลินิก เพื่อประเมินสาเหตุของริ้วรอย และวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล

          HArmonyCa Filler คืออะไร ต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปอย่างไร เหมาะกับใคร

          HArmonyCa Filler

          HArmonyCa Filler เป็นสารเติมเต็มชนิดใหม่ล่าสุดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ในกลุ่มที่เป็น Hybrid Dermal Fillers ที่มีคุณสมบัติทั้งในการเติมเต็มผิวด้วยการช่วยกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสร้างคอลลาเจนโดยธรรมชาติที่บริเวณใต้ชั้นผิวและยังช่วยเติมเต็มใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูสวยมีมิติ ทำครั้งเดียวได้ประโยชน์ถึงสองด้าน จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวคงความอ่อนเยาว์ได้อย่างยาวนานกว่าการฉีดฟิลเลอร์แบบเดิม ๆ โดยเฉพาะการลดเลือนริ้วรอยและยกกระชับผิวหน้า ไม่เพียงเท่านั้นยังมีส่วนประกอบของ Lidocaine (ลิโดเคน) หรือยาชาที่ทำให้การฉีดมีความเจ็บหรือปวดในระหว่างการรักษาที่น้อยลง ทำให้รู้สึกสบายมากขึ้น

           

          ทำความรู้จัก HArmonyCa Filler ว่าดียังไง ต่างจากฟิลเลอร์อื่น ๆ ยี่ห้อทั่วไปอย่างไร

          HArmonyCa Filler
          ส่วนประกอบที่โดดเด่นของ HArmonyCa Filler

          HArmonyCa Filler คืออะไร

           

          HArmonyCa Filler เป็น สารเติมเต็มไฮบริดแบบดูอัลเอฟเฟกต์ที่รวมที่มีส่วนประกอบเด่นๆ 2 ชนิด ที่ช่วยทั้งการเติมเต็มและการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว โดยประกอบด้วย

          • ไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) 70% ในรูปแบบ Crosslinked
          • แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) 30%

           

          ไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA)

          สารที่มีอยู่ในร่างกาย และร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้เองโดยธรรมชาติ อยู่ในชั้นผิวหนังแท้ เป็นโมเลกุลของน้ำตาลชนิดหนึ่ง ที่รู้จักกันภายใต้ชื่อ polysaccharide ซึ่งร่างกายของคนเราจะสามารถผลิต ไฮยาลูรอนิกแอซิด ได้น้อย และช้าลง เมื่อมีอายุที่มากขึ้น ทั่วไปแล้วจะเริ่มลดน้อยลงเมื่อเข้าวัย 20 ปีเป็นต้นไป

           

          แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA)

           

          เป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายของคนเรา จัดเป็นสารที่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย และเข้ากันกับร่างกายได้เป็นอย่างดี ช่วยในการฟื้นฟู แก้ไข รวมทั้งเติมเต็มในส่วนบกพร่องของผิวหนัง โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังหรือร่างกาย

           

          ซึ่งคอลลาเจนที่สร้างขึ้นโดย HArmonyCa Filler  นั้น สามารถคงสภาพอยู่ใต้ชั้นผิวได้ยาวนานถึง 12 เดือนจึงทำให้  HArmonyCa Filler ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในต่างประเทศ อีกทั้งยังมีความปลอดภัยสูง และยังได้รับการรับรองจาก อย. หรือ องค์การอาหารและยาของประเทศไทยแล้ว

          การทำงานของ HArmonyCa Filler 

           

          คือการที่ตัวยาจะเข้าไปยกพยุงผิวได้ทันทีหลังจากฉีดเข้าสู่ผิวหน้า ทั้งยังช่วยเติมเต็ม ร่องลึกและริ้วรอยให้ตื้นและดูเรียบเนียนขึ้น ทำให้ใบหน้าภาพรวมดูอ่อนเยาว์ ดูเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ หลังจากเติมเต็มเรียบร้อยแล้ว สาร แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) จะเริ่มทำงาน โดยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ช่วยสร้างเส้นใยคอลลาเจน รวมทั้งอีลาสติน ขึ้นมาทดแทนคอลลาเจนใต้ผิวหนังที่สูญเสียไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น และเมื่อผิวหนังเกิดการสร้างคอลลาเจนแล้ว จะทำให้ใบหน้าหรือบริเวณที่ฉีดไป มีความตึงกระชับ รวมทั้งยังมีคุณภาพผิวที่ดีมากยิ่งขึ้นด้วย โดย HArmonyCa Filler สามารถคงอยู่ใต้ผิวได้นาน 1-3 ปี ตามแต่การดูแลของแต่ละบุคคล

           

          หลังการฉีด HArmonyCa Filler เข้าสู่ผิวจะช่วยในการปรับปรุงโครงสร้างของผิวทำให้เกิดการยกกระชับผิวจาก HAได้ใน ทันทีและให้ผลลัพธ์ด้านการยกกระชับผิวแบบยั่งยืนจากการผลิตคอลลาเจนขึ้นใหม่ด้วยสาร CaHA นั่นเอง

          ชื่อ HArmonyCa Filler คืออะไรมาจากไหน?

          HArmonyCa Filler  นั้นเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นจากส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ ที่มีตัวย่อของ HA และ CA อันมาจากกรดตัวย่อของ Hyaluronic Acid  ไฮยาลูรอนิก หรือ (HA) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในการเป็นส่วนประกอบสำคัญของการผลิตสารเติมเต็ม ส่วนคำว่า “Ca” นั้นมาจากตัวย่อของ Calcium Hydroxyapatite ที่อยู่ซึ่งเป็นอีกส่วนประกอบหลักสำคัญ ของตัวยาชนิดนี้ เมื่อรวมส่วนประกอบทั้งสองอย่างนี้เข้าด้วยกันในผลิตภัณฑ์เดียว บริษัท  Allergan จึงตั้งชื่อขึ้นมาใหม่ให้มีความกลมกลืนและสมดุล กลายเป็นชื่อ HArmonyCa ซึ่งเป็นชื่อที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังบ่งบอกถึงสารประกอบหลักสำคัญของผลิตภัณฑ์ได้อย่างชัดเจน

           

          HArmonyCa Filler เติมจุดใดบนใบหน้าได้บ้าง?

          1. HArmonyCa Filler สามารถฉีดบริเวณโหนกแก้ม  (Zygomatic arch)
          2. HArmonyCa Filler สามารถฉีดบริเวณของขากรรไกรล่าง (Ramus of mandible)
          3. HArmonyCa Filler สามารถฉีดบริเวณแนวขากรรไกร (Mandibular line)

          จะเห็นได้ว่า HArmonyCa Filler เหมาะกับการนำมาเติมบริเวณกรอบหน้าเพื่อสร้างคอลลาเจน ให้มีความคมชัด ทำให้ใบหน้ามีความยกกระชับและให้คุณภาพผิวที่ดีขึ้น

           

          HArmonyCa Filler
          ข้อดีของ HArmonyCa Filler

          ข้อดีของ HArmonyCa Filler 

           HArmonyCa Filler เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยสูง

          • เนื่องจาก  HArmonyCa Filler ได้ ผ่านการทดสอบและได้การรับรองจากหน่วยงานความงามในหลายประเทศ รวมทั้งอย.จากประเทศไทย ไม่อันตรายเนื่องจากเป็นการใช้สารที่เข้ากันกับโครงสร้างผิวตามธรรมชาติ HArmonyCa และจะยิ่งมี ความปลอดภัยสูงขึ้นไปอีกขั้น เมื่อใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้มีความรู้ความสามารถและความเข้าใจในผลิตภัณฑ์

           HArmonyCa Filler ให้ผลลัพธ์หลังฉีดในทันทีและยังเป็นผลลัพธ์ที่ยาวนาน

          • เมื่อฉีดการฉีด HArmonyCa Filler เข้าสู่ชั้นผิว  HArmonyCa Filler  จะเริ่มทำงานในด้านการเติมเต็มทันที ซึ่งเป็นผลลัพธ์จาก HA คือการเติมเต็มผิวและยังช่วยในการทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น  จากนั้น CaHA จะเริ่มทำงานโดยการช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ส่งผลให้ผลลัพธ์คงอยู่นาน 

           HArmonyCa Filler การยกกระชับผิว

          • HArmonyCa Filler มีประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวหน้าได้เป็นอย่างดี จึงมีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งกับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยที่ต้องการยกกระชับ ในบริเวณ แนวกราม กรอบหน้า และแก้ม HArmonyCa Filler จะสามารถช่วยปรับรูปหน้าและช่วยยกกระชับผิวให้ได้รูปที่ชัดเจนขึ้น

          HArmonyCa Filler ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน 

          • HArmonyCa Filler นอกจากการช่วยเติมเต็มริ้วรอยในทันทีแล้ว HArmonyCa ยังช่วยมีความยืดหยุ่นอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งหลังทำ HArmonyCa Filler จะเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อฉีดไปประมาณ 1-2 เดือนเมื่อผิวเกิดการสร้างคอลลาเจน

          HArmonyCa Filler ปรับโครงหน้าได้ดี

          • HArmonyCa Filler ช่วยยกกระชับกรอบหน้า แก้ม และคางได้ดี เนื่องจากมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และยังเป็นการช่วยเสริมโครงสร้างผิวหน้าในระยะยาว

           

          ข้อเสียของ HArmonyCa Filler

          HArmonyCa Filler ไม่เหมาะกับบริเวณที่เคลื่อนไหวบ่อย

          • HArmonyCa Filler อาจไม่เหมาะสมในการฉีดบริเวณเช่น ริมฝีปากหรือใต้ตาที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง HArmonyCa เพราะมีส่วนประกอบ CaHA ทำให้บริเวณที่เคลื่อนไหวบ่อยมีความตึงมากกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป

          HArmonyCa Filler อาจทำให้เกิดอาการบวมแดงได้มากกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป

          • เพราะ HArmonyCa Filler มีส่วนประกอบเป็น CaHA ที่ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ในบางคนมีอาการบวม แดง หรือเกิดอาการตึงได้นานกว่าการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไปเล็กน้อย

           

          HArmonyCa Filler
          HArmonyCa Filler เหมาะกับใคร

          การรักษาด้วย HArmonyCa Filler เหมาะกับใคร?

          1. HArmonyCa Filler เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาแก้มหย่อนคล้อย
          2. HArmonyCa Filler เหมาะกับ ผู้ที่มีร่องแก้มลึก
          3. HArmonyCa Filler เหมาะกับ ผู้ที่มีเหนียง ต้องการลดเหนียง
          4. HArmonyCa Filler เหมาะกับ ผู้ที่มีขมับและใต้ตาลึก
          5. HArmonyCa Filler เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับ
          6. HArmonyCa Filler เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า
          7. HArmonyCa Filler เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาผิว
          8. HArmonyCa Filler เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าและยกกระชับ
          9. HArmonyCa Filler เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่คงทนและยาวนานกว่าการฉีดฟิลเลอร์

          ใครที่ไม่เหมาะกับ  HArmonyCa Filler

          1. HArmonyCa Filler ไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้หรือไวต่อสารในฟิลเลอร์
          2. HArmonyCa Filler ไม่เหมาะกับผู้ที่ผู้ที่มีปัญหาผิวอักเสบหรือติดเชื้อในบริเวณที่ต้องการฉีด
          3. HArmonyCa Filler ไม่เหมาะกับผู้ที่มีสิวอักเสบ ผิวหนังอักเสบ
          4. HArmonyCa Filler ไม่เหมาะกับผู้ที่สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
          5. HArmonyCa Filler ไม่เหมาะกับผู้ที่ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่ส่งผลต่อการสมานแผลหรือการสร้างคอลลาเจน
          6. HArmonyCa Filler ไม่เหมาะกับผู้ที่ผู้ที่ต้องการเติมเต็มบริเวณที่ต้องการความยืดหยุ่นสูงและเคลื่อนไหวบ่อย

           

          HArmonyCa Filler
          การเตรียมตัวก่อนฉีด HArmonyCa Filler

          การเตรียมตัวก่อนฉีด HArmonyCa Filler

          การเตรียมตัวก่อนฉีด HArmonyCa Filler นั้นมีความสำคัญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและยังเป็นการลดความเสี่ยงของอาการข้างเคียงหลังการฉีด HArmonyCa Filler ดังนั้นจึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดดังนี้

          1. ก่อนฉีด HArmonyCa Filler ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิด

          • HArmonyCa Filler ควรงดการรับประทานยาที่จะส่งผลให้เลือดไหลออกง่าย เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน, ยาต้านการอักเสบอื่น ๆ และอาหารเสริมที่มีผลต่อลิ่มเลือด (เช่น วิตามินอี, น้ำมันปลา) เป็นต้น ประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนฉีด HArmonyCa Filler  เพื่อป้องกันการเกิดรอยฟกช้ำหรือเลือดออกง่าย
          • หากมีความจำเป็นจะต้องรับประทานยาใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์ผู้ทำการรักษาก่อนหยุดยา

          2. ก่อนฉีด HArmonyCa Filler ควรงดแอลกอฮอล์และบุหรี่

          • งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 1-2 วันก่อนการฉีด HArmonyCa Filler  เนื่องจากอาจทำให้ผิวแห้งและช้ำง่ายขึ้น ทั้งยังก่อให้เกิดการอักเสบได้อีกด้วย

          3. ก่อนฉีด HArmonyCa Filler ควรดูแลสุขภาพผิว

          • ก่อนฉีด HArmonyCa Filler ควรรักษาผิวหน้าให้มีความสะอาดและแข็งแรง เพื่อไม่ให้ผิวระคายเคืองหรือติดเชื้อหลังการฉีด HArmonyCa Filler 

          4. ก่อนฉีด HArmonyCa Filler ควรนอนหลับให้เพียงพอและดื่มน้ำให้มาก

          • การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอและการดื่มน้ำอย่างเหมาะสม ช่วยให้ร่างกายและผิวแข็งแรง ทำให้HArmonyCa Filler สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่

          5. ก่อนฉีด HArmonyCa Filler ควรงดการแต่งหน้าวันที่ฉีด

          • ในวันที่จะฉีด HArmonyCa Filler ควรหลีกเลี่ยงการแต่งหน้า เพื่อให้ผิวสะอาดและพร้อมรับการฉีด ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ หรือหากไม่ได้งดการแต่งหน้า ที่รมย์รวินท์คลินิกมีการทำความสะอาดใบหน้าก่อนฉีด HArmonyCa Filler อยู่แล้ว

           

          ขั้นตอนการฉีด HArmonyCa Filler 

          1. ปรึกษาแพทย์และวางแผนการรักษาด้วย HArmonyCa Filler 

          • แพทย์ผู้รักษาจะทำการประเมินรูปหน้าและความต้องการของคนไข้ อย่างละเอียด พร้อมทั้งอธิบายผลลัพธ์ที่คาดหวังหลังจากกการฉีด HArmonyCa Filler  
          • แพทย์ผู้รักษาจะตรวจสอบประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการใช้ยาของคนไข้ เพื่อให้แน่ใจว่าคนไข้สามารถเข้ารับการฉีด HArmonyCa Filler ได้อย่างปลอดภัย

          2. การทำความสะอาดใบหน้าและฆ่าเชื้อ ก่อนฉีด HArmonyCa Filler 

          • ก่อนการฉีด HArmonyCa Filler ผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดใบหน้าในบริเวณที่ต้องการฉีด HArmonyCa Filler ให้สะอาด เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อหลังการฉีด HArmonyCa Filler 

          3. ทายาชาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บจากการฉีด HArmonyCa Filler 

          • ถึงแม้ว่า HArmonyCa Filler จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของยาชา แต่คนไข้ผู้เข้ารับบริการสามารถทายาชาก่อนฉีดเพิ่มเติม เพื่อให้รู้สึกสบายและลดอาการเจ็บในระหว่างฉีด HArmonyCa Filler ได้ โดยแจ้งได้ที่ผู้ช่วยแพทย์

          4. แพทย์ทำการฉีด HArmonyCa Filler 

          • แพทย์จะทำการฉีด HArmonyCa Filler ลงไปในชั้นผิวที่เหมาะสม ในบริเวณที่ต้องการแก้ปัญหา  เพื่อการเติมเต็มและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ โดยจะต้องทำโดยแพทย์ที่มีความแม่นยำในด้านชั้นผิวหนัง จึงจะทำการฉีด HArmonyCa Filler อย่างแม่นยำเพื่อปรับรูปหน้าให้ได้ตามที่ต้องการ

          5. ทำความสะอาด และห้ามเลือด

          • ผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดใบหน้า ห้ามเลือดและแปะพลาสเตอร์ปิดรอยเข็มให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันสิ่งสกปรกลงบนแผล

           

          HArmonyCa Filler
          การดูแลตัวเองหลังฉีด HArmonyCa Filler

          การดูแลตัวเองหลังทำ HArmonyCa Filler

          1. หลังทำ HArmonyCa Filler ควรหลีกเลี่ยงการกดหรือสัมผัสบริเวณที่ฉีด

          • ห้ามกด นวด หรือจับบริเวณที่ฉีด HArmonyCa Filler ในช่วง 1–2 สัปดาห์แรก เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของตัวยา HArmonyCa Filler และเพื่อให้เกิดการคงตัวที่ชั้นผิว

          2. หลังทำ HArmonyCa Filler ควรงดการแต่งหน้าและควรทำความสะอาดผิวเบา ๆ

          • ในวันแรกหลังการฉีด HArmonyCa Filler ควรหลีกเลี่ยงการแต่งหน้า เพื่อป้องกันการอุดตันที่รอยเข็ม และควรทำความสะอาดผิวหน้าอย่างเบามือ โดยเฉพาะบริเวณที่ทำการฉีด HArmonyCa Filler 

          3. หลังทำ HArmonyCa Filler ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกหรืออุณหภูมิสูง

          • ควรงดการออกกำลังกายหนัก ซาวน่า อบไอน้ำ รวมทั้งการทำกิจกรรม ที่ทำให้เหงื่อออกมากทั้งยังควรงดอยู่ในที่อุณหภูมิสูงในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังทำ HArmonyCa Filler เพราะอาจทำให้เกิดการบวมและเกิดอาการอักเสบ

          4. งดการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่หลังทำ HArmonyCa Filler

          • การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ในช่วง 1–2 วันแรกหลังทำ HArmonyCa Filler อาจทำให้เลือดไหลเวียนมากขึ้น ซึ่งการไหลเวียนของเลือดนั้นจะทำให้โอกาสในการเกิดรอยฟกช้ำและทำให้การฟื้นฟูของผิวช้าลง

          5. สามารถประคบเย็นเพื่ออาการลดบวมหลังทำ HArmonyCa Filler 

          • หากมีอาการบวมหลังฉีด HArmonyCa Filler สามารถใช้การประคบเย็นเบา ๆ ในบริเวณที่ฉีด HArmonyCa Filler ได้ เพื่อเป็นการลดอาการบวมรวมทั้งยังช่วยรอยแดงได้ด้วย

          6.นอนในท่าที่เหมาะสมหลังทำ HArmonyCa Filler 

          • การทำการฉีด HArmonyCa Filler เป็นการฉีดสารเติมเต็ม ดังนั้น การทำให้สารเติมคงสภาพ ไม่เคลื่อนที่การนอนในท่าที่เหมาะสมเป็นการป้องกันการกดทับบริเวณที่ฉีด และคงสภาพสารเติมเต็มและยังช่วยลดอาการบวมได้อีกด้วย

          7. ดื่มน้ำให้มาก ๆ หลังทำ HArmonyCa Filler

          • การดื่มน้ำมาก ๆ ช่วยให้ Hyaluronic Acid ทำงานได้ดีขึ้น ฟู และพองตัวได้มากขึ้น เนื่องจากเป็นสารที่สามารถดูดซับน้ำได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญจะทำให้ผลลัพธ์หลังการฉีดดูอิ่มฟูได้มากขึ้น

          8. งดทรีตเมนต์ใบหน้าหรือหัตถการอื่น ๆ หลังทำ HArmonyCa Filler

          • ควรงดการทำเลเซอร์ การผลัดเซลล์ผิว หรือทรีตเมนต์ใด ๆ หลังทำ HArmonyCa Filler บนใบหน้าอย่างน้อย 1–2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันเกิดการระคายเคืองและการอักเสบในบริเวณที่ฉีด

           

          เปรียบเทียบ HArmonyCa Filler กับ Filler หรือสารเติมเต็มชนิดอื่น ๆ

          HArmonyCa Filler กับ Filler 

          HArmonyCa Filler แตกต่างจากฟิลเลอร์ สารเติมเต็มชนิดอื่น ๆ ที่ฟิลเลอร์ชนิดอื่น ๆ เป็น Hyaluronic Acid (HA) แต่ HArmonyCa Filler เป็นสารที่ผสมผสานระหว่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) จึงให้ซึ่งให้ผลลัพธ์ ทั้งเติมเต็มในทันทีและในระยะยาว 

          • ฟิลเลอร์ (Filler)

          ใช้ Hyaluronic Acid (HA) เป็นส่วนประกอบหลัก HA จะเติมเต็มผิวและช่วยให้ความชุ่มชื้นและเติมเต็มริ้วรอยได้ทันทีหลังฉีด ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและเรียบเนียน ฟิลเลอร์ทั่วไปจะไม่มีคุณสมบัติกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างชัดเจน คงผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6–12 เดือน

          • HArmonyCa Filler

          ใช้การผสมระหว่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งทำให้ HArmonyCa Filler ทำงานได้ในสองระยะด้วยกันคือ

          • ระยะสั้น ทำงานด้วย: HA คือการช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและยังช่วยเติมเต็มได้ในทันทีหลังฉีด
          • ระยะยาว ทำงานด้วย: CaHA คือช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวได้เองตามธรรมชาติ ทำให้ผิวดูแน่น อิ่มฟูกระชับและยืดหยุ่นขึ้นได้ด้วยในระยะยาว ถึงแม้ว่า HA ในผลิตภัณฑ์จะสลายตัวไปแล้ว ทำให้สามารถคงผลลัพธ์คงอยู่นานกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป ประมาณ 12–18 เดือน

          HArmonyCa Filler กับ Biostimulators 

          HArmonyCa Filler และ Biostimulators ต่างกันในด้านส่วนประกอบและคุณสมบัติในการทำงาน ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพและลักษณะของผลลัพธ์ 

          ส่วนประกอบหลักและคุณสมบัติการทำงาน

          • HArmonyCa Filler

          เป็นฟิลเลอร์ที่ผสมระหว่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ทำหน้าที่เติมเต็มผิวรวมทั้งให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวได้ในทันที ส่วน CaHA ทำหน้าที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ช่วยให้ผิวดูเติมเต็มและชุ่มชื้น อีกทั้งในระยะยาวยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวได้ คงผลลัพธ์อยู่ใต้ผิว ประมาณ 6–12 เดือน

          • Biostimulators 

          เป็นสารที่เน้นการกระตุ้นคอลลาเจนโดยตรง แต่จะไม่ได้ให้ผลลัพธ์ในการเติมเต็มทันทีแบบ HA หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบจากฟิลเลอร์

          Sculptra เป็นสารที่ผลิตจาก Poly-L-Lactic Acid (PLLA) มีในรูปแบบขวดที่ต้องนำมาผสม Sterile water ก่อนฉีด เป็นสารที่ ที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว โดยหลังทำ จะเห็นว่าผลลัพธ์ ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นใน 4-6 สัปดาห์ แต่จะสามารถคงสภาพใต้ผิวได้นาน 2-3 ปี

          Radiesse เป็น Biostimulators ที่ผลิตโดย Calcium Hydroxylapatite (CaHA) เป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ช่วยทำให้ผิวแน่นกระชับขึ้น คงผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี

           

          ควรทำ HArmonyCa Filler หรือไม่?

          ควรทำหากเป็นผู้มีความต้องการดีงนี้

          • ควรทำ HArmonyCa Filler หากต้องการผลลัพธ์ที่ดูเต็มอิ่ม ชุ่มชื้นทันที 
          • ควรทำ HArmonyCa Filler หากต้องการยกกระชับในระยะยาว
          • ควรทำ HArmonyCa Filler หากต้องการปรับโครงหน้า ยกกรอบหน้า
          • ควรทำ HArmonyCa Filler หากต้องการเพิ่มความแน่นกระชับให้ผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
          • ควรทำ HArmonyCa Filler หากต้องการผลลัพธ์ที่คงทนและยาวนาน โดยไม่ต้องฉีดซ้ำบ่อย ๆ

          ไม่ควรหากเป็นผู้มีข้อจำกัดดังนี้

          • ไม่ควรทำ HArmonyCa Filler หากต้องการเติมเต็มในบริเวณที่เคลื่อนไหวบ่อย เช่น ริมฝีปาก หรือใต้ตา 
          • ไม่ควรทำ HArmonyCa Filler หากต้องการฟิลเลอร์ที่ยืดหยุ่นสูง 
          • ไม่ควรทำ HArmonyCa Filler หากกำลังตั้งครรภ์ ให้นมบุตร 
          • ไม่ควรทำ HArmonyCa Filler หากมีปัญหาสุขภาพที่อาจส่งผลต่อการฟื้นตัว

          การฉีด HArmonyCa Filler อาจมีความแตกต่างกับการฉีดฟิลเลอร์ปกติ ผู้เข้ารับบริการอาจต้องทำความเข้าใจก่อนเข้ารับบริการ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นผลลัพธ์ที่ตรงตามต้องการ โดยการฉีดจะต้องปรึกษาแพทย์ผู้มีความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์เป็นอย่างดี เพื่อทำการประเมินผลลัพธ์ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อย่างเหมาะสมกับปัญหาบนใบหน้าที่สุด

          ฉีดโบเพื่ออะไร เห็นผลหรือไม่ ทำไมต้องฉีด ข้อควรรู้ในการฉีดโบ

          ฉีดโบ

           

          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




            วันที่สะดวกในการติดต่อ








            ฉีดโบลดริ้วรอยทั่วใบหน้าครั้งแรก ต้องรู้อะไรบ้าง? รวมเรื่องฉีดโบริ้วรอยต้องรู้ 

            เมื่อเทรนด์ดูแลตัวเองได้รับความนิยมอย่างมาก เป็นยุคสมัยใหม่ที่คนส่วนมากใส่ใจในเรื่องของสุขภาพและความงาม ทำให้กระแสเทรนด์ความงามได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ซึ่งเทรนด์ความที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันนี้คือ “ฉีดโบลดริ้วรอย” เป็นหัตถการแรกที่คนส่วนใหญ่เริ่มเข้าวงการความงาม เนื่องจากปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า เช่น ริ้วรอยหน้าผาก ริ้วรอยหางตา ริ้วรอยใต้ตา และริ้วรอยร่องแก้ม ซึ่งสาเหตุของริ้วรอยบนใบหน้าเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ การฉีดโบลดริ้วรอยจึงเป็นหัตถการที่แก้ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า ให้กลับมาเรียบเนียนและตึงกระชับมากขึ้น เห็นผลลัพธ์ได้เร็ว และไม่ต้องพักฟื้น ทั้งนี้การฉีดโบลดริ้วรอยจึงเป็นหัตถการอันดับแรกที่เหมาะสำหรับคนที่อยากลดริ้วรอยที่สุด

            ฉีดโบลดริ้วรอยทั่วใบหน้า ต้องรู้อะไรบ้าง? รวมเรื่องฉีดโบริ้วรอยที่มือใหม่ต้องรู้ 

             

            ฉีดโบลดริ้วรอย คืออะไร ?

            การฉีดโบลดริ้วรอย เป็นการนำสารพิษที่ได้จากแบคทีเรียที่มีถึง 7 ชนิดด้วยกัน มีคุณสมบัติออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ มีความปลอดภัย ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. ช่วยเรื่องลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า ปรับใบหน้าให้เรียวเล็กลง และสามารถใช้เพื่อการรักษาโรคต่าง ๆ เช่น ออฟฟิศซินโดรม ไมเกรน ได้อีกด้วย

            ฉีดโบ
            ฉีดโบทำงานอย่างไร

            ฉีดโบลดริ้วรอย ทำงานอย่างไร ?

            • การทำงานของฉีดโบลดริ้วรอย เป็นสารพิษที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท โดยจะรบกวนระบบประสาทให้ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาท ทำให้กล้ามเนื้อขาดการรับรู้การสั่งงานจากเซลล์ประสาท ส่งผลให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้ตามปกติ ซึ่งหลักการทำงานของการฉีดโบลดริ้วรอย ทำให้มีการฉีดโบเพื่อการลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าบริเวณหน้าผาก หางตา ระหว่างคิ้ว รวมไปถึงช่วยลดขนาดของกล้ามเนื้อรูปหน้า ทำให้ใบหน้าดูเรียวเล็กลงอีกด้วย

            ฉีดโบลดริ้วรอย เลือกยี่ห้อไหนดี ?

            • ปัจจุบันประเทศไทยมีการนำเข้าโบลดริ้วรอยหลากหลายยี่ห้อที่ได้รับความนิยม ซึ่งในแต่ละยี่ห้อมีความแตกต่างกันออกไป ที่รมย์รวินท์คลินิกมียี่ห้อโบลดริ้วรอยทั้งหมด 5 ยี่ห้อ ดังนี้

            ฉีดโบลดริ้วรอยยี่ห้อ Allergan

            • ฉีดโบลดริ้วรอย Allergan เป็นแบรนด์ฉีดโบลดริ้วรอยที่แรกที่คิดค้นนำการฉีดโบเข้ามาใช้ในวงการแพทย์ เพื่อการรักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท ในปัจจุบันการฉีดโบลดริ้วรอยจึงนำมาเพื่อใช้ในการลดเลือนริ้วรอย ปรับรูปหน้า ลดกราม และเป็นแบรนด์โบลดริ้วรอยแรกที่ได้รับการรับรองจาก U.S. FDA ซึ่งผลิตโดยบริษัท Allergan ประเทศสหรัฐอเมริกา

            จุดเด่นของฉีดโบลดริ้วรอย Allergan มีความบริสุทธิ์มากถึง 99.5% สูงที่สุด เมื่อเทียบกับฉีดโบลดริ้วรอยยี่ห้ออื่น ๆ จึงเหมาะสำหรับการฉีดโบเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า และปรับหน้าเรียวเล็ก อีกทั้งฉีดโบลดริ้วรอย Allergan โอกาสที่จะเกิดการดื้อยาเกิดขึ้นได้ยากเมื่อฉีดหลายครั้งในอนาคต เนื่องจากตัวยาไม่กระจายเป็นวงกว้าง ออกฤทธิ์ยาได้อย่างแม่นยำ ให้ผลลัพธ์ที่ตรงจุด ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-8 เดือน

            ฉีดโบลดริ้วรอยยี่ห้อ Dysport

            ฉีดโบลดริ้วรอย Dysport เป็นยี่ห้อที่ผลิตจากประเทศอังกฤษ มีโมเลกุลขนาดเล็ก  มีจุดเด่นคือตัวยามีการกระจายวงกว้าง เมื่อฉีดเข้าไปในบริเวณกล้ามเนื้อ จะไม่รวมตัวกันอยู่ในพื้นที่แคบ เหมาะกับการฉีดลิฟกรอบหน้า หรือฉีดยกกระชับด้วยเทคนิค Dermolift และฉีดบริเวณกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น ฉีดโบลดต้นแขน ฉีดโบลดน่อง ฉีดโบริ้วรอยหน้าผาก รวมไปถึงการฉีดโบลดกลิ่นตัว ฉีดโบลดเหงื่อ ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 4-6 เดือน 

            อีกจุดแตกต่างที่ทำให้ฉีดโบลดริ้วรอยยี่ห้อ Dysport มีความแตกต่างกับยี่ห้ออื่น คือ การนับจำนวนยูนิต โดยฉีดโบลดริ้วรอย Dysport 300 ยูนิต เทียบเท่ากับ 100 ยูนิตของฉีดโบลดริ้วรอยยี่ห้ออื่น ๆ 

            ฉีดโบลดริ้วรอยยี่ห้อ Xeomin 

            ฉีดโบลดริ้วรอยยี่ห้อ Xeomin ผลิตโดยบริษัท MERZ PHARMA GMBH & CO. KGaA จากประเทศเยอรมนี จุดเด่นคือมีโมเลกุลขนาดเล็กเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น ๆ แต่ยังคงประสิทธิภาพการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท เนื่องจากใช้กระบวนการผลิต XTRACT Technology™ ในการกำจัดโปรตีนที่ไม่จำเป็นออก ทำให้ขนาดโมเลกุลมีขนาดเล็กลง ทำให้ฉีดโบลดริ้วรอย Xeomin มีความบริสุทธิ์สูง

            ฉีดโบลดริ้วรอยยี่ห้อ Nabota

            ฉีดโบลดริ้วรอย Nabota ผลิตโดยบริษัท DAEWOONG จากประเทศเกาหลีใต้ โบลดริ้วรอยเกาหลียี่ห้อเดียวที่ผ่านการรับรองจาก U.S.FDA approved ปี 2018 จุดเด่นคือมีการพัฒนาเพื่อให้ออกฤทธิ์ไว มีความบริสุทธิ์สูง ทำให้เห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงหลังฉีดเร็ว แค่ผลลัพธ์นั้นอยู่ได้ไม่นานเท่ากับฉีดโบลดริ้วรอยของอเมริกา เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์เร็วและคนที่ต้องการลิฟกรอบหน้า

            ฉีดโบลดริ้วรอยยี่ห้อ Aestox

            ฉีดโบลดริ้วรอย Aestox  จากประเทศเกาหลี ที่ได้รับการรับรองจากมาตรฐาน อย.เกาหลี (KFDA) มีความบริสุทธิ์ถึง 99.5% จุดเด่นของการฉีดโบลดริ้วรอย Aestox คือ ผลลัพธ์จะมีความเป็นธรรมชาติ เมื่อเทียบกับกลุ่มฉีดโบลดริ้วรอยอื่น ๆ จากประเทศเกาหลี เมื่อฉีดโบลดริ้วรอยต่อเนื่อง จะช่วยให้ผลลัพธ์การฉีดครั้งต่อไปอยู่ได้นานมากขึ้นและปริมาณการฉีดลดน้อยลง

            ฉีดโบลดริ้วรอย แต่ละยี่ห้อแตกต่างกันอย่างไร ?

            ฉีดโบลดริ้วรอยมีจุดเด่นและความแตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อ ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการทำตัวยาให้มีความบริสุทธิ์ ขนาดของโมเลกุล (Molecule complex) ชนิดของโปรตีน (Protein complex) และความคงทนในการเก็บรักษาขนาดของโมเลกุล (Molecule complex size) คุณสมบัติเหล่านี้ที่ทำให้การฉีดโบลดริ้วรอยมีความแตกต่างกัน ดังนี้

            ขนาดของโมเลกุลในการฉีดโบลดริ้วรอย (Molecule complex size)

            ประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักด้วยกัน คือ

            1. ส่วนที่ 1 Accessories protein 

            ทำหน้าที่แพร่กระจายตัวยาและปกป้องส่วนของ Heavy chain และ ส่วนของ Light chain จากจุดที่ฉีดโบลดริ้วรอยไปยังปลายเส้นประสาท ได้อย่างปลอดภัยและไม่ถูกทำลาย ซึ่งขนาดของโมเลกุลที่ส่งผลต่อการแพร่กระจาย ดังนี้

            • โมเลกุลกระจายตัวแคบ : ข้อดีคือทำให้สามารถควบคุมการฉีดโบลดริ้วรอยออกมาแม่นยำ ตรงจุด เหมาะกับการฉีดโบลดริ้วรอยที่กล้ามเนื้อโดยตรง ซึ่งมีความเข้มข้นสูง ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น แต่การฉีดโบลดริ้วรอยชนิดนี้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นธรรมชาติ ต้องอาศัยแพทย์ที่มากประสบการณ์ เนื่องจากอาจเกิด ยิ้มแข็ง คิ้วกระดก แก้มตอบ ได้
            • โมเลกุลกระจายตัวกว้าง : เป็นการฉีดที่ช่วยให้ผลลัพธ์ของการฉีดโบลดริ้วรอยดูเป็นธรรมชาติ เหมาะกับเทคนิค Dermolift โดยมีข้อดี คือ ออกฤทธิ์ไว เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์การฉีดโบหน้ากระชับแบบรวดเร็ว และเหมาะกับการฉีดโบลดต้นแขน ลดน่องในบริเวณกว้าง 
            1. ส่วนที่ 2 Heavy chain 

            ทำหน้าที่พาส่วนของ Light chain เข้าสู่เซลล์เส้นประสาท

            1. ส่วนที่ 3 Light chain 

            เป็นส่วนหนึ่งของ สารที่ออกฤทธิ์ระงับการทำงานของกล้ามเนื้อ

            ความบริสุทธิ์ของโบลดริ้วรอย

            การฉีดโบลดริ้วรอย คือ โปรตีน (Protein) ชนิดหนึ่ง เมื่อฉีดโบลดริ้วรอยเข้าไปภายในร่างกาย จะสามารถสลายได้หมด 100% โดยไม่เป็นอันตราย แต่ในร่างกายของบางคน จะเกิดการสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา ทำให้เกิดการดื้อโบลดริ้วรอย เมื่อดื้อโบลดริ้วรอยจะทำให้ตัวยาที่ฉีดเข้าไปไม่ออกฤทธิ์

            ซึ่งการดื้อโบสามารถเกิดได้จาก Accessories protein, Heavy chain และ Light chain โดยปกติ  Light chain ในโบลดริ้วรอยจะมีความคล้ายคลึงกันทุกยี่ห้อ เพราะเป็นสารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อชนิดเอ เหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่สายพันธุ์เล็กน้อย ซึ่งส่วน Accessories protein และ Heavy chain แตกต่างกัน ดังนี้

            • โบลดริ้วรอยยี่ห้อ Allergan : มีงานวิจัยรับรองที่ยาวนานที่สุด กว่า 3,500 งานวิจัย (since 1989) จึงน่าเชื่อถือได้ว่าชนิดของโปรตีน (protein complex) ส่วน Accessories protein และ Heavy chain นี้ผ่านการพัฒนามาเพื่อทำให้โอกาสดื้อโบลดริ้วรอยน้อยที่สุด และผลการรักษาดีที่สุด เมื่อเทียบกับโบลดริ้วรอยยี่ห้ออื่น ๆ
            • โบลดริ้วรอยยี่ห้อ Xeomin : เป็นการพัฒนาข้อดีของยี่ห้อ Allergan กับ Dysport มามัดรวมกันโดยที่คุณสมบัติต่าง ๆ จะอยู่กึ่งกลาง มีความบริสุทธิ์สูง และตัวยาที่ไม่กระจุกตัวแคบมากจนเกินไป
            • โบลดริ้วรอยยี่ห้อ Dysport : เป็นการเน้นพัฒนาแค่ส่วน Heavy chain เท่านั้น โดยเชื่อว่า การลด Accessories protein จะทำให้โอกาสในการดื้อโบลดริ้วรอยน้อยลง และช่วยให้ในส่วนของ Light chain ออกฤทธิ์ระงับกล้ามเนื้อได้เร็วมากยิ่งขึ้น
            • โบลดริ้วรอยยี่ห้อ Nabota : จุดเด่นคือการเน้นให้ออกฤทธิ์เร็วกว่าโบลดริ้วรอยเกาหลียี่ห้ออื่นเล็กน้อย เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์โบลดริ้วรอยแบบเร่งด่วน รวดเร็ว
            ฉีดโบ
            ฉีดโบเหมาะกับใคร

            ฉีดโบลดริ้วรอย เหมาะกับใครบ้าง?

            ฉีดโบลดริ้วรอยเป็นหัตถการที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า และการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ เช่น ริ้วรอยหางตา ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก รวมไปถึงริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตาและรอบริมฝีปาก ป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ในอนาคต นอกจากนี้การฉีดโบลดริ้วรอยยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการยกคิ้ว ทำให้ดวงตาโตขึ้น แลดูอ่อนเยาว์ ซึ่งการฉีดโบลดริ้วรอย สามารถเห็นผลลัพธ์เร็ว ไม่ต้องพักฟื้นนาน และมีความปลอดภัยสูง

            ฉีดโบ
            ข้อดีของการฉีดโบ

            โบลดริ้วรอย มีข้อดีอย่างไร?

            ข้อดีของการฉีดโบลดริ้วรอย มีดังนี้

            • ฉีดโบลดริ้วรอย ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ ริ้วรอยดูจางลง เป็นหัตถการที่ใช้เวลาในการรักษารวดเร็ว หลังฉีดโบสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
            • ฉีดโบลดริ้วรอย ช่วยให้รูปลักษณ์และบุคลิกดูดีมากขึ้น เพิ่มความมั่นใจ เนื่องจากรอยเหี่ยวย่นยับบนใบหน้า เป็นการบ่งบอกถึงอายุที่เพิ่มมากขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้ใบหน้าไม่เรียบเนียนและไม่สดใส
            • ฉีดโบลดริ้วรอย ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต เนื่องจากการออกฤทธิ์ของโบลดริ้วรอยในช่วง 3-4 เดือน ทำให้สามารถป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ กล้ามเนื้อบนใบหน้าทำงานน้อยลง
            • ฉีดโบลดริ้วรอย ป้องกันการเกิดของริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ บนใบหน้า
            ฉีดโบ
            ฉีดโบตรงไหนได้บ้าง

            โบลดริ้วรอย ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?

            • ฉีดโบลดริ้วรอยหน้าผาก

            การฉีดโบลดริ้วรอยหน้าผาก ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่น ที่เกิดจากการแสดงสีหน้าและอารมณ์ ซึ่งการฉีดโบลดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก เป็นจุดที่ใกล้กับดวงตา หากฉีดไปถูกเส้นเลือด อาจเกิดอันตรายต่อดวงตาได้ ดังนั้นการฉีดโบลดริ้วรอยหน้าผาก ควรฉีดโดยแพทย์ที่มากประสบการณ์ และมีความชำนาญในเทคนิคการฉีดโบลดริ้วรอยหน้าผากที่ถูกต้อง

            • ฉีดโบลดริ้วรอยระหว่างคิ้ว

            ริ้วรอยระหว่างคิ้ว เป็นบริเวณที่เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นง่ายที่สุด และเป็นจุดสังเกตแรกที่คนส่วนใหญ่เห็นชัดเจน การฉีดโบลดริ้วรอยระหว่างคิ้วจะช่วยยับยั้งการหดตัว ทำให้ผิวหนังส่วนบนมีความเรียบเนียนขึ้น ซึ่งตำแหน่งบริเวณระหว่างคิ้วนั้น เป็นบริเวณที่มีเส้นประสาทจำนวนมาก เพื่อความปลอดภัย ควรฉีดโดยแพทย์ที่มากประสบการณ์ และมีความชำนาญในเทคนิคการฉีด

            • ฉีดโบลดริ้วรอยหางตา

            ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตาและหางตา เป็นปัญหาริ้วรอยที่เกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น หรืออาจมีปัญหาถุงใต้ตาร่วมด้วย ทำให้ใบหน้าดูมีอายุ ไม่สดใส ซึ่งการฉีดโบลดริ้วรอยหางตา จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเกิดการคลายตัวชั่วคราว สามารถช่วยให้ริ้วรอยลดลงได้

            • ฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตา

            บริเวณใต้ตาเป็นจุดที่เกิดริ้วรอยเล็ก ๆ ง่ายที่สุด และมักจะเกิดริ้วรอยก่อนบริเวณอื่น ๆ ใบหน้า การฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตาจะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาคลายตัวชั่วคราว ทำให้ริ้วรอยรอบบริเวณดวงตาลดลง ซึ่งการฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตานั้นหากฉีดใบปริมาณที่มากจนเกินไป

            • ฉีดโบลดร่องแก้ม

            ปัญหาร่องแก้ม มักเกิดจากการยิ้มบ่อย ๆ จนกล้ามเนื้อที่ดึงร่องแก้มแข็งแรงจนเกินไป ซึ่งการฉีดโบลดร่องแก้มไม่ควรแก้ด้วยการฉีดโบ 100% เนื่องจากทำให้การยิ้มดูแข็งและไม่เป็นธรรมชาติ แนะนำว่าให้ใช้ฉีดโบลดร่องแก้ม 50% และแก้ด้วยการเติมฟิลเลอร์เทคนิค Myomodulation จะช่วยให้ร่องแก้มตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เทคนิคนี้เรียกว่า การใช้ฟิลเลอร์ฉีดหนุนกล้ามเนื้อ หรือฉีดกดกล้ามเนื้อ สามารถควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อได้บางส่วน ทำให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติ และอยู่ได้นานมากกว่า

            • ฉีดโบลิฟกรอบหน้า

            การฉีดโบลิฟกรอบหน้า จะช่วยให้บริเวณกรอบหน้ามีความยกกระชับขึ้น ช่วยให้ใบหน้าคมขึ้น เพิ่มมิติให้แก่ใบหน้า โดยเทคนิคของการฉีดโบลิฟกรอบหน้ามีทั้งหมด 2 แบบด้วยกัน ดังนี้

            ฉีดโบ
            ฉีดโบต้องฉีดเท่าไร

            ฉีดโบลดริ้วรอย แต่ละจุดฉีดกี่ยูนิต ?

            การฉีดโบลดริ้วรอยในแต่ละบุคคลอาจใช้ปริมาณการฉีดโบที่ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับปัญหา ความต้องการ และการประเมินของแพทย์ ซึ่งการฉีดโบลดริ้วรอยตำแหน่งต่าง ๆ ใช้ปริมาณ ดังนี้

            • ฉีดโบลดริ้วรอย บริเวณหน้าผาก ใช้ประมาณ 30 ยูนิต
            • ฉีดโบลดริ้วรอย บริเวณระหว่างคิ้ว ใช้ประมาณ 25 ยูนิต
            • ฉีดโบลดริ้วรอย บริเวณหางตา ใช้ประมาณ 25 ยูนิต
            • ฉีดโบลิฟกรอบหน้า ใช้ประมาณ 30-50 ยูนิต

            การดูแลตัวเองก่อน-หลังฉีดโบลดริ้วรอย

            การเตรียมตัวก่อนฉีดโบลดริ้วรอย

            • ก่อนฉีดโบลดริ้วรอย ควรศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวกับการฉีดโบลดริ้วรอยอย่างละเอียด เช่น ศึกษายี่ห้อโบลดริ้วรอยยี่ห้อต่าง ๆ เป็นต้น
            • ก่อนฉีดโบลดริ้วรอย ควรเลือกฉีดกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น
            • ก่อนฉีดโบลดริ้วรอย งดยาหรือวิตามินประเภทที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
            • ก่อนฉีดโบลดริ้วรอย งดสครับบริเวณใบหน้า 2-3 วัน 
            • ก่อนฉีดโบลดริ้วรอย งดยากลุ่มแก้ปวด หรือยากลุ่มยาต้านการอักเสบ อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
            • ก่อนฉีดโบลดริ้วรอย งดดื่มแอลกอฮอล์ เป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง

            ขั้นตอนการฉีดโบลดริ้วรอย

            • ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการประเมินรูปหน้า สภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
            • แพทย์จะเลือกยี่ห้อของโบลดริ้วรอยให้เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล
            • แพทย์จะเริ่มฉีดโบลดริ้วรอยในตำแหน่งที่ต้องการรักษา โดยใช้ระยะเวลา 30 นาทีโดยประมาณ
            • หลังจากแพทย์ฉีดโบลดริ้วรอยเสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะทำการแนะนำข้อควรปฏิบัติตัวดูแลตัวเองหลังฉีดโบ ทั้งนี้ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

            การดูแลตัวเองหลังฉีดโบลดริ้วรอย

            • หลังฉีดโบลดริ้วรอย ควรขยับเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณนั้นทันที 1-2 ครั้ง เพื่อให้โบลดริ้วรอยถูกเซลล์ประสาทดูดซึมเข้าไปมากที่สุด
            • หลังฉีดโบลดริ้วรอย หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดและกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
            • หลังฉีดโบลดริ้วรอย ห้ามนอนราบ 3 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการไหลของโบลดริ้วรอย
            • หลังฉีดโบลดริ้วรอย งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
            • หลังฉีดโบลดริ้วรอย งดอาหารรสจัด รสเผ็ด แสบร้อนจนหน้าแดง อย่างน้อย 48 ชั่วโมง

            คำถามพบบ่อยของโบลดริ้วรอย

            ฉีดโบลดริ้วรอย มีผลข้างเคียงอย่างไร ?

            การฉีดโบลดริ้วรอยอาจมีผลข้างเคียงหลังฉีด เช่น รู้สึกเมื่อยหรือรู้สึกตึงบริเวณที่ฉีด เป็นอาการปกติที่ไม่อันตราย ส่วนผลข้างเคียงที่อันตราย มักเกิดจากการฉีดกับหมอกระเป๋า การใช้โบลดริ้วรอยราคาถูก หรือใช้โบลดริ้วรอยที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งผลข้างเคียงอันตราย มีดังนี้

            • การอักเสบติดเชื้อหลังฉีด กรณีนี้เกิดจากการเลือกฉีดโบลดริ้วรอยกับคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือหมอกระเป๋า ที่ไม่มีระบบการดูแลความสะอาดและปลอดเชื้อ
            • หนังตาตก มุมปากเบี้ยว หน้าแข็ง เกิดจากใช้เทคนิคที่ผิดในฉีดโบลดริ้วรอย ประเมินปริมาณโบลดริ้วรอยไม่เหมาะสม และฉีดโบลดริ้วรอยไม่ถูกตำแหน่ง เช่น ฉีดโบลดริ้วรอยใกล้เปลือกตาด้านบน เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณหนังตาอ่อนแรง และหนังตาตกลงมา เป็นต้น

            ฉีดโบลดริ้วรอย กี่วันเห็นผลลัพธ์ ?

            หลังฉีดโบลดริ้วรอย โบลดริ้วรอยจะเริ่มออกฤทธิ์หลังฉีด 3-4 วัน และโบลดริ้วรอยจะให้ผลลัพธ์เต็มที่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็น การฉีดโบลดริ้วรอยหน้าผาก หางตา ระหว่างคิ้ว หรือ ใต้ตา เป็นต้น โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองหลังฉีดโบลดริ้วรอยในแต่ละบุคคล

            ฉีดโบลดริ้วรอย บ่อยได้แค่ไหน ?

            ในการฉีดโบลดริ้วรอยเพื่อรักษาผลลัพธ์ ไม่ควรฉีดบ่อยจนมากเกินไป อย่างน้อยควรเว้น 3 เดือน แต่ไม่ควรเว้นนานเกิน 5-6 เดือน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้ากลับมาทำงานได้ตามปกติ และอาจทำให้ต้องใช้ปริมาณของโบลดริ้วรอยเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

            ฉีดโบลดริ้วรอย ใช้กี่ยูนิต ?

            การฉีดโบลดริ้วรอย โดยส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ 25 ยูนิต ซึ่งการฉีดโบลดริ้วรอยในแต่ละบริเวณจะพิจารณาจากยี่ห้อโบลดริ้วรอยและปริมาณที่ใช้ โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินตามความเหมาะสมในแต่ละบุคคล

            ฉีดโบลดริ้วรอย ดีไหม ?

            การฉีดโบลดริ้วรอยจะช่วยในการรักษาริ้วรอยบนใบหน้าและปกป้องการเกิดริ้วรอยใหม่ ที่เกิดจากการแสดงสีหน้าและการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ รวมไปถึงอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ใบหน้ามีความอ่อนเยาว์ และนอกจากนี้การฉีดโบลดริ้วรอยทำให้ผิวมีความตึงกระชับขึ้นแล้ว ยังสามารถช่วยลดเหงื่อ ลดกล้ามเนื้อบริเวณต้นแขน และลดกล้ามเนื้อน่องได้อีกด้วย

            ดื้อโบลดริ้วรอย คืออะไร ? 

            ดื้อโบลดริ้วรอย  คือ ภาวะที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้น มาทำลายตัวยาโบลดริ้วรอยที่ฉีดเข้าไป เพราะมองว่าเป็นสารแปลกปลอมที่เข้ามาร่างกาย ส่งผลให้การฉีดโบลดริ้วรอยแล้วไม่เห็นผลลัพธ์ หรือถ้าเห็นผลลัพธ์ ก็จะเห็นผลลัพธ์ได้น้อยมาก และการออกฤทธิ์ของโบลดริ้วรอยจะเสื่อมไวกว่าปกติ จากเดิมที่ออกฤทธิ์ได้ 4 – 6 เดือน ก็อาจอยู่ได้เพียง 1 – 2 เดือน เท่านั้น

            ดื้อโบลดริ้วรอย สาเหตุมาจากอะไร ?

            อาการดื้อโบลดริ้วรอยมี 3 สาเหตุ ดังนี้

            • ฉีดโบลดริ้วรอยปริมาณมาก หรือถี่เกินไป : โดยปกติการฉีดโบลดริ้วรอย ควรเว้นระยะห่างการฉีดในแต่ละครั้งประมาณ 3 – 4 เดือนขึ้นไป เพื่อรอให้โบลดริ้วรอยที่ฉีดไปล่าสุด เสื่อมฤทธิ์ลงก่อน เพราะหากฉีดโบลดริ้วรอยถี่เกินไป อาจทำให้เกิดอาการดื้อโบลดริ้วรอยได้
            • ฉีดโบลดริ้วรอยปลอม หรือโบลดริ้วรอยที่ไม่ได้มาตรฐาน : การฉีดโบลดริ้วรอยที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีการควบคุมอุณหภูมิของตัวยา อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้โบลดริ้วรอยได้
            • เกิดจากระบบภูมิคุ้มกัน : ในบางกรณี ร่างกายจะมีการสร้างภูมิคุ้มกันออกมา เพื่อต่อต้านโบลดริ้วรอยมากกว่าปกติ ทำให้การฉีดโบลดริ้วรอยครั้งต่อไปไม่ได้ผลลัพธ์ หรือเห็นผลลัพธ์น้อยกว่าปกติ

            ฉีดโบลดริ้วรอย แล้วทำหัตถการอื่นได้ไหม ?

            การฉีดโบลดริ้วรอยสามารถทำพร้อมกับหัตถการอื่นได้ เช่น การฉีดฟิลเลอร์ การทำเครื่องยกกระชับ เป็นต้น เนื่องจากเป็นการแก้ปัญหาคนละส่วน โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินสภาพผิวและปัญหาผิวในแต่ละบุคคลก่อน เพื่อวางแผนการทำหัตถการว่า ควรทำหัตถการไหนก่อน และควรเว้นระยะเวลาในการทำแต่ละหัตถการเท่าไหร่

            สรุปการฉีดโบลดริ้วรอยทั่วหน้า เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอย

            การฉีดโบลดริ้วรอย เป็นทางเลือกที่จะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยแห่งวัยบนใบหน้า ที่เกิดจากการแสดงสีหน้าและอารมณ์ หรือริ้วรอยที่มาจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้โบลดริ้วรอย ยังสามารถใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคบางชนิดอีกด้วย เช่น โรคไมเกรน ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง เป็นต้น

            สำหรับใครที่ต้องการแก้ปัญหาริ้วรอยด้วยการฉีดโบลดริ้วรอย ทางรมย์รวินท์คลินิกมีบริการฉีดโบลดริ้วรอยเพื่อช่วยแก้ปัญหาผิวดูมีอายุ ให้กลับมาอ่อนเยาว์อีกครั้ง ซึ่งทางรมย์รวินท์คลินิกพร้อมให้คำปรึกษา และพร้อมให้บริการด้านข้อมูลที่เกี่ยวกับโบลดริ้วรอย เพื่อผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

            บอกลาหุ่นย้วยด้วย Oligio Body จบปัญหาผิวหย่อนคล้อย พร้อมลดไขมัน

            Oligio Body

            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




              วันที่สะดวกในการติดต่อ








              บอกลาหุ่นย้วยด้วย Oligio Body จบปัญหาผิวหย่อนคล้อย พร้อมลดไขมัน

              ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ ไขมันสะสมเยอะ อาจจะทำให้หลาย ๆ คนนั้นรู้สึกไม่มั่นใจได้ ซึ่งในปัจจุบัน การยกกระชับผิวกาย และการลดไขมันสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกาย การเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ รวมไปถึงการใช้ตัวช่วย ในการกระชับผิวกายอย่าง เครื่อง Oligio Body ที่สามารถยกกระชับผิวกาย ลดไขมัน และสามารถช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด  ที่สำคัญยังไม่เป็นอันตรายอีกด้วย

              Oligio Body

              ทำความรู้จักกับ Oligio Body ยกกระชับผิวกาย

              หลายคนอาจจะมีความสงสัยว่าเครื่อง Oligio Body คืออะไร ช่วยยกกระชับผิวกาย ลดไขมันได้หรือไม่ ? ซึ่ง Oligio เป็นโปรแกรมยกกระชับที่โด่งดังเรื่องการยกกระชับรูปหน้า และสร้างคุณภาพผิว แต่ความจริงแล้ว Oligio ไม่ใช่ทำได้แค่ใบหน้าเพียงเท่านั้น ยังสามารถทำที่บริเวณร่างกายได้ด้วย Oligio เป็นเครื่องยกกระชับผิวกายที่ผลิตจากบริษัท Wontech ใช้พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง Monopolar RF ยิงเข้าสู่ชั้นผิวหนัง 4.3 มิลลิเมตร โดยพลังงานสามารถลงได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ (Dermis)  และยังถูกพัฒนาให้สามารถปล่อยพลังงานได้อย่างต่อเนื่อง และมีความแม่นยำเป็นอย่างมาก โดย Oligio Body จะสามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำได้ทันที ถึง 20-30% หลังจากนั้นจะค่อย ๆ เห็นผลได้ชัดเจนหลังทำ 3 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลของแต่ละบุคคลที่ทำด้วย

              เนื่องจากตัวเครื่อง Oligio Body นั้นจะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวที่มีความหย่อนคล้อยกลับมากระชับ รูขุมขนดูเล็กลง ลดริ้วรอยร่องลึก และริ้วรอยเล็ก ๆ พร้อมช่วยคืนความแข็งแรงให้ผิวดูเด้ง อิ่มฟู สุขภาพดี นอกจากนี้ Oligio Body ยังช่วยในเรื่องยกกระชับผิวกาย ลดสัดส่วนเฉพาะจุด ลดไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิว กระชับสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็น บริเวณกรอบหน้า เหนียง หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา หรือบริเวณร่างกายอีกด้วย โดยการทำ Oligio Body 1 ครั้ง อยู่ได้นานถึง 1 ปี สามารถทำครั้งต่อไปได้ตั้งแต่เดือนที่ 4-6 เดือน เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

              การทำงานของ Oligio Body

              Oligio Body ยกกระชับผิวกาย เป็นการใช้เทคโนโลยีคลื่นความถี่สูง 6.78 MHz ที่สามารถปรับได้ 3 โหมด คือ โหมดเดี่ยว โหมดคู่ และโหมดอัตโนมัติ ยิงลงลึกสู่ชั้นผิว 3 mm. โดยคลื่นจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Fat) ทำให้ผิวดูกระชับมากขึ้น ทั้งยังเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังให้มากขึ้น ให้คอลลาเจนที่สร้างใหม่นั้นมีระเบียบ Oligio Body นั้นจะใช้ความร้อนจากหัว Tips ที่มีลักษณะเป็นหัวเข็ม ส่งพลังงานเข้าไปยังชั้นผิวหนัง ทำให้คลื่นมีความสม่ำเสมอและแม่นยำ ทำให้ผิวหลังทำนั้นมีความยืดหยุ่น หนาแน่น กระชับ ทั้งยังช่วยลดไขมัน ทำให้ชั้นไขมันบางลง สัดส่วนดูชัดเจนขึ้น

              Oligio Body ยกกระชับผิวกาย มีเทคโนโลยีที่จะช่วยตรวจสอบอุณหภูมิผิว มีระบบทำความเย็นอัจฉริยะ และมีระบบตรวจจับแรงกดที่มีความแม่นยำ ที่ช่วยปล่อยลมเย็นออกมาในระหว่างทำอย่างอัตโนมัติ ช่วยลดความเสี่ยงในการสะสมค่าพลังงานความร้อนใต้ผิวที่มากเกินไป ทั้งยังทำให้ช่วยลดโอกาสผิวถูกเผาไหม้อีกด้วย 

              ทคนิค Fast Moving Technique เฉพาะ Oligio Body ยกกระชับผิวกาย

              ความพิเศษของ Oligo คือการมีเทคนิค Fast Moving Technique เป็นเทคนิคเฉพาะที่ออกแบบมาเพื่อทำการยกกระชับด้วย Oligio เท่านั้น เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากพลังงานที่ลงสู่ชั้นผิวโดยเครื่อง Oligio Body นั้นจะลงสู่ชั้นผิวที่เท่ากันอย่างแม่นยำ ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม

              เทคนิค Fast Moving Technique เป็นเทคนิคเฉพาะที่ใช้กับ Oligio Body เพื่อยกกระชับผิวกายอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีคุณสมบัติที่โดดเด่นหลายประการ ดังนี้

              1. Pain Relief : Oligio Body มาพร้อมกับระบบสั่นสะเทือนที่ช่วยลดความเจ็บปวดระหว่างการรักษา และยังมีระบบปล่อยพลังงานความเย็นที่ช่วยปกป้องผิวชั้นนอก ทำให้ผู้เข้ารับการรักษารู้สึกสบายมากขึ้น และไม่ต้องพักฟื้นหลังการทำ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติทันที
              2. Faster Treatment : ฟังก์ชั่น Auto ของ Oligio Body ช่วยประหยัดเวลาในการทำยกกระชับผิวกาย โดยจำนวน 600 shots ใช้เวลาเพียง 20-30 นาที และ 300 shots ใช้เวลาเพียง 10-15 นาทีเท่านั้น
              3. Safe Treatment : Oligio Body มีระบบวัดอุณหภูมิผิวแบบ Real Time หากอุณหภูมิสูงกว่า 43 องศาเซลเซียส เครื่องจะหยุดทำงานทันที เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการไหม้ (Burn) รวมถึงมีระบบตรวจสอบแรงกด เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาจากหัวทิปไม่แนบผิว
              4. Convenience : เครื่อง Oligio Body มีการทำงานทั้งหมด 3 โหมด ได้แก่ ระบบ Single, ระบบ Double, และระบบ Auto ซึ่งช่วยให้แพทย์นั้นสามารถใช้รักษาได้อย่างแม่นยำ และแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดขึ้น 

              Oligio Body

              ทำความเข้าใจผิวหย่อนคล้อย เกิดจากอะไร

              ผิวหย่อนคล้อย คือ สภาพผิวที่เกิดการเปลี่ยนแปลงส่งผลให้ผิวดูไม่เรียบเนียน ไม่กระชับมีความหย่อนยาน และทำให้เกิดริ้วรอยขึ้น ทั้งบริเวณใบหน้า และทั่วร่างกาย ส่งผลให้ผิวดูไม่สุขภาพดี ดูแก่กว่าวัย ซึ่งผิวหย่อนคล้อยนั้นเกิดจากคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวนั้นมีการผลิตลดลง ทำให้เซลล์สูญเสียความกระชับ ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัย ดังนี้

              1. อายุที่เพิ่มขึ้น

              ยิ่งอายุมากขึ้นร่างกายของเราจะยิ่งมีการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง ทำให้ผิวเริ่มเสื่อมสภาพลง จึงทำให้ผิวมีความหย่อนคล้อย ไม่กระชับ และเกิดริ้วรอยได้ชัดเจน

              1. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน 

              ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เป็นฮอร์โมนที่ช่วยทำให้ผิวดูกระชับ เรียบเนียน ดูสุขภาพดี ซึ่งร่างกายนั้นจะผลิตในช่วงวัยรุ่น เมื่ออายุมากขึ้นจึงเริ่มผลิตลดลง

              1. รังสียูวีในแสงแดด และมลภาวะต่าง ๆ

              รังสียูวีในแสงแดด และมลภาวะต่าง ๆ จะเข้าไปทำลายเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสตินภายในผิว ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น เกิดความหย่อนคล้อย และริ้วรอยตามมา ทั้งยังกระตุ้นการเกิดอนุมูลอิสระภายในร่างกายอีกด้วย

              1. ความเครียด

              เมื่อเกิดความเครียดร่างกายจะมีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งจะเข้าไปทำลายคอลลาเจนในชั้นผิว และลดการผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติ  ส่งผลให้ผิวดูหย่อนคล้อย ไม่กระชับ มีริ้วรอย และผิวดูโทรม

              1. การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ

              หากนอนหลับไม่เพียงพอร่างกายจะทำการหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ออกมาได้น้อย ทำให้เกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อย เหี่ยวย่น และระบบเผาผลาญทำงานได้ไม่ดี จึงอาจส่งผลให้ผิวดูหมองคล้ำ แห้งกร้าน รวมถึงอ้วนขึ้นได้

              การยกกระชับผิวกาย และการลดไขมันสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกาย การเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และการใช้ตัวช่วย อย่าง Oligio Body ยกกระชับผิวกาย ลดไขมัน ที่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด  ทั้งยังไม่เป็นอันตรายอีกด้วย

              Oligio Body ทำส่วนไหนได้บ้าง

              Oligio Body ยกกระชับผิวกาย สามารถทำได้หลายส่วนด้วยกัน เพราะนอกจากจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวให้เป็นระเบียบแล้วนั้น ยังช่วยยกกระชับผิวกาย ลดไขมันสะสมในร่างกาย กระชับสัดส่วน และยังไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ดังนี้

              •  หน้าผาก Oligio Body จะช่วยลดริ้วรอยร่องเล็ก ๆ บนหน้าผาก
              • รอบดวงตาและหางตา บริเวณที่มีริ้วรอย ตีนกา ถุงใต้ตา และปัญหาหางตาตก ทำให้ยกกระชับผิวกายให้เต่งตึงขึ้นได้
              • แก้มและโหนกแก้ม Oligio Body จะช่วยยกกระชับผิว บริเวณแก้มให้กระชับ ทำให้หน้าเป็นมิติมากขึ้น
              • กรอบหน้า ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด หน้าไม่เท่ากัน ทำให้ใบหน้าดูไม่สมส่วน การยกกระชับผิวกายด้วย Oligio Body จะช่วยทำให้กรอบหน้าชัด มีมิติมากขึ้น
              • เหนียง บริเวณที่มีไขมันส่วนเกิน ทำให้ใบหน้าดูกลมมน 
              • คอ ที่มีความหย่อนคล้อย หรือมีเส้นบริเวณคอที่ชัดเจน Oligio Body ช่วยยกกระชับผิวกายให้กลับมาเต่งตึงอีกครั้ง
              • ต้นแขน ต้นขา ที่มีไขมันส่วนเกิน มีความหย่อนคล้อย Oligio Body จะช่วยลดไขมัน พร้อมยกกระชับผิวกายที่หย่อนคล้อยให้ได้สัดส่วนขึ้น
              • หน้าท้อง ที่มีไขมันสะสมเยอะ ทำให้เกิดความไม่มั่นใจ

              Oligio Body

              Oligio Body เหมาะกับใครบ้าง ? 

              หลาย ๆ คนที่กำลังประสบปัญหาไม่มั่นใจในร่างกาย รูปร่างของตัวเอง เนื่องจากผิวที่หย่อนคล้อย ไขมันที่สะสมเยอะนั้น การทำ Oligio Body จะช่วยยกกระชับผิวกาย และลดไขมันสะสมใต้ผิวหนัง ให้ผิวกระชับมีสัดส่วนที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่ง Oligio Body เหมาะกับใคร มาดูกันเลย

              1. Oligio Body เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวกาย  สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยหรือสูญเสียความยืดหยุ่น เนื่องจากอายุหรือการลดน้ำหนัก
              2. Oligio Body เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมันในชั้นผิว โดยเฉพาะในบริเวณใบหน้าและลำคอ
              3. Oligio Body เหมาะกับผู้ที่มองหาวิธีการรักษายกกระชับผิวกายลดไขมัน ที่ไม่ต้องพักฟื้น Oligio Body มีการรักษาที่ไม่ทำให้ผิวบอบช้ำ และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน
              4. Oligio Body เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มปริมาณคอลลาเจนในผิว ยกกระชับผิวกายเพื่อให้ผิวดูอ่อนเยาว์และมีสุขภาพดี
              5. Oligio Body เหมาะกับผู้ที่เคยมีปัญหาผิวไหม้หรือแพ้ง่าย เนื่องจาก Oligio มีระบบป้องกันที่ช่วยลดความเสี่ยงจากความร้อนและการเกิดปัญหาผิว
              6. Oligio Body เหมาะกับผู้ที่ต้องการชะลอการเกิดปัญหาหย่อนคล้อยตามวัย การทำ Oligio Body จะช่วยป้องกันผิวหย่อนคล้อยก่อนวัย ไม่ว่าจะเป็น ผิวหน้า หรือผิวกาย

              ข้อดีและข้อจำกัดของการทำ Oligio Body

              ใครที่กำลังสนใจในการทำ Oligio Body ยกกระชับผิวกาย แต่ยังตัดสินใจไม่ได้นั้น สามารถดูข้อดี และข้อจำกัดของ การทำ Oligio Body เพื่อประกอบการตัดสินใจได้ ดังนี้

              ข้อดีของการทำ Oligio Body

              • Oligio Body ถือเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์หลากหลายปัญหา ไม่ว่าจะเป็น การยกกระชับผิวกาย หรือลดไขมัน มาพร้อมระบบทำความเย็นอัจฉริยะและระบบสั่น ทำให้ไม่แสบร้อนระหว่างทำ ทั้งยังมีความปลอดภัยต่อผิวอีกด้วย เนื่องจากได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาจากหลายประเทศ 
              • ไม่ต้องเตรียมตัวก่อนทำเหมือนหัตถการอื่น ๆ เนื่องจากการทำ Oligio Body ยกกระชับผิวกาย ไม่จำเป็นต้องงดอาหาร หรือเตรียมตัวยาก
              • หลังทำ Oligio Body ไม่ต้องพักฟื้น สามารถทาครีมกันแดด หรือครีมบำรุงได้ตามปกติ โดยที่ผิวไม่เกิดการระคายเคือง
              • Oligio Body ใช้เวลาในการทำหัตถการเพียง 20–30 นาที ซึ่งใช้เวลาน้อยกว่าการทำหัตถการอื่น ทำเสร็จสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
              • หลังทำ Oligio Body สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีประมาณ 20% 
              • Oligio Body ไม่ทำให้เจ็บ ทำให้ไม่ต้องแปะยาชา จึงไม่เกิดปัญหาผิวแห้งตามมา 

              ข้อจำกัดในการทำ Oligio Body

              • หากต้องการผลลัพธ์การยกกระชับผิวกาย ลดไขมัน ที่ต่อเนื่อง ควรทำซ้ำปีละ 1-2 ครั้ง เนื่องจาก Oligio Body นั้นให้ผลลัพธ์ยาวนานประมาณ 6 เดือน – 1ปี 
              • Oligio Body ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ผู้ที่ให้นมบุตร หรือผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ และในโรคประจำตัวบางชนิด ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

               จุดเด่นของ Oligio Body ?

              • Oligio Body ยกกระชับผิวกาย นั้นไม่ต้องจำกัดเวลาในการใช้จำนวน Shots ทำให้แพทย์นั้นสามารถเก็บรายละเอียด และมีความแม่นยำในการทำ
              • Oligio Body มีหัวยิงมีขนาดใหญ่ ทำให้สามารถกระจายพลังงานได้ดี มีความแม่นยำขึ้น จึงทำให้มีความรวดเร็วในการทำ
              • เจ็บน้อย ไม่ต้องแปะยาชา เนื่องจากเครื่อง Oligio Body นั้นมีนวัตกรรมที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวด และทำให้ผิวนั้นไม่แห้งจากยาชา

              ใครที่ไม่เหมาะกับเครื่องยกกระชับผิวกาย Oligio Body ?

              • Oligio Body ไม่เหมาะกับผู้ที่มีเครื่องมือแพทย์ฝังในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า ICD หรือมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในร่างกาย
              • Oligio Body ไม่เหมาะกับผู้ที่มีรากฟันเทียมแบบ Bio absorbable 
              • Oligio Body ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคผิวหนังบางชนิด หรือมีการติดเชื้อบริเวณที่จะรักษา เช่น เริม ผิวอักเสบ หรือติดเชื้อ ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการรักษา ควรรักษาให้หายดีก่อนแล้วค่อยทำ
              • Oligio Body ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด อาจทำให้เกิดอันตรายระหว่างการทำหัตถการได้  เช่น โรคเบาหวาน โรคลมชัก โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ผู้ที่มีภาวะความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด                   
              • Oligio Body ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร
              • หากมีโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือมียาที่ต้องรับประทานตลอดนั้น ควรแจ้งแพทย์ก่อนทำการรักษา Oligio Body เพื่อวางแผนการรักษา
              • หลีกเลี่ยงการสักในบริเวณที่จะทำการรักษา Oligio Body เนื่องจากหากเป็นรอยสักใหม่ ที่ยังไม่หายดี อาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ 

              หลังทำ Oligio Body สามารถคงผลลัพธ์ได้นานเท่าไหร่?

              การทำ Oligio Body อยู่ได้นานไหม? อยู่ได้นานแค่ไหน?  โดยปกติแล้วนั้นการทำ Oligio Body จะสามารถคงผลลัพธ์ยกกระชับผิวกายได้นานถึง 6 เดือน – 1ปี เนื่องจากการทำงานของ Oligio Body นั้นจะค่อย ๆ เข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว ทำให้ผลลัพธ์ในการทำ Oligio Body 1 ครั้งนั้นอยู่ได้นาน ทั้งนี้ระยะเวลาที่ผลลัพธ์ยกกระชับผิวกายจะอยู่ได้นานไหมนั้น จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ปัญหาผิว การดูแลตัวเองหลังทำด้วย

              Oligio Body

              ทำไมต้องเลือกทำเครื่องยกกระชับผิวกาย Oligio Body 

              • Oligio Body เห็นผลทันที : หลังจากการทำ Oligio Body สามารถเห็นผลลัพธ์การยกกระชับผิวกาย และการเปลี่ยนแปลงได้เลยทันที ประมาณ 20-30% และจากนั้นจะเริ่มเห็นผลขึ้นเต็มที่
              • การสร้างคอลลาเจน : หลังทำ Oligio Body ยกกระชับผิวกาย ผิวจะค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์ดีขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากพลังงานที่ยิงเข้าไปจะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวให้สร้างเพิ่มขึ้นใหม่ โดยจะเห็นผลเต็มที่ภายใน 3-6 เดือน
              • ผลลัพธ์ระยะยาว : ยกกระชับผิวกาย ลดไขมัน ด้วย Oligio Body สามารถอยู่ได้นาน 6 เดือน – 1 ปี หากต้องการผลลัพธ์ที่มีความต่อเนื่อง แนะนำให้ทำต่อเนื่องปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด
              • Oligio Body แก้ปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม : หลังทำ Oligio Body นั้นจะช่วยยกผิวกายให้กระชับขึ้น ผิวมีความแน่น ไม่หย่อนคล้อย ทั้งยังช่วยลดไขมันสะสมบริเวณใบหน้าและร่างกาย กระชับสัดส่วน ชะลอความหย่อนคล้อยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ลง 
              • ปลอดภัยและไม่มีอาการข้างเคียง : Oligio Body ถือเป็นนวัตกรรมที่มีความปลอดภัยต่อผิว ทำให้หลังทำแล้วนั้นไม่มีอาการบวม ปวด แสบ หรือไม่ทิ้งร่องรอยไว้ จึงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยไม่ต้องพักฟื้น

              ทำ Oligio Body ร่วมกับหัตถการอื่นได้หรือไม่

              การทำ Oligio Body นั้นสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม ? น่าจะเป็นคำถามที่ใครหลาย ๆ คนสงสัยอย่างมาก โดย Oligio Body ยกกระชับผิวกาย นั้นสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ แต่ควรจะมีระยะเวลาที่ห่างกัน เพื่อให้ Oligio Body นั้นได้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  โดยปกติแล้วหากต้องการทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ นั้น แพทย์จะแนะนำให้ทำ Oligio Body ก่อนที่จะไปทำหัตถการฉีดตัวยาอื่น ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ เพราะตัวยาแต่ละตัวนั้นก็มีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน แพทย์จะได้วางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุด 

              ก่อนทำ Oligio Body ต้องเตรียมตัวไหม อย่างไร ? 

              การยกกระชับผิวกาย ลดไขมันด้วยเครื่อง Oligio Body นั้นไม่ได้มีข้อจำกัดที่เยอะ ทำให้การเตรียมตัวก่อนทำนั้น สามารถเตรียมตัวได้เหมือนก่อนทำหัตถการทั่วไปได้ ดังนี้

              • ก่อนทำ Oligio Body ควรงดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว หรือทำให้ผิวบางลงบริเวณที่จะทำ
              • ก่อนทำ Oligio Body ควรงดการทำหัตถการต่าง ๆ เช่น การฉีดโบ ฟิลเลอร์ หรือการทำเลเซอร์ อย่างน้อย 3-4 สัปดาห์ 
              • ก่อนทำ Oligio Body หากมีโรคประจำตัว หรือมีโรคที่เกี่ยวกับผิวหนังนั้น ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเริ่มทำหัตถการทุกครั้ง เพื่อที่แพทย์จะได้ประเมิน และวางแผนการรักษาในลำดับต่อไป
              • ก่อนทำ Oligio Body หากมีบาดแผลที่แผลยังปิดไม่สนิท ควรรักษาให้หายก่อนดีก่อน

              ขั้นตอนการทำ Oligio Body มีอะไรบ้าง? 

              • ก่อนเริ่มทำ Oligio Body ยกกระชับผิวกาย เจ้าหน้าที่จะทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะทำ Oligio Body ก่อนเพื่อเตรียมพร้อมผิวก่อนทำ
              • หลังจากทำความสะอาดผิวเสร็จแล้ว แพทย์จะทำการทาเจลเย็นลงบนผิวก่อนทำหัตถการ ซึ่ง Oligio Body นั้นไม่ต้องแปะยาชา เพราะตัวเครื่องนั้นจะมีนวัตกรรมระบบความเย็น เพื่อช่วยบรรเทาความร้อนที่ผิว
              • เมื่อพร้อมทำ Oligio Body แพทย์จะทำการเปิดเครื่องมือ เซตค่าพลังงาน จากนั้นจะทำการทำหัตถการบนผิว
              • ในระหว่างทำหัตถการ Oligio Body อาจจะมีความรู้สึกอุ่น ๆ ที่ผิว เพราะพลังงานที่ถูกปล่อยออกไปได้ แต่อาจจะไม่ถึงขั้นเจ็บปวด หรือแสบร้อน เพราะหากใต้ผิวมีความร้อนสะสมอยู่เกินค่าที่กำหนดไว้ เครื่อง  Oligio Body จะทำการปล่อยความเย็นออกมาเพื่อลดอุณหภูมิบนผิวลง 
              • โดยปกติแล้วการทำหัตถการ Oligio Body จะใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที เมื่อยิงค่าพลังงานครบจำนวน Shot ที่ตั้งไว้แล้ว แพทย์จะทำการทำความสะอาดผิวอีกครั้ง ถือเป็นการเสร็จสิ้นการรักษา
              • หลังทำ Oligio Body อาจจะมีอาการแดงบริเวณผิวที่ทำเล็กน้อย ซึ่งอาการเหล่านี้จะไม่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่มีอันตราย และจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมง 

              การดูแตัวเองหลังยกกระชับผิวกาย ลดไขมันด้วยเครื่อง Oligio Body 

              หลังจากทำหัตถการยกกระชับผิวกาย Oligio Body เสร็จเรียบร้อย ควรดูแลตัวเองตามคำแนะนำเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาน่าพึงพอใจ โดยมีวิธีการดูแลเบื้องต้น ดังนี้

              • หลีกเลี่ยงความร้อน : หลังทำ Oligio Body งดกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อนที่ผิว เช่น ออกกำลังกาย หรืออยู่ในที่ร้อนจัด เช่น ซาวน่า เป็นเวลา 1 สัปดาห์
              • หลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่น ๆ บริเวณผิวที่เคยทำยกกระชับผิวกาย Oligio Body ควรเว้นระยะในการทำประมาณ 4 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน เช่น ฉีดโบ ฟิลเลอร์ หรือเครื่องเลเซอร์อื่น ๆ 
              • ทาครีมกันแดด : หลังทำหัตถการ Oligio Body ควรหมั่นทาครีมกันแดดทุกวัน และควรหลีกเลี่ยงการโดดแดดตรง ๆ เพื่อป้องกันผิวจากแสงแดด 
              • การดูแลผิวหลังทำ : หลังทำ Oligio Body หลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนต์หรือหัตถการใด ๆ บนผิวอย่างน้อย 1 สัปดาห์ รวมถึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนต่อผิว เพื่อให้ผิวนั้นฟื้นฟูได้เต็มที่
              • ดูแลสุขภาพ : หลังทำ Oligio Body ควรดูแลสุขภาพร่างกายให้ดี ควรงดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ นอนหลับให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อช่วยให้ Oligio Body นั้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

              คำถามที่พบบ่อยของ Oligio Body

              ความรู้สึกระหว่างทำ Oligio Body ?

              • ระหว่างการทำ Oligio Body นั้นจะรู้สึกอุ่น ๆ ที่บริเวณผิวที่ทำ เนื่องจากตัวเครื่องนั้นจะยิงพลังงานไปที่ชั้นผิว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน และยกกระชับผิวกาย ทำให้มีการสะสมพลังงานความร้อนใต้ชั้นผิว ที่อุณหภูมิสูงถึง 43 องศา ซึ่งอาจทำให้หลังทำผิวอาจจะมีสีแดงอ่อน ๆ หรือมีความชมพูขึ้นได้

              Oligio Body ทำนานไหม?

              • การทำ Oligio Body ยกกระชับผิวกาย นั้นเป็นหัตถการที่ใช้เวลาไม่นาน ทำให้สะดวก ประหยัดเวลา โดยปกติแล้วจะใช้เวลาในการรักษาประมาณ 30-60 นาที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหา และจำนวน Shots ที่ต้องยิง

              หลังทำ Oligio Body เป็นอย่างไร?

              • หลังการทำ Oligio Body ยกกระชับผิวกาย นั้นสามารถเห็นผลลัพธ์ได้เลยทันทีหลังทำ เนื่องจากคอลลาเจนนั้นจะมีการหดตัวลง 20-30% จึงทำให้ผิวดูกระชับขึ้น จากนั้นผิวจะค่อย ๆ สร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้สามารถเห็นผลลัพธ์ที่เต็มที่ได้หลังทำ 3 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาผิว และวิธีการดูแลตัวเองหลังทำ Oligio Body ด้วย 

              Oligio Body อยู่ได้นานไหม?

              • หลังจากการรักษา 1 ครั้ง Oligio Body สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 6-12 เดือน โดยจะขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัญหาของแต่ละบุคคล  ทั้งนี้แนะนำว่าควรทำ Oligio Body ปีละ 1 ครั้ง เพื่อคงผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง ช่วยฟื้นฟูผิวให้สร้างคอลลาเจนได้เอง ยกกระชับผิวกายที่หย่อนคล้อย ทั้งยังช่วยลดไขมันได้อย่างดี

              Oligio Body ยกกระชับผิวกาย ลดไขมันควรทำกี่ Shots ?

              • Oligio Body 300-450 Shots : เหมาะสำหรับผู้ที่อายุน้อยหรือมีปัญหาผิวไม่มาก สามารถเน้นทำยกกระชับผิวกายเฉพาะจุดได้
              • Oligio Body 600-900 Shots : เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวปานกลางถึงมาก สามารถทำได้ทั่วหน้า รวมถึงบริเวณเหนียง
              • Oligio Body 1,200 Shots : เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวกาย พร้อมลดไขมันได้อย่างครอบคลุม

              ทั้งนี้ก่อนทำ Oligio Body แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อที่แพทย์นั้นจะได้วางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุด รวมถึงเลือกจำนวน Shots ได้อย่างเหมาะสม

              การทำ Oligio Body นั้นสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น ผิวหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ มีริ้วรอย ผิวไม่แน่น หรือมีไขมันสะสมเยอะ การยกกระชับผิวกาย ลดไขมัน ด้วยเครื่อง Oligio Body ถือเป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยสูง ทั้งยังทำให้ช่วยประหยัดเวลา ใช้เวลาน้อย ไม่ต้องพักฟื้น ตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการรักษาปัญหาแบบเร่งด่วน สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปัญหาก่อนได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา 

              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                วันที่สะดวกในการติดต่อ








                Neauvia ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร มีกี่รุ่น ทำไมถึงต่างจากยี่ห้ออื่น?

                NEAUVIA FILLER ดียังไง

                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                  วันที่สะดวกในการติดต่อ








                  Neauvia Hybrid Filler
                  ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับบุคคล

                  Neauvia ฟิลเลอร์ (Filler) ทางเลือกใหม่ในการฉีดฟิลเลอร์

                  เทรนด์การฉีดฟิลเลอร์กำลังมาแรงในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่น วัยทำงาน หรือวัยไหน ๆ ก็ตาม การฉีดฟิลเลอร์ ถือเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้า ทั้งริ้วรอย ร่องลึก กรอบหน้าไม่ชัด กระดูกยุบตัวลง รวมถึง ผิวหน้าที่ขาดคอลลาเจน และสูญเสียความชุ่มชื้น ซึ่งวันนี้ รมย์รวินท์คลินิก ขอแนะนำให้รู้จักกับ ฟิลเลอร์ Neauvia ฟิลเลอร์อีกหนึ่งยี่ห้อที่ได้รับความนิยม ส่งตรงจากประเทศอิตาลี หลาย ๆ คน อาจยังไม่เคยได้ยินชื่อยี่ห้อนี้และคงสงสัยกันว่า ฟิลเลอร์ Neauvia คืออะไร? มีจุดเด่นอย่างไร? ทำไมถึงแตกต่างจากยี่ห้ออื่น? แล้วอยู่ได้นานแค่ไหน? บทความนี้สรุปมาให้แล้ว

                  ฟิลเลอร์ Neauvia ดีไหม? แตกต่างจากยี่ห้ออื่นอย่างไร?

                  NEAUVIA FILLER

                  ฟิลเลอร์ Neauvia คืออะไร?

                  ฟิลเลอร์ Neauvia เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์เจนใหม่จากประเทศอิตาลี ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ถูกผลิตขึ้นมาในปี 2012 ซึ่งฟิลเลอร์ Neauvia เป็นสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid – HA)ใกล้เคียงกับฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ แต่มีความโดดเด่นในด้านส่วนประกอบ เทคโนโลยี และกระบวนการผลิต ทำให้ฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นและคงตัวสูง ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ เรียบเนียนไปกับผิว โดยไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย และไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ Neauvia ยังมีหลากหลายรุ่นที่ออกแบบมา เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการเติมเต็มร่องลึก ริ้วรอย ปรับรูปหน้า หรือกระตุ้นคอลลาเจน เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว

                   

                  ฟิลเลอร์ Neauvia มีจุดเด่นอย่างไร?

                  ฟิลเลอร์ Neauvia มีจุดเด่นในการใช้เทคโนโลยี SMART XROSS LINK Technology (SXT) ในการผลิต ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะที่ออกแบบมา เพื่อให้เนื้อฟิลเลอร์มีความแข็งแรง ยืดหยุ่น และคงตัวสูง ไม่ให้เนื้อฟิลเลอร์เกิดการแยกตัวออกจากกัน สามารถใช้ในการเติมเต็มและขึ้นรูปทรงได้ดี โดยไม่จำเป็นต้องใช้ฟิลเลอร์ปริมาณมาก เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวแล้ว ฟิลเลอร์จะไม่เคลื่อนที่และไม่ไหลไปยังบริเวณอื่น

                   

                  อีกทั้ง ฟิลเลอร์ Neauvia ยังเป็นแบรนด์เดียวในโลก ที่ใช้สาร Polyethylene Glycol (PEG) ในกระบวนการ Cross Link ร่วมกับ กรดไฮยาลูรอนิก แอซิด แทนการใช้สาร BDDE ที่พบได้ทั่วไปในฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ ทำให้ฟิลเลอร์ Neauvia มีความปลอดภัยกว่า ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรืออาการแพ้ และยังช่วยลดโอกาสในการเกิดการอักเสบด้วย รวมถึงสาร PEG ยังช่วยให้ฟิลเลอร์ผสานเข้ากับผิวได้เป็นอย่างดี ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและอิ่มฟูอย่างเป็นธรรมชาติ

                   

                  นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ Neauvia ยังมีส่วนประกอบสำคัญของสารอื่น ๆ อีกมากมาย ได้แก่ CaHA (Calcium Hydroxyapatite) สารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) รวมถึง กรดอะมิโน แอซิด (Amino Acid) อย่าง L-Proline และ Glycine ซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่ใช้ในการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ทำให้ผิวกระชับ มีความอ่อนเยาว์ ดูสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก และยังทำให้ไม่เกิดอาการบวมหลังฉีดอีกด้วย

                  ส่วนประกอบของ NEAUVIA FILLER

                  ฟิลเลอร์ Neauvia มีส่วนประกอบสำคัญอะไรบ้าง?

                  HA (Hyaluronic Acid)

                  • HA (Hyaluronic Acid) ในฟิลเลอร์ Neauvia มีความแตกต่างจากไฮยาลูรอนิก ในฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ เนื่องจากใช้ Probiotics Bacteria ชื่อว่า Bacillus subtilis ในการผลิต ซึ่งถือเป็นแบคทีเรียที่ดีต่อร่างกาย จึงทำให้ไฮยาลูรอนิกในฟิลเลอร์ Neauvia มีความบริสุทธิ์สูง มีคุณสมบัติในการกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะเริ่มผลิตไฮยาลูรอนิกได้น้อยลง ทำให้ผิวเสื่อมสภาพ ขาดความชุ่มชื้น เกิดริ้วรอย และดูหย่อนคล้อย ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ Neauvia จึงเป็นตัวช่วยหนึ่งในการเติมเต็มไฮยาลูรอนิกที่สูญเสียไป ทำให้ผิวกลับมาดูอ่อนเยาว์ เต่งตึง และเรียบเนียนขึ้น โดยไม่ทำให้เกิดอาการแพ้

                  CaHA (Calcium Hydroxyapatite)

                  • CaHA (Calcium Hydroxyapatite) เป็นสารที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว (Biostimulator) สามารถพบได้ตามธรรมชาติในร่างกายของเรา โดยเฉพาะในกระดูกและฟัน มีลักษณะคล้ายกับแคลเซียมในกระดูก มีคุณสมบัติในการ กระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้เกิดการสร้างคอลลาเจน Type 1 และ คอลลาเจน Type 3 รวมถึงอีลาสตินขึ้นมาใหม่ โดยคอลลาเจนที่ได้เป็นคอลลาเจนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากกระบวนการอักเสบใด ๆ ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรง ผิวค่อย ๆ มีความกระชับ เต่งตึง และยืดหยุ่นมากขึ้น 

                  PEG (Polyethylene Glycol)

                  • PEG (Polyethylene Glycol) เป็นสารชนิดหนึ่งที่ไม่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย มีความปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ และไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวเชื่อมระหว่างส่วนประกอบต่าง ๆ ในฟิลเลอร์ ทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความคงตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น ทนความร้อนได้เป็นอย่างดี สามารถทำร่วมกับหัตถการเลเซอร์อื่น ๆ ได้ เหมาะสำหรับใช้ในการเติมเต็มและขึ้นรูปทรงได้อย่างแนบเนียนไปกับผิว นอกจากนี้ ยังช่วยปกป้องโมเลกุลไฮยาลูรอนิก ไม่ให้ถูกทำลายโดยเอนไซม์ในร่างกาย ทำให้ฟิลเลอร์คงอยู่ได้นานขึ้น ดังนั้น PEG จึงถือเป็นสารที่ทำให้ฟิลเลอร์ Neauvia มีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างไปจากฟิลเลอร์ทั่วไป

                  L-Proline

                  • L-Proline เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายของเราสามารถสังเคราะห์ได้เอง และพบได้ในโปรตีนหลายชนิด โดยเฉพาะในคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญสำหรับผิวหนัง กระดูก และข้อต่อ มีหน้าที่สำคัญในการสร้างคอลลาเจนและซ่อมแซมเซลล์ผิว ทำให้ผิวแข็งแรง มีความยืดหยุ่น และมีความชุ่มชื้นมากขึ้น พร้อมลดอาการอักเสบ และไม่ทำให้เกิดอาการบวมช้ำหลังฉีด

                  Glycine

                  • Glycine เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยร่างกายสามารถสร้าง Glycine ขึ้นมาได้เอง เป็นหนึ่งในกรดอะมิโนหลักที่ช่วยในการสร้างคอลลาเจน เมื่อเราได้รับ Glycine เพียงพอ ผิวก็จะผลิตคอลลาเจนได้มากขึ้น ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น ชุ่มชื้น และลดเลือนริ้วรอยได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ถูกทำลายจากรังสี UV และมลภาวะต่าง ๆ ทำให้ผิวฟื้นตัวได้เร็ว รวมถึง ป้องกันการอักเสบ และลดอาการระคายเคืองผิวได้อีกด้วย

                  NEAUVIA FILLER รุ่น

                  ฟิลเลอร์ Neauvia มีกี่รุ่น?

                  ในปัจจุบันฟิลเลอร์ Neauvia มีให้เลือกถึง 3 รุ่น ซึ่งแต่ละรุ่นก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป สามารถตอบโจทย์กับปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม ได้แก่

                  Neauvia Intense

                  • ฟิลเลอร์ Neauvia Intemse เป็นฟิลเลอร์ที่มีความเข้มข้นของสารไฮยาลูรอนิกสูงถึง 28% รวมถึง ยังมีส่วนประกอบของ L-Proline และ Glycine อีกด้วย
                  • เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้า ใช้ในการขึ้นรูปทรงได้ดี และแก้ไขโครงสร้างใบหน้า ที่เกิดจากการยุบตัวลงของกระดูก ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถฉีดได้หลากหลายบริเวณ เช่น ร่องแก้ม คาง ขมับ และกรอบหน้า
                  • ฟิลเลอร์ Neauvia Intense สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 12 เดือน

                  Neauvia Stimulate

                  • ฟิลเลอร์ Neauvia Stimulate เป็นฟิลเลอร์ที่มีความเข้มข้นของสารไฮยาลูรอนิกสูงถึง 26% และ มีส่วนประกอบของสาร CaHA 1% ซึ่งเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน หรือ Biostimulator รวมถึง ยังมีส่วนประกอบของ L-Proline และ Glycine อีกด้วย
                  • เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึก โดยสามารฉีดได้หลากหลายบริเวณ เช่น ร่องแก้ม แก้มตอบ และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวมีความแข็งแรง ยืดหยุ่น และลดเลือนริ้วรอยได้ดีขึ้น
                  • ฟิลเลอร์ Neauvia Stimulate สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 12 เดือน

                  Neauvia Hydro Deluxe

                  • ฟิลเลอร์ Neauvia Hydro Deluxe เป็นฟิลเลอร์ที่มีความเข้มข้นของสารไฮยาลูรอนิกสูงถึง 18% และ มีส่วนประกอบของสาร CaHA 0.01% ซึ่งเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน หรือ Biostimulator รวมถึง ยังมีส่วนประกอบของ L-Proline และ Glycine อีกด้วย
                  • เหมาะสำหรับการฉีดงานผิว แก้ปัญหารูขุมขนกว้าง หลุมสิว พร้อมกระตุ้นในการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวกระชับ ดูชุ่มชื้น และผิวดูสุขภาพดีมากขึ้น สามารถฉีดได้หลากหลายบริเวณ เช่น หน้าแก้ม หน้าผาก รอบดวงตา หรือบริเวณลำคอ
                  • ฟิลเลอร์ Neauvia Hydro Deluxe สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 6 – 9 เดือน

                   

                  ฟิลเลอร์ Neauvia ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?

                  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม สามารถแก้ไขปัญหาร่องแก้มลึก ร่อมแก้มชัด ที่ส่งผลใบหน้าดูแก่กว่าวัย
                  • ฟิลเลอร์หน้าผาก สามารถแก้ไขปัญหาหน้าผากแบน หน้าผากยุบ ดูไม่สมดุลกับใบหน้า
                  • ฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถแก้ไขปัญหาเบ้าตาลึก ใต้ตาคล้ำ มีถุงใต้ตา หรือมีริ้วรอยใต้ตา ที่ส่งผลหน้าดูโทรมไม่สดใส
                  • ฟิลเลอร์แก้มตอบ สามารถแก้ไขปัญหาแก้มยุบ แก้มตอบ ที่ส่งผลให้ใบหน้าดูไม่สมดุลและดูแก่กว่าวัย
                  • ฟิลเลอร์ริมฝีปาก สามารถแก้ไขปัญหาริมฝีปากบาง ริมฝีปากแห้ง ดูไม่สมส่วน ไม่เป็นทรง
                  • ฟิลเลอร์คาง สามารถแก้ไขปัญหาคางตัด คางสั้น คางบุ๋ม หรือคางไม่สมส่วนกับใบหน้า
                  • ฟิลเลอร์ขมับ สามารถแก้ไขปัญหาขมับที่ยุบตัวลง ขมับตอบ และมีโหนกแก้มสูง
                  • ฟิลเลอร์กรอบหน้า สามารถแก้ไขปัญหาหน้าบาน กรอบหน้าไม่ชัด ดูไม่มีมิติ
                  • ฟิลเลอร์ลำคอ สามารถแก้ไขปัญหาผิวบริเวณลำคอ ผิวคอหย่อนคล้อย มีริ้วรอยเป็นเส้น ๆ

                   

                  ฟิลเลอร์ Neauvia เหมาะกับใคร?

                  • ฟิลเลอร์ Neauvia เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีริ้วรอยและร่องลึกต่าง ๆ ในบริเวณใบหน้าและลำคอ
                  • ฟิลเลอร์ Neauvia เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีใบหน้าไม่สมส่วน ดูไม่สมดุล เช่น คางสั้น หน้าผากยุบ ขมับตอบ
                  • ฟิลเลอร์ Neauvia เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น แต่งหน้าไม่ติด
                  • ฟิลเลอร์ Neauvia เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ ขาดความยืดหยุ่น
                  • ฟิลเลอร์ Neauvia เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ดูไม่เรียบเนียน
                  • ฟิลเลอร์ Neauvia เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวและรอยสิว
                  • ฟิลเลอร์ Neauvia เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวโทรม ไม่สดใสจากมลภาวะต่าง ๆ
                  • ฟิลเลอร์ Neauvia เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย ระคายเคืองง่าย
                  • ฟิลเลอร์ Neauvia เหมาะสำหรับ ผู้ที่แพ้สาร BDDE (Butanediol Diglycidyl Ether) ที่มีอยู่ในฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ

                   

                  ฟิลเลอร์ Neauvia ไม่เหมาะกับใคร?

                  • ฟิลเลอร์ Neauvia ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอาการแพ้สารไฮยาลูรอนิก ซึ่งเป็นสารประกอบหลักในฟิลเลอร์
                  • ฟิลเลอร์ Neauvia ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอยู่ แนะนำให้หลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ไปก่อน
                  • ฟิลเลอร์ Neauvia ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เป็นโรคเลือดออกง่าย อาจก่อให้เกิดรอยช้ำหรือเลือดออกในบริเวณที่ฉีดได้
                  • ฟิลเลอร์ Neauvia ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังรับประทานยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีด
                  • ฟิลเลอร์ Neauvia ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีแผลเปิดหรือมีการติดเชื้อในบริเวณที่จะฉีด ควรรักษาแผลให้หายสนิทก่อน แล้วค่อยตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์

                  ข้อดีของ NEAUVIA FILLER

                  ฟิลเลอร์ Neauvia มีข้อดีอย่างไร?

                  • ไม่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดโอกาสในการแพ้หลังฉีด
                  • มีความปลอดภัย ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. ไทย
                  • ไม่บวมช้ำหลังฉีดและไม่ก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกาย
                  • สามารถทำร่วมกับหัตถการกลุ่มเลเซอร์อื่น ๆ ได้ เนื่องจากทนความร้อนได้ดี
                  • ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลและการปฏิบัติตัวหลังฉีด

                   

                  ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ควรเตรียมตัวอย่างไร?

                  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Neauvia แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์วิเคราะห์สภาพผิว พร้อมสอบถามทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ Neauvia
                  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Neauvia แจ้งประวัติสุขภาพ ประวัติการแพ้ยา ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
                  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Neauvia งดรับประทานยาบางชนิด เช่น กลุ่มยาแอสไพริน กลุ่มยาต้านการอักเสบ
                  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Neauvia หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่
                  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Neauvia งดใช้ครีมหรือผลิตภัณฑ์ที่ผลัดเซลล์ผิว ในบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์

                   

                  หลังฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ควรดูแลตัวเองอย่างไร?

                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ Neauvia งดการกด นวด หรือสัมผัสในบริเวณที่ทำการฉีดฟิลเลอร์
                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ Neauvia หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความร้อน รวมถึงอยู่ท่ามกลางแสงแดด
                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ ให้เพียงพอต่อร่างกาย
                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ Neauvia งดการดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ทุกชนิด
                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ Neauvia หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ
                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ Neauvia หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ของหมักดอง

                   

                  ผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีดฟิลเลอร์ Neauvia

                  • การฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ช่วยให้ริ้วรอยดูจางลง ร่องลึกต่าง ๆ ดูตื้นขึ้น
                  • การฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ช่วยให้ใบหน้าดูสมดุล มีความสมส่วนมากขึ้น
                  • การฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น ฉ่ำวาว ดูสุขภาพดี
                  • การฉีดฟิลเลอร์ Neauvia  ช่วยให้รูขุมขนกระชับ ผิวหน้าดูเรียบเนียนมากขึ้น
                  • การฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่น
                  • การฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ช่วยให้ผิวกระชับ เต่งตึง ลดความหย่อนคล้อย
                  • การฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ช่วยให้ใบหน้ามีวอลุ่ม ดูมีมิติมากขึ้น
                  • การฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ช่วยให้หลุมสิวหรือผิวขรุขระมีความตื้นขึ้น
                  • การฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ช่วยให้ใบหน้ามีความอ่อนเยาว์ ดูเด็กลง ไม่แก่กว่าวัย

                  NEAUVIA FILLER ดียังไง 

                  ฟิลเลอร์ Neauvia แตกต่างจากฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่นอย่างไร?

                  ฟิลเลอร์ Neauvia

                  • ฟิลเลอร์ Neauvia เป็นฟิลเลอร์เจนใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยี SMART XROSS LINK Technology (SXT) ในการผลิต ทำให้ฟิลเลอร์มีความแข็งแรง แต่ยังคงมีความยืดหยุ่นสูง สามารถขึ้นรูปทรงได้ดี นอกจากนี้ ยังใช้สาร PEG ในกระบวนการ Cross Link ร่วมกับ ไฮยาลูรอนิก ที่ทำให้ฟิลเลอร์ Neauvia มีความแตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่ว ๆ ไป ปลอดภัยสูง ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ และอาการบวมหลังฉีด อีกทั้ง ฟิลเลอร์ Neauvia ยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ ที่สำคัญอีกมากมาย เช่น CaHA ซึ่งเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน พร้อมปรับปรุงคุณภาพผิว ทำให้ผิวแข็งแรงและอ่อนเยาว์มากขึ้น

                  ฟิลเลอร์ Juvederm

                  • ฟิลเลอร์ Juvederm เป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน ซึ่งใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต ได้แก่ Hylacross Technology เทคโนโลยีเริ่มแรกของฟิลเลอร์ Juvederm เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เนื้อฟิลเลอร์ มีความแข็งแรงและมีความยืดหยุ่นสูง สามารถเคลื่อนไหวใบหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ อุ้มน้ำได้ดีมาก ทำให้ผิวอิ่มฟู คงรูปได้นานขึ้น นอกจากนี้ ยังมี Vycross Technology เทคโนโลยีล่าสุดของฟิลเลอร์ Juvederm เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความคงรูปได้ดีขึ้น มีความโดดเด่นในการยกกระชับ ปรับรูปหน้า สามารถยึดเกาะกับผิวได้ดี โดยเรียบเนียนไปกับผิว บวมน้ำน้อย และไม่เป็นก้อน

                  ฟิลเลอร์ Restylane

                  • ฟิลเลอร์ Restylane เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต ได้แก่ NASHA Technology เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความคงตัว แข็งแรง และมีความยืดหยุ่น ไม่ทำให้ฟิลเลอร์ไหลง่าย มีความโดดเด่นในการยกกระชับ ปรับรูปหน้า และเติมเต็มร่องลึก นอกจากนี้ ยังมี OBT Technology เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ฟิลเลอร์กระจายตัวได้ดี มีความยืดหยุ่น ปรับรูปทรงได้อย่างหลากหลาย มีความโดดเด่นในการเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                  ฟิลเลอร์ Belotero

                  • ฟิลเลอร์ Belotero เป็นฟิลเลอร์ที่ใช้ CPM Technology (Cohesive Polydensified Matrix) ในการผลิต ทำให้ฟิลเลอร์สามารถอุ้มน้ำได้สูง เนื้อฟิลเลอร์มีความแข็งแรง ยืดหยุ่น สามารถเข้ากับผิวได้ดี และมีความเรียบเนียนไปกับผิว สามารถตอบโจทย์ความต้องการในการปรับรูปหน้า และเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความเป็นธรรมชาติ ไม่ไหล ไม่เป็นก้อน

                   

                  รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฟิลเลอร์ Neauvia

                  ฟิลเลอร์ Neauvia ปลอดภัยไหม?

                  • ฟิลเลอร์ Neauvia มีความปลอดภัย เนื่องจากมีสาร PEG ซึ่งเป็นสารที่ไม่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ไม่ทำให้เกิดอาการบวมช้ำหลังฉีด จึงทำให้ฟิลเลอร์ Neauvia มีความปลอดภัยสูง สามารถขจัดออกจากร่างกายได้ทั้งหมด ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ Neauvia ยังได้รับการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ของไทย อีกด้วย

                   

                  ฟิลเลอร์ Neauvia ฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?

                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ Neauvia สามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด แต่จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่สุด เมื่อฟิลเลอร์เข้าที่และเรียบเนียนไปกับผิว หลังจากฉีด 1 – 2 สัปดาห์ แต่สำหรับ Neauvia Hydro Deluxe แนะนำให้ฉีดอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 3 ครั้ง โดยเว้นระยะเวลาห่างกันเดือนละ 1 ครั้ง จะทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานมากขึ้น

                   

                  ฟิลเลอร์ Neauvia ฉีดแล้วเจ็บไหม?

                  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Neauvia จะมีการทายาชาในบริเวณที่ฉีด เพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวดระหว่างการฉีดได้ หลังจากยาชาเริ่มออกฤทธิ์แล้ว จะรู้สึกตึง ๆ เจ็บเล็กน้อย หรืออาจจะไม่รู้สึกเจ็บเลย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่บริเวณที่ฉีดและเทคนิคการฉีดของแพทย์แต่ละท่านด้วย

                   

                  ฟิลเลอร์ Neauvia สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ไหม?

                  • ฟิลเลอร์ Neauvia สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ เนื่องจากฟิลเลอร์ Neauvia มีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไป นั่นคือ ทนความร้อนได้ดี ทำให้สามารถทำร่วมกับหัตถการที่ใช้ความร้อนได้ เช่น เลเซอร์สิว, เลเซอร์หน้าใส, Thermage หรือ Ultraformer MPT ทั้งนี้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด ก่อนตัดสินใจทำหัตถการใด ๆ โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินสภาพผิวและให้คำแนะนำที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                   

                  ฟิลเลอร์ Neauvia เป็นฟิลเลอร์อีกหนึ่งยี่ห้อที่เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้า หรือแม้แต่ฉีดงานผิวได้เป็นอย่างดี ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่โดดเด่น อัดแน่นไปด้วยส่วนประกอบที่มีคุณภาพอย่าง PEG, CaHA, L-Proline และ Glycine ที่ทำให้ฟิลเลอร์มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งแตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญ แนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์ Neauvia กับแพทย์ที่มีประสบการณ์ คลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ และใช้ฟิลเลอร์แท้ได้รับการรับรองจาก อย. ไทย เท่านั้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ธรรมชาติและปลอดภัยที่สุด

                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                    วันที่สะดวกในการติดต่อ








                    ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ แก้ปัญหาหน้าโทรม โหนกแก้มชัด อัพเดทล่าสุด 2024

                    ฟิลเลอร์แก้มตอบ

                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                      วันที่สะดวกในการติดต่อ








                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ แก้ปัญหาโหนกแก้มสูง หน้าโทรม ดูมีอายุ อัปเดตล่าสุด 2024

                      ปัญหาแก้มตอบ หน้าตอบ เป็นปัญหาที่ไม่ต้องมีอายุก็สามารถเกิดขึ้นได้ โดยปัญหานี้ทำให้ใบหน้าดูมีอายุและโทรม ไม่สดใส ปัญหานี้สามารถพบได้ทั่วไปได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาที่ได้รับความนิยมที่สุดในขณะนี้คือ การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ การฉีดแก้มตอบเพื่อการเติมเต็มใบหน้าให้ดูอิ่มฟูและดูหน้าเด็กมากขึ้น แก้ปัญหาโหนกแก้มชัดได้อย่างตรงจุด แบบไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น 

                      วันนี้รมย์รวินท์คลินิกได้รวบรวมข้อมูลสำคัญของการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบว่า ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบคืออะไร ปัญหาแก้มตอบเกิดจากอะไร ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบอันตรายไหม ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบอยู่ได้นานไหม และรวมทุกเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับการฉีดแก้มตอบ

                       

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ แก้ปัญหาหน้าโทรม โหนกแก้มชัด 

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ คืออะไร?

                      ฟิลเลอร์แก้มตอบ หรือ การฉีดแก้มตอบ เป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic : HA) เพื่อแก้ปัญหาแก้มตอบ โหนกแก้มสูง สาเหตุที่ทำให้ใบหน้าโทรมและดูมีอายุ โดยเนื้อฟิลเลอร์จะเข้าไปทดแทนในส่วนของเนื้อที่หายไป ช่วยให้บริเวณแก้มตอบกลับมาเต็มขึ้น ช่วยให้ใบหน้าดูสดใส อ่อนเยาว์ และปรับใบหน้าให้มีโหงวเฮ้งที่ดีมากขึ้น

                      ฟิลเลอร์แก้มตอบ

                      ปัญหาแก้มตอบ เกิดจากอะไร?

                      ปัญหาแก้มตอบที่ต้องแก้ไขด้วยการฉีดแก้มตอบ เกิดจากสาเหตุ ดังนี้

                      • อายุที่เพิ่มมากขึ้น

                      เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ทำให้ผิวเกิดการสูญเสียคอลลาเจน อีลาสติน และไขมัน ที่เป็นส่วนในการช่วยยกพยุงใบหน้า โดยบริเวณแก้มที่เคยมีเนื้อเริ่มซูบลง ทำให้เกิดเป็นปัญหาแก้มตอบ จนทำให้ใบหน้าเป็นแอ่งยุบลึกลงไป

                      • พันธุกรรม

                      ผู้ที่เกิดปัญหาแก้มตอบจากพันธุกรรม เกิดจากการที่กระดูกส่วนกลางของบริเวณแก้ม เกิดการยุบตัวลงมากเกินไป ทำให้เนื้อแก้มยุบตามลง หรือผู้ที่มีปัญหาโหนกแก้มสูง สามารถทำให้แก้มดูตอบได้เหมือนกัน

                      • การฉีดโบกราม

                      การฉีดโบลดกรามเป็นเพียงการทำให้บริเวณกรามเล็กลงเท่านั้น การที่ฉีดโบกรามจนเกิดปัญหาหน้าตอบ เกิดจากการฉีดโบกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์หรือหมอกระเป๋า ใช้ปริมาณฉีดโบที่ไม่เหมาะสม ฉีดโบมากจนเกินไป จนทำให้บริเวณกล้ามเนื้อกรามเล็กลง จนทำให้แก้มตอบลงกว่าเดิม

                      • น้ำหนักลดลงเร็วเกินไป

                      ปัญหาแก้มตอบที่พบได้บ่อยมากที่สุด คือการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว จนทำให้เกิดการสูญเสียไขมันในร่างกาย รวมไปถึงไขมันบนใบหน้าที่จะเห็นได้ชัดเจนว่าแก้มตอบมาก

                      • การถอนฟันและการจัดฟัน

                      ปัญหาแก้มตอบที่เกิดจากการจัดฟัน มาจากการจัดฟันทำให้รับประทานอาหารได้อย่างลำบาก ทำให้ไขมันที่สะสมบริเวณใบหน้าลดลง และเมื่อฟันอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง เนื้อริมฝีปากจะยุบตามตำแหน่งของฟัน ทำให้โหนกแก้มสูงขึ้นและแก้มตอบลง

                      ฟิลเลอร์แก้มตอบ

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยอะไร?

                      ผู้ที่มีปัญหาแก้มตอบ การฉีดฟิลเลอร์แก้มนับเป็นการช่วยแก้ปัญหาแก้มตอบได้อย่างตรงจุด และยังเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพราะการฉีดแก้มตอบไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบช่วยแก้ปัญหา ดังนี้

                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยเติมเต็มบริเวณแก้มที่เป็นแอ่งจากชั้นไขมันยุบตัวลงให้อิ่มฟูขึ้น
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยฟื้นฟูใบหน้าให้ดูสดใสเปล่งปลั่งขึ้น
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยแก้ไขปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยให้ใบหน้ามีความอิ่มฟู แลดูสุขภาพดี
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยเสริมโหงวเฮ้งใบหน้าให้ดีขึ้น
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ  ช่วยลดโหนกแก้ม ให้ใบหน้าดูเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เหมาะกับใครบ้าง?

                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาการยุบตัวของไขมันบริเวณแก้ม เนื่องจากมีอายุเพิ่มขึ้น
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาแก้มจากการจัดฟัน น้ำหนักที่ลดลง หรืออายุที่เพิ่มขึ้น
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาในการพักฟื้นนาน
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เหมาะกับผู้ที่ไม่อยากมีบาดแผล
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเติมเต็มใบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์หลังทำทันที
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เหมาะกับผู้ที่หน้าสองข้างไม่เท่ากัน ต้องการปรับให้รูปหน้าสมส่วนขึ้น
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เหมาะกับผู้ที่อยากฉีดแก้มตอบเพื่อเติมเต็มใบหน้า
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เหมาะกับผู้ที่มีโหนกแก้มสูง โดยพันธุกรรม

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ไม่เหมาะกับใคร?

                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์ หรือสตรีที่กำลังให้นมบุตร 
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ไม่เหมาะกับผู้ที่ป่วยเรื้อรังบางประเภท เช่น เบาหวาน ไวรัสตับอักเสบบี และภูมิคุ้มกันบกพร่อง
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้สารไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA)
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีรอยแผลเปิดบริเวณที่ต้องการฉีดแก้มตอบ ควรรักษาให้หายก่อนฉีด
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นเริม หรือ งูสวัด
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเลือดออกแล้วหยุดยาก ฟกช้ำง่าย จากการรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด วิตามินอี เป็นต้น
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติเป็นแผลคีลอยด์ง่าย
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้ยาชา

                      ฟิลเลอร์แก้มตอบ

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ มีข้อดีอย่างไร?

                      ข้อดีของการฉีดแก้มตอบ มีดังนี้

                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เป็นหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน ใช้ชีวิตประจำวันปกติหลังทำได้ทันที
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยแก้ปัญหาแก้มตอบ หน้าไม่เท่ากัน
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยให้ใบหน้าดูอิ่มฟู สดใส อ่อนเยาว์
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ สามารถทดแทนไขมันบริเวณแก้มที่หายไป ให้กลับมาเรียบเนียนขึ้น
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ มีความปลอดภัย ฟิลเลอร์สลายได้เองตามธรรมชาติ
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยลดโหนกแก้มสูง ให้มีความเด่นน้อยลง
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ สามารถฉีดแก้มตอบได้เรื่อย ๆ เนื่องจากฟิลเลอร์สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ

                      ฟิลเลอร์แก้มตอบ

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เลือกยี่ห้อไหนดี?

                      การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เพื่อเติมให้บริเวณแก้มที่ตอบดูเต็มขึ้น ต้องใช้ฟิลเลอร์ที่มีเนื้อแน่น มีความคงตัว สามารถกลืนกับผิวได้เป็นอย่างดี  ดังนั้นก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ แพทย์จะทำการประเมินรูปหน้าจากปัญหาและสภาพผิวอย่างละเอียด เนื่องจากในแต่ละบุคคลมีปัญหาที่แตกต่างกัน การเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับปัญหา จะช่วยทำให้ผลลัพธ์หลังทำออกมาสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ โดยยี่ห้อฟิลเลอร์ฉีดแก้มตอบที่เหมาะแก้ปัญหาแก้มตอบ มีดังนี้

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบยี่ห้อ Juvederm

                      ฟิลเลอร์ Juvederm ฟิลเลอร์ฉีดแก้มตอบ จากประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้เทคโนโลยีการผลิต Hylacross Technology และ Vycross Technology ฟิลเลอร์รุ่นที่เหมาะกับการฉีดแก้มตอบ มีดังนี้

                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ Juvederm Volift : ฟิลเลอร์เทคโนโลยี Vycross Technology ที่เนื้อฟิลเลอร์ลักษณะเนื้อนิ่มแบบปานกลาง มีความละเอียดและเรียบเนียน เหมาะกับการเติมร่องแก้ม แก้มตอบ ร่องน้ำหมาก และปาก อยู่ได้นาน 12 เดือน
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ Juvederm Voluma : ฟิลเลอร์เทคโนโลยี Vycross Technology ที่เนื้อฟิลเลอร์ลักษณะเนื้อแข็งที่ฟูปานกลาง มีความยืดหยุ่นและแน่นตัว เหมาะกับการเติมเต็มร่องลึก เช่นขมับ ร่องแก้ม แก้มตอบ แก้มส้ม อยู่ได้นาน 18-24 เดือน

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบยี่ห้อ Restylane

                      ฟิลเลอร์ Restylane ฟิลเลอร์ฉีดแก้มตอบ จากประเทศสวีเดน ใช้เทคโนโลยีการผลิต NASHA Technology และ OBT Technology ฟิลเลอร์รุ่นที่เหมาะกับการฉีดแก้มตอบ มีดังนี้

                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ Restylane Volyme ฟิลเลอร์เทคโนโลยี OBT Technology ที่ออกแบบมาสำหรับเติมเต็มชั้นผิวบริเวณใบหน้าให้มีความอิ่มฟูขึ้น ใช้สำหรับการเติมเต็มส่วนที่ลึกหรือตอบลง เช่น แก้มตอบ อยู่ได้นาน 18 เดือน

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบยี่ห้อ Belotero

                      ฟิลเลอร์ Belotero ฟิลเลอร์ฉีดแก้มตอบ จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ใช้เทคโนโลยีการผลิต Cohesive Polydensified Matrix (CPM) ฟิลเลอร์รุ่นที่เหมาะกับการฉีดแก้มตอบ มีดังนี้

                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ Belotero Intense ฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะกับการเติมเต็มร่องลึก เช่น แก้มตอบ ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก อยู่ได้นาน 18 เดือน

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ มีผลข้างเคียงไหม?

                      การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ หรือการฉีดแก้มตอบ มีความปลอดภัย เนื่องจากใช้ฟิลเลอร์แท้ ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาการและยาของประเทศไทย และผ่านการรับรองจาก KFDA ของประเทศเกาหลี หรือ FDA ของประเทศสหรัฐอเมริกา ดังนั้นการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบจะมีความปลอดภัยและมีคุณภาพที่ดีได้ ต้องฉีดกับแพทย์ที่มีความชำนาญการ คลินิกและสถานพยาบาลต้องมีมาตรฐานและน่าเชื่อถือ ใช้ฟิลเลอร์แท้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งของปัญหา เท่านั้น

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ vs เติมไขมันใบหน้า ต่างกันอย่างไร?

                      • การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ที่มีความปลอดภัยสูงเข้าสู่บริเวณแก้ม ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีร้อยแผล และไม่ต้องพักฟื้น หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบจะเห็นผลลัพธ์ทันที และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ใน 2 สัปดาห์ ในช่วงหลังฉีดแก้มตอบอาจมีอาการบวมเข็มหรือบวมฟิลเลอร์ จะค่อย ๆ หายได้เองใน 2-3 วัน ซึ่งระยะเวลาของผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้
                      • การเติมไขมัน เป็นการดูดไขมันจากบริเวณอื่นของร่างกาย มาทำการปั่นแยกไขมันเพื่อเติมเต็มบริเวณแก้ม ลดโอกาสการเสี่ยงอาการแพ้ เนื่องจากใช้ไขมันของตัวเอง มีรอยแผลในบริเวณที่มีการดูดไขมัน ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นาน ต้องทำซ้ำหลายครั้งถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี และอาจเกิดปัญหาผิวไม่เรียบเนียน ทั้งนี้การเติมไขมันจะใช้เวลาเห็นผลลัพธ์ชัดเจนประมาณ 3 เดือน

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ vs ฟิลเลอร์แก้มส้ม vs ฟิลเลอร์หน้าแก้ม ต่างกันอย่างไร?

                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ : เป็นการฉีดแก้มตอบช่วงบริเวณใต้โหนกแก้มลงมา เพื่อแก้ปัญหาแก้มตอบ โหนกแก้มสูง ใบหน้าสองฝั่งไม่เท่ากัน ช่วยให้ใบหน้ามีความอิ่มฟูและใบหน้าเต็มสมส่วนมากขึ้น
                      • ฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม : เป็นการฉีดแก้มส้มช่วงบริเวณพวงแก้ม เพื่อเติมหน้าแก้มที่ยุบตัว ให้กลับมาเต็มและอิ่ีมฟูขึ้น ช่วยแก้ปัญหาใบหน้าที่มีความหย่อนคล้อย ให้กลับมายกกระชับ มักทำควบคู่กับการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา และฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม
                      • ฉีดฟิลเลอร์หน้าแก้ม : เป็การฉีดฟิลเลอร์บริเวณที่อยู่ระหว่างใต้ตากับแก้มและโหนกแก้มกับจมูก เพื่อให้แก้มมีความกลมมนมากขึ้น แก้มมีความอิ่มฟู ช่วยให้ใบหน้าดูมีมิติและดูเด็กลงพร้อมกัน

                      ฟิลเลอร์แก้มตอบ

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เตรียมตัวและดูแลตนเองก่อน-หลังฉีดแก้มตอบอย่างไร?

                      การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ

                      • ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ งดการทานวิตามินและอาหารเสริมบางประเภท ที่เกี่ยวกับการไหลเวียนโลหิต เช่น วิตามินซี วิตามินอี น้ำมันปลา ประมาณ 2 สัปดาห์
                      • ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 2 สัปดาห์
                      • ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ งดการทำเลเซอร์เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์
                      • ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดเพิ่มมากขึ้น เช่น ปั่นจักรยาน วิ่ง ว่ายน้ำ เป็นต้น
                      • ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าในวันทำหัตถการ เนื่องจากอาจมีสิ่งสกปรกหรือเครื่องสำอางตกค้างบริเวณใบหน้า
                      • ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ งดการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ที่มีส่วนผสมที่มีคุณสมบัติผลัดเซลล์ผิว
                      • ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ควรแจ้งประวัติการแพ้ยาและโรคประจำตัว กับแพทย์ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ
                      • ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ควรแจ้งประวัติการทำหัตถการและประวัติการทำศัลยกรรม

                      ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ

                      • ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ แพทย์จะประเมินสภาพผิวหน้าและปัญหาของผิวหน้า เพื่อวางแผนการเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ ปริมาณของฟิลเลอร์ และจุดที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ
                      • เริ่มทำความสะอาดผิวหน้าเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกและเครื่องสำอางที่อยู่บนผิว เพื่อเตรียมพร้อมก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ และมีการทายาชาก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบเพื่อบรรเทาอาการเจ็บระหว่างการรักษา
                      • แพทย์จะเริ่มฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในชั้นผิวหนังด้วยเข็มฉีดยา โดยปกติทั่วไปจะอยู่บริเวณตรงกรามและบริเวณแก้มทั้งสองข้าง 
                      • เมื่อฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ แพทย์อาจนวดบริเวณที่ฉีดเพื่อกระจายเนื้อฟิลเลอร์ให้เข้าที่
                      • แพทย์จะให้คำแนะนำการดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

                      ฟิลเลอร์แก้มตอบ

                      การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ

                      • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำและนอนตะแคงบริเวณที่ฉีดแก้มตอบ เพื่อป้องกันฟิลเลอร์เคลื่อนที่
                      • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ หากมีอาการบวม สามารถประคบเย็นและรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการปวดได้
                      • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ งดแต่งหน้าและใช้ครีมบำรุงทุกชนิดใน 24 ชั่วโมงแรก
                      • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ งดออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้ใบหน้าเสี่ยงกระแทก ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก
                      • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
                      • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ งดอาหารรสจัด แอลกอฮอล์ และบุหรี่ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                      • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น และฟิลเลอร์คงสภาพมากขึ้น
                      • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด เช่น เลเซอร์ ซาวน่า 
                      • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ งดขยับใบหน้าเยอะ ในช่วง 3 วันแรกที่ทำ 

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ กับ คำถามที่พบบ่อย

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ใช้ฟิลเลอร์กี่ cc?

                      • โดยปกติการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบจะใช้ตั้งแต่ 2 CC ขึ้นไป โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและวิเคราะห์ใบหน้าก่อนฉีดแก้มตอบ เพื่อให้ได้ปริมาณที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล

                      ฉีดฟิลเลอร์เติมแก้มตอบ อยู่ได้กี่เดือน? 

                      • การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและอยู่ได้นาน 12-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ในการฉีดแก้มตอบ เนื่องจากฟิลเลอร์นั้นจะเริ่มย่อยสลายเองตามธรรมชาติ หลังจากที่ฟิลเลอร์เริ่มสลาย สามารถฉีดแก้มตอบซ้ำได้ เพื่อรักษาผลลัพธ์ของใบหน้าอิ่มฟูอยู่เสมอ

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ฉีดซ้ำได้ไหม?

                      • ในการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบสามารถฉีดซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์นานต่อเนื่องได้ เนื่องจากฟิลเลอร์แท้สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ หากต้องการใบหน้าอิ่มฟูและดูเด็กตลอดเวลา ต้องฉีดแก้มตอบซ้ำเพื่อให้ผลลัพธ์ยังคงอยู่เสมอ

                      หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ห้ามทานอะไร?

                      • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก แนะนำว่าควรงดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ งดการรับประทานอาหารรสจัด อาหารหมักดอง อาหารไม่สุก รวมไปถึงอาหารเสริมบางชนิด เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการติดเชื้อ

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ กับ ฉีดไขมันเสริมแก้ม แบบไหนดีกว่ากัน?

                      • การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบกับการฉีดไขมันเสริมแก้ม มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ หรือการฉีดแก้มตอบ เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ส่วนการฉีดไขมันเสริมแก้ม เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบถาวร ซึ่งทั้ง 2 หัตถการควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมในแต่ละบุคคลเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ กับ ร้อยไหมยกแก้ม แบบไหนดีกว่ากัน?

                      • การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบจะเหมาะกับผู้ที่อายุ 25 ปีขึ้นไป ที่มีปัญหาแก้มตอบ แก้มซูบ หรือแก้มยุบเป็นแอ่งเว้า การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบสามารถช่วยเติมใบหน้าบริเวณแก้มให้ดูเต็มและอิ่มฟูขึ้น ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ ผิวกระชับมากขึ้น เป็นหัตถาการที่แก้ปัญหาแก้มตอบได้อย่างตรงจุด ส่วนการร้อยไหมยกแก้ม เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาแก้มห้อยและแก้มตอบ ส่วนมากจะพบได้ในผู้ที่มีอายุเยอะที่โครงสร้างผิวไม่แข็งแรง กระดูกทรุดตัวลง ผิวหนังยุบตัว ทำให้ผิวไม่มีที่ยึดเกาะ จึงทำให้แก้มห้อยและหย่อนคล้อย

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เจ็บไหม?

                      • ในการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ แพทย์จะทำการทายาชาบริเวณที่ต้องการก่อนฉีดแก้มตอบ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บขณะฉีด เมื่อยาชาออกฤทธิ์ผิวบริเวณที่ต้องการฉีดจะรู้สึกชา ทำให้ระหว่างการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบจะรู้สึกตึง ๆ เท่านั้น อาจมีอาการปวดหลังฉีดแก้มตอบประมาณ 1-3 วัน สามารถรับประทานยาบรรเทาอาการปวดได้

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ พักฟื้นนานแค่ไหน?

                      • การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ โดยปกติทั่วไปไม่จำเป็นต้องพักฟื้นนาน สามารถทำกิจวัตรได้ตามปกติหลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ หากมีอาการบวม ควรงดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า 3-5 วัน สามารถประคบเย็นหลังฉีดแก้มตอบในช่วงแรก เพราะจะช่วยบรรเทาอาการบวมและปวดได้ดี

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ หน้าบวมและหน้าช้ำไหม?

                      • สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง ช้ำง่าย อาจมีรอยเขียวช้ำหลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ สามารถหายได้เอง ประมาณ 7-14 วัน สามารถรับประทานยาหรือทายาที่ช่วยลดอาการบวมช้ำได้ ส่วนอาการบวม ปวด หลังจากฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เป็นอาการที่พบได้ปกติทั่วไป สามารถรับประทานยาบรรเทาอาการปวดได้ โดยอาการเหล่านี้จะหายได้เองภายใน 5-7 วัน

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยลดโหนกแก้มได้จริงไหม?

                      • สำหรับผู้ที่มีปัญหาโหนกแห้มสูง โหนกแก้มเด่นชัด การฉีดฟิลเลอร์ขมับจะช่วยพรางให้โหนกแก้มดูเล็กลงได้ ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบควบคู่กับการฉีดฟิลเลอร์ขมับ จะช่วยให้โหนกแก้มสูง ดูเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดเจน และช่วยให้ใบหน้าดูอิ่มฟูมากขึ้นอีกด้วย

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ต้องฉีดตั้งแต่อายุเท่าไหร่?

                      • ปัญหาแก้มตอบ แก้มซูบ ใบหน้าไม่เท่ากัน ไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุเยอะเท่านั้น แต่สามารถเกิดจากโครงกระดูกของใบหน้า การลดน้ำหนัก หรือการจัดฟัน ดังนั้นหากเริ่มมีปัญหาแก้มตอบ แก้มซูบ และเริ่มเห็นโหนกแก้มชัดขึ้น สามารถแก้ปัญหาด้วยการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบเพื่อพยุงบริเวณแก้ม ไม่ให้แก้มตอบหรือแก้มซูบมากกว่าเดิม

                      ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ มีข้อควรระวังไหม?

                      การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ จำเป็นต้องทราบข้อควรระวังในการฉีดแก้มตอบก่อนทำหัตถการ โดยข้อควรระวัง มีดังนี้

                      • ระวังการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบที่ไม่ได้มาตรฐาน ควรตรวจสอบกล่องยาก่อนทุกครั้งว่าได้รับการรับรองมาตรฐานอย่างถูกต้อง
                      • การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ จำเป็นต้องฉีดกับแพทย์ที่มีความชำนาญการเท่านั้น เนื่องจากการฉีดแก้มตอบต้องมีเทคนิคในการฉีด และใช้ประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบโดยเฉพาะ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ

                      การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เป็นการฉีดแก้มตอบเพื่อเติมเต็มบริเวณแก้มตอบ แก้มซูบให้กลับมาอิ่มฟูและอ่อนเยาว์มากขึ้น ซึ่งปัญหาแก้มตอบ แก้มซูบ มาจากหลากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม อายุ การจัดฟัน การลดน้ำหนัก การแก้ไขปัญหาด้วยการฉีดฟิลเลอร์แก้ม เป็นหัตถการที่ตอบโจทย์แก้มตอบโดยเฉพาะ อีกทั้งยังช่วยลดโหนกแก้มสูงให้เล็กลง ช่วยให้ใบหน้าเรียวสวยดูสมส่วนมากขึ้น

                      ก่อนตัดสินเลือกฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ควรตรวจสอบและเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่มีมาตรฐาน สะอาดและปลอดภัย มีทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์ เลือกใช้ฟิลเลอร์แท้เท่านั้น

                      สำหรับใครที่กำลังสนใจอยากฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เพื่อแก้ปัญหาแก้มตอบ แก้มซูบ ใบหน้าไม่เท่ากัน รวมไปถึงปัญหาโหนกแก้มสูง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือปรึกษากับรมย์รวินท์คลินิกก่อนตัดสินใจเลือกฉีดแก้มตอบได้ทุกสาขาใกล้บ้านคุณ 

                       

                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                        วันที่สะดวกในการติดต่อ








                        Art Filler คืออะไร? มีกี่รุ่น? อยู่ได้นานแค่ไหน? ดียังไง?

                        ART Filler

                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                          วันที่สะดวกในการติดต่อ








                          ทำความรู้จักฟิลเลอร์ Art Filler คืออะไร? มีกี่รุ่น? อยู่ได้นานแค่ไหน?

                          ปัจจุบันฟิลเลอร์มีหลากหลายยี่ห้อ ถึงแม้จะมีส่วนประกอบหลักจากไฮยาลูรอนิกเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันในเรื่องของเทคโนโลยีและขั้นตอนในการผลิตอย่างชัดเจน ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็มีลักษณะเฉพาะตัวที่ต่างกัน เช่น ความหนาแน่น ขนาดอนุภาค ความยืดหยุ่น รวมถึงระยะเวลาคงสภาพของฟิลเลอร์เช่นกัน

                          วันนี้ รมย์รวินท์คลินิก จะพามาทำความรู้จักกับ Art Filler ฟิลเลอร์ตัวดังอีกหนึ่งยี่ห้อจากประเทศฝรั่งเศส ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการความงาม สำหรับใครที่กำลังสงสัยว่า ฟิลเลอร์ Art Filler คืออะไร? มีจุดเด่นอย่างไร? มีทั้งหมดกี่รุ่น? บทความนี้รวมมาให้แล้ว

                          รวมเรื่องที่ควรรู้! ฟิลเลอร์ Art Filler ดีไหม? แต่ละรุ่นต่างกันอย่างไร? อยู่ได้นานแค่ไหน?

                          ฟิลเลอร์ Art Filler คืออะไร?

                          Art Filler เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์คุณภาพสูงจากประเทศฝรั่งเศส ถูกพัฒนาโดยบริษัท FILLMED Laboratories นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการโดยบริษัท Dermatologic ซึ่งฟิลเลอร์ Art Filler ผลิตจากกรดไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid – HA) เป็นสารเติมเต็มผิวธรรมชาติที่พบได้ในร่างกายของเรา มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ ทำให้ผิวอิ่มฟู มีความชุ่มชื้น และเรียบเนียน ผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์ดูเป็นธรรมชาติ มีความปลอดภัย และอยู่ได้นาน รวมถึง มีส่วนผสมของยาชา 0.3% (Lidocaine) ทำให้ลดความรู้สึกเจ็บปวดขณะฉีดฟิลเลอร์ นอกจากนี้ Art Filler ยังมีหลากหลายรุ่นที่ออกแบบมา เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการเติมเต็มร่องลึก เพิ่มวอลุ่ม หรือปรับรูปหน้า

                          ART Filler

                          ฟิลเลอร์ Art Filler มีจุดเด่นอย่างไร?

                          จุดเด่นของฟิลเลอร์ Art Filler คือ ใช้เทคโนโลยีพิเศษ TRI-HYAL Technology ซึ่งเทคโนโลยี TRI-HYAL เป็นการผสมผสานโมเลกุลไฮยาลูรอนิกที่มีรูปแบบแตกต่างกัน 3 รูปแบบเข้าด้วยกัน ได้แก่ Free hyaluronic acid, Long chains และ Very long chains โดยการผสมผสานไฮยาลูรอนิกทั้ง 3 รูปแบบนี้ ทำให้ฟิลเลอร์ Art Filler มีความยืดหยุ่น เรียบเนียน และกลืนไปกับผิวได้เป็นอย่างดี สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม ตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การเพิ่มความชุ่มชื่น เติมเต็มริ้วรอย ไปจนถึงการปรับรูปหน้าให้ดูอิ่มฟู ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติและคงอยู่ได้ยาวนานยิ่งขึ้น

                          นอกจากนี้ Art Filler ยังมีปริมาณสาร BDDE (1, 4-Butanediol diglycidyl ether) น้อยกว่าฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ ซึ่งเป็นสารที่เชื่อมโมเลกุลของกรดไฮยาลูรอนิกเข้าด้วยกันเป็นโครงข่าย ทำให้ฟิลเลอร์ยึดเกาะกันแน่นมากขึ้น มีความคงรูป และอยู่ได้นาน ในทางกลับกันการเติมสาร BDDE ที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการอักเสบและแพ้ได้ง่าย

                          ดังนั้น การที่ฟิลเลอร์ Art Filler ที่มีปริมาณสาร BDDE น้อย จึงเป็นส่วนช่วยลดโอกาสในการเกิดปฏิกิริยาแพ้หรือระคายเคืองได้มากขึ้น Art Filler จึงเป็นสารเติมเต็มที่มีความเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือผิวบอบบางเป็นอย่างมาก

                          ART Filler

                          ฟิลเลอร์ Art Filler มีกี่รุ่น?

                          ปัจจุบันฟิลเลอร์ Art Filler มีหลากหลายรุ่น โดยแต่ละรุ่นจะมีความหนาแน่นและความยืดหยุ่นของเนื้อฟิลเลอร์ที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการกระจายตัวเมื่อฉีดลงสู่ผิวและการคงรูปของเนื้อฟิลเลอร์ ทำให้เหมาะกับเติมเต็มในบริเวณที่แตกต่างกัน มีทั้งหมด 5 รุ่น ได้แก่

                          • Art Filler Fine Line

                          เป็นฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลขนาดเล็กและละเอียด มีเนื้อเจลบางเบาเป็นพิเศษ มีความหนาแน่นน้อยที่สุด เหมาะสำหรับการฉีดในผิวชั้นตื้น บริเวณที่มีผิวบอบบาง มีริ้วรอยเล็ก ๆ เช่น ริมฝีปาก รอบดวงตา ซึ่งทำให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำ และเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

                          Art Filler Fine Line : สามารถคงสภาพอยู่ใต้ผิวได้นานถึง 12 เดือน

                          • Art Filler Universal

                          เป็นฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลขนาดพอเหมาะ มีความหนาแน่นและความยืดหยุ่นปานกลาง ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเติมเต็มริ้วรอยระดับปานกลาง ไปจนถึงร่องลึก รวมถึงการปรับรูปหน้า เช่น ร่องแก้ม ขมับ ซึ่งทำให้ผิวดูอิ่มฟู มีวอลุ่ม ใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น

                          Art Filler Universal : สามารถคงสภาพอยู่ใต้ผิวได้นานถึง 12 เดือน

                          • Art Filler Volume

                          เป็นฟิลเลอร์ที่มีความหนาแน่นสูงที่สุด สามารถคงรูปได้ดี ปั้นเป็นทรงได้ง่าย เหมาะสำหรับเติมเต็มร่องลึกและปรับโครงสร้างใบหน้า ทดแทนกระดูกที่ยุบตัวลง เมื่ออายุมากขึ้น เช่น ขมับ ร่องแก้มลึก คาง และกรอบหน้า ซึ่งทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ มีมิติ กรอบหน้าชัดมากขึ้น

                          Art Filler Volume : สามารถคงสภาพอยู่ใต้ผิวได้นานถึง 18 เดือน

                          • Art Filler Lips Soft

                          เป็นฟิลเลอร์ที่ออกแบบมาเพื่อเติมเต็มริมฝีปากโดยเฉพาะ มีความนิ่ม ละเอียด และมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับผู้ที่มีริมฝีปากบางและแห้ง มีริ้วรอยรอบขอบปาก ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ริมฝีปากดูสุขภาพดี มีความอวบอิ่มแบบไม่โป๊ะ

                          Art Filler Lips Soft : สามารถคงสภาพอยู่ใต้ผิวได้นานถึง  3 – 6 เดือน

                          • Art Filler Lips

                          เป็นฟิลเลอร์ที่ออกแบบมาเพื่อเติมเต็มริมฝีปากเหมือนกับ Art Filler Lips Soft แต่มีความหนาแน่นมากกว่ารุ่น Lips Soft เล็กน้อย เหมาะสำหรับการปรับรูปทรงริมฝีปาก เพิ่มวอลุ่มให้ริมฝีปาก

                          Art Filler Lips : สามารถคงสภาพอยู่ใต้ผิวได้นานถึง  3 – 6 เดือน

                           

                          ฟิลเลอร์ Art Filler ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง?

                          • ร่องแก้ม
                            การฉีดฟิลเลอร์ Art Filler ในบริเวณร่องแก้ม จะช่วยแก้ไขปัญหาร่องแก้มลึก ร่องแก้มชัด ใบหน้าดูแก่กว่าวัย รวมถึง ปัญหาแก้มหย่อนคล้อย ทำให้ร่องแก้มดูตื้นขึ้น ผิวมีความเรียบเนียน อิ่มฟู ใบหน้าดูเด็กลงอย่างเห็นได้ชัด

                           

                          • ใต้ตา
                            การฉีดฟิลเลอร์ Art Filler ในบริเวณใต้ตา จะช่วยเติมเต็มร่องลึกใต้ตา เบ้าตาลึก ถุงใต้ตา ตาใต้คล้ำ รวมถึง แก้ไขปัญหาต่าง ๆ บริเวณรอบดวงตา ทำให้ใต้ตาดูตื้นขึ้น มีความเรียบเนียน ลดความหมองคล้ำ ดวงตาดูสดใส เหมือนนอนเต็มอิ่มตลอดเวลา

                           

                          • ขมับ
                            การฉีดฟิลเลอร์ Art Filler ในบริเวณขมับ จะช่วยแก้ไขปัญหาขมับตอบ เติมเต็มขมับที่ยุบตัวลง พร้อมช่วยยกกระชับใบหน้า ปรับรูปหน้าให้สมดุล ทำให้ใบหน้าอิ่มฟู ดูมีมิติมากขึ้น โหนกแก้มดูลดลง ใบหน้ามีความละมุนและดูอ่อนเยาว์

                           

                          • หน้าผาก
                            การฉีดฟิลเลอร์ Art Filler ในบริเวณหน้าผาก จะช่วยแก้ไขปัญหาหน้าผากเป็นแอ่งยุบตัวลง หน้าผากแบน ร่องลึกบนหน้าผาก ทำให้หน้าผากนูนสวย ใบหน้าดูสมดุล มีมิติ รวมถึง เสริมโหงวเฮ้งรับทรัพย์ให้ดีมากขึ้น

                           

                          • แก้มส้ม
                            การฉีดฟิลเลอร์ Art Filler ในบริเวณแก้มส้ม จะช่วยเติมเต็มในส่วนกระดูกที่เกิดการยุบตัวลงบริเวณหน้าแก้ม ทำให้มีเกิดหน้าแก้มแบน แก้มตอบ ผิวหย่อนคล้อย รวมถึง ร่องลึกใต้ตาและร่องแก้ม ทำให้หน้าแก้มอิ่มฟู ดูอ่อนกว่าวัย ใบหน้าดูสดใส และเสริมโหงวเฮ้งได้อีกด้วย

                           

                          • คาง
                            การฉีดฟิลเลอร์ Art Filler ในบริเวณคาง จะช่วยแก้ไขปัญหาคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม คางไม่สมส่วน หน้ากลม พร้อมปรับรูปทรงคาง ทำให้คางยาวได้สัดส่วน ใบหน้าเรียวเล็ก มีมิติมากขึ้น

                           

                          • ริมฝีปาก
                            การฉีดฟิลเลอร์ Art Filler ในบริเวณริมฝีปาก จะช่วยเติมเต็มริ้วรอยรอบขอบปาก แก้ไขปัญหาริมฝีปากบาง ริมฝีปากแห้ง ริมฝีปากไม่เท่ากัน สามารถปรับรูปทรงริมฝีปากได้ตามต้องการ ทำให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม ชุ่มชื้น และอิ่มฟูขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

                           

                          • กรอบหน้า
                            การฉีดฟิลเลอร์ Art Filler ในบริเวณกรอบหน้า จะช่วยปรับโครงสร้างใบหน้า แก้ไขปัญหาใบหน้าส่วนล่างมีความหย่อนคล้อย หน้าบาน กรอบหน้าไม่ชัด ไม่มีมิติ ทำให้สันกรามคมชัดขึ้น ใบหน้ามีมิติ รูปหน้าดูสมส่วน ใบหน้าเล็กลง มีความวีเชฟ (V-Shape) มากขึ้น

                          ART Filler

                          ข้อดีของฟิลเลอร์ Art Filler

                          • ฟิลเลอร์ Art Filler สามารถแก้ไขปัญหา ปรับแต่งรูปหน้า หรือเติมเต็มส่วนที่ขาดได้อย่างหลากหลาย ครอบคลุมทุกจุดของใบหน้า
                          • ฟิลเลอร์ Art Filler มีความปลอดภัยสูง ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ของไทย
                          • ฟิลเลอร์ Art Filler สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่เป็นอันตราย ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้และไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในร่างกาย
                          • ฟิลเลอร์ Art Filler สามารถเติมเพิ่มหรือลดปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ได้ตามความต้องการ แก้ไขได้ง่าย ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย
                          • ฟิลเลอร์ Art Filler เห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันทีหลังฉีด โดยไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
                          • ฟิลเลอร์ Art Filler ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน คงอยู่ได้หลายเดือน รวมถึง มีความเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งทื่อ ไม่ดูโป๊ะ

                          ART Filler

                          ฟิลเลอร์ Art Filler เหมาะกับใคร?

                          • ฟิลเลอร์ Art Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า
                          • ฟิลเลอร์ Art Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ใบหน้าไม่กระชับตามวัย
                          • ฟิลเลอร์ Art Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีใบหน้าไม่สมส่วน สัดส่วนไม่เท่ากัน
                          • ฟิลเลอร์ Art Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเติมเต็มและเพิ่มวอลุ่มให้ใบหน้า
                          • ฟิลเลอร์ Art Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ขาดน้ำ ไม่ชุ่มชื้น รูขุมขนกว้าง
                          • ฟิลเลอร์ Art Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ผิวบอบบาง
                          • ฟิลเลอร์ Art Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่มีเวลาพักฟื้น
                          • ฟิลเลอร์ Art Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เร่งด่วน ฉีดแล้วดูดีขึ้นแบบเห็นได้ชัด

                          ฟิลเลอร์ Art Filler มีข้อจำกัดอย่างไร?

                          • ฟิลเลอร์ Art Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังรับประทานกลุ่มยาแอสไพริน เนื่องจากยากลุ่มนี้ จะไปยับยั้งการแข็งตัวของเลือด ทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
                          • ฟิลเลอร์ Art Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เป็นโรคเลือดออกง่าย
                          • ฟิลเลอร์ Art Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีการติดเชื้อหรืออักเสบ ในบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ เช่น หูด สิวอักเสบ ควรรักษาให้หายก่อน จึงค่อยพิจารณาฉีดฟิลเลอร์
                          • ฟิลเลอร์ Art Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประวัติการแพ้สารไฮยาลูรอนิก ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของฟิลเลอร์
                          • ฟิลเลอร์ Art Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประวัติการแพ้ยาชา
                          • ฟิลเลอร์ Art Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ไปก่อน

                          ข้อปฏิบัติก่อนฉีดฟิลเลอร์ Art Filler

                          • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Art Filler ควรศึกษาข้อมูลและรายละเอียดที่จำเป็นก่อนตัดสินใจฉีด เช่น ฟิลเลอร์ Art Filler มีกี่รุ่น แต่ละรุ่นต่างกันอย่างไร และสามารถฉีดฟิลเลอร์จุดไหนได้บ้าง
                          • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Art Filler งดรับประทานกลุ่มยาแอสไพริน อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการเกิดรอยช้ำหลังฉีดฟิลเลอร์
                          • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Art Filler งดรับประทานยาหรืออาหารเสริม ที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนฉีดฟิลเลอร์
                          • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Art Filler งดกิจกรรมหรือการออกกำลังกายหนัก ๆ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                          • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Art Filler งดการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง เนื่องจากอาจส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด
                          • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Art Filler งดใช้ยาหรือครีมที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว รวมถึง การโกนและดึงขนในบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์

                          ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ Art Filler

                          • ปรึกษาแพทย์ โดยแพทย์จะทำการประเมินสภาพผิวหน้า เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและแนะนำรุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะสม ปริมาณที่ต้องใช้ และบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์
                          • แจ้งประวัติโรคประจำตัว ประวัติยาที่รับประทานเป็นประจำ ประวัติการทำหัตถการ ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
                          • ทำความสะอาดผิวหน้า ในบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ หากมีการแต่งหน้ามา จะมีการเช็ดเครื่องสำอางในบริเวณที่ฉีดออกให้สะอาด
                          • ก่อนทำการฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะแกะกล่องฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า เพื่อความปลอดภัย สามารถขอตรวจสอบได้ว่า ฟิลเลอร์ที่ฉีดเป็นของแท้หรือไม่
                          • เนื่องจากฟิลเลอร์ Art Filler มีส่วนผสมของยาชา เพื่อลดความรู้สึกเจ็บขณะฉีดฟิลเลอร์อยู่แล้ว จึงไม่ต้องมีการแปะยาชาเพิ่มเติม
                          • แพทย์จะทำการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปยังผิวหนัง ในบริเวณที่ต้องแก้ไขหรือเติมเต็ม โดยแพทย์จะทำการปรับรูปทรงให้สวยงามตามความต้องการ ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติที่สุด
                          • เมื่อฉีดฟิลเลอร์เสร็จแล้ว แพทย์จะแนะนำข้อปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่ได้เร็วและลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียง

                          ART Filler

                          ข้อปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์ Art Filler

                          • หลังฉีดฟิลเลอร์ Art Filler งดการสัมผัส แตะ แกะ เกา หรือนวดหน้าในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากจะทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่และเสียรูปทรงได้
                          • หลังฉีดฟิลเลอร์ Art Filler งดการแต่งหน้า อย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก เนื่องจากอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและติดเชื้อได้
                          • หลังฉีดฟิลเลอร์ Art Filler หลีกเลี่ยงแสงแดดหรือความร้อนทุกชนิด เช่น ซาวน่า ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ปิ้งย่าง หมูกระทะ หรือกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องตากแดดนาน ๆ
                          • หลังฉีดฟิลเลอร์ Art Filler งดการเลเซอร์ที่ใช้พลังงานความร้อน ลงผิวชั้นลึก อย่างน้อย 1 เดือน
                          • หลังฉีดฟิลเลอร์ Art Filler ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เนื่องจากฟิลเลอร์เป็นสารอุ้มน้ำ จะทำให้ผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น
                          • หลังฉีดฟิลเลอร์ Art Filler งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพื่อลดอาการอักเสบและอาการบวมช้ำ

                          ผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีดฟิลเลอร์ Art Filler

                          • ริ้วรอยและร่องลึกต่าง ๆ ลดลง ผิวหน้าเรียบเนียน ดูอ่อนกว่าวัยมากขึ้น
                          • ผิวอิ่มน้ำ มีความชุ่มชื้น ดูสุภาพดี รูขุมขนดูเล็กลง
                          • ใบหน้ามีความสมดุล รูปหน้าได้สัดส่วน ดูละมุนมากขึ้น
                          • ผิวกระชับ ลดความหย่อนคล้อยบนใบหน้า
                          • ผิวอิ่มฟู ดูอวบอิ่ม มีความยืดหยุ่น ดูมีวอลุ่มมากขึ้น

                          ฟิลเลอร์ Art Filler แตกต่างจากฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่นอย่างไร?

                          ฟิลเลอร์ Art Filler มีความพิเศษและแตกต่างจากฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ อยู่ โดยเฉพาะในด้านของเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต ซึ่งแต่ละยี่ห้อจะมีเทคโนโลยีที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่

                          • ฟิลเลอร์ Art Filler : เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์สัญชาติฝรั่งเศส ใช้เทคโนโลยีพิเศษในการผลิต TRI-HYAL Technology ซึ่งผสมผสานไฮยาลูรอนิก 3 รูปแบบเข้าด้วยกัน ทำให้เนื้อมีความยืดหยุ่นและเรียบเนียนเข้ากับผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ แก้ไขปัญหาผิวหน้าได้อย่างหลากหลาย นอกจากนี้ ยังมีปริมาณสาร BDDE น้อยกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป จึงช่วยลดโอกาสในการเกิดการอักเสบและอาการแพ้ได้

                           

                          • ฟิลเลอร์ Juvederm : เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์สัญชาติอเมริกา ที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทั่วโลก ซึ่งใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต ได้แก่ Hylacross Technology ที่สามารถอุ้มน้ำได้ดี มีความยืดหยุ่นสูง ทำให้ผิวอิ่มฟู และ Vycross Technology ที่มีความแข็งแรงและหนาแน่นสูง คงรูปได้ดี เหมาะสำหรับการยกกระชับและปรับรูปหน้า นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ Juvederm ยังมีหลากหลายรุ่นให้เลือกใช้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ ในการแก้ไขปัญหาผิวหน้าที่แตกต่างกันได้อย่างแม่นยำ สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน

                           

                          • ฟิลเลอร์ Restylane : เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์สัญชาติสวีเดน มีการพัฒนามาอย่างยาวนานกว่า 25 ปี ถือเป็นอีกหนึ่งยี่ห้อที่ได้รับความนิยมทั่วโลกเช่นกัน ซึ่งฟิลเลอร์ Restylane ใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต ได้แก่ NASHA Technology ที่ทำให้เนื้อฟิลเลอร์ มีความคงตัวและหนาแน่นสูง ส่งผลให้ฟิลเลอร์คงรูปได้นาน ไม่ไหลย้อยง่าย และ OBT Technology ที่ทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นสูง สามารถนำมาใช้ในการปรับรูปทรงได้อย่างหลากหลาย ผสานกับผิวอย่างเรียบเนียน นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ Restylane ยังมีหลายรุ่นให้เลือกใช้ เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                           

                          • ฟิลเลอร์ Belotero : เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีคุณภาพและความปลอดภัยสูง ใช้เทคโนโลยี CPM (Cohesive Polydensified Matrix) ในการผลิต ทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความหนาแน่นและความยืดหยุ่นสูง แต่ยังคงรูปได้ดี ไม่ไหลย้อยง่าย และผสานเข้ากับผิวได้อย่างเรียบเนียน มีให้เลือกหลากหลายรุ่น เพื่อตอบโจทย์สำหรับทุกปัญหาผิวโดยเฉพาะ

                           

                          รวมคำถามเกี่ยวกับฟิลเลอร์ Art Filler

                          • อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้น หลังฉีดฟิลเลอร์ Art Filler

                          หลังจากฉีดฟิลเลอร์ Art Filler แล้วอาจมีรอยแดงจากเข็มในบริเวณที่ฉีดเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเอง ภายใน 2 – 3 วัน รวมถึง อาจมีอาการบวมช้ำในบริเวณที่ฉีด ซึ่งถือเป็นอาการปกติที่พบได้บ่อยหลังฉีดฟิลเลอร์ และจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 7 – 14 วัน จากนั้นฟิลเลอร์จะเข้าที่และเซตตัวได้ดี เห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน

                          • ฟิลเลอร์ Art Filler อยู่ได้นานแค่ไหน?

                          ฟิลเลอร์ Art Filler แต่ละรุ่นมีระยะเวลาในการคงอยู่ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความหนาแน่น ความยืดหยุ่น และปริมาณกรดไฮยาลูรอนิกในเนื้อฟิลเลอร์ รวมถึง บริเวณที่ต้องการฉีด หากเป็นบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย เช่น ริมฝีปาก ฟิลเลอร์จะสลายตัวได้รวดเร็วกว่าบริเวณอื่น ๆ โดยสามารถแบ่งระยะเวลาตามรุ่นได้ ดังนี้

                          1. Art Filler Fine Line : สามารถอยู่ได้นานถึง 12 เดือน
                          2. Art Filler Universal :สามารถอยู่ได้นานถึง 12 เดือน
                          3. Art Filler Volume    :สามารถอยู่ได้นานถึง 18 เดือน
                          4. Art Filler Lips Soft : สามารถอยู่ได้นานถึง 3 – 6 เดือน
                          5. Art Filler Lips         : สามารถอยู่ได้นานถึง 3 – 6 เดือน
                          • ฟิลเลอร Art Filler ปลอดภัยไหม?

                          ฟิลเลอร์ Art Filler มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากเป็นยี่ห้อที่ได้รับการรับรองจาก อย. ไทย ซึ่งฟิลเลอร์สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ ไม่ตกค้างสามารถปรับแก้ผลลัพธ์ได้ตามใจชอบหากไม่พอใจ โดยไม่เป็นอันตรายใด ๆ ต่อร่างกาย แต่ควรฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ

                          • ฟิลเลอร์ Art Filler เจ็บไหม?

                          เจ็บน้อยมากหรือแทบจะไม่รู้สึกเจ็บเลย เนื่องจากฟิลเลอร์ Art Filler ทุกรุ่น มีเทคโนโลยีและส่วนผสมที่พัฒนาแล้ว จึงมีส่วนประกอบของยาชาร่วมด้วย ทำให้ระหว่างการฉีด จะรู้สึกแค่เหมือนถูกเข็มจิ้มเบา ๆ หรืออาจจะไม่รู้สึกเจ็บเลยด้วยซ้ำ

                          • ฟิลเลอร์ Art Filler ฉีดกี่วันถึงจะเห็นผล?

                          ผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์ Art Filler สามารถเห็นผลได้ทันทีหลังการฉีด และเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุด หลังจากอาการบวมช้ำค่อย ๆ ลดลงแล้ว ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 7 – 14 วันหลังฉีด

                          • ฟิลเลอร์ Art Filler สามารถฉีดร่วมกับฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่นได้ไหม?

                          สามารถฉีดได้ หากฟิลเลอร์ยี่ห้อที่ใช้ผลิตจาก ไฮยาลูรอนิก แอซิด เหมือนกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ โดยแพทย์จะสามารถเลือกรุ่นและยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับความต้องการ และบริเวณที่มีปัญหาได้อย่างตรงจุด

                           

                          ฟิลเลอร์ Art Filler นับว่า เป็นฟิลเลอร์อีกหนึ่งยี่ห้อที่มีความปลอดภัยสูง ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก อย. ไทย สามารถตอบโจทย์ปัญหาผิวหน้าได้อย่างหลากหลาย ตั้งแต่ริ้วรอยเล็ก ๆ ไปจนถึงริ้วรอยร่องลึก พร้อมแก้ไขและปรับโครงสร้างใบหน้าที่ยุบตัวลง จากการที่อายุมากขึ้นได้เป็นอย่างดี ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เรียบเนียนไปกับผิว ไม่ดูโป๊ะหรือแข็งทื่อจนเกินไป ทั้งนี้ทั้งนั้น แนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์ Art Filler กับแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถ และรู้จักชั้นผิวเป็นอย่างดี มีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์โดยตรง คลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ มีเลขใบอนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้อง เพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกายในอนาคต

                          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                            วันที่สะดวกในการติดต่อ








                            ฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ริ้วรอย รวมทุกเรื่องควรรู้ก่อนทำ

                            ฟิลเลอร์หน้าผาก

                            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                              วันที่สะดวกในการติดต่อ








                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ริ้วรอย ปรับโหงวเฮ้งควรรู้อะไรบ้าง? รวมทุกเรื่องต้องรู้ก่อนทำ

                              การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน เพื่อแก้ไขหรือเติมเต็มให้ใบหน้ามีความสมส่วนมากขึ้น เช่น ฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์ร่องแก้ม เป็นต้น ซึ่งนอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งหัตถการที่หลายคนเลือกทำเพื่อเสริมความมั่นใจคือ การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอย รอยย่นบนหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน หน้าผากบุ๋ม หน้าผากยุบ ช่วยเพิ่มความโหนกนูน แก้ปัญหาหน้าผากแบน ทำให้ใบหน้าดูมีมิติและมีความสมดุลมากขึ้น

                              ในบทความนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงได้รวบรวมทุกข้อมูลที่ควรรู้ก่อนฉีดว่า ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากคืออะไร? ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากช่วยอะไร? ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเหมาะกับใคร และรวมเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ

                               

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาริ้วรอย เพิ่มความโหนกนูน เจาะลึกเรื่องต้องรู้ก่อนทำ

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน คืออะไร

                              การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากคือการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) เข้าไปที่บริเวณหน้าผาก เพื่อช่วยเติมเต็ม แก้ปัญหาริ้วรอยบนหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากยุบ หน้าผากบุ๋ม หน้าผากแบน อีกทั้งยังช่วยปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วนมากขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มความโหนกนูน ของหน้าผาก เพื่อโหงวเฮ้งที่ดีได้อีกด้วย

                              ยังทำให้หน้าผากดูเต่งตึงและผิวชุ่มชื้นมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากจะเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ และยังมีความปลอดภัยเนื่องจากสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ

                               

                              ปัญหาหน้าผาก เกิดจากอะไรบ้าง

                              • ปัญหาริ้วรอย ร่องลึกบริเวณหน้าผาก : สาเหตุของปัญหาริ้วรอยร่องลึกบริเวณหน้าผากส่วนมากเกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้โครงสร้างของผิวและการทำงานของเซลล์ผิวเริ่มเสื่อมลงตามวัย
                              • ปัญหาหน้าผากยุบ : เกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้กระดูกทรุดลง ไขมันบริเวณใบหน้าเริ่มยุบตัวลงกลายเป็นแอ่งเหนือคิ้ว ส่งผลให้ใบหน้าดูแก่ก่อนวัย
                              • ปัญหาหน้าผากแบน : เกิดจากการที่โครงสร้างกระดูกทรุดตัวลง และเนื้อเยื่อที่ค่อย ๆ ลดหายไปตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น

                               

                              ฟิลเลอร์หน้าผาก

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน บริเวณไหนได้บ้าง

                              บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์หน้าเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยบบริเวณหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน หน้าผากยุบ หน้าผากบุ๋ม ซึ่งบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก มีดังนี้

                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก บริเวณร่องเหนือคิ้ว : เมื่ออายุที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันทำให้ร่องหน้าผากบริเวณเหนือคิ้วเกิดการยุบตัวเป็นร่อง การฉีดฟิลเลอร์บริเวณร่องเหนือคิ้วจะเหมาะกับผู้ที่ต้องการความเรียบเนียน ละมุนบนหน้าผาก
                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก บริเวณกลางหน้าผาก : การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเหมาะกับผู้ที่ต้องการเสริมหน้าผากให้มีความโหนกนูน เต่งตึง แก้ปัญหาหน้าผากยุบ หน้าผากแบน หน้าผากบุ๋ม รวมไปถึงหน้าผากไม่เนียน เพื่อความเรียบเนียน นูนสวย และไม่เป็นคลื่น

                               

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ช่วยอะไรบ้าง

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากด้วยสารเติมเต็มประเภทไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) เข้าไปที่บริเวณหน้าผากเพื่อช่วยแก้ปัญหาดังต่อไปนี้

                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ช่วยแก้ปัญหาหน้าผากบุ๋ม หน้าผากบุ๋ม
                                ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ช่วยเติมเต็มให้หน้าผากสวยได้รูปอย่างเป็นธรรมชาติ
                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยที่หน้าผากให้เรียบเนียนขึ้น
                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ช่วยปรับรูปทรงหน้าผากให้สวยงามได้รูป ตรงตามโหงวเฮ้ง

                               

                              ทรงหน้าผากที่บ่งบอกว่าเป็นคนมีวาสนาดีตามโหงวเฮ้งเป็นแบบไหน 

                              โหงวเฮ้งหน้าผากตามฉบับตำราจีนจะมีความเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ และหน้าที่การงานโดยตรง โดยมีลักษณะเด่นและลักษณะด้อย ดังนี้

                              ลักษณะเด่น : หน้าผากโหนกนูนแบบพอดี หน้าผากไม่ยุบ และหน้าผากใส เกลี้ยงเกลา ไร้ริ้วรอย บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ดีงามตามลักษณะของหน้าผากที่สวย
                              ลักษณะด้อย : หน้าผากมีลักษณะเป็นร่องบุ๋ม ไม่เรียบเนียน มีกระดูกโปน บ่งบอกถึงจะเจอแต่อุบัติเหตุหรือภัยร้ายต่าง ๆ หน้าที่การงานไม่เจริญก้าวหน้า ขาดคนอุปถัมภ์ค้ำชู

                              ซึ่งลักษณะของหน้าผากที่มีโหงวเฮ้งดีสามารถแก้ไขได้โดยการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากและการฉีดโบร่วม

                              ฟิลเลอร์หน้าผากฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน เหมาะกับใคร

                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหน้าผากแบนหรือหน้าผากแคบ
                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน เหมาะกับผู้ที่มีหน้าผากเป็นแอ่งยุบลงไปเหนือคิ้ว
                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน เหมาะกับผู้ที่มีหน้าผากเป็นคลื่น ไม่เรียบเนียน มีริ้วรอยหน้าผาก
                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับโหงวเฮ้งให้กับใบหน้า
                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่ต้องการพักฟื้นนาน

                              ฟิลเลอร์หน้าผาก

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน มีข้อดีและข้อควรระวังอะไรบ้าง

                              ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน มีดังนี้

                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก สามารถเพิ่มความโหนกนูนตามที่ต้องการได้
                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีแผล
                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เจ็บน้อยกว่าการผ่าตัดศัลยกรรมหน้าผาก
                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ และเห็นผลลัพธ์ชัดเจน 1-2 สัปดาห์
                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ฟิลเลอร์แท้ อยู่ได้นาน 1 ปี และสลายเองได้ตามธรรมชาติ
                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เมื่อฟิลเลอร์สลายหมดลง สามารถฉีดเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ
                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก หากต้องการแก้ไขปรับทรง สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ ไม่มีผลข้างเคียงอันตราย

                               

                              ข้อควรระวังของการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน มีดังนี้

                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ผลลัพธ์ไม่สามารถอยู่ได้ถาวร เนื่องจากฟิลเลอร์ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ
                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ต้องฉีดโดยใช้ฟิลเลอร์แท้เท่านั้น เพื่อความปลอดภัย
                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ไม่ควรฉีดเกิน 5 CC ในการฉีด 1 ครั้ง
                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ต้องฉีดกับแพทย์ผู้มีความรู้ความสามารถเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายได้

                               

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก vs การผ่าตัดเสริมหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน

                              • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน : ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์คางคือเจ็บน้อยกว่าการผ่าตัดเสริมคาง สามารถปรับเพิ่ม-ลดความโหนกนูนได้ตามที่ต้องการ ใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่า ไม่เกิน 7-14 วัน
                              • การผ่าตัดเสริมหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน : ข้อดีของการผ่าตัดเสริมคางด้วยซิลิโคนคือผลลัพธ์อยู่ได้ถาวร แต่ไม่ได้รับความนิยมเทียบเท่ากับการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เนื่องจากมีความบวมช้ำค่อนข้างมาก ต้องพักฟื้นนานเป็นเดือน มีรอยแผลบริเวณด้านในไรผมที่ค่อนข้างยาวตามขนาดของซิลิโคน ไม่สามารถปรับเพิ่ม-ลดความโหนกนูนได้ ต้องผ่าตัดเพื่อแก้ไขปรับแต่งเท่านั้น

                                 

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก vs การผ่าตัดเสริมหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน

                              • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน : ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากคือเจ็บน้อยกว่าการผ่าตัดเสริมหน้าผาก สามารถปรับเพิ่ม-ลดความโหนกนูนได้ตามที่ต้องการ ใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่า ไม่เกิน 7-14 วัน 
                              • การผ่าตัดเสริมหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน : ข้อดีของการผ่าตัดเสริมหน้าผากด้วยซิลิโคนคือผลลัพธ์อยู่ได้ถาวร แต่ไม่ได้รับความนิยมเทียบเท่ากับการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เนื่องจากมีความบวมช้ำค่อนข้างมาก ต้องพักฟื้นนานเป็นเดือน มีรอยแผลบริเวณด้านในไรผมที่ค่อนข้างยาวตามขนาดของซิลิโคน ไม่สามารถปรับเพิ่มหรือลดความโหนกนูนได้ ต้องผ่าตัดเพื่อแก้ไขปรับแต่งเท่านั้น

                               

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก vs การเติมไขมันหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน

                              • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน : เป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ที่มีความปลอดภัยสูง เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังฉีด และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 3 สัปดาห์ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และฟิลเลอร์จะย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ
                              • การเติมไขมันหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน : เป็นวิธีการใช้ไขมันที่ดูดจากบริเวณอื่นของร่างกายมาเติมหน้าผาก มีข้อดีคือลดความเสี่ยงในการแพ้ เนื่องจากใช้ไขมันของตัวเอง แต่การผ่าตัดเสริมหน้าผากมีกระบวนการดูดไขมันและต้องนำมาปั่นแยกของเหลว และมีแผลจากตำแหน่งที่ดูดไขมันมาใช้ มักไม่ได้ผลในการฉีดครั้งแรก ต้องฉีดซ้ำหลายครั้ง อีกทั้งยังมีโอกาสเกิดปัญหาผิวไม่เรียบเสมอกันได้อีกด้วย

                              เพราะฉะนั้นการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากตอบโจทย์การแก้ปัญหาริ้วรอยบริเวณหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากยุบ หน้าผากแบน หน้าผากบุ๋ม หน้าผากบุบด้วยสารเติมเต็มประเภทไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ที่มีความปลอดภัยสูง ผลลัพธ์อยู่ได้นาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ โดยฟิลเลอร์สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ สามารถฉีดซ้ำได้เรื่อย ๆ

                               

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ยี่ห้อไหนดี

                              การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ควรเลือกฟิลเลอร์รุ่นที่มีความคงตัว เนื้อละเอียด ซึ่งยี่ห้อและรุ่นที่แนะนำ มีดังนี้

                              ฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ยี่ห้อ Juvederm

                              • ฟิลเลอร์สัญชาติสหรัฐอเมริกา มีเทคโนโลยีการผลิตที่เฉพาะ เน้นความเป็นธรรมชาติ คือ Hylacross Technology และ Vycross Technology ออกแบบมาหลากหลายรุ่นเพื่อตอบโจทย์กับการแก้ปัญหาบนใบหน้า รุ่นที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก คือ
                                ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ยี่ห้อ Juvederm Volbella ฟิลเลอร์เทคโนโลยี Vycross Technology เป็นเนื้อฟิลเลอร์ที่มีโลเลกุลขนาดเล็กคล้ายกับเจลนิ่ม มีความเนียนละเอียด กลืนเข้ากับผิวได้ดี เหมาะสำหรับฉีดเติมเต็มบริเวณหน้าผาก หรือ ริมฝีปาก เพื่อให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน

                              ฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ยี่ห้อ Restylane

                              • ฟิลเลอร์แบรนด์แรกของโลกที่พัฒนาจากประเทศสวีเดน ที่แพทย์ทั่วโลกให้การยอมรับอย่างกว้างขวาง มีเทคโนโลยี NASHA Technology และ OBT Technology ที่โดดเด่นในเรื่องของความยืดหยุ่น เนื้อฟิลเลอร์มีความคงที่ ปรับทรงได้หลากหลาย รุ่นที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก คือ
                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ยี่ห้อ Restylane Vital เป็นฟิลเลอร์ที่มีเนื้อละเอียด เกลี่ยง่าย ช่วยในเรื่องของการปรับความชุ่มชื้น ให้ผลลัพธ์ที่เรียบเนียนได้เป็นอย่างเป็นธรรมชาติ แก้ปัญหาริ้วรอย ร่องตื้นและร่องลึก เหมาะสำหรับฉีดหน้าผาก ใต้ตา ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน

                              ฟิลเลอร์หน้าผาก

                              ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน เตรียมตัวอย่างไร

                              • ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก งดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง
                              • ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก งดรับประทานกลุ่มยาแอสไพรินและยาต้านการอักเสบ 2 สัปดาห์
                              • ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก งดวิตามินที่ต้านการรแข็งตัวของเลือด เช่น วิตามินอี น้ำมันตับปลา เป็นต้น
                              • ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก งดยาทาผิวชนิดผลัดเซลล์ผิวบริเวณที่ต้องการฉีด
                              • ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก กรณีมีโรคประจำตัว หรือยาที่ประทานประจำ ควรเตรียมข้อมูลเพื่อแจ้งแพทย์ก่อนการรักษา
                              • ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ควรงดแต่งหน้าในวันที่มารับบริการ เนื่องจากอาจมีเครื่องสำอางหรือสิ่งสกปรกตกค้างบริเวณใบหน้า แต่ถ้าหากจำเป็นต้องแต่งหน้าก่อนมารับบริการ ทางคลินิกจะทำความสะอาดผิวหน้าบริเวณที่ทำ
                              • ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ก่อนเข้ารับบริการ
                              • ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ควรเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะด้านเท่านั้น

                               

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน มีขั้นตอนอย่างไร

                              • ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก โดยแพทย์จะประเมินบริเวณหน้าผากของผู้ที่เข้ารับบริการก่อนทำ
                              • แพทย์จะช่วยแนะนำยี่ห้อและรุ่นที่เหมาะสมของการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากให้เหมาะสมกับความต้องการ
                              • เริ่มทำความสะอาดบริเวณหน้าผากก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เพื่อความสะอาดและความปลอดภัย
                              • แปะยาชาและประคบน้ำแข็งก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก
                              • แพทย์เริ่มฉีดฟิลเลอร์ลงบนบริเวณหน้าผาก ใช้ระยะเวลาในการฉีดประมาณ 30-45 นาที
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลตนเองหลังฉีดฟิลเลอร์ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                              ฟิลเลอร์หน้าผาก

                              หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ดูแลตัวเองอย่างไร

                              การดูแลตัวเองตามหลักปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก จะช่วยทำให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปเข้าที่ได้เร็วขึ้น ช่วยลดการอักเสบและการบวมช้ำจากการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก โดยการดูแลตัวเองมีขั้นตอน ดังนี้

                              • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผากแก้ปัญหาหน้าผากแบนได้ ทันที
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ควรรับประทานยาฆ่าเชื้อทันที
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ทางคลินิกจะมีการจ่ายยาบรรเทาอาการปวด ลดอาการบวม หรือยาฆ่าเชื้อ ควรรับประทานยาตามที่แพทย์แนะนำ
                                หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ห้ามเกา นวด คลึง ตรงบริเวณหน้าผาก เพราะจะทำให้ฟิลเลอร์หน้าผากเสียรูปทรงได้
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ห้ามเอามือก่ายหน้าผาก
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหรือนอนตะแคง ประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เสียรูปทรงได้
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน 24 ชั่วโมง
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก อาจมีอาการบวมเข็มเพิ่มมากขึ้น ทำให้บิรเวณหน้าผากมีความฟูขึ้นกว่าเดิม อาการจะค่อย ๆ หายไป ภายใน 1 สัปดาห์ และยุบลงในภายหลัง
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผากแก้ปัญหาหน้าผากแบน 7-14 วัน
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากอาจจะทำให้เกิดอาการบวม รอยแดง และการอักเสบ ส่งผลให้หน้าผากหายช้าลง
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ควรอยู่ในที่อากาศเย็นและหลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดอย่างน้อย 48 ชั่วโมง
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เนื่องจากมีสารในบุหรี่หลายชนิดที่ขยายหลอดเลือด ทำให้หน้าผากหายช้า
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก งดเลเซอร์ร้อนลงบนชั้นผิว เวลา 1 เดือน
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก งดอาหารรสจัดอาจทำให้เกิดการแสบร้อนและหน้าแดงได้
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก งดอาหารหารหมักดอง อาจเกิดการอักเสบและติดเชื้อได้
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ควรดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ฟิลเลอร์ฟูสวยและอยู่ได้นานขึ้น

                               

                              คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ใช้กี่ CC

                              การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากโดยปกติเป็นบริเวณที่ต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากกว่าบริเวณอื่น ๆ โดยขึ้นอยู่กับปัญหาและความต้องการในแต่ละบุคคล ดังนี้

                              • กรณีปัญหาทั่วไปที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเพื่อแก้ไขปัญหาร่องตื้นหน้าผาก บริเวณเหนือคิ้วที่ยุบตัว เพื่อให้หน้าผากเรียบเนียนเข้ารูป และไม่ได้ต้องการความโหนกนูน ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ 1-2 CC
                              • กรณีที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเพื่อเพิ่มความโหนกนูนเพื่อปรับโหงวเฮ้ง แก้ไขปัญหาหน้าผากยุบ หน้าผากแบน หน้าผากบุ๋มมาก ๆ อาจต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์ถึง 3-10 CC แต่แพทย์จะทำการฉีดฟิลเลอร์ครั้งละไม่เกิน 5 CC เท่านั้น เพื่อลดโอกาสเกิดการกดทับเนื้อเยื่อและอาการบวม

                               

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน เจ็บไหม?

                              • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากอาจมีความรู้สึกในระหว่างทำเล็กน้อย จะมีการแปะยาชาก่อนเริ่มฉีด และประคบน้ำแข็งระหว่างฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ทำให้ช่วยลดโอกาสที่จะเกิดอาการบวมและรอยช้ำได้

                               

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน กี่วันเห็นผล?

                              • หลังจากการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากจะเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงทันที โดยหลังจากนั้นอาจมีอาการบวมเข็มจากการฉีดฟิลเลอร์ที่ยังไม่เข้าที่ ซึ่งใช้ระยะเวลาในการยุบและการเข้าที่ของฟิลเลอร์ประมาณ 7-14 วัน

                               

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน มีผลข้างเคียงไหม

                              ผลข้างเคียงหลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผากที่อาจพบได้ มีดังนี้

                              • อาจมีอาการบวม และหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ ซึ่งสามารถรับประทานยาบรรเทาอาการปวดและลดบวมได้
                              • อาจมีผื่นหรือจุดแดงบริเวณรอยเข็มที่ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากอาจเกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์หรือเกิดการอักเสบ โดยมีลักษณะเป็นก้อนบวมนูน ผิวแดง และรู้สึกปวดมาก หากมีอาการดังกล่าวจะต้องรีบไปแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที
                              • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากแล้วเป็นคลื่น เป็นก้อน ผิวไม่เรียบ เกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ผิดชั้นผิวหนังหรือฉีดตื้นเกินไป สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดสลายฟิลเลอร์

                               

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน อยู่ได้นานแค่ไหน

                              • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากอยู่ได้นานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ และการดูแลตัวเองหลังการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ซึ่งปกติผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์จะอยู่ได้นานถึง 1 ปี

                               

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน อันตรายไหม

                              • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากไม่อันตราย หากฉีดด้วยฟิลเลอร์แท้ ฉีดโดยแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน และเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน สะอาดและปลอดภัย เพราะบริเวณหน้าผากเป็นจุดที่อันตรายมาก เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดที่เชื่อมไปถึงลูกตา ต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และมีความชำนาญเท่านั้น การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากต้องใช้ปริมาณของฟิลเลอร์ที่ค่อนข้างมากกว่าบริเวณอื่น ๆ จำเป็นต้องใช้เทคนิคพิเศษในการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเพื่อความปลอดภัย

                               

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน บวมกี่วัน

                              • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผากจะมีอาการบวมเป็นปกติ และจะหายไปเอง ภายใน 1 สัปดาห์ โดยสามารถทานยาแก้ปวด เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดให้เบาลงได้

                               

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากนูนเกินไป แก้ปัญหาหน้าผากแบน สามารถแก้ได้หรือไม่

                              • กรณีที่ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากด้วยฟิลเลอร์แท้ สามารถฉีดสลายได้ด้วยตัวยาสลายฟิลเลอร์ Hyaluronidase ซึ่งจะเข้าไปเพื่อลดการกักเก็บน้ำและไขมัน ทำลายการยึดเกาะของเนื้อฟิลเลอร์ ทำให้ผิวกลับมาเรียบเสมอกันอีกครั้ง

                               

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน สลายได้ไหม

                              • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ผลลัพธ์ไม่ได้อยู่ถาวร หลังฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) จะสลายได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่ตกค้างในร่างกาย ซึ่งระยะเวลาของผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ และขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก หากต้องการผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากแบบต่อเนื่อง ควรฉีดซ้ำเรื่อย ๆ เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้อยู่นานขึ้น

                               

                              ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากแล้วเป็นก้อน เป็นคลื่นไม่เรียบเนียน ไหลย้อย เกิดจากอะไร

                              • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก จำเป็นต้องใช้เทคนิคการฉีดและประสบการณ์ของแพทย์ เพราะถ้าหากฉีดฟิลเลอร์หน้าผากหากฉีดไม่ดีหรือฉีดตื้นเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาฟิลเลอร์เป็นก้อน เป็นคลื่น และเกิดการไหลย้อยได้ เนื่องจากถูกกล้ามเนื้อดึงมารวมกันไว้ ในด้านของเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แพทย์ต้องฉีดเนื้อฟิลเลอร์เข้าไปบริเวณชั้นเยื่อหุ้มกระดูก เพื่อให้เนื้อฟิลเลอร์พยุงแผ่นเยื่อหุ้มกระดูกขึ้นมา ทำให้ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากดูมีความเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นคลื่น ฟิลเลอร์ไม่ไหลหรือไม่เคลื่อนย้ายไปตำแหน่งอื่น

                               

                              การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เป็นการช่วยแก้ไขปัญหาหน้าผากแบน หน้าผากยุบ หน้าผากบุ๋ม รวมไปถึงแก้ปัญหารอ้วรอยบนหน้าผาก เสริมปรับให้หน้าผากมีความโหนกนูนขึ้น ช่วยปรับให้หน้าผากมีความเรียบเนียน เต่งตึงขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับใบหน้าให้ดูมีมิติและสมส่วนอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น หลังจากฉีดฟิลเลอร์หน้าผากจะเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงทันที

                              สำหรับใครที่กำลังมองหาคลินิกฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ที่สะอาด ปลอดภัย และมีมาตรฐาน ต้องเลือกรมย์รวินท์คลินิกดูแลทุกปัญหาความงามของคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายทุกคน พร้อมมอบการดูแลตัวเองสุดพิเศษในฉบับที่เป็นคุณที่ดีกว่าเดิมอีกด้วย

                              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                                วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                ฟิลเลอร์ร่องแก้มคืออะไร ทำไมต้องฉีด ยี่ห้อไหนดี?

                                ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                  วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                  เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นปัญหาที่เด่นชัดบนใบหน้าที่ใครหลายคนกังวล คือ ปัญหาริ้วรอยร่องแก้มลึก ซึ่งปัญหานี้ทำให้ดูแก่กว่าวัยได้อีกด้วย ส่งผลทำให้ใครหลายคนที่กำลังเจอกับปัญหาเหล่านี้สูญเสียความมั่นใจ ในปัจจุบันสามารถแก้ปัญหาริ้วรอยร่องแก้มลึกได้ด้วยวิธีการ “การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม” เพื่อเติมเต็มในส่วนที่ยุบตัวลง

                                  วันนี้รมย์รวินท์คลินิกรวบรวมข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มว่า ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มคืออะไร ฟิลเลอร์ร่องแก้มอันตรายไหม ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มยี่ห้อไหนดี และฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มต้องใช้กี่ CC และข้อควรรู้ของการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ว่าก่อนฉีดและหลังฉีดต้องปฏิบัติตัวเองอย่างไร หาคำตอบได้แล้วในบทความนี้

                                  ฟิลเลอร์ร่องแก้มคืออะไร รวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                                  ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                                  ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คืออะไร?

                                  ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) เข้าไปในบริเวณร่องแก้มที่ยุบตัวลงไปได้อย่างเห็นผลลัพธ์และตรงจุด โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เพื่อแก้ปัญหาร่องแก้มลึก ร่องแก้มชัด ที่ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย โดยฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มร่องแก้มให้ผิวหน้าดูเต็ม และร่องแก้มตื้นขึ้น ผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอกว่าเดิม และใบหน้าดูเด็กลง

                                  ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                                  ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เกิดจากสาเหตุอะไร?

                                  ปัญหาร่องแก้มลึกเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ โดยจะเกิดขึ้นเมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป ทำให้ใบหน้าดูแก่ก่อนวัย ซึ่งสาเหตุร่องแก้มลึกมี 4 ปัจจัยหลัก ดังนี้

                                  เกิดจากการทรุดตัวของกระดูกร่องแก้มโดยตรง

                                  มักพบได้ตั้งแต่คนที่อายุ 20-30 ปี ซึ่งบริเวณร่องแก้มยังไม่ลึกมาก และกระดูกช่วงบริเวณใต้ตายังทรุดตัวไม่มาก สามารถแก้ไขด้วยการฉีดฟิลเลอร์แก้ม โดยฉีดลงในชั้นกระดูกใต้กล้ามเนื้อ และฉีดในจุดที่ต่ำกว่าร่องแก้มเล็กน้อย

                                  เกิดจากการทรุดตัวของกระดูกบริเวณใต้ตา

                                  การทรุดตัวของกระดูกบริเวณใต้ตามักพบได้ในคนที่อายุ 30 ปีขึ้นไป โดยกระดูกบริเวณใต้ตามีการทรุดตัวที่ค่อนข้างมาก ทำให้เนื้อแก้มด้านบนหย่อนคล้อยลงมาบริเวณเหนือร่องแก้ม จึงทำให้บริเวณร่องแก้มดูลึก สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา และฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม โดยฉีดเพื่อยกผิวในชั้นกระดูกเพื่อดึงโครงสร้างผิวโดยรวมทั้งหมดขึ้นไปด้านบน จะช่วยทำให้ร่องแก้มตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

                                  เกิดจากการยิ้มบ่อย ๆ

                                  การยิ้มบ่อยเกินไปจะทำให้กล้ามเนื้อที่ดึงร่องแก้มแข็งแรงเกินไป สามารถแก้ไขได้ด้วยเทคนิคการฉีดโบในปริมาณที่น้อยมาก ๆ ลงในชั้นผิวหนัง เพื่อให้เส้นใยของกล้ามเนื้อที่มาเกาะผิวหนังชั้นบนคลายตัว โดยไม่ทำให้กล้ามเนื้อชั้นล่างคลายไปด้วย แต่ไม่ควรแก้ด้วยการฉีดโบ 100% เพราะจะทำให้การยิ้มดูแข็ง ไม่เป็นธรรมชาติ ควรแก้ด้วยฉีดโบ 50% และแก้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์หนุนหรือฉีดกดกล้ามเนื้อ เพื่อควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อบางส่วน ให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติ

                                  การสูญเสียไขมันใต้ผิวหนัง

                                  เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินน้อยลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผิวเต่งตึงและมีความยืดหยุ่น โดยไขมันใต้ชั้นผิวหนัง (subcutaneous fat) จะลดลงด้วย โดยไขมันชั้นนี้มีความสำคัญในการให้ความเติมเต็มของใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณแก้ม เมื่อไขมันใต้ผิวหนังลดลงจึงส่งผลให้ผิวหนังยุบตัวลงตาม จนเกิดร่องลึกบริเวณแก้ม ทำให้ใบหน้าดูผอมลง โครงหน้าชัดขึ้น

                                  เกิดจากผิวแห้ง หรือ เกิดจากการตากแดดบ่อย

                                  ลักษณะผิวจะเกิดเป็นริ้วตื้นบริเวณร่องแก้ม ทำให้ชั้นผิวบางลงและเกิดรอยพับง่าย สามารถใช้ฟิลเลอร์ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับชั้นผิวหนังได้โดยตรง โดยเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก เพื่อให้เรียบเนียนไม่เป็นก้อน

                                  ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยอะไรบ้าง?

                                  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยเติมเต็มร่องแก้มลึก ทำให้ผิวบริเวณร่องแก้มดูตื้นขึ้น ริ้วรอยดูจางลง ใบหน้าเรียบเนียนขึ้น
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยปรับรูปหน้าให้สมดุลและมีสัดส่วนที่ดีขึ้น
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยเติมเต็มแก้มตอบ หรือ แก้มส้ม ทำให้ใบหน้าดูเต็ม อิ่มฟู และดูอ่อนเยาว์ขึ้น
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยยกกระชับใบหน้า เพิ่มมิติให้ใบหน้า และทำให้ใบหน้าดูเต่งตึงขึ้น
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าแลดูฉ่ำวาว ผิวแลดูสุขภาพดี

                                  ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                                  ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เหมาะกับใคร?

                                  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เหมาะกับผู้ที่มีร่องแก้มลึกชัดเจน
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เหมาะกับผู้ที่แก้มหย่อนคล้อย หรือเนื้อแก้มเยอะจนเกิดรอยพับ
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เหมาะกับผู้ที่มีร่องแก้มลึกชัดเจน จากกล้ามเนื้อบริเวณร่องแก้มทำงานมากเกินไป
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เหมาะกับผู้ที่มีกระดูกใต้ตาและร่องแก้มลดลง จนเกิดเป็นร่องแก้มลึก
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เหมาะกับผู้ที่มีผิวหน้าแห้ง มักจะเกิดริ้วรอยและร่องแก้มง่าย

                                  ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ดีอย่างไร?

                                  การมีร่องแก้มทำให้ใบหน้าดูมีอายุ การแก้ปัญหาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะช่วยทำให้ใบหน้ากลับมาดูอ่อนเยาว์ขึ้น ซึ่งข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม มีดังนี้

                                  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ทำให้ใบหน้ายกกระชับขึ้น ริ้วรอยร่องลึกดูตื้นจางลง
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยเติมเต็มใบหน้าให้เด็กลง
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม จะช่วยในการกักเก็บน้ำ ให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณร่องแก้มให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เห็นผลลัพธ์ทันที และผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นใน 7-14 วัน
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีรอยแผลเป็น
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยแก้ปัญหาโหนกแก้มใหญ่จากผิวที่หย่อนคล้อย ให้หน้าเล็กลงกระชับขึ้น
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยแก้ไขใบหน้าที่ไม่ได้สัดส่วน ให้สมดุลรับกับใบหน้ามากขึ้น
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม สามารถสลายเองได้เองตามธรรมชาติ ไม่ตกค้างในร่างกาย
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มแท้ มีความปลอดภัย ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง

                                  ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มยี่ห้อไหนดี?

                                  การเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ร่องแก้ม แพทย์จะเป็นผู้เลือกตามปัญหาร่องลึกของผู้เข้ารับบริการ โดยแพทย์จะเลือกตามลักษณะของเนื้อฟิลเลอร์ที่ต้องใช้เป็นหลัก การเลือกลักษณะของเนื้อฟิลเลอร์เป็นสิ่งสำคัญมากในการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เพราะหากเลือกใช้เนื้อฟิลเลอร์ผิดประเภท อาจทำให้ปัญหาร่องแก้มไม่หาย หรือร่องแก้มชัดกว่าเดิม นอกจากนี้ฟิลเลอร์อาจเป็นก้อนได้

                                  ในการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เป็นวิธีที่ช่วยเติมเต็มบริเวณร่องแก้ม ทำให้ริ้วรอยร่องแก้มลดน้อยลงและริ้วรอยดูตื้นขึ้น ทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย เพราะฉะนั้นควรเลือกฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับบริเวณร่องแก้ม โดยฟิลเลอร์ที่เหมาะกับการฉีดบริเวณร่องแก้มมักจะใช้เนื้อฟิลเลอร์ที่มีเนื้อแน่นแข็งและเนื้อนิ่ม ฟิลเลอร์เนื้อแข็งจะคงรูปได้ดีเหมาะกับการฉีดในผิวหนังใต้ชั้นกล้ามเนื้อ ส่วนฟิลเลอร์เนื้อนิ่มจะเหมาะกับการฉีดผิวหนังชั้นตื้น ยี่ห้อที่เหมาะสำหรับปัญหาร่องแก้มลึก มีดังนี้

                                  ฟิลเลอร์ร่องแก้มยี่ห้อ Juvederm

                                  ยี่ห้อฟิลเลอร์แบรนด์ดังจากประเทศสหรัฐอเมริกา ผลิตโดยบริษัท Allergan (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตด้วยเทคโนโลยี VYCROSS Technology และ HYLACROSS Technolygy ได้รับการรับรองความปลอดภัย และคุณภาพจาก US FDA และ อย.ไทย รุ่นที่เหมาะสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คือ

                                  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Juvederm Ultra Plus ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มและฟู เหมาะสำหรับการแก้ปัญหาร่องลึก เช่น ร่องน้ำหมาก ร่องแก้ม ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน
                                  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Juvederm Volift ฟิลเลอร์ที่มีเนื้อเจลแข็งปานกลาง เนื้อฟู มีความละเอียด กลืนกับผิวได้ง่าย เรียบเนียนไปกับผิว เหมาะสำหรับการแก้ปัญหาร่องแก้มลึกทุกระดับ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน
                                  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Juvederm Voluma ฟิลเลอร์ที่มีเนื้อแข็ง ฟูปานกลาง และมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับการเติมเต็มบริเวณใต้ตา ร่องแก้ม คาง และขมับได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน
                                  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Juvederm Volux ฟิลเลอร์เนื้อแข็งที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ มีความยืดหยุ่นสูง คงรูปทรงได้ดี เหมาะสำหรับการฉีดใต้ตา คาง ขมับ และร่องแก้มลึก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 24 เดือน

                                  ฟิลเลอร์ร่องแก้มยี่ห้อ Restylane

                                  แบรนด์ฟิลเลอร์ตัวแรกของโลกจากประเทศสวีเดน ผลิตโดยบริษัท Galderma ประกอบด้วย 2 เทคโนโลยี คือ NASHA Technology และ OBT Technology ซึ่งมีคุณสมบัติที่สามารถใช้ได้หลากหลายบริเวณ ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาไทย อเมริกา และเกาหลี รุ่นที่เหมาะสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คือ

                                  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Restylane Refyne ฟิลเลอร์ที่มีลักษณะเนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่น เหมาะกับการแก้ปัญหาริ้วรอยลึกที่เกิดจากการยิ้ม เหมาะสำหรับการฉีดร่องแก้ม มุมปาก และปาก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน
                                  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Restylane classic ฟิลเลอร์ที่มีเนื้อเจลแข็งปานกลาง เหมาะสำหรับการเติมเต็มบริเวณ ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ขมับ แก้มตอบ แก้มส้ม และริ้วรอยตื้นบนผิว ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
                                  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Restylane Lyft ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง คงรูปได้ดี เหมาะสำหรับการเติมเต็มบริเวณ ใต้ตา คาง หน้าแก้ม ร่องแก้ม แก้มตอบ และขมับ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน
                                  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Restylane Volyme ฟิลเลอร์ที่มีเนื้อนิ่ม สำหรับการเติมชั้นผิวให้อิ่มฟูขึ้น เหมาะสำหรับการฉีดเติมเต็มส่วนที่โหลลึกหรือตอบลง เช่น ร่องแก้ม, แก้มตอบ, ปาก และ มุมปาก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน

                                  ฟิลเลอร์ร่องแก้มยี่ห้อ Definisse

                                  ฟิลเลอร์นำเข้าจากประเทศอิตาลี ผลิตและจัดจำหน่ายโดยบริษัท Relife Company เป็นบริษัทในเครือของ A.Menarini ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งประเทศไทย รุ่นที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คือ

                                  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Definisse Touch ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม ที่มีความเนียนละเอียด กลืนกับผิวได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับการเติมริ้วรอยตื้น บริเวณร่องแก้ม ใต้ตา ร่องมุมปาก และปาก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
                                  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Definisse Restore ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความหนาแน่นปานกลาง เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยร่องแก้ม และร่องมุมปาก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน

                                  ฟิลเลอร์ร่องแก้มยี่ห้อ Belotero

                                  ฟิลเลอร์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นำเข้าโดยบริษัท เมิร์ซ เฮลธ์แคร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา ยุโรป และไทย รุ่นที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คือ

                                  ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Belotero Intense ฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง แก้ปัญหาร่องลึกจากการยุบตัวของเนื้อเยื่อผิวหนัง เช่น เติมแก้มตอบ ร่องแก้มลึก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน

                                  ฟิลเลอร์ร่องแก้มแท้ วิธีเช็คให้ปลอดภัยก่อนฉีด ในแต่ละยี่ห้อ

                                  วิธีเช็คฟิลเลอร์แท้ ยี่ห้อ Juvederm

                                  • มีเลข Lot วันเดือนปีที่ผลิตฟิลเลอร์ และวันหมดอายุของฟิลเลอร์ ระบุไว้อย่างชัดเจน ซึ่งจะระบุไว้ทั้งหมด 4 จุด ในแต่ละจุดต้องมีข้อมูลที่ตรงกัน ดังนี้
                                  1. เลข Lot ที่กล่องฟิลเลอร์
                                  2. เลข Lot ที่ถาดฟิลเลอร์
                                  3. เลข Lot ที่สติกเกอร์
                                  4. เลข Lot ที่หลอดฟิลเลอร์
                                  • จะมีฉลากกำกับเป็นภาษาไทย และเลขที่ อย.ไทย รับรองอยู่บนกล่องฟิลเลอร์
                                  • ภายในกล่องจะมีเลขทะเบียน อย.ไทย และเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลของฟิลเลอร์เป็นภาษาไทย
                                  • สามารถติดต่อเพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมโดยตรงกับบริษัท Allergan Thailiand หรือ หมายเลขโทรศัพท์ 02-640-4999 ต่อ 1

                                  วิธีเช็คฟิลเลอร์แท้ ยี่ห้อ Restylane

                                  • จะมีสติกเกอร์โมโนแกรม (Monogram) คำว่า “VOID” ติดไว้
                                  • จะมี QR Code ให้สแกนข้างกล่อง โดยใช้แอปพลิเคชัน eZTracker Safety เพื่อเช็คว่าฟิลเลอร์เป็นของแท้ ซึ่งจะขึ้นหน้าจอเป็นสีเขียวแสดงวันหมดอายุ พร้อมทั้งมีข้อความระบุว่า ‘ผลิตภัณฑ์ได้ถูกนำเข้าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยบริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) จำกัด’ แต่ในกรณีที่ขึ้นเป็นหน้าจอสีส้ม ให้กดรายงานในแอปพลิเคชันทันที เพื่อให้บริษัทตรวจสอบได้ เนื่องจากฟิลเลอร์อาจเป็นของปลอม
                                  • จะมีเลข Lot วันเดือนปี ที่หมดอายุตรงกัน 2 จุด คือ บนกล่อง และที่หลอดของฟิลเลอร์
                                  • ภายในกล่องจะมีเอกสารเกี่ยวกับฟิลเลอร์เป็นภาษาไทย และมีเลข อย.ไทย กำกับอยู่
                                  • สามารถโทรเพื่อตรวจสอบหรือสอบถามเลข Lot ได้ที่ 02-023-1800 ต่อ 402

                                  วิธีเช็คฟิลเลอร์แท้ ยี่ห้อ Definisse

                                  • จะมีเลขทะเบียน อย. เอกสารกำกับภาษาไทย และภาษาอังกฤษ
                                  • เลข lot. ต้องตรงกัน 3 จุด คือ
                                  1. เลข lot. ที่สติกเกอร์
                                  2. เลข lot. ที่กล่องฟิลเลอร์
                                  3. เลข lot. ที่หลอดฟิลเลอร์
                                  • สติกเกอร์สามารถลอกออกได้ เพื่อนำไปติด OPD Card 
                                  • รอยประด้านข้างกล่องต้องปิดสนิท 
                                  • สามารถโทรตรวจสอบเลข lot. และคลินิกได้ ที่บริษัท เอ.เมนารินี (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02 696 8500 ต่อ 3

                                  วิธีเช็คฟิลเลอร์แท้ ยี่ห้อ Belotero

                                  • จะมีเลข Lot วันเดือนปีหมดอายุของฟิลเลอร์ ที่ตรงกันทั้งหมด 3 จุด คือ
                                  1. เลข lot. ที่สติกเกอร์
                                  2. เลข lot. ที่กล่องฟิลเลอร์
                                  3. เลข lot. ที่หลอดฟิลเลอร์
                                  • แถบสีบนหลอดของฟิลเลอร์ ต้องเป็นสีเดียวกับสีที่อยู่บนกล่อง
                                  • ภายในกล่องมีเอกสารเกี่ยวกับฟิลเลอร์เป็นภาษาไทย และมีเลขทะเบียน อย. ไทย
                                  • สามารถโทรเพื่อตรวจสอบเลข Lot และคลินิกที่นำฟิลเลอร์มาใช้ ได้ที่บริษัท เมิร์ซ เฮลธ์ แคร์ (ประเทศไทย) จำกัด (Merz Aesthetic) โทร 092-254-2662

                                  การเตรียมตัวก่อนฉีด-หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                                  ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                                  การดูแลตัวเองก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                                  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ควรหลีกเลี่ยงการทานวิตามินและอาหารเสริมบางประเภทที่มีฤทธิ์เกี่ยวกับการไหลเวียนโลหิต เช่น วิตามินซี
                                  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม งดยาทาชนิดผลัดเซลล์ผิวทุกชนิด 3 วัน
                                  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม งดสูบบุหรี่และงดการดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                                  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น การคาร์ดิโอ ปั่นจักรยาน วิ่ง 24 ชั่วโมง

                                  ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                                  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ควรปรึกษาแพทย์ที่มีความชำนาญเพื่อให้แพทย์ทำการประเมินใบหน้าเบื้องต้น เพื่อการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด
                                  • แพทย์จะแนะนำว่าควรใช้ฟิลเลอร์ร่องแก้มยี่ห้อไหน และรุ่นไหนให้เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการฉีด
                                  • ทำความสะอาดใบหน้าบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เพื่อความสะอาดและความปลอดภัย
                                  • แพทย์แกะกล่องฟิลเลอร์ร่องแก้มให้ดูต่อหน้า เพื่อความมั่นใจว่าเป็นฟิลเลอร์แท้ก่อนฉีด
                                  • แพทย์ฉีดฟิลเลอร์ลงบริเวณที่ร่องแก้ม
                                  • ระหว่างแพทย์ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะมีการประคบน้ำแข็ง เพื่อลดความเจ็บจากเข็ม
                                  • ซึ่งเนื้อฟิลเลอร์ส่วนใหญ่มียาชาเป็นส่วนประกอบอยู่ในเนื้อฟิลเลอร์
                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเสร็จเรียบร้อย แพทย์จะทำการแนะนำวิธีดูแลตนเองเพื่อช่วยให้ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้นฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                                  การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ควรหลีกเลี่ยงการแกะ เกา นวด และคลึง รวมไปถึงอย่าขยับใบหน้าเยอะ โดยเฉพาะในช่วง 3 วันแรกหลังฉีด
                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ห้ามนอนราบ 3-4 ชั่วโมง
                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด เช่น การซาวน่า การออกกำลังกายหนัก
                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม งดเลเซอร์ลงผิวชั้นลึก อย่างน้อย 1 เดือน
                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม หากมีอาการปวด สามารถกินยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวดให้เบาลงได้
                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้ฟิลเลอร์ฟูขึ้น

                                  ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม vs ร้อยไหมดึงร่องแก้ม

                                  การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม กับ การร้อยไหมดึงร่องแก้ม เป็นหัตถการเพื่อใบหน้าอ่อนเยาว์ทั้ง 2 หัตถการ โดยมีความแตกต่างกัน ดังนี้

                                  ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                                  การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะช่วยเติมเต็มร่องแก้มลึก และช่วยเติมเต็มส่วนที่มีการทรุดตัวของกระดูก มีเทคนิคฉีดไล่ตั้งแต่เส้นร่องแก้มบริเวณปากไล่ขึ้นมา ช่วยทำให้มุมปากยกขึ้นได้ด้วย อีกทั้งยังสามารถแก้ปัญหาร่องแก้มลึกได้โดยตรง ซึ่งหลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะเห็นผลลัพธ์ทันทีอย่างเป็นธรรมชาติ

                                  ร้อยไหมดึงร่องแก้ม

                                  การร้อยไหมดึงร่องแก้ม จะเป็นการร้อยไหมเรียบในผิวชั้นตื้นเพื่อช่วยในการเสริมร่องแก้มให้ตื้นขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น เพราะถ้าร้อยไหมซ้อนกันหลายเส้นมากเกินไปในจุดเดียว จะมีความเสี่ยงที่ทำให้เกิดอีลาสตินทับซ้อนกันจนเป็นพังผืดแข็งได้ หรือกรณีที่ร้อยไหมก้างปลาดึงแก้มโดยตรง จะทำให้เนื้อขึ้นไปกองรวมกันอยู่ตรงโหนกแก้ม ทำให้ใบหน้าดูบวมและไม่เป็นธรรมชาติ

                                  ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม vs ฉีดโบ vs เครื่องยกกระชับ แบบไหนแก้ปัญหาร่องแก้มลึกได้ดี?

                                  ระหว่างการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ฉีดโบ และเครื่องยกกระชับ แบบไหนถึงจะเหมาะสมกับปัญหาร่องแก้มที่สุด โดยปัญหาร่องแก้มแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้

                                  • ร่องแก้มเป็นร่องตื้น ไม่ลึกมาก เป็นปัญหาที่เกิดจากการพับของผิวหน้าเมื่อแสดงสีหน้า สามารถแก้ไขได้ด้วยเครื่องยกกระชับ เช่น Ulthera SPT, Ultraformer MPT 4D Lift, Oligio, Emface, morpheuse8 หรือ Thermage FLX ช่วยให้ใบหน้ามีความตึงกระชับและช่วยลดการขยับของผิว ทำให้ร่องแก้มไม่ลึกไปมากกว่าเดิม
                                  • ร่องแก้มเป็นร่องลึก แม้ยังไม่แสดงสีหน้า ส่วนมากจะพบได้ในคนที่อายุ 25 ปีขึ้นไป หรือคนที่มีเนื้อเยื่อยุบลง ทำให้แก้มหย่อนคล้อย เมื่อทำการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มลึกจะดูตื้นขึ้น ผิวดูเรียบเนียน ริ้วรอยลดลง สามารถทำคู่กับเครื่องยกกระชับผิวได้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม
                                  • ร่องแก้มลึกมาก เป็นรอยพับถาวร ปัญหานี้พบได้ในคนสูงอายุที่ร่างกายหยุดผลิตคอลลาเจน มักมีปัญหากระดูกทรุดตัว ผิวหย่อนคล้อยมาก การร้อยไหมยกกระชับหรือการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า จะสามารถแก้ปัญหาร่องแก้มลึกมากได้ดี และสามารถทำร่วมกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม หรือเครื่องยกกระชับอื่น ๆ ได้อีกด้วย

                                  คำถามพบบ่อยของการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                                  ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ใช้กี่ CC?

                                  โดยปกติการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ใช้ฟิลเลอร์ 1-2 CC เท่านั้น แต่ในบางกรณีคนที่มีอายุเยอะ อาจจำเป็นสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม 3-4 CC และอาจจะต้องทำการร้อยไหมหรือเครื่องยกกระชับร่วมด้วย เพื่อให้ผลลัพธ์ดีขึ้นกว่าเดิม

                                  ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม กี่วันเห็นผลลัพธ์?

                                  การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มสามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำทันทีตั้งแต่ครั้งแรก และไม่ต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนาน โดยในช่วงแรกอาจมีอาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม แต่เมื่ออาการบวมลดลง ใบหน้าจะดูยกกระชับขึ้น และเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในช่วง 2-3 สัปดาห์หลังทำ

                                  ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม อันตรายไหม?

                                  การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม หากใช้ฟิลเลอร์แท้ ฉีดโดยแพทย์ผู้ชำนาญการที่มีประสบการณ์สูง และฉีดกับคลินิกที่ได้รับมาตรฐานที่สะอาดและปลอดเชื้อ จะทำให้การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มมีความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่สวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ

                                  ฉีดฟิลเลอร์ปลอม อันตรายอย่างไร?

                                  การฉีดฟิลเลอร์ปลอม มาจากการที่ฉีดกับคลินิกที่ไม่มีมาตรฐานการรองรับจากกระทรวงสาธารณสุข การเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่มีการรับรองจาก อย. ไทย หรือการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญในด้านการฉีดฟิลเลอร์ โดยอาการของการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มปลอมทำให้เกิดความผิดปกติ เช่น อาการบวม รอยแดง การอักเสบติดเชื้อที่รุนแรง รวมไปถึงการไหลย้อยของฟิลเลอร์ด้วย ซึ่งจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อเอาออกเท่านั้น เนื่องจากฟิลเลอร์ปลอมไม่สามารถย่อยสลายเองได้

                                  ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เจ็บไหม?

                                  ปกติการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะมีความเจ็บในระดับที่อดทนได้ ซึ่งก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะมีการทายาชาให้ ในฟิลเลอร์บางยี่ห้อจะมียาชาเป็นส่วนประกอบอยู่ในเนื้อฟิลเลอร์ด้วย

                                  ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม บวมกี่วัน?

                                  หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะมีอาการบวมจากเข็มได้ โดยอาการบวมจะเริ่มค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน โดยควรหลีกเลี่ยงการแคะ แกะ เกา หรือกดนวดในบริเวณนั้น

                                  ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มแล้วเป็นก้อนเกิดจากอะไร?

                                  การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มแล้วเป็นก้อน เกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ ดังนี้

                                  แพทย์ไม่มีความชำนาญในด้านการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                                  • เกิดจากการที่แพทย์ไม่มีความชำนาญในการฉีดฟิลเลอร์ :โดยปกติแพทย์ที่ทำการฉีดฟิลเลอร์จะต้องมีความรู้เรื่องการของวิเคราะห์ใบหน้าเพื่อการรักษาที่ถูกต้อง แต่ถ้าฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ หรือหมอกระเป๋า อาจจะเกิดการฉีดฟิลเลอร์ผิดชั้นผิวหนังแล้วเกิดเป็นก้อนได้
                                  • เลือกฟิลเลอร์ไม่เหมาะสมการเลือกยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์: นับเป็นส่วนสำคัญ เนื่องจากฟิลเลอร์ในแต่ละยี่ห้อนั้นมีขนาดของโมเลกุลและความหนาแน่นที่แตกต่างกันออกไป หากเลือกใช้ฟิลเลอร์ผิดก็อาจจะทำให้ก้อนแข็งขึ้นมาได้
                                  • เลือกใช้ฟิลเลอร์ไม่ตรงกับปัญหาการเลือกใช้ฟิลเลอร์ร่องแก้ม : หากฉีดในชั้นผิวที่ไม่ลึกมากพอ ฉีดฟิลเลอร์ไม่ตรงจุด เนื่องจากไม่ทราบต้นเหตุที่แท้จริง จะทำให้การฉีดฟิลเลอร์ลงบริเวณข้างร่องแก้ม เป็นการเน้นให้ร่องแก้มชัดเจนมากยิ่งขึ้น
                                  • เลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานการ : ใช้ฟิลเลอร์ร่องแก้มปลอมที่ไม่ผ่านการรับรองจาก อย. เป็นฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถสลายเองได้ เมื่อเวลาผ่านไปจะจับตัวกันเป็นก้อน หรืออาจเกิดการไหลย้อยไม่เป็นทรงได้

                                  การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเป็นการแก้ปัญหาร่องแก้มลึกได้อย่างตรงจุด เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดเลือนริ้วรอย เติมเต็มร่องลึก สามารถทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลงได้ ซึ่งผลลัพธ์หลังการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที และผลลัพธ์อยู่ได้นาน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ร่องแก้มที่เลือกใช้ และควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มกับแพทย์ผู้ชำนาญการที่เลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.facebook.com/RomrawinClinic

                                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                    วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                    Ultherapy Prime ยกกระชับแบบไม่ต้องผ่าตัด

                                    ULTHERAPY PRIME

                                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                                      วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                      Ultherapy Prime คือ เทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาใหม่ ต่อยอดจาก Ultherapy รุ่นก่อน ๆ ที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัทผู้ผลิตอย่าง Merz Aesthetics จึงนับเป็นการยกระดับเทคโนโลยียกกระชับ จากระบบเดิม Ultherapy Prime ที่ย่อมาจาก See, Plan, Trea โดย Ultherapy Prime นั้นมีคุณสมบัติที่พัฒนาขึ้นจากเดิมจึงเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ ยกตัวอย่างเช่น Ultherapy Prime นั้นเป็นโปรแกรมที่มีการปรับปรุงระบบการทำงาน จึงส่งผลให้ Ultherapy Prime มีความเร็วในการรักษาต่อครั้งเร็วขึ้นถึง 20% ทำให้ประหยัดเวลาของผู้เข้ารับบริการ นอกจากนี้ Ultherapy Prime ยังมีการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานสำหรับผู้ให้บริการ ให้ช่วยยกกระชับได้ดีมากยิ่งขึ้น

                                      ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีอัตราการรีเฟรชภาพในแต่ละครั้งที่ทำได้เร็วขึ้นชัดเจนมากขึ้นด้วย Ultherapy Prime ยังมีการปรับปรุงจอภาพของเครื่อง เพื่อให้เกิดการมองเห็นในขณะทำการรักษาของแพทย์ที่ดีขึ้นและสะดวกมากขึ้น โดยหน้าจอของ Ultherapy Prime มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นถึง 35% จากเดิมด้วย

                                      ULTHERAPY PRIME

                                      Ultherapy Prime พัฒนาขึ้นเพื่อให้มีการรักษาที่แม่นยำมากขึ้นกว่าเดิม จากเดิมที่ใช้เทคโนโลยีการสร้างภาพแบบเรียลไทม์ (real-time imaging) อยู่แล้วก็ถูกทำให้มีความเคลื่อนไหวที่รวดเร็วมากขึ้น ทำให้แพทย์ทำการรักษาได้เร็วมากขึ้น ไม่ต้องแช่หัว Applicator ที่ใบหน้าไว้นานเท่าเดิม

                                      Ultherapy Prime เป็นเครื่องที่มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้า และลำคอให้มีความตึงกระชับได้ โดยไม่ต้องทำการผ่าตัดทำศัลยกรรม Ultherapy Prime สามารถใช้ได้กับผู้คนในทุกสภาพผิว ทุกสีผิว และในผู้ที่มีความเหมาะสมในการทำ ทั้งยังมีอัตราการรีเฟรชภาพในแต่ละครั้งที่ทำได้เร็วขึ้นชัดเจนมากขึ้นด้วย

                                      Ultherapy Prime เป็นโปรแกรมยกกระชับ และปรับคุณภาพผิว ที่ใช้พลังงาน Ultrasound ที่ได้รับมาตรฐานการรองรับในระดับสากลจากประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA ) ซึ่งเป็นชนิดเดียวกันที่แพทย์ใช้ในการ Ultrasound เพศของทารกที่อยู่ในครรภ์

                                      คิดค้น วิจัย และประเมิน ระดับของพลังงานคลื่น Ultrasound เป็นอย่างดี และพัฒนาให้ดีขึ้นจากเดิม ภายใต้ความเหมาะสม สำหรับการยกกระชับให้กับทุกสภาพผิว Ultherapy Prime ได้รับการยอมรับในด้านการรักษาจากหลายประเทศในโลก ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา หรืออย. ของประเทศไทย Ultherapy Prime มีความปลอดภัยสูง หากมีผลข้างเคียงก็เป็นผลข้างเคียงที่เล็กน้อย เพียงแค่มีรอยแดง หรือมีอาการเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีอาการรุนแรง

                                      ULTHERAPY PRIME

                                      Ultherapy Prime เหมาะกับใคร

                                      Ultherapy Prime เป็นโปรแกรมยกกระชับที่สามารถทำได้ตั้งแต่อายุยังไม่มาก ในผู้ใช้บริการแต่ละช่วงอายุจะให้ผลลัพธ์ที่มีความแตกต่างกันไป โดยผู้ที่เหมาะกับการทำ Ultherapy Prime  มีดังนี้

                                      • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย

                                      คือ ผู้ที่มีผิวหน้าที่มีความกระชับที่ลดน้อยลงกว่าเดิม รูปหน้าเริ่มเปลี่ยน ผิวที่เริ่มมีความหย่อนคล้อยมากขึ้น อาทิ ผิวหน้าบริเวณใต้คาง หรือกรอบหน้าที่ไม่ชัดเจน อันเนื่องมาจากการสูญเสียคอลลาเจนที่อยู่บริเวณใต้ผิวหนัง การทำ Ultherapy Prime จะช่วยในการจัดเรียงคอลลาเจนใต้ผิวหนังขึ้นใหม่ ช่วยให้ผิวเกิดการสร้างคอลลาเจนมากขึ้น และยังช่วยลดความหย่อนคล้อย และยกกระชับใบหน้า

                                      • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ หรือรอยเหี่ยวย่นบริเวณใบหน้า

                                      สังเกตได้จากการที่มีริ้วรอยบาง ๆ ที่หน้าผาก รอบดวงตา หรือมุมปาก ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับหลาย ๆ คน ปัญหานี้สามารถทำการแก้ไขได้ โดยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน โดย Ultherapy Prime สามารถสร้างคอลลาเจนใต้ผิวได้ จึงสามารถลดริ้วรอยเล็ก ๆ และทำให้รอยย่นต่าง ๆ บนผิวหน้าตื้นขึ้นได้

                                      • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูบริเวณผิว โดยไม่ผ่าตัด

                                      เนื่องจาก Ultherapy Prime นั้นเป็นเทคโนโลยียกกระชับ หดผิว และฟื้นฟูผิวโดยการใช้คลื่น Ultrasound จึงทำให้ไม่ต้องทำการผ่าตัด

                                      • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าและลำคอ

                                      Ultherapy Prime สามารถทำในบริเวณที่เหี่ยวย่นบริเวณอื่น ๆ นอกจากใบหน้าได้ เช่น ลำคอ เนินอก เป็นต้น

                                      • Ultherapy Prime สามารถทำบริเวณอื่นได้ นอกเหนือจากใบหน้า

                                      สามารถทำได้ทั้งบริเวณใบหน้า เนินอก และลำคอ โดยใช้หลักการเดียวกันทั้งร่างกาย คือการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นบริเวณใต้ผิวหนัง

                                      Ultherapy Prime เหมาะกับใคร

                                      • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่ต้องการทำการยกกระชับ โดยไม่ต้องทำซ้ำบ่อย
                                      • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับ โดยไม่ต้องผ่าตัด
                                      • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีคุณภาพผิวที่ดี ร่วมกับการยกกระชับ
                                      • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับบริเวณหน้าอก
                                      • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับบริเวณลำคอ
                                      • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่ต้องการทำการฟื้นฟูผิว โดยไม่ต้องทำการฉีด
                                      • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอย ร่องลึก
                                      • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยขนาดเล็ก ๆ

                                      Ultherapy Prime ไม่เหมาะกับใคร

                                      • Ultherapy Prime ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหนังที่เป็นแผล
                                      • Ultherapy Prime ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีการอักเสบเฉียบพลันของผิวหนัง ในบริเวณที่ต้องการรักษา
                                      • Ultherapy Prime ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีอาการเจ็บป่วย หรือมีโรคประจำตัวบางชนิด

                                      ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ให้ละเอียด และแจ้งโรคประจำตัว ภาวะที่เป็น และยาที่รับประทานก่อนที่จะทำการรักษา

                                      การเตรียมตัวก่อนการทำ Ultherapy Prime ควรเตรียมตัวดังนี้

                                      1. ทำการปรึกษาแพทย์ก่อนทำ Ultherapy Prime

                                      • ก่อนทำการรักษาด้วย Ultherapy Prime ควรปรึกษาแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญในการเข้ารับบริการ เพื่อให้แพทย์ทำการประเมินการรักษาและวางแผนการรักษา โดยละเอียดเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้แพทย์จะทำการวางแผนการรักษาร่วมด้วย

                                      2. ผู้ช่วยแพทย์ทำความสะอาดผิว และเตรียมผิวบริเวณที่ทำ Ultherapy Prime

                                      • ก่อนเริ่มการรักษาด้วย Ultherapy Prime ผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดผิว ในบริเวณที่ต้องการทำการรักษา จากนั้นจะต้องทำการเตรียมผิวโดยการทายาชา หรือใช้ยาชาบริเวณที่ต้องการทำ Ultherapy Prime เพื่อลดความรู้สึกเจ็บ หรือไม่สบายผิวในขณะทำ Ultherapy Prime

                                      3. ลงมือทำ Ultherapy Prime

                                      • Ultherapy Prime จะใช้เทคโนโลยี Ultrasound ที่พัฒนาขึ้นเพื่อการยกกระชับ และจัดเรียงคอลลาเจนใต้ผิว เสริมสร้างคุณภาพผิว โดยมีการฉายภาพโครงสร้างผิวแบบเรียลไทม์ทันทีบนหน้าจอ เพื่อให้แพทย์สามารถเห็นโครงสร้างผิวหนังได้ชัดเจน และเห็นการปล่อยคลื่นพลังงาน ลงในชั้นผิวหนังที่ลึกได้ตามต้องการ กระตุ้นได้อย่างแม่นยำมากที่สุด โดยแพทย์จะใช้ Applicator ของ Ultherapy Prime ในการส่งพลังงาน Ultrasound (Micro-Focused Ultrasound) ลงไปยังชั้นผิวลึก โดยเฉพาะในชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) เพื่อกระตุ้นผิวให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ และพลังงานจากเครื่อง Ultherapy Prime นี้จะทำให้เกิดความร้อนของผิวขึ้นเฉพาะจุด ซึ่งความร้อนดังกล่าวนั้น เป็นพลังงานที่ช่วยในการยกกระชับผิว

                                      โดยความรู้สึกในการทำ Ultherapy Prime อาจทำให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกเจ็บ เล็กน้อยบนผิว แต่ความรู้สึกนี้จะรู้สึกมากหรือน้อย จะแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล

                                      4. การดูแลตัวเองหลังทำ Ultherapy Prime ทันที

                                      • เมื่อทำการรักษาด้วย Ultherapy Prime เสร็จ ผู้เข้ารับบริการสามารถกลับบ้าน หรือไปทำกิจกรรมตามชีวิตประจำวันได้ปกติ โดยไม่ต้องพักฟื้น
                                      • หลังจากทำ Ultherapy Prime เสร็จแล้วอาจมีอาการแดงหรือบวมเล็กน้อย บริเวณที่ทำการรักษา หลังการรักษา โดยอาการนี้จะหายไปได้เอง โดยไม่ต้องกังวล

                                      5. การดูแลรักษาตัวหลังทำ Ultherapy Prime

                                      • หลังทำ Ultherapy Prime ควรหลีกเลี่ยงผิวบริเวณที่ทำ Ultherapy Prime จากการสัมผัสแสงแดด หรือแสงประเภทอื่น ๆ อาทิ แสงไฟ 
                                      • หลังทำ Ultherapy Prime ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสร้อนกับผิวบริเวณที่ทำการรักษาโดยตรง เช่น การอาบน้ำร้อน การอบซาวน่า การแช่ออนเซน
                                      • หลังทำ Ultherapy Prime ผู้เข้ารับบริการควรทาครีมบำรุงผิว รวมทั้งครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ++ ขึ้นไป ทั้งช่วงก่อนออกแดด และระหว่างการเจอแสงเจอแดด และบำรุงความชุ่มชื้นหลังออกแดด
                                      • หลังทำ Ultherapy Prime ควรนอนหนุนหมอนที่สูงกว่าระดับที่นอน เพื่อลดอาการบวมในบริเวณที่ทำ โดยไม่ต้องกังวลสามารถหายได้เอง อาการนี้จะเป็นในบางคนเท่านั้น
                                      • หลังทำ Ultherapy Prime หากมีอาการบวม หรือ แดงมาก ที่ผิวในบริเวณที่ทำ สามารถทำการประคบเย็นร่วมได้ โดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย อาการนี้จะเป็นในบางคนเท่านั้น
                                      • หลังทำ Ultherapy Prime หากผู้เข้ารับบริการเกิดอาการผิวแห้งจากการทายาชา ผู้เข้ารับบริการสามารถทาครีมบำรุงผิว ด้วยมอยเจอไรซ์เซอร์ ว่านหางจระเข้ หรือครีมบำรุงผิวร่วมด้วย ได้
                                      • หลังทำ Ultherapy Prime ควรงดการทาครีมที่ทำให้ผิวขาว ครีมที่กัดผิว ครีมกำจัดขน รวมทั้งครีมที่มีการผลัดเซลล์ผิวประมาณ 1 สัปดาห์ เนื่องจากผิวหลังจากการทำ Ultherapy Prime จะยังมีความบอบบางมาก
                                      • หลังทำ Ultherapy Prime ไม่ควรสัมผัสผิวหน้าแรง หรือจับผิวหน้าแรง เนื่องจากผิวบริเวณที่ทำ Ultherapy Prime จะมีความระบมอยู่ใต้ชั้นผิว สามารถรับประทานยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาอาการปวดได้
                                      • หลังทำ Ultherapy Prime ให้ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผลลัพธ์ในการรักษาเป็นไปตามต้องการให้มากที่สุด

                                      ULTHERAPY PRIME

                                      ผลลัพธ์หลังทำการรักษาด้วย Ultherapy Prime

                                      • หลังทำการรักษาด้วย Ultherapy Prime จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากเวลาผ่านไป 2-3 เดือน อันเกิดจากกระบวนการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังขึ้นใหม่ โดยคอลลาเจนดังกล่าว จะเริ่มสร้างหลังทำเสร็จเรื่อย ๆ โดย Ultherapy Prime จะสามารถคงสภาพผลลัพธ์ในการยกกระชับได้นานถึง 1 ปี หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของผู้เข้ารับบริการ และการดูแลหลังทำการรักษา

                                      ข้อดีของ Ultherapy Prime

                                      1. Ultherapy Prime เป็นโปรแกรมที่มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูง

                                      • Ultherapy Prime ใช้เทคโนโลยี Micro-Focused Ultrasound พัฒนาขึ้น เพื่อทำการยกกระชับโดยเฉพาะ แพทย์สามารถมองเห็นโครงสร้างผิวหนังได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ชัดมากขึ้น มีการแสดงผลที่เร็วมากขึ้น รวมทั้งยังสามารถยิงพลังงานคลื่นได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

                                      2. Ultherapy Prime กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพ

                                      • การทำ Ultherapy Prime เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง ชั้นลึกหรือชั้น SMAS ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ช่วยรองรับผิวหน้า ทำให้ผิวหน้ากระชับและเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ และเกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ที่ชั้นใต้ผิวได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

                                      3. Ultherapy Prime แทบไม่ต้องพักฟื้นใบหน้าหลังทำ

                                      • เนื่องจาก Ultherapy Prime เป็นเครื่องยกกระชับ ไม่ใช่การผ่าตัด เพื่อยกกระชับ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้การพักฟื้นใบหน้าหลังทำเป็นเวลานาน ในบางคนอาจไม่ต้องพักฟื้นเลย จึงทำให้ผู้เข้ารับบริการสามารถในชีวิตประจำวันได้ปกติหลังทำทันที ในบางคนอาจมีอาการบวมที่ผิวหนังเพียงเล็กหลังทำการรักษา

                                      4. Ultherapy Prime สามารถคงผลลัพธ์คงอยู่นาน

                                      • ผลลัพธ์จากการทำ Ultherapy Prime จะสามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 1 ปีหรือนานกว่านั้น โดยจะขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลของแต่ละบุคคล จึงทำให้ผลลัพธ์ในแต่ละคนจะอยู่ได้นานไม่เท่ากัน

                                      5. Ultherapy Prime เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว

                                      • Ultherapy Prime สามารถใช้ได้กับผู้เข้ารับบริการที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับต่าง ๆ ทุกระดับ โดยไม่ต้องคำนึงถึงสภาพผิว เนื่องจากสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว และยังสามารถทำได้ในทุกบริเวณนอกเหนือจากใบหน้า เช่น ลำคอ และบริเวณรอบดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                                      6. Ultherapy Prime ไม่มีความเสี่ยงต่อการแพ้วัสดุ ไม่เจ็บ ไม่ต้องผ่าตัด

                                      • เนื่องจากการทำ Ultherapy Prime ไม่ใช่การใช้วัสดุแปลกปลอมในการยกกระชับผิว เช่น ไม่มีการฉีดสารต่าง ๆ การทำ Ultherapy Prime จึงเป็นโปรแกรมที่สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดการแพ้ หรือร่างกายเกิดการต่อต้าน ไม่เจ็บ ไม่ต้องใช้เข็ม  และไม่ต้องผ่าตัด

                                      7. Ultherapy Prime เห็นผลลัพธ์หลังทำทันที

                                      • เป็นโปรแกรมยกกระชับ ที่สามารถเห็นผลได้เลยในทันทีหลังทำ 20 % โดยผลลัพธ์อื่น ๆ จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ

                                      ข้อเสียของ Ultherapy Prime

                                      1. Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก

                                      ในผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก หรือมีริ้วรอยลึกมาก Ultherapy Prime จะสามารถยกกระชับได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น อาจไม่สามารถให้ผลลัพธ์ที่พอใจขึ้น เท่าการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าได้

                                      2. Ultherapy Prime อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

                                      อาจมีอาการบวม แดง หรือรู้สึกตึงในบริเวณที่ทำการรักษาด้วย Ultherapy Prime ในบางคนอาจมีความชาที่ผิว มีอาการแดงที่ผิว แต่อาการเหล่านี้มักจะหายไปภายไปได้เอง โดยไม่ต้องกังวล

                                      3. Ultherapy Prime หากต้องการผลลัพธ์ที่ดีต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์

                                      แพทย์ที่มีความชำนาญจะสามารถยิง Ultherapy Prime ได้อย่างแม่นยำมากกว่า ทำให้การยกกระชับ สามารถกระชับได้มากกว่า

                                      ช่วงอายุที่เหมาะสมในการทำ Ultherapy Prime

                                      • ช่วงอายุ 25-35 ปี
                                        สามารถทำ Ultherapy Prime ได้ตั้งแต่อายุยังไม่มาก หากเริ่มสังเกตเห็นสัญญาณของผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย ผิวที่ไม่กระชับบนใบหน้า เช่น คอ ใบหน้า ริ้วรอย การทำ Ultherapy Prime ในช่วงอายุนี้จะช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของคอลลาเจน  และยืดเวลาที่ผิวจะหย่อนคล้อยในอนาคต เปรียบเสมือนการป้องกันการเกิดปัญหาเพื่อไม่ให้เกิดขึ้น เมื่อเข้าสู่วัยที่จะเกิดความหย่อนคล้อย
                                      • ช่วงอายุ 35-50 ปี
                                        เป็นช่วงอายุที่คนส่วนใหญ่นิยมทำ Ultherapy Prime มากที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงอายุที่ผิวมีการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนที่เริ่มชัดเจนมากขึ้น เริ่มมีปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหนัง หรือมีริ้วรอยที่เห็นได้ชัดเจน ดังนั้นการทำ Ultherapy Prime ในช่วงอายุเท่านี้จะช่วยในการยกกระชับผิวบริเวณที่ทำ และทำให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ลง
                                      • ช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป
                                        สำหรับคนในช่วงอายุในช่วงนี้ การทำ Ultherapy Prime จะช่วยในการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยได้มากขึ้น และยังช่วยในการฟื้นฟูสภาพผิวให้ดูดีมากยิ่งขึ้น แต่การทำในช่วงอายุเท่านี้ อาจต้องใช้เวลาพักฟื้นหรือดูแลผิวหลังทำมากกว่าในช่วงอายุที่น้อยกว่านี้

                                      Ultherapy Prime ดีกว่า Ultherapy SPT อย่างไร

                                      1. Ultherapy Prime ดีกว่า Ultherapy SPT ตรงที่สามารถสร้างภาพผ่านจอแบบเรียลไทม์ที่แม่นยำขึ้น

                                      Ultherapy Prime พัฒนาขึ้นมาจาก Ultherapy SPT มีความละเอียด และความเร็วในการแสดงผลที่ดีกว่าเดิม ทำให้แพทย์ควบคุมการรักษาได้ดีมากขึ้น 

                                      2. Ultherapy Prime ดีกว่า Ultherapy SPT ตรงที่ใช้ความเร็วในการรักษาที่สูงขึ้น

                                      เนื่องจาก Ultherapy Prime ถูกปรับปรุงขึ้น เพื่อให้สามารถทำงานเร็วมากขึ้นกว่าเดิมถึง 20% เมื่อเทียบกับ Ultherapy SPT ซึ่งช่วยลดเวลาในการรักษา และสามารถเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้เข้ารับการรักษา

                                      3. Ultherapy Prime ดีกว่า Ultherapy SPT ตรงที่มีหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ และชัดเจนขึ้น

                                      Ultherapy Prime นั้นมีหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 35% จึงทำให้แพทย์สามารถมองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นในขณะที่ทำการรักษา จึงทำให้การรักษาผิดพลาดได้น้อย และการรักษาเห็นผลได้ดีมากยิ่งขึ้น

                                      จะเห็นได้ว่า Ultherapy Prime เป็นโปรแกรมที่มีความแตกต่างจาก Ultherapy SPT ในด้านของหน้าจอที่มีความใหญ่และชัดมากขึ้น รวมถึงการแสดงผลที่เร็วมากขึ้น แต่ผลลัพธ์ในการรักษานั้น Ultherapy Prime ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่มีความแตกต่างจาก Ultherapy SPT เนื่องจากยังคงความยกกระชับ และสร้างคอลลาเจนใต้ผิวได้เป็นอย่างดีเช่นเดิม

                                      แต่ Ultherapy Prime นั้น นับเป็นการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาครั้งยิ่งใหญ่ของวงการเครื่องยกกระชับ ทำให้เกิดความตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก เพราะ Ultherapy ห่างหายจากการพัฒนาตัวเครื่องไปถึง 15 ปี Ultherapy Prime จึงนับว่าเป็นปรากฏการครั้งสำคัญ ในการพัฒนาเครื่องยกกระชับตระกูล Ultherapy นั่นเอง

                                      ติดตามข่าวสาร หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :www.facebook.com/RomrawinClinic

                                       

                                      ฟิลเลอร์คางคืออะไร? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง? อันตรายไหม? รวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง

                                      ฟิลเลอร์คาง

                                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                                        วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                        ฟิลเลอร์คางคืออะไร? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง? อันตรายไหม? รวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง

                                        ปัญหาคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม เป็นปัญหาที่ทำให้หลายคนขาดความมั่นใจ และมองข้ามการแก้ปัญหานี้ไป ซึ่งคางเป็นอีกหนึ่งจุดที่ควรให้ความสนใจมากที่สุด เพราะปัญหาของคางสั้น คางตัด คางบุ๋มแล้ว ยังสามารถช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวสวยสมส่วน รับเข้ากับใบหน้ามากขึ้น

                                        แต่การจะฉีดฟิลเลอร์คางครั้งแรกต้องศึกษาข้อมูลก่อนฉีดฟิลเลอร์ว่า การฟิลเลอร์คาง คืออะไร ฟิลเลอร์คางช่วยอะไรบ้าง ฟิลเลอร์คางอันตรายไหม หาคำตอบทุกเรื่องเกี่ยวกับฟิลเลอร์คาง เพื่อเตรียมความพร้อมได้แล้วกับบทความนี้

                                        ฟิลเลอร์คางคืออะไร? อันตรายไหม? เจาะลึกเรื่องของการฉีดฟิลเลอร์คางที่ต้องรู้ก่อนฉีด

                                        ฟิลเลอร์คาง
                                        ฟิลเลอร์คางคืออะไร

                                        ฉีดฟิลเลอร์คางคืออะไร?

                                        ฟิลเลอร์คาง คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) เข้าไปสู่บริเวณใต้คาง เพื่อปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วน หน้าเรียวเล็กมากขึ้น ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์คางสามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำทันที และเนื้อฟิลเลอร์สลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่มีอาการบวมช้ำเหมือนกับการผ่าตัดเสริมคาง ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น หลังทำเสร็จสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

                                        การฉีดฟิลเลอร์คางจะเลือกใช้ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง เมื่อฉีดเข้าไปฟิลเลอร์คางจะคงตัวได้ดี สามารถยกผิวในชั้นกระดูกเพื่อปรับรูปหน้า ในการฉีดฟิลเลอร์คางจำเป็นต้องทำกับแพทย์ที่มีความชำนาญการเท่านั้น

                                        ฟิลเลอร์คาง
                                        ลักษณะโหงวเฮ้งที่ดีเป็นอย่างไร

                                        ฉีดฟิลเลอร์คางกับโหงวเฮ้งที่ดี ลักษณะคางที่ดี เป็นอย่างไร?

                                        โหงวเฮ้งคาง (ตี่เก๊าะ) ที่ดี คือศาสตร์การปรับรูปหน้าของจีน การดูโหงวเฮ้งคางสามารถบ่งบอกถึงลักษณะนิสัย ความรู้และความสามารถได้อีกด้วย โดยโหงวเฮ้งคางจะมีลักษณะเด่นและลักษณะด้อยของคาง ดังนี้

                                        ลักษณะคางเด่น

                                        คางกลมมน : จะมีรูปทรงคางที่สวยงาม แบบถูกหลักโหงวเฮ้ง โดยลักษณะนี้จะเป็นบุคลิกที่มีความโอบอ้อมใจดี สมถะ ถ่อมตน
                                        คางนูน : บ่งบอกถึงความเป็นคนมีวาสนามั่งมีทรัพย์ สติปัญญาสูง มักเป็นที่รักใคร่แก่คนทั่วไป และเป็นที่สนใจต่อเพศตรงข้าม

                                        ลักษณะคางด้อย

                                        คางแหลม : เป็นบุคลิกลักษณะไม่ประนีประนอม
                                        คางสองชั้น : ลักษณะบุคลิกนี้อาจจะดูเป็นคนเกียจคร้าน นิยมวัตถุ และเป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้นน้อย
                                        คางสั้น คางหลบ : เป็นลักษณะของคนไม่ค่อยเข้าสังคม มีลับลมคมใน ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ มักจะขี้กังวล ขาดความอดทนและขี้เกรงใจ

                                        ฟิลเลอร์คาง
                                        ฟิลเลอร์คางช่วยอะไร

                                        ฉีดฟิลเลอร์คางช่วยอะไร?

                                        ฉีดฟิลเลอร์คางเป็นการฉีดเพื่อปรับรูปหน้า เสริมโหงวเฮ้ง แก้ปัญหาคางไม่สมส่วน หรือแก้ปัญหาคางต่าง ๆ ดังนี้

                                        • ฉีดฟิลเลอร์คางช่วยแก้ปัญหาคางตัด คางสั้น คางบุ๋ม เพื่อแก้ปัญหาให้ได้สัดส่วนมากขึ้น
                                        • ฉีดฟิลเลอร์คางช่วยแก้ปัญหาหน้ากลม ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวมากขึ้น
                                        • ฉีดฟิลเลอร์คางช่วยแก้ปัญหาคางเบี้ยว ไม่เท่ากัน
                                        • ฉีดฟิลเลอร์คางเพื่อเสริมโหงวเฮ้งให้มีความมั่นใจมากขึ้น
                                        • ฉีดฟิลเลอร์คางช่วยเสริมคางให้ยาวขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ

                                        ฉีดฟิลเลอร์คางเหมาะกับใคร?

                                        ฉีดฟิลเลอร์คาง เป็นหัตถการที่เหมาะกับคนที่อยากเสริมคาง แต่ไม่อยากผ่าตัด ไม่อยากมีแผล และไม่อยากพักฟื้น เหมาะกับคนที่มีฐานคางเดิมที่ต้องการปรับรูปทรงให้ดูเรียวยาว มีมิติสวยขึ้น อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม เสริมความมั่นใจให้กับใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ

                                        ฉีดฟิลเลอร์คางไม่เหมาะกับใคร?

                                        • การฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาคางสั้นหรือคางถอยมาก ๆ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ และอาจทำให้ฟิลเลอร์ไหลเป็นก้อน คางไม่สวย หรือคางผิดรูปได้ นอกจากนี้การฉีดฟิลเลอร์คางไม่เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ถาวร เพราะการฉีดฟิลเลอร์คางจะสลายไปเองตามธรรมชาติ

                                        ฉีดฟิลเลอร์คางมีข้อจำกัดอะไรบ้าง?

                                        การฉีดฟิลเลอร์คางไม่เหมาะกับคนที่มีข้อจำกัด ดังนี้

                                        • ฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่เหมาะกับคนที่มีอาการแพ้ฟิลเลอร์หรือแพ้สารไฮยารูลอนิก แอซิด
                                        • ฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาเลือดออกแล้วหยุดเลือดยาก หรือมีแผลฟกช้ำง่าย
                                        • ฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่เหมาะกับคนที่กำลังรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
                                        • ฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่เหมาะกับคนที่เป็นเริมหรืองูสวัด
                                        • ฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์
                                        ฟิลเลอร์คาง
                                        ฟิลเลอร์คางดีอย่างไร

                                        ฉีดฟิลเลอร์คางมีข้อดีอย่างไร?

                                        • ฉีดฟิลเลอร์คางไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลลัพธ์หลังทำทันที เหมาะกับคนที่ต้องการรูปหน้าที่เรียวขึ้น
                                        • ฉีดฟิลเลอร์คางสามารถย่อยสลายเองได้ตามธรรมชาติ ไม่มีตกค้างในร่างกาย มีความปลอดภัยสูง
                                        • ฉีดฟิลเลอร์คางช่วยปรับรูปคางให้สวยอย่างเป็นธรรมชาติ
                                        • ฉีดฟิลเลอร์คางหากไม่ชอบผลลัพธ์หลังทำสามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้

                                        ฉีดฟิลเลอร์คางมีข้อเสียอย่างไร?

                                        • ฉีดฟิลเลอร์คางผลลัพธ์ไม่สามารถอยู่ได้ถาวร โดยการฉีดฟิลเลอร์คางจะอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ฉีด ทำให้ต้องฉีดซ้ำต่อเนื่องหลังจากฟิลเลอร์สลายตัว
                                        • ฉีดฟิลเลอร์คางหากใช้ฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจมีความเสี่ยงทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้
                                        • หากฉีดฟิลเลอร์คางกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญอาจทำให้คางผิดรูป หรือทำให้ไม่เห็นผลลัพธ์ในการเปลี่ยนแปลง
                                        ฟิลเลอร์คาง
                                        ฟิลเลอร์คาง กับผ่าตัดศัลยกรรมคาง ต่างกันอย่างไร

                                        ฉีดฟิลเลอร์คาง vs ผ่าตัดศัลยกรรมคาง แตกต่างกันอย่างไร?

                                        • การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นการเสริมคางด้วยเนื้อฟิลเลอร์ ไม่ต้องผ่าตัดไม่ต้องพักฟื้น โดยการฉีดฟิลเลอร์คางเป็นการเสริมคางจากเดิมไม่เกิน 1 เซนติเมตร เห็นผลลัพธ์ชัดเจนทันทีหลังทำ หลังจากนั้นฟิลเลอร์จะย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ สามารถเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-24 เดือน
                                        • ส่วนการเสริมคางด้วยซิลิโคน เป็นการผ่าตัดโดยนำซิลิโคนเข้าไปภายในใต้เนื้อเยื่อกระดูกบริเวณคาง เหมาะกับคนที่ต้องการเสริมคางยาวมากกว่า 1 เซนติเมตร หลังผ่าตัดเสริมคางต้องดูแลแผลอย่างระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงแผลอักเสบและติดเชื้อ การผ่าตัดเสริมคางจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 1-3 เดือน ซึ่งผลลัพธ์ของการผ่าตัดเสริมคางนั้นอยู่ได้ถาวร หากอยากแก้ไขต้องผ่าตัดเปลี่ยนซิลิโคนคางใหม่เท่านั้น
                                        ฟิลเลอร์คาง
                                        ฟิลเลอร์คางยี่ห้อไหนดี

                                        ฉีดฟิลเลอร์คาง ยี่ห้อไหนดี?

                                        ยี่ห้อฟิลเลอร์คางที่เหมาะสมกับการฉีดฟิลเลอร์คาง เนื้อฟิลเลอร์ต้องมีความคงตัว เนื้อแน่น อิ่มฟู เพื่อให้ปั้นทรงคางที่สวยได้รูป โดยฟิลเลอร์คางมีทั้งหมด 4 ยี่ห้อด้วยกัน ดังนี้

                                        ฟิลเลอร์คางยี่ห้อ Difinisse

                                        • ฟิลเลอร์จากประเทศอิตาลี ผลิตโดยบริษัท Relife Company บริษัทในเครือ A.Menarini อิตาลี มีการนำเข้าและจัดจำหน่ายในประเทศไทยโดยบริษัท A.Menarini Thailand โดยรุ่นที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์คางคือ Difinisse Core โดยฟิลเลอร์มีลักษณะเนื้อแข็ง เหมาะสำหรับการเสริมกระดูก เติมคาง ปรับรูปหน้าได้ดี ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน

                                        ฟิลเลอร์คางยี่ห้อ Restylane

                                        • ฟิลเลอร์จากประเทศสวีเดน นำเข้าโดยบริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) จำกัด โดยรุ่นที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์คางคือ Restylane Perlane Lyft โดยเนื้อฟิลเลอร์มีลักษณะเนื้อแน่น มีความคงตัวสูง ไม่ฟู สามารถคงรูปได้ดี เหมาะสำหรับฉีดคางสวยอย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน

                                        ฟิลเลอร์คางยี่ห้อ Belotero Intense

                                        ฟิลเลอร์แท้จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นำเข้าโดยบริษัท เมิร์ซ เฮลธ์ แคร์ (ประเทศไทย) จำกัด (Merz Aesthetic) ผลิตโดยเทคโนโลยีเฉพาะ Cohesive Polydensified Matrix (CPM)  โดยรุ่นที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์คาง มีดังนี้

                                        • Belotero Intense เนื้อฟิลเลอร์มีลักษณะคงตัวสูง มีความยืดหยุ่น ขึ้นรูปได้สวย สามารถแก้ปัญหาร่องลึกมาก ๆ จากการยุบตัวของเนื้อเยื่อผิวหนัง ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน
                                        • Belotero Volume เนื้อฟิลเลอร์มีลักษณะมีความยืดหยุ่นและคงตัวสูง เหมาะสำหรับเพิ่มมิติและเพิ่มวอลลุ่มให้กับใบหน้า ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน

                                        ฟิลเลอร์คางยี่ห้อ Juvederm

                                        ฟิลเลอร์แท้จากประเทศอเมริกา นำเข้าโดยบริษัท Allergan Thailand โดยรุ่นที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์คางคือ

                                        • Juvederm Voluma เนื้อฟิลเลอร์มีลักษณะเนื้อแข็งและฟูปานกลาง มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเติมคางเพื่อความเป็นธรรมชาติ ปั้นทรงคางให้สวยรับกับใบหน้า ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน
                                        • Juvederm Volux เนื้อฟิลเลอร์มีลักษณะเนื้อแข็ง มีความคงตัวสูง ขึ้นรูปทรงคางง่าย ปั้นรูปทรงคางอย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน
                                        ฟิลเลอร์คาง
                                        ฟิลเลอร์คางเตรียมตัวอย่างไร

                                        ก่อนฉีดฟิลเลอร์คางเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?

                                        • ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง ควรงดวิตามิน อาหารเสริม รวมไปถึงยาแก้ปวด ยาละลายลิ่มเลือด 7 วัน ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง หากเป็นยารักษาโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อน
                                        • ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง งดแอลกอฮอล์หรือกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด 24 ชั่วโมง 
                                        • ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง งดทายาชนิดผลัดเซลล์ผิวบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ 
                                        • ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง งดทำหน้าหรือเลเซอร์ผิวหน้าก่อนอย่างน้อย 3 วัน
                                        • ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง ควรแจ้งโรคประจำตัวกับแพทย์ก่อนทำหัตถการ
                                        • ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่ควรแต่งหน้ามาฉีดฟิลเลอร์คาง เพราะอาจมีสิ่งสกปรกหรือเครื่องสำอางตกค้างบริเวณคาง แต่ในกรณีที่จำเป็นต้องแต่งหน้ามาฉีดฟิลเลอร์คางนั้นสามารถทำได้ โดยทางคลินิกจะมีการทำความสะอาดบริเวณที่ทำก่อนฉีดฟิลเลอร์
                                        • ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง ควรหาข้อมูลคลินิกที่มีมาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ มีแพทย์ผู้ชำนาญการในด้านการฉีดฟิลเลอร์ก่อนเข้ารับบริการ
                                        • ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง ควรศึกษาวิธีดูฟิลเลอร์แท้ ฟิลเลอร์ปลอมก่อนเข้ารับบริการ

                                        ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์คาง

                                        • ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง โดยแพทย์จะประเมินทรงคาง เพื่อเลือกทรงคางที่เหมาะสมกับใบหน้าให้ได้สัดกส่วนมากที่สุด
                                        • แพทย์จะช่วยแนะนำยี่ห้อและรุ่นที่เหมาะสมของฟิลเลอร์คางให้เหมาะสมกับความต้องการ
                                        • เริ่มทำความสะอาดบริเวณใบหน้า เพื่อความสะอาดและปลอดภัย
                                        • แปะยาชาก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง เพื่อบรรเทาลดความเจ็บปวด
                                        • แพทย์เริ่มฉีดฟิลเลอร์เข้าสู่บริเวณคางและปั้นทรงคาง โดยใช้เวลาประมาณ 10-30 นาที
                                        • เมื่อฉีดเสร็จแล้วแพทย์จะให้นั่งพักสั่งครู่ เพื่อให้เนื้อฟิลเลอร์เซตตัว
                                        • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง แพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลตนเองหลังฉีดฟิลเลอร์คาง ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ

                                        ฟิลเลอร์คาง

                                        การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์คาง

                                        หลังฉีดฟิลเลอร์คางดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง?

                                        • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ควรรีบทานยาฆ่าเชื้อทันที
                                        • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ห้ามแกะ เกา และนวดในจุดที่ฉีดฟิลเลอร์คาง ห้ามปั้นทรงคางด้วยตัวเอง
                                        • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง อาการบวมจะค่อย ๆ หายไปเองใน 7-14 วัน
                                        • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง งดการทำเลเซอร์ อย่างน้อย 1 เดือน
                                        • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ควรอยู่ในที่อากาศเย็น หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด อย่างน้อย 48 ชั่วโมง เช่น ซาวน่า หมูกระทะ ปิ้งย่าง ชาบู เป็นต้น
                                        • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ห้ามเท้าคาง นอนคว่ำ หรือ หลีกเลี่ยงการกดทับบริเวณคาง เพราะจะทำให้ฟิลเลอร์คางเกิดการเคลื่อนที่
                                        • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ควรรับประทานยาที่แพทย์จ่ายให้หลังทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดอาการบวมและป้องกันการติดเชื้อหลังฉีดฟิลเลอร์
                                        • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง งดสูบบุหรี่และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ยุบบวมช้า ผลการรักษาระยะเวลาอยู่ได้สั้นน้อยลง และอาจทำให้เกิดการอักเสบได้
                                        • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ควรดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยทำให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้น
                                        • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง งดทาครีมบริเวณรอยเข็ม 1 คืน
                                        • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง อย่าขยับใบหน้าเยอะบริเวณที่ฉีดในช่วง 3 วันแรก ไม่ล้างหน้าหรือถูหน้าแรง ๆ

                                        อาการหลังฉีดฟิลเลอร์คาง 24 ชั่วโมง

                                        • หลังฉีดฟิลเลอร์คางจะเห็นผลลัพธ์หลังทำทันที โดยรูปทรงคางจะยาวสวยขึ้น แต่อาจจะมีอาการบวมมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้บริเวณคางฟูมากขึ้น แต่เมื่อผ่านไป 7-14 วัน อาการบวมเข็มจะค่อย ๆ ยุบลง ฟิลเลอร์คางเข้าที่มากขึ้น และผลลัพธ์เข้าที่หลังฉีดฟิลเลอร์ 2 สัปดาห์
                                          ฉีดฟิลเลอร์คางแล้วเป็นก้อนเกิดจากอะไร?

                                        ฉีดฟิลเลอร์คางไม่ตรงกับตำแหน่งที่ฉีด

                                        • การฉีดฟิลเลอร์ไม่ตรงกับตำแหน่งที่มีปัญหา เช่น ฉีดฟิลเลอร์ริ้วรอยเยอะเกินไป หรือ ฉีดฟิลเลอร์เติมร่องลึกที่ตื้นเกินไป รวมไปถึงการใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสม จะทำให้ฟิลเลอร์เป็นก้อนและอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ผิดตำแหน่งได้

                                        เลือกใช้ฟิลเลอร์ไม่ตรงกับตำแหน่งที่ต้องการฉีด

                                        • หากใช้ฟิลเลอร์ที่มีขนาดโมเลกุลหนาแน่นสูงสำหรับฉีดลงบนผิวชั้นลึก ฉีดลงไปในผิวชั้นตื้น จะทำให้ฟิลเลอร์เป็นก่อนบวมได้ เพราะฉะนั้นควรเลือกฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่ต้องการฉีด จะได้ไม่เกิดปัญหาฟิลเลอร์เป็นก้อนแข็งได้

                                        ใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน

                                        • การใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เป็นฟิลเลอร์ปลอมที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถย่อยสลายเองได้ ราคาถูก ทำให้ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อน ฟิลเลอร์ไหลย้อยไม่เป็นทรง หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นฟิลเลอร์เน่าได้ เพราะฉะนั้นไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ปลอมเด็ดขาด เพราะไม่สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ ต้องขูดออกหรือศัลยกรรมผ่าตัดเท่านั้น

                                        แพทย์ที่ฉีดฟิลเลอร์ไม่มีประสบการณ์ทางด้านการฉีดฟิลเลอร์คาง

                                        • แพทย์ที่ทำการฉีดฟิลเลอร์คางจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับฟิลเลอร์ในแต่ละชนิด รวมถึงโครงสร้างของสรีรวิทยาของร่างกายของมนุษย์ และมีความรู้ด้านการปรับรูปหน้าเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจที่สุด แพทย์ที่ขาดความรู้และประสบการณ์จะให้เกิดความเสี่ยงในการฉีดฟิลเลอร์เป็นก้อนบวมได้

                                        คำถามพบบ่อยของการฉีดฟิลเลอร์คาง

                                        ฉีดฟิลเลอร์คางใช้กี่ CC?

                                        • ในการฉีดฟิลเลอร์คางสำหรับคนที่มีปัญหาคางสั้น คางบุ๋ม คางตัด โดยปกติจะเติมคางให้ยาวลงมาได้ไม่เกิน 1 เซนติเมตร ดังนั้นสำหรับคนที่มีปัญหาและต้องการปรับแก้ไขรูปทรงคางให้ยาวขึ้น จะใช้ฟิลเลอร์เพียง 1 CC เท่านั้่น สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนได้

                                        ฟิลเลอร์คางหายบวมในกี่วัน?

                                        • หลังฉีดฟิลเลอร์คางจะหายบวมได้เองประมาณ 4-5 วัน และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเข้าที่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ซึ่งหลังจากการฉีดฟิลเลอร์อาจมีผลข้างเคียง เช่น ผื่นหรือจุดแดงบริเวณรอยเข็ม ที่สามารถหายเองได้ ส่วนอาการบวมหลังฉีดนับเป็นเรื่องปกติ หากมีอาการปวดบริเวณที่ฉีด สามารถทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวดได้

                                        ฉีดฟิลเลอร์คางอยู่ได้นานไหม?

                                        • การฉีดฟิลเลอร์คางจำเป็นต้องใช้ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง ที่มีความคงตัวสูง ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์คางอยู่ได้ประมาณ 12-24 เดือน ตามอายุของยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ นอกจากนี้ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์อยู่ได้นานหรือไม่ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองในแต่ละบุคคล

                                        ฉีดฟิลเลอร์คางแล้วผ่าตัดเสริมคางได้ไหม?

                                        • หากฉีดฟิลเลอร์คางแล้ว สามารถผ่าตัดเสริมคางได้ในภายหลัง แต่ต้องรอให้ฟิลเลอร์คางสลายหมดก่อน เนื่องจากจะส่งผลต่อการยึดเกาะของซิลิโคนที่ฉีดฟิลเลอร์มา ดังนั้น ก่อนฉีดฟิลเลอร์คางควรศึกษาข้อมูลและวางแผนให้ดีก่อนว่ามีแผนต้องการเสริมซิลิโคนคางในอนาคตหรือไม่ และการฉีดฟิลเลอร์คางหรือการผ่าตัดเสริมคางเหมาะสมกับตัวเองมากน้อยแค่ไหน

                                        ฉีดฟิลเลอร์คางสลายได้ไหม?

                                        • หากฉีดฟิลเลอร์คางแท้ หลังฉีดฟิลเลอร์คาง เนื้อฟิลเลอร์จะสลายเองตามธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ แต่กรณีที่ไม่ชอบรูปทรงคางและอยากแก้ไขสามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ด้วยตัวยา Hyaluronidase ช่วยสลายฟิลเลอร์ออกไปจนหมด

                                        ฉีดฟิลเลอร์เจ็บไหม?

                                        • ในระหว่างฉีดฟิลเลอร์คางอาจจะมีความรู้สึกเจ็บในขณะฉีด ฟิลเลอร์บางยี่ห้อจะมีส่วนผสมของยาชา ช่วยลดความรู้สึกเจ็บในขณะฉีดได้ เช่น ยี่ห้อ Restylane หรือ ยี่ห้อ Juvederm เป็นต้น

                                        ฉีดฟิลเลอร์ที่คางอันตรายไหม?

                                        • การฉีดฟิลเลอร์ที่คางอย่างปลอดภัย ไม่เป็นอันตราย ควรฉีดโดยแพทย์ผู้ชำนาญการในด้านการฉีดฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน สลายเองได้เองตามธรรมชาติ และไม่มีการตกค้างภายในร่างกาย

                                        เป็นสิวที่คางฉีดฟิลเลอร์คางได้ไหม?

                                        • ในกรณีเป็นสิวที่คางแบบรุนแรง เช่น สิวอักเสบ สิวหัวช้าง หรือ สิวฮอร์โมน ควรพักการฉีดฟิลเลอร์คางเพื่อทำการรักษาสิวให้หายก่อน เพราะอาจเกิดการอักเสบมากขึ้นกว่าเดิมและอาจทำให้เกิดการบวมหรือแดงจากรอยเข็มได้

                                        ฉีดฟิลเลอร์คางนอนตะแคงได้ไหม?

                                        • คนที่ฉีดฟิลเลอร์คางให้หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ นอนตะแคง เพื่อป้องกันการกดทับของคางเพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เสียรูปทรงได้ ควรดูแลรูปทรงคางหลังจากฉีดฟิลเลอร์ เพื่อรักษาผลลัพธ์ของทรงคางสวยรับกับใบหน้าที่สุด

                                        ฉีดฟิลเลอร์คางห้ามทานอะไร?

                                        อาหารบางชนิดส่งผลต่อการอักเสบหรือการยุบบวมของผิวจากการฉีดฟิลเลอร์คาง แต่หลังจากฟิลเลอร์เข้าที่ในช่วง 2 สัปดาห์ สามารถรับประทานได้ตามปกติ โดยอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วง 2 สัปดาห์แรก มีดังนี้

                                        • งดอาหารรสจัด เนื่องจากอาหารรสจัดมักดูดน้ำกลับเข้าสู่ร่างกายค่อนข้างมาก ซึ่งส่งผลให้ใบหน้าและลำตัวเกิดภาวะบวมน้ำ
                                        • หลีกเลี่ยงอาหารดิบ อาหารหมักดอง เพราะจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์
                                        • งดดื่มแอลกอฮอล์และงดบุหรี่ เพราะจะทำให้เกิดการยุบตัวช้า และผลลัพธ์ฟิลเลอร์จะอยู่ได้สั้นลง

                                        หลังฉีดฟิลเลอร์คางทำหัตถการอื่นได้ไหม?

                                        • หลังจากการฉีดฟิลเลอร์คางสามารถทำหัตถการอื่นร่วมกันได้ เช่น การฉีดโบ การร้อยไหม การฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณอื่น รวมไปถึงการทำยกกระชับ Ulthera SPT หรือ Ultraformer MPT 4D Lift โดยก่อนทำควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อวางแผนลำดับการทำก่อน-หลัง และแนะนำระยะเวลาที่เหมาะสมกับการทำหัตถการอื่น ๆ ร่วมกับการฉีดฟิลเลอร์คางได้

                                        สรุปเรื่องฟิลเลอร์คาง

                                        การฉีดฟิลเลอร์คางนับเป็นหัตถการช่วยปรับใบหน้าให้มีความเรียว ดูสมมาตร ได้สัดส่วนและมีมิติมากขึ้น โดยฟิลเลอร์คางจะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของคางบุ๋ม คางสั้น คางตัด ช่วยให้ใบหน้าเรียวยาวมากขึ้น หลังจากฉีดฟิลเลอร์คางจะเห็นผลลัพธ์หลังทำทันที และสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่มีตกค้างในร่างกาย ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์คางนั้นสามารถอยู่ได้นานกว่า 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่ใช้และการดูแลตนเองในแต่ละบุคคล เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องควรทำปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด และที่สำคัญควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ฟิลเลอร์แท้ และแพทย์มีความชำนาญเฉพาะทางด้านการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุด

                                        สอบถามติดต่อ :https://bit.ly/RomrawinLINE

                                         

                                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                                          วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                          ฟิลเลอร์ปากอวบอิ่ม อยู่ได้กี่เดือน ทรงปากแบบไหนเหมาะกับใคร

                                          ฟิลเลอร์ปาก

                                          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                                            วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                             
                                            ฟิลเลอร์ปาก
                                            รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง

                                            ฟิลเลอร์ปากอวบอิ่ม แก้ปัญหารูปทรงปาก ฉีดครั้งแรกต้องรู้อะไรบ้าง?

                                            ในปัจจุบันเรื่องของเทรนด์ความสวยความงาม เป็นสิ่งที่สาว ๆ ทุกคนเริ่มหันมาให้ความสนใจ และใส่ใจดูแลตัวเองอย่างมาก ซึ่งหนึ่งในเทรนด์ความงามที่ได้รับความนิยม คือ ฉีดฟิลเลอร์ปาก ที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงรูปทรงปากแบบสาวเกาหลี หรือสาวสายฝอได้ นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องของฟื้นฟูริมฝีปากให้กลับมาชุ่มชื้น เรียบเนียนขึ้น แก้ปัญหาริมฝีปากตกร่อง และริมฝีปากแห้ง ให้กลับมาฉ่ำวาวสุขภาพดีอีกครั้ง ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ปากนับว่าเป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์มาก บทความนี้รมย์รวินท์คลินิกขอรวบรวมทุกเรื่องของฟิลเลอร์ปาก ให้สาว ๆ ทุกคนได้เตรียมตัวและเตรียมข้อมูลให้พร้อม ก่อนเลือกฉีดฟิลเลอร์ปาก เพื่อความปลอดภัย และเพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่ดี

                                            เทรนด์ฮิตฉีดฟิลเลอร์ปาก ฉีดฟิลเลอร์ปากครั้งแรกต้องรู้อะไรบ้าง

                                            ฟิลเลอร์ปาก

                                            ฟิลเลอร์ปากคืออะไร?

                                            การฉีดฟิลเลอร์ปาก คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid: HA) ที่มีคุณสมบัติในด้านของการอุ้มน้ำ โดยการฉีดสารเติมเต็มหรือการฉีดฟิลเลอร์จะเป็นการฉีดเข้าไปบริเวณริมฝีปาก เพื่อเพิ่มขนาดของริมฝีปากและปรับโครงสร้างของริมฝีปาก ช่วยให้ริมฝีปากมีความอวบอิ่มมากขึ้น แก้ปัญหาริมฝีปากแห้ง ลอกเป็นขุย อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาริมฝีปากบนและล่างไม่เท่ากัน

                                            นอกจากฉีดฟิลเลอร์ปากเพื่อความอวบอิ่ม ฟิลเลอร์ปากยังสามารถแก้ปัญหาปากคว่ำให้กลับมายิ้มแย้มสดใสขึ้น ด้วยเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ยกมุมปาก และสามารถแก้ปัญหาริ้วรอยรอบบริเวณมุมปากให้กลับมาเต่งตึงขึ้น เห็นผลลัพธ์หลังทำทันที

                                            สัดส่วนปากทองคำ (Golden Ratio)

                                            หลักการเลือกรูปทรงปากให้เข้ากับใบหน้า ต้องพิจารณาดูความเหมาะสมของสัดส่วนใบหน้า โดยหลักเกณฑ์การพิจารณามี ดังนี้

                                            • ขนาดของริมฝีปากบน : ล่าง มีความเหมาะสมตามสัดส่วนทองคำ (Golden Ratio) 1:1.618
                                            • ขอบริมฝีปากต้องมีสัดส่วนที่เท่ากันทั้ง 2 ข้าง
                                            • มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ไม่ทิ่มคว่ำลง
                                            • ร่องริมฝีปากบนมีขอบหยักที่ชัดเจน คมชัด และดูมีมิติ
                                            • เนื้อริมฝีปากล่างไม่ควรมีขนาดใหญ่เกินขอบเขตของริมฝีปากบน
                                            • เนื้อริมฝีปากอวบอิ่ม เรียบเนียน และไม่มีริ้วรอยย่นบนริมฝีปาก

                                            ฟิลเลอร์ปาก

                                            ฟิลเลอร์ปากช่วยอะไร?

                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ช่วยบำรุงริมฝีปากที่แห้งแตก ลอกเป็นขุย ให้กลับมามีความชุ่มชื้นอีกครั้ง
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ช่วยปรับรูปทรงตามที่ต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นทรงเกาหลี ปากสายฝอ และปากกระจับ
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ช่วยปรับขนาดของโครงสร้างให้มีสัดส่วนที่สมดุลกันอย่างสวยงาม
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ช่วยเพิ่มเติมเนื้อบริเวณริมฝีปาก ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาปากบางจนเกินไป
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ช่วยทำให้ขอบปากมีขอบเขตที่ชัดเจนสวยงามขึ้น
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ช่วยลดริ้วรอยที่เกิดบริเวณริมฝีปาก
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปาก โดยการฉีดฟิลเลอร์ยกมุมปากขึ้น ช่วยแก้ปัญหามุมปากคว่ำตกจนทำให้ใบหน้าดูบึ้งตึง

                                            ฉีดฟิลเลอร์ปากเหมาะกับใคร?

                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับผู้ที่อยากปรับทรงริมฝีปากให้สวยขึ้น
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริมฝีปากบาง ไม่เท่ากัน
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับผู้ที่มีริมฝีปากแห้งและตกร่อง
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับผู้ที่อยากเสริมโหงวเฮ้งให้กับใบหน้า

                                            ฉีดฟิลเลอร์ปากไม่เหมาะกับใคร?

                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่เหมาะกับผู้ที่ผ่าตัดปากมา และมีพังผืดจากแผลรั้งริมฝีปากมากเกินไป
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่เหมาะกับสตรีตั้งครรภ์และให้นมบุตร
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องใช้ยาหรือเป็นโรคที่มีผลกับการแข็งตัวของเลือด
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเริม
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่เหมาะกับผู้ที่ผิวหนังบริเวณริมฝีปาก หรือบริเวณใกล้เคียงเกิดการอักเสบอยู่ ควรรักษาให้หายก่อนทำ
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติเป็นแผลเป็นคีลอยด์ง่าย
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้กรดไฮยาลูรอน

                                            ฟิลเลอร์ปาก

                                            3 ทรงฟิลเลอร์ปากยอดนิยม

                                            ทรงของการฉีดฟิลเลอร์ปาก ที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับสาวไทย จะมีทั้งหมด 3 ทรง คือ ทรงปากกระจับ ทรงปากเกาหลี และทรงปากสายฝอ ซึ่งทรงปากแต่ละรูปแบบมีความแตกต่างกัน ดังนี้

                                            ฉีดฟิลเลอร์ปากทรงกระจับ

                                            • ลักษณะทรงปากกระจับ จะเป็นรูปทรงปากโค้งเรียวสวยคล้ายกับผลกระจับ โดยริมฝีปากส่วนบนและส่วนล่างได้รูปทรงที่สวยรับกับใบหน้า หรือบางคนเรียกรูปทรงปากทรงนี้ว่าปากปีกนก เพราะมีลักษณะมุมปากกระจับเรียวและยกขึ้นคล้ายกับปีกนก รูปทรงปากกระจับ เป็นทรงที่ช่วยเพิ่มมิติให้กับใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ

                                            ฉีดฟิลเลอร์ปากทรงเกาหลี

                                            • ลักษณะทรงปากเกาหลี (Cherry Lips) จะเป็นรูปทรงที่คล้ายกับลูกเชอร์รี่ โดยช่วงกลางของริมฝีปากบนและล่างจะมีความอิ่มฟูมากกว่าด้านข้างริมฝีปาก ช่วยปรับรูปทรงริมฝีปากให้ดูอวบอิ่ม แน่นฟู อีกทั้งยังช่วยทำให้ใบหน้าดูเด็กลงอีกด้วย

                                            ฉีดฟิลเลอร์ปากทรงสายฝอ

                                            • โดยปกติลักษณะทรงปากสายฝอมี 2 รูปแบบ คือ ทรงปากอวบอิ่ม เซ็กซี่ ที่ริมฝีปากจะเต็มแน่นเฉพาะริมฝีปากล่าง ส่วนริมฝีปากบนจะมีความเจ่อเล็กน้อย ส่วนแบบปากอวบหนา จะมีรูปทรงปากที่เต็มแน่นทั้งริมฝีปากบนและริมฝีปากล่าง

                                            ฟิลเลอร์ปาก

                                            ฉีดฟิลเลอร์ปากยี่ห้อไหนดี?

                                            สำหรับยี่ห้อฟิลเลอร์ ที่ใช้สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ปาก ที่ได้รับความนิยม และได้รับการรับรองจาก อย.ไทย มีทั้งหมด 3 ยี่ห้อด้วยกัน ดังนี้

                                            ฟิลเลอร์ปากยี่ห้อ Restylane

                                            เป็นฟิลเลอร์แบรนด์แรกที่พัฒนาขึ้นจากประเทศสวีเดน นำเข้าโดยบริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) จำกัด รุ่นฟิลเลอร์ที่แนะนำเพื่อการฉีดฟิลเลอร์ปาก คือ Restylane KYSSE เป็นรุ่นที่ผลิตขึ้นมาเพื่อฉีดบริเวณริมฝีปากโดยเฉพาะ เนื้อฟิลเลอร์มีความละเอียดและคงตัว ช่วยให้ทรงปากได้รูปอย่างธรรมชาติ  รุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะสมสำหรับฉีดฟิลเลอร์ปากคือ 

                                            • ฟิลเลอร์ปาก Restylane Classic ลักษณะเนื้อนิ่ม เหมาะสำหรับคนที่ต้องการให้ปากดูเป็นทรงสวยธรรมชาติ อยู่ได้นานประมาณ 6-8 เดือน
                                            • ฟิลเลอร์ปาก Restylane Kysse ฟิลเลอร์ลักษณะเนื้อละเอียด มีความคงตัวสูง เหมาะสำหรับการสร้างขอบริมฝีปากที่ชัดเจน ช่วยมอบความชุ่มชื้นและความอวบอิ่ม ถูกออกแบบมา ลเพื่อใช้เติมเต็มริมฝีปากโดยเฉพาะ อยู่ได้นาน 12 เดือน

                                            ฟิลเลอร์ปากยี่ห้อ Juvederm

                                            ฟิลเลอร์จากประเทศอเมริกา ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยและคุณภาพจาก US FDA และ อย.ไทย นำเข้าโดยบริษัท แอลเลอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด เป็นยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมสูง รุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะสมสำหรับฉีดฟิลเลอร์ปาก คือ 

                                            • ฟิลเลอร์ปาก Juvederm Vobella ฟิลเลอร์จะมีโมเลกุลคล้ายเนื้อเจลนิ่ม มีความเนียนละเอียด กลืนกับผิวได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
                                            • ฟิลเลอร์ปาก Juvederm Volift เนื้อค่อนข้างฟู นิ่มปานกลาง เรียบเนียน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ริมฝีปากอิ่มฟูเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน

                                            ฟิลเลอร์ปากยี่ห้อ Belotero

                                            ฟิลเลอร์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นำเข้าโดยบริษัท เมิร์ซ เฮลธ์ แคร์ (ประเทศไทย) จำกัด ใช้เทคโนโลยี Cohesive Polydensified Matrix (CPM) ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษในการผลิต ทำให้ฟิลเลอร์มีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มขึ้น รุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ปากคือ Belotero lips ฟิลเลอร์สำหรับฉีดปากโดยเฉพาะ ใน 1 เซตจะมาด้วยกัน 2 รุ่น คือ

                                            • ฟิลเลอร์ปาก Belotero lips shape สำหรับเพิ่มวอลลุ่ม เติมความอวบอิ่มให้ริมฝีปาก
                                              ฟิลเลอร์ปาก Belotero lips contour สำหรับปรับรูปทรงปากตามที่ต้องการ เพิ่มความคมชัดของขอบปาก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 9-12 เดือน
                                            • ฟิลเลอร์ปาก Belotero Intense ฟิลเลอร์กล่องชมพูที่ช่วยเติมเต็มริมฝีปากให้อวบอิ่มและเรียบเนียนขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 9-12 เดือน

                                            ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ปาก

                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปากช่วยเพิ่มความอวบอิ่มให้กับริมฝีปาก ช่วยปรับทรงปากให้สวยเข้ารูป
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปากแก้ปัญหาปากแห้ง แตก ลอกเป็นขุยได้
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปากผลลัพธ์ไม่ได้อยู่ถาวร แต่สามารถฉีดเพิ่มได้
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปากไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปากสามารถฉีดสลายได้
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปากมีความปลอดภัยสูง ไม่เป็นอันตราย ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ

                                            ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากเตรียมตัวอย่างไร?

                                            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก งดรับประทานกลุ่มยาแอสไพริน 1 สัปดาห์ก่อนทำ
                                            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก งดยาหรืออาหารเสริมต่าง ๆ ที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด 1 สัปดาห์ก่อนทำ และควรปรึกษาแพทย์เจ้าของคนไข้ก่อนหยุดยา
                                            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก งดทายาชนิดผลัดเซลล์ผิวทุกชนิด เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ก่อนทำ
                                            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก งดแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงก่อนทำ
                                            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก งดแว็กซ์บริเวณรอบริมฝีปากก่อนทำ 1 สัปดาห์
                                            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดกิจกรรมการออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนทำ

                                            ฉีดฟิลเลอร์ปากมีขั้นตอนอย่างไร?

                                            • ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก โดยแพทย์จะประเมินลักษณะของริมฝีปากของผู้ที่เข้ารับบริการ เพื่อเลือกทรงปากที่เหมาะสมกับใบหน้าที่สุด
                                            • แพทย์จะช่วยแนะนำยี่ห้อและรุ่นที่เหมาะสมของฟิลเลอร์ปาก ให้เหมาะสมกับความต้องการ
                                            • เริ่มทำความสะอาดบริเวณริมฝีปาก เพื่อความสะอาดและปลอดภัย
                                            • แปะยาชาและประคบน้ำแข็งก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก เพื่อช่วยลดบรรเทาความเจ็บ
                                            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากควรตรวจสอบว่าเป็นฟิลเลอร์แท้หรือไม่ โดยแพทย์จะแกะกล่องฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า เพื่อความมั่นใจในฟิลเลอร์แท้
                                            • แพทย์เริ่มฉีดฟิลเลอร์ลงบนริมฝีปาก
                                            • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก แพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลตนเองหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อผลลัพธ์ที่นานขึ้น

                                            ฟิลเลอร์ปาก

                                            หลังฉีดฟิลเลอร์ปากดูแลตัวเองอย่างไร?

                                            หากอยากรักษาผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์ปากให้อยู่ได้นาน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งวิธีดูแลตนเองหลังฉีดฟิลเลอร์ มีดังนี้

                                            • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก งดทาลิปสติกหลังฉีดฟิลเลอร์อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                                            • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก งดรับประทานอาหารรสจัดเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์
                                            • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับฟิลเลอร์ปาก ยังช่วยให้ฟิลเลอร์ฟูขึ้น และอยู่ได้นานขึ้น
                                            • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด รวมไปถึงเครื่องดื่มร้อน เพราะจะทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วขึ้น
                                            • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่ควรดึง หรือลอกหนังริมฝีปาก เพราะจะเป็นการทำลายผิวริมฝีปาก ทำให้ผิวริมฝีปากกักเก็บน้ำและความชุ่มชื้นได้น้อยลง
                                            • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัส การถู การบีบนวด บริเวณริมฝีปาก เพราะจะทำให้รูปทรงริมฝีปากเสียรูปได้
                                            ฟิลเลอร์ปาก
                                            ผลข้างเคียงจากฟิลเลอร์ปาก

                                            ฉีดฟิลเลอร์ปากมีผลข้างเคียงอย่างไร?

                                            ผลข้างเคียงของการฉีดฟิลเลอร์ปากที่สามารถพบได้ในบางกรณี ดังนี้

                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปากอาจเกิดอาการผื่น หรือจุดแดงขึ้นบริเวณริมฝีปาก
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปากอาจเกิดอาการปวดหลังฉีดฟิลเลอร์ โดยสามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวด
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปากจะมีอาการบวมแดงหลังทำ เป็นอาการปกติทั่วไปที่เกิดจากการที่ฟิลเลอร์มีการกักเก็บน้ำใต้ผิว จนทำให้ริมฝีปากผิวอิ่มฟูกว่าปกติ และจะหายเองได้ใน 1 สัปดาห์
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วเป็นก้อน ซึ่งอาจเกิดจากการใช้ฟิลเลอร์ในปริมาณที่มากเกินไป  หรือเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสมกับบริเวณริมฝีปาก รวมไปถึงการฉีดกับแพทย์ที่ไม่เชี่ยวชาญ สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดสลายฟิลเลอร์
                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปากในบางกรณีมีอาการแพ้ฟิลเลอร์หรือเกิดการอักเสบ โดยมีลักษณะเป็นก้อนบวมนูน ผิวแดง และรู้สึกเจ็บปวด หากพบอาการดังกล่าวต้องรีบเข้ารับการรักษากับแพทย์ทันที

                                            ฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นก้อนเกิดจากอะไร?

                                            • ประสบการณ์และเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ปากของแพทย์

                                            การฉีดฟิลเลอร์ปาก ต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีความชำนาญเกี่ยวกับฟิลเลอร์ มีความรู้ในเรื่องของร่างกายมนุษย์ รวมไปถึงศิลปะในด้านของการปรับรูปหน้า ซึ่งถ้าแพทย์ไม่มีความชำนาญและขาดประสบการณ์ความรู้ มีโอกาสเสี่ยงฉีดฟิลเลอร์เป็นก้อนจากการฉีดผิดชั้นผิวหรือผิดตำแหน่ง

                                            • ฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีอย.

                                            ฟิลเลอร์ที่ไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก อย. เป็นฟิลเลอร์ราคาถูก ไม่มีประสิทธิภาพ ฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถย่อยสลายเองได้ การฉีดฟิลเลอร์ปลอมจะทำให้เนื้อฟิลเลอร์ปลอมจับตัวกันเป็นก้อน ไหลย้อยไม่เป็นทรง ดังนั้นก่อนฉีดฟิลเลอร์ต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี

                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปากในปริมาณที่มากเกิน

                                            การฉีดฟิลเลอร์ปากต้องเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ ปริมาณของฟิลเลอร์ และตำแหน่งที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ ต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก หากใช้ปริมาณที่เกินจำเป็นอาจทำให้ฟิลเลอร์ปากเป็นก้อนได้

                                            • ชนิดของฟิลเลอร์ไม่เหมาะสมกับบริเวณริมฝีปาก

                                            การฉีดฟิลเลอร์ที่มีขนาดของโมเลกุลความหนาแน่นสูง ที่ควรฉีดลงผิวชั้นลึก หากนำมาฉีดในผิวชั้นตื้นจะทำให้ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อนได้ เพราะฉะนั้นควรเลือกบริเวณที่ต้องการฉีดให้เหมาะสมกับชนิดของฟิลเลอร์ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ

                                            • อาการบวมหลังการฉีดฟิลเลอร์ปาก

                                            หลังการฉีดฟิลเลอร์ปากจะมีอาการบวมประมาณ 2-3 วันหลังทำ ซึ่งในบางกรณีที่มีปัญหาผิวบางและบวมง่าย อาจจะมีอาการบวม 5-7 วัน ซึ่งปกติฟิลเลอร์จะเริ่มเข้าที่อยู่ประมาณ 7-14 วัน หลังฉีดฟิลเลอร์ควรรอให้ปากยุบบวมก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นอาการบวม หรือเป็นการฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน

                                            คำถามพบบ่อยของฟิลเลอร์ปาก

                                            ฉีดฟิลเลอร์ปากกี่ CC ?

                                            • ฉีดฟิลเลอร์ปากกี่ CC นั้นขึ้นอยู่กับทรงปากเดิมของแต่ละบุคคล โดยปกติการฉีดฟิลเลอร์ปากเริ่มต้นที่ 1-2 CC แต่สำหรับคนที่อยากได้ทรงปากสายฝอ ริมฝีปากหนาอิ่มฟูสามารถฉีดมากกว่านี้ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแพทย์ประเมินก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก

                                            ฉีดฟิลเลอร์ปากอันตรายไหม?

                                            • การฉีดฟิลเลอร์ปากไม่อันตราย ถ้าฉีดฟิลเลอร์แท้โดยแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น เพราะสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนมีความปลอดภัยสูง ที่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ทั้งนี้การฉีดฟิลเลอร์ปากควรฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ในด้านของเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง เนื่องจากต้องใช้ความระมัดระวังในการฉีดฟิลเลอร์ เพราะริมฝีปากประกอบไปด้วยเส้นเลือดฝอยขนาดเล็กจำนวนมาก เพื่อไม่ให้เกิดฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือด การฉีดฟิลเลอร์ปากแบบปลอดภัยจึงจำเป็นต้องเลือกฉีดกับแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น

                                            ฉีดฟิลเลอร์ปากบวมกี่วัน? กี่วันเห็นผลลัพธ์?

                                            • ระยะเวลาของอาการบวมจากการฉีดฟิลเลอร์ปากจะหายได้เองหลังจากการฉีดฟิลเลอร์ประมาณ 4-5 วัน โดยอาการบวมจะค่อย ๆ ลดลง และเริ่มเห็นทรงปากที่ชัดเจนขึ้น และเห็นผลลัพธ์จากการฉีดฟิลเลอร์ปากอวบอิ่ม เป็นทรงสวยธรรมชาติ ประมาณ 1-2 สัปดาห์

                                            ฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ไหม?

                                            • ฉีดสลายฟิลเลอร์เหมาะกับผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์มาแล้วไม่ชอบรูปทรงปาก อยากแก้รูปทรงปาก หรือแก้ไขปัญหาฟิลเลอร์เป็นก้อน การฉีดสลายฟิลเลอร์ด้วยไฮยาโลรูนิเดส (Hyaluronidase) เข้าไปสู่บริเวณที่ต้องการสลายฟิลเลอร์ เพื่อลดการกักเก็บน้ำ ไขมัน และทำลายการยึดเกาะของเนื้อฟิลเลอร์ ช่วยปรับให้ผิวบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์กลับมาเรียบเนียนเสมอกันเหมือนเดิม ซึ่งการฉีดสลายฟิลเลอร์นั้นใช้ได้ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์แท้ ส่วนกรณีฉีดฟิลเลอร์ปลอมต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัดเท่านั้น

                                            ฉีดฟิลเลอร์ปากเจ็บไหม?

                                            • ระหว่างการฉีดฟิลเลอร์ปากจะรู้สึกเจ็บในระดับที่สามารถอดทนได้ เนื่องจากบริเวณริมฝีปากเป็นจุดที่อ่อนและบาง จึงมีความไวต่อความรู้สึก การแปะยาชาก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากจึงช่วยทำให้ลดความเจ็บลงได้

                                            ผ่าตัดปากมาแต่ปากบาง ฉีดฟิลเลอร์ได้ไหม?

                                            • ในกรณีที่ผ่าตัดริมฝีปากแต่ริมฝีปากบางเกินไป สามารถฉีดฟิลเลอร์ปากแก้ไขให้รูปทรงปากดีขึ้นได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพังผืดที่เกิดจากการผ่าตัดริมฝีปาก ซึ่งถ้าพังผืดดึงรั้งมากเกินไปจะทำให้ฉีดฟิลเลอร์ได้น้อย ดังนั้นการผ่าตัดริมฝีปากต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน เพราะถ้าหากผ่าตัดริมฝีปากแล้วมีเนื้อปากที่บางจนเกินไปจะไม่สามารถแก้ไขด้วยการฉีดฟิลเลอร์ปากได้

                                            ฟิลเลอร์ปากฉีดได้บ่อยแค่ไหน?

                                            • ถ้าฟิลเลอร์ปากเริ่มสลายแล้ว สามารถฉีดฟิลเลอร์ปากเติมใหม่ได้ แต่ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์ปากแล้ว แต่ต้องการจะฉีดฟิลเลอร์เพิ่มอีก จะต้องเว้นระยะห่างประมาณ 2-4 สัปดาห์ต่อการฉีดบริเวณตำแหน่งเดิม

                                            ฟิลเลอร์ปากอยู่ได้นานกี่เดือน?

                                            • การฉีดฟิลเลอร์ปากอยู่ได้นานประมาณ 6-18 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ และรุ่นฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ และรวมไปถึงการดูแลริมฝีปาก เพื่อให้ผลลัพธ์ยาวนานในแต่ละบุคคล

                                            การฉีดฟิลเลอร์ปาก เป็นเทรนด์ความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ปากมีความยืดหยุ่น และแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าการผ่าตัด ทั้งยังมีความเสี่ยงน้อยกว่าเพราะไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถสลายไปเองได้ตามธรรมชาติ การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ รมย์รวินท์คลินิกจึงเป็นคลินิกทางเลือกที่ดีที่สุด ที่พร้อมจะแก้ไขทุกปัญหาของใบหน้าด้วยการฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มากประสบการณ์ และมีการชำนาญด้านการฉีดฟิลเลอร์โดยเฉพาะ

                                             

                                            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                                              วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                              BELOTERO REVIVE หน้าโกลว์ผิวฉ่ำวาว คืออะไร ดียังไง

                                              BELOTERO REVIVE

                                              BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวกระจก หน้าโกลว์ฉ่ำวาว รุ่นแรกของโลก

                                              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                เทรนด์ผิวฉ่ำวาวผิวแลดูสุขภาพดี ยังคงเป็นเทรนด์ยอดนิยมตามแบบฉบับของสาวเกาหลี ซึ่งใครหลายคนอยากจะมีผิวสวยสุขภาพดีเปรียบเหมือนดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว และการมีผิวฉ่ำวาวสุขภาพดี นอกจากการรับประทานอาหารมีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว ยังมีการใช้นวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อช่วยให้ผิวสวยสุขภาพดีแบบเร่งด่วนได้อีกด้วย 

                                                นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ผิวกระจก ผิวฉ่ำวาว สุขภาพดีแบบสาวเกาหลีในตอนนี้ คือ BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวตัวแรกของโลก เน้นผิวโกลว์ งานผิวฉ่ำวาว สุขภาพดีตั้งแต่ภายในสู่ภายนอก ทำให้ BELOTERO REVIVE ได้รับความนิยมอย่างมาก วันนี้รมย์รวินท์คลินิกได้เรียบเรียงข้อมูลที่เกี่ยวกับฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE ที่สำคัญทั้งหมดไว้ที่บทความนี้แล้ว  

                                                เจาะลึก BELOTERO REVIVE ทำไมถึงเป็นฟิลเลอร์งานผิวที่ได้รับความนิยมที่สุดในปี 2024

                                                revive
                                                ส่วนประกอบของ BELOTERO REVIVE

                                                BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว คืออะไร

                                                ฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE เป็นรุ่นของฟิลเลอร์ยี่ห้อ BELOTERO จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นำเข้าและจัดจำหน่ายโดยบริษัท Mez Healthcare (Thailand) จำกัด นอกจาก Beloter รุ่น Revive แล้ว ทางบริษัทผู้นำเข้ายังมีฟิลเลอร์ BELOTERO รุ่นอื่น ๆ เช่น BELOTERO Soft, BELOTERO Intense และ BELOTERO Volume และทุกรุ่นผ่านการรับรองจากองค์กรอาหารและยา (อย.) รวมไปถึงองค์กรอาหารและยาสหรัฐอเมริกาและยุโรป

                                                ฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE เป็นฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาวรุ่นแรกของโลก ที่มีการผสมผสานกันของกรดไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) และกลีเซอรอล (Glycerol) ผลิตด้วยนวัตกรรมที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ BELOTERO อย่าง CPM (Cohesive Polydensified Matrix) คุณสมบัติโดดเด่นของ HA คือ มีลักษณะเป็นเนื้อเจล มีความยืดหยุ่นสูง ช่วยกักเก็บน้ำในโมเลกุล ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหน้า ช่วยให้ผิวฉ่ำวาว ส่วนกลีเซอรอล (Glycerol) เป็นสารให้ความชุ่มชื้น ช่วยปลอบประโลมผิว ช่วยลดการอักเสบของผิวและช่วยลดการระคายเคืองของผิว รวมไปถึงทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิวจากการถูกทำลายอีกด้วย

                                                ฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE จึงมีคุณสมบัติในเรื่องช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว ผิวหน้าโกลว์ ผิวฉ่ำวาว เพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว ฟื้นฟูผิวให้ดูสุขภาพดี ผิวเรียบเนียน รูขุมขนกระชับขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้าได้

                                                revive
                                                BELOTERO REVIVE ฟื้นฟูผิว 4 มิติ

                                                BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว มีจุดเด่นอะไรบ้าง

                                                การผสานกันของ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) และกลีเซอรอล (Glycerol) ของ BELOTERO REVIVE ทำให้เป็นฟิลเลอร์งานผิวรุ่นแรกของโลกที่ทำให้ผิวสุขภาพดี ผิวฉ่ำวาว เรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยนวัตกรรมที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ BELOTERO คือ CPM (Cohesive Polydensified Matrix) โดยมีคุณสมบัติเด่น ดังนี้

                                                • Cohesivity : เนื้อฟิลเลอร์เรียบเนียน กลืนตัวกับผิวหน้าได้ง่าย
                                                • Elasticity : เนื้อฟิลเลอร์ยืดหยุ่น ไม่ทำให้เกิดการไหลย้อยไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการ
                                                • Plasticity : เนื้อฟิลเลอร์ขึ้นรูปและปั้นทรงง่าย 

                                                ทั้งนี้เมื่อฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE เข้าสู่ผิวหน้า จะทำให้ BELOTERO REVIVE มีความเนียนไปกับผิว ให้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด

                                                BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ช่วยอะไรบ้าง

                                                • BELOTERO REVIVE ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว มอบผิวฉ่ำวาวสุขภาพดี ลดการสูญเสียน้ำในเซลล์ผิว
                                                • BELOTERO REVIVE ช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหน้า
                                                • BELOTERO REVIVE ช่วยทำให้กระชับ อิ่มฟูขึ้น และลดริ้วรอยเล็ก ๆ ให้จางลง
                                                • BELOTERO REVIVE ช่วยลดการเกิดเม็ดสีเมลานิน และป้องกันผิวจากแสงแดด

                                                BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว เหมาะกับใคร

                                                • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ต้องการผิวฉ่ำวาว อิ่มน้ำแบบผิวกระจก
                                                • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ ริ้วรอยร่องตื้นบนใบหน้า
                                                • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าขาดน้ำ ผิวแห้ง และหน้ามัน
                                                • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าแห้งเสีย จากแสงแดดทำลายผิว
                                                • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่มีปัญหารอยดำ และรอยแดงจากสิว
                                                • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาบำรุงผิวหน้า
                                                • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน กระจ่างใสขึ้น
                                                • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่กระชับ
                                                • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบงานผิว และไม่ต้องการแต่งหน้าเยอะ

                                                BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว มีข้อห้ามที่ต้องระวังอะไรบ้าง

                                                • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวหนังอักเสบในบริเวณที่ต้องการฉีด
                                                • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้สารฟิลเลอร์
                                                • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา
                                                • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับผู้ที่มีแผลฟกช้ำง่าย มีปัญหาเลือดออกแล้วหยุดยาก 
                                                • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
                                                • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับสตรีที่มีการตั้งครรภ์ หรือ อยู่ในช่วงให้นมบุตร
                                                • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเริมหรืองูสวัด

                                                revive
                                                BELOTERO REVIVE ควรฉีดตรงไหน

                                                 ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง

                                                ฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE โดยปกติแล้วนิยมที่สุด คือ บริเวณหน้าแก้ม แต่สามารถฉีดในบริเวณอื่น ๆ ได้เช่นกัน นิยมฉีดบริเวณใบหน้าและลำคอ โดยสามารถฉีดได้ตามตำแหน่งต่าง ๆ ดังนี้

                                                • ฉีด BELOTERO REVIVE รอบดวงตา : ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา ลดรอยคล้ำรอบดวงตา
                                                • ฉีด BELOTERO REVIVE บริเวณแก้มและข้างจมูก : ช่วยให้ใบหน้าดูฉ่ำวาว เรียบเนียนกระชับขึ้น
                                                • ฉีด BELOTERO REVIVE บริเวณรอบปากและริมฝีปาก : ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ริมฝีปาก และช่วยลดริ้วรอยรอบริมฝีปาก
                                                • ฉีด BELOTERO REVIVE บริเวณลำคอ : ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวบริเวณคอที่แห้งกร้าน

                                                BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง

                                                ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE คือเป็นตัวช่วยบำรุงผิวได้ตั้งแต่ผิวชั้นใน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น อิ่มฟูแน่นกระชับ เพิ่มความชุ่มชื้น ผิวฉ่ำวาว ผิวแลดูสุขภาพดี  อีกทั้งยังเห็นผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ที่ฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE ตั้งแต่ครั้งแรก โดยผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE อยู่ได้นาน 6-9 เดือน ส่วนข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE อาจมีอาการบวมและรอยแดงจากเข็มประมาณ 1 สัปดาห์ และจะค่อย ๆ หายได้เอง

                                                BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว แตกต่างจากฟิลเลอร์อื่น ๆ อย่างไร

                                                ฟิลเลอร์ทั่วไปจะเป็นสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) 100% โดยแต่ละยี่ห้อจะมีความเข้มข้นของสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) และโมเลกุลที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ฟิลเลอร์ยี่ห้อและรุ่นต่าง ๆ จึงมีความแตกต่างกัน

                                                BELOTERO REVIVE มีความแตกต่างจากฟิลเลอร์รุ่นอื่น ๆ ตรงที่มีส่วนผสมของ กลีเซอรอล (Glycerol) ซึ่งเป็นฟิลเลอร์รุ่นแรกของโลกที่ผสานกันระหว่าง ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) + กลีเซอรอล (Glycerol) ช่วยเติมน้ำให้ผิวฉ่ำวาวพร้อมทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟูผิวสุขภาพดีจากภายในอีกด้วย

                                                เปรียบเทียบ BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว กับ BELOTERO รุ่นอื่น

                                                BELOTERO REVIVE เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเติมเต็มเฉพาะจุด แต่สามารถฉีดได้ทั่วใบหน้า เพื่อฟื้นฟูสุขภาพผิวให้เรียบเนียนกระจ่างใส ผิวฉ่ำวาวแบบสาวเกาหลี ซึ่งฟิลเลอร์ BELOTERO ยังมีหลากหลายรุ่น และในแต่ละรุ่นมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ดังนี้

                                                • BELOTERO Soft ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เหมาะกับการฉีดเพื่อเก็บรายละเอียดผิวชั้นตื้น แก้ไขปัญหาริ้วรอยผิวชั้นบน แก้ปัญหาใต้ตา ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
                                                • BELOTERO Intense ฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะกับการเติมร่องลึก ร่องที่เกิดจากการยุบตัวของเนื้อเยื่อผิวหนัง เช่น ร่องแก้ม ร่องมุมปาก เติมแก้มตอบ โดยผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน
                                                • BELOTERO Volume ฟิลเลอร์ที่มีความคงตัวและมีความยืดหยุ่น ยึดเกาะได้ดี เหมาะกับการฉีดเพื่อทดแทนโครงสร้างกระดูกที่เสียไป เพิ่มวอลลุ่มให้กับใบหน้า เช่น ฟิลเลอร์แก้ปัญหาหน้าตอบ ฟิลเลอร์ใต้ตา ปรับรูปหน้าบริเวณ คาง โหนกแก้ม โดยผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน

                                                เปรียบเทียบ BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว กับ ฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น

                                                • BELOTERO REVIVE vs Juvederm Volite

                                                ฟิลเลอร์ Juvederm Volite เป็นฟิลเลอร์สัญชาติสหรัฐอเมริกา ผลิตด้วยเทคโนโลยี Vycross เนื้อฟิลเลอร์ละเอียด โมเลกุลยึดเกาะผิวได้ดี มีความหยืดหยุ่น และมีความเข้มข้นของไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) 12mg/ml ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 8-12 เดือน 

                                                • BELOTERO REVIVE vs Restylane Vital light

                                                ฟิลเลอร์ Restylane Vital light เป็นฟิลเลอร์สัญชาติสวีเดน ผลิตด้วยเทคโนโลยี NASHA (Non Animal Stabilized Hyaluronic Acid) เนื้อฟิลเลอร์มีความละเอียด มีความเข้มข้นของไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) 12mg/ml ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

                                                ส่วน BELOTERO REVIVE มีความเข้มข้นของไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) 20mg/ml และมีส่วนผสมของกลีเซอรอล (Gycerol) 17.5 mg/ml ที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นจากผิวภายใน ผิวฉ่ำวาวและผิวดูอิ่มน้ำและช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสีย ลดการอักเสบให้กับผิว ซึ่งเนื้อฟิลเลอร์เป็นเนื้อเจลที่มีความละเอียด และยืดหยุ่นกว่าฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ เพราะการผลิตด้วยเทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะของ BELOTERO คือ CPM (Cohesive Polydensified Matrix) ที่ทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความเรียบเนียนไปกับผิว ไม่เป็นก้อน

                                                revive
                                                BELOTERO REVIVE ฟื้นฟูผิว 4 มิติ

                                                BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว เปรียบเทียบกับนวัตกรรมกระตุ้นคอลลาเจนอื่น ๆ 

                                                BELOTERO REVIVE vs Sculptra

                                                BELOTERO REVIVE เป็นฟิลเลอร์สกินบูสเตอร์ (Skin Booster) ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพผิว ด้วยการผสานกันของ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) + กลีเซอรอล (Glycerol) ทำให้ช่วยล็อกความชุ่มชื้น และเติมเต็มคุณภาพผิวฉ่ำวาวเหมือนผิวกระจก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งเสีย ขาดความชุ่มชื้น รูขุมขนกว้าง ใบหน้าไม่เรียบเนียน ต้องการฟื้นฟูผิว เพื่อผิวฉ่ำวาวแบบเร่งด่วน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-9 เดือน

                                                ส่วน Sculptra เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว (Collagen Biostimulator) มีส่วนประกอบหลักเป็น PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างเป็นธรรมชาติ เพิ่ม Collagen Type 1 ที่จำเป็นต่อผิวสูงถึง 66.5% เหมาะสำหรับการฟื้นฟูผิวชั้นลึก เติมเต็มผิว ปรับโครงสร้างภายในผิว และช่วยให้ผิวอิ่มฟู แน่นกระชับ โดยสามารถเริ่มเห็นผลลัพธ์หลังฉีด 3 สัปดาห์ อยู่ได้นานถึง 2 ปี เมื่อฉีดครบ 2-3 ครั้งต่อเนื่องกัน

                                                BELOTERO REVIVE vs Radiesse

                                                BELOTERO REVIVE มีส่วนประกอบของ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) + กลีเซอรอล (Glycerol) เนื้อฟิลเลอร์มีความละเอียด มีความกลืนเข้ากับผิวได้อย่างเรียบเนียน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวหน้า ต้องการงานผิวฉ่ำวาวแบบเร่งด่วน โดย BELOTERO REVIVE มีคุณสมบัติช่วยแก้ปัญหาใบหน้าที่แห้งกร้าน ผิวขาดน้ำ หน้าโทรม หมองคล้ำ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-9 เดือน

                                                ส่วน Radiesse เป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มีสารไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) แต่มีสารสำคัญ CaHA (Calcium Hydroxylapatite microsphere) ที่ช่วยในการฟื้นฟูการทำงานของเซลล์ Fibroblast ให้สร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ชั้นผิว ให้ผิวมีความแน่นกระชับ ริ้วรอยเล็ก ๆ ลดลง เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มคอลลาเจนให้ผิว และเพิ่มคุณภาพผิวให้แข็งแรงขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 2 ปี

                                                BELOTERO REVIVE vs Rejuran

                                                BELOTERO REVIVE เป็นการฉีดสารเติมเต็มที่มีคุณสมบัติกักเก็บน้ำเข้าชั้นผิวได้โดยตรง คือ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) + กลีเซอรอล (Glycerol) สามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำได้ทันที โดยผิวชุ่มชื้นและผิวฉ่ำวาวมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดการเกิดสิว ลดการอักเสบของผิวได้ด้วย

                                                แตกต่างกับ Rejuran มีส่วนประกอบหลักคือ Polynucleotide (PN) ช่วยกระตุ้นผิวให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ เพิ่มคุณภาพผิวฉ่ำวาวสุขภาพดี ช่วยในด้านการฟื้นฟูผิว ลดรูขุมขน ลดริ้วรอย และลดหลุมสิวตื้น อีกทั้งยังช่วยเติมผิวชุ่มชื้นอิ่มน้ำมากขึ้น เห็นผลลัพธ์หลังฉีด 3-5 วันและควรทำต่อเนื่อง 4 ครั้ง ทุก 2-3 สัปดาห์ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-8 เดือน

                                                BELOTERO REVIVE vs HIFU / Thermage / Ulthera

                                                BELOTERO REVIVE เป็นหัตถการกลุ่มฟิลเลอร์ เหมาะกับการฉีดผิวชั้นตื้น หรือชั้นหนังแท้ ช่วยปรับสภาพผิวให้ดูดีขึ้น 4 มิติ ผิวเรียบเนียน อิ่มฟู ผิวเด้ง และชุ่มชื้นฉ่ำวาว

                                                ส่วนเทคโนโลยี HIFU, Thermage และ Ulthera เป็นนวัตกรรมการยกกระชับ แก้ปัญหาครอบคลุมทุกชั้นผิว โดดเด่นในเรื่องของการยกกระชับ ปรับรูปหน้า และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน แบบไม่ต้องผ่าตัด

                                                BELOTERO REVIVE และทั้ง 3 นวัตกรรมยกกระชับสามารถทำร่วมกัน เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาผิว และความต้องการในแต่ละบุคคล โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินเบื้องต้นก่อนทำทุกเคส

                                                BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว เตรียมตัวและดูแลตัวเองก่อน-หลังฉีดอย่างไร

                                                การเตรียมตัวก่อนฉีด BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว

                                                ก่อนเลือกฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE อันดับแรกควรศึกษาหาข้อมูลของคลินิกที่เลือกใช้บริการว่ามีการรับรองที่ได้มาตรฐานหรือไม่ ศึกษาข้อมูลของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการฉีด รวมไปถึงการศึกษาเทคนิคของแพทย์ เพื่อความปลอดภัยและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ควรเตรียมความพร้อมก่อนฉีด BELOTERO REVIVE ดังนี้

                                                • ก่อนฉีด BELOTERO REVIVE ควรงดการใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดผลัดเซลล์ผิว หรือกำจัดขน 1 สัปดาห์
                                                • ก่อนฉีด BELOTERO REVIVE งดการใช้ผลิตภัณฑ์วิตามิน และอาหารเสริม 1 สัปดาห์
                                                • ก่อนฉีด BELOTERO REVIVE หลีกเลี่ยงยากลุ่ม NSAID 1 อาทิตย์
                                                • ก่อนฉีด BELOTERO REVIVE งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น การออกกำลังกายหนัก
                                                • ก่อนฉีด BELOTERO REVIVE งดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง
                                                • ก่อนฉีด BELOTERO REVIVE หากมีโรคประจำตัว หรือยาที่ต้องรับประทานเป็นประจำ ควรแจ้งแพทย์ก่อนทำ

                                                การดูแลตัวเองหลังฉีด BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว

                                                หลังจากฉีด BELOTERO REVIVE แพทย์จะให้คำแนะนำที่ควรปฏิบัติตาม ดังต่อไปนี้

                                                • หลังฉีด BELOTERO REVIVE จะมีรอยแผลจากเข็มฉีดยา อาจมีอาการปวด บวม และมีรอยแดงหลังทำ ดังนั้นห้ามไปสัมผัส แกะ เกา หรือนวดบริเวณใบหน้า
                                                • หลังฉีด BELOTERO REVIVE งดการทาครีมบำรุงผิวและการแต่งหน้า 1 สัปดาห์
                                                • หลังฉีด BELOTERO REVIVE หลีกเลี่ยงความร้อน เช่น ซาวน่า อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
                                                • หลังฉีด BELOTERO REVIVE ควรทำความสะอาดใบหน้าด้วยการระมัดระวัง งดถูหน้า และงดสครับใบหน้า
                                                • หลังฉีด BELOTERO REVIVE งดการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
                                                • หลังฉีด BELOTERO REVIVE หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น การออกกำลังกายหนัก อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
                                                • หลังฉีด BELOTERO REVIVE ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อรักษาการอุ้มน้ำของฟิลเลอร์
                                                • หลังฉีด BELOTERO REVIVE ควรทานยาที่แพทย์สั่งจ่ายให้หลังฉีดต่อเนื่องจนครบ เพื่อช่วยลดอาการบวม และป้องกันการติดเชื้อ
                                                • หลังฉีด BELOTERO REVIVE งดการเลเซอร์ผิวชั้นลึกทุกชนิด เป็นระยะเวลา 1 เดือน
                                                • หลังฉีด BELOTERO REVIVE หลีกเลี่ยงการนอนตะแคงหรือนอนคว่ำ ควรนอนให้หัวสูงกว่าหน้าอกในช่วง 2-3 คืนแรก เพื่อป้องกันการกดทับของใบหน้า

                                                BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ผลลัพธ์หลังฉีดมีอะไรบ้าง

                                                ผลลัพธ์หลังฉีด BELOTERO REVIVE สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวได้ทันที และจะค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนี้

                                                • Skin Elasticity ผิวยืดหยุ่นและอิ่มฟูขึ้น ยาวนานถึง 7 เดือน
                                                • Skin Firmness ผิวกระชับเต่งตึงมากขึ้น ยาวนานถึง 7 เดือน
                                                • Skin Glow ผิวหน้าใส เปล่งปลั่งมากขึ้น ยาวนานถึง 9 เดือน
                                                • Skin Hydration ผิวชุ่มชื้น ผิวฉ่ำวาวมากขึ้น ยาวนานถึง 9 เดือน

                                                BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ของแท้ ตรวจสอบอย่างไร

                                                ก่อนฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE หรือฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ ต้องมั่นใจก่อนว่าคลินิกหรือสถานพยาบาลที่เลือกใช้บริการนั้น เลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ที่มีมาตรฐานการรองรับ วิธีการสังเกตฟิลเลอร์แท้จะมีจุดสังเกต ดังนี้

                                                • BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์แท้ต้องมีเลขทะเบียน อย. และเอกสารกำกับภาษาไทยเท่านั้น
                                                • BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์แท้ เลข Lot. จะต้องตรงกันทั้ง 3 จุด คือ เลข Lot. บริเวณกล่องผลิตภัณฑ์, เลข Lot. บริเวณสติกเกอร์ และเลข Lot. บริเวณหลอด

                                                BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว กับคำถามที่พบบ่อย

                                                BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ใช้กี่ cc

                                                โดยปกติการฉีด BELOTERO REVIVE บริเวณผิวหน้าเพื่อผิวฉ่ำวาวจะใช้เพียง 1-2 CC ต่อการฉีด 1 ครั้ง แต่ในกรณีของคนที่มีปัญหาผิวมาก แนะนำว่าควรต้องฉีด BELOTERO REVIVE ติดต่อกันถึง 3 ครั้ง โดยห่างกันครั้งละ 4 สัปดาห์ เพื่อผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้น

                                                BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว กี่วันถึงเห็นผล

                                                หลังจากการฉีด BELOTERO REVIVE จะสามารถเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้ทันที และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุด 3 เดือน โดยผลลัพธ์ที่ได้จาก BELOTERO REVIVE คือผิวมีความชุ่มชื้น ผิวฉ่ำวาวมากขึ้น ผิวหน้าเนียนใส เปล่งปลั่ง อีกทั้งยังช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น รูขุมขนกระชับอีกด้วย

                                                BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว อยู่ได้นานไหม

                                                สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาผิวเยอะมาก สามารถฉีด BELOTERO REVIVE เพียงแค่ 1 ครั้ง โดยผลลัพธ์ผิวฉ่ำวาวจะอยู่ได้นาน 6-9 เดือน แต่ในกรณีของผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งและผิวหยาบกร้านอย่างรุนแรง ควรฉีด BELOTERO REVIVE อย่างต่อเนื่องทุก 4 สัปดาห์ เป็นระยะเวลา 3 เดือน เพื่อปรับสภาพผิวใหม่ หลังจากนั้นผิวจะคงผลลัพธ์ได้นาน 6-9 เดือน

                                                BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ดีไหม

                                                ฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE เป็นฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาวที่สามารถฉีดได้ทั่วใบหน้า โดยจะช่วยมอบผลลัพธ์ผิวหน้าฉ่ำวาวแลดูสุขภาพดี  แก้ปัญหาผิวแห้งเสียและหมองคล้ำจากแสงแดด แก้ไขปัญหาสิว และจุดด่างดำจากรอยสิว นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวมีเกราะป้องกันจากการถูกทำลายอีกด้วย

                                                BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว อันตรายไหม

                                                การฉีด BELOTERO REVIVE ไม่เป็นอันตราย เนื่องจากเป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับมาตรฐานการรับรองจากองค์การอาหารและยา 50 ประเทศทั่วโลก ทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป และในประเทศไทย ซึ่งการฉีด BELOTERO REVIVE ที่ปลอดภัยต้องใช้ฟิลเลอร์แท้ที่นำเข้าอย่างถูกต้อง และเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ในด้านการฉีดฟิลเลอร์เท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียง และเพื่อผลลัพธ์ผิวฉ่ำวาวที่คุ้มค่าที่สุด

                                                BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว เจ็บไหม

                                                ระหว่างการฉีด BELOTERO REVIVE เพื่อผิวฉ่ำวาวจะไม่รู้สึกเจ็บ เนื่องจากในขั้นตอนการฉีดแพทย์จะใช้เข็มที่มีขนาดเล็กพิเศษ ทำให้ไม่ระคายเคืองผิว โดยก่อนฉีด BELOTERO REVIVE แพทย์จะมีการแปะยาชาก่อน และในระหว่างฉีด BELOTERO REVIVE จะมีการประคบน้ำแข็งเพื่อลดความเจ็บอีกด้วย

                                                BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม

                                                การฉีด BELOTERO REVIVE เป็นหัตถการที่สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ เช่น การฉีดโบ, การร้อยไหม การยกกระชับด้วยเครื่อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ผิวฉ่ำวาวที่ดีและคุ้มค่าที่สุด โดยก่อนฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE แพทย์จะประเมินปัญหาผิวในแต่ละบุคคล และเลือกวิธีที่เหมาะสม เพื่อผลลัพธ์ผิวฉ่ำวาวที่ดีอย่างเป็นธรรมชาติ

                                                หลังฉีด BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว มีผลข้างเคียงไหม

                                                หลังฉีด BELOTERO REVIVE เพื่อผิวฉ่ำวาว อาจพบตุ่มนูนเล็ก ๆ ที่เกิดจากเนื้อฟิลเลอร์ และอาจมีรอยแดงจากเข็ม สามารถหายได้เอง 3-4 วัน ส่วนในกรณีของคนที่มีผิวบอบบาง ช้ำง่าย อาจมีอาการเขียว ช้ำ และคันบริเวณที่ฉีด BELOTERO REVIVE นับว่าเป็นอาการปกติที่สามารถหายเองได้ภายใน 2-3 วัน

                                                สรุป

                                                ฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE เป็นฟิลเลอร์รุ่นแรกของโลกที่ออกแบบมาเพื่องานผิวโดยเฉพาะ ตอบโจทย์ปัญหาผิวสำหรับคนที่ต้องการผิวฉ่ำวาวสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก ได้ผลลัพธ์แบบ 4in1 ผิวเรียบเนียน อิ่มฟู ผิวเด้ง และผิวชุ่มชื้นฉ่ำวาว ด้วยการฉีดเพียง 1 ครั้ง 

                                                สำหรับใครที่อยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมของฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE สามารถปรึกษาข้อมูลเพิ่มเติมกับ รมย์รวินท์คลินิก ได้ทุกสาขาใกล้บ้านคุณ 

                                                ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร ช่วยอะไร แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง

                                                ฟิลเลอร์ใต้ตา

                                                 

                                                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                  วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตา
                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตาจากผู้ใช้บริการจริง

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตา เติมเต็มร่องใต้ตา แก้ปัญหาตาคล้ำ รวมทุกเรื่องที่ควรรู้ก่อนฉีดใต้ตา

                                                  ปัญหารอบดวงตาคล้ำ ขอบตาดำ เปรียบเหมือนหมีแพนด้า เป็นปัญหาที่ทำใครหลายคนหมดความมั่นใจ ซึ่งนอกจากปัญหาขอบตาดำคล้ำ ยังมีปัญหาอีกมากมาย เช่น ตาลึก ตาโบ๋ ริ้วรอยใต้ตา รวมไปถึงถุงใต้ตาเยอะ ปัญหาของบริเวณใต้ตาที่ทำให้ใบหน้าดูโทรม ไม่สดใส และดูแก่ก่อนวัยอันควร

                                                  ในปัจจุบันปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้หลากหลายวิธี ซึ่งวิธีแก้ปัญหาแบบธรรมชาติที่สุด ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยให้บริเวณรอบดวงตาอิ่มฟู ริ้วรอยรอบดวงตาลดลง ใบหน้าดูสดใสขึ้น สำหรับใครที่ไม่เคยฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา และอยากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แต่สงสัยว่าฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นอย่างไร ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยอะไรบ้าง ฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม เลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี บทความนี้มีคำตอบ

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตา
                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยอะไร ?

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร

                                                  การฉีดสารเติมเต็มไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid: HA) เข้าไปตรงบริเวณใต้ตาเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยบริเวณใต้ตา เมื่อคนเรามีอายุที่เพิ่มมากขึ้น กระดูกจะเริ่มทรุดตัวลง เนื้อน้อยลง ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อย ใบหน้าดูโทรม ไม่สดใส การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจึงเหมาะสำหรับการแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตา ใต้ตาดำคล้ำ ช่วยเติมเต็มร่องลึกใต้ตา ช่วยให้ใบหน้ากลับมาอ่อนเยาว์อีกครั้ง

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตา
                                                  ปัญญหาใต้ตามีอะไรบ้าง?

                                                  ปัญหาใต้ตามีอะไรบ้าง? เกิดจากสาเหตุอะไร

                                                  สาเหตุของปัญหาใต้ตาลึก ตาโบ๋ ใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา ร่องใต้ตา และริ้วรอยร่องใต้ตา ปัญหาเหล่านี้มีเทคนิคในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

                                                  • ปัญหาถุงใต้ตา : เกิดจากถุงไขมันที่อยู่บริเวณใต้ดวงตา ลักษณะเป็นถุงนูนออกมาบริเวณขอบตาล่าง หรือมีอาการบวมปูดที่รอบดวงตาล่าง ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถเกิดได้กับทุกคน โดยในกรณีคนที่มีอายุน้อยมีถุงนูนออกมานอกบริเวณใต้ตา จะทำให้ใบหน้าดูโทรม อ่อนล้า และแก่กว่าวัย นอกจากนี้ปัญหาถุงใต้ตายังพบได้ในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้อีกด้วย
                                                  • ปัญหาใต้ตาลึก เบ้าตาลึก : มีลักษณะเป็นร่องลึกรอบดวงตา กระดูกเบ้าตาใต้คิ้วลึกเป็นขอบชัดเจน ผิวหนังรอบดวงตาบุ๋ม ตาโบ๋ มีรอยดำคล้ำ เบ้าตาลึก ทำให้ใบหน้าดูมีอายุ โทรม ไม่สดใส ซึ่งปัญหาเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม โรคภูมิแพ้ อายุที่เพิ่มมากขึ้น ความเครียด พักผ่อนน้อย ฯลฯ เป็นสาเหตุที่ทำให้เสียบุคลิกภาพ และหมดความมั่นใจได้
                                                  • ปัญหาริ้วรอยใต้ตา : ปัญหานี้เกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ เช่น การสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน อายุที่เพิ่มมากขึ้น หรือบริเวณใต้ตามีไขมันน้อย ทำให้ผิวแห้งจนเกิดริ้วรอยใต้ตา รวมไปทั้งพฤติกรรมอื่น ๆ ที่ทำให้มีริ้วรอยเกิดขึ้นบริเวณรอบใต้ตา
                                                  • ปัญหาร่องใต้ตา : เกิดจากการที่บริเวณเปลือกตาด้านล่างลึกลงไป ทำให้เกิดร่องใต้ตา ซึ่งสาเหตุของปัญหานี้เกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น ขยี้ตาบ่อย กระดูกทรุดตัว กรรมพันธุ์ คอลลาเจนและอีลาสตินลดลง มลภาวะและอากาศ รวมไปถึงไขมันบริเวณใต้ตาน้อย 
                                                  • ปัญหาใต้ตาคล้ำ : เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น การทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ การไหลเวียนเลือดจะลดลง ไขมันใต้ผิวหนังสะสมน้อยลง หนังตาเริ่มมีความหย่อนคล้อย และผิวบางลง จนสามารถสังเกตเห็นภาวะไหลเวียนของเลือดบริเวณใต้ตา จึงเห็นขอบตาดำมากขึ้น

                                                  ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาตำแหน่งไหนบ้าง

                                                  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ผิวหนังชั้นตื้น สำหรับแก้ปัญหาใต้ตาที่ดำคล้ำ เพื่อให้กลับมากระจ่างใส และทำให้ผิวใต้ตาเต่งตึงขึ้น
                                                  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาผิวชั้นลึก สำหรับแก้ไขมันเบ้าตาเคลื่อนที่ เติมเต็มร่องลึกให้ดูตื้นขึ้น
                                                  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาบริเวณร่องน้ำตาและเหนือดวงตา สำหรับแก้ปัญหาตาโหลบริเวณร่องน้ำตาและเหนือดวงตา เป็นการฉีดเสริมกระดูกเบ้าตา

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง

                                                  • ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาร่องน้ำตาลึก เบ้าตาลึก ตาโหล ที่เกิดจากการสลายตัวของเนื้อเยื่อ และการทรุดตัวของกระดูกใต้ตา 
                                                  • ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาลดขอบตาดำ ใต้ตาคล้ำบริเวณใต้ตา ทำให้ใบหน้าดูโทรมและอ่อนล้า
                                                  • ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตา ร่องใต้ตา รอยตีนกาที่เหี่ยวย่นบริเวณรอบดวงตาและใต้ตา 
                                                  • ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาถุงไขมันใต้ตา ที่ทำให้มีปัญหาริ้วรอยและร่องใต้ตาที่ชัดเจนขึ้น

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตา
                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับใคร ?

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับใคร

                                                  • ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับคนที่มีปัญหาริ้วรอยใต้ตา บริเวณใต้ตาหย่อนคล้อย ขอบตาดำคล้ำ ตาลึก ตาโหล 
                                                  • ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับการแก้ปัญหาใต้ตา จากการทรุดตัวของกระดูกและเนื้อ
                                                  • ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด ไม่อยากเจ็บตัว ไม่อยากพักฟื้น
                                                  • ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
                                                  • ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาใต้ตามาจากพันธุกรรม

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เหมาะกับใคร

                                                  • ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เหมาะกับผู้ที่ใช้ยา สมุนไพร หรือวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินอี กระเทียม ขิง เป็นต้น
                                                  • ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ซึ่งจะทำให้เลือดหยุดยากและเกิดรอยช้ำง่าย
                                                  • ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะตาแห้งรุนแรง จำเป็นต้องหยอดน้ำตาเทียมก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เนื่องจากทำให้ระคายเคืองมากกว่าปกติและเสี่ยงเกิดการอักเสบได้
                                                  • ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เหมาะกับผู้ที่ผิวหนังบริเวณดวงตาอักเสบหรือติดเชื้อ ควรรักษาให้หายก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
                                                  • ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เหมาะกับผู้ที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร
                                                  • ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเริมและงูสวัด
                                                  • ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา หรือแพ้กรดไฮยารูลอนิก
                                                  • ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เหมาะกับผู้ที่เกิดแผลเป็นคีลอยด์ได้ง่าย

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตา
                                                  ข้อดีและข้อจำกัดของฟิลเลอร์ใต้ตา

                                                  ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

                                                  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ
                                                  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ไขเรื่องริ้วรอย และความหย่อนคล้อยใต้ตาได้อย่างเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
                                                  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยเติมเต็มรอบดวงตาให้กลับมาอิ่มฟู สดใส ไม่หมองคล้ำ
                                                  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาขอบตาดำคล้ำจากโรคภูมิแพ้ และจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ
                                                  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไม่มีแผล เห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงทันที

                                                  ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

                                                  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะมีอาการบวม และมีรอยเข็มในจุดที่ฉีด โดยรอยเข็มจะสามารถหายได้เองภายใน 2-3 วัน
                                                  • ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไม่สามารถอยู่ถาวรได้ เนื้อของฟิลเลอร์จะสลายเองตามธรรมชาติ
                                                  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจำเป็นต้องฉีดซ้ำอยู่เสมอ เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นาน

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตา
                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตาที่รมย์รวินท์ต้องยี่ห้อไหน

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี?

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อ Volifil Classic

                                                  ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Volifil สัญชาติเกาหลี ผลิตโดยเทคโนโลยี HCCL™ TECHNOLOGY (Highly Completed Cross-Linking) เนื้อฟิลเลอร์เป็นชนิดโมเลกุลเดียว (Monophasic) มีลักษณะเนื้อเจลคงที่ ปั้นทรงง่าย มีความเนียนละมุน เกลี่ยง่าย ฟิลเลอร์รุ่นนี้เหมาะสำหรับเติมริ้วรอยตื้นบริเวณดวงตาและรอยตีนกา อยู่ได้นาน 8-12 เดือน

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อ Definisse Touch

                                                  ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Definisse Touch สัญชาติอิตาลี ผลิตโดยเทคโนโลยี XTR™ Technology (eXcellent Three-Dimensional Reticulation) เป็นฟิลเลอร์รุ่นที่เหมาะสำหรับการเติมเต็มบริเวณใต้ตาอย่างเป็นธรรมชาติ อยู่ได้นาน 8-12 เดือน

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อ Belotero Soft

                                                  ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ เป็นฟิลเลอร์ที่มีความปลอดภัยสูง สามารถสลายได้ตามธรรมชาติ ผลิตโดยเทคโนโลยีพิเศษ CPM  (Cohesive Polydensified Matrix) ฟิลเลอร์มีลักษณะเนื้อนิ่ม มีโมเลกุลขนาดเล็ก และมีความละเอียด กลืนกับผิวได้ง่าย มีส่วนผสมของยาชา เหมาะสำหรับเติมริ้วรอยร่องตื้น ๆ รอบบริเวณดวงตา อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อ Juvederm

                                                  ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm สัญชาติอเมริกาที่ได้รับความนิยมจากแพทย์ทั่วโลก เป็นฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพสูง ออกแบบมาให้มีส่วนผสมของยาชา มีเทคโนโลยีในการผลิต คือ Hylacross Technology และ Vycross Technology เน้นความเป็นธรรมชาติ 

                                                  ซึ่งฟิลเลอร์ใต้ตารุ่นที่ใช้คือ Juvederm Volbella ใช้เทคโนโลยี Vycross Technology เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีโมเลกุลขนาดเล็กละเอียดมากที่สุด เหมาะสำหรับฉีดริ้วรอยชั้นตื้นบริเวณใต้ตา แก้ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา อยู่ได้นาน 12-18 เดือน

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อ Restylane

                                                  ฟิลเลอร์ Restylane สัญชาติสวีเดน เป็นฟิลเลอร์แบรนด์แรกของโลกที่ใช้อย่างแพร่หลายมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก โดดเด่นเรื่องของเทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะทั้ง 2 เทคโนโลยี คือ NASHA Techology และ OBT Technology โดยฟิลเลอร์ Restylane รุ่นที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามี 3 รุ่นด้วยกัน Restylane Vital Light, Restylane Classic และ Restylane Lyft โดยทั้งหมดนี้ใช้เทคโนโลยี NASHA Techology โดยแตกต่างกัน ดังนี้

                                                  • Restylane Vital Light เป็นฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลเบา เนื้อละเอียด เหมาะสำหรับฉีดเก็บรายละเอียดใต้ตา ผิวชั้นตื้น อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน
                                                  • Restylane Classic ฟิลเลอร์เนื้อเจล เนื้อแน่น เหมาะสำหรับแก้ปัญหาริ้วรอยปานกลางถึงมาก ช่วยเก็บรายละเอียดในผิวชั้นลึก เช่น ใต้ตา อยู่ได้นาน 12 เดือน
                                                  • Restylane Lyft ฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความคงตัวสูง สามารถคงรูปได้ดีที่สุด เพราะสำหรับการฉีดเติมเต็มใต้ตา อยู่ได้นาน 12-18 เดือน

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตา
                                                  การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

                                                  การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

                                                  1. ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานการรับรอง เลือกแพทย์ที่มีความชำนาญ และประสบการณ์เรื่องของการฉีดฟิลเลอร์โดยเฉพาะ เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดมากที่สุด
                                                  2. ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรศึกษาข้อมูลเรื่องของฟิลเลอร์โดยละเอียด และเลือกดูรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ
                                                  3. ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนเข้ารับบริการ 24 ชั่วโมง
                                                  4. ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา งดการรับประทานยา วิตามิน และยาทาชนิดผลัดเซลล์ผิว
                                                  5. ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น การออกกำลังกาย คาร์ดิโอ ปั่นจักรยาน

                                                  ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

                                                  1. แพทย์จะเป็นผู้วิเคราะห์ และประเมินโครงสร้างของใบหน้า และเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับปัญหาใต้ตา เพื่อฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
                                                  2. เริ่มทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบริเวณรอบดวงตา และแปะยาชา
                                                  3. แพทย์เริ่มทำการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาและบริเวณรอบดวงตา โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 20-30 นาที
                                                  4. หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลตนเองหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตา
                                                  การดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

                                                  การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

                                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา งดแต่งหน้า ทาครีมบำรุงผิว และโดนน้ำ บริเวณที่ทำอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
                                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา งดทานอาหารหมักดอง อาหารรสจัด เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อและอาการบวมช้ำ
                                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา งดออกกำลังกายหนักในช่วง 3 วันแรก
                                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด เช่น การซาวน่า เลเซอร์ ตากแดด เป็นต้น
                                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หลีกเลี่ยงการแตะ แกะ เกา บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์

                                                  ผลข้างเคียงของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

                                                  • อาการบวมรอบบริเวณดวงตาหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะหายได้เองภายใน 2 สัปดาห์ ควรประคบน้ำแข็งบ่อย ๆ เพื่อให้อาการบวมหายเร็วขึ้น
                                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะมีความรู้สึกตึงบริเวณดวงตา โดยจะหายได้เองภายใน 24 ชั่วโมง
                                                  • บริเวณใต้ตาช้ำ เนื่องจากอาจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาถูกเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังแตกจนเกิดรอยช้ำ

                                                  ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ Romrawin ดีอย่างไร?

                                                  ปัจจัยสำคัญของการเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือ การเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ซึ่งการพิจารณาเพื่อเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย พิจารณาได้ ดังนี้

                                                  • คลินิกได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข ที่มีความสะอาดและบริการดี มีเลขของใบอนุญาตชัดเจน
                                                  • แพทย์มีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาโดยเฉพาะ ใช้เทคนิคเฉพาะทางเพื่อผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด
                                                  • รมย์รวินท์คลินิกเลือกใช้ฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากสำนักคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ FDA จากอเมริกา
                                                  • ปรึกษาฟรีทุกเคส ดูแลโดยแพทย์ผู้ชำนาญการแบบ 1:1 สามารถนัดหมายคิวหรือไปที่หน้าสาขา เพื่อเข้ารับการปรึกษาได้ตลอดระยะเวลาทำการ
                                                  • มีรีวิวจริงจากผู้ใช้บริการมากมายที่เชื่อถือได้ เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนเข้ารับการปรึกษา หรือก่อนเข้ารับบริการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
                                                  • มีช่องทางการติดต่อเพื่อปรึกษา หรือถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัตถการต่าง ๆ
                                                  • มีการนัดหมายและติดตามผลหลังการรักษาทุกเคส เพื่อแสดงถึงความใส่ใจ และสร้างความมั่นใจให้กับผู้เข้ารับบริการ 

                                                  เทียบฟิลเลอร์ใต้ตา กับ การแก้ไขด้วยหัตถการอื่น ๆ  

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตา vs ฉีดโบ

                                                  ไม่ว่าจะเป็นการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หรือการฉีดโบริ้วรอยใต้ตา ขึ้นอยู่กับปัญหาใต้ตาที่เกิดขึ้น กรณีที่พบปัญหาเรื่องริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากไขมันลดลง กระดูกใต้ตาน้อยลง การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเข้าไปเพื่อเติมเต็มผิวบริเวณนั้นให้เรียบเนียนอีกครั้ง ส่วนกรณีที่มีริ้วรอยจากการขยับของกล้ามเนื้อใบหน้าที่มากเกินไป จนเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบบริเวณดวงตาและริ้วรอยร่องลึก ควรรักษาด้วยการฉีดโบ เพราะการฉีดโบจะออกฤทธิ์กับระบบประสาท ช่วยให้กล้ามเนื้อตรงบริเวณที่ฉีดใช้งานได้ลดน้อยลง ดังนั้นหากมีปัญหามาจากทั้ง 2 สาเหตุนี้ แนะนำว่าสามารถฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาร่วมกับการฉีดโบได้ โดยต้องปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะสมในแต่ละบุคคล

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตา vs ฉีดไขมันใต้ตา

                                                  การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาและการฉีดไขมันใต้ตา สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการที่เนื้อเยื่อและกระดูกทรุดตัว โดยทั้ง 2 หัตถการมีความแตกต่างกัน ดังนี้

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตา : ฟิลเลอร์ใต้ตาจะใช้สารเติมเต็มประเภทไฮยารูลอนิก แอซิด (HA) มีความปลอดภัยสูง การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาใช้ระยะเวลาในการทำไม่นาน เจ็บน้อย ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น โดยสามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำทันที และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่สุดใน 2 สัปดาห์ ผลลัพธ์ไม่ถาวร ระยะเวลาขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์

                                                  ฉีดไขมันใต้ตา : เป็นการใช้ไขมันตัวเอง โดยดูดไขมันออกมาจากบริเวณร่างกายเพื่อนำมาเติมเต็มใต้ตา ลดความเสี่ยงของการแพ้ แต่ข้อเสีย คือ คนไข้จะมีแผลในตำแหน่งที่ดูดไขมันเพื่อมาฉีดใต้ตา ผลลัพธ์อยู่ได้นานแต่อาจต้องทำซ้ำหลายครั้ง เนื่องจากส่วนมากมักจะยังไม่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรก

                                                  ซึ่งการแก้ไขปัญหาริ้วรอยรอบดวงตาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ถือว่าเป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าการฉีดไขมันใต้ตา เพราะการฉีดไขมันใต้ตาต้องมีความระมัดระวังในเรื่องของการฉีดเข้าหลอดเลือด การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในด้านของการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ

                                                  คำถามพบบ่อยของฟิลเลอร์ใต้ตา

                                                  ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเจ็บไหม?

                                                  การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยในระดับที่อดทนได้ โดยจะรู้สึกเจ็บในขณะที่กำลังฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อจะมีส่วนผสมของยาชา ทำให้ช่วยบรรเทาลดอาการเจ็บในระหว่างการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาได้

                                                  ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม?

                                                  การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยารูลอนิก ซึ่งมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากเป็นสารที่พบได้ในผิว โดยฟิลเลอร์นั้นสามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ ไม่มีสารตกค้างภายในร่างกาย นอกจากนี้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นการฉีดในตำแหน่งที่บอบบางที่สุด  ดังนั้นแพทย์ที่ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจำเป็นต้องรู้เทคนิคการฉีด และตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หากเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย ดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็จะทำให้เกิดผลข้างเคียงน้อยลง หรือลดความเสี่ยงที่จะตามมาในภายหลังได้

                                                  ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาใช้กี่ CC?

                                                  การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แพทย์จะเริ่มประเมินจากโครงสร้างใบหน้าของคนไข้ ก่อนจะทำการเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ และเลือกปริมาณของการฉีดฟิลเลอร์ ว่าต้องใช้กี่ CC ในคนที่มีปัญหาใต้ตาทั่วไปจะใช้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาข้างละ 1-2 CC แต่ในคนที่มีปัญหากระดูกใต้ตาที่ทรุดตัวมากจนมีปัญหาใต้ตาลึก จะพิจารณาการฉีดฟิลเลอร์มาขึ้น โดยใช้ฟิลเลอร์ฉีดใต้ตาประมาณข้างละ 2-3 CC ทั้งนี้สามารถเห็นผลลัพธ์ของการรักษาที่ชัดเจน

                                                  ฉีดฟิลเลอร์ใช้ระยะพักฟื้นนานไหม?

                                                  ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นประมาณ 2 สัปดาห์ หากในกรณีบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์มีอาการบวมแดง แสบร้อน เจ็บปวด หลังจากพ้นช่วง 2 สัปดาห์ไปแล้ว ให้รีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที

                                                  ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากี่วันเห็นผล?

                                                  การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ โดยหลังจากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาประมาณ 4-5 วัน ฟิลเลอร์จะเริ่มเข้าที่และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 2 สัปดาห์

                                                  ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานแค่ไหน?

                                                  การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้น ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับการเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์และรุ่นที่ใช้ รวมไปถึงการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาในแต่ละบุคคล ทั้งนี้การเลี่ยงพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็ว จะทำให้ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานขึ้น

                                                  ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน เกิดจากอะไร?

                                                  • ใช้ฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับบริเวณที่ฉีด : จะเกิดขึ้นในกรณีที่แพทย์เลือกใช้ฟิลเลอร์เนื้อแน่นฉีดในผิวชั้นตื้น การเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไม่เหมาะสมจะทำให้ฟิลเลอร์เป็นก้อนได้ เนื่องจากบริเวณใต้ตาเป็นจุดที่มีความบอบบางกว่าจุดอื่น ๆ เพราะฉะนั้นควรใช้ฟิลเลอร์เนื้อละเอียดสำหรับผิวชั้นตื้น เพื่อความเป็นธรรมชาติ
                                                  • ใช้ฟิลเลอร์ปลอม : การฉีดฟิลเลอร์ปลอมที่ไม่ผ่านการรับรองจากอย. อาจทำให้เกิดอาการอักเสบ บวม แพ้ และฟิลเลอร์ไหลเป็นก้อนได้อีกด้วย
                                                  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาในปริมาณที่มากเกินไป : การฉีดฟิลเลอร์ที่มากเกินไป ประมาณไม่เหมาะสมกับใต้ตา ทำให้ฟิลเลอร์มารวมกันเป็นก้อน
                                                  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาผิดชั้นผิว : หากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ อาจเกิดปัญหาการฉีดแก้ไขปัญหาผิดจุด เช่น แก้ปัญหากระดูกทรุดด้วยการฉีดฟิลเลอร์ในผิวชั้นตื้น เป็นต้น

                                                  บทสรุป ฟิลเลอร์ใต้ตา

                                                  ฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นหัตถการที่สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา แก้ปัญหาตาลึกจากกระดูกและเนื้อทรุดตัว แก้ปัญหาใต้ตาหย่อนคล้อย และยังช่วยแก้ปัญหาขอบตาดำคล้ำให้กลับมาสดใสอีกครั้ง ซึ่งการเลือกคลินิกสำหรับฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาควรเลือกคลินิกที่ได้รับมาตรฐานและมีความปลอดภัยสูง มีแพทย์ที่ชำนาญในด้านของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาโดยเฉพาะ เพื่อผลลัพธ์ของความสวยแบบปลอดภัยในระยะยาว สำหรับใครที่กำลังสนใจต้องการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการ ได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขาใกล้บ้านคุณ

                                                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                    วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                    เปรียบเทียบ Rejuran VS Revive ต่างกันอย่างไร ผิวชุ่มชื้นต่างกันอย่างไร

                                                    ผิวชุ่มชื้น

                                                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                      วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                      Rejuran VS Revive เปรียบเทียบงานผิวตัวไหนผิวชุ่มชื้น ตัวไหนหน้าฉ่ำ

                                                      ผิวแห้งเสียขาดความชุ่มชื้น กลายเป็นปัญหาหนักสุดๆ สืบเนื่องจากมลภาวะ และชีวิตประจำวันที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผิวอย่างหนักหน่วง จนสภาพผิวห่างไกลจากคำว่า “ผิวชุ่มชื้น” “ผิวฉ่ำวาว” ไปไกลลับ ด้วยกิจวัตรประจำวันที่ต้องเผชิญกับมลภาวะอยู่เสมอ การดูแลผิวชุ่มชื้นแบบเดิม ๆ อาจไม่เพียงพอเสียแล้ว บางทีการหาตัวช่วยมาเติมเต็มให้ผิวที่แห้งเสีย กลับมาเป็นผิวที่ชุ่มชื้นคงจะเป็นทางออกที่ดี

                                                      ซึ่งหากพูดถึงผลิตภัณฑ์งานผิว ที่ช่วยปรับสภาพผิวแห้งเสียให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ก็จะมีหลากหลายตัวเลือก ไม่ว่าจะเป็น Rejuran, Revive หรือเติมวิตามินผิว แต่จะเลือกงานผิวตัวไหนที่ตอบโจทย์ความต้องการ ที่อยากจะมีผิวชุ่มชื้น ห่างไกลจากผิวเสียเพราะมลภาวะรอบตัว หลายคนอาจเลือกไม่ถูกและไม่มั่นใจว่าตัวเลือกไหนที่เหมาะสำหรับงานผิวฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ

                                                      แน่นอนว่ารมย์รวินท์คลินิกมีคำตอบเรื่องนี้ โดยหากพูดถึงผิวชุ่มชื้นและฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ มีงานผิว 2 ตัวเลือกที่มักพูดถึงและเปรียบเทียบอยู่บ่อยครั้ง คือ  Rejuran กับ  Revive ซึ่งทั้งสองนับว่าเป็นงานผิวยอดนิยมที่เน้นเรื่องผิวเรียบเนียน ผิวชุ่มชื้นและฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ทั้งสองก็มีข้อแตกต่างกัน งานนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงจะมาเปรียบเทียบว่างานผิวไหนผิวชุ่มชื้น ไหนช่วยเรื่องผิวฉ่ำวาว โดยสามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับทั้งสองตามหัวข้อต่อไปนี้

                                                      ผิวชุ่มชื้น

                                                      สำหรับคนที่อยากเปลี่ยนผิวที่แห้งเสีย ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น หน้าใส มีความฉ่ำวาว ตัวเลือกที่ตอบโจทย์ผิวฉ่ำวาวที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้น Rejuran ซึ่งมีงานวิจัยออกมาพูดถึงผลลัพธ์ผิวหน้าชุ่มชื้น และมีความฉ่ำวาวด้วย Rejuran ส่งผลให้หัตถการที่ช่วยปรับผิวชุ่มชื้นชนิดนี้ได้รับความนิยม และกลายเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ในสถานเสริมความงาม 

                                                      โดยตัว Rejuran เป็นสารที่คิดค้นเพื่อผิวหน้าชุ่มชื้น สวยใสด้วยการสกัดสาร Polynucleotide (PN) จาก DNA ของปลาแซลมอนที่ได้รับการทดสอบแล้วว่า มีความใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์มากถึง 98% โดยมี คุณสมบัติด้านการฟื้นฟูสภาพผิว ช่วยคืนผิวชุ่มชื้นหลังจากแห้งเสียเป็นเวลานาน พร้อมช่วยเคลียร์ปัญหาผิว อย่างเร่งด่วน ประกอบกับคุณสมบัติของ DNA ที่คล้ายคลึงกับของมนุษย์  Rejuran จึงมีความปลอดภัย และไม่ก่อให้เกิดกระทบต่อผิวชุ่มชื้นหลังจากฉีด Rejuran

                                                      ด้วยประสิทธิภาพด้านการเคลียร์ผิว ที่เสื่อมสภาพจากมลภาวะต่าง ๆ ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ผิวฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ และมีความปลอดภัย ส่งผลให้ Rejuran กลายเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในฐานะของหน้าใส ผิวชุ่มชื้น แต่อาจจะยังมีคนสงสัยว่าสาร Polynucleotide มีการทำงานอย่างไร ทำไมถึงผิวชุ่มชื้นด้วย DNA จากปลาแซลมอน สามารถอ่านรายละเอียดที่หัวข้อการทำงานของ Rejuran  

                                                      การทำงานของ Rejuran สาร Polynucleotide ส่งผลต่อผิวอย่างไร?

                                                      หลังจากทำการฉีด Rejuran ลงไปบนผิวหนังแล้ว สาร Polynucleotide (PN) จะเข้าไปควบคุม กระบวนการทำงานของเซลล์และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ โดยการกระตุ้นให้ร่างกายสารที่จะช่วยกระตุ้น การทำงานของเซลล์ Fibroblast หรือที่เรียกว่า Growth factor ซึ่งประกอบไปด้วย FGF, EGF และ IGF ที่จะเป็นตัวกลางสื่อสารระหว่างเซลล์และทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ซึ่งส่งผลให้ผิวชุ่มชื้นอย่างเป็นธรรมชาติ

                                                      การทำงานของ Polynucleotide ที่ฉีดลงไปด้วย Rejuran ส่งผลกระทบต่อผิวเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์, จัดการกับผิวที่เสื่อมสภาพและปัญหาผิวที่เกิดจากมลภาวะ รวมถึงฟื้นฟูสภาพผิวเปลี่ยนผลลัพธ์ของผิวที่แห้งเสียให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ซึ่งระหว่างกระบวนการทำงานของสาร PN จะมีโอกาสเกิดอาการแพ้ได้น้อยมาก เนื่องจากสารที่ฉีดมาจาก DNA ปลาแซลมอนที่คล้ายคลึงกับของมนุษย์ และสามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดี จึงเป็นงานผิวชุ่มชื้นสุขภาพดีที่มีความปลอดภัย

                                                      ผลลัพธ์ของ Rejuran ลดการเสื่อมสภาพของผิว ผิวชุ่มชื้นและแข็งแรง

                                                      •  Rejuran ฟื้นฟูถึงระดับเซลล์ผิว พร้อมกระตุ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก เพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งช่วยลดหลุมสิวและรอยดำลง เป็นสารที่สำคัญต่อการปรับสภาพผิวช่วยให้ผิวฉ่ำวาวและผิวชุ่มชื้น
                                                      • สาร Polynucleotide ยังช่วยเรื่องของความชุ่มชื้นบริเวณผิว ทำให้หลังจากทำ Rejuran เราจะได้สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของผิว โดย PN จะช่วยสร้างบาเรียที่ปกป้องผิวทำให้ผิวชุ่มชื้นและการสูญเสียน้ำบริเวณผิวลดลง
                                                      •  Rejuran ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ Fibroblast ซึ่งส่งผลต่อการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินของร่างกาย และเมื่อร่างกายมีการฟื้นฟูคอลลาเจนและอีลาสติน ผิวก็จะกลับมาสดใส ผิวชุ่มชื้น และมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น
                                                      • นอกจากช่วยจัดการกับปัญหาผิว และฟื้นฟูสภาพผิวแล้ว  Rejuran ยังช่วยลดความมันบริเวณผิว ช่วยกระชับรูขุมขน และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

                                                      จากกระบวนการทำงานและผลลัพธ์ของ Rejuran จึงไม่แปลกเลยที่ผิวหน้าใสจาก DNA ปลาแซลมอนจะได้รับการตอบเป็นอย่างดี และเป็นที่นิยมในเวลาต่อมา เพราะนอกจากผิวชุ่มชื้นและกระจ่างใส ยังช่วยจัดการกับผิวที่เสื่อมสภาพ รวมถึงปัญหาผิวต่าง ๆ ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

                                                      ผิวชุ่มชื้น

                                                      Revive ทำให้ผิวชุ่มชื้นได้อย่างไร

                                                       Revive หรือ BELOTERO Revive เป็นผลิตภัณฑ์สารเติมเต็มเนื้อบางเบา ที่ช่วยเรื่องผิวชุ่มชื้นและเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยการพัฒนาที่แตกต่างจากสารเติมเต็มฟิลเลอร์ทั่วไป ซึ่งส่งผลให้ Revive เป็นตัวเลือกที่ช่วยซัพพอร์ตเรื่องงานผิวให้ออกมามีสุขภาพดี รวมทั้งยังช่วยให้ผิวกักเก็บความฉ่ำวาวอุ้มน้ำได้ด้วย จึงเป็นคำตอบว่าทำไมฉีดสารเติมเต็ม Revive แล้วผิวชุ่มชื้น

                                                      ซึ่งส่วนที่พัฒนาและแตกต่างจากสารเติมเต็มชนิดอื่น ๆ คือ ฟิลเลอร์สารเติมเต็มทั่วไปมักมีส่วนประกอบเป็น Hyaluronic Acid (HA) ที่เป็นส่วนประกอบหลักของสารเติมเต็ม ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นอิ่มฟูเด้งกระชับ แต่ Revive จะมีส่วนประกอบของ Glycerol เพิ่มเข้ามา ซึ่งสารประกอบ Glycerol มีประสิทธิภาพด้านปรับสภาพผิวให้กักเก็บน้ำได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ผิวชุ่มชื้นอิ่มน้ำอยู่ตลอดเวลา และการบำรุงผิวของสาร Glycerol ยังส่งผลลึกถึงผิวหนังชั้น Dermis ทำให้ผิวชุ่มชื้นยาวนานและช่วยเติมเต็มผิวให้ออกมาเรียบเนียนด้วย 

                                                      การทำงานของ Revive ผสานผลลัพธ์ของ HA และ Glycerol ไว้ด้วยกัน

                                                      โดยปกติแล้วสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์จะมีส่วนประกอบหลักเป็น Hyaluronic Acid ซึ่งมีกระบวน การทำงานโดยการฉีดเข้าไปใต้ชั้นผิวและจึงเกิดการปรับสภาพผิวให้ดียิ่งขึ้น โดยการเข้าไปฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะ สภาพแวดล้อม โดยผลลัพธ์ของสารเติมเต็ม HA คือ ผิวชุ่มชื้น เรียบเนียน ผิวฉ่ำวาวเต่งตึงและอ่อนเยาว์

                                                      ส่วนการทำงานของสารประกอบ Glycerol จะช่วยเสริมสร้างให้ผิวชุ่มชื้น และกักเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนาน เป็นเหมือนสารที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของ Hyaluronic Acid ควบคู่ไปกับการปรับสภาพผิวให้ฉ่ำวาวอิ่มน้ำ และเมื่อผลลัพธ์ของ HA กับ Glycerol มารวมกันก็จะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวภายในระยะเวลาอันสั้น พร้อมจัดการกับผิวแห้งเสีย ขาดน้ำ ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้นด้วย Revive

                                                      ผลลัพธ์ของ Revive ออกมาเป็นอย่างไร?

                                                      •  Revive ช่วยเติมเต็มร่องลึก และกระชับปรับรูปหน้า
                                                      •  Revive เสริมประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำของผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง
                                                      •  Revive ช่วยลดเลือนริ้วรอยและจัดการกับหลุมสิวตื้น
                                                      •  Revive แก้ปัญหาผิวเฉพาะจุด และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว

                                                       ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ Revive ผ่านการเพิ่มสารประกอบ Glycerol มาผสานกับ Hyaluronic Acid มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการกักเก็บน้ำและเสริมผิวชุ่มชื้นมากกว่าสารเติมเต็มชนิดอื่น ๆ ทำให้ Revive ได้รับความนิยมเหมือนกับงานผิว Rejuran

                                                      ผิวชุ่มชื้น

                                                      เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง Rejuran และ Revive ต่างกันอย่างไรบ้าง ?

                                                      จากการพัฒนาของเทคโนโลยีแ ละความต้องการวิธีการดูแลผิวที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงมีการคิดค้นหัตถการ ดูแลผิวที่ผลลัพธ์ครอบคลุม และตอบโจทย์ด้านความงามยิ่งขึ้น หัตถการงานผิวปัจจุบันจึงมีตัวเลือกมากจนบางคนไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือกทำไหนดี อย่างกรณีที่อยากมีผิวชุ่มชื้น จะทำ Rejuran ก็เป็นตัวเลือกที่ดี แต่จะฉีด Revive ก็ผิวชุ่มชื้นไม่แพ้กัน วันนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงจะมาแนะนำความแตกต่างระหว่าง Rejuran และ Revive เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจสำหรับคนที่คิดเลือกทำหัตถการความงามเป็นครั้งแรก หรือต้องการผลลัพธ์ที่เหมาะกับตัวเองที่สุด

                                                      ซึ่งถึงแม้ว่าเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนา Rejuran ผิวชุ่มชื้น และ Revive ผิวฉ่ำวาวจะมีความแตกต่างกัน แต่ประสิทธิภาพและผลลัพธ์โดยรวมอาจมีความใกล้เคียงกันบางส่วน รายละเอียดหลังจากนี้จึงจะเป็นการเปรียบเทียบแบบชัด ๆ เลยว่าต่างกันมากน้อยแค่ไหน

                                                      ส่วนประกอบหลักของ Rejuran และ Revive

                                                      •  Rejuran :  Polynucleotide (PN) สารสกัด DNA จากปลาแซลมอนที่เข้ากันได้ดีกับร่างกายของคนเรา ลักษณะเป็นเจลใสไร้สีสำหรับฉีดเข้าผิวหนังส่งผลให้ผิวชุ่มชื้น
                                                      •  Revive : ประกอบด้วยสาร Hyaluronic Acid และ Glycerol ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของสารเติมเต็ม ทำให้ผิวชุ่มชื้นยิ่งกว่าเดิม

                                                      การทำงานของ Rejuran และ  Revive

                                                      •  Rejuran : สาร Polynucleotide เข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิว ช่วยการผลัดเซลล์และฟื้นฟูสภาพผิว รวมถึงช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นและจัดการกับปัญหาผิว จะมีการทำงานของที่เน้นเรื่องปรับสภาพผิวมากกว่าผิวชุ่มชื้น
                                                      •  Revive :  Hyaluronic Acid จะเข้ามาช่วยเติมเต็มร่องลึกและช่วยให้ผิวชุ่มชื้น พอมารวมกับ Glycerol ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำของผิว เป็นการบูสผิวชุ่มชื้นยิ่งกว่าเดิม

                                                      การทำงานของทั้งสองจะแตกต่างกันที่ Revive เน้นเติมเต็ม แล้วสร้างความความชุ่มชื้น เนื่องจากมีส่วนประกอบของ HA ที่เป็นสารเติมเต็มที่เป็นส่วนประกอบสำหรับฟิลเลอร์ ส่วน Rejuran จะเข้าไปกระตุ้นเซลล์และผลัดเซลล์ผิว จึงมีความแตกต่างกัน แต่ก็ยังมีส่วนช่วยเรื่องของผิวชุ่มชื้นเหมือนกัน เพียงแต่ Revive จะตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการผิวชุ่มชื้นมากกว่าเพราะมีส่วนประกอบของ Glycerol

                                                      ผิวชุ่มชื้น

                                                      Rejuran และ Revive เหมาะกับการใช้งานแบบไหน

                                                      •  Rejuran : เหมาะสำหรับช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ อันมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น มลภาวะ, ช่วงวัยที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นต้น โดยจะช่วยปรับสภาพผิวและเสริมให้ผิวชุ่มชื้น
                                                      •  Revive : เหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยร่องตื้น ช่วยปรับโครงหน้าและเสริมการกักเก็บน้ำของผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น

                                                       ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพการทำงานเกี่ยวกับผิวชุ่มชื้น ที่คล้ายคลึงกัน แต่ทั้งสองจะมีความแตกต่างกันที่รายละเอียดการปรับสภาพผิว โดย Revive จะตอบโจทย์การเติมเต็มผิวร่องลึกในฐานะสร้างเติมเต็ม ส่วน Rejuran จะเหมาะกับปรับสภาพผิวจากการเสื่อมสภาพและช่วยให้ผิวชุ่มชื้นยิ่งขึ้น

                                                       Rejuran และ Revive เหมาะสำหรับบริเวณไหนบ้าง?

                                                      •  Rejuran : สามารถฉีดได้หลายบริเวณทั่วหน้า รวมถึงรอบดวงตา หากอยากมีผิวชุ่มชื้นสามารถฉีดบริเวณแก้ม หน้าผาก หรือจุดที่ผิวแห้งเสียเป็นพิเศษ
                                                      •  Revive : จะเหมาะสำหรับบริเวณผิวตื้น ๆ จึงนิยมฉีดบริเวณรอบดวงตา, ปาก, ลำคอ,หน้าผาก และหลังมือ โดยจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและอวบอิ่มให้กับบริเวณที่ฉีด

                                                       ส่วนมากบริเวณที่ทำ Rejuran และ Revive เพื่อผิวชุ่มชื้นจะไม่ค่อยแตกต่างกัน แต่ Revive จะเน้นฉีดที่ผิวตื้นไม่ลงลึกถึงชั้น Dermis ส่วน Rejuran จะเหมาะสำหรับฉีดลงผิวชั้นกลางเพื่อให้สาร PN กระจายไปทั่ว ๆ และช่วยเสริมสร้างให้ผิวชุ่มชื้น มีความกระชับ

                                                       Rejuran และ Revive มีความรู้สึกระหว่างทำที่แตกต่างกันหรือไม่

                                                      •  Rejuran : เนื่องจาก Rejuran จำเป็นต้องฉีดลงไปที่ผิวชั้นกลางเพื่อให้สาร PN กระจายลงไปบนผิวเพื่อไปกระตุ้นให้ผิวชุ่มชื้น เลยจะมีความรู้สึกเจ็บระหว่างทำบ้าง แต่จะมีการ บรรเทาความเจ็บด้วยการฉีดยาชาก่อนทำ
                                                      •  Revive :  Revive ถูกพัฒนาโดยคำนึงถึงคนที่กลัวเจ็บระหว่างทำ จึงมีความเจ็บปวดที่น้อยลง แต่สำหรับคนที่กลัวเจ็บสามารถทายาชาเพิ่มได้ก่อนทำ Revive

                                                       Rejuran และ Revive ผลลัพธ์อยู่นานแค่ไหน

                                                      •  Rejuran : สาร PN ช่วยกระตุ้นให้ผิวชุ่มชื้นอยู่นานถึง 6-8 เดือน
                                                      •  Revive : สาร Hyaluronic Acid ช่วยเติมเต็มร่องลึก สร้างผิวชุ่มชื้นได้นานถึง 9 เดือน

                                                      โดย Rejuran ควรฉีดอย่างต่อเนื่อง 2-3 สัปดาห์/ครั้ง และเมื่อทำครบ 4 ชั้น ผลลัพธ์ผิวชุ่มชื้นจะคงอยู่นานถึง 8 เดือน ส่วน Revive เติมเต็มผิวชุ่มชื้นเพียงครั้งเดียวก็จะได้ผลลัพธ์ของผิวฉ่ำวาวไปถึง 9 เดือนเลย ซึ่งตรงส่วนนี้จะเห็นว่าทั้งสองมีความแตกต่างทั้งระยะเวลาของผลลัพธ์และจำนวน ครั้งที่แนะนำให้ทำหัตถการ แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรตรวจสอบก่อนว่าปัญหาผิวของเราเหมาะกับไหน เพื่อผลลัพธ์ขอผิวที่เรียบเนียน ผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์อย่างมีประสิทธิภาพ

                                                      อยากมีผิวชุ่มชื้นสร้างผิวที่ฉ่ำวาวและคงความอ่อนเยาว์ ต้องมาที่รมย์รวินท์ คลินิก

                                                      กิจวัตรประจำวันของแต่ละคนล้วนมีส่วนที่ต้องออกมาเผชิญกับมลภาวะต่าง ๆ รวมถึงช่วงอายุที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ผิวที่เคยเรียบเนียน ผิวที่เคยชุ่มชื้นก็กลับกลายเป็นผิวที่ขาดน้ำ ขาดความกระชับ ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนแม้ว่าจะมีการบำรุงผิวให้ฉ่ำวาวด้วยครีมสกินแคร์หรือบำรุงผิวด้วยวิธีต่าง ๆ มากแค่ไหน ผิวก็ไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อย่างเต็มที่ภายในระยะเวลาสั้น ๆ

                                                       แต่สำหรับคนที่ต้องการวิธีฟื้นฟูบำรุงผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์อย่างทันท่วงที สามารถลองมาปรึกษากับแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิก โดยทางคลินิกจะมีเทคนิคเฉพาะที่ช่วยวิเคราะห์ปัญหาผิวและเลือกวิธีการจัดการกับผิว อย่างเหมาะสม สำหรับคนที่ผิวขาดน้ำ ผิวไม่เรียบเนียนขาดความกระชับ ทางคลินิกก็จะแนะนำ Rejuran หรือ  Revive ซึ่งจะช่วยเติมเต็มสารสกัดที่เป็นประโยชน์ต่อผิว ส่งผลให้ผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ สำหรับคนที่สนใจสามารถติดต่อรมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขาเลย

                                                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                        วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                        ร้อยไหม (Thread lift) คืออะไร มีกี่ประเภท อันตรายไหม

                                                        ร้อยไหม

                                                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                          วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                          ร้อยไหมยกกระชับ ปรับหน้าเรียว โดยไม่ต้องผ่าตัด

                                                          การร้อยไหม เป็นหัตถการที่เราได้ยินกันมานับสิบปี และเป็นหัตถการที่มีวิวัฒนาการมาแบบยาวนาน ที่หลาย ๆ คนได้ยินกันมาว่ามีตั้งแต่ ร้อยไหมแบบปลอดภัย และไม่ปลอดภัย รวมทั้งยังเป็นหัตถการที่มีความเชื่อต่าง ๆ ในการรักษามาอย่างมากมาย ทั้งเรื่องร้อยไหมแล้วไม่สามารถเข้าเรื่อง X-ray ได้ ร้อยไหมแล้วไม่ละลาย รวมไปจนถึงร้อยไหมเหมาะกับคนอายุมาก มากกว่าคนอายุน้อย ในบทความนี้จะมาไขข้อข้องใจทุกอย่างเกี่ยวกับการร้อยไหมกันอย่างหมดเปลือก

                                                          การร้อยไหมมีทั้งไหมแบบละลายและไม่ละลาย

                                                          ไหมที่ใช้ในการร้อยไหมสามารถแบ่งได้เป็นสองประเภท คือ ไหมแบบที่ร้อยไม่ถาวร และถาวร

                                                          โดยไหมแบบไม่ถาวร คือ ไหมละลาย ผลิตด้วยวัสดุที่หลากหลาย ที่ให้ผลลัพธ์ที่มีความแตกต่างกันออกไป สามารถแบ่งได้ ดังนี้

                                                          • ไหมที่ผลิตจากวัสดุ PDO 

                                                          เป็นชื่อที่ ย่อมาจาก Polydioxanone เป็นวัสดุที่ใช้ในการผลิตไหมที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากไหม PDO จะเป็นไหมที่มีความยืดหยุ่น และมีความแข็งแรงเป็นอย่างมาก ทั้งยังไม่มีผลข้างเคียงหากได้รับการร้อยเข้าไปสู่ใต้ชั้นผิว เนื่องจากไม่มีสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ทั้งยังเป็นไหมที่ศัลยแพทย์ผ่าตัดเลือกใช้ในการผ่าตัดเย็บเส้นเลือดที่บริเวณหัวใจ 

                                                          ไหมที่ผลิตจากวัสดุ PDO จะสามารถคงสภาพอยู่ใต้ชั้นผิวได้ 4 ถึง 6 เดือน

                                                          • ไหมที่ผลิตจากวัสดุ PLLA 

                                                          เป็นชื่อที่ ย่อมาจาก Polylactic acid เป็นอีกหนึ่งวัสดุที่ได้รับความนิยม ในการนำมาผลิตเป็นไหมที่ใช้ในการร้อยไหม เนื่องจากเป็นวัสดุที่มีความหนา แข็งแรง มีความคงทน สามารถคงสภาพอยู่ใต้ผิวได้นาน แต่ยังเป็นวัสดุที่มีปัญหาเล็กน้อย ในด้านของการยืดหยุ่นที่มีความยืดหยุ่นน้อยกว่าไหมวัสดุ PDO 

                                                          ไหมที่ผลิตจากวัสดุ PLLA จะสามารถคงสภาพอยู่ใต้ชั้นผิวได้  1 ปี

                                                          • หมที่ผลิตจากวัสดุ PCL 

                                                          เป็นชื่อที่ ย่อมาจาก Polycaprolactone เป็นวัสดุที่ใช้ในการร้อยไหมที่มีความยืดหยุ่นสูง ลดการขาดของไหมได้เป็นอย่างดี เนื่องจากไหมสามารถยืดหยุ่นตัวได้ตามการขยับของใบหน้า รวมทั้งการแสดงสีหน้าต่าง ๆ และยังสามารถคงสภาพใต้ผิวได้นาน

                                                          หากร้อยไหมที่อยู่ในกลุ่มไหมละลาย ไหมในกลุ่มนี้จะสามารถสลายตัวได้เอง โดยไม่ตกค้างอยู่ใต้ชั้นผิว และเมื่อสลายหมดแล้วสามารถมาทำการร้อยไหมใหม่ได้ตามความต้องการหรือตามคำแนะนำของแพทย์ 

                                                          ไหมที่ผลิตจากวัสดุ PCL จะสามารถคงสภาพอยู่ใต้ชั้นผิวได้ 1-2  ปี 

                                                          ไหมไม่ละลาย 

                                                          เป็นไหมประเภทที่ไม่ได้รับการรับรอง ในสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ของประเทศไทย เป็นไหมที่ได้รับความนิยมเมื่อหลายสิบปีก่อนเนื่องจากในยุคนั้นยังไม่มีไหมละลาย ผลิตจากวัสดุที่เป็นไหมทองคำ 99.9% มักจะนำมาใช้เพื่อยกกระชับและดึงใบหน้า แต่เมื่อใช้แล้วส่งผลกระทบมากกว่าข้อดี เนื่องจากเป็นโลหะจึงนับว่าเป็นแปลกปลอมที่ส่งผลอันตรายกับใบหน้า โดยการดูดซับความร้อน จึงส่งผลให้ในบางคนเมื่อร้อยไหมชนิดนี้ไปแล้วเกิดใบหน้าผิดรูป เกิดผังผืดที่ไม่ดีใต้ชั้นผิว รวมทั้งทำให้มีปัญหาเวลา X-ray หรือเข้าเครื่องสแกนโลหะ จึงทำให้ความนิยมเริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ และเลิกผลิตไปในที่สุด

                                                          ดังนั้นเมื่อพูดถึงไหมในบทความหลังจากนี้ จะกล่าวถึงไหมละลายทั้งหมด เพราะทุกการทำหัตถการ ความปลอดภัยในการรักษา จะเป็นที่ตั้งเสมอสำหรับรมย์รวินท์คลินิก

                                                          สำหรับการเลือกใช้ไหมในการร้อยไหมในแต่ละเคสนั้น แพทย์จะเลือกใช้ไหม ที่มีความเหมาะสมกับปัญหาของคนไข้แต่ละท่าน รวมทั้งบริเวณที่ต้องการทำการร้อยไหมด้วย 

                                                          การทำงานของไหมเมื่อทำการร้อยไหมที่ใบหน้า

                                                          เริ่มต้นจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้เข็มในการนำพาเส้นไหมเข้าบริเวณใต้ผิว เพื่อให้ผลในด้านการยกกระชับ และตึงผิว ตามเทคนิคและบริเวณที่ต้องการทำการรักษา โดยแพทย์แต่ละท่าน และไหมแต่ละชนิด จะมีวิธีการร้อย รวมถึงเทคนิคในการร้อยไหมที่แตกต่างกันไปตามชนิด รวมทั้งลักษณะของไหม หากเคยทำการร้อยไหมมาแล้ว ในครั้งต่อไปแพทย์ได้ทำการร้อยไหมด้วยการใช้เทคนิคที่แตกต่างไปจากเดิมจึงไม่ต้องกังวล อาจมีการเปลี่ยนชนิด หรือวัสดุของไหมจึงทำให้รูปแบบการรักษาของแพทย์ที่เปลี่ยนไปจากเดิมได้

                                                          การร้อยไหมทุกชนิดวัสดุจะมีหลักการในการรักษาที่เหมือนกัน จากการทำงานของไหมและเนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ชั้นผิว โดยเมื่อร้อยไหมเข้าไปผู้ใต้ชั้นผิวแล้ว ไหมจะทำงานด้วยการเข้าไปกระตุ้นใต้ชั้นผิวให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ กระตุ้นการหมุนเวียนของเลือดให้เลือดมาเลี้ยงผิวหนังบริเวณที่ทำการร้อยไหมได้เพิ่มมากขึ้น จากนั้นจะทำให้เกิดการกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาส เป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิว ให้เกิดการสร้างตัวขึ้นมาใหม่โดยการพันรอบแนวเส้นไหม ส่งผลในการรักษา คือการยกกระชับ และดึงใบหน้าให้มีความเต่งตึง ให้ผิวที่แน่นมากขึ้น และยังทำให้ผิวบริเวณที่ทำการร้อยไหมมีความอิ่มฟูและดูดีดูใสมากยิ่งขึ้น

                                                          thread lift

                                                          ข้อดีของการร้อยไหมละลาย

                                                          • สามารถสร้างคอลลาเจนที่เกิดจากการสร้างโดยร่างกายของตัวเองในใต้ชั้นผิว
                                                          • การร้อยไหมทำให้ผิวมีความกระชับขึ้น
                                                          • ลดความหย่อนคล้อยของใบหน้า
                                                          • สามารถแก้ปัญหาใบหน้าไม่เท่ากันได้
                                                          • ผิวมีความอิ่มฟูขึ้นจากการร้อยไหม
                                                          • การร้อยไหมสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ
                                                          • ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำการร้อยไหม
                                                          • ไม่มีแผลเป็น
                                                          • ไม่มีสารตกค้าง ไม่ต้องฉีดตัวยา
                                                          • การร้อยไหมทำให้เลือดเกิดการไหลเวียนดีขึ้น

                                                          ร้อยไหม

                                                          ร้อยไหมละลายสามารถแก้ปัญหาใดได้บ้าง

                                                          • เพิ่มความชัดของกรอบหน้า
                                                          • กระชับเหนียงและไขมันใต้คาง
                                                          • เก็บแก้ม
                                                          • เก็บกระเปราะแก้ม
                                                          • ยกหางคิ้ว 
                                                          • ยกหางตา
                                                          • ปรับใบหน้าให้มีความเรียวสวยมากยิ่งขึ้น
                                                          • แก้ปัญหาร่องแก้ม
                                                          • ยกมุมปาก
                                                          • แก้ปัญหาร่องน้ำหมาก

                                                          ลักษณะ รูปร่างของเส้นไหมที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน

                                                          รูปร่างและลักษณะของเส้นไหมที่ใช้กันในปัจจุบันมีลักษณะที่หลากหลายมาก เกิดขึ้นจากการพัฒนา และปรับเพื่อให้เหมาะสมกับปัญหาของผู้เข้ารับบริการแต่ละคนให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีที่สุด โดยลักษณะไหมแต่ละชนิดสามารถแจกแจงได้ ดังนี้

                                                          ร้อยไหม

                                                          1.Mono thread เส้นไหมที่มีลักษณะเรียบ

                                                          • ไหมชนิดนี้จะมีลักษณะไหมที่มีเส้นตรง เรียบ ตั้งแต่ต้นจรดปลาย ไม่มีการปาด บาก หรือสลักเส้นไหม จะมีเส้นไม่ยาว โดยแพทย์จะใช้ไหมชนิดนี้ในการร้อยเพื่อช่วยในการฟื้นฟูผิวให้ดีมากยิ่งขึ้น ให้มีความตึง กระชับ และสร้างคอลลาเจนให้เกิดขึ้นใต้ชั้นผิวมากยิ่งขึ้น ไหมชนิดนี้มักเป็นไหมที่แพทย์ไม่ได้ใช้ร้อยเพื่อยกกระชับ แต่ร้อยไหมชนิดนี้เพื่อคุณภาพผิวที่ดีขึ้น และกระชับมากขึ้นเท่านั้น  ซึ่งอาการที่จะเกิดขึ้นหลังทำการร้อยไหมชนิด Mono thread จะทำให้ใบหน้ามีความบวมขึ้นเล็กน้อย จึงทำให้หลังทำผู้เข้ารับบริการจะรู้สึกใบหน้ามีความเต่ง อิ่ม และตึงมากยิ่งขึ้นหลังทำทันทีนั่นเอง

                                                          2. Screw thread เส้นไหมที่มีลักษณะเกลียว

                                                          • ไหมชนิดนี้จะมีลักษณะเส้นเรียบตรงเหมือนกัน Mono thread หรือไหมชนิดเรียบ แต่ไหมจะมีความม้วน ขดเป็นรูปทรงเกลียวคล้ายคลึงกับลักษณะสปริง ไหมชนิดนี้จะมีทั้ง ไหมประกอบ 1 เส้น และไหม 2 เส้น ประกอบอยู่ด้วยกัน ตามแต่รุ่นของไหมที่ถูกพัฒนาออกมา ซึ่งไหมชนิดนี้จะเป็นไหมที่มีความแข็งแรง มากขึ้นกว่าไหม Mono thread หรือไหมชนิดเรียบ มักจะใช้ในบริเวณผิวที่มีความยุบ เป็นแอ่ง เป็นบ่อ หรือ หลวมเนื่องจากคอลลาเจนใต้ผิวหายไป แพทย์จะใช้ไหม Screw thread ในการเพิ่มมวลความหนาแน่น และความกระชับให้กับผิว

                                                          3.Barb thread (bidirectional barbed thread) เส้นที่มีไหมลักษณะเงี่ยง 

                                                          • ไหมชนิดนี้คนมักจะรู้จักกันในชื่อไหมก้างปลา ไหมเงี่ยงกุหลาบ หรือไหมเทอนาโด เนื่องจากคลินิกต่าง ๆ นิยมนำไหมชนิดนี้มาตั้งชื่อทางการตลาดขึ้นมาใหม่ ตามลักษณะการรักษาและยกกระชับของไหม Barb Thread เป็นไหมยกกระชับที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก  เนื่องจากสามารถยกกระชับได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นไหมที่มีเงี่ยงที่มีลักษณะเหมือนหนาม แหลมออกมาจากเส้นไหม เพราะเกี่ยวรั้งผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น จึงมีความเหมาะสมที่จะใช้ในการยกกระชับ ลดความหย่อนคล้อย เงี่ยงของไหม Barb thread จะสามารถยื่น 1 หรือ 2 ทิศทางก็ได้

                                                          Barb thread เส้นที่มีไหมลักษณะเงี่ยง สามารถจำแนกประเภทของเงี่ยงได้ ดังนี้

                                                          Barb thread ที่มีลักษณะไหมเงี่ยงแบบบาก

                                                          ไหมเงี่ยงแบบบาก ในขั้นตอนการผลิตเส้นไหมจะมีการใช้กรรมวิธีบากไหมทั้งการใช้เลเซอร์ตัดห รือบากรวม ทั้งยังมีวิธีการอื่น ๆ ที่จะทำให้ไหมมีลักษณะเป็นซี่เหมือนกับเสี้ยนที่อยู่บนเปลือกไม้นั่นเอง

                                                          ลักษณะของเงี่ยงไหมสามารถจำแนกได้ดังนี้

                                                          • เงี่ยงไหมแบบ Uni-direction เป็นไหมที่มีลักษณะการบากไหมให้มีเงี่ยงเรียงตัวกันเป็นแนวยาวในทิศทางที่เรียงตรงกัน 1 แนว ด้านเดียว
                                                          • เงี่ยงไหมแบบ  Bi-direction เป็นไหมที่มีลักษณะการบากไหมให้มีเงี่ยงเป็น 1 ด้านของไหม แต่มีเงี่ยงในลักษณะแบบสวนทาง แต่อยู่ในแนวเดียวกัน
                                                          • เงี่ยงไหมแบบ  3D Cog เป็นไหมที่มีลักษณะ การบากของเงี่ยง ที่มีการเรียงตัวเป็นแบบสามมิติวนไปทั่วทั้งความยาวของไหม ครบทั้ง 360 องศา

                                                          Barb thread ที่มีลักษณะไหมเงี่ยงแบบหล่อ

                                                          ไหมเงี่ยงชนิดนี้เป็นเงี่ยงที่ใช้กระบวนการหล่อขึ้นมาในขั้นตอนการผลิตเส้นไหมเลย โดยผลิตการออกแบบแม่พิมพ์ให้มีลักษณะเป็นเงี่ยง เหมือนกับก้านของดอกกุหลาบที่มีหนามออกมาจากก้านโดยไม่ต้องบากเส้นไหมนั่นเอง ซึ่งการผลิตไหมในลักษณะหล่อให้มีเงี่ยงแบบนี้ จะทำให้ได้ไหมที่มีความแข็งแรงสูง ส่งผลในการรักษา คือ สามารถเกาะกับผิวได้แน่นมากขึ้น

                                                          เงี่ยงของไหมหล่อ จะสามารถแบ่งออกเป็นชนิดได้อีก 3 ชนิด ดังนี้

                                                          • Carving cog เป็นลักษณะไหมเงี่ยง ที่มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยม ทั้งสองด้านของไหมเรียงตัวยาวตลอดเส้น
                                                          • Molding cog เป็นลักษณะไหมเงี่ยงที่การหล่อให้ไหมมีรอยแบบ ซี่ของใบเลื่อย หรือซี่ของฟันฉลาม หรือเรียกอีกอย่างว่าไหมสลัก
                                                          • 3D Molding cog เป็นลักษณะเงี่ยงของไหมที่ถูกหล่อให้เป็นหนามทรงสามเหลี่ยมที่มีขนาดใหญ่หว่าเงี่ยงชนิดอื่น ๆ โดยเงี่ยงชนิดนี้จะพันเป็นเกลียวอยู่รอบไหม

                                                          ความต่างของไหมเงี่ยงแบบบาก และไหมเงี่ยงแบบหล่อ 

                                                          ไหมทั้งสองชนิดมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ในด้านความคงทนของไหม และความคงทนของเงี่ยงไหม

                                                          • ไหมเงี่ยงแบบบาก เป็นการสร้างเงี่ยงจากเส้นไหม ทำให้พื้นที่บริเวณเส้นไหมลดน้อยลง จึงทำให้ความแข็งแรงของเส้นไหม และความแข็งแรงของเงี่ยงน้อยลง
                                                          • ไหมเงี่ยงแบบหล่อ มีการสร้างเงี่ยงไหมขึ้นมาใหม่ จึงทำให้เส้นไหมและเงี่ยงมีความสมบูรณ์ จึงทำให้มีความคงทน แข็งแรงที่มากกว่าไหมเงี่ยงแบบบาก

                                                          4.เส้นที่มีไหมลักษณะเงี่ยงแบบกรวย

                                                          ไหมเงี่ยงชนิดนี้ มีลักษณะของเงี่ยงเป็นทรงกรวยล้อมอยู่รอบเส้นไหม โดยทรงกรวยดังกล่าวจะทำหน้าที่เกาะกับผิวหนัง ในบริเวณที่ทำการร้อยไหมได้เป็นอย่างดี ไม่อันตรายต่อผิว ไม่คม ไม่ขูด ไม่บาดผิว และป้องกันความเสียหายต่อผิวหนังได้มากกว่าไหมเงี่ยงชนิดอื่น ๆ 

                                                          ข้อจำกัดของการร้อยไหมชนิดนี้ คือ ต้องทำการร้อยโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ และเชี่ยวชาญสูงมาก ๆ เนื่องจากเป็นไหมที่จะต้องอาศัยฝีมือในการร้อยไหม

                                                          5.เส้นที่มีไหมลักษณะเป็นโครงตาข่าย

                                                          • ไหมชนิดนี้ไม่เมีเงี่ยง ลักษณะภายนอก คือ การใช้ไหมที่มีความเรียบมาถักจนเกิดเป็นทรงตาข่าย หรือมีไหมบางรุ่นที่ใช้ไหมโครงตาข่ายเป็นด้านนอก และใช้ไหมเงี่ยงหล่อ รอบเส้น อยู่ด้านในของไหมโครงตาข่ายอีกหนึ่งที เป็นไหมชนิดที่สามารถยืดหยุ่นได้มากกว่า สร้างคอลลาเจนได้มากกว่า ทำใหผิวหน้ามีความฟูได้มากกว่า ทำให้ผิวมีความแน่นได้มากกว่าไหมชนิดอื่น ๆ

                                                          ร้อยไหม

                                                          การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการร้อยไหม

                                                          • ผู้เข้ารับบริการร้อยไหม ควรงดรับประทานยาจำพวกต้านการแข็งตัวของเลือด ทั้งวิตามินอาหารเสริม เพื่อให้ลดการเลือดออกมากจากการร้อยไหม
                                                          • ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1 วันก่อนทำการร้อยไหม
                                                          • ควรสระผมให้เรียบร้อยก่อนทำการร้อยไหม 
                                                          • หากมีปัญหาผิวหน้า เช่น เป็นสิวอักเสบ ควรงดการเข้ารับบริการร้อยไหม และรอให้อาการดังกล่าวหายดีก่อน

                                                          ขั้นตอนการทำการร้อยไหม

                                                          • ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการประเมิน และวางแผนในบริเวณผนการร้อยไหม ให้ตรงกับปัญหาของผู้เข้ารับบริการ
                                                          • ทายาชา หรือฉีดยาชา
                                                          • ทำความสะอาดใบหน้า เพื่อเตรียมเข้ารับบริการ
                                                          • คุณหมอทำการวาดใบหน้า เพื่อเตรียมเข้ารับบริการ
                                                          • ทำการร้อยไหมด้วยความชำนาญ
                                                          • แปะพลาสเตอร์เพื่อทำการห้ามเลือด

                                                          ร้อยไหม

                                                          การดูแลตัวเองหลังเข้ารับบริการร้อยไหม

                                                          • ควรประคบเย็นในบริเวณที่ทำการร้อยไหม เพื่อลดความบวม และบรรเทาอาการระบมเป็นระยะเวลา 3 วัน
                                                          • งดออกกำลังกายเป็นระยะเวลา 3 วัน เพื่อป้องกันการระบมของใบหน้าหลังการร้อยไหม
                                                          • งดการดื่มแอลกอฮอล์ 1 สัปดาห์หลังการร้อยไหม เพื่อลดอาการบวมของบริเวณที่ร้อยไหม
                                                          • งดการรับประทานอาหารหมักดอง ของแสลง และอาหารรสจัด เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์หลังการร้อยไหม เพื่อลดอาการบวมของบริเวณที่ร้อยไหม
                                                          • งดให้บริเวณที่ร้อยไหมโดนน้ำ เพื่อป้องกันการเกิดอาการติดเชื้อ
                                                          • งดทำเลเซอร์ ทรีตเมนต์ ซาวน่า หลังการร้อยไหม

                                                          ข้อควรระวังของการร้อยไหม หากไม่ได้ทำการร้อยไหมโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์

                                                          • อาจเกิดการเป็นปุ่ม ปม หรือเป็นรอยบุ๋ม บริเวณผิวหน้าที่ทำการร้อยไหมได้
                                                          • อาจเกิดการไหมขาดหลังทำการร้อยไหมได้
                                                          • หลังทำอาจเกิดความบวม เขียว ช้ำได้
                                                          • อาจเกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อในบริเวณที่ทำได้ หากร้อยไหมตึง หรือหย่อนเกินไป
                                                          • ไหมอาจเกิดการเคลื่อนจนเห็นผิวหนังหย่อน หรือคล้อยตกลงมา

                                                          ข้อเสียของการร้อยไหม

                                                          • การร้อยไหมไม่สามารถแก้ปัญหาริ้วรอย และร่องลึกได้
                                                          • การร้อยไหมไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ถาวร
                                                          • ในช่วงแรกของการร้อยไหมอาจจับเจอเส้นไหมได้

                                                          โรคอะไรบ้างที่ไม่ควรระวังในการทำการร้อยไหม

                                                          • โรคแพ้ภูมิตัวเอง 
                                                          • โรคเบาหวาน 
                                                          • โรคความดันโลหิตสูง 
                                                          • โรคหัวใจ 
                                                          • โรคไทรอยด์เป็นพิษ 

                                                          ผู้ที่เป็นโรคประจำตัวดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษา เพื่อปรึกษาหาข้อตกลงร่วมในการรักษา เพื่อความปลอดภัย และเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                                                          ข้อดี ข้อเสีย ของเข็มที่ใช้ในการร้อยไหมประเภทต่างๆ

                                                          1. เข็มร้อยไหมประเภทแหลม 

                                                          เข็มร้อยไหมประเภทแหลมมีข้อดี คือ ลดการเกิดความบวมทั้งเลือดและน้ำ เนื่องจากลักษณะของเข็มจะทำการตัดเนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ชั้นผิว จึงทำให้เกิดความเจ็บในขณะที่ทำน้อยกว่า ทำให้เกิดการบวมน้อยกว่า และสมานแผลใต้ชั้นผิวได้เร็วกว่า หากทำโดยแพทย์ที่ชำนาญ

                                                          2. เข็มร้อยไหมประเภททู่ 

                                                          เข็มร้อยไหมประเภททู่ อาจทำให้เกิดการบวมน้ำและเลือดได้ เนื่องจากลักษณะของเข็มจะทำงานโดยการทำให้ผิวเกิดการฉีกออก ทำให้ระหว่างทำมีความเจ็บมากกว่า แต่จะสามารถหลบเส้นเลือดที่มีขนาดเล็กและใหญ่ได้ดีกว่าเข็มปลายแหลม

                                                          3. เข็มร้อยไหมประเภทตัด

                                                          เข็มร้อยไหมประเภทนี้เป็นเข็ม กึ่งแหลมกึ่งทู่ โดยปลายเข็มจะมีลักษณะคล้ายกับหลอด มีความคมอยู่บ้างแต่ไม่มาก และจะไม่คมเท่ากับเข็มปลายแหลม 

                                                          4. เข็มร้อยไหมประเภทเข็ม L

                                                          ลักษณะเข็มร้อยไหมประเภทนี้ เป็นเข็มที่มีความคล้ายกันกับเข็มประเภทตัด การใช้เข็มประเภทนี้จะบวมน้ำน้อยกว่าบวมเลือด และสมานเส้นเลือดได้ดีกว่าการใช้เข็มปลายทู่ 

                                                          พัฒนาต่อจากเข็มตัดอีกขั้นหนึ่ง เข็มแต่ละประเภทไม่สามารถระบุได้ว่าชนิดไหนดีที่สุด ขึ้นกับการประเมินเนื้อเยื่อของคนไข้ และความถนัดของหมอแต่ละคน เช่น ถ้าคนไข้เคยเป็นสิว และมีพังผืดเยอะ การใช้เข็มทู่ก็จะบวมช้ำมากกว่าเข็มแหลม

                                                          การพัฒนาของการร้อยไหมในปัจจุบันร้อยไหมทำอะไรได้บ้าง

                                                          ในปัจจุบันมีการร้อยไหมช่องคลอด ขึ้นมาอีกหนึ่งชนิดเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยในการยกกระชับเช่นเดียวกัน แต่เป็นยกกระชับในส่วนช่องคลอดและแก้ปัญหาต่าง ๆ ของช่องคลอด อาทิ

                                                          • ร้อยไหมกระชับช่องคลอด
                                                          • ร้อยไหมปรับปรุงสมรรถภาพทางเพศ
                                                          • ร้อยไหมแก้ปัญหาช่องคลอดแห้ง
                                                          • ร้อยไหมเพื่อให้น้องสาวมีรูปลักษณ์ที่สวยงามขึ้น

                                                          ไหมน้ำ 

                                                          เป็นนวัตกรรมที่พัฒนามาจากการร้อยไหมปกติ โดยการใช้หลักการกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวเกิดความกระชับมากขึ้น อิ่มฟู และชุ่มชื้นได้มากขึ้น โดยไหมน้ำนั้นเป็นสิ่งที่ผลิตมาจากวัสดุเดียวกับวัสดุที่นำมาทำไหมที่ใช้ร้อยใบหน้า โดยสามารถแจกแจงยี่ห้อของไหม และวัสดุต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิตได้ ดังนี้

                                                          สาร PCL (Polycarpolactone)

                                                          ที่ช่วยในการสร้างความยืดหยุ่น และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวได้เป็นอย่างดี สามารถคงผลลัพธ์ใต้ผิวได้นาน

                                                          • คือ ไหมน้ำยี่ห้อ Gouri

                                                          สาร PDO (Polydioxanone)

                                                          สารที่ใช้ผลิตไหมที่มีความยืดหยุ่นสูง และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวได้ดี ทั้งยังก่อให้เกิดการแพ้สารดังกล่าวได้ยาก 

                                                          • คือไหมน้ำยี่ห้อ Ultracol

                                                          สาร PLLA (Poly-L-Lactic acid)

                                                          สามารถอุ้มน้ำได้ดี ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน มีความปลอดภัย เนื่องจากสังเคราะห์มาจากพืช ทำให้มีผลข้างเคียงในการรักษาน้อย

                                                          • คือไหมน้ำ ยี่ห้อ  Sculptra  

                                                          สาร PDLLA (Poly D-L-Lactic Acid)

                                                          เป็นไหมน้ำที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ พัฒนาต่อจาก PLLA เพื่อใช้สำหรับการเป็นไหมน้ำ มีโมเลกุลเป็นทรงกลม ทำให้เวลาที่ฉีดไปไม่ทำอันตรายต่อใต้ผิวหนัง ช่วยในการยกกระชับผิวได้ดี ช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวได้เป็นอย่างดี  ส่งผลให้ผิวหนังระหว่างทำเกิดการอักเสบในบริเวณใต้ชั้นผิวได้ยาก

                                                          • คือไหมน้ำยี่ห้อ AestheFill, Lenisna, และ Juvelook

                                                          การร้อยไหมในปัจจุบัน นอกจากจะมีการพัฒนาเป็นไหมในลักษณะอื่น ๆ หรือมีการร้อยในบริเวณอื่นที่นอกจากใบหน้าแล้ว ยังมีการพัฒนาเงี่ยง รูปทรงแล้วความยาวของไหมให้แตกต่างออกไปในรูปแบบอื่น เพื่อรองรับปัญหาของผู้เข้ารับบริการที่มากขึ้น และตรงจุดขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้การร้อยไหมจำเป็นจะต้องได้รับการทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายขึ้นภายหลัง และเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีที่สุด

                                                          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                            วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                            AviClear รักษาสิวเครื่องเดียวจบ

                                                            AviClear

                                                            AviClear AviClear

                                                            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                              วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                              AviClear จบปัญหาสิวในเครื่องเดียว

                                                              สิว เป็นปัญหาที่ทุกคนต้องเคยประสบ และเป็นเรื่องที่ไม่ว่าจะพูดกับใครเรื่องสิว ๆ ก็มักจะเป็นเรื่องที่ทุกคนมีประสบการณ์ร่วม เพียงแต่ว่าปัญหาสิวในแต่ละคนอาจเกิดขึ้นกันคนละช่วงเวลาเท่านั้นเอง  

                                                              สำหรับสาเหตุของการเกิดสิว ปัญหาหลักก็ คือ เมื่อร่างกายเกิดการผลิตน้ำมัน (sebum) ออกมาในจำนวนที่มากเกินไป น้ำมันส่วนเกินจะเกิดการผสมตัวเข้ากับเซลล์ผิวหนังที่เกิดการเสื่อมสภาพลง จากนั้นการผสมตัวดังกล่าวจะเข้าไปเกิดการอุดตันอยู่ที่รูขุมขนของคนเรา ทำให้แบคทีเรียที่อยู่ในผิวหนังได้เจริญเติบโตขึ้น และส่งผลให้เข้าไปกระตุ้นให้ผิวเกิดการอักเสบขึ้น ซึ่งการอักเสบนั่นเองที่เป็นสาเหตุของอาการแดง และเกิดตุ่มหนอง

                                                              AviClear

                                                              AviClear เป็นโปรแกรมเครื่องเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นในระดับ 1726 นาโนเมตร ทำงานกับต่อมไขมันบริเวณรูขุมขน อยู่ใต้ผิว 0.5 – 1.5 มม. ซึ่งคลื่นดังกล่าวเป็นคลื่นที่สามารถดูดซับน้ำมัน (sebum) ได้ ผลิตโดยบริษัท Cutera Inc  โดยมีค่า +/- 3 nm ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการทำงานของ ลำแสงเลเซอร์ (spot size) พลังงาน และระยะเวลาในการระบายความร้อนของต่อมไขมัน  มีผลต่อระยะเวลาในการปล่อยพลังงานคลื่น  

                                                              AviClear  ผลิตจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่พัฒนามาเพื่อแก้ปัญหาสิวทุกปัญหา โดย AviClear  ทำงานโดยการเลือกจับที่เป้าหมาย คือ บริเวณต่อม ไขมัน (Sebaceous glands) เป็นหลัก AviClear เหมาะสำหรับคนทุกกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ (all acne severities : mild moderate and severe) ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาสิวที่อยู่ในระดับที่มีความรุนแรงมาก ขนาดไหนก็สามารถทำการรักษาได้อย่างปลอดภัย ใช้ได้กับสีผิวในทุกระดับ ด้วยการใช้ความยาว และระดับคลื่นอย่างเหมาะสมในการรักษา AviClear  จึงสามารถรักษาได้ทุกช่วงวัย ตั้งแต่กลุ่มวัยรุ่น ไปจนถึงผู้ใหญ่ นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองจาก อย. ของประเทศแคนาดา (Health Canada) ว่าสามารถรักษารอยแผลเป็นจากสิวได้อีกด้วย

                                                              AviClear

                                                              อีกทั้ง AviClear ยังได้รับรางวัลเทคโนโลยี ที่มีความปลอดภัยต่อผิวของผู้เข้ารับการรักษาที่อยู่ในทุกระดับสีผิว (safe for all skin types and skin tones) 

                                                              โดยปกติแล้วการรักษาสิว จะมีหลักในการรักษาอยู่ที่สาเหตุของการเกิดสิว แต่ยังไม่มีการรักษาชนิดใด ที่สามารถลดการผลิตน้ำมันบนผิวหนังได้แบบ AviClear จึงทำให้การรักษาทั้งหมดนั้น ไม่สามารถให้ผลการรักษาที่ดีในระยะยาวได้ ในบางคนที่ทำการรักษาไม่ตรงกับปัญหาจึงส่งผล ให้เมื่อหยุดการรักษาก็จะสามารถกลับมาเป็นสิวได้อีกครั้ง แต่ AviClear มีหลักในการรักษาที่แตกต่างกัน จึงทำให้สามารถรักษาสิวได้ดีกว่าอย่างแตกต่าง

                                                              AviClear

                                                              ข้อดีของการรักษาด้วย AviClear

                                                              • AviClear ไม่ต้องใช้ยาชา
                                                              • AviClear ลดการเกิดสิวทุกชนิดได้จริง
                                                              • AviClear ลดการเกิดสิวระยะยาวถึงสองปี
                                                              • AviClear ทำได้แม้ผิวที่บอบบาง
                                                              • AviClear ไม่เบิร์น ไม่ไหม้
                                                              • AviClear ไม่ทำร้ายผิว
                                                              • AviClear ช่วยปกป้องผิวในระหว่างทำ
                                                              • AviClear มีระบบทำความเย็นในเครื่อง
                                                              • AviClear ช่วยรักษารอยแผลเป็นได้ด้วย
                                                              • AviClear ลดหน้ามันได้
                                                              • AviClear ลดขนาดรูขุมขนได้
                                                              • AviClear ไม่ทำลายชั้นผิวหนัง ให้ผิวหนังบริเวณที่ทำการรักษามีความสมบูรณ์

                                                              ข้อเสียของการรักษาด้วย AviClear

                                                              • AviClear  ทำให้ผิวแห้งหลังทำการรักษา
                                                              • AviClear  ทำให้ทำกิจกรรมกลางแจ้งไม่ได้ในระยะการรักษา
                                                              • AviClear  ทำให้คันบริเวณที่ทำการรักษา
                                                              • AviClear  ต้องทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญเท่านั้น

                                                              ใครเหมาะสําหรับการรักษาด้วย AviClear

                                                              • ผู้ที่หมาะกับ AviClear คือผู้ที่ เป็นสิวทุกประเภท
                                                              • ผู้ที่เหมาะกับ AviClear คือผู้ที่ เป็นสิวจากทุกสาเหตุ
                                                              • ผู้ที่เหมาะกับ AviClear คือผู้ที่ เป็นสิวทุกระดับความรุนแรง
                                                              • ผู้ที่เหมาะกับ AviClear คือผู้ที่ เป็นสิวในทุกสีผิว
                                                              • ผู้ที่เหมาะกับ AviClear คือผู้ที่ เป็นสิวทุกช่วงวัย
                                                              • ผู้ที่เหมาะกับ AviClear คือผู้ที่ เคยรักษาสิวด้วยวิธีอื่น ๆ แล้วไม่หาย
                                                              • ผู้ที่เหมาะกับ AviClear คือผู้ที่ ไม่ต้องการรักษาสิวด้วยการรับประทานยา
                                                              • ผู้ที่เหมาะกับ AviClear คือผู้ที่ ต้องการรักษาสิวในระยะยาว
                                                              • ผู้ที่เหมาะกับ AviClear คือผู้ที่ เป็นสิวที่เปลี่ยนเครื่องสำอางแล้วยังไม่หาย
                                                              • ผู้ที่เหมาะกับ AviClear คือผู้ที่ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตแล้วยังไม่หาย
                                                              • ผู้ที่เหมาะกับ AviClear คือผู้ที่ แพ้ยารักษาสิว
                                                              • ผู้ที่เหมาะกับ AviClear คือผู้ที่ เป็นสิวในระยะรุนแรง

                                                              ใครไม่เหมาะสําหรับการรักษาด้วย AviClear

                                                              • ผู้ที่ไม่เหมาะกับ AviClear คือผู้ที่ กำลังตั้งครรภ์ หรือเป็นสิวในระหว่างตั้งครรภ์
                                                              • ผู้ที่ไม่เหมาะกับ AviClear คือผู้ที่ เคยมีอาการแพ้คลื่นแสงเลเซอร์

                                                              การเตรียมก่อนเข้ารับการรักษาด้วย AviClear

                                                              1. 2 – 3 วันก่อนเข้ารับการรักษา หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิว
                                                              2. เตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการทำเลเซอร์

                                                              การเตรียมตัวเพื่อเข้ารับการรักษาด้วย AviClear

                                                              1. ทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดก่อนเข้ารับบริการ AviClear
                                                              2. หากในบริเวณที่ต้องการทำมีเส้นขน จำเป็นต้องโกนขนออกให้หมด เพื่อไม่ให้เกิดฟองอากาศใต้หัวยิง เนื่องจากจะไม่สามารถวางหัวยิง AviClear แนบผิวได้
                                                              3. ทำความสะอาดบริเวณที่ต้องการทำ AviClear อีกรอบด้วยสบู่อ่อน ๆ และล้างน้ำเปล่าอีกครั้ง
                                                              4. เก็บภาพก่อนทำการรักษา เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์
                                                              5. ซับความชุ่มชื้นของผิวออก ด้วยผ้าก๊อซ แห้ง และสวมแว่นตา เพื่อป้องกันแสงเลเซอร์จากเครื่อง AviClear
                                                              6. ซับความมันด้วยผ้าก๊อซชุบ medical/ACS grade acetone บิดให้แห้ง
                                                              7. เตรียมผิวด้วย ผ้าก๊อซ หรือ Mask ชุบน้ำโปะให้ทั่วบริเวณที่ต้องการทำ ประมาณ 3 นาทีก่อนทำการรักษา

                                                              ขณะทําการรักษาด้วย AviClear

                                                              ขณะทำการรักษาด้วย AviClear ไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา เนื่องจากบริเวณหัวยิงเลเซอร์จะมี สิ่งที่เรียกว่า AviClearSapphire skin coolling and sensory control หรือเครื่องทำความเย็น เพื่อปกป้องผิวบริเวณที่ทำการรักษาในระหว่างก่อน ขณะ และหลังยิงเลเซอร์ในทุก ๆ Pulse ของ AviClear จะทำให้ผู้เข้ารับการรักษารู้สึกผ่อนคลาย และสบายผิวระหว่างทำการรักษา โดยจะมีเพียงความรู้สึกอุ่น ๆ ในบริเวณที่ทำการรักษา ยกเว้นบริเวณที่บอบบาง sensitive area เช่น หน้าผาก ขมับ รอบริมฝีปาก รวมทั้งบริเวณสิวอักเสบ สำหรับบริเวณดังกล่าวนี้ อาจมีความรู้สึกมากกว่าในตำแหน่งอื่น ๆ ทุก ๆ 1-3 Pulse ให้จับผิวด้วยผ้าก๊อซชุบน้ำสะอาดบริเวณผิวที่ทำการรักษา เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น โดยการยิง แพทย์จะทำการยิงทั้งหมดจำนวน 300 shots ในแต่ละครั้งของการเข้ารับบริการ

                                                              ข้อควรปฏิบัติหลังเข้ารับบริการ AviClear

                                                              • ทาครีมกันแดดที่มีค่าป้องกัน UVA/UVB SPF 30+ โดยสามารถทาได้ทันที หลังจากได้รับการรักษาด้วย AviClear  (ทาก่อนออกแดด 90 นาที)
                                                              • ให้ล้างทำความสะอาดผิวหน้า ทาครีมบำรุงผิวสูตรอ่อนโยนทาครีมกันแดดที่มีค่าป้องกัน UVA/UVB SPF 30+ หลังทำ AviClear
                                                              • หลีกเลี่ยงครีม หรือการรักษา หรือกิจกรรมที่ทำให้เกิดการระคายเคืองผิวใน 2 – 3 วันภายหลังการรักษาด้วย AviClear
                                                              • สามารถใช้ครีมบำรุงผิวที่ใช้เป็นประจำได้ ภายใน 2 – 3 วันหลังการรักษา AviClear 

                                                              การดูแลภายหลังเข้ารับการรักษาด้วย AviClear

                                                              1. หากรู้สึกไม่สบายผิวหลังทำ AviClear สามารถประคบเย็นที่ผิวบริเวณที่ทำการรักษา เพื่อบรรเทาอาการได้
                                                              2. ในบางผู้เข้ารับบริการ AviClear อาจทำให้เกิดอาการบวมได้ หรือผิวเป็นดวงในบริเวณที่ทำการรักษา สามารถประคบเย็นได้เพื่อบรรเทาอาการ โดยอาการบวม และดวงจะคงค้างนานที่สุดไม่เกิน 24 ชั่วโมง
                                                              3. ในวันถัดไปหลังทำ AviClear  สามารถล้างหน้า หรือล้างในบริเวณที่ทำการรักษาด้วยสบู่อ่อน และน้ำสะอาด รวมทั้งทาผิวด้วยครีมที่เพิ่มความชุ่มชื้น อ่อนโยน ไม่แพ้ ทาครีม กันแดด UVA/UVB SPF30+ หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด
                                                              4. หลังเข้ารับการรักษาด้วย AviClear  ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิวเช่น vitamin C/ascorbic acid Ita: astringents เป็นระยะเวลา 8-10 วัน
                                                              5. หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน ซาวน่า อย่างน้อย 1-2 วันหลังเข้ารับการรักษาด้วย AviClear 
                                                              6. ห้ามออกกำลังกายที่ทำให้มีเหงื่อออกเยอะ 24 ชั่วโมงหลังเข้ารับการรักษาด้วย AviClear 
                                                              7. หลังเข้ารับการรักษา AviClear จะทำให้ผิวในบริเวณที่ทำการรักษา อาจแห้งอุดตันคงค้างในบางราย 4 สัปดาห์หลังเข้ารับการรักษา ให้ทาครีมเพื่อทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น ที่อ่อนโยน และไม่แพ้
                                                              8. หลังเข้ารับบริการ AviClear ควรทาครีมกันแดด และครีม ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากขณะเข้ารับบริการผิวจะแห้งกว่าปกติ
                                                              9. งดกำจัดขนด้วยการแว๊กซ์ หรือใช้เลเซอร์ ภายใน 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันผิวระคายเคือง
                                                              10. ห้ามทำกิจกรรมกลางแจ้งขณะอยู่ในครอสทำการรักษาด้วย AviClear 

                                                              ความรู้สึกภายหลังเข้ารับการรักษาด้วย AviClear 

                                                              • ผู้เข้ารับการรักษาด้วย AviClear บางคนมีอาการบวมที่บริเวณที่ทำการรักษา โดยอาจมี หรือไม่มีหนองร่วมด้วย โดยอาการนี้จะเป็นไปตามรูปแบบของการยิง ซึ่งจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2 – 3 ชั่วโมง หรือในบางคนอาจดี ขึ้นภายใน 2 – 3 วัน
                                                              • หลังทำ AviClear จะมีอาการผิวแห้ง และมีอาการคัน ซึ่งอาการนี้พบได้นาน 2 – 3 สัปดาห์ โดยไม่ควรเกา และให้ทาครีมบำรุงผิวสูตรอ่อนโยน เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว เพื่อบรรเทาอาการคันแทน

                                                              AviClear ได้ทำการศึกษาความพึงพอใจของผู้เข้ารับการรักษาได้ผลลัพธ์ ดังต่อไปนี้

                                                              • ภายใน 1 เดือนหลังจากทำการรักษาด้วย AviClear ครั้งสุดท้าย จะพบว่าผู้เข้ารับการรักษามีความพึงพอใจ และเห็นผลการรักษาสูงถึง 87% 
                                                              • นอกจากนี้ 3 เดือนภายหลังการรักษาด้วย AviClear ครั้งสุดท้าย ผู้เข้ารับการรักษามากกว่า 75% ยังคงมีความชื่นชอบในผลการรักษา และยังต้องการทำการรักษาซ้ำ

                                                              การตอบสนองของผู้เข้ารับบริการส่วนใหญ่ ภายหลังการรักษา AviClear มีพบผลลัพธ์ดังนี้ 

                                                              • ผู้เข้ารับบริการ AviClear ไม่พบผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ภายหลังการรักษา
                                                              • ภายหลังการรักษา AviClear พบว่าผู้เข้ารับบริการจะมีอาการแดงขึ้นเล็กน้อย และรอยแดงดังกล่าวจะค่อย ๆ ดีขึ้นได้เองโดยไม่ต้องกังวล
                                                              • อาการบวม แดง ที่เกิดขึ้นจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 1 ชั่วโมง โดยไม่ทิ้งรอยอื่น ๆ ที่ต้องพักฟื้น
                                                              • หลังการรักษาด้วย AviClear จะไม่มีรอยแผลที่ส่งผลให้เกิดรอยดำ (hyperpigmentation) ตลอดระยะเวลาที่ทำงานวิจัย

                                                              AviClear

                                                              ผลการตัดชิ้นเนื้อ: หลังจากการทำรักษาด้วยเครื่อง AviClear

                                                              ผลการตัดชิ้นเนื้อหลังทำการรักษา AviClear พบว่า AviClear สามารถเข้าไปยับยั้งการผลิตน้ำมัน (sebum) ได้โดยที่ไม่รบกวนเนื้อเยื่อรอบข้าง และผิวหนังชั้นนอก ส่งผลให้ผิวหนังชั้นนอกที่ได้รับการรักษายังคงสมบูรณ์ครบถ้วน และ AviClear มีการทำลายเฉพาะต่อมไขมันที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวเพียงเท่านั้น

                                                              การรักษาด้วย AviClear ควรทำบ่อยแค่ไหน และควรทำกี่ครั้ง

                                                              • เพื่อผลลัพธ์ที่ดีในการรักษา ควรเข้ารับบริการอย่างต่อเนื่อง ให้ครบ 3 ครั้ง โดยในแต่ละครั้ง ควรเว้นระยะห่าง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ในบางรายที่เป็นหนักอาจต้องทำการรักษามากกว่า 3 ครั้งหรือ 6  ครั้ง

                                                              AviClear AviClear

                                                              AviClear AviClear

                                                              AviClear ใช้ระยะเวลาในการรักษาแต่ละครั้งกี่นาที

                                                              • AviClear ใช้ระยะเวลาในการรักษาแต่ละครั้งประมาณ 30 นาที ไม่รวมทำความสะอาดใบหน้า

                                                              AviClear รักษารอยแผลเป็นจากสิวได้ด้วยหรือไม่

                                                              • AviClear  สามารถรักษาสิวได้ ทั้งยังได้รับการรับรองจาก อย. ของประเทศแคนาดา (Health Canada) เกี่ยวกับด้านการรักษารอยแผลเป็นจากสิวอีกด้วย

                                                              AviClear AviClear

                                                              AviClear AviClear

                                                              ระบบทำความเย็นใน AviClear ที่มีชื่อว่า AviCool คืออะไร ทำงานอย่างไร

                                                              • ช่วยปกป้องผิวชั้นนอก จากการลดอุณหภูมิของผิวในขณะทำการรักษา
                                                              • มีระบบทำความเย็น ทั้งก่อน ขณะ และหลังการปล่อยพลังงาน
                                                              • เครื่อง AviClear มีระบบทำความเย็นก่อนยิงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
                                                              • จะใช้อุณหภูมิที่มีความเย็นมาก ในช่วงก่อนปล่อยพลังงานเลเซอร์ เนื่องจากจะทำให้หลังจากการปล่อยพลังงานจากเครื่อง AviClear แล้วอุณหภูมิคลื่นจะไม่สูงจนเกินไป
                                                              • ระบบทำความเย็นหลังปล่อยพลังงาน ช่วยปกป้องผิวหนังชั้นนอก ไม่ให้ร้อนขึ้นจากการระบายความร้อนใต้ผิว

                                                              ข้อจำกัดของ AviClear Laser มีอะไรบ้าง

                                                              • หากเป็นโรคเริม ในขณะแสดงอาการ ไม่แนะนำให้ทำ AviClear หากคนไข้มีประวัติ การเป็นโรคเริม แนะนำให้ทานยาต้านไวรัสก่อนมาทำการรักษา 1-2 วัน และทานต่อเนื่องจนครบ 5 วัน เพื่อป้องกันการลุกลามของอาการ
                                                              • ผู้ที่เป็นมะเร็งผิวหนัง หรือมีประวัติการเป็นมะเร็งผิวหนัง ที่ผ่านการผ่าตัดรักษาแล้ว อยู่ในข้อควรระวังที่ต้องปรึกษา และให้แพทย์ประเมินก่อนทำ AviClear
                                                              • ผู้ที่เป็นแผลคีย์ลอย หรือมีประวัติการเป็น ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการประเมินการรักษาอย่างละเอียดก่อนทำ AviClear
                                                              • ผู้ที่มีผิวไหมจากการโดนแดด กลุ่มนี้จะมีผิวที่เกิดการระคายเคืองง่าย แนะนำในพักผิว 1-2 สัปดาห์ก่อนทำ AviClear เหมือนกันกับเครื่องเลเซอร์ ชนิดอื่นๆ
                                                              • ในกรณีรับประทานยากลุ่ม anti coagulant (ยาต้านการแข็งตัวของเลือด) ควรปรึกษาแพทย์โดยละเอียด เพื่อวางแผนการรักษาก่อนทำ AviClear

                                                              สิวมีกี่ทั้งหมดประเภท

                                                              การแบ่งประเภทของสิว สามารถแบ่งได้ 2 ประเภทหลัก และสามารถแบ่งแยกย่อยลงไปอีกได้ ดังนี้

                                                              1. สิวอักเสบ

                                                              สิวอักเสบ เป็นสิวที่เกิดขึ้นจากการอักเสบของรูขุมขนรวม ทั้ง ต่อมไขมันบนผิวหนัง เมื่อรูขุมขนเกิดการอุดตันจากน้ำมันบวกกับเซลล์ผิวต่าง ๆ ที่ตายไปแล้ว แต่ยังคงเกาะอยู่ตามผิวหนังทั้งยังมี เชื้อแบคทีเรียจากสิ่งสกปรกในชีวิตประจำวัน รวมตัวเข้าด้วยกัน จึงทำให้ผิวหนัง และรูขุมขนดังกล่าวเกิดการอักเสบขึ้น จึงส่งผลให้ผิวนั้นมีลักษณะบวมแดง เจ็บ และอาจมีหนอง ร่วมด้วย ซึ่งก็คือสิวที่เรารู้จักกันนั่นเอง โดยสิวจำนวกนี้สามารถแยกย่อยออกไปอีกได้ ดังนี้

                                                              • สิวตุ่มแดง จะเป็นสิวที่มีขนาดเล็ก มีลักษณะเพียงเป็นตุ่มนูนแดง ขึ้นมาเฉย ๆ โดยจะไม่มีอาการคัน หรือเจ็บร่วมด้วย
                                                              • สิวหัวหนอง จะเป็นสิวที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคต่าง ๆ ทำให้ผิวเกิดการอักเสบขึ้น มีลักษณะเป็นสิวขนาดเล็ก และที่มีหัวที่เป็นหนองอยู่ด้านใน อาจทำให้เจ็บ หรือคัน เวลาสัมผัส
                                                              • สิวอักเสบขนาดใหญ่ จะเป็นสิวที่มีลักษณะการอักเสบรุนแรงมากกว่าสิวชนิดอื่น ๆ มีรูปร่างเป็นสิวที่เป็นตุ่มนูน บวมแดงขนาดใหญ่ ในบางทีอาจมีหนองร่วมด้วย เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บ และคัน
                                                              • สิวหัวช้าง จะเป็นสิวอักเสบที่มีขนาดใหญ่ สิวชนิดนี้จะฝังตัวอยู่ลึกใต้ผิวหนัง หากเป็นจะมีความเจ็บปวดร่วมด้วย ร้ายแรงยิ่งกว่าคือหากเป็นสิวชนิดนี้ และมีการอักเสบจะมีความรุนแรงมากที่สุด โดยเชื้อโรคจากสิวชนิดนี้จะสามารถกระจายไปทั่วทุกบริเวณ อวัยวะที่เกิดสิว ไม่ว่าจะเป็น ใบหน้า ลำคอ หลัง ได้ เมื่อเป็นแล้วควรได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี

                                                              2. สิวไม่อักเสบ

                                                              สิวไม่อักเสบ เรียกอีกอย่างได้ว่า สิวอุดตัน (หรือ Non-inflammatory acne) เป็นสิวที่เกิดขึ้นจากการที่รูขุมขนของคนเรานั้น เกิดการอุดตันด้วยขึ้นด้วยน้ำมันส่วนเกิน บวกกับเซลล์ผิวของเราที่ตายแล้ว รวมกันอยู่ในรูขุมขนโดยยังไม่มีการติดเชื้อจากแบคทีเรีย หรือสิ่งสกปรก จึงทำให้เกิดการอักเสบ บวม แดง หรืออาการเจ็บปวดเหมือนสิวประเภทแรก  โดยสิวชนิดนี้สามารถจะแบ่งชนิดออกได้ ดังนี้

                                                              • สิวหัวขาว มีลักษณะเป็นสิวที่มีขนาดตุ่มเล็ก ๆ สีขาว เกิดจากการอุดตันในรูขุมขนที่ลึกลงไป แต่จะไม่มีการอักเสบร่วมด้วย สิวชนิดนี้จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าผื่น หรือผด แต่ข้อควรระวัง คือ สิวหัวขาวนั้นเป็นสิวที่สามารถติดเชื้อ และอักเสบได้ในอนาคต โดยจะไม่อักเสบทันที แต่จะเป็นการอักเสบจากกระตุ้น คือ การบีบ หรือแกะสิว
                                                              • สิวหัวดำ มีลักษณะเป็นสิวตุ่มเล็ก ๆ มีสีดำ อันเกิดจากการอุดตันที่เกิดจากรูขุมขนที่เกิดการออกซิไดซ์จากน้ำมันบนใบหน้า และเซลล์ผิว จึงเกิดเป็นสีดำเมื่อได้สัมผัสกับอากาศ เราจึงสามารถมองเห็นสิวประเภทนี้ได้ชัดเจน มักจะอยู่บริเวณรูขุมขน สามารถรักษาให้หายได้

                                                              อะไรคือสาเหตุของการเกิดสิว

                                                              การเกิดสิว เป็นสิ่งที่มีสาเหตุการเกิดได้จากหลากหลายปัจจัย อาทิ ฮอร์โมนในร่างกาย อาหารการกิน พันธุกรรม การดูแลผิวหน้า ครีม หรือเครื่องสำอางที่ใช้ การพักผ่อนไม่เพียงพอ การใช้ชีวิตประจำวัน ความเครียด ก็เป็นสิ่งที่สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวได้ทั้งสิ้น แต่ในบางคนดูแลผิวหน้าเป็นอย่างดีก็สามารถเกิดสิวได้ เนื่องจากสิวเกิดขึ้นได้จากหลากหลายปัจจัยตามที่กล่าวมาข้างต้น โดยเป็นปัจจัยที่ทั้งมองเห็น และมองไม่เห็น

                                                              • สิวเกิดจากน้ำมันส่วนเกิน เป็นสิวที่เกิดจากต่อมน้ำมันใต้ผิว เกิดการผลิตไขมันออกมาในปริมาณที่มากเกินไป จนทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน
                                                              • สิวเกิดจากเซลล์ผิวตาย เป็นสิวที่เกิดขึ้นเมื่อเซลล์ผิวที่ตาย เกิดการผลัดและหลุดออกไม่หมด จึงส่งผลให้เข้าไปอุดตันอยู่ในรูขุมขนร่วมกับน้ำมัน ทำให้เกิดสิว
                                                              • สิวเกิดจากแบคทีเรีย เป็นสิวที่ได้จากแบคทีเรียชนิด P. acnes หรือชื่อใหม่ C.acnes เป็นแบคที่เรียที่อยู่ในรูขุมขน และเกิดการอักเสบขึ้น
                                                              • สิวเกิดจากฮอร์โมน ในผู้ที่มีฮอร์โมนสูง ร่างกายจะกระตุ้นให้ต่อมไขมันเกิดการผลิตน้ำมันออกมาในปริมาณมากเกินไป โดยจะพบในกลุ่มวัยรุ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน วัยกำลังโต หรือที่เรียกกันอย่างติดปากว่าสิวสาวนั่นเอง 
                                                              • สิวเกิดจากพันธุกรรม สิวจากพันธุกรรม มักเกิดขึ้นในผู้ที่มีครอบครัว หรือประวัติคนในครอบครัวเคยมีประวัติการเป็นสิว จึงทำให้คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นสิวได้ง่ายมากกว่าคนอื่น ๆ และสิวเป็นอีกหนึ่งอย่างที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
                                                              • สิวเกิดจากโรคบางชนิด โรคบางชนิดนั้นมีส่วนในการทำให้ฮอร์โมนเพศสูงขึ้น เมื่อฮอร์โมนเพศสูงขึ้นจึงทำให้เกิดสิวได้ เช่นกัน
                                                              • สิวเกิดจากการดูแลผิวไม่ถูกวิธี การหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ทำให้มีข้อมูลที่ถูกและผิดที่ทำให้เกิดการเลียนแบบ และทำความสะอาดสะอาดผิวหน้าได้อย่างไม่ถูกต้อง รวมทั้งการซื้อครีม หรือซื้อเครื่องสำอางที่ไม่เหมาะกับผิวของเรา
                                                              • สิวเกิดจากอาหาร การรับประทานอาหารบางชนิดสามารถทำให้เกิดสิวได้ อาทิ อาหารที่มีความมัน อาหารทอด นม หรืออาหารหวาน แพทย์จึงให้ปรับการรับประทานอาหารเพื่อรักษาสิว
                                                              • สิวเกิดจากความเครียด เป็นการกระตุ้นฮอร์โมน ส่งผลให้เกิดสิว
                                                              • สิวเกิดจากการใช้ยาบางชนิด ยาบางชนิดมีส่วนผสม หรือสารที่ส่งผลให้เกิดสิวได้

                                                              วิธีรักษาสิว มีอะไรบ้าง?

                                                              สิว เรียกได้ว่าเป็นปัญหาผิวที่มีความรุนแรงตั้งแต่ระดับเล็ก ไปจนถึงความรุนแรงที่สูง การรักษาสิวนั้นก็สามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การรักษาด้วยตัวเอง และการรักษาโดยแพทย์ รวมถึงการรักษาด้วยหัตถการที่จะช่วยรักษาได้อย่างตรงจุด โดยการรักษาสิวจะมุ่งเน้นไปที่การทำให้สิวยุบตัวลง พร้อมหยุดการเกิดสิวใหม่ และป้องกันการเกิดรอยสิว รอยแผลเป็น ดังนี้

                                                              1. การใช้ยาทาภายนอก เช่น เจลแต้มสิว ยารักษาสิว
                                                              2. การใช้ยารับประทานยาปฏิชีวนะ เช่น ยาปรับฮอร์โมน หรือในยาบางชนิดที่ช่วยลดสิว
                                                              3. การดูแลผิว เช่น การทำความสะอาดผิว การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะกับสภาพผิว 
                                                              4. การรักษาด้วยหัตถการ เช่น การกดสิว การทำเลเซอร์สิว AviClear laser

                                                              AviClearAviClear

                                                              AviClear AviClear

                                                              ใครที่ผ่านการรักษาสิวมาแล้วทุกรูปแบบ แต่ก็ยังไม่หายสักที จนกลายเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความกังวลใจ จนเป็นผลถึงการใช้ชีวิตต้องลอง AviClear เพราะทำครั้งเดียวเห็นผลในระยะยาวถึง 2 ปี โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดสิวอีก ทำได้ในทุกประเภทของสิว ทุกสีผิว และทุกประเภทของสิว ปลอดภัย ได้รับ FDA รับประกัน 

                                                              ผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาปรึกษาปัญหาสิวที่รมย์รวินท์คลินิกพร้อมทั้งให้แพทย์ประเมินการรักษาเบื้องต้น ก่อนทำการรักษา เพื่อความปลอดภัยในการรักษาหรือทักเข้ามาช่องทางออนไลน์ทุกช่องทาง เพื่อปรึกษาปัญหาต่าง ๆ ได้ทั้งช่องทางไลน์ https://bit.ly/RomrawinLINE และ Facebook หรือลงทะเบียนผ่านช่องทางลงทะเบียนเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ

                                                              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                SkinVive วิบผิว คืออะไร ช่วยอะไร เหมาะกับใคร

                                                                SkinVive

                                                                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                  วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                  SkinVive เติมน้ำ เพิ่มความฉ่ำให้ผิว

                                                                  ด้วยความที่เทรนด์งานผิวกำลังมาแรง และงานผิว ก็เป็นเหมือนการเตรียมตัวเพื่อเข้ารับการบำรุงในขั้นตอนต่อไป เมื่อผิวดี การบำรุงต่าง ๆ ลงสู่ผิวก็จะง่ายมากขึ้น จึงทำให้คนหันมาดูแลและใส่ใจงานผิวกันมากขึ้นนั่นเอง

                                                                  SkinVive คืออะไร

                                                                  ใหม่ล่าสุดเทรนด์งานผิวของปีนี้ คือ SkinVive ผลิตภัณฑ์จากบริษัท Juvéderm ที่จัดอยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์ หรือสารเติมเต็มในกลุ่มงานผิวโดย SkinVive เป็นการฉีด ไฮยาลูรอนิกแอซิดที่ดัดแปลง ให้เป็นไมโครดรอปเล็ตกรดไฮยาลูรอนิก (Microdroplets of Hyaluronic Acid ) ความเข้มข้นสูงในการฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ เพื่อให้ไฟโบรบลาสกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่อย่างล้ำลึก เพื่อกระตุ้นให้องค์ประกอบที่จำเป็นของผิวหนังอย่างทั้ง 3 ชนิดอย่าง อควาพอริน 3, อิลาสติน,คอลลาเจน ให้สร้างตัวทำงาน และฟื้นฟูทำให้ผิวกลับมาดีแข็งแรงดังเดิม

                                                                  SkinVive ออกแบบมาเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพื่อปรับปรุงรูปลักษณ์ของผิว เป็นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกา สำหรับการฟื้นฟูผิว และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนโดยเฉพาะ SkinVive ได้รับการรับรองความน่าเชื่อถือจาก ได้รับการรับรองจาก FDA จากประเทศสหรัฐอเมริกา

                                                                  ใช้ในการรักษาริ้วรอย ร่องลึก รูขุมขน ความชุ่มชื้น และปรับสภาพผิวโดยรวม และคงผลลัพธ์ได้นานกว่า Skin Booster ทั่วไปถึง 3 เท่า

                                                                  ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการออกแบบมา ให้มีโมเลกุลที่มีขนาดเล็ก เพื่อให้เข้าทำการฟื้นฟูผิวหนังอย่างลงลึกโดยเฉพาะ ซึ่งแพทย์จะทำการฉีด SkinVive ที่ผิวชั้นบนเพื่อทดแทนปริมาตรของผิวหนังที่เกิดการสูญเสียไป รวมทั้งยังสามารถใช้ SkinVive เพื่อปรับรูปหน้าให้มีความชัดเจนมากขึ้นได้อีกด้วย

                                                                  SkinVive เป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่รับการระบุอย่างชัดเจนในการรักษาว่าสามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพผิว เพิ่มความเรียบเนียนของผิวบริเวณแก้ม และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวจากภายในให้สวยออกมาสู่ภายนอก โดยไม่ต้องเข้ารับการรักษาหลายครั้ง ภายใต้คอนเซป “ผิววิบ” และการมาฉีด SkinVive ก็คือการวิบผิวนั่นเอง

                                                                  SkinVive

                                                                  “ผิวโกลว์ใส เล่นแสงคือผิวที่ใครๆก็ใฝ่ฝัน”

                                                                  ส่วนผสมสำคัญของ SkinVive คือ

                                                                  AQUAPORIN-3

                                                                  •  ที่เป็นเหมือนประตูในการเปิดเก็บน้ำ ช่วยในการเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว, ให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นได้นานมากยิ่งขึ้น

                                                                  GLYCOSAMINO GLYCAN

                                                                  • ทำหน้าที่ในการเติมเต็ม และคงความชุ่มชื้นให้ผิวได้นานมากยิ่งขึ้น

                                                                  ผลลัพธ์ของ SkinVive

                                                                  • ช่วยลดริ้วรอยเล็ก
                                                                  • กระชับรูขุมขน
                                                                  • ฟื้นฟูผิวได้อย่างทั่วถึง จากภายใน
                                                                  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
                                                                  • ทำให้ผิวมีสุขภาพดี
                                                                  • เพิ่มคุณภาพผิวอย่างยาวนาน
                                                                  • เพิ่มความเรียบเนียนให้กับผิว
                                                                  • ทำให้ผิวดูเปล่งประกายฉ่ำวาว
                                                                  • คืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิว
                                                                  • ลดความหยาบกร้านของผิว
                                                                  • ทำให้ผิวเต่งตึง อุ้มน้ำ

                                                                  ข้อดีของ SkinVive

                                                                  • SkinVive เหมาะกับทุกสภาพผิว
                                                                  • SkinVive ได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก FDA
                                                                  • SkinVive เห็นผลลัพธ์ที่ดีตั้งแต่การทำครั้งแรก
                                                                  • SkinVive ไม่ต้องทำหลายครั้ง
                                                                  • SkinVive ใช้ระยะเวลาในการรักษาสั้น
                                                                  • SkinVive กักเก็บน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้มากถึง 3 เท่า
                                                                  • SkinVive ช่วยลดความมันบนใบหน้า

                                                                  SkinVive

                                                                  SkinVive เหมาะกับใคร

                                                                  • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ มีปัญหาผิว
                                                                  • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ มีรูขุมขนกว้าง
                                                                  • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ มีริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า
                                                                  • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ ต้องการฟื้นฟูคุณภาพผิว
                                                                  • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ ต้องการมีผิวสวยใสอย่างรวดเร็ว เร่งด่วน
                                                                  • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ มีรอยดำเล็ก ๆ บนใบหน้า
                                                                  • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ มีผิวหน้าแห้ง
                                                                  • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ แต่งหน้าไม่ติด เครื่องสำอางไม่เกาะใบหน้า
                                                                  • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ มีผิวไม่เรียบเนียน
                                                                  • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ อยากมีผิวแบบไม่ต้องบำรุง
                                                                  • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ ผิวแพ้ง่าย รวมทั้งแพ้ส่วนผสมของครีมทาผิว
                                                                  • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ ผิวหยาบกร้าน ไม่เรียบเนียน
                                                                  • SkinVive เหมาะกับผู้ที่ ผิวมีความเหี่ยวย่น

                                                                  SkinVive ไม่เหมาะกับใคร

                                                                  • SkinVive ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการแพ้ง่าย
                                                                  • SkinVive ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการแพ้ ยาชาลิโดเคน แพ้สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งผสมของ SkinVive  รวมทั้งแพ้สารไฮยาลูรอนิกมาก่อน
                                                                  • SkinVive ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์
                                                                  • SkinVive ไม่เหมาะกับสตรีที่อยู่ในระหว่างการให้นมบุตร
                                                                  • SkinVive ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความผิดปกติด้านการสร้างเม็ดสีผิว
                                                                  • SkinVive ไม่เหมาะกับผู้ที่มีการตอบสนองของร่างกายผิดปกติ
                                                                  • SkinVive ไม่เหมาะกับผู้ที่มีแผลเป็น ในบริเวณที่ต้องการทำการรักษา
                                                                  • SkinVive ไม่เหมาะกับผู้ที่ทำการเลเซอร์ผิวมาแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการพักผิว

                                                                  การดูแลตัวเองก่อนการทำ SkinVive

                                                                  • งดการรับประทานยา หรือวิตามิน ที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
                                                                  • งดรับประทานอาหารที่มีผลต่อการเกิดการอักเสบของผิว เช่น ของดอง ของแสลง
                                                                  • ดื่มน้ำให้มาก ๆ
                                                                  • พักผ่อนให้เพียงพอ

                                                                  การดูแลตัวเองหลังทำ  SkinVive

                                                                  • งดการออกกำลังกายอย่างหนักเป็นเวลา 24 ชั่วโมง
                                                                  • งดการสัมผัสกับแสงแดด หรือโดนความร้อนเช่น กลางแจ้ง ซาวน่า เป็นเวลานาน 24 ชั่วโมง
                                                                  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังการรักษา
                                                                  • งดการสัมผัส จับ ถู ใบหน้าเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง

                                                                  เนื่องการทำสิ่งเหล่านี้ อาจทำให้เกิดรอยแดง บวม และหรือคันชั่วคราวที่บริเวณที่ฉีดได้

                                                                  ข้อควรระวังของการใช้ SkinVive 

                                                                  • ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ หากมีประวัติความผิดปกติในด้านการสร้างเม็ดสีผิว เนื่องจาก SkinVive ยังไม่ได้รับการศึกษา และวิจัยในผู้ป่วยที่มีประวัติความผิดปกติของการสร้างเม็ดสีผิว อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีได้ จึงจำเป็นต้องแจ้งอาการให้แก่แพทย์ทราบโดยละเอียดก่อนทำการรักษา
                                                                  • ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ หากอยู่ในระหว่างการรับการบำบัดหรือรักษา ในเรื่องเกี่ยวกับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของร่างกาย เนื่องจากการใช้ SkinVive อาจจะส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้
                                                                  • SkinVive ยังไม่ได้รับการศึกษาในการใช้บริเวณอื่น ๆ หากนำไปใช้ผิดบริเวณอาจได้รับผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปตามต้องการ
                                                                  • หากเพิ่งผ่านการทำเลเซอร์มา ยังไม่ได้รับการพักผิวแล้วมาทำ SkinVive อาจทำให้ผิวเสี่ยงต่อการอักเสบ หรือลอกได้
                                                                  • แจ้งให้แพทย์ทราบ หากมีโรคประจำตัวและมีการใช้ยาอยู่เป็นประจำ เช่น ยาแอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยาละลายลิ่มเลือดชนิดอื่น ๆ
                                                                  • หากมีแผล หรือมีปัญหาบริเวณผิวหนัง เช่น สิว ผื่นลมพิษ ซีสต์ หรือการติดเชื้อบนผิวหนัง ควรเลื่อนการรักษาด้วย SkinVive ไปก่อน และรักษาปัญหาดังกล่าวให้หาย ก่อนที่จะใช้บริการ SkinVive
                                                                  • อาการข้างเคียงหลังทำการรักษาด้วย SkinVive คือ รอยแดง ก้อนเนื้อ ตุ่ม อาการบวม ช้ำ ปวด เจ็บ ตึง เปลี่ยนสี และคัน โดยผลข้างเคียงสามารถจะหายได้เองภายใน 7 วัน

                                                                  ทั้งนี้ในขั้นตอนการแจ้งประวัติ หรือซักประวัติ ควรแจ้งแพทย์โดยละเอียด เพื่อทำการประเมินการรักษา หรือเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความเหมาะสมกับผู้เข้ารับบริการที่สุด

                                                                  Skinvive คืออะไร

                                                                  • Skinvive เป็นผลิตภัณฑ์ประเภทฟิลเลอร์ชนิดหนึ่ง ที่ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น ยืดหยุ่น และช่วยเติมน้ำให้ผิวได้มากกว่าปกติถึง 3 เท่า

                                                                  Skinvive มีความแตกต่างจากการฉีดฟิลเลอร์อย่างไร

                                                                  • Skinvive เป็นฟิลเลอร์ชนิดที่เนื้ออ่อนนุ่ม ไม่แข็ง ไม่สามารถปรับแต่งหรือปั้นขึ้นทรงได้ ออกแบบมาเพื่อฉีดในบริเวณผิวชั้นตื้น เหมาะกับการทำงานผิวให้ดีมากยิ่งขึ้น ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ด้านการเติมเต็ม

                                                                  Skinvive ช่วยลดริ้วรอยได้หรือไม่

                                                                  • Skinvive สามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยขนาดเล็ก และตื้นได้ แต่ไม่สามารถลดเลือนริ้วรอย หรือร่องต่าง ๆ ที่มีขนาดใหญ๋ได้ แนะนำหากต้องการลดริ้วรอยด้วยควรทำ Skinvive ควบคู่ไปกับการฉีดสารเติมเต็ม หรือสารยับยั้งกล้ามเนื้อ

                                                                  Skinvive ใช้ฉีดในบริเวณใดได้บ้าง

                                                                  • สามารถใช้ Skinvive ได้กับบริเวณใบหน้าเท่านั้นตามงานวิจัย เน้นหลักที่หน้าแก้ม แก้ม หน้าผาก และใต้ตา เพื่อช่วยในการฟื้นฟูคุณภาพผิว

                                                                  ต้องมีอายุเท่าไรจึงจะทำ SkinVive  ได้

                                                                  • ผู้ที่เหมาะสมในการทำ SkinVive จะต้องมีอายุที่มากกว่า 21 ปีขึ้นไป

                                                                  การฉีด SkinVive ใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนานเท่าไร

                                                                  • การฉีด SkinVive อาจมีอาการข้างเคียง แต่ปกติแล้วจะสามารถหายได้ใน 30 วัน โดยอาการดังกล่าวที่สามารถเป็นได้ คือ อาการบวมของใบหน้ามีรอยช้ำจากเข็ม รอยแดง ก้อนเนื้อ ตุ่ม อาการบวม ช้ำ ปวด เจ็บ ตึง เปลี่ยนสี และคัน โดยผลข้างเคียงหลังทำการรักษาส่วนใหญ่จะหายได้ภายใน 7 วัน

                                                                  การฉีด SkinVive สามารถคงผลลัพธ์บนผิวได้นานเท่าไร 

                                                                  • ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า SkinVive สามารถคงผลลัพธ์บนผิวได้นานถึง 6-9 เดือนหลังฉีดครั้งแรก หรือในระหว่างนั้นหากความชุ่มชื้น หรือริ้วรอยต่าง ๆ เริ่มกลับมา หรือลดน้อยลงแล้ว ก็สามารถทำการฉีดเพิ่มได้ตามคำแนะนำของแพทย์  ทั้งนี้ผลลัพธ์ดังกล่าวขึ้นอยู่กับแต่ละสภาพผิว รวมทั้งการดูแลของผู้เข้ารับบริการ

                                                                  ฉีด Skinvive จะส่งผลให้ภาพรวมใบหน้าเปลี่ยนไปหรือไม่

                                                                  • หลังจากการฉีด Skinvive จะไม่ได้ทำให้ใบหน้าภาพรวมเปลี่ยน แต่จะทำให้ผิวหน้าภาพรวมเปลี่ยน เนื่องจากความอ่อนนุ่มของ Skinvive จะทำงานเพียงแค่ผิวชั้นหนังแท้ ไม่ได้ส่งผลให้ใบหน้าภาพรวมเปลี่ยนไปทั้งยังให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติอีกด้วย

                                                                  Skinvive มีอันตรายหรือไม่

                                                                  • ไม่อันตราย เนื่องจาก Skinvive ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ทั้งยังมีการรับรองจาก FDA ซึ่งนับเป็นหน่วยงานด้านการรับรองความปลอดภัยในระดับสากล เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ว่าสามารถทำบริเวณแก้มได้ ทั้งยังมีงานวิจัยรองรับอีกด้วย
                                                                  skinvive ผ่าน อย. ไทย หรือไม่ ?
                                                                  • Skinvive เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่อันตราย เนื่องจากผ่านการรับรองความปลอดภัยจากจากองค์การอาหารและยาหรือ อย.จากประเทศไทย คนไข้ผู้เข้ารับบริการทุกท่านจึงสามารถมั่นใจได้ว่า Skinvive เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยสูง สามารถฉีดลงสู่ผิวได้โดยไม่อันตราย อีกทั้ง Skinvive ยังเป็นสินค้าที่ ผ่านการจัดจำหน่ายอย่างถูกต้องในประเทศไทย โดยบริษัท อัลเลอแกนบริษัทผลิตภัณฑ์ทางความงามชื่อดังของประเทศไทย ผู้ใช้บริการทุกท่านสามารถตรวจสอบเลข อย. และเลขล็อตของยาได้อย่างละเอียด

                                                                  Skinvive เหมาะกับคนที่มีผิวประเภทใดบ้าง

                                                                  • Skinvive เหมาะกับผู้ที่มีผิวทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็น ผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพผิวให้ดียิ่งขึ้น

                                                                  การฉีด SkinVive ใช้เวลาในการทำการรักษานานหรือไม่

                                                                  • ระยะเวลาในการทำการรักษาแต่ละครั้ง ขึ้นอยู่กับผู้เข้ารับบริการว่าต้องการทายาชาหรือไม่ หากทายาชาจะต้องใช้เวลาในการรอยาชาให้ออกฤทธิ์ หากไม่ต้องใช้ยาชาจะใช้เวลาประมาณ 30 นาทีในการรักษา

                                                                  Skinvive เห็นผลผลลัพธ์หลังทำเมื่อไร

                                                                  • หลังจากทำ Skinvive ผู้เข้ารับบริการ จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนได้ภายใน 1-2 สัปดาห์หลังเข้ารับบริการ

                                                                  ควรทำการฉีด SkinVive ทุกกี่เดือน

                                                                  • เพื่อการรักษาอย่างต่อเนื่อง ควรทำการฉีดทุก ๆ 6 เดือน ถึงแม้จะยังมีสภาพผิวที่ยังดูดีอยู่ก็ตาม

                                                                  สามารถทำการฉีด Skinvive ร่วมกันกับหัตถการอื่น ๆ ได้หรือไม่

                                                                  สามารถทำ Skinvive ร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ แต่หากต้องการทำในครั้งเดียวกันแนะนำได้ดังนี้

                                                                  • หากต้องการทำ Skinvive กับโปรแกรมประเภทยกกระชับ 

                                                                  ควรทำโปรแกรมยกกระชับก่อน ค่อยทำ Skinvive เนื่องจากโปรแกรมยกกระชับจะทำงานโดยการส่งคลื่นลงบนชั้นผิว ทำให้ผิวมีความเจ็บ ร้อน อุ่น หากทำ Skinvive ผิวจะมีรอยเข็มและมีความบอบบางอยู่ อาจทำให้เจ็บมากขึ้น รวมทั้งเพื่อให้ตัวยาที่ฉีดเข้าไปอยู่ในตำแหน่งที่แพทย์ต้องการด้วย

                                                                  • หากต้องการทำ Skinvive กับโปรแกรมประเภทเลเซอร์ต่าง ๆ

                                                                  เช่นเดียวกัน การทำเลเซอร์เป็นการรบกวนผิว อาจทำให้ผิวมีความเจ็บได้ การทำ Skinvive จะมีรอยเข็ม ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเจ็บจากความบอบบางของผิวควรทำโปรแกรมประเภทเลเซอร์ก่อนทำ Skinvive 

                                                                  • หากต้องการทำ Skinvive กับการฉีดชนิดอื่น ๆ เช่น การฉีดโบ การฉีดฟิลเลอร์ และสารสลายไขมัน สามารถทำพร้อมกันได้ เนื่องจากตัวยาแต่ละชนิดทำงานกันคนละชั้นผิว

                                                                  ฉีดโบ : ทำงานที่ชั้นกล้ามเนื้อ โดยการไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ

                                                                  ฟิลเลอร์ : ทำงานโดยการเติมเต็มทั้งผิวหนังชั้นต่าง ๆ ตามแต่ปัญหาที่ต้องการแก้ไข

                                                                  สารสลายไขมัน : ทำงานที่ชั้นไขมัน โดยการเข้าไปลดขนาดไขมันและสลายออก

                                                                  Skinvive : ทำงานที่ชั้นผิวหนังชั้นตื้น โดยการไปฟื้นฟูผิวให้ดียิ่งขึ้น

                                                                  • Skinvive สามารถทำได้ตั้งแต่อายุเท่าไร

                                                                  Skinvive สามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป โดยตั้งใจจะให้เป็นหัตถการแรกที่วัยรุ่นควรทำ เพราะงานผิว เป็นสิ่งที่ทุกคนควรสร้าง ก่อนที่จะไปดูแลใบหน้าในส่วนอื่น ๆ

                                                                  ประโยชน์ของการ ฉีด Skinvive คืออะไร

                                                                  • SkinVive ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวมีความอิ่มน้ำและเรียบเนียน ทั้งยังทำให้ผิวมีสุขภาพที่ดี
                                                                  • SkinVive ช่วยฟื้นฟูผิวที่แห้งเสีย ให้กลับมามาชีวิตชีวาอีกครั้ง
                                                                  • SkinVive ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผิว ในระดับโครงสร้าง
                                                                  • SkinVive ช่วยลดขนาดรูขุมขน ทำให้รูขุมขนที่เป็นต้นเหตุของการอุดตันของผิว มีขนาดเล็กลง สิวขึ้นน้อยลง
                                                                  • SkinVive ช่วยทำให้ผิวแพ้ง่าย แข็งแรงมากยิ่งขึ้น
                                                                  • SkinVive ช่วยลดเลือนริ้วรอยขนาดเล็ก เพิ่มความเรียบเนียนให้กับผิว ลดริ้วรอยในระยะเริ่มต้น
                                                                  • SkinVive ช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่ง เสริมความยืดหยุ่น นุ่มเด้งให้กับผิว เหมือนคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิว
                                                                  • SkinVive ช่วยฟื้นฟูผิวเสื่อมสภาพ ให้มีสขภาพที่ดีได้อีกครั้ง
                                                                  • SkinVive ช่วยปรับให้กระบวนการฟื้นฟูผิว ทำงานเร็วขึ้น
                                                                  • SkinVive ช่วยลดความหย่อนคล้อย ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากวัยของผิว
                                                                  • SkinVive ช่วยปรับปรุงโทนสีผิว ทำให้ผิวสว่างกระจ่างใสขึ้นกว่าเดิม และดูดีขึ้น
                                                                  • SkinVive ช่วยทำให้ผิวเนียนละเอียด น่าสัมผัสมากขึ้น
                                                                  • SkinVive ช่วยลดความหมองคล้ำ จุดด่างดำอันเนื่องมาจากเม็ดสีได้
                                                                  • SkinVive ช่วยปรับให้กระบวนการฟื้นฟูผิวทำงานเร็วขึ้น

                                                                  เปรียบเทียบ skinvive กับงานผิวยี่ห้ออื่น ๆ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร

                                                                  จะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์งานผิวที่ออกมาทั้งใหม่ และเก่ามีมากมาย แต่ผิลตภัณฑ์แต่ละตัวใช้แตกต่างกันอย่างไร และใครเหมาะกับใช้อันไหนสามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้
                                                                  • Skinvive เป็นผลิตภัณฑ์สกินบูสเตอร์ ที่มุ่งเน้นในด้านการเติมความความชุ่มชื้น หรือเปรียบเสมือนการเติมน้ำให้กับผิวในบริเวณที่ฉีด ด้วยสาร Hyaluronic Acid ที่เรารู้จักกันดี แต่มาในรูปแบบ ของ Microdroplets ที่สามารถทำให้ผิวมีความอิ่มน้ำ ชุ่มชื่น ฉ่ำวาว และสามารถคงสภาพอยู่บนผิวได้นานถึง 9 เดือน เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการมีผิวที่สุขภาพดี หน้าแก้มเรียบเนียน ละเอียด
                                                                  • Sculptra เป็นผลิตภัณฑ์ประเภท Collagen Biostimulator หรือผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นทางด้านการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว เพื่อให้ผิวมีความอิ่มฟู และกระชับขึ้นจากคอลลาเจนที่เพิ่มมากขึ้น เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มคอลลาเจนให้กับใต้ชั้นผิว ลดริ้วรอย โดยให้เกิดกระบวนการฟื้นฟูคอลลาเจนตามธรรมชาติ สามารถคงสภาพผลลัพธ์ในผิวได้นาน 2 ปี
                                                                  • Rejuran เป็นผลิตภัณฑ์ประเภท PDRN หรืออสุจิปลาแซลม่อน ในการฉีดเพื่อฟื้นฟูผิว โดยการกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ จึงเป็นการฟื้นฟูจากภายใน ช่วยในการลดเลือนริ้วรอยและแก้ปัญหาอื่นๆร่วมด้วยได้อย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจาก Rejuran  มีหลายรุ่นที่ทำงานแตกต่างกันออกไป เป็นทางเลือกสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม หรือมีความต้องการจะฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากสภาพแวดล้อม แต่ต้องระวังในผู้ที่แพ้อาหารทะเล หรือปลาแซลม่อน
                                                                  • Belotero Revive เป็นผลิตภัณฑ์ประเภทฟิลเลอร์ ที่จัดได้ว่าเป็นฟิลเลอร์งานผิวตัวแรกของโลก ผลิตโดยสาร HA+Glycerol ที่ช่วยในการเพิ่มคุณภาพผิว หรืองาน Skin Quality ได้ถึง 4 มิติ คือ ให้ผิวที่เด้ง อิ่มฟู  ให้ผิวเรียบเนียน ให้ผิวมีความชุ่มชื้นฉ่ำวาว รวมทั้งให้ผิวมีกระชับ หนาแน่น
                                                                  • Gouri เป็นผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวบนใบหน้า ช่วยในการฟื้นฟูผิว เพิ่มความกระชับและยืดหยุ่นให้กับผิว เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ผิวมีความหย่อนคล้อยที่ต้องการสร้างคอลลาเจนให้กับผิว มีผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
                                                                  • Radiesse เป็นผลิตภัณฑ์ประเภท Collagen Biostimulator ไม่ใช่ฟิลเลอร์ มุ่งเน้นด้านฟื้นฟูผิวไปพร้อมกันกับการกระตุ้นคอลลาเจน ช่วยเติมเต็มผิวริ้วรอย และร่องลึกบนผิวได้ เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิว
                                                                  • ฉีดโบ เป็นผลิตภัณฑ์จำพวกการฉีดโปรตีนจากแบคทีเรีย ช่วยในการ ยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อมัดต่างๆบนใบหน้าไม่ให้ทำงาน ลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นรอยเล็กๆ  ลดขนาดกราม และลิฟต์กรอบหน้า ให้ผลลัพธ์คงสภาพที่ผิวได้นาน 4-6 เดือน

                                                                  เพื่อให้การรักษาด้วย SkinVive เป็นไปอย่างปลอดภัย และมีผลข้างเคียงอย่างน้อยที่สุด ควรปรึกษาคลินิกที่ให้บริการ ที่มีแพทย์ที่มีความรู้ ที่สามารถวิเคราะห์และประเมินผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำเป็นอย่างดี อีกทั้งผู้เข้ารับบริการควรมีความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ว่า  ทุกผลิตภัณฑ์ไม่ได้เหมาะสมกับทุกคน การเข้ามาให้แพทย์ทำการประเมินก่อน จะทำให้ได้มีความรู้ ความเข้าใจของผลิตภัณฑ์ที่มากขึ้น และอาจเจอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับตัวเรามากกว่า

                                                                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                    วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                    ไหมน้ำ ULTRACOL ต่างจากไหมน้ำชนิดอื่นอย่างไร?

                                                                    ไหมน้ำ

                                                                    รู้ก่อนสวย ! ไหมน้ำ ULTRACOL ดีกว่าไหมน้ำชนิดอื่น ๆ อย่างไร? 

                                                                    ว่าด้วยเรื่องของนวัตกรรมความงามปี 2024 ในเรื่องของเทรนด์ผิวหน้าเด็กอ่อนเยาว์ เหมือนย้อนกลับไป 14 อีกครั้ง นั่นก็คือนวัตกรรมการฉีดไหมน้ำ เป็นนวัตกรรมเติมเต็มใบหน้า เพื่อผิวสวยกระจ่างใส นอกจากการฉีดไหมน้ำเพื่อเติมเต็มผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ยังมีการร้อยไหมที่ใช้เข็มนำเส้นไหมลงไปสู้ใต้ชั้นผิวอีกด้วย 

                                                                    ซึ่งในปัจจุบันการฉีดไหมน้ำเป็นนวัตกรรมหนึ่งที่ทำให้ผิวสวยตั้งแต่ภายในส่งผลสู่ภายนอก เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับใครต้องการฟื้นฟูผิวจากภายในให้

                                                                     

                                                                    ไหมน้ำยอดนิยมในขณะนี้คือ “ไหมน้ำ ULTRACOL” หลายคนอาจสงสัยว่าการฉีดไหมน้ำ ULTRACOL ดีกว่าไหมน้ำอื่น ๆ อย่างไร? ทำไมต้องเลือกไหมน้ำ ULTRACOL? ในบทความนี้จะไขข้อข้องใจให้คุณ ให้คุณหายข้อใจเกี่ยวกับ “ไหมน้ำ ULTRACOL”

                                                                    ไหมน้ำ

                                                                    ไหมน้ำคืออะไร?

                                                                    นวัตกรรมที่ช่วยในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนให้ผิวเพื่อเติมเต็มคุณภาพผิว ช่วยยกกระชับผิวหน้า โดยผลลัพธ์ที่ได้ของการฉีดไหมน้ำจะมีความคล้ายคลึงกับการร้อยไหม แต่เป็นในรูปแบบของการฉีดเข้าสู่ผิวแทนการร้อยไหม

                                                                    ความแตกต่างของร้อยไหม และ ฉีดไหมน้ำ

                                                                    การร้อยไหม (Thread)

                                                                    Thread คือ เส้นไหมที่มีความปลอดภัย โดยเป็นการนำเส้นไหมเข้าไปใต้ผิวหนังชั้น SMAS กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งไหมมีหลายประเภท โดยเทคโนโลยีล่าสุดได้พัฒนานำสารเคลือบไหม เช่น PCL, PDO, PLLA ที่สามารถฉีดลงสู้ชั้นผิวได้

                                                                     

                                                                    การฉีดไหมน้ำ (Biostimulator)

                                                                    Biostimulator มีสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้เกิดขึ้นที่บริเวณใต้ชั้นผิว คือสาร PCL, PDO, PLLA คอลลาเจนใต้ผิวจะช่วยกระตุ้นทำให้ผลลัพธ์ของใบหน้ามีความตึงกระชับ เปรียบเสมือนการลิฟต์กรอบหน้าได้ด้วย

                                                                    Biostimulator เป็นการฉีดลงไปสู่ชั้นใต้ผิวหนังชั้นตื้น ที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน โดยเรียกว่า ไหมน้ำ ซึ่งไหมน้ำคือสาร PDO, PCL, PLLA ส่งผลลัพธ์ช่วยให้ลดเลือนริ้วรอย ยกกระชับผิวหน้า แบบไม่ตกค้าง สามารถสลายเองได้ตามธรรมชาติ

                                                                     

                                                                    ไหมน้ำมีชนิด ชนิดใดบ้างไหนบ้าง?

                                                                    ไหมน้ำ ชนิด PDO (Polydioxanone)

                                                                    PDO คือไหมละลาย หรือที่เรียกว่า Absorbable ที่นำมาใช้ในวงการแพทย์เพื่อเย็บแผลผ่าตัดและใช้ในการสมานแผลในอวัยวะภายใน เป็นสารที่มีความยืดหยุ่นสูง ได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก USFDA ซึ่งสามารถย่อยสลายได้เอง ไหมน้ำสาร PDO เป็นไหมชนิดแรกที่นำมาใช้ในวงการแพทย์และความงาม ซึ่งพัฒนาให้เป็นโมเลกุลทรงกลมขนาดเล็ก เพื่อฉีดกระตุ้นคอลลาเจนทั่วใบหน้าได้

                                                                    ไหมน้ำ ชนิด PCL (Polycarpolactone)

                                                                    PCL คือนวัตกรรมไหมละลาย ที่พัฒนาโดยการใช้เทคโนโลยี CESABP เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของบริษัทผู้ผลิต ที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ เป็นสารที่ช่วยฟื้นฟูผิว กระตุ้นคอลลาเจน ช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ลง 

                                                                    ไหมน้ำ ชนิด PLLA (Poly-L-Lactic acid)

                                                                    สารอุ้มน้ำที่ปลอดภัยและใช้ในวงการแพทย์มานาน ประกอบไปด้วย โมเลกุลเล็กที่ถูกสังเคราะห์ให้เข้ากับร่างกายของมนุษย์ได้อย่างดี จึงมีความปลอดภัยและย่อยสลายตามธรรมชาติ ไหมน้ำสาร PLLA เป็นไหมน้ำตัวแรกที่ได้รับการรับรองจาก FDA ในประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ฟื้นฟูโครงสร้างของผิวหน้า เพิ่มเติมเต็มผิวหน้าให้อิ่มฟูอ่อนเยาว์

                                                                    ไหมน้ำ ชนิด PDLLA (Poly D-L-Lactic Acid)

                                                                    PDLLA จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen biostimulator เป็นไหมน้ำแบบใหม่ที่พัฒนามาจากประเทศเกาหลีใต้ มีอนุภาคขนาดเล็กที่ให้ผลลัพธ์ ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งมีความแตกต่างกับไหมน้ำ PLLA ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่กว่า

                                                                    ไหมน้ำ ULTRACOL คืออะไร?

                                                                    ไหมน้ำ ULTRACOL เป็นสาร PDO (Polydioxanone) ที่นำมาใช้ในวงการแพทย์เพื่อการเย็บแผล เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในวงการแพทย์มาอย่างยาวนาน เป็นไหมน้ำที่ผ่านการรับรองจาก USFDA จึงมีความปลอดภัยสูง ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ การทำโปรแกรม ULTRACOL สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type1 และ Type3 ได้นานถึง 6-8 เดือน ซึ่งผลลัพธ์หลังทำโปรแกรม ULTRACOL จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นในชั้นผิวได้ 34.36% ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย 13.33% และเพิ่มความกระจ่างใส 9.15% 

                                                                    ไหมน้ำ ULTRACOL ช่วยอะไรบ้าง?

                                                                    การทำไหมน้ำ ULTRACOL ช่วยเติมเต็มร่องลึกต่าง ๆ บนผิวหน้าและลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้าให้ตื้นขึ้น เติมเต็มผิวหน้าให้ละมุนอย่างเป็นธรรมชาติ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type1 และ Type3 คืนความอ่อนเยาว์ ย้อนอายุผิวให้กลับมาเด็กอีกครั้ง อีกทั้งยังช่วยในการยกกระชับ ผิวหน้าที่หย่อนคล้อยให้กลับมาผิวเฟิร์มเต่งตึง ช่วยเพิ่มคุณภาพผิวให้ยืดหยุ่นแข็งแรงขึ้น และยังช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใสอีกด้วย

                                                                    ไหมน้ำ

                                                                    รวมข้อดีของ ไหมน้ำ ULTRACOL

                                                                    • ไหมน้ำ ULTRACOL ช่วยกระตุ้น การสร้างคอลลาเจน ของชั้นใต้ผิวหนังได้อย่างยาวนาน
                                                                    • ไหมน้ำ ULTRACOL แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยไม่กระชับ ยกผิวตึงกระชับเทียบเท่าการร้อยไหม
                                                                    • ไหมน้ำ ULTRACOL เติมเต็มร่องลึก และริ้วรอยเล็ก ๆ เพื่อผิวอ่อนเยาว์
                                                                    • ไหมน้ำ ULTRACOL มีความปลอดภัยสูง ไม่มีการตกค้างในร่างกาย สลายได้เองตามธรรมชาติ
                                                                    • ไหมน้ำ ULTRACOL ไม่ต้องพักฟื้นนาน ไม่ต้องผ่าตัด สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังทำทันที
                                                                    • ไหมน้ำ ULTRACOL คงผลลัพธ์ยาวนาน ไม่ต้องทำซ้ำบ่อย

                                                                    ULTRACOL

                                                                    จุดเด่นของ ไหมน้ำ UTRACOL

                                                                    • ULTRACOL กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนระดับ Nano Technology เจ็บน้อยกว่าการร้อยไหมทั่วไป
                                                                    • ULTRACOL เปรียบเสมือนการร้อยไหมและฉีดฟิลเลอร์ในคราวเดียวกัน
                                                                    • ULTRACOL สามารถ Regeneration ด้วยสารกรดอะมิโนแอซิด ช่วยซ่อมแซมผิวที่สึกหรอโดยไม่เป็นอันตรายต่อผิว
                                                                    • ULTRACOL ไหมน้ำ 1 ขวด เทียบเท่าร้อยไหม 1,427 เส้น การันตีคุณภาพงานผิวระดับพรีเมี่ยม

                                                                    เปรียบเทียบ ไหมน้ำ ULTRACOL กับ ไหมน้ำ อื่น ๆ

                                                                    • ไหมน้ำ NANO LIFT

                                                                    NANO LIFT เป็นนวัตกรรมไหมน้ำสาร PCL (Polycarpolactone) มีความพิเศษตรงที่ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลลัพธ์ให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นกว่าเดิม

                                                                    • ไหมน้ำ GOURI

                                                                    GOURI เป็นไหมน้ำสาร PCL (Polycarpolactone) โมเลกุลสูง ช่วยในการกระตุ้น และฟื้นฟูคอลลาเจนใต้ผิว โดยสามารถเห็นผลลัพธ์ภายใน 1-2 สัปดาห์ หลังจากนั้นริ้วรอยบนผิวหน้าลดลงและเพิ่มความกระชับให้กับผิวหน้า

                                                                    • ไหมน้ำ SCULPTRA

                                                                    SCULPTRA จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen Stimulator ที่มีสาร PLLA (Poly D-L-Lactic Acid) ที่จะแก้ปัญหาผิวเหี่ยวย่น ที่มีร่องลึกและริ้วรอยเล็ก ๆ แห่งวัย โดย SCULPTRA จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพิ่มผิวเฟิร์มแน่นกระชับ ปรับโครงสร้างผิวให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

                                                                     

                                                                    เปรียบเทียบไหมน้ำ ULTRACOL กับ ไหมน้ำ NANO LIFT 

                                                                    ไหมน้ำ ULTRACOL เป็นนวัตกรรมใหม่มาจากประเทศเกาหลี ที่พัฒนามาจากไหมสาร PDO (Polydioxanone) ที่มีความยืดหยุ่นสูง ได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก USFDA 

                                                                    ส่วนไหมน้ำ NANO LIFT ถูกนำมาพัฒนาจากไหมสาร PCL (Polycarpolactone) โดยการใช้เทคโนโลยี CESABP เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของบริษัทผู้ผลิต

                                                                     

                                                                    เปรียบเทียบไหมน้ำ ULTRACOL กับไหมน้ำ GOURI

                                                                    ไหมน้ำ ULTRACOL สังเคราะห์มาจาก PDO (Polydioxanone) แต่ไหมน้ำ GOURI ใช้สารสังเคราะห์จาก PCL (Polycarpolactone) โดยไหมน้ำ UTRACOL จะสร้างคอลลาเจนใหม่ เพิ่มความเต่งตึงให้แก่ผิวหน้า และช่วยแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อย รวมไปถึงเติมเต็มร่องลึกให้ตื้นขึ้น ซึ่งมีความปลอดภัย ไม่เป็นอันตราย 

                                                                    ส่วนไหมน้ำ GOURI เป็นหนึ่งในวัสดุการทำไหมละลาย ที่ใช้ในกลุ่มร้อยไหมดึงหน้าที่มาในรูปแบบของเหลว (Liquid PCL) โดยสามารถนำมาฉีดเข้าผิวแบบไม่ต้องมีการละลายน้ำ ทำให้สะดวกต่อการนำมาใช้งาน ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน 

                                                                    เปรียบเทียบไหมน้ำ ULTRACOL กับไหมน้ำ SCULPTRA

                                                                    ไหมน้ำ ULTRACOL ผ่านกระบวนการ Nano Technology โดยทำให้เป็นผงละอองไข่มุก และละลายออกมาในรูปของน้ำ สามารถฉีดได้ทุกบริเวณทั่วใบหน้า ซึ่งผลลัพธ์เปรียบเสมือนการร้อยไหมและฉีดฟิลเลอร์ไปในคราวเดียวกัน

                                                                    ส่วนไหมน้ำ SCULPTRA พัฒนาสังเคราะห์มาจากสาร PLLA (Poly-L-Lactic acid) เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวที่จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen Biostmulator ซึ่งในการทำงานของ SCULPTRA จะทำการเติมเต็มระหว่างช่องว่าง ให้ผิวกลับมาเติมเต็มอิ่มฟูแน่นเฟิร์ม ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นสูง เริ่มเห็นผลลัพธ์หลังฉีดใน 2-3 อาทิตย์ และผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานกว่า 2 ปี

                                                                     

                                                                    เปรียบเทียบไหมน้ำ ULTRACOL กับ หัตถการอื่น ๆ 

                                                                    เปรียบเทียบ ULTRACOL กับ REJURAN (รีจูรัน)

                                                                    ULTRACOL อยู่ในกลุ่มของ Skin Booster โดยเน้นไปทาง Collagen Simulator โดยเน้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ใต้ชั้นผิวอย่างเป็นธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างยาวนาน ซึ่งให้ผลลัพธ์คงความอ่อนเยาว์จากภายในสู่ภานนอก

                                                                    REJURAN (รีจูรัน) เป็นกลุ่ม Skin Booster เช่นเดียวกัน โดยสกัดมาจาก Polyneucleotide (พอลินิวคลิโอไทด์) ที่ได้มาจาก DNA ของปลาแซลมอน เน้นผิวฉ่ำวาวอิ่มฟู แลดูผิวสุขภาพดีแข็งแรง เหมาะกับผู้ที่อยากมีผิวกระจก (glass skin) 

                                                                     

                                                                    เปรียบเทียบ ULTRACOL กับ ฟิลเลอร์ (Filler)

                                                                    ULTRACOL เป็นเทคโนโลยีรูปแบบของเหลวที่ช่วยเพื่อการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับคุณภาพผิวให้ยืดหยุ่นและกระชับขึ้น โดย ULTRACOL จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน แตกต่างกับการฉีดฟิลเลอร์ที่ฉีด Hyarulonic Acid เข้าผิวโดยตรงเพื่อให้ผิวนั้นชุ่มชื้นขึ้นแบบทันที

                                                                    การฉีดฟิลเลอร์ เป็นการนำสารเติมเต็ม Hyarulonic Acid เข้าผิวโดยตรงเพื่อให้ผิวสุขภาพดี เต่งตึงกระชับและมีความชุ่มชื้น อีกทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ ได้ โดยสามารถนำมาฟิลเลอร์ใช้ในการปรับรูปหน้าได้อีกด้วย

                                                                     

                                                                    เปรียบเทียบ ULTRACOL กับ การฉีดโบ 

                                                                    ULTRACOL จะช่วยในเรื่องของการเติมเต็มริ้วรอยร่องเล็กต่าง ๆ ด้วยการกระตุ้นคอลลาเจนขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ 

                                                                    ส่วนการฉีดโบ คือการฉีดสารโดยยาจะออกฤทธิ์กับปลายประสาท ทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถสื่อประสาทมาที่กล้ามเนื้อได้ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดผ่อนคลายลง จนริ้วรอยต่าง ๆ ลดลงและไม่เกิดริ้วรอยใหม่ ๆ ในอนาคต

                                                                     

                                                                    เปรียบเทียบ ULTRACOL กับเครื่องยกกระชับ (Lifting)

                                                                    ULTRACOL ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมือนกันกับโปรแกรมยกกระชับต่าง ๆ ซึ่งจะเห็นผลลัพธ์หลังฉีด ULTRACOL ตั้งแต่สัปดาห์แรก โดยแพทย์สามารถทำทั้ง 2 หัตถการนี้ร่วมกันได้เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

                                                                    เครื่องยกกระชับผิว เช่น ULTRAFORMER III, ULTHERA SPT, THERMAGE FLX เป็นการช่วยยกกระชับลดริ้วรอย และกระตุ้นคอลลาเจนด้วยพลังงานของคลื่นเสียง เหมาะกับผู้ที่กลัวเข็ม ไม่ต้องการผ่าตัด โดยเห็นชัดเจนตั้งแต่ 3 เดือนเป็นต้นไป

                                                                     

                                                                    เปรียบเทียบ ULTRACOL กับการร้อยไหม (Thread Lifting)

                                                                    ULTRACOL เป็นการฉีดนำสาร PDO (Polydioxanone) ในรูปแบบของเหลวเข้าสู่ชั้นผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของร่างกาย ช่วยปรับสภาพของคุณภาพผิวให้ดีขึ้น สู่ผิวอิ่มฟูแน่นกระชับ เน้นการปรับ skin quality ของผิวอย่างต่อเนื่อง

                                                                    ร้อยไหม (Thread Lifting) เป็นการใช้ไหมละลายที่ทำมาจากวัสดุต่าง ๆ ร้อยเข้าสู่ชั้นผิวหนังเพื่อการยกกระชับแก้ปัญหาหย่อนคล้อย ปรับรูปหน้าเรียว เห็นผลลัพธ์ชัดเจนทันทีหลังทำ คนส่วนใหญ่นิยมร้อยไหมดึงหน้าและปรับหน้าเรียวกระชับ

                                                                     

                                                                    รวมคำถามพบบ่อยของ ULTRACOL

                                                                    ไหมน้ำ ULTRACOL ควรทำกี่ครั้ง?

                                                                    ULTRACOL เป็นโปรแกรมที่ควรทำอย่างน้อย 3 ครั้ง ในทุก 4-6 เดือน โดยหลังจากนั้นอยู่ที่การพิจารณาจากแพทย์

                                                                    ไหมน้ำ ULTRACOL  อยู่ได้นานไหม?

                                                                    ULTRACOL กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type1 และ Type3 ได้นานถึง 6-8 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลรักษาในแต่ละบุคคล

                                                                    ไหมน้ำ ULTRACOLใช้ระยะเวลานานแค่ไหนกว่าจะเห็นผลลัพธ์?

                                                                    ผลลัพธ์หลังทำ ULTRACOL จะเห็นผลได้ภายในตั้งแต่ 2-4 สัปดาห์ ซึ่งการทำ ULTRACOL ต้องใช้ระยะเวลาในการให้ร่างกายของคนเรากระตุ้นคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้หลังทำ ULTRACOL ผิวหน้าจะดูอ่อนเยาว์ขึ้น ริ้วรอยต่าง ๆ ดูจางลง และยกกระชับเติมเต็มใบหน้าให้ผิวอิ่มฟูขึ้นอีกด้วย

                                                                    ไหมน้ำ ULTRACOL ตอบโจทย์ที่สุดต้องรมย์รวินท์คลินิกเท่านั้น

                                                                    รมย์รวินท์คลินิก เป็นคลินิกที่มากด้วยประสบการณ์ ใช้ยาของแท้ มีคุณภาพปลอดภัย สามารถตรวจสอบได้ และมีทีมแพทย์ผู้ชำนาญการคอยดูแลและให้คำแนะนำปรึกษาแบบ 1:1 ทุกเคส โดยทีมแพทย์มากประสบการณ์ ในด้านการดูแลคนไข้มานานกว่า 21 ปี การันตีด้วยเคสจริง รีวิวจริง และรมย์รวินท์ได้รับความไว้วางใจจากเหล่านักแสดง นางแบบ เซเลป และคนดังมีชื่อเสียงอีกมากมาย 

                                                                     

                                                                    สำหรับใครที่กำลังมีปัญหาผิวหน้า สามารถเข้ามาประเมินปัญหาของผิวหน้า เบื้องต้นกับทางแพทย์ประจำรมย์รวินท์คลินิกทุกสาขาใกล้บ้านคุณได้เลยค่ะ เพราะที่รมย์รวินท์คลินิก นอกจากหัตถการไหมน้ำ ULTRACOL เรายังมีหัตถการโปรแกรมด้านอื่น ๆ ให้บริการโดยแพทย์ผู้ชำนาญการที่มากประสบการณ์ เพื่อตอบโจทย์ทุกปัญหาผิวและทุกไลฟ์สไตล์ของคุณค่ะ

                                                                    Rejuran รีจูรัน คืออะไร รุ่นไหนทำงานอย่างไร เหมาะกับใคร

                                                                    Rejuran

                                                                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                      วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                                                      ผิวสวยฉ่ำวาวแบบสาวเกาหลีด้วย Rejuran

                                                                      ใครๆก็อยากผิวหน้าดี ผิวหน้าสวย ดิวอี้ มีคุณภาพผิวที่ดี เหมือนสาวเกาหลีกันทั้งนั้น แต่มันจะเป็นไปได้จริงหรือไม่ ในขณะที่อยู่ในประเทศที่เต็มไปด้วยมลภาวะ ทั้งยังมีแดดที่ร้อนมาก ไม่ว่าจะอยู่ในฤดูอะไรก็ตาม จึงทำให้หลายๆคนมองหาตัวช่วยในการฟื้นฟูผิวในหลาย ๆ รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การทาครีมบำรุง การทำทรีตเมนต์ รวมไปจนถึงการฉีดตัวยาต่าง ๆเพื่อฟื้นฟูใบหน้า โดยสิ่งเหล่านี้ หากทำโดยศึกษาหาข้อมูลแล้วก็มักจะได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่หากไม่ได้ศึกษาหาข้อมูลให้ดี ก็อาจนำมาถึงซึ่งผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเป็น การทาครีม ที่ส่งผลในด้านของการอุดตัน ตามมาเป็นต้น 

                                                                      ประเทศเกาหลี เมืองที่ใคร ๆ ก็ชื่นชมว่าคนบ้านเขามีสุขภาพผิวที่ดี เนื้อผิวที่ละเอียด เงางามเหมือนพักผ่อนอย่างพอเพียง จนกลายเป็นผิวที่คนทั่วโลกต่างถวิลหาและต้องการ จึงทำให้แพทย์เกาหลีได้วิจัยและคิดค้นขึ้นมาหนึ่งชนิด เพื่อให้ตอบโจทย์คนทั่วโลกที่ต้องการมีผิวแบบคนเกาหลี ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน มีสภาพอากาศอย่างไรก็สามารถมีผิวหน้าที่เงาใส ฉ่ำ สวยแบบกระจกกันได้ทั้งนั้น โดยโปรแกรมที่ว่านี้มีชื่อว่า Rejuran

                                                                      Rejuran

                                                                      Rejuran คืออะไร ?

                                                                      Rejuran หรือ รีจูรัน เป็นโปรแกรมที่จัดอยู่ในกลุ่ม Skin Booster คือโปรแกรมฟื้นฟูและปรับคุณภาพของผิวที่มีความพิเศษ คือ การสามารถฟื้นฟูโครงสร้างของผิวได้ตั้งแต่ภายใน เพื่อให้ผลลัพธ์ส่งออกมาถึงภายนอกนั่นเอง โดย Rejuran นั้นเป็น Skin rejuvenation booster ที่ใช้ส่วนประกอบจาก polynucleotide (โพลีนิวคลีโอไทด์) ที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า PN  ที่มีความบริสุทธิ์สูง

                                                                      Rejuran มีส่วนประกอบหลักจาก Polynucleotide (โพลีนิวคลีโอไทด์ ) หรือ PN อธิบายได้อย่างง่ายว่า PN นั้น คือ เซลล์สืบพันธุ์ของปลาแซลมอน (หรืออสุจิของปลาแซลมอน) ที่อยู่ในทะเลตามธรรมชาติ ไม่ใช่ปลาแซลมอนที่ถูกเลี้ยงอย่างจำกัด โดยนำมาสกัดเอา DNA ออกมาโดยเฉพาะ และเหตุผลที่แพทย์เกาหลีเลือกใช้เซลล์สืบพันธุ์ของปลาแซลมอนในการฟื้นฟูผิวของคนเรานั้น เป็นเพราะว่าปลาแซลมอนนั้นมี DNA ที่คล้ายคลึงกันกับมนุษย์เราถึง 98 %  เลยทีเดียว จึงทำให้ Rejuran นั้นสามารถทำงานได้อย่างเข้ากันได้ดีกับร่างกายของมนุษย์ เมื่อได้ฉีดเข้าสู่ผิวเพื่อฟื้นฟูโดยตรง และ DNA ที่สกัดออกมาได้นั้นมีความบริสุทธิ์ และเข้มข้นถึง 2% เมื่อทำการนำมากำจัดแอนติเจนหรือโปรตีนที่อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อภูมิคุ้มกัน ออกแล้ว 

                                                                      Rejuran ผลิตที่ประเทศเกาหลีใต้ และยังได้มีการจดทะเบียนนำเข้าประเทศไทยอย่างถูกต้องทุกขั้นตอน โดยบริษัท รีเอจไลน์ จำกัด และมีการจำหน่ายอย่างถูกต้องโดยบริษัท เอสดับบลิว เฮลธ์แคร์ จำกัด

                                                                      ความปลอดภัยและการันตีของ Rejuran

                                                                      Rejuran เป็นเทคโนโลยีเฉพาะที่ผ่านการจดสิทธิบัตร DOT หรือ (Dottechnology) จึงทำให้ Rejuran เป็นโปรแกรมฟื้นฟูผิวถึงชั้น DNA ที่ได้รับความนิยม และเชื่อมั่นเป็นวงกว้างไปทั่วโลก ว่า Rejuran มีความปลอดภัยในการใช้เพื่อฟื้นฟูผิว ต่อผิวหนังและใบหน้าเป็นอย่างมาก

                                                                      Polynucleotide (pn)ใน Rejuran คืออะไร

                                                                      เป็นสารชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติในการเชื่อมต่อหลอดเลือดที่มีขนาดเล็ก ที่ประกอบรวมกันอยู่ในเซลล์ (microvessel) จึงทำให้เกิดการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ได้รับความเสียหาย และเสื่อมสภาพให้ฟื้นคืนกลับมาดีขึ้น และ Polynucleotide (pn)ใน Rejuran ยังเป็นสิ่งที่ช่วยในการกระตุ้นการหลั่ง Growth Factor กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอิลาสติน รวมทั้ง fibroblast (ไฟโบบลาส) ที่อยู่ใต้ชั้นผิว ต้านการอักเสบของผิว จึงทำให้ผิวได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ และส่งผลให้ผิวมีความแข็งแรง ชุ่มชื้น ฉ่ำวาว และกระจ่างใส

                                                                      Rejuran

                                                                      Polyneucleotide (pn) ใน Rejuran ดีอย่างไร 

                                                                      Polyneucleotide (pn) ใน Rejuran นั้นเป็นสารที่มีความบริสุทธิ์สูง และมีความเข้มข้น ช่วยในการกำจัดแอนติเจน หรือโปรตีนที่อาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อภูมิคุ้มกัน จึงทำให้มีความปลอดภัยสูงในการนำมาฉีดลงสู่ผิวหนัง ถึงขนาดที่มีงานวิจัยออกมาว่า มีการใช้ Polyneucleotide (pn) ในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ทำให้แผลของกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานได้มีการฟื้นฟู และเร่งในการซ่อมแซมได้ด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับเม็ดสีผิว Polyneucleotide (pn) ยังช่วยในการฟื้นฟูเม็ดสีผิวได้ และในผู้ป่วยที่เป็นแผลเป็นที่ผิวก็ยังช่วยลดการอักเสบได้อีกด้วย

                                                                      Rejuran มีกี่รุ่นแต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันอย่างไร

                                                                      Rejuran001

                                                                        •  Rejuran Classic กล่องดำ

                                                                      เป็น Rejuran รุ่นที่มีความเหมาะสำหรับผู้ที่มีต้องการที่จะฟื้นฟูผิวจากภายใน โดยการฟื้นฟูในระดับโครงสร้าง ทำให้ผิวหลังจากที่ทำมีความชุ่มชื้นมากขึ้น ดูฉ่ำ วาว เงา สวย มากขึ้น ทั้งยังช่วยในการกระชับรูขุมขน ปรับใบหน้าให้เรียบเนียนดูผิวสุขภาพดี

                                                                      เป็น Rejuran รุ่นที่มีความหนืดน้อยที่สุด แต่กลับเป็นรุ่นที่สามารถอุ้มน้ำได้เร็วที่สุด เหมาะกับการใช้ฉีดที่บริเวณรอบดวงตา หรือแก้ริ้วรอยที่รอบดวงตา และรอบปาก

                                                                        •  Rejuran S 

                                                                      เป็น Rejuran รุ่นที่มีเนื้อที่มีความเหนียวข้น และมีความหนืด จึงเหมาะที่จะนำมาใช้เพื่อเติมเต็ม มีความเหมาะสมในการแก้ปัญหาหลุมสิว สามารถฟื้นฟูผิวที่เป็นรอยแผลเป็น ช่วยเติมเต็มในบริเวณที่มีหลุมสิว

                                                                        •  Rejuran HB

                                                                      เป็น Rejuran รุ่นที่มีความเบาบางมากที่สุด โดยมีส่วนประกอบที่โดดเด่น 3 ตัว คือ

                                                                      สูตรบางเบาตัวล่าสุดช่วยในการฟื้นฟูผิวเป็นสองเท่าจากเดิม ปรับผิวแห้ง หยาบกร้านให้ดีมากยิ่งขึ้น และยังช่วยลดรอยสิว และริ้วรอยแบบตื้น ๆ ได้เป็นอย่างดี

                                                                      การฉีด Rejuran ช่วยฟื้นฟูผิวในด้านใดบ้าง

                                                                      สามารถจำแนกประโยชน์ของ Rejuran ได้ 3 ด้านใหญ่ ๆ ดังนี้

                                                                        • ประโยชน์ของ Rejuran ช่วยในการฟื้นฟูผิว

                                                                      โดยจะเข้าไปทำการกระตุ้นผิวจากภายใน และช่วยฟื้นฟู แก้ปัญหาผิวที่เกิดการเสื่อมจากวัยที่เพิ่มมากขึ้นได้ ส่งผลในการช่วยลดริ้วรอยต่าง ๆ ทำให้ลำคอมีความเพรียวกระชับมากขึ้น ช่วยทำให้แผลเป็นดูจางขึ้น ลดขนาดรูขุมขนให้เล็กลง ช่วยลดรอยแดงและรอยดำต่าง ๆ

                                                                        • ประโยชน์ของ  Rejuran ช่วยในการเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว

                                                                      โดยจะเข้าไปช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ในบริเวณใต้ชั้นผิว ส่งผลให้ชั้นผิวหนังแท้มีชั้นที่หนาแน่นมากขึ้น ทั้งยังช่วยซ่อมแซมผิวที่เสีย และเสื่อมสภาพจากภายใน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น รวมทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอยขนาดเล็กที่อยู่บนผิว

                                                                        • ประโยชน์ของ  Rejuran ช่วยในการปรับสีผิว

                                                                      โดยการช่วยทำให้ผิวดูดีมากขึ้น ช่วยลดรอยแดงรอยดำที่อยู่บนผิวให้ดูจางลง ปรับผิวให้มีความกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น ให้คุณภาพผิวที่ดีขึ้นทำให้ผิวดูวาว เงา เรียบเนียน และผ่องใสมากยิ่งขึ้น

                                                                        • ประโยชน์ของ  Rejuran ช่วยในการเติมเต็ม

                                                                      การเติมเต็มของ Rejuran จะเป็นการเติมเต็มในหลุม รอยสิวให้ได้รับการเติมเต็มที่มากขึ้น โดยการใช้ร่วมกับเทคนิคเฉพาะตัวของแพทย์ ในการเซาะผังผืดที่บริเวณใต้ผิวให้หลุดออกจึงส่งผลให้ผิวในบริเวณที่แพทย์ใช้ร่วมกันดูเติมเต็มได้มากขึ้น ทั้งยังช่วยในการเติมเต็มรอยแผลเป็นที่ไม่มีความลึกจนเกินไปได้อีกด้วย

                                                                       Rejuran เหมาะกับใคร

                                                                      •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีผิวสุขภาพดี
                                                                      •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีหน้าสวยฉ่ำวาว แบบสาวเกาหลี
                                                                      •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีผิวที่เรียบเนียนสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ
                                                                      •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่มีอายุเข้าวัย 20 ช่วงปลาย ๆ ที่เริ่มประสบปัญหาผิว
                                                                      •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการให้ผิว สวยใส ไร้ริ้วรอย
                                                                      •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดโอกาสการเกิดสิว
                                                                      •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับสมดุลผิว ให้ผิวมีความสมดุลมากขึ้น
                                                                      •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระชับรูขุมขน มีใบหน้าเรียบเนียน
                                                                      •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่มีผิวหมองคล้ำจากแสงแดด
                                                                      •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับสีผิวให้กระจ่างใสอย่างสม่ำเสมอ
                                                                      •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอย จุดด่างดำ ฝ้า กระ รอยสิว
                                                                      •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการให้ผิวมีความเต่งตึงแลดูอ่อนกว่าวัย
                                                                      •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่มีผิวบอบบางและผิวแพ้ง่าย
                                                                      •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการคืนความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้า และผิวในระดับ DNA
                                                                      •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่มีผิวเสื่อมโทรมหรือผิวที่เป็นแผล
                                                                      •  Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความหนาแน่นให้กับชั้นผิว

                                                                       Rejuran ไม่เหมาะในการฉีดกับใคร

                                                                      •  Rejuran ไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้อาหารทะเล เนื่องจาก Rejuran เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากสารสกัดจากปลาแซลมอน
                                                                      •  Rejuran ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรค SLE ภูมิแพ้ตัวเอง โรคเม็ดเลือด โรคหัวใจ โรคผิวหนังอักเสบ เป็นต้น
                                                                      •  Rejuran ไม่เหมาะกับผู้ที่มีการตอบสนองที่รวดเร็วต่อผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนผสมจากสารโซเดียมโพลีนิวคลีโอไทด์
                                                                      •  Rejuran ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์
                                                                      •  Rejuran ไม่เหมาะกับสตรีที่อยู่ในระหว่างการให้นมบุตร

                                                                      ต้องมีอายุเท่าไรถึงจะทำ Rejuran ได้

                                                                      ผู้ที่ต้องการทำ Rejuran จะต้องมีช่วงอายุที่บรรลุนิติภาวะแล้ว คือ อายุ 18 ปีขึ้นไป แต่หากเป็นผู้ที่ประเริ่มประสบปัญหาผิว คือ กลุ่มผู้ที่มีอายุเข้า 20 ปีขึ้นไป และในวัยช่วง 30 ปีขึ้นไป จะเป็นวัยที่ผิวจะเริ่มร่วงลง ผิวเริ่มเกิดความหย่อนคล้อย หมองคล้ำอันเนื่องมาจากวัย สามารถทำ Rejuran และเห็นผลลัพธ์ดีเช่นกัน โดยผลลัพธ์ที่ได้แต่ละช่วงวัยก็จะส่งผลที่แตกต่างกัน โดยหลักแล้วที่เหมือนกัน คือ การให้คุณภาพผิวที่ดีมากยิ่งขึ้น และช่วยปรับให้ผิวหน้าภาพรวมดูสวย ฉ่ำน้ำแบบสาวเกาหลีนั่นเอง

                                                                      Rejuran ใช้วิธีการฉีดในรูปแบบใด 

                                                                      Rejuran เป็นที่การทำหัตถการคล้ายกับการทำหน้าใส โดยแพทย์จะใช้การฉีด Rejuran เป็นตุ่ม เล็ก ๆ ทั่วทั้งใบหน้า ในบริเวณชั้นผิวหนังแท้ ด้วยความชำนาญและแม่นยำ หากผู้ใดมีปัญหาผิวร่วมด้วย แพทย์จะเน้นในบริเวณที่มีปัญหาร่วมด้วย เช่น บริเวณที่ต้องการเติมเต็มหลุมสิว รูขุมขนกว้าง หรือมีรอยแผลเป็น เป็นต้น

                                                                      Rejuran ทำในบริเวณใดได้บ้าง

                                                                      นอกจากใบหน้าแล้ว Rejuran ยังสามารถทำในส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ด้วย เนื่องจาก Rejuran เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อบำรุงและฟื้นฟูผิวให้มีสุขภาพที่ดี จึงสามารถทำการฉีดได้ในบริเวณที่หลากหลาย ดังนี้

                                                                      • ใบหน้าทั่วทั้งใบหน้า สามารถฉีดเพื่อฟื้นฟูผิวได้ทั่วทั้งใบหน้า โดยไม่มีบริเวณที่ยกเว้นนอกจากบริเวณเปลือกตาเท่านั้น
                                                                      • ลำคอ สามารถใช้ในการฉีดเพื่อลดริ้วรอย เพิ่มความสง่างามให้กับลำคอ ทำให้ดูสวยอ่อนกว่าวัย และรับกับใบหน้า โดยบริเวณลำคอเป็นบริเวณที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในหมู่ผู้ที่มีอายุเข้า 40
                                                                      • มือ นิยมฉีดกันในบริเวณหลังมือ เพื่อเสริมความอวบอิ่มให้กับหลังมือ ลดรอยเส้นเลือด ทำให้มือดูไม่แห้งกร้าน นิยมทำในผู้ที่มือแห้ง มือผอมจนติดกระดูก และเจ้าสาวที่ต้องการมีมือที่สวยในขณะสวมแหวนแต่งงาน

                                                                      Rejuran

                                                                       Rejuran ควรฉีดกี่ครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                                                                      เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการรักษาด้วย Rejuran ควรทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง ขั้นต่ำจำนวน 4 ครั้ง โดยการทำในทุกครั้งควรเว้นระยะห่าง เพื่อให้ใบหน้าได้พักในระยะเวลา 2- 4 สัปดาห์ การทำในทุก ๆ ครั้งจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในทุกครั้ง

                                                                        • ในการรักษาด้วย Rejuran ครั้งที่ 1 

                                                                      ผู้เข้ารับบริการจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ในการรักษาภายในระยะเวลา 3-5 วัน หลังทำการรักษา โดยจะเริ่มสังเกตได้จากความเรียบเนียน รูขุมขนเริ่มแน่นขึ้น และมีความชุ่มชื้นของผิวที่มากขึ้น

                                                                        • ในการรักษาด้วย Rejuran ครั้งที่ 2

                                                                      ผู้เข้ารับบริการจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ในการรักษาภายใน 2-4 สัปดาห์ หลังการรักษา โดยจะสัมผัสได้ว่า ผิวในบริเวณที่ทำจะเริ่มมีความเต่งตึงมากขึ้น มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ริ้วรอยต่าง ๆ จะดูจางและลดเลือนลง และรูขุมขนที่กว้างก็เริ่มมีความกระชับแน่นมากขึ้น

                                                                        • ในการรักษาด้วย Rejuran ครั้งที่ 3

                                                                      ผู้เข้ารับการรักษาจะเห็นผลลัพธ์ในการรักษาได้ภายใน 4-6 วัน หลังการรักษา โดยผิวในบริเวณที่ทำจะมีความกระชับแน่นมากขึ้น สัมผัสได้ถึงผิวที่มีความเรียบเนียน แลดูสุขภาพดี มีความฉ่ำวาว ดูสุขภาพดี และมีคุณภาพที่ดี โดยสังเกตได้ด้วยตา

                                                                        • ในการรักษาด้วย Rejuran ครั้งที่  4 

                                                                      ผู้เข้ารับการรักษาจะเห็นผลลัพธ์ในการรักษาได้ใน 6-8 วัน หลังการรักษา โดยผิวภาพรวมจะดูเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน ผิวจะมีความเรียบเนียน ให้สัมผัสที่อ่อนนุ่ม สีผิวที่เคยมีรอยแดงรอยดำก็จะดูมีความสม่ำเสมอมากขึ้น ริ้วรอยต่าง ๆ ก็จะดูลดลง มีความสวย ฉ่ำ โกลด์ แต่งหน้าติดได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมีคุณภาพผิวที่ดี และยังมีผิวที่แลดูอ่อนกว่าวัยอย่างเห็นได้ชัด

                                                                       Rejuran  ใช้ปริมาณในการฉีดกี่ CC 

                                                                      ในแต่ละบริเวณของใบหน้าจะใช้ปริมาณในการทำ Rejuran ที่แตกต่างกัน ดังนี้

                                                                      • ทำ Rejuran ทั่วใบหน้าใช้ปริมาณ 4 ml.
                                                                      • ทำ Rejuran ที่บริเวณแก้มใช้ปริมาณ  2 ml.
                                                                      • ทำ Rejuran ที่บริเวณลำคอใช้ปริมาณ 2 ml.

                                                                      การเตรียมตัวก่อนทำ Rejuran

                                                                      • ก่อนทำ Rejuran ควรงดรับประทานยา และอาหารเสริมที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
                                                                      • ก่อนทำ Rejuran ควรงดสูบบุหรี่เป็นระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์
                                                                      • ก่อนทำ Rejuran ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์
                                                                      • ก่อนทำ Rejuran ควรดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเตรียมตัวก่อนทำการฉีด

                                                                      การดูแลตัวเองหลังทำ Rejuran

                                                                      • หลังทำ Rejuran หากเกิดรอยแดง ช้ำ จากรอยเข็มบริเวณที่ฉีดหลังทำ สามารถประคบเย็นได้
                                                                      • หลังทำ Rejuran ควรงดการใช้ครีมบำรุงผิวในบริเวณที่ทำ ประมาณ 1 สัปดาห์
                                                                      • หลังทำ Rejuran ควรงดการแต่งหน้า 1-2 วันเพื่อให้รอยเข็มปิดก่อน
                                                                      • หลังทำ Rejuran หากมีอาการเจ็บ หรือปวด สามารถรับประทานยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาได้
                                                                      • หลังทำ Rejuran ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า
                                                                      • หลังทำ Rejuran งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะทำให้ผิวเกิดการแห้งกร้าน
                                                                      • หลังทำ Rejuran ควรดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเป็นการทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น และดูสุขภาพดี
                                                                      • หลังทำ Rejuran ควรหลีกเลี่ยงการโดนแดด ควรทาครีมกันแดดก่อนออกแดด
                                                                      • หลังทำ Rejuran ควรงดอยู่ในที่ร้อน ๆ เล่นกีฬากลางแจ้ง หรืออบซาวน่า

                                                                      Rejuran ของแท้ดูอย่างไร

                                                                      Rejuran เป็นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนมีการปลอมขึ้นมา โดยสามารถตรวจสอบสินค้าของแท้ได้ ดังนี้

                                                                      • บนกล่องผลิตภัณฑ์ของ Rejuran จะต้องมี Sticker Hologram ติดที่ข้างกล่อง
                                                                      • เมื่อใช้โทรศัพท์ Scan QR code ที่ Sticker Hologram จะสามารถเข้าไปที่หน้าเพจของแบรนด์ได้
                                                                      • บนกล่องของ Rejuran จะต้องมีฉลากอย.ไทย
                                                                      • ภายในกล่องของ Rejuranจะมี 2 ไซริงค์ พร้อมเข็มขนาดเล็ก

                                                                       Rejuran สามารถคงสภาพผิวอยู่ได้นานแค่ไหน

                                                                      • สามารถคงสภาพคุณภาพของตัวยาที่อยู่ใต้ผิวได้ประมาณ 3 เดือน หลังทำการฉีดไป ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลของแต่ละคน หากต้องการผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอควรทำการฉีดอย่างต่อเนื่อง

                                                                       Rejuran มีผลข้างเคียงไหม

                                                                      • Rejuran เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ผลิตมาจาก Polynucleotide (PN) หรืออสุจิของปลาแซลมอน มีความใกล้เคียงกัน DNA ของมนุษย์ถึง 90% จึงมีโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงน้อย เนื่องจากเป็นโปรแกรมที่มีความปลอดภัยสูง

                                                                      Rejuran สามารถทำควบคู่กับการทำหัตถการชนิดอื่นได้หรือไม่

                                                                      • สามารถทำ Rejuran ร่วมกับหัตถการอื่นได้ เพื่อให้การรักษาเป็นการรักษาที่มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ยิ่งเป็นการส่งเสริมให้ใบหน้าภาพรวมมีความสวยมากยิ่งขึ้น แต่ในกลุ่มหัตถการประเภทฉีดควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนทำการรักษา เนื่องจากหากทำหัตถการประเภทฉีดในชั้นผิวเดียวกันอาจทำให้ตัวยาเกิดปฏิกิริยาระหว่างกันได้

                                                                      ฉีด Rejuran ที่ไหนดี

                                                                      • ทุกการฉีดตัวยาหรือการฉีดสารต่าง ๆ ลงบนใบหน้า แน่นอนอยู่แล้วว่าผู้เข้ารับบริการจะต้องมีความกังวลเกิดขึ้น ดังนั้นหากกังวลควรเลือกสถานบริการที่ได้รับมาตรฐาน ดังนี้
                                                                        1. จะต้องเป็นสถานพยาบาลหรือคลินิกที่เปิดให้บริการอย่างถูกต้อง
                                                                        2. จะต้องเป็นคลินิกที่ให้บริการโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์
                                                                        3. จะต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นของแท้ ทำการตรวจสอบได้
                                                                        4. สถานพยาบาลจะต้องมีความสะอาด พนักงานมีความสะอาดตามหลักกระทรวง

                                                                      ในปัจจุบันมีคลินิกเสริมความงามมากมาย ที่ให้บริการแต่การเลือกคลินิกที่จะเข้าไปรับบริการจะต้องเลือกจากมาตรฐาน ชื่อเสียง มีเลขที่ใบอนุญาต 11 หลักครบถ้วน และรีวิวต่า ง ๆ ของคลินิกเสริมความงามนั้น ๆ เนื่องจากหากคลินิกที่เข้ารับบริการจะไม่ได้รับมาตรฐานยังนำมาซึ่งการใช้ตัวยาที่ไม่ใช่ของแท้ ทำให้ผลลัพธ์หลังการฉีดไม่เห็นผล รวมไปจนถึงอาจเกิดอันตรายตามมาได้ ดังนั้นเมื่อเข้ารับบริการ Rejuran ควรขอให้ทำการแกะกล่องต่อหน้า และทำการตรวจสอบโดยละเอียดก่อนทำการรักษา เพื่อความปลอดภัยของตัวคนไข้เอง

                                                                      หรือมาทำ Rejuran ที่รมย์รวินท์คลินิกก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถการันตีได้ว่าทุกขั้นตอนในการรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัย และยังได้มาตรฐานตรวจสอบได้ สามารถนัดคิวเพื่อประเมินการรักษาเบื้องต้นได้ทาง ช่องทางออนไลน์ทุกช่องทาง และสามารถเข้ารับบริการได้ทุกสาขาใกล้บ้านคุณ

                                                                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                        วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                        EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก คืออะไร? เหมาะกับใคร ?

                                                                        Emface Submentum

                                                                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                          วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                                                          Emface Submentum


                                                                          Emface Submentum


                                                                          EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก

                                                                          เทคโนโลยีที่ใช้ในการเก็บเหนียง กระชับไขมันใต้คาง พร้อมยกหน้าตัวใหม่ที่พัฒนาโดยบริษัท BTL บริษัทผู้ผลิตเทคโนโลยียกกระชับกล้ามเนื้อตัวแรกของโลกอย่าง EMFACE ที่ได้รับความนิยมไปแล้วทั่วโลก ถึงผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีและได้ผลจนผู้เข้ารับบริการต้องกลับมาทำซ้ำ จึงเกิดการพัฒนาและต่อยอดจากเทคโนโลยี EMFACE ยกกระชับกล้ามเนื้อ

                                                                          ด้วยความที่ตัวเครื่องเป็นเทคโนโลยีที่มีความทันสมัย และถูกคิดค้นด้านการออกแบบและกระบวนการทำงานมาเป็นอย่างดี ทางบริษัทจึงพัฒนา Applicator ขึ้นมาเพื่อให้ EMFACE สามารถทำงานได้ครอบคลุมทุกปัญหา และแก้ปัญหาบนใบหน้าได้เป็นอย่างดีมากยิ่งขึ้น

                                                                          โดย Applicator ดังกล่าวเป็น Applicator ที่ออกแบบมาเพื่อติดในบริเวณใต้คาง โดยจะใช้เพื่อสลายไขมัน ลดเหนียง และยกกระชับใบหน้าไปพร้อม ๆ กันนั่นเอง

                                                                          Emface Submentum

                                                                          EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก ช่วยในการลดเหนียงและไขมันใต้คางได้อย่างไร

                                                                          โดยปกติความเข้าใจเดิมของเรา คือ EMFACE ถูกออกแบบมาเพื่อยกกระชับกล้ามเนื้อ แล้วทำไมเพียงแค่เปลี่ยน Applicator จึงสามารถทำให้ใช้ในการลดเหนียงและไขมันใต้คางได้ เหตุผลของข้อสงสัยนี้คือการที่ บริษัทใช้  Applicator ในการสื่อนั่นเอง เนื่องจาก Applicator ใหม่ที่พัฒนาขึ้นนั้น ออกแบบมาเพื่อทำงานกับชั้นผิวหนังด้วยกันจึงใช้เทคโนโลยีคลื่น 2 ชนิด คือ Synchronized Radiofrequency มีลักษณะเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความแรงสูง ที่คำนวณค่าความแรงมาอย่างแม่นยำ ทำให้มีความปลอดภัยในการรักษา และคลื่น HIFES™ มีลักษณะเป็นคลื่นวิทยุ ที่ออกแบบมาให้สามารถปล่อยพลังงานคลื่นมา เพื่อให้ทำงานกับทุกชั้นผิว ตั้งแต่ ชั้นผิวหนังด้านนอก ผิวหนังกำพร้า ชั้นหนังแท้ ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง และชั้นกล้ามเนื้อ เป็นคลื่นที่มีพลังการรักษาในแบบ non-invasive คือ ไม่ลามไปยันบริเวณที่ไม่ต้องการทำการรักษา หรือชั้นผิวที่ไม่ได้ต้องการให้พลังงานส่งถึง จึงไม่เกิดอันตรายกับชั้นผิวหน้า หรือใบหน้าในบริเวณข้างเคียงนั่นเอง

                                                                          สามารถจำแนกพลังงานคลื่นของ EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก กับการทำงานบนใบหน้าได้ดังนี้

                                                                          Emface Submentum

                                                                          พลังงานคลื่น Synchronized RF Plus ใน EMFACE Submentum ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง

                                                                          • ช่วยในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน
                                                                          • ช่วยในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างอิลาสตินใต้ชั้นผิว
                                                                          • ช่วยให้ผิวหน้ามีความยืดหยุ่น อิ่มฟูมากขึ้น
                                                                          • ช่วยปรับให้ผิวหน้ามีความเรียบเนียน
                                                                          • ช่วยลดไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ใต้ชั้นผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ
                                                                          • ช่วยทำให้ผิวหนังบริเวณใต้คางมีความยืดหยุ่นที่มากขึ้น

                                                                          พลังงานคลื่น HIFES EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง

                                                                          • ช่วยในการกระตุ้นกล้ามเนื้อบนใบหน้า
                                                                          • ช่วยเพิ่มปริมาณเส้นใยกล้ามเนื้อ
                                                                          • ช่วยในการเพิ่มความหนาแน่นของกล้ามเนื้อ
                                                                          • ช่วยเพิ่มความกระชับ และลดความหย่อนคล้อยของบริเวณกล้ามเนื้อคาง
                                                                          • ช่วยทำให้กล้ามเนื้อบริเวณใต้คางมีความเฟิร์ม แข็งแรงมากขึ้น
                                                                          • ช่วยทำให้กล้ามเนื้อมีความตึงตัวได้ดีมากขึ้น

                                                                          EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก ยกกระชับชั้นและช่วยลดผิวหนังชั้นใดบ้าง

                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยยกกระชับชั้นผิวหนังกำพร้า- ช่วยในเรื่องการลดริ้วรอยเล็ก ๆ
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยยกกระชับชั้นผิวหนังแท้- ช่วยในเรื่องการกระตุ้นคอลลาเจน อิลาสติน และผนังเม็ดเลือด
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยลด และหดชั้นไขมันให้มีขนาดเล็กลง- ช่วยในเรื่องกระชับไขมัน ลดขนาดเซลล์ไขมัน และลดเหนียง
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อส่วนบน- ช่วยในเรื่องกระชับกล้ามเนื้อใบหน้า
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยยกกระชับชั้นกล้ามเนื้อส่วนลึก- ช่วยในเรื่องการออกกำลังกาย และฟื้นฟูกล้ามเนื้อใบหน้า

                                                                          สำหรับ Applicator EMFACE Submentum จึงได้มีการออกแบบให้เข้ากับสรีระในบริเวณใต้คาง และวางคลื่นเพื่อให้เหมาะสมกับสรีระใบหน้า โดยด้านข้างเป็นการใช้เพียงคลื่น Synchronized RF Plus และตรงคาง เป็นการใช้ทั้ง 2 คลื่นอย่าง Synchronized RF Plus และ HIFES™ ควบคู่กันไป เพื่อให้ทั้งลดไขมัน และยกกระชับบริเวณเหนียงใต้คางได้อย่างดีที่สุด

                                                                          มากกว่านั้น Applicator อื่นของ EMFACE Submentum ยังสามารถช่วยในการยกกระชับบริเวณแก้ม กรอบหน้า มุมปาก หน้าแก้ม และยังช่วยลดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี จึงส่งผลให้ EMFACE Submentum เป็นโปรแกรมที่ทำงานกับใบหน้าส่วนล่าง หรือ Lower Face ได้เป็นอย่างดี เปรียบเสมือนการออกกำลังกายใบหน้าทำให้กล้ามเนื้อ เพิ่มเส้นใย เพิ่มคุณภาพของชั้นผิวหนังต่าง ๆ ให้ดีมากยิ่งขึ้นและแข็งแรงมากขึ้น

                                                                          EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก มีความปลอดภัยในการยกกระชับและลดไขมันอย่างไร

                                                                          EMFACE Submentum ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในไทยและ USFDA จากอเมริกา จึงสามารถการันตีได้ถึงคุณภาพ และความปลอดภัยในการรักษาทั้งด้านการยกกระชับกล้ามเนื้อ และการลดหรือเก็บเหนียง อีกทั้ง EMFACE Submentum ยังมีงานวิจัยออกมาอย่างเป็นทางการว่า เป็นโปรแกรมยกกระชับเพียงโปรแกรมเดียว ที่สามารถช่วยในการยกกระชับผิวหนังได้ลึกถึงชั้น SMAS และชั้น Muscle ทั้งยังสามารถยกกระชับ ปรับความหย่อนคล้อยที่ชั้น Epidermis and Dermis และช่วยลดไขมันในชั้น Superfacial Fat ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

                                                                          Emface Submentum

                                                                          EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก ทำช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับชั้นผิวหนังได้เท่าไร อย่างไร

                                                                          เมื่อผู้เข้ารับบริการทำ EMFACE Submentum ครบ 4 ครั้งตาม Protocol EMFACE Submentum จะช่วยเพิ่มคุณภาพของชั้นผิวหนังของใบหน้าได้ ดังนี้

                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยในการเพิ่มปริมาณของคอลลาเจน(Collagen) ได้ 27% 
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยในการเพิ่มคุณภาพของคอลลาเจน (Collagen) ได้ 27% 
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยในการเพิ่มปริมาณของอิลาสติน (Elastin) ได้ 129%
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยในการเพิ่มปริมาณกล้ามเนื้อ ได้ 19.2% 
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยในการเพิ่มความหนาแน่นของกล้ามเนื้อ ได้ 19.2%
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยในการยกกระชับผิวหนัง ได้ 30% 

                                                                          โดยเปอร์เซ็นต์ทั้งหมดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่มากที่สุดในการทำวิจัยของ EMFACE Submentum เท่านั้น โดยในแต่ละบุคคลผิวหนัง และผิวหน้าอาจเกิดการตอบสนองต่อ EMFACE Submentum ได้ไม่เท่ากัน

                                                                           

                                                                          Emface Submentum

                                                                          EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก ติด Applicator บริเวณใดบ้าง

                                                                          แผ่น Applicator ของ EMFACE Submentum มีด้วยกัน 3 แผ่นโดยทั้ง 3 แผ่นแปะที่ 3 บริเวณ ดังนี้

                                                                          1. EMFACE Submentum ติด Applicator ที่แก้มด้านซ้าย
                                                                          2. EMFACE Submentum ติด Applicator ที่แก้มด้านขวา
                                                                          3. EMFACE Submentum ติด Applicator ที่บริเวณใต้คาง

                                                                          โดยก่อนทำจะต้องติดแผ่นสื่อ 1 แผ่น ที่บริเวณด้านหลัง เพื่อเป็นตัวนำพาคลื่นทั้งสองคลื่นในการรักษา

                                                                          Emface Submentum

                                                                          ข้อดีของ EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก

                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยในการยกกระชับใบหน้าในชั้นผิว ได้มากกว่าโปรแกรมอื่น ๆ
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยในการยกกระชับใบหน้าได้ถึงชั้นที่ใช้ในการผ่าตัดศัลยกรรม
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยในการยกกระชับใบหน้าได้พร้อมกับการลดไขมันใต้คาง
                                                                          • EMFACE Submentum ทำการยกกระชับได้โดยไม่ต้องผ่าตัด
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยในการยกกระชับได้โดยไม่เจ็บ ไม่ต้องใช้เข็ม
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยในการยกกระชับได้โดยไม่ต้องทำการฉีดสารใดใดลงบนใบหน้า
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยในการยกกระชับได้ในเวลาอันสั้นเพียง 20 นาที
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยในการยกกระชับได้โดยไม่มีอันตราย
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยในการยกกระชับได้โดยไม่ต้องกลัวแสบ เจ็บ หรือเบิร์น
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยในการยกกระชับได้โดยไม่ต้องใช้ยาชา
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยในการยกกระชับได้ถึงเหนียงใต้คาง โดยไม่ต้องใช้ยาสลาย
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยในการยกกระชับ หลังทำไม่มีอาการบวม ช้ำ หรือเจ็บเหมือนโปรแกรมยกกระชับอื่น ๆ

                                                                          EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก ช่วยแก้ปัญหาอะไรบนใบหน้าได้บ้าง

                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยแก้ปัญหามุมปากตก
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยรอบมุมปาก
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยแก้ปัญหาร่องน้ำหมาก
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยแก้ปัญหาร่องแก้ม
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยแก้ปัญหาแก้มห้อย
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยแก้ปัญหากระเปาะแก้ม
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยแก้ปัญหากรอบหน้าไม่ชัด
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยแก้ปัญหาไขมันสะสมบริเวณใต้คางและเหนียง
                                                                          • EMFACE Submentum ช่วยแก้ปัญหาหน้าตก ดูไม่เป็นมิตร

                                                                          การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการ EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก

                                                                          • ก่อนเข้ารับบริการ EMFACE Submentum ควรเข้ามาปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการประเมินและวางแผนการรักษา
                                                                          • ก่อนเข้ารับบริการ EMFACE Submentum ควรถอดเก็บเครื่องประดับก่อนเข้ารับบริการ เนื่องจาก EMFACE Submentum เป็นโปรแกรมที่ต้องติดแผ่นสื่อ การใส่เครื่องประดับ อาจรบกวนการทำงานของพลังงานคลื่นต่าง ๆ ที่ใช้ในการรักษา

                                                                          ขั้นตอนการทำ EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก

                                                                          • ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการรักษา
                                                                          • ผู้ช่วยแพทย์ทำความสะอาดใบหน้าและเก็บผมให้เรียบ เพื่อความสะอาดก่อนเข้ารับบริการ
                                                                          • ผู้ช่วยแพทย์ทำการติดแผ่นสื่อ EMFACE Submentum
                                                                          • แพทย์ทำการจับ คลำกล้ามเนื้อบนใบหน้าอย่างแม่นยำ ก่อนทำการติด Applicator EMFACE Submentum ทั้ง 3 แผ่น
                                                                          • ให้เครื่องทำงานกับใบหน้าเป็นระยะเวลา 20 นาที
                                                                          • เอาแผ่น Applicator ออก เป็นอันเสร็จ

                                                                          Emface Submentum

                                                                          การดูแลตัวเองหลังการเข้ารับบริการ EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก

                                                                          หลังเข้ารับบริการ EMFACE Submentum สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และเข้ามารับบริการซ้ำจนครบ Protocal เพื่อผลลัพธ์ที่ดี

                                                                          ใครเหมาะกับการทำ EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก

                                                                          • EMFACE Submentum เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้า
                                                                          • EMFACE Submentum เหมาะกับผู้ที่ต้องการลด และกระชับเหนียง หรือบริเวณใต้คาง
                                                                          • EMFACE Submentum เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีผิวที่เรียบเนียน
                                                                          • EMFACE Submentum เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยร่องลึกบริเวณใบหน้าช่วงล่าง
                                                                          • EMFACE Submentum เหมาะกับผู้ที่มีแก้มล่าง มีกระเปาะแก้ม
                                                                          • EMFACE Submentum เหมาะกับผู้ที่มีร่องแก้ม
                                                                          • EMFACE Submentum เหมาะกับผู้ที่มีร่องน้ำหมาก
                                                                          • EMFACE Submentum เหมาะกับผู้ที่ปากคว่ำ ส่งผลให้ใบหน้าดูไม่เป็นมิตร
                                                                          • EMFACE Submentum เหมาะกับผู้ที่มีโครงหน้าไม่ชัด

                                                                          ใครไม่เหมาะกับการทำ EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก

                                                                          • EMFACE Submentum ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอุปกรณ์โลหะในร่างกาย หรือบริเวณที่พลังงานเข้าถึง
                                                                          • EMFACE Submentum ไม่เหมาะกับผู้ที่เคยรักษาโรคต่าง ๆ ด้วยการใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ
                                                                          • EMFACE Submentum ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ
                                                                          • EMFACE Submentum ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด
                                                                          • EMFACE Submentum ไม่เหมาะกับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์
                                                                          • EMFACE Submentum ไม่เหมาะกับสตรีที่กำลังอยู่ในระหว่างการให้นมบุตร
                                                                          • EMFACE Submentum ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังอยู่ในระหว่างการให้เคมีบำบัดหรือคีโม
                                                                          • EMFACE Submentum ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะไตวาย
                                                                          • EMFACE Submentum ไม่เหมาะกับผู้ที่มีแผลในบริเวณที่เครื่องเข้าถึง

                                                                          Emface Submentum

                                                                          ความรู้สึกระหว่างทำ EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก

                                                                          • ระหว่างทำ EMFACE Submentum จะรู้สึกเหมือนโดนดึงหน้า
                                                                          • ระหว่างทำ EMFACE Submentum จะรู้สึกเหมือนถูกนวด
                                                                          • ระหว่างทำ EMFACE Submentum จะรู้สึกเหมือนโดนบังคับใบหน้า
                                                                          • ระหว่างทำ EMFACE Submentum จะรู้สึกมีแรงสั่นสะเทือนที่ใบหน้า
                                                                          • ระหว่างทำ EMFACE Submentum จะรู้สึกถึงความอุ่นของ Applicator
                                                                          • ระหว่างทำ EMFACE Submentum จะรู้สึกตึง ๆ ใบหน้า

                                                                          ข้อสังเกตหลังการทำการรักษาด้วย EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก

                                                                          หลังเข้ารับบริการ EMFACE Submentum แล้วใบหน้าอาจมีรอยจากการติดแผ่น Applicator  หรือมีความแดง อมชมพู หลังจากการเข้ารับบริการในบางที ความอุ่นจากพลังงานที่ใช้ในการยกกระชับ เก็บเหนียงอาจยังคงอยู่บนผิวหนัง นับเป็นอาการปกติผู้เข้ารับบริการไม่ต้องกังวล  และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

                                                                          EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก ใช้เวลาในการทำกี่นาที

                                                                          ในการทำ EMFACE Submentum ทุกครั้ง ใช้ระยะเวลาในการทำเพียง 20 นาทีเท่านั้น

                                                                          EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ดี

                                                                          เพื่อให้ผลลัพธ์ในการรักษาเกิดผลดีที่สุด คือ ควรทำให้ครบ Protocal ของโปรแกรม ในระยะเวลาการนัดของแพทย์ คือ 4 ครั้งโดยการเข้ารับบริการสม่ำเสมอทุก 1 สัปดาห์ ติดต่อกันเป็นจำนวน 4 ครั้ง เพื่อให้คงสภาพผลลัพธ์ได้นาน และเป็นผลลัพธ์ที่ดีตามต้องการ

                                                                          Emface Submentum

                                                                          EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก ควรเว้นระยะเวลาในการทำนานแค่ไหน

                                                                          เมื่อทำครบ 4 ครั้งตาม Protocal แล้ว ควรเว้นระยะเวลาในการทำครั้งต่อไปประมาณ 6-12 เดือน เนื่องจากหลังทำ EMFACE Submentum ครบตามจำนวน 4 ครั้งแล้ว พลังงานคลื่นจะทำงานโดยการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินที่ใต้ผิวหนัง และทำการกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หลังการรักษามีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นตามลำดับจนครบ 1 ปี โดยสามารถทำได้ทุกปีเพื่อให้การรักษาเป็นการรักษาอย่างต่อเนื่อง และส่งผลในระยะยาว

                                                                          EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก ใช้เวลานานเท่าไรจึงจะเห็นผลลัพธ์ในการรักษา

                                                                          หลังการรักษาด้วย EMFACE Submentum จะเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำการรักษาในครั้งแรก และจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ หลังทำในทุกครั้งจนครบ 4 ครั้ง และจะเริ่มเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจนหลังทำครบ 3 เดือน

                                                                          Emface Submentum

                                                                          FAQ EMFACE Submentum เก็บเหนียง หน้ายก

                                                                          • เคยทำคางมาสามารถทำ EMFACE Submentum ได้หรือไม่

                                                                          สามารถทำได้เนื่องจากบริเวณที่ใส่ซิลิโคนกับบริเวณที่ติด Applicator ของ EMFACE Submentum เป็นคนละบริเวณกัน ไม่ส่งผลให้ซิลิโคนเคลื่อนที่ และไม่ก่อให้เกิดอันตราย

                                                                          • เคยทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณที่จะต้องติดแผ่น Applicator มา สามารถทำ EMFACE Submentum ได้หรือไม่

                                                                          สามารถทำได้เนื่องจาก EMFACE Submentum เป็นการใช้คลื่นพลังงานในการรักษา โดยคลื่นดังกล่าวจะไม่ไปรบกวนตัวโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ และไม่ทำให้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เคลื่อนตัว

                                                                          • ทำ EMFACE Submentum เจ็บเหมือนโปรแกรมยกกระชับอื่น ๆ ไหม

                                                                          EMFACE Submentum เป็นโปรแกรมยกกระชับที่ไม่เจ็บ ระหว่างทำ เนื่องจากการทำไม่ได้ใช้การยิงเป็นช็อตหรือ ไลน์แบบโปรแกรมยกกระชับอื่น ๆ แต่เป็นการยกกระชับด้วยพลังงานที่ส่งผ่าน Applicator โดยการทำงานของเครื่องและแผ่นเท่านั้น จึงไม่ทำให้เจ็บระหว่างทำนั่นเอง

                                                                          • ต้องมีอายุเท่าไร จึงจะสามารถทำ EMFACE Submentum ได้

                                                                          สามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่อายุ 20 ปี หากมีความกังวลในเรื่องกล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่กระชับ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการประเมินเบื้องต้น สำหรับปัญหาของผู้เข้ารับบริการก่อน เพื่อการแก้ปัญหาอย่างตรงจุดที่สุด และจะไม่ทำให้เกิดอันตรายตามมาในอนาคต

                                                                          • ทำ EMFACE Submentum ต้องทายาชาไหม

                                                                          ไม่ต้องทา เพราะไม่มีขั้นตอนไหนในระหว่างที่ทำให้เกิดอาการเจ็บ มีเพียงอาการตึง ๆ  เหมือนถูกนวดหน้า ถูกดึงหน้า และมีความอุ่นจากแผ่นติดเท่านั้น

                                                                          • มีเวลาเพียง 1 ชั่วโมง สามารถทำ EMFACE Submentum ได้ไหม

                                                                          ได้ เพราะเป็นโปรแกรมที่ใช้ระยะเวลาในการรักษาต่อครั้งเพียง 20 นาทีเท่านั้น หากไม่แต่งหน้ามา และทำความสะอาดใบหน้ามาก่อนทำการรักษา ใช้เวลาเพียง 30 นาที ต่อการรักษาก็เพียงพอ

                                                                          • EMFACE Submentum สามารถทำร่วมกับโปรแกรมยกกระชับประเภทอื่น ๆ ได้หรือไม่

                                                                          ได้ เนื่องจากโปรแกรมยกกระชับประเภทอื่น ๆ จะทำหน้าที่ในการยกกระชับชั้นผิวหน้าที่แตกต่างกันไปในแต่ละเครื่อง รวมทั้งแต่ละเครื่องยังใช้พลังงานในการยกกระชับที่ไม่เหมือนกัน หากมีความกังวลว่าในระยะเวลาระหว่างรอทำ EMFACE Submentum ในครั้งถัดไปมีความนานมากเกินไป สามารถใช้โปรแกรมยกกระชับ และเก็บเหนียงโปรแกรมอื่นร่วมด้วยเพื่อเป็นการ maintain ได้

                                                                          • EMFACE Submentum สลายไขมันได้ต่างจากโปรแกรมสลายไขมันอย่างไร

                                                                          EMFACE Submentum เป็นการสลายไขมันโดยการใช้พลังงานคลื่น Synchronized RF Plus แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือเป็นการรักษาอย่างตรงจุด ไม่มีการรบกวนบริเวณอื่นหรือชั้นผิวหนังชั้นอื่นที่ไม่ได้ต้องการทำการรักษา ลด และหดชั้นไขมันได้จริง ทั้งยังช่วยในการ ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ไม่ต้องใช้เข็ม ไม่ต้องทายาชา และไม่เจ็บ รวมทั้งยังเป็นการลดไขมันที่ทำการกระชับ และยกผิวให้มีความหย่อนคล้อยไปในตัว ไม่ทำให้ผิวเกิดความหย่อนคล้อยหลังจากลดไขมัน

                                                                          โปรแกรมสลายไขมัน เป็นการใช้ตัวยาที่ผลิตจากส่วนผสมต่าง ๆ ในการลดไขมัน อาจก่อให้เกิดการรบกวนผิวหนังในบริเวณอื่นได้ หากแพทย์ที่ทำการรักษาไม่มีประสบการณ์ที่มากพอ ในบางคนอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ หลังทำอาจมีความบวม แสบ ได้

                                                                          Emface Submentum

                                                                          ทำไมต้องทำ EMFACE Submentum ที่รมย์รวินท์คลินิก

                                                                          • เพราะรมย์รวินท์คลินิกมีเครื่องเป็นคลินิก 1 ใน 5 ของประเทศไทย
                                                                          • เพราะรมย์รวินท์คลินิกดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์
                                                                          • เพราะรมย์รวินท์คลินิกมีเครื่องไว้สำหรับให้บริการเป็นจำนวนมาก
                                                                          • เพราะรมย์รวินท์คลินิก พนักงานทุกคนถูกอบรมในการดูแลคนไข้เกี่ยวกับการใช้เครื่องมาเป็นอย่างดี
                                                                          • เพราะรมย์รวินท์คลินิกใช้เครื่องแท้ จากบริษัท BTL สามารถตรวจสอบได้
                                                                          • เพราะรมย์รวินท์คลินิกมีสาขามากมายสำหรับรองรับผู้เข้ารับบริการ

                                                                          หากสนใจเข้ารับบริการ EMFACE Submentum ที่รมย์รวินท์คลินิก สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หน้าร้านทั้ง 28 สาขา หรือช่องทางออนไลน์ทุกช่องทาง

                                                                          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                            วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                            SUPER HIFU (ไฮฟู) ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียวคืออะไร ?

                                                                            super Hifu

                                                                            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                              วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                                                              super hifu


                                                                              super hifu


                                                                              SUPER HIFU (ไฮฟู) ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียว

                                                                              เคยเป็นไหม เวลาถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ แล้วต้องหลบด้านหลังเพื่อนอยู่เสมอ ๆ เพราะว่ากลัวหน้าบาน หน้าใหญ่ และรู้หรือไม่ว่าการหน้าบาน และหน้าใหญ่ของคนเรานั้นไม่ได้เกิดจากโครงหน้าของเราตั้งแต่เกิด แต่เกิดจากการหย่อนคล้อย และห้อยตกลงมาของผิวหน้าของคนเราตามอายุ โดยแต่ละช่วงอายุจะมีความหย่อนคล้อยและริ้วรอยที่มากขึ้น ดังนี้

                                                                              เมื่อมีอายุถึง 20 ปี ผิวหน้าของเราจะเริ่มมีปัญหาเบื้องต้นจากชั้นผิวหนังแท้ เนื่องจากวันนี้ยังมีการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวอยู่ จะลดการผลิตคอลลาเจนเพียงเล็กน้อย โดยจะเห็นได้ว่าเมื่อมีอายุในวัย 20 กลางถึง 20 ปลาย จะเริ่มมี ริ้วรอย ความหย่อนคล้อยเกิดขึ้นต่างจากตอนช่วง Teen age

                                                                              เมื่ออายุเข้าสู่วัย 30 ปี ผิวจะเริ่มขยับไปมีปัญหาในส่วนผิวหนังแท้ที่มากขึ้น รวมทั้งผิวหนังชั้นหนังกำพร้า หรือผิวชั้นนอกเกิดการผลัดตัวช้าลง ในช่วงวัยนี้จะเห็นว่าผิวหน้าจะเริ่มยกหย่อนลงมาอย่างเห็นได้ชัดมากขึ้น จากการที่คอลลาเจนและอิลาสตินใต้ผิวถูกทำลาย และยังสร้างขึ้นน้อยลง รวมทั้งผิวจะเริ่มมีความหยาบกร้านจากการผลัดตัวช้าของผิวร่วมด้วย

                                                                              เมื่ออายุก้าวเข้าสู่วัย 40 ปี ในวัยนี้ ผิวหนังจะเริ่มมีความอ่อนแอ และเกิดปัญหาได้มากยิ่งขึ้น อันเนื่องมาจากคุภาพผิวที่ไม่ดีเท่าเก่า ความหนาแน่นของชั้นผิวไม่เหมือนตอนยังสาว จากการสลายของไขมัน และชั้นเนื้อเยื่อที่อยู่ระหว่างชั้นไขมัน และชั้นกล้ามเนื้อที่เรารู้จักกันในชื่อว่าชั้น SMAS ที่มีหน้าที่ในการยกผิวให้มีความกระชับ ได้เริ่มเสื่อมคุณภาพ ทำให้ความสามารถในการยกกระชับของชั้น SMAS ลดน้อยลง ทำให้ผิวหน้ามีความหย่อนคล้อยลง และจะมากขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่ดูแล

                                                                              และเมื่ออายุเข้าสู่วัย 50 ปี จากที่มีปัญหาผิวอยู่แล้วก็จะยิ่งมีปัญหาผิวมากขึ้นไปอีกขั้น จะเริ่มเห็นว่า รูปหน้าจากที่เคยหงายขึ้นก็จะเริ่มคว่ำ ส่วนต่าง ๆ บนใบหน้าก็จะเริ่มหย่อน และคล้อยลงมา ปากเริ่มคว่ำ เริ่มมีร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และจะหย่อนคล้อยมากขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่ดูแล เนื่องจากโครงสร้างในส่วนกระดูกของใบหน้าจะมีการทรุด หรือยุบตัวลงเรื่อย ๆ ตามธรรมชาติ จึงทำให้ใบหน้าเริ่มเปลี่ยน กระดูกโหนกแก้มจากที่เคยสูงก็จะยุบตัวลง ทำให้ใบหน้าดูโทรม ตอบลงนั่นเอง

                                                                              นอกจากปัญหาด้านโครงสร้างภายในของใบหน้า และผิวหนังแล้ว ปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลให้ใบหน้าหย่อนคล้อยก็ยังมีมากมาย ที่เราไม่สามารถเลี่ยงปัญหาได้ อาทิเช่น

                                                                              แสงแดด

                                                                              เป็นตัวทำร้ายผิวชั้นดีที่สามารถทำลายคอลลาเจนใต้ผิวได้ ยิ่งเจอมากยิ่งทำลายคอลลาเจนมาก และยังเป็นสิ่งที่สะสมอาการมากขึ้นเรื่อย ๆ และจะค่อย ๆ ส่งผลให้ใบหน้าหย่อนคล้อยในที่สุด และสามารถทำให้เกิดการหย่อนคล้อยได้มากขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่รีบป้องกัน

                                                                              ความเครียด

                                                                              เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อผิวในลักษณะทางตรง เนื่องจากเมื่อคนเราเกิดความเครียด ร่างกายก็จะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลมากขึ้น เกิดอนุมูลอิสระที่มากขึ้น ทำให้คอลลาเจนและอิลาสตินใต้ผิวหนังของเรานั้น สลายออกไปจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ใบหน้าของเราก็จะเกิดความหย่อนคล้อย และเหี่ยวย่นตามมา

                                                                              แรงโน้มถ่วงของโลก

                                                                              ปัจจัยนี้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อความหย่อนคล้อยบนผิวหน้าจริง ๆ เนื่องจากโลกของเราทุกอย่างจะตกลงสู่ด้านล่าง ใบหน้าก็เช่นกัน เมื่อถึงเวลาก็จะตกหย่อนลงมาตามกาลเวลาหากผิวของเราบาง หรือไม่แข็งแรงมากพอ

                                                                              ไขมัน

                                                                              เป็นปัจจัยที่เกี่ยวกับภายในร่างกายของคนเราที่เมื่ออายุมากขึ้น ชั้นไขมันที่เคยอิ่มฟูก็จะลดขนาดชั้นลง ส่งผลให้ผิวไม่กระชับ ไม่อิ่มตัวและหนาชั้นขึ้นเหมือนเดิม และกลายเป็นความหย่อนคล้อยของใบหน้า และผิวหนังในที่สุด

                                                                              การออกกำลังกาย

                                                                              การออกกำลังกายเป็นปัจจัยที่เกิดในบางคนเท่านั้น เนื่องจากปัจจัยนี้จะเกิดกับผู้ที่ออกกำลังกายอย่างหักโหมมากจนเกินไป หรือผู้ที่ลดรูปร่าง และสัดส่วนในระยะเวลาอันสั้น  ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของชั้นผิว ที่กลายเป็นขาดความยืดหยุ่น ไม่กระชับ ห้อย และย้อยลงนั่นเอง

                                                                              กิจวัตรประจำวัน

                                                                              การดำเนินชีวิต และการดูแลตัวเองเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อใบหน้าที่หย่อนคล้อย รวมทั้งการสูบบุหรี ดื่มแอลกอลฮอล์ หรือพักผ่อนไม่เพียงพอก็ส่งผลต่อการไหลเวียนของโลหิตภายในร่างกาย และคอลลาเจนที่อยู่ในชั้นผิวเช่นกัน จึงส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อยได้ไวมากกว่าปกติ อันเนื่องมาจากการใช้ชีวิตและวิถีชีวิต เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หรือไม่มีประโยชน์ การตากแดดเป็นประจำ ก็ส่งผลต่อสภาพผิว และเป็นสาเหตุในการเกิดการหย่อนคล้อยของใบหน้าได้เช่นกัน

                                                                              พันธุกรรม

                                                                              สภาพผิวก็เป็นสิ่งส่งต่อทางพันธุกรรมเช่นเดียวกันกับสีผิว แต่สิ่งเหล่านี้เมื่อรู้ตัวแล้วสามารถป้องกัน และฟื้นฟูให้มีสภาพ และคุณภาพที่ดีได้

                                                                              อายุ

                                                                              เป็นสิ่งที่ส่งผลโดยตรงต่อคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ผิว ซึ่งเมื่อคนเรามีอายุที่เพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากคอลลาเจนและอิลาสติน ที่อยู่ใต้ชั้นผิวจะลดจำนวนลงแล้ว ยังเกิดการสร้างที่น้อยลงด้วย จึงส่งผลโดยตรงต่อความยืดหยุ่น  และความแข็งแรงของชั้นผิว ทำให้เกิดการหย่อนคล้อยมากขึ้น และไม่เต่งตึงเหมือนในวัยเด็กวัยสาวนั่นเอง

                                                                              ปัจจัยเรื่องการพักผ่อน

                                                                              เมื่อเราพักผ่อนโดยการนอนหลับ ร่างกายของเราจะหลั่งฮอร์โมน ที่ช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขึ้นมาที่เรียกว่า โกรทฮอร์โมน ซึ่งเมื่อโกรทฮอร์โมนหลั่งออกมาจะออกมา จะช่วยสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินในร่างกายด้วย และเมื่อไม่ได้พักผ่อนนอนหลับนั้น โกทธฮอร์โมนในร่างกายจะไม่ได้หลั่งออกมา ผิวของเราก็จะสูญเสียความแข็งแรง ทำให้คุณภาพผิวแย่ขึ้น และเกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา ทั้งหย่อนคล้อย และมีความบอบบาง

                                                                              เมื่อทราบถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาความหย่อนคล้อยของใบหน้ากันแล้ว มาทำความรู้จักกับวิธีดูแลรักษาใบหน้าให้ไม่หย่อนคล้อย อย่างโปรแกรมสุดฮิตติดลมบน ที่ใคร ๆ ก็ต้องรู้จัก เพราะอยู่ในแวดวงยกกระชับมาแล้วเกินกว่าสิบปีอย่าง SUPER HIFU โปรแกรมที่ครองใจคนมาแล้วแทบทุกช่วงอายุที่สามารถยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียวได้

                                                                              super hifu

                                                                              SUPER HIFU (ไฮฟู) ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียวคืออะไร?

                                                                              SUPER HIFU (ไฮฟู) ย่อมาจาก High Intensity Focus Ultrasound เป็นเครื่องโฟกัสอัลตร้าซาวนด์ที่มีความเข้มข้นสูง และมีความจำเพาะเจาะจง สามารถยกกระชับผิวที่มีความหย่อนคล้อย และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรมให้เจ็บตัว โดยเน้นการส่งผลลงลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเนื้อเยื่อที่ทำการห่อหุ้มกล้ามเนื้อ มีลักษณะเส้นใยในตัวเองเป็นเส้นใยแนวนอน จึงทำให้ชั้น SMAS เป็นชั้นผิวหนังที่มีความแข็งแรงและทนทาน จึงทำให้ผลลัพธ์ในการรักษาคล้ายกับการผ่าตัดศัลยกรรมดึงใบหน้า ส่งผลให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ กระชับมากขึ้น

                                                                              super hifu

                                                                              การทำงานของ SUPER HIFU (ไฮฟู) ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียว

                                                                              SUPER HIFU ทำงานโดยการปล่อยพลังงาน High Intensity Focus Ultrasound ออกมาเป็น Dot หรือเป็นจุด โดยจะมีหัว Applicator ในการปล่อยพลังงานความลึกหลากหลายระดับ เพื่อรองรับความต้องการยกกระชับในแต่ละชั้นผิว เช่น ระดับความลึก 1.5 mm, 2.0 mm, 3.0 mm, 4.5 mm, 6.0 mm, 13.0 mm. โดยแต่ละความลึกของของ Applicator จะกระตุ้นการสร้างให้เกิดคอลลาเจนใต้ชั้นผิวที่แตกต่างกันใบในแต่ละชั้นผิว จึงทำให้มีผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น

                                                                              super hifu

                                                                              ข้อดี SUPER HIFU (ไฮฟู) ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียว

                                                                              • SUPER HIFU สามารถยกกระชับผิวได้ โดยไม่ต้องใช้เข็ม หรือการผ่าตัด
                                                                              • SUPER HIFU เป็นโปรแกรมยกกระชับที่มีความปลอดภัยสูง
                                                                              • SUPER HIFU เป็นโปรแกรมที่ไม่ทำให้ผิวเบิร์น ไหม้
                                                                              • SUPER HIFU ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ
                                                                              • SUPER HIFU ไม่มีรอยช้ำ บวม เจ็บหลังทำ
                                                                              • SUPER HIFU สามารถใช้หน้าได้ทันที
                                                                              • SUPER HIFU สามารถช่วยลดริ้วรอยที่มีขนาดเล็ก ๆ ตื้น ๆ ได้เป็นอย่างดี
                                                                              • SUPER HIFU สามารถเก็บและกระชับกรอบหน้าได้เป็นอย่างดี
                                                                              • SUPER HIFU สามารถสลายไขมันส่วนเกินที่สะสมได้บางส่วน
                                                                              • SUPER HIFU สามารถทำบริเวณรอบดวงตาได้ โดยไม่อันตราย และไม่กระทบกับการมองเห็น
                                                                              • SUPER HIFU สามารถทำร่วมกับการทำหัตถการอื่นได้
                                                                              • SUPER HIFU สามารถทำซ้ำได้บ่อย

                                                                              ข้อเสีย SUPER HIFU (ไฮฟู) ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียว

                                                                              • SUPER HIFU จะมีความเจ็บระหว่างทำเล็กน้อย
                                                                              • SUPER HIFU จะมีรอยแดงเล็กน้อย หลังทำ 1 – 2 ชั่วโมง โดยจะหายได้เองไม่ต้องกังวล
                                                                              • SUPER HIFU อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง

                                                                              super hifu

                                                                              SUPER HIFU (ไฮฟู) ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียวช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง ?

                                                                              SUPER HIFU ถูกออกแบบมาเพื่อให้ช่วยในเรื่องการยกกระชับใบหน้า และกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนให้ครบในทุกชั้นผิว

                                                                              1. SUPER HIFU ส่งผลให้ผิวมีความแน่น และแข็งแรงมากกว่าเดิม
                                                                              2. SUPER HIFU แก้ปัญหาริ้วรอย
                                                                              3. SUPER HIFU แก้ปัญหาความหย่อนคล้อยได้
                                                                              4. SUPER HIFU ช่วยลดริ้วรอยรอบดวงตา
                                                                              5. SUPER HIFU ช่วยแก้ปัญหาหนังตาตก
                                                                              6. SUPER HIFU ยกหางคิ้ว
                                                                              7. SUPER HIFU ช่วยกระชับไขมันใต้คาง
                                                                              8. SUPER HIFU ลดริ้วรอยที่คอ
                                                                              9. SUPER HIFU ลดเหนียง
                                                                              10. SUPER HIFU กระชับกรอบหน้า
                                                                              11. SUPER HIFU ช่วยยกกระชับผิวบริเวณตัวได้ เช่น เอว, หน้าท้อง, สะโพก, ต้นแขน, ท้องแขน, ต้นขา
                                                                              12. SUPER HIFU ป้องกันความหย่อนคล้อยของผิวในอนาคตได้

                                                                              SUPER HIFU (ไฮฟู) ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียวเหมาะกับใคร ?

                                                                              SUPER HIFU เป็นเครื่องมือยกกระชับที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย

                                                                              • SUPER HIFU เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้า และผิวกายหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ
                                                                              • SUPER HIFU เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยที่มีขนาดเล็กน้อย ๆ
                                                                              • SUPER HIFU เหมาะกับผู้ที่มีร่องใต้ตา
                                                                              • SUPER HIFU เหมาะกับร่องแก้มที่ไม่ลึกมาก
                                                                              • SUPER HIFU เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระชับผิว โดยไม่ผ่าตัด
                                                                              • SUPER HIFU เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับ โดยไม่ใช้เข็มฉีดยา
                                                                              • SUPER HIFU เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้น หลังทำใช้หน้าได้เลย ไม่มีแผล
                                                                              • SUPER HIFU เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการมีผิวหย่อนคล้อยในอนาคต
                                                                              • SUPER HIFU เหมาะกับผู้ที่กรอบหน้าไม่ชัด
                                                                              • SUPER HIFU เหมาะกับผู้ที่อยากหน้าเรียว เล็ก

                                                                              SUPER HIFU (ไฮฟู) ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียว

                                                                              SUPER HIFU สามารถทำได้ทุกบริเวณที่ต้องการยกกระชับ

                                                                              • SUPER HIFU สามารถทำได้บริเวณใบหน้า ช่วยในการยกกระชับ ปรับรูปหน้า เก็บกรอบหน้าให้มีความคมชัดเรียว สวยมากขึ้น
                                                                              • SUPER HIFU สามารถทำได้บริเวณเหนียง แก้ปัญหาใต้คาง เหนียง และคางสองชั้น ที่เป็นไขมันสะสมทำให้ใบหน้าไม่เข้ารูป ให้ดูเข้ารูป และหน้าดูสมส่วนมากขึ้น
                                                                              • SUPER HIFU สามารถทำได้บริเวณคอ ช่วยลดริ้วรอยความหย่อนคล้อย จนเกิดเป็น รอยเหี่ยวย่นที่คอ รอยสร้อยคอ ปล้องที่คอ ให้คอดูสวย ระหงมากขึ้น
                                                                              • SUPER HIFU สามารถทำได้บริเวณร่องมุมปาก เก็บและลดริ้วรอยบริเวณร่องมุมปาก ร่องน้ำหมาก และริ้วรอยแห่งวัย
                                                                              • SUPER HIFU สามารถทำได้บริเวณแก้ม ช่วยในการแก้ปัญหาลดไขมันสะสมที่แก้ม กระชับพวงแก้มที่หย่อนคล้อยให้ยกกระชับ
                                                                              • SUPER HIFU สามารถทำได้บริเวณรอบดวงตา แก้ปัญหาตีนกา และริ้วรอยรอบดวงตา แก้ปัญหาหางตาตก ช่วยยกหางตา
                                                                              • SUPER HIFU สามารถทำได้บริเวณหน้าผากลดริ้วรอย บริเวณหน้าผาก ร่องลึก และรอยย่นบริเวณ หน้าผากอันเป็นสาเหตุที่ทำให้ดูแก่กว่าวัย
                                                                              • SUPER HIFU สามารถทำได้บริเวณเปลือกตาบนลดริ้วรอย และความหย่อนคล้อยบริเวณเปลือกตาบน ช่วยเปิดให้ดวงตาดูสดใสมากยิ่งขึ้น
                                                                              • SUPER HIFU สามารถทำได้บริเวณกรอบหน้า ช่วยให้ใบหน้าดูชัดเจน เข้ารูปดูวีเชฟมีมิติมากยิ่งขึ้น
                                                                              • SUPER HIFU สามารถทำได้บริเวณต้นแขน ลดขนาดไขมันที่ต้นแขน ทำให้แขนกระชับ เฟิร์มขึ้น และช่วยในการกำจัดเซลลูไลท์
                                                                              • SUPER HIFU สามารถทำได้บริเวณต้นแขนช่วยกระชับ และลดไขมันหน้าท้อง ช่วยให้หน้าท้องมีขนาดลดลง และกระชับได้มากขึ้น
                                                                              • SUPER HIFU สามารถทำได้บริเวณรอบเอวปรับ และลดขนาดรอบเอวกระชับมากขึ้น ทำให้ร่างกายดูมีส่วนเว้า ส่วนโค้งดูมีเคิร์ฟมากยิ่งขึ้น
                                                                              • SUPER HIFU สามารถทำได้บริเวณสะโพก ช่วยกระชับสะโพกให้เข้ารูปมากยิ่งขึ้น ช่วยให้สาว ๆ ที่ไม่ถนัดออกกำลังกายได้มีรูปร่างที่สวยมากยิ่งขึ้น

                                                                              super hifu

                                                                              ใครไม่เหมาะกับ SUPER HIFU (ไฮฟู) ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียว

                                                                              1. ผู้ที่ไม่เหมาะกับ SUPER HIFUคือ ผู้ที่ประสบปัญหาสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์ โดยละเอียดก่อนทำการรักษา
                                                                              2. ผู้ที่ไม่เหมาะกับ SUPER HIFUคือ ผู้มีปัญหาด้านผิวหนัง
                                                                              3. ผู้ที่ไม่เหมาะกับ SUPER HIFUคือ ผู้ที่มีแผลเป็นคีลอยด์
                                                                              4. ผู้ที่ไม่เหมาะกับ SUPER HIFUคือ ผู้ที่มีบาดแผลเปิด
                                                                              5. ผู้ที่ไม่เหมาะกับ SUPER HIFUคือ ผู้ที่มีสิวหรือซีสต์
                                                                              6. ผู้ที่ไม่เหมาะกับ SUPER HIFUคือ ผู้ป่วยที่ฝังโลหะใต้ผิวหนัง
                                                                              7. ผู้ที่ไม่เหมาะกับ SUPER HIFUคือ ผู้หญิงที่มีการตั้งครรภ์
                                                                              8. ผู้ที่ไม่เหมาะกับ SUPER HIFUคือ คุณแม่ผู้ให้นมบุตร

                                                                              อายุเท่าไหร่จึงจะทำ SUPER HIFU (ไฮฟู) ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียวได้

                                                                              สามารถทำ SUPER HIFU ได้ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่เริ่มมีปัญหาผิวหน้า ทั้งไขมันบนใบหน้า และความหย่อนคล้อยบนใบหน้า อีกทั้งการเริ่มทำ SUPER HIFU ตั้งแต่อายุยังไม่มากจะเป็นการป้องกันผิว เกิดความหย่อนคล้อยได้ในอนาคตอีกด้วย

                                                                              การเตรียมตัวก่อนทำ SUPER HIFU (ไฮฟู) ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียว

                                                                              SUPER HIFU เป็นหัตถการยกกระชับใบหน้าที่ไม่ต้องเตรียมตัวมาก สามารถเตรียมตัวได้ ดังนี้

                                                                              • ก่อนทำ SUPER HIFU ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
                                                                              • ก่อนทำ SUPER HIFU ควรงดสูบบุหรี่
                                                                              • ก่อนทำ SUPER HIFU ควรงดการดื่มแอลกอฮอล์
                                                                              • ก่อนทำ SUPER HIFU ควรงดเว้นการทำโปรแกรมเลเซอร์บริเวณที่ทำ เพราะจะทำให้ผิวบาง

                                                                              ขั้นตอนการทำ SUPER HIFU (ไฮฟู) ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียว

                                                                              • แพทย์ทำการประเมินใบหน้า และวางแผนการรักษาด้วย SUPER HIFU
                                                                              • ผู้ช่วยแพทย์ทำความสะอาดใบหน้า เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการทำ SUPER HIFU
                                                                              • ทายาชาทิ้งไว้ 30-40 นาที เพื่อบรรเทาความเจ็บก่อนทำ SUPER HIFU
                                                                              • เช็ดยาชาเตรียมพร้อมทำการรักษาด้วย SUPER HIFU
                                                                              • แพทย์ทำการยิง SUPER HIFU จนครบจำนวนช็อตที่ต้องการ
                                                                              • ผู้ช่วยแพทย์ทำความสะอาดใบหน้าเป็นอันเสร็จ

                                                                              HIFU

                                                                              การดูแลตัวเองหลังทำ SUPER HIFU (ไฮฟู) ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียว

                                                                              • หลังทำ SUPER HIFU ควรทาครีมกันแดด ที่มี SPF PA++ เป็นประจำ เพื่อป้องกันหน้าจากแสงแดด เนื่องจากหลังทำผิวจะบาง
                                                                              • หลังทำ SUPER HIFU ควรเลี่ยงการสูบบุหรี่
                                                                              • หลังทำ SUPER HIFU ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮลล์
                                                                              • หลังทำ SUPER HIFU ควรงดการอบซาวนน่า
                                                                              • หลังทำ SUPER HIFU ควรงดกิจกรรมที่โดนแสงแดด

                                                                              SUPER HIFU (ไฮฟู) ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียวกี่วันเห็นผล

                                                                              SUPER HIFU เป็นโปรแกรมยกกระชับที่เห็นผลหลังทำตั้งแต่ครั้งแรก และเป็นโปรแกรมที่สามารถทำให้ผิวยกกระชับได้ 20% หลังทำ และจะค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์หลังการทำที่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะ 1-2 เดือน โดยผู้เข้ารับบริการจะเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน ในระยะเวลา 3-4 เดือน

                                                                              SUPER HIFU (ไฮฟู) ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียวควรเว้นระยะนานแค่ไหนก่อนทำครั้งต่อไป

                                                                              สามารถทำ SUPER HIFU ได้ทุก ๆ ระยะเวลา 3-6 เดือน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผิวหน้าเกิดการสร้างเซลล์ Fibroblast และสร้างคอลลาเจนให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อป้องกันผิวหน้าเกิดการหย่อนคล้อยได้

                                                                              หลัง SUPER HIFU (ไฮฟู) ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียวหน้าบวมกี่วัน

                                                                              หลังทำ SUPER HIFU อาจมีใบหน้าบวมประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่จะบวมไม่มาก ผู้เข้ารับบริการสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ในที่นี้ในบางเคสอาจไม่บวมเลยก็ได้เช่นกัน

                                                                              หลัง SUPER HIFU (ไฮฟู) ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียว คงสภาพใต้ผิวอยู่ได้นานแค่ไหน

                                                                              SUPER HIFU คงผลลัพธ์ใต้ผิวได้นาน 5-6 เดือนขึ้นอยู่กับการดูแล และสภาพผิวของแต่ละบุคคล ยิ่งดูแลดี ปฏิบัติตัวตามคำสั่งแพทย์ก็จะยิ่งทำให้คงผลลัพธ์ต่อผิวได้นานมากยิ่งขึ้น

                                                                              หากหยุดทำ SUPER HIFU (ไฮฟู) ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียว จะทำให้ผิวหน้าเกิดความหย่อนคล้อยมากกว่าเดิมหรือไม่

                                                                              หลังจากทำ SUPER HIFU มาแล้วและไม่ทำต่ออย่างต่อเนื่องจะไม่ส่งผลกระทบต่อผิว โดยการทำให้ผิวหนังเกิดความหย่อนคล้อยมากขึ้น เนื่องจากการยิ่งคลื่นจาก SUPER HIFU ลงสู่ผิวนั้นจะเป็นการกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ใต้ผิวหนังจัดเรียงคอลลาเจนใหม่ และเกิดผลดีในการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว โดยไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างชั้นผิวหนัง แต่การที่แนะนำให้ทำทุก ๆ 3-6 เดือนนั้น เป็นการกระตุ้นให้เกิดการสร้างสร้างคอลลาเจนใหม่ที่ใต้ชั้นผิวเพียงเท่านั้น

                                                                              สรุปได้ว่าหลังทำ SUPER HIFU และไม่ได้ทำอย่างต่อเนื่อง จะไม่ส่งผลกระทบในการทำให้ผิวเกิดความหย่อนคล้อยมากขึ้น แต่ผิวจะไม่กระชับเท่าตอนที่ทำ SUPER HIFU เท่านั้นเอง

                                                                              ผู้ที่มีโรคประจำตัว และต้องทานยารักษาโรคเป็นประจำ SUPER HIFU (ไฮฟู) ยกกระชับ เก็บกรอบหน้า ปรับหน้าเรียวได้หรือไม่

                                                                              สามารถทำ SUPER HIFU ได้ โดยไม่ต้องหยุดยา และรักษาอย่างต่อเนื่องได้ในระหว่างทำ ทั้งนี้หากมีความกังวลในการรักษา สามารถปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์ก่อนทำการรักษา เพื่อประเมินความเหมาะสมได้อีกครั้งหนึ่ง

                                                                              ทั้งนี้ในทุกการทำหัตถการหลังทำและก่อนทำ ควรทำการปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์ เพื่อทำการประเมิน และวางแผนการรักษาให้เหมาะแก่ผู้เข้ารับบริการรายบุคคล และหลังทำผู้เข้ารับบริการควรปฏิบัติตัวตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้การรักษามีความปลอดภัย และเห็นผลลัพธ์อย่างดีที่สุดหลังทำการรักษา ที่รมย์รวินท์คลินิกมี SUPER HIFU ให้บริการทุกสาขา และมีแพทย์ผู้มีประสบการณ์พร้อมสำหรับทำการรักษา โดยสามารถเข้ามาปรึกษา เพื่อประเมินปัญหาเบื้องต้นได้ที่หน้าสาขาทั้ง 28 สาขา

                                                                              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                                Snore Laser รักษาอาการนอนกรน คืออะไร ? แก้ปัญหาอาการนอนกรนยังไง?

                                                                                snore laser

                                                                                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                  วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                                  Snore Laser รักษาอาการนอนกรน นอนหลับสบายไร้กังวล

                                                                                  อาการนอนกรนเป็นปัญหาหนักอกหนักใจของใครหลายๆคน ไม่เพียงเท่านั้นยังเป็นปัญหาหลักของความร้าวฉานในครอบครัว เนื่องจากส่งปัญหาถึงผู้นอนร่วมเตียงอย่างภรรยาด้วย เพราะเราทุกคนมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำมากมายในแต่ละวันเมื่อถึงเวลาที่ต้องนอนหลับพักผ่อนทุกคนก็ต้องการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ การที่ต้องตื่นขึ้นมาระหว่างคืน แล้วกว่าจะกลับไปนอนหลับได้อีกแต่ละทีก็ลำบากจึงทำให้คู่รักหลายคู่ต้องทะเลาะกันอย่างหนัก

                                                                                  แต่ในความเป็นจริงแล้ว รู้หรือไม่ว่าอาการนอนกรนนั้นสามารถรักษาได้และวิธีการรักษานั้นไม่ยากจนเกินไป

                                                                                  โดยวิธีแก้อาการนอนกรนนั้นสามารถแก้ไขได้โดยง่ายเบื้องต้นดังต่อไปนี้

                                                                                  1. นอนหนุนหมอนสูง ให้ศีรษะอยู่สูงกว่าลำตัว
                                                                                  2. นอนตะแคงแทนการนอนหงาย จะทำให้หายใจสะดวกมากขึ้น
                                                                                  3. ออกกำลังกายให้มีน้ำหนักตัวที่ไม่มากจนเกินไป
                                                                                  4. งดการสูบบุหรี่
                                                                                  5. งดการดื่มแอลกอฮอล์
                                                                                  6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
                                                                                  7. พักผ่อนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมง
                                                                                  8. เพิ่มความชื้นภายในห้องนอน ด้วยเครื่องทำความชื้น ในระหว่างนอนหลับเพื่อให้หายใจง่ายมากขึ้น
                                                                                  9. ล้างจมูก ด้วยน้ำเกลือ เพื่อให้จมูกโล่งและหายใจง่ายขึ้นก่อนนอน
                                                                                  10. ทำความสะอาดเครื่องนอนให้สะอาด ไร้ไรฝุ่นอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้หายใจง่ายสะดวกมากขึ้น
                                                                                  11. ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาอาการนอนกรน

                                                                                  โดยการนอนกรนสามารถรักษาได้ด้วยการทำ Snore Laser รักษาอาการนอนกรน

                                                                                  Snore Laser รักษาอาการนอนกรน คืออะไร ?

                                                                                  Snore Laser เป็นการรักษาอาการนอนกรนด้วยการใช้เลเซอร์ชนิดเออร์เบี่ยม (Er YAG) ที่ผลิตจากประเทศสหรัฐอเมริกา มีความยาวคลื่นในขนาด 2940 นาโนเมตร

                                                                                  ยิงเข้าไปในช่องปากบริเวณ เพดานอ่อน ของปากกระพุ้งแก้มและลิ้นไก่ (Soft palta และ Uvula) เพื่อให้ Snore Laser เข้าไปกระตุ้นและลงสู่ผิวในชั้น Mucosa ให้ผิวบริเวณดังกล่าวได้สร้างคอลลาเจน เพื่อขยายทางเดินหายใจของคนเราที่เคยเบียดกันให้กว้างมากขึ้น ให้อากาศที่หายใจเข้าไป ผ่านได้อย่างสะดวก เนื่องจากเกิดการตึงตัวของบริเวณที่ทำการยิง Snore Laser จึงส่งผลให้การอุดกั้นทางเดินหายใจลดลง มีความปลอดภัยหมดกังวลในการรักษา เนื่องจาก Snore Laser นั้นผ่านการรับรองจาก US-FDA จากประเทศสหรัฐอเมริการแล้ว

                                                                                  ผลลัพธ์ในการรักษา Snore Laser คือทางเดินหายใจเปิดกว้างมากขึ้นและโล่งขึ้น นอนกรนลดลง หรือเบาลงตามลำดับ

                                                                                  Snore Laser

                                                                                  ผลลัพธ์ของการรักษาด้วย Snore Laser รักษาอาการนอนกรน

                                                                                  1. Snore Laser ช่วยทำให้อาการนอนกรนลดลง
                                                                                  2. Snore Laser ช่วยทำให้การหายใจระหว่างหลับดีขึ้น
                                                                                  3. Snore Laser ช่วยลดการอุดกลั้นของทางเดินหายใจ
                                                                                  4. Snore Laser ช่วยทำให้เพดานปากและลิ้นไก่ที่หย่อนคล้อยลงมา ได้เกิดการกระชับมากขึ้น ส่งผลให้อากาศในขณะหายใจนั้นสามารถผ่านได้สะดวกมากขึ้น
                                                                                  5. Snore Laser ช่วยทำให้คุณภาพการนอนหลับดีขึ้น
                                                                                  6. Snore Laser ช่วยทำให้นอนหลับเต็มตื่นขึ้น
                                                                                  7. Snore Laser ทำให้หลังตื่นนอนรู้สึกสดชื่นมากขึ้น
                                                                                  8. Snore Laser ช่วยทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น

                                                                                  ข้อดีของ Snore Laser รักษาอาการนอนกรน

                                                                                  • Snore Laser ช่วยรักษาอาการนอนกรนให้ลดลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
                                                                                  • Snore Laser ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
                                                                                  • Snore Laser ช่วยรักษาอาการนอนกรนได้โดยไม่ต้องผ่าตัด
                                                                                  • Snore Laser ช่วยรักษาอาการนอนกรนได้โดยไม่ต้องใช้เข็ม
                                                                                  • Snore Laser ช่วยรักษาอาการนอนกรนได้ในระยะเวลาประมาณ 20 นาที
                                                                                  • Snore Laser ช่วยลดโรคต่างๆที่มากับอาการนอนกรนได้
                                                                                  • Snore Laser ไม่ต้องใส่อุปกรณ์ในระหว่างนอน

                                                                                  ข้อเสียของ Snore Laser รักษาอาการนอนกรน

                                                                                  • Snore Laser อาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง
                                                                                  • Snore Laser อาจทำให้มีอาการคอแห้ง

                                                                                  การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการ Snore Laser รักษาอาการนอนกรน

                                                                                  เบื้องต้นให้เริ่มปรึกษาแพทย์ถึงอาการที่เป็นอยู่ และขั้นตอนในการรักษาด้วย Snore Laser จากนั้นเตรียมให้พร้อมสำหรับการเข้ารับการรักษาด้วย Snore Laser เพื่อรักษาอาการนอนกรน

                                                                                  โดยเตรียมตัวดังนี้

                                                                                  1. ก่อนทำ Snore Laser ควรเตรียมสุขภาพให้มีความแข็งแรงสมบูรณ์
                                                                                  2. ก่อนทำ Snore Laser ดูแลรักษาตัวเองให้ไม่มีอาการหวัด หรืออาการทางเดินหายใจ
                                                                                  3. ก่อนทำ Snore Laser ดูแลรักษาตัวเองให้ไม่มีแผลในช่องปาก
                                                                                  4. ก่อนทำ Snore Laser ควรหยุดยาจำพวกยาแอสไพรินก่อนเข้ารับบริการ
                                                                                  5. ก่อนทำ Snore Laser ควรหยุดยาจำพวกยาต้านการแข็งตัวของเลือด
                                                                                  6. ก่อนทำ Snore Laser ควรหยุดยาจำพวกวิตามิน แปะก๊วย วิตามินอี เป็นต้น
                                                                                  7. ก่อนทำ Snore Laser ควรฝึกการหายใจทางปาก และจมูกในช่วงเวลาอ้าปาก
                                                                                  8. ก่อนทำ Snore Laser ควรฝึกกลั้วคอด้วยน้ำหลังจากอ้าปาก

                                                                                  Snore Laser

                                                                                  ขั้นตอนการทำ Snore Laser รักษาอาการนอนกรน

                                                                                  1. แพทย์จะให้ผู้เข้ารับบริการนั่งหรือนอน ในท่าที่สบายที่สุดเพื่อให้เหมาะแก่การเข้ารับบริการ
                                                                                  2. แพทย์จะให้ผู้เข้ารับบริการอ้าปาก ระหว่างนี้ให้ผู้เข้ารับบริการหายใจทางจมูก หรือปากได้ตามสะดวกโดยไม่ต้องกลั้นหายใจ
                                                                                  3. แพทย์ลงมือทำ Snore Laser รักษาอาการนอนกรน โดยการยิงเลเซอร์ลงไปที่บริเวณเพดานอ่อนของปาก กระพุ้งแก้มทั้งสองด้านลิ้นไก่และลิ้น
                                                                                  4. แพทย์จะให้บ้วนน้ำ และกลั้วคอเป็นระยะในเวลาทำการรักษา
                                                                                  5. ทำครบเวลาเป็นอันเสร็จ
                                                                                  6. ผู้ป่วยอยู่ในท่านอนหรือนั่ง ไม่ต้องฉีดยาชาหรือดมยาสลบ ให้ผู้ป่วยอ้าปาก และหายใจทางจมูกหรือปาก ไม่ต้องกลั้นลมหายใจ แล้วบ้วนน้ำกลั้วคอเป็นระยะๆ ผู้ป่วยจะรู้สึกระคายเคืองหรือเจ็บภายในช่องปากและลิ้นในระดับเล็กน้อย ใช้เวลาทำการรักษาเป็นเวลา 20 นาทีโดยประมาณ ขึ้นกับพยาธิสภาพ หลังทำหัตถการเสร็จผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้

                                                                                  การปฏิบัติตนหลังทำหัตถการ Snore Laser รักษาอาการนอนกรน

                                                                                  1. หลังทำหัตถการ Snore Laser ควรดื่มน้ำให้มากๆ หรืออาจดื่มให้มากกว่าปริมาณน้ำที่ดื่มตามปกติ ในระยะเวลา 1 สัปดาห์ หลังเข้ารับบริการ
                                                                                  2. หลังทำหัตถการ Snore Laser ควรงดรับประทานอาหารที่มีรสจัดเป็นเวลา 1 สัปดาห์
                                                                                  3. หลังทำหัตถการ Snore Laser ควรงดดื่มน้ำที่มีความร้อนจัดหรือเย็นจัดเป็นเวลา 1 สัปดาห์
                                                                                  4. หลังทำหัตถการ Snore Laser ควรงดรับประทานอาหารที่มีความร้อนจัดเป็นเวลา 1 สัปดาห์
                                                                                  5. หลังทำหัตถการ Snore Laser ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

                                                                                  นอนกรน

                                                                                  อาการข้างเคียงในการทำ Snore Laser รักษาอาการนอนกรน

                                                                                    1. ผู้เข้ารับบริการ Snore Laser อาจมีอาการระคายเคือง หรือมีแผลอักเสบ

                                                                                  “บริเวณเพดานอ่อนของปาก”

                                                                                    1. ผู้เข้ารับบริการ Snore Laser อาจมีอาการระคายเคือง หรือมีแผลอักเสบ

                                                                                  “บริเวณกระพุ้งแก้ม”

                                                                                    1. ผู้เข้ารับบริการ Snore Laser อาจมีอาการระคายเคือง หรือมีแผลอักเสบ

                                                                                  “บริเวณลำคอ”

                                                                                    1. ผู้เข้ารับบริการ Snore Laser อาจมีอาการระคายเคือง หรือมีแผลอักเสบ

                                                                                  “บริเวณลิ้น และลิ้นไก่”

                                                                                  ความรู้สึกระหว่างทำ Snore Laser รักษาอาการนอนกรน

                                                                                  ระหว่างทำ Snore Laser จะมีความรู้สึกระคายเคืองหรือเจ็บภายในช่องปากและลิ้นเพียงเล็กน้อย ในระดับที่สามารถทนได้ รวมทั้งยังรู้สึกอุ่นๆคล้ายกับการดื่มน้ำอุ่นโดยไม่ส่งผลให้เกิดอันตราย

                                                                                  Snore Laser รักษาอาการนอนกรนใช้ระยะเวลาในการรักษานานเท่าไร?

                                                                                  Snore Laser รักษาอาการนอนกรนใช้ระยะเวลาในการรักษาต่อครั้งเพียง 20-30 นาทีโดยประมาณเท่านั้น

                                                                                  Snore Laser รักษาอาการนอนกรนต้องทำการรักษากี่ครั้งจึงจะเห็นผล ?

                                                                                  Snore Laser จะเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำโดยจะสังเกตได้ตั้งแต่หลังทำครั้งแรกว่าอาการกรนลดน้อยลง

                                                                                  หากในผู้ที่มีอาการกรนมากจำเป็นต้องทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยประมาณ 3-4 ครั้ง

                                                                                  Snore Laser รักษาอาการนอนกรนแต่ละครั้งควรทำห่างกันนานเท่าไร?

                                                                                  Snore Laser แต่ละครั้งควรเว้นระยะห่าง ครั้งละ 1 เดือน หรืออาจจะเร็วช้ากว่านั้นตามการทำนัดของแพทย์ หากปล่อยให้นานกว่า 1 เดือนจะทำให้การรักษาเห็นผลน้อยลง หรือไม่เห็นผลได้

                                                                                  Snore Laser รักษาอาการนอนกรนสามารถคงผลลัพธ์ในการรักษาได้นานเท่าไร?

                                                                                  ผลการรักษา Snore Laser ต่อหนึ่งครั้งคงผลลัพธ์ได้นาน 1 ปี ถึง 1 ปีครึ่ง

                                                                                  Snore Laser

                                                                                  อาการนอนกรนคืออะไร อาการนอนกรนเกิดจากสาเหตุอะไร?

                                                                                  การนอนกรนเกิดจากสาเหตุกล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจของคนเรามีอาการที่แคบลงในขณะที่นอนหลับ ซึ่งอาการนี้เป็นเหตุมาจากการที่กล้ามเนื้อที่อยู่ในบริเวณคอของเราได้หย่อนตัวลงในขณะที่นอนหลังอยู่นั่นเอง ซึ่งเมื่อนอนหลับและทางเดินหายใจแคบลงแล้วก็จะทำให้เกิดเสียงดังในระหว่างที่หายใจตอนนอนหลับหรือที่เราเรียกกันว่าการกรน โดยการกรนนั่นจัดเป็นอาการปลายทางแล้ว ซึ่งต้นทางของการกรนสามารถจำแนก 

                                                                                  สาเหตุของการนอนกรนสามารถจำแนกได้ดังนี้

                                                                                  1. อาการนอนกรนจากการเป็นภูมิแพ้

                                                                                  โรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ ส่งผลให้เกิดการนอนกรนได้ทั้งสิ้น จึงส่งผลให้ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้จะมีอาการนอนกรน เนื่องจากผนังกั้นจมูกอาจมีอาการบวม จึงทำให้เวลาที่นอนจะหายใจไม่สะดวกจึงทำให้เกิดอาการกรน 

                                                                                  1. อาการนอนกรนเนื่องจากมีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐาน

                                                                                  เนื่องจากผู้ที่มีน้ำหนักมาก ผู้ที่ร่างกายอ้วนกว่าเกณฑ์ จะมีช่องทางเดินในการหายใจที่แคบกว่าคนที่มีน้ำหนักตัวปกติ ความอ้วนจึงเป็นสาเหตุให้เกิดอาการนอนกรนได้นั่นเอง 

                                                                                  1. อาการนอนกรนอันเนื่องมาจากบริโภคยาที่ทำให้ง่วง

                                                                                  ยาที่ทำให้ง่วง เช่นยาแก้แพ้ หรือยาแก้เมารถนั้นนส่งผลต่อโดยการออกฤทธิ์กล่อมประสาทและยังเป็นสาเหตุโดยตรงของระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากตัวยาจะเข้าไปทำให้เกิดอาการระคายเคืองในลำคอและส่งผลให้บางรายมีภาวะผนังกั้นจมูกบวมส่งผลให้หายใจยากและเกิดเป็นอาการนอนกรนในที่สุด 

                                                                                  1. อาการนอนกรนอันเนื่องมาจากเป็นเพศชาย

                                                                                  เป็นที่ทราบกันดีว่า ในเพศชายนั้นมีโอกาสที่จะนอนกรนได้มากกว่าในเพศหญิง เนื่องจากกล้ามเนื้อในบริเวณลำคอของเพศชายนั้นจะมีกล้ามเนื้อและเมื่ออายุถึง 30 ปี กล้ามเนื้อดังกล่าวจะมีการคลายตัว ทำให้ไปบีบทำให้แคบลงและขัดขวางทางเดินหายใจ ซึ่งอาการนี้จะเป็นในเพศชายมากกว่าเพศหญิง 

                                                                                  1. อาการนอนกรนอันเนื่องมาจากมีเพดานอ่อน ลิ้นไก่ยาว

                                                                                  ผู้มี่มีเพดานอ่อนลิ้นไก่ยาวนั้นจำเป็นจะต้องทำการผ่าตัดและเย็บตกแต่งเพดานอ่อน ทำให้เกิดอาการนอนกรนอันเนื่องมาจากกายวิภาค 

                                                                                  1. อาการนอนกรนอันเนื่องมาจากโครงสร้างทางเดินหายใจ

                                                                                  ปัญหานี้สังเกตุได้จากผู้ที่มีอาการผนังกั้นจมูกคด มีปัญหาที่โพลงจมูก ต่อมทอลซินโต ต่อมอดีนอยด์โตหรือคัดจมูกเรื้อรัง โดยเป็นสิ่งที่เราๆไม่สามารถมองเห็นได้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจและรักษา 

                                                                                  1. อาการนอนกรนอันเนื่องมาจากการดื่มแอลกอฮอล์

                                                                                  การดื่มแอลกอฮอล์นั้นทำให้กล้ามเนื้อที่ช่องลำคอเกิดการผ่อนคลาย ซึ่งอาการนี้เองส่งผลให้เกิดอาการนอนกรน หากต้องการรักษาเบื้อต้นควรงดดื่มแอลกอฮอล์เพื่อรักษาอาการนอนกรน 

                                                                                  1. อาการนอนกรนอันเนื่องมาจากประวัติสุขภาพของครอบครัว

                                                                                  คือกลุ่มผู้ที่มีพันธุกรรมหรือผู้ที่คนในครอบครัว รวมไปจนถึงผู้ที่มีภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น อาการเหล่านี้ทำให้มาภาวะเสี่ยงในการนอนกรนได้มากกว่าผู้ที่ไม่มีประวัติ 

                                                                                  1. อาการนอนกรนอันเนื่องมาจากการรับประทานยาบางชนิด ที่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองภายในระบบทางเดินหายใจ

                                                                                  คือกลุ่มผู้ที่รับประทานยาบางชนิดที่ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองในระบบทางเดินหายใจจึงทำให้ในระหว่างนอนหลับหายใจยาก และเกิดเป็นอาการนอนกรนในที่สุด 

                                                                                  อาการนอนกรนมีความอันตรายหรือไหม ?

                                                                                  ความอันตรายของอาการนอนกรนนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของอาการนอนกรน

                                                                                  สามารถจำแนกประเภทของอาการนอนกรนได้ 2 ประเภทหลักดังนี้

                                                                                  1. อาการนอนกรนแบบธรรมดา
                                                                                  2. อาการนอนกรนแบบอันตราย

                                                                                  อาการนอนกรนแบบธรรมดา

                                                                                  อาการนอนกรนแบบธรรมดานั้นเป็นประเภทของการนอนกรนที่มีเพียงเสียงที่สร้างความรำคาญแก่คนที่นอนร่วมด้วยเพียงเท่านั้น โดยเป็นอาการตีบแคบของทางเดินหายใจที่เกิดขึ้นเพียงบางส่วน จึงทำให้มีอากาศผ่านจากทางเดินหายใจเข้าสู่ร่างกายได้ แต่การหายใจในช่องคอที่แคบนั้นทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของช่องคอ กลายเป็นเสียงกรนที่ดังขึ้นมาในขณะที่นอนหลับ รวมทั้งทำให้คอแห้งในตอนตื่น แต่การนอนกรนประเภทนี้จะไม่ส่งผลเสีย หรืออันตรายต่อร่างกาย

                                                                                  นอนกรน

                                                                                  อาการนอนกรนแบบอันตราย

                                                                                  อาการนอนกรนแบบอันตรายจะเริ่มจากเป็นผู้ที่มีการนอนกรนแบบธรรมดา แต่ไม่ทำการรักษา จนมีอาการแย่ลง โดยกล้ามเนื้อในช่องคอเกิดการหย่อนตัวลงมากขึ้นจึงส่งผลให้ช่องทางเดินหายใจของคนเรามีความแคบลงและมากขึ้นจนปิดสนิท จึงทำให้ไม่มีอากาศไหลผ่านเข้าสู่ร่างกายได้ จึงทำให้ระหว่างนอนไม่มีการสั่นสะเทือนของร่างกาย ส่งผลให้ไม่มีเสียงกรน อาการนี้จะเรียกกันว่าภาวะหยุดหายใจขณะหลับชนิดอุดกั้น Obstructive Sleep Apnea หรือ OSA

                                                                                  ระดับเสียงของการนอนกรนที่ต้องพึงระวังอันตราย

                                                                                  อาการกรนมีหลายระดับ หากไม่มีอาการหยุดหายใจในขณะที่นอนหลับร่วมด้วย และมีความสงสัยว่าอาการกรนในระดับใดมีอันตรายแทรกซ้อนและควรพบแพทย์ให้สังเกตุได้ดังนี้ 

                                                                                  อาการกรนระดับ 1. กรนในระดับดังเท่าเสียงกระซิบ หรือ เสียงนาฬิกาติดผนัง เสียงเดินของคน หรือเสียงบรรยากาศทั่วไป เสียงต่ำกว่า 30 เดซิเบล  

                                                                                  อาการกรนในระดับนี้จะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อตนเองและคนรอบข้างและยังไม่จัดเป็นอันตราย 

                                                                                  อาการกรนระดับ 2. กรนในระดับเทียบเท่ากับเสียงกระซิบในห้องที่มีความเงียบ หรือประมาณเสียงนกร้องความดังระดับ 30-40 เดซิเบล  

                                                                                  อาการกรนในระดับนี้จะสามารถทำให้เราตื่นในขณะนอนหลับหรือรบกวนการนอนได้ และจะส่งผลกระทบต่อผู้นอนด้วย ที่เป็นเด็กและคนชรามากที่สุด 

                                                                                  อาการกรนระดับ 3. กรนในระดับดังเท่ากับเสียงฝนตกหนักในห้องที่เงียบ หรือเสียงตู้เย็นดังในห้องที่เงียบ ความดังจะอยู่ในระดับ 40-55 เดซิเบล  

                                                                                  อาการกรนในระดับนี้จะมีผลกระทบต่อผู้ที่นอนด้วยรอบข้าง เริ่มจำเป็นจะต้องปรึกษาแพทย์และจะต้องดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิดแล้ว 

                                                                                  อาการกรนระดับ 4. กรนในระดับเทียบเท่ากับห้องเงียบที่มีเสียงพูดคุยดังอื้ออึง ห้องเงียบที่เปิดเพลงดัง และเครื่องซักผ้าดังในห้องเงียบ ความดังจะอยู่ในระดับ มากกว่า 55 เดซิเบล 

                                                                                  อาการกรนในระดับนี้จะอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อคนรอบข้าง ส่งผลต่อการนอนหลับสูงมาก ยังมีงานวิจัยบอกว่าเสียงกรนในระดับนี้จะสื่อถึงว่าผู้ที่กรนมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด เนื่องจากอาการกรนในระดับนี้จะส่งผลให้นอนหลับไม่เพียงพออีกด้วย 

                                                                                  ผู้ที่มีอาการนอนกรนแบบใดควรปรึกษาแพทย์ ?

                                                                                  1. ผู้ที่มีอาการนอนกรนเสียงดังมากจนเกินการนอนกรนปกติ
                                                                                  2. ผู้ที่มีอาการนอนกรนเป็นช่วงสลับกับหยุดหายใจ
                                                                                  3. ผู้ที่มีอาการนอนกรนแล้วเกิดอาการสะดุ้ง เนื่องจากมีอาการสำลักน้ำลาย หรือหายใจไม่ออกร่วมด้วย
                                                                                  4. ผู้ที่มีอาการนอนกรนแล้วมีความรู้สึกนอนไม่เต็มอิ่ม ตื่นตอนเช้าแล้วไม่สดชื่นถึงแม้จะนอนเพียงพอแล้ว
                                                                                  5. ผู้ที่มีอาการนอนกรนแล้วปวดหัว มึนหัว ในทุกเช้า
                                                                                  6. ผู้ที่มีอาการนอนกรนแล้วเกิดการง่วงมากในตอนกลางวัน หรือผู้ที่เคยมีประวัติการเกิดอุบัติเหตุทางการจราจร
                                                                                  7. ผู้ที่มีอาการนอนกรนแล้วปากแห้ง คอแห้ง หรือเจ็บคอในระหว่างตื่นนอน
                                                                                  8. ผู้ที่มีอาการนอนกรนร่วมกับการนอนกัดฟัน

                                                                                  วิธีประเมินทางเดินหายใจของตัวเองได้ง่ายๆ

                                                                                  สามารถประเมินทางเดินหายใจได้ง่ายๆ ดังนี้

                                                                                  โดยการอ้าปากกว้าง และแลบลิ้นออกมาให้เต็มที่ โดยไม่ต้องเปล่งเสียงออกมาในระหว่างที่แลบลิ้น

                                                                                  ประเมินทางเดินหายระดับที่ 1. คือระดับปกติ จะสามารถมองเห็นเพดานอ่อน ลิ้นไก่ และท่อนซิลได้อย่างครบถ้วน

                                                                                  ประเมินทางเดินหายระดับที่ 2. คือระดับมีปัญหาทางเดินหายใจในระดับน้อย จะสามารถมองเห็นเพดานอ่อน และลิ้นไก่ได้ โดยจะมองไม่เห็นท่อนซิล

                                                                                  ประเมินทางเดินหายระดับที่ 3. คือระดับมีปัญหาทางเดินหายใจในระดับปานกลาง จะสามารถมองเห็นเพดานอ่อน และโคนลิ้นไก่เท่านั้น โดยจะมองไม่เห็นท่อนซิลและลิ้นไก่ทั้งหมด

                                                                                  ประเมินทางเดินหายระดับที่ 4. คือระดับมีปัญหาทางเดินหายใจในระดับรุนแรง จะสามารถมองเห็นเฉพาะบริเวณเพดานแข็งในช่องปากเท่านั้น ไม่สามารถมองเห็นเพดานอ่อน ท่อนซิลและลิ้นไก่ได้

                                                                                  หากอยู่ในระดับปานกลาง และระดับรุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อทำ Snore Laser รักษาอาการนอนกรนเพื่อป้องกันอันตรายที่มาจากการนอนกรนตามมา และไม่ให้เกิดอันตรายในอนาคต

                                                                                  สำหรับผู้ใดที่ไม่สามารถตรวจเช็ดได้โดยตนเองในเบื้องต้น สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ และให้แพยท์ตรวจเบื้องต้นได้ที่รมย์รวินท์คลินิกสาขาชิดลม มีอุปกรณ์สำหรับทำการรักษาและให้บริการอย่างครบครัน จนหมดปัญหานอนกรนได้อย่างแน่นอน อย่าปล่อยให้ปัญหาเล็กๆในเวลานอนหลับ ก่อให้เกิดทั้งปัญหาของชีวิตคู่ ไปจนถึงอันตรายแก่ชีวิต หยุดการนอนกรน ให้นึงถึงรมย์รวินท์คลินิก Snore Laser รักษาอาการนอนกรน ได้อย่างแน่นอน

                                                                                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                    วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                                    เลเซอร์ (Laser) กำจัดขนรักแร้คืออะไร ? ทำไมต้องทำ ?

                                                                                    กำจัดขนรักแร้

                                                                                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                      วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                                      เลเซอร์ขนรักแร้
                                                                                      เลเซอร์ขนรักแร้

                                                                                       

                                                                                      รักแร้เนียนสวย เพิ่มความสะอาด เสริมความมั่นใจ

                                                                                      ความมั่นใจเป็นสิ่งที่เราสามารถสร้างได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น กิริยาท่าทาง รูปร่างหน้าตา ไปจนถึงการนำเอาสิ่งไม่พึงประสงค์ในร่างกายของเราออก เมื่อได้ชื่อว่าเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์แล้ว หมายความว่า การมีสิ่งนี้ในร่างกาย จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีนั้นเอง ขนรักแร้ เป็นหนึ่งสิ่งที่ใคร ๆ ก็อยากเอาออก เพราะนอกจากจะทำให้หมดความมั่นใจในการแต่งตัว การใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ยังส่งผลในเรื่องของความสะอาดในร่างกายด้วย ขนรักแร้จึงเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็มักจะเอาออกด้วยวิธีต่าง ๆ

                                                                                      โดยสิ่งที่เราเห็นกันมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก หรือมีประสบการณ์ร่วมน่าจะเป็นวิธีการถอน พอโตขึ้นมาหน่อยก็เป็นการโกน และในที่สุดก็คงเป็นการตัดสินใจทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้นั่นเอง

                                                                                      เลเซอร์กำจัดขนรักแร้คืออะไร?

                                                                                      การเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ คือ การยิงคลื่นพลังงานลงไปสู่ขน เพื่อให้พลังงานดังกล่าวทำลายเส้นขนถึงราก และไม่ขึ้นมาอีกในที่สุดนั่นเอง โดยคลื่นที่ใช้ในการกำจัดขนที่รมย์รวินท์คลินิก คือ คลื่นลำแสงความเข้มข้น 1,064 นาโนเมตร (nm) พลังงาน 80 จูล นอกจากนี้ยังมีการปล่อยพลังงานความเย็นออกมาเป็นระยะในระหว่างการทำการรักษา เพื่อความสบายและความปลอดภัยของผู้เข้ารับบริการ ที่ชื่อโหมดว่า DCD: Dynamic Cooling Device ที่ออกแบบมาเพื่อให้ป้องกันผิวหนังชั้นหนังแท้ ในระหว่างที่ทำเลเซอร์กำจัดขนให้ปลอดภัย และยังเพิ่มความสว่างกระจ่างใส ให้กับบริเวณที่ทำการเลเซอร์กำจัดขนรักแร้อีกด้วย

                                                                                      เลเซอร์ขนรักแร้

                                                                                      เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ช่วยอะไรได้บ้าง?

                                                                                      ด้วยผลลัพธ์ในการทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ จะช่วยทำให้ขนบริเวณใต้รักแร้ขึ้นได้ช้าลง ขึ้นน้อยลงไปจนถึงไม่ขึ้นเลยได้อย่างถาวร ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่ทำการเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ และเมื่อไม่มีขนรักแร้ บริเวณใต้วงแขนก็จะสะอาดมากขึ้น เหงื่อออกลดลง มีกลิ่นตัวที่น้อยลง ความอับชื้นบริเวณรักแร้น้อยลง รูขุมขนบริเวณรักแร้ ตุ่มหนังไก่กระชับมากขึ้น เนื่องจากไม่ต้องทำการถอนแล้ว และสีผิวบริเวณรักแร้ก็จะสว่างกระจ่างใสมากขึ้นด้วย

                                                                                      ปัญหาที่เกิดจากการมีขนรักแร้คืออะไร?

                                                                                      1. การมีขนรักแร้ ทำให้มีเหงื่อออกที่บริเวณใต้วงแขนมากกว่าปกติ
                                                                                      2. การมีขนรักแร้ นับว่าเป็นที่สะสมของแบคทีเรียทำ
                                                                                      3. การมีขนรักแร้ เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุของการทำให้เกิดกลิ่นตัว
                                                                                      4. การมีขนรักแร้ ทำให้ผิวหนังใต้วงแขนไม่เรียบเนียน
                                                                                      5. การมีขนรักแร้ ทำให้เกิดปัญหาขนคุด และผิวหนังไก่
                                                                                      6. การมีขนรักแร้ ทำให้เกิดรอยดำใต้วงแขน
                                                                                      7. การมีขนรักแร้ ทำให้รูขุมขนใต้วงแขนกว้าง ซึ่งส่งผลให้มีกลิ่นตัว
                                                                                      8. การมีขนรักแร้ ทำให้ขาดความมั่นใจในการแต่งตัวตามแฟชั่น ตามยุคสมัย
                                                                                      9. การมีขนรักแร้ ทำให้ดูเป็นคนสกปรก

                                                                                      ข้อดีของการเลเซอร์กำจัดขนรักแร้

                                                                                      • การเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ เป็นวิธีกำจัดขนรักแร้ที่เข้าทำลายถึงระดับราก และโคนของเส้นขน ส่งผลให้การเกิดขนขึ้นใหม่ได้ช้าลง หรือไม่เกิดขนขึ้นเลย
                                                                                      • การเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ เป็นวิธีกำจัดขนรักแร้ที่สะดวก ปลอดภัย
                                                                                      • การเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ เป็นวิธีการกำจัดขนที่ทำให้ผิวบริเวณใต้วงแขนเรียบเนียน  ไม่เป็นตุ่มหนังไก่
                                                                                      • การเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ช่วยลดปัญหาการเกิดขนคุด
                                                                                      • การเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ช่วยให้ใต้วงแขนสว่างกระจ่างใส
                                                                                      • ราคาสูงกว่าการกำจัดขนวิธีอื่น ๆ แต่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์
                                                                                      • หากใช้เครื่องเลเซอร์กำจัดขนที่ไม่ได้มาตรฐาน พลังงานไม่เสถียร อาจผลข้างเคียง เช่น ผิวไหม้ รอยแผลเป็น รอยดำ
                                                                                      • การเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ เป็นวิธีการกำจัดชนที่สะดวกสบาย ไม่ต้องทำเอง
                                                                                      • การเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ช่วยลดรูขุมขนอุดตัน และเกิดการอักเสบ
                                                                                      • การเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ช่วยลดปัญหาด้านการอับชื้น หมักหมมของเหงื่อบริเวณรักแร้
                                                                                      • การเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ช่วยแก้ปัญหากลิ่นตัว
                                                                                      • การเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ เป็นวิธีการกำจัดขนที่คงผลลัพธ์ในการกำจัดขนได้ยาวนานที่สุดในทุกวิธี
                                                                                      • การเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ เป็นวิธีการกำจัดขนที่ไม่เจ็บ

                                                                                      ข้อเสียของการเลเซอร์กำจัดขนรักแร้

                                                                                      • การเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ อาจเป็นวิธีที่ราคาสูงกว่าการกำจัดขนวิธีอื่น ๆ
                                                                                      • การเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ไม่สามารถทำได้เองที่บ้าน
                                                                                      • การเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ อาจเกิดการเขินอาย เพราะต้องให้คนอื่นทำให้ ต่างจากวิธีที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง
                                                                                      • การเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ หากทำในสถานที่ที่ไม่ได้รับมาตรฐาน อาจเกิดอันตรายเช่นการเบิร์น ไหม้ได้

                                                                                      การเตรียมตัวก่อนทำการเลเซอร์กำจัดขนรักแร้

                                                                                      การเตรียมตัวเป็นสิ่งที่ควรทำตามเพื่อความปลอดภัยของผิวหนังบริเวณรักแร้ในขณะที่ทำการรักษา

                                                                                      • ก่อนทำการเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ควรงดกำจัดขนรักแร้ด้วยตนเองก่อนเข้ารับบริการ
                                                                                      • ก่อนทำการเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ งดการทาครีมที่มีส่วนผสมของกรด ต่าง ๆ อาทิ AHA BHA เรตินอยด์ หรือกรดผลไม้ ก่อนทำเลเซอร์กำจัดขน เนื่องจากครีมที่มีส่วนผสมของกรดดังกล่าวจะทำให้ผิวหนังผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวไวต่อแสง และความร้อนจากการทำเลเซอร์

                                                                                      ขั้นตอนการทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้

                                                                                      • ผู้ช่วยแพทย์ทำความสะอาดผิวบริเวณรักแร้
                                                                                      • ผู้ช่วยแพทย์ทำการกำจัดขนรักแร้ที่มีอยู่เดิม หากมี
                                                                                      • ผู้ช่วยแพทย์จะทาเจลเย็นบริเวณรักแร้ เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้
                                                                                      • แพทย์ทำการปรับเครื่องให้รองรับสีผิว และสีขนของผู้เข้ารับบริการ
                                                                                      • แพทย์ทำการยิงเลเซอร์ เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ให้ทั่วจนเสร็จ
                                                                                      • ผู้ช่วยแพทย์ทำความสะอาดเจลที่ทาเคลือบบริเวณรักแร้ให้สะอาด

                                                                                      การดูแลตัวเองหลังจากทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้

                                                                                      หลังจากที่ได้ทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ควรปฏิบัติและดูแลตนเองดังนี้เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                                                                                      • หลังทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ สามารถประคบเย็นบริเวณใต้วงแขน เพื่อลดอาการแสบร้อนหลังทำเลเซอร์
                                                                                      • หลังทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ควรงดการใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ทั้งโรลออน น้ำหอม หลังทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ในช่วง 2-3 วันแรก ป้องกันการระคายเคือง
                                                                                      • หลังทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ควรงดการกำจัดขนที่ขึ้นใหม่ด้วยตนเอง และรอให้ถึงการนัดทำเลเซอร์ครั้งต่อไป

                                                                                      ทั้งนี้ควรทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ในแต่ละครั้งให้มีระยะเวลาที่ห่างกันประมาณ 4 สัปดาห์ เพื่อให้การรักษาเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด หรือเข้ามาทำหลังทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ได้บ่อยกว่านั้น ตามคำแนะนำของแพทย์ในกรณีที่มีขนเยอะ และรากขนหนา

                                                                                      Laser

                                                                                      เลเซอร์กำจัดขนรักแร้เหมาะกับใคร

                                                                                      • เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ เหมาะกับผู้ที่ต้องการกำจัดขนรักแร้อย่างถาวร
                                                                                      • เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความขาว กระจ่างใส ให้กับบริเวณรักแร้
                                                                                      • เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความเรียบเนียนให้กับรักแร้
                                                                                      • เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความสะอาดให้กับบริเวณรักแร้
                                                                                      • เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดเหงื่อ และกลิ่นเหงื่อ ที่รักแร้
                                                                                      • เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ เหมาะกับผู้ที่เคยกำจัดขนด้วยวิธีอื่น แล้วเวลาขนขึ้นใหม่กลายเป็นขนคุด
                                                                                      • เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาในการกำจัดขนรักแร้ด้วยตัวเอง
                                                                                      • เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดการเกิดแบคทีเรียสะสมที่รักแร้
                                                                                      • เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ เหมาะกับผู้ที่ต้องการสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง เวลาแต่งตัวแฟชั่นโชว์รักแร้
                                                                                      • เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ เหมาะกับผู้ที่แพ้การกำจัดขนด้วยแวกซ์
                                                                                      • เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ เหมาะกับผู้ที่แพ้การกำจัดขนด้วยครีมกำจัดขน

                                                                                      โปรแกรม Yag laser เลเซอร์กำจัดขนไม่เหมาะกับใคร

                                                                                      • เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ไม่เหมาะกับผู้ที่ใส่อุปกรณ์เสริมที่เป็นเหล็ก หรือโลหะในร่างกาย หากเป็นกรณีนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ
                                                                                      • เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ไม่เหมาะกับผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทกรดทารักแร้เป็นประจำ หากต้องการทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ควรงดก่อน
                                                                                      • เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ไม่เหมาะกับผู้มีแผลเปิด บริเวณรักแร้
                                                                                      • เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะแพ้แสง
                                                                                      • เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่
                                                                                      • เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติชักโดยการใช้แสงกระตุ้น
                                                                                      • เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติรับประทานยาที่ทำให้เกิดการไวต่อแสง

                                                                                      เปรียบเทียบการกำจัดขนรักแร้ด้วยวิธีอื่นและโปรแกรมกำจัดขนรักแร้ของรมย์รวินท์คลินิก

                                                                                      การกำจัดขนด้วยวิธีการเลเซอร์ มีด้วยกันหลากหลายวิธี ในแต่และสถานให้บริการก็มีหลากหลายเครื่องให้เลือกสรร ผู้เข้ารับบริการสามารถเลือกได้ตามความพึงพอใจ และความเหมาะสมของขนและผิวบริเวณใต้วงแขน

                                                                                      เลเซอร์ขนรักแร้

                                                                                        1. โปรแกรมกำจัดขนรักแร้ของรมย์รวินท์คลินิก

                                                                                      เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ของรมย์รวินท์คลินิกเครื่อง Yag Laser ที่มีคลื่นพลังงานที่มีความยาว 1,064 นาโนเมตร มีพลังงาน 80 จูล และยังสามารถปล่อยความเย็นในโหมด DCD: Dynamic Cooling Device ออกมาเพื่อปลอบประโลมผิวหนังชั้นบนที่เป็นผิวหนังแท้ ให้มีความปลอดภัย ไม่เจ็บ ไม่ร้อน ไม่ทิ้งความร้อนหลังจากทำการกำจัดขนรักแร้ และยังทำให้ผ่อนคลายในระหว่างทำอีกด้วย จัดเป็นเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเห็นผลเร็ว กำจัดขนอย่างตรงจุด ไม่ทำให้ผิวบริเวณโดยรอบเกิดอันตราย ไม่เบิร์น ไม่แสบ ไม่ร้อน ทั้งยังช่วยในการปรับสีผิว และลดขนาดรูขุมขนได้อีกด้วย 

                                                                                        1. โปรแกรม Diode laser

                                                                                      เป็นเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ที่กำจัดได้ไม่ถึงราก ปรับพลังงานได้ตั้งแต่ 800-810 นาโนเมตร 940 นาโนเมตร หรือ 1,350-1,064 นาโนเมตร ตามความต้องการของผู้ให้บริการ แต่เลเซอร์ชนิดนี้จะทำให้เกิดการระคายเคือง หรือบวมแดงได้บ้างหลังจากการทำการเลเซอร์ เหมาะกับบริเวณที่มีขนหนา ขนเส้นใหญ่ และอาจไม่เหมาะเท่าไหร่กับผู้ที่มีผิวสีเข้ม แต่จะเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวขาว ขาวเหลืองถึงระดับกลาง เหมาะสำหรับการใช้เพื่อกำจัดขนในบริเวณที่กว้าง เช่น แขน ขา หน้าอกผู้ชาย เป็นต้น 

                                                                                        1. โปรแกรม IPL (Intense Pulsed Light)

                                                                                      เป็นเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ที่ใช้คลื่นความยาว 515-1,200 นาโนเมตร ทำงานโดยการที่แสงเลเซอร์จะเข้าไปจับกับเม็ดสีขอเส้นขน โดยไม่สามารถกำจัดได้ถึงรากขน IPL จะเริ่มทำลายรากขนเป็นวงกว้าง ในบางทีอาจส่งผลให้เกิดอันตรายตอนกำจัดขนรักแร้ได้ การกำจัดขนรักแร้วิธีนี้อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวเข้ม ในบางทีที่ทำการรักษาอาจทำให้เกิดการระคายเคือง บวม แดง หลังทำการรักษาได้ นิยมใช้คู่กับเลเซอร์กำจัดขนชนิดอื่น ๆ เพื่อให้ผลลัพธ์ในการกำจัดขนดียิ่งขึ้น 

                                                                                        1. โปรแกรม Alexandrite Laser

                                                                                      เลเซอร์กำจัดขน ที่มีลักษณะความยาวของคลื่นในความยาว 755 นาโนเมตร โดยการใช้ผลึก Alexandrite เป็นตัวปล่อยพลังงานคลื่น นับเป็นคลื่นที่มีพลังงานคลื่นไม่ยาวนัก และไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวคล้ำ เพราะตัวเครื่องอาจจะดูดซับพลังงานมากเกินไป ทำให้เกิดอันตรายในระหว่างการรักษาได้ จึงเหมาะกับผู้ที่มีผิวขาว หรือขาวเหลืองเท่านั้น  

                                                                                      จะเห็นได้ว่าโปรแกรมกำจัดขนโปรแกรมอื่น ๆ จะไม่เหมาะกับทุกสีผิว มีเพียงแค่เลเซอร์กำจัดขนจากรมย์รวินท์คลินิกเท่านั้น ดังนั้นก่อนเข้ารับบริการควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีในการรักษา และเพื่อความเหมาะสมกับสีผิว และสภาพผิวของผู้เข้ารับบริการที่สุด 

                                                                                      laser

                                                                                      ทำไมเราต้องมีขน

                                                                                      ขน จะเกิดจากโปรตีนในร่างกาย ที่เรียกว่าเคราตินที่กลายเป็นเส้นใยนั่นเอง โดยขนมีหน้าที่ในร่างกาย คือ ช่วยปกคลุมร่างกาย ลดการกระแทก ลดการเสียดสีในบริเวณต่าง ๆ ช่วยรักษาอุณหภูมิในร่างกายให้มีความสมดุลมากขึ้น ช่วยไม่ให้เชื้อโรค หรือปรสิตที่มองไม่เห็นเข้าสู่ร่างกายของเราโดยง่าย ที่สำคัญขนในบางบริเวณยังมี เพื่อป้องกันการสะสมของสิ่งสกปรกและแบคทีเรียอีกด้วย

                                                                                      ทำความรู้จักวงจรเส้นขน เพื่อให้เข้าใจก่อนทำเลเซอร์กำจัดขน

                                                                                      เส้นขนของคนเรามีการเจริญเติบโตตามวงจร 3 ระยะ ดังนี้

                                                                                      ระยะที่ 1. Anagen hair (ระยะเจริญเติบโตของเส้นขน)

                                                                                      เป็นระยะของเส้นขนที่มีการแบ่งตัวของเซลล์ และมีการสร้างเมลานินที่เป็นเม็ดสี ที่เซลล์มีการแบ่งตัวมากมาย เส้นขนในระยะนี้เป็นเส้นขนที่มีความสมบูรณ์มากที่สุด เป็นระยะของเส้นขนที่อยู่ในร่างกายของคนเรามากที่สุด เพราะทั้งร่างกายของคนเรา เส้นขนจะอยู่ในระยะการเจริญเติบโตของเส้นขนถึง 80 เปอร์เซนต์ เลยทีเดียว โดยเมื่อเราอายุมากขึ้น เส้นขนในระยะนี้จะมีอายุที่สั้นลงตามไปด้วยนั่นเอง

                                                                                      ระยะที่ 2. Catagen Hair (ระยะเสื่อมสภาพ)

                                                                                      เป็นระยะที่เส้นขนเริ่มมีการหยุดเจริญเติบโต หรือเรียกว่าเป็นขนแก่ หรือขนมีอายุมาก ในระยะนี้เมลานินในรูขุมขนจะแบ่งตัวได้น้อยลง รากขนจะเริ่มหดตัว รับสารอาหารได้ไม่ทั่วถึง และเริ่มร่วงลงในที่สุด โดยเส้นขนเมื่อเข้าสู่ระยะนี้แล้วจะคงสภาพอยู่ได้ประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนที่จะค่อย ๆ ฝ่อตัวและร่วงออก

                                                                                      ระยะที่ 3. Telogen Hair (ระยะสุดท้ายหรือระยะฟักตัว)

                                                                                      เป็นระยะของเส้นขนที่เกิดจากการร่วงจากต่อมของขน จนถึงโคนขน ในระยะที่ 2 จากนั้น ต่อมต่าง ๆ ของรากขนจะมาฟื้นฟู และขยายตัว เพื่อพร้อมสำหรับการเกิดเส้นขนใหม่ ก่อนเข้าสู่วงจรในระยะที่ 1 ของเส้นขนโดยในระยะที่ 3 นี้จะมีระยะเวลาในการฟักตัวของเส้นขนเป็นระยะเวลา 1-3 เดือน

                                                                                      FAQ รวมคำถามที่น่าสงสัยเกี่ยวกับเลเซอร์กำจัดขน

                                                                                      1.  เลเซอร์กำจัดขน ต้องทำทั้งหมดกี่ครั้งจึงจะเห็นผล หรือขนรักแร้หายหมด

                                                                                      การทำเลเซอร์กำจัดขนจะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ครั้งที่ 4 โดยจะเริ่มจาก ขนเริ่มร่วงจากรากขนที่โดนเลเซอร์กำจัดขนจนตายทำให้ขนเกิดช้าลง และไม่ขึ้นในที่สุด อาจต้องทำติดต่อกัน 6-8 ครั้ง เพื่อให้รากขนและขนตายสนิท เพื่อป้องกันการเกิดใหม่ของขนในอนาคต 

                                                                                      1. ทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้แล้วทำให้ผิวบางจริงหรือไม่

                                                                                      การทำเลเซอร์กำจัดขนนั้น เป็นเพียงการใช้พลังงานแสงยิงไป เพื่อจับเม็ดสีขนและทำลายรากขน โดยการยิงแสงเลเซอร์และเปลี่ยนให้เป็นพลังงานความร้อน โดยการทำเลเซอร์กำจัดขนทุกครั้ง ผลพลอยได้ก็ คือ การที่ใต้วงแขนจะเกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ รวมทั้งเกิดการจัดเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนใต้ผิวหนัง นั่นหมายความว่านอกจากการทำเลเซอร์กำจัดขน จะไม่ส่งผลให้รักแร้ หรือบริเวณที่ทำบางลงแล้ว แต่กลับจะทำให้ผิวหนังยิ่งมีความหนามากขึ้น อันเกิดจากการสร้างตัว และจัดเรียงตัวของคอลลาเจนที่บริเวณใต้วงแขนนั่นเอง 

                                                                                      1. ทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้แต่ละครั้งควรห่างกันนานเท่าไหร่?

                                                                                      การทำเลเซอร์กำจัดขนทุก ๆ ครั้ง จะได้รับนัดจากแพทย์ผู้ให้บริการ ทั้งนี้ปกติแล้วแพทย์จะทำการนัดวันครั้งถัดไปจากวันแรก ในระยะเวลาห่างจากครั้งก่อนหน้าประมาณ 4 สัปดาห์หลังจากนี้ หากขนอ่อนลงแล้วจะสามารถทำห่างขึ้นได้ 

                                                                                      1. ทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้สามารถกำจัดขนได้ถาวรหรือไม่?

                                                                                      การทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ สามารถกำจัดขนโดยไม่ขึ้นมาได้ในระยะหนึ่งในคนที่มีขนที่หนามาก ในคนที่มีขนบาง ๆ สามารถหายไปได้อย่างถาวร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผิวหนัง และสภาพขน สีขน ของแต่ละบุคคล  

                                                                                      โดยปกติผู้ที่มีขนหนาขนจะขึ้นภายในจะ 4-7 ปีแตกต่างกันไป แต่ขนที่กลับมาขึ้นจะเป็นขนที่มีเส้นบาง ไม่หนา 

                                                                                      1. เลเซอร์กำจัดขนรักแร้มีผลข้างเคียงจากการทำหรือไม่?

                                                                                      หากเข้ารับบริการจากสถานที่ให้บริการที่ได้มาตรฐาน ทำโดยผู้มีประสบการณ์ทุกขั้นตอน การทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้จะไม่มีผลข้างเคียงเลย แต่หากทำในสถานให้บริการที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีผู้มีประสบการณ์ในการควบคุม อาจพบผลข้างเคียง เช่น เกิดอาการไหม้ แสบ ร้อน แดง บวม ปวด หรือเจ็บ ทั้งในระหว่างทำ และหลังการทำได้ 

                                                                                      1. เลเซอร์กำจัดขนรักแร้เจ็บไหม?

                                                                                      การทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ อาจทำให้มีความเจ็บ หรือร้อนบ้างในการทำแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว แต่ก่อนทำจะมีการประคบน้ำแข็ง หรือทาเจลเย็น เพื่อบรรเทาความเจ็บอยู่แล้ว แต่หากทนความพร้อมไม่ได้สามารถแจ้งระหว่างทำได้

                                                                                      1. หลังทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ สามารถทาครีมบำรุงได้หรือไม่

                                                                                      หลังทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ควรงดหรือหลีกเลี่ยงการทาครีมบำรุงผิว หรือการทาโรลออน เนื่องจากอาจมีส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ที่เป็นน้ำหอม หรือสารเคมีที่ส่งผลกระทบต่อผิวบริเวณรักแร้ แต่สามารถทาเจลที่ผลิตจากว่านหางจระเข้ เพื่อเป็นการปลอบประโลมผิวบริเวณรักแร้ได้ เนื่องจากการทำเลเซอร์กำจัดขนรัก อาจทำให้ผิวบริเวณที่ทำให้เกิดการระคายเคืองได้ 

                                                                                      1. เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ สามารถลดกลิ่นกายได้หรือไม่

                                                                                      เลเซอร์กำจัดขนรักแร้สามารถลดกลิ่นกายได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้กลิ่นกายหายไปจนหมด แต่ในคนที่มีกลิ่นน้อย หรือไม่มีเลยอาจจะหายไปได้ แต่ในผู้ที่มีกลิ่นกายมาก ๆ จะส่งผลให้ดีขึ้น เนื่องจากการทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ เป็นการช่วยให้รูขุมขนมีขนาดที่เล็กลง เหงื่อออกน้อยลง ซึ่งนอกจากลดกลิ่นกายได้แล้ว ยังช่วยลดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์อื่น ๆ ได้ด้วย อาทิ กลิ่นอับ กลิ่นเปรี้ยวของเหงื่อ เป็นต้น 

                                                                                      1. เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ใช้เวลาในการทำกี่นาที

                                                                                      โดยปกติแล้ว การทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ จะใช้เวลาในการทำ 30 นาที โดยประมาณ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณของขน ในแต่ละบุคคล และความหนาของขนด้วย 

                                                                                      ทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ควรเลือกอย่างไร

                                                                                      1. เลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ควรเลือกทำในสถานที่ให้บริการ หรือคลินิกเสริมความงามที่มีมาตรฐาน มีการบริการที่ดีสร้างความประทับใจให้กับผู้เข้ารับบริการได้ทุกครั้ง
                                                                                      2. ผู้ทำต้องมีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในการใช้เครื่องเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ไม่ว่าจะเป็น การยิง การปรับพลังงาน การเลือกบริเวณที่ยิง และการประเมินการรักษา
                                                                                      3. ต้องเลือกคลินิกที่ให้บริการด้วยเครื่องแท้ มีเอกสารต่าง ๆ ในการการันตีว่ามีความปลอดภัยในการรักษา
                                                                                      4. มีคลินิกหลายสาขาทั่วประเทศไทย พร้อมสำหรับให้บริการ ตามความสะดวกของผู้เข้ารับบริการ
                                                                                      5. ดูแลผู้เข้ารับบริการมาหลายปี มีความน่าเชื่อถือ
                                                                                      6. มีเคสรีวิวการันตีเป็นจำนวนมาก
                                                                                      7. อยู่ในการดูแลของแพทย์

                                                                                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                        วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                                        AC Clear I รักษาสิวใน 4 ขั้นตอน คืออะไร ? ช่วยอะไร ?

                                                                                        Ac clear i

                                                                                        before & after รักษาสิว


                                                                                        before & after รักษาสิว


                                                                                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                          วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                                                                          รักษาสิวใน 4 ขั้นตอนด้วย AC Clear I

                                                                                          ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็หนีมลภาวะที่ต้องเจอในแต่ละวันไม่พ้น ไม่ว่าจะเป็น สภาพอากาศ ฝุ่น มลพิษ สารเคมี ควันรถ ถ้าเป็นผู้หญิงยิ่งแล้วใหญ่ยังต้องเจอกับปัญหาเครื่องสำอางอุดตัน หากล้างหน้าไม่สะอาดเข้าไปอีก แต่ปัญหาพวกนี้นับเป็นปัญหาที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปทางไหนได้เลย ต่อให้ใส่หน้ากากอนามัย ก็ไม่สามารถปิดบังใบหน้าจากมลภาวะได้ทั้งหน้า  หรือผู้หญิง ก็ไม่สามารถแต่งหน้าเพียงแค่ด้านบนได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อมลภาวะ และมลพิษจากสิ่งรอบข้างมากมายขนาดนี้แล้ว สิ่งที่เราควรทำ คือ การล้างหน้าให้สะอาด เพื่อป้องกันใบหน้าให้ห่างไกลจากการหมักหมม และสะสมสิ่งสกปรกจนกลายเป็นสิวในที่สุด แต่ต่อให้จะล้างหน้าดีแค่ไหน ปัจจัยจากการเกิดสิวก็ไม่ได้เกิดจากการล้างหน้าไม่สะอาดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สิวยังเกิดจากปัจจัยอีกมากมายหลายอย่าง ดังต่อไปนี้


                                                                                          Ac clear i

                                                                                          สิว สามารถเกิดได้จากปัจจัยหลัก 4 ปัจจัยดังนี้

                                                                                            1. สิวเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน

                                                                                          การอุดตันของรูขุมขน อันเป็นสาเหตุของการเกิดสิว คือ การหนาตัวของเซลล์หนังกำพร้า ในขณะเดียวกันกระบวนการผลัดเซลล์ผิวของร่างกายก็เกิดการผิดปกติเช่นกัน จึงทำให้ผิวหนังบริเวณนั้น ๆ เกิดการอุดตัน และกลายเป็นสิวอุดตันในที่สุด

                                                                                            1. ความผิดปกติของต่อมไขมัน

                                                                                          ต่อมไขมัน เป็นต่อมที่ทำหน้าที่ผลิตไขมันในการหล่อเลี้ยงผิวหนังอยู่แล้วโดยปกติ แต่ไขมันที่ทำการผลิตนั้นจะเป็นปริมาณที่กำลังดี และมีความเหมาะสมต่อสภาพผิวหน้า แต่ในผู้ที่ต่อมไขมันมีความผิดปกติในการผลิตไขมัน จนมีการสะสมเป็นจำนวนมากที่รูขุมขน จึงทำให้เกิดการอุดตันของไขมันที่รูขุมขน

                                                                                            1. เชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P.acnes) หรือชื่อใหม่คือ Cutibacterium acnes (C.acnes)

                                                                                          เป็นเชื้อที่อาศัยอยู่ที่รูขุมขน และจะมีการสะสมของไขมันที่อุดตันในรูขุมขน จึงทำให้เกิดการสร้างอาหารของสิวที่มีความสมบูรณ์ จึงทำให้แบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C.acnes) ที่เพิ่มมากขึ้น และทำให้เกิดสิว และสิวอุดตันนั่นเอง

                                                                                            1. การอักเสบบริเวณรูขุมขน

                                                                                          เมื่อผิวหนังมีการอุดตันของทั้งเซลล์ผิวหนัง เซลล์ไขมัน รวมทั้งเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C.acnes) ที่รูขุมขนเป็นจำนวนมาก จะทำให้เกิดการสร้างสิวอุดตัน และเมื่อสิวอุดตันเกิดการขยายตัว ทำให้แพร่เชื้อและขยายตัวสู่ผิวหนังด้านข้าง ทำให้เกิดการกระตุ้นให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ และกลายเป็นสิวอักเสบที่มีลักษณะ บวม นูน แดง  เมื่อเป็นสิวแล้ว หากไม่รีบหาสาเหตุของสิวเพื่อทำการรักษาก็จะส่งผลให้เกิดสิวเรื้อรัง และจะยิ่งรักษาให้หายขาดยากมากขึ้นในที่สุด รมย์รวินท์คลินิก มีโปรแกรมรักษาสิว ที่รักษาเคสมาแล้วกว่า 28 ปี และยังเป็นโปรแกรมรักษาสิวที่ได้รับความนิยมตลอดกาล อย่าง AC Clear I โปรแกรมรักษาสิวที่รักษาสิวได้อย่างชะงัดมานับต่อนับ ใน 4 ขั้นตอนที่คิดมาแล้วเป็นอย่างดี


                                                                                          Ac clear i

                                                                                          การรักษาสิวด้วย AC Clear I 4 ขั้นตอนประกอบไปด้วย

                                                                                            1. ขั้นตอนรักษาสิวด้วยการ กดสิว

                                                                                          ด้วยเทคนิคการกดสิวโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ประจำรมย์รวินท์คลินิก เพื่อลดปริมาณการอักเสบและอุดตันของสิว

                                                                                            1. ขั้นตอนรักษาสิวด้วยการ ฉีด

                                                                                          ฉีดตัวยาเพื่อรักษาสิวที่เริ่มอักเสบแล้วบนใบหน้า เพื่อยับยั้งการอักเสบของสิว และเพื่อลดอาการบวมแดงที่เกิดขึ้นของสิว

                                                                                            1. ขั้นตอนรักษาสิวด้วยการ ทรีตเม้นต์

                                                                                          ลดเชื้อสิวและฆ่าเชื้อสิวที่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าให้ลดลง ลดโอกาสการเกิดใหม่ของสิวบนใบหน้า

                                                                                            1. ขั้นตอนรักษาสิวด้วยการ มาส์ก

                                                                                          ขั้นตอนการปลอบประโลมผิวอย่างอ่อนโยน หลังจากทำการรักษาทั้งหมด ทั้งยังช่วยกู้ผิวที่บอบบางจากการเกิดสิวให้กลับมาแข็งแรงได้ใหม่อีกครั้ง


                                                                                          Ac clear i

                                                                                          สิวมีกี่ประเภท และ AC Clear I สามารถรักษาสิวอะไรได้บ้าง

                                                                                          ประเภทของสิวที่ AC Clear I สามารถรักษาได้ คือ “สิวไม่อักเสบ (Non-inflammatory acne)”

                                                                                          • สิวอุดตัน
                                                                                          • สิวไม่มีหัว
                                                                                          • สิวหัวดำ
                                                                                          • สิวคอมีโดน
                                                                                          • สิวผด
                                                                                          • สิวเสี้ยน
                                                                                          • สิวหัวขาว หรือสิวข้าวสาร
                                                                                          • สิวฮอร์โมน หรือสิวติดสารสเตียรอยด์

                                                                                          ประเภทของสิวที่ AC Clear I สามารถรักษาได้ คือ “สิวอักเสบ (Inflammatory acne)”

                                                                                          • สิวหัวหนอง หรือสิวหัวช้าง 
                                                                                          • สิวไม่มีหัว 


                                                                                          ข้อดีของการรักษาสิวด้วย AC Clear I

                                                                                          • การรักษาสิวด้วย AC Clear I ช่วยรักษาสิวได้ถึงต้นตอของปัญหา 
                                                                                          • การรักษาสิวด้วย AC Clear I ช่วยรักษาสิวแบบไม่ทำลายผิว 
                                                                                          • การรักษาสิวด้วย AC Clear I รักษาสิวได้ในระยะสั้น
                                                                                          • การรักษาสิวด้วย AC Clear I รักษาสิวได้แบบไม่เลี้ยงไข้ 
                                                                                          • การรักษาสิวด้วย AC Clear I นอกจากรักษาสิวยังช่วยฟื้นฟูผิว 
                                                                                          • การรักษาสิวด้วย AC Clear I ช่วยลดการเกิดสิวใหม่ 
                                                                                          • การรักษาสิวด้วย AC Clear I บำรุงผิวได้ดีกว่าการทาครีม 
                                                                                          • การรักษาสิวด้วย AC Clear I ช่วยปลอบประโลมผิวหน้าได้ดีกว่าการรักษาสิวทั่วไป 
                                                                                          • การรักษาสิวด้วย AC Clear I รักษาสิวแบบไม่ก่อให้เกิดรอยสิว 


                                                                                          รักษาสิว

                                                                                          ใครที่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I

                                                                                          • ผู้ที่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่มีสิวอุดตัน
                                                                                          • ผู้ที่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่มีอักเสบ
                                                                                          • ผู้ที่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่มีสิวไม่มีหัว
                                                                                          • ผู้ที่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่มีสิวหัวดำ
                                                                                          • ผู้ที่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่มีสิวคอมีโดน หรือสิวอุดตัน
                                                                                          • ผู้ที่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่มีสิวผด
                                                                                          • ผู้ที่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่มีสิวเสี้ยน
                                                                                          • ผู้ที่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่มีสิวหัวขาว หรือสิวข้าวสาร
                                                                                          • ผู้ที่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่มีสิวฮอร์โมน หรือสิวติดสารสเตียรอยด์
                                                                                          • ผู้ที่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่มีสิวหัวหนอง หรือสิวหัวช้าง
                                                                                          • ผู้ที่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่มีสิวไม่มีหัว
                                                                                          • ผู้ที่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่มีแนวโน้มจะเกิดสิว
                                                                                          • ผู้ที่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่เป็นสิวเรื้อรัง
                                                                                          • ผู้ที่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่รักษาสิวด้วยวิธีต่าง ๆ แล้วไม่หาย
                                                                                          • ผู้ที่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่อยากหายเป็นสิวในระยะเวลาอันสั้น
                                                                                          • ผู้ที่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่ไม่ต้องการรักษาสิวด้วยตัวเอง


                                                                                          ใครที่ไม่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I

                                                                                          • ผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่มีรอยสิวที่ต้องรักษาต่อ
                                                                                          • ผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่เป็นสิวระหว่างการตั้งครรภ์
                                                                                          • ผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่เป็นสิวระหว่างการให้นมบุตร
                                                                                          • ผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ
                                                                                          • ผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่มีบาดแผล
                                                                                          • ผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่ติดเชื้อบริเวณผิวหนัง
                                                                                          • ผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษาสิวด้วย AC Clear I คือผู้ที่แพ้ยาตัวที่จะนำมาทำไอออนโตโฟเรซิส


                                                                                          รักษาสิว

                                                                                          การเตรียมตัวก่อนการรักษาสิวด้วย AC Clear I

                                                                                          1. ก่อนการรักษาสิวด้วย AC Clear I ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินสภาพผิวหน้า ประเภทสิว และวางแผนการรักษา
                                                                                          2. ก่อนการรักษาสิวด้วย AC Clear I ควรพักผ่อนให้เต็มที่ เพื่อเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการรักษา
                                                                                          3. ก่อนการรักษาสิวด้วย AC Clear I หากหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าได้ ควรหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าก่อนเข้ารับบริการ


                                                                                          การดูแลตัวเองหลังการรักษาสิวด้วย AC Clear I

                                                                                          1. หลังการรักษาสิวด้วย AC Clear I ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังทำ
                                                                                          2. หลังการรักษาสิวด้วย AC Clear I ควรทาครีมบำรุงผิว และครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป ทุกครั้งที่ต้องเจอแดด
                                                                                          3. หลังการรักษาสิวด้วย AC Clear I ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถนอมผิว รักษาความสะอาดของผิวอย่างสม่ำเสมอ
                                                                                          4. หลังการรักษาสิวด้วย AC Clear I ควรพักหน้าเนื่องจากผิวหน้าเกิดการระคายเคืองจากการกด และฉีดสิว
                                                                                          5. หลังการรักษาสิวด้วย AC Clear I งดแต่งหน้า 1 วัน เพื่อให้ใบหน้าได้รับการฟื้นฟู


                                                                                          ประโยชน์ของการรักษาสิวด้วย AC Clear I ทั้ง 4 ขั้นตอน

                                                                                          ขั้นตอนการรักษาสิวด้วยการกดสิวของ AC Clear I

                                                                                          การกดสิว คืออะไร

                                                                                          เป็นการเอาหัวสิวออก ด้วยการกดหรือบีบในบริเวณที่เกิดสิว โดยวิธีการใช้เข็มหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการกดสิวโดยเฉพาะ ในการจิ้มเปิดผิวแล้วค่อยกดให้หัวสิวออกมา โดยขั้นตอนทั้งหมดต้องสะอาด และปลอดภัย ทั้งนี้ผู้ที่ทำการกดจะต้องมีประสบการณ์และชำนาญ เนื่องจากหัวสิวที่หลุดออกมาเมื่อไปโดนผิวในบริเวณอื่น อาจทำให้บริเวณอื่นเกิดการสะสมของแบคทีเรีย และเกิดเป็นสิวใหม่ได้ในอนาคต

                                                                                          การกดสิว เหมาะกับสิวประเภทใด ?

                                                                                          การกดสิวจะเหมาะมากกับผู้ที่เป็นสิวอุดตัน สิวหัวดำ และสิวหัวขาวเป็นต้น และแพทย์จะหลีกเลี่ยงการกดสิวประเภท สิวหนอง หรือสิวหัวช้าง สิวผด สิวอักเสบ

                                                                                          ประโยชน์ของขั้นตอนการกดสิวด้วย AC Clear I

                                                                                          การกดสิวด้วย AC Clear I จะเป็นการกดสิวโดยแพทย์เท่านั้น ซึ่งขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนการรักษาสิวขั้นตอนแรกที่ช่วยในการเคลียร์สิวเบื้องต้น โดยการกดสิวโดยแพทย์จะมีความปลอดภัย และสามารถมั่นใจได้ว่าผิวหนังบริเวณที่ทำการกดสิวจะเกิดการระคายเคืองได้น้อยกว่าผู้ที่ไม่ชำนาญ นอกจากนี้ขั้นตอนการกดสิวจะต้องรักษาความสะอาด เพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรีย โดยวิธีนี้จะทำให้สิวอุดตันหายได้ง่ายและเร็วมากขึ้น


                                                                                          ขั้นตอนการรักษาสิวด้วยการฉีดสิวของ AC Clear I

                                                                                          การฉีดสิวคืออะไร

                                                                                          ขั้นตอนการฉีดสิว คือ การที่แพทย์ใช้ตัวยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ในการฉีดลงไปที่สิว เพื่อลดการอักเสบของสิว ลดการบวมแดงของสิว ช่วยทำให้สิวหายเร็วขึ้น และเกิดผลกระทบต่อผิวได้น้อยลง

                                                                                          การฉีดสิวฉีดในสิวประเภทใด

                                                                                          โดยปกติแล้วแพทย์จะทำการฉีดสิวในสิวกลุ่มที่เป็นสิวอักเสบ ไม่ว่าจะเป็น สิวอักเสบที่มีหัว และสิวอักเสบที่ไม่มีหัว


                                                                                          รักษาสิว


                                                                                          รักษาสิว


                                                                                          รักษาสิว


                                                                                          ประเภทของสิวอักเสบ

                                                                                          สิวอักเสบกลุ่มที่ 1

                                                                                          (Acne Type 1) สิวอักเสบกลุ่มนี้เรามักเรียกกันว่า สิวอุดตัน โดยสิวชนิดนี้ในบางทีจะมีการอักเสบเล็กน้อยที่เกิดอยู่ภายในรูขุมขน จะเห็นได้ว่าอาจกลายเป็นเม็ดที่ดูนูนบวมขึ้นมามากกว่าปกติ เป็นสีเดียวกันกับสีผิวของเรา หากไม่ทำการรักษาจะฝังตัวอยู่ในผิวได้เป็นระยะเวลานาน

                                                                                          สิวอักเสบกลุ่มที่ 2

                                                                                          (Acne Type 2) สิวอักเสบกลุ่มนี้เป็นสิวที่อยู่ ๆ ก็ขึ้น มาแบบที่เราไม่ทันได้ตั้งตัว โดยปกติแล้วจะมีความเกี่ยวข้องกันกับเซลล์ Monocyte จึงทำให้สิวประเภทนี้เกิดการอักเสบได้ในระยะปานกลาง อาจมองเห็นได้ว่าเป็นเม็ดนูนที่ประกอบไปด้วยสีผิวที่เปลี่ยนไปเป็นชมพูอ่อน ๆ หรือมีอาการเจ็บ คันเล็กน้อยร่วมด้วย แต่สิวประเภทนี้จะมีอายุอยู่เพียงไม่นานประมาณ 3 วันเท่านั้น

                                                                                          สิวอักเสบกลุ่มที่ 3

                                                                                          (Acne Type 3) สิวอักเสบกลุ่มนี้เวลาขึ้นจะเริ่มเห็นว่าเป็นสิวอย่างชัดมากขึ้น โดยสิวประเภทนี้จะมีความเกี่ยวข้องกันกับเซลล์ Neutrophils ที่จะอยู่ตรงผิวหนังชั้นหนังแท้ ห่างจากรูขุมขนเพียงเล็กน้อย สิวชนิดนี้จะมีความอักเสบที่ไม่มาก เนื่องจากจะอักเสบที่ผิวหนังชั้นตื้น อาจมีหนองร่วมด้วย หรือไม่มีหนองก็ได้ สิวจะมีขนาดปานกลาง ไม่เกิน 5 มิลลิเมตร มีอายุอยู่บนผิวหนังได้นานมากขึ้นกว่าในกลุ่มที่ 2 โดยจะมีอายุประมาณ 6-8 สัปดาห์

                                                                                          สิวอักเสบกลุ่มที่ 4

                                                                                          (Acne Type 4) สิวอักเสบกลุ่มนี้จะเห็นเด่นชัดว่านี่ คือ สิว เนื่องจากลักษณะจะเห็นได้ชัดเจน สิวประเภทนี้จะมีความเกี่ยวข้องกันกับเซลล์ Neutrophils จะเป็นสิวที่อยู่ในผิวที่ลึกที่สุดในบรรดาสิวอักเสบทั้ง 4 กลุ่ม โดยจะอยู่ที่ผิวชั้นหนังแท้ชั้นล่าง จึงทำให้เมื่อไรที่เป็นจะมีอาการอย่างรุนแรง คือ ทั้งเจ็บ ทั้งบวม คัน แดง หรืออาจมีลักษณะที่เห็นภายนอกว่าเป็นก้อนเหมือนไตแข็ง เหมือนถุงน้ำในบางที สิวประเภทนี้จะมีขนาดใหญ่กว่า 5 มิลลิเมตร เป็นต้นไป และยังมีอายุบนผิวหนังได้ยาวนานกว่า 4 เดือน หากไม่ทำการฉีดสิวเพื่อรักษา


                                                                                          รักษาสิว


                                                                                          รักษาสิว

                                                                                          ในการรักษาสิวด้วย AC Clear I แพทย์จะฉีดสิวฉีดทุกเม็ดไหม

                                                                                          การฉีดสิวแพทย์อาจไม่ได้ฉีดในสิวอักเสบทุกเม็ด และมักจะฉีดในสิวที่มีความบวม เป่ง และเม็ดใหญ่มาก ๆ หากทิ้งเอาไว้นาน ๆ อาจก่อให้เกิดรอยสิว หรือแผลเป็นได้สิวประเภทนี้มักทำให้เจ็บในเวลาใช้ชีวิตประจำวัน การฉีดจะทำให้กายเร็วขึ้นและไม่ทิ้งรอย

                                                                                          ประโยชน์ของขั้นตอนการฉีดสิวด้วย AC Clear I

                                                                                          เป็นการรักษาสิวอักเสบอย่างรวดเร็ว โดยจะเห็นผลลัพธ์ได้ในระยะเวลา 24-72 ชั่วโมง หลังจากที่ทำการรักษาสิวด้วย AC Clear I เสร็จ ไม่ทิ้งรอย ไม่ต้องทายาต่อเนื่อง ไม่ต้องกังวลว่าอุปกรณ์ที่ใช้จะสะอาดหรือไม่ เพราะที่รมย์รวินท์คลินิกการรักษาสิวด้วย AC Clear I ทำโดยแพทย์ อุปกรณ์ทุกอย่างปลอดภัย ผ่านการฆ่าเชื้อเป็นอย่างดี

                                                                                          ขั้นตอนการรักษาสิวด้วยการทำทรีทเมนต์ของ AC Clear I

                                                                                          ทรีทเมนต์ คืออะไร

                                                                                          คือ การใช้เครื่องในการผลักวิตามิน เพื่อฆ่าเชื้อสิวและลดเชื้อสิว เพื่อลดการเกิดใหม่ของสิว ด้วยการใช้เครื่องทรีทเมนต์ดังกล่าว จะทำหน้าที่ในการทำให้ตัวยาที่ใช้รักษาสิวซึมลงสู่ผิวได้มากขึ้น เห็นผลได้ชัดกว่าการทาครีมเพื่อบำรุง โดยการใช้คลื่นเสียงในการเป็นตัวกลาง ส่งผลให้สิวหายเร็วขึ้น พร้อมได้ผิวหน้าที่ดีกลับมาเร็วขึ้นนั่นเอง

                                                                                          ทรีทเมนต์เหมาะกับสิวประเภทไหน

                                                                                          สามารถใช้ได้กับสิวทุกประเภท แต่ไม่เหมาะกับบุคคลที่มีผิวหนังที่ติดเชื้อ หรือมีบาดแผลที่ผิวหนัง จึงควรรักษาให้หายก่อนค่อยมาทำรักษาสิวด้วย AC Clear I เพื่อป้องกันการลุกลามของเชื้อ

                                                                                          ขั้นตอนการรักษาสิวด้วยการมาส์กของ AC Clear I

                                                                                          มาส์ก คืออะไร

                                                                                          การปลอบประโลมผิวอย่างอ่อนโยน หลังจากเกิดการระคายเคืองจากการกด และฉีดมาแล้ว ช่วยในการฟื้นฟูผิวบริเวณที่ทำการรักษาสิวด้วย AC Clear I ได้ฟื้นสภาพกลับมาดูสวยใสได้อีกครั้ง โดยใช้เวลาฟื้นฟูไม่นานก็ทำให้ผิวกลับมาดีได้เหมือนเดิม

                                                                                          ดังนั้นการรักษาสิวด้วย AC Clear I จึงนับเป็นการรักษาสิวที่ครบสำหรับทุกปัญหาสิว และยังมีความปลอดภัย เนื่องจากทุกขั้นตอนแพทย์เป็นผู้ทำการรักษา จึงสามารถมั่นใจได้ว่าจะไม่มีผลกระทบอื่น ๆ ตามมาจากการทำรักษาสิวด้วย AC Clear I อย่างแน่นอน

                                                                                          โดยการรักษาสิวด้วย AC Clear I เป็นโปรแกรมรักษาสิวเทคนิคเฉพาะที่รมย์รวินท์คลินิกเท่านั้น หากต้องการรักษาสิวด้วยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ ลงมือทำ และดูแลอย่างใกล้ชิดด้วยแพทย์ทุกขั้นตอนต้องที่ รมย์รวินท์คลินิก เท่านั้น

                                                                                          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                            วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                                            ฟิลเลอร์ (Filler) ฉีดสารเติมเต็ม คืออะไร?

                                                                                            Filler

                                                                                            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                              วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                                                                              สวยครบจบหน้า แบบไม่ต้องผ่าตัดด้วยฟิลเลอร์ (Filler)

                                                                                              ความสวย เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ไม่ว่าจะใครก็ต้องการครอบครองความสวยความงามกันทั้งนั้น แต่ในยุคที่เปลี่ยนไป การตีความความงามและความสวยของในแต่ละบุคคลก็แปรเปลี่ยนไป ไม่ได้เป็นไปตามบรรทัดฐานของสังคม ไม่ว่าจะเป็น เรื่องรูปร่าง ที่บางคนชอบในการเป็นคนไซส์เอ็กเอส หรือในบางคนชอบที่จะเป็นสาวมีเนื้อมีหนังไซส์แอล ในบางคนชอบที่จะมีรูปหน้าเรียวยาว หรือในบางคนชอบที่จะมีแก้มกลม เป็นสาวหน้ากลมก็ได้ทั้งนั้นในยุคสมัยนี้ เพราะความสวยไม่มีถูกไม่มีผิด ความสวยในยุคนี้ ไม่มีการตีกรอบอีกต่อไป แต่ในเมื่อเราดันไม่เกิดมาเป็นหญิงสาว ที่สวยในแบบฉบับของตัวเอง หรือมีปัญหาบางอย่างบนใบหน้าให้ต้องแก้ไขก็ต้องหาวิธีปรับ หรือแต่งให้เป็นไปตามความต้องการ หรือความสวยในแบบฉบับของตัวเราเอง การใช้ฟิลเลอร์ก็เป็นวิธีหนึ่งที่คนนิยมใช้เพื่อการปรับ หรือตกแต่งโครงหน้า รูปหน้า หรืออวัยวะต่าง ๆ บนใบหน้าให้สวยตามต้องการตามแบบฉบับของตัวเอง แต่ฟิลเลอร์มีหลายชนิด หลายเนื้อสัมผัส และหลายผลลัพธ์ หากต้องการฉีดฟิลเลอร์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่พอใจ ก็ควรทราบข้อมูลของฟิลเลอร์เบื้องต้น เพื่อความปลอดภัยในการรักษา


                                                                                              ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร?

                                                                                              ฟิลเลอร์ คือ การฉีดสารเติมเต็มกลุ่ม Hyaluronic Acid (อ่านว่า ไฮยาลูโรนิคแอซิด) เข้าไปที่ผิวหนังชั้นต่าง ๆ เพื่อสร้างโครงสร้าง ปรับโครงสร้าง รวมทั้งเติมจุดที่มีความบกพร่องบนใบหน้า ให้เต็มมากขึ้น ในขณะเดียวกัน สารเติมเต็มดังกล่าวยังช่วยปรับผิวให้มีความชุ่มชื้น มีความยืดหยุ่น และสุขภาพดีได้อีกด้วย

                                                                                              ฟิลเลอร์ (Filler) มีกี่ชนิด

                                                                                              สามารถแบ่งชนิดของฟิลเลอร์ (Filler) ได้เป็น 3 กลุ่มดังนี้

                                                                                              1. Permanent Filler ฟิลเลอร์ “แบบถาวร”

                                                                                              ฟิลเลอร์ หรือสารเติมเต็มในกลุ่มนี้ เราจะรู้จักหรือได้ยินกันอย่างคุ้นหูว่า “ซิลิโคนเหลว” (Liquid Silicone) หรืออีกชนิดที่ได้ยินกันบ่อย ๆ คือ “พาราฟิน” (Paraffin) ซึ่งเป็นสารที่ฉีดเข้าไปที่บริเวณใต้ผิวหนัง แล้วจะจับตัวกันเป็นก้อน อาจมีรูปทรงสวยหรือไม่สวยตามแต่ผู้ที่ฉีด เมื่อเวลาผ่านไป อาจเกิดผลกระทบ เช่น การอักเสบ เป็นหนอง หรือติดเชื้อตามมา

                                                                                              สารที่เป็นฟิลเลอร์ หรือสารเติมเต็มแบบถาวร จะไม่สามารถสลายได้ หากต้องการจะเอาออกจะต้องทำการผ่าตัด และขูดออกโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์เท่านั้น โดยในยุคหนึ่งฟิลเลอร์ชนิดนี้ จะได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็มีคนจำนวนมากที่จะต้องแก้ไขปัญหาที่ตามมาจากการฉีดฟิลเลอร์แบบถาวร และในยุคนี้ฟิลเลอร์ชนิดนี้จะสามารถพบได้จากผู้ที่ยังใช้บริการแพทย์ปลอม หรือหมอกระเป๋าอยู่ ซึ่งในที่สุดก็ต้องทำการผ่าตัดหรือขูดออกอยู่ดี

                                                                                              2. Non-Permanent Filler ฟิลเลอร์ “แบบชั่วคราว”

                                                                                              ฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็มกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ปลอดภัย ได้รับการรับรองจาก อย.หลายประเทศตามแต่ยี่ห้อของฟิลเลอร์ โดยหลักแล้วฟิลเลอร์กลุ่มนี้จะใช้ส่วนประกอบในการผลิต คือ

                                                                                              Hyaluronic Acid : สารจากธรรมชาติที่ร่างกายเราสามารถผลิตขึ้นมาได้เอง จากโมเลกุลของน้ำตาล polysaccharide ที่อยู่ภายในเนื้อเยื่อของร่างกาย จึงทำให้ร่างกายของเราสามารถสร้าง Hyaluronic Acid ขึ้นมาได้เองนั่นเอง และเมื่อสารชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายของเรา ก็จะสามารถสลายออกเองได้ตามธรรมชาตินั่นเอง

                                                                                              ฟิลเลอร์

                                                                                              ชนิดเนื้อของฟิลเลอร์ (Filler) มีหลากหลายลักษณะ ดังนี้

                                                                                              ชนิดของฟิลเลอร์ หรือสารเติมเต็มแบ่งออกเป็น 3 แบบ ดังนี้

                                                                                                1. ฟิลเลอร์ (Filler) เนื้อละเอียด

                                                                                              ฟิลเลอร์ชนิดนี้จะมีเนื้อสัมผัสของตัวเจลที่อ่อนนุ่ม  บางเบาคล้ายน้ำ ที่มีความเหนียว ๆ โดยเนื้อเจลของฟิลเลอร์เนื้อละเอียดจะนิ่มมากที่สุด มีความเหมาะสมสำหรับใช้ในการฉีดในผิวชั้นตื้นเพื่อเก็บรายละเอียด และเหมาะกับการเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ ทั้งยังใช้เพื่อเพิ่มคุณภาพผิวได้อีกด้วย เนื่องจากฟิลเลอร์ชนิดนี้จะช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้น ให้กับผิวหน้าที่มีความแห้งได้

                                                                                                1. ฟิลเลอร์ (Filler) เนื้อนิ่ม

                                                                                              ฟิลเลอร์ชนิดนี้จะมีเนื้อสัมผัสของตัวเจลที่อ่อนนุ่ม มีความยืดหยุ่นน้อย โดยปกติฟิลเลอร์ชนิดนี้ จะมีความเหมาะสมในการใช้แก้ปัญหา บริเวณผิวตื้น ๆ หรือบริเวณที่มีปัญหาไม่มาก ไม่เน้นใช้ความยืดหยุ่นของเนื้อเจล อีกทั้งไม่มีความคงทน เพราะเป็นฟิลเลอร์เนื้อที่สามารถสลายได้ง่าย

                                                                                                1. ฟิลเลอร์ (Filler) เนื้อกลาง

                                                                                              ฟิลเลอร์ชนิดนี้ จะมีเนื้อสัมผัสของตัวเจลที่มีความนิ่มในระดับกลาง และจะมีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นมาจากฟิลเลอร์ชนิดเนื้อนิ่ม สามารถเกาะตัว คงตัวได้ในระดับหนึ่ง โดยปกติจะใช้ในบริเวณที่ต้องการได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เช่น ใช้เพื่อเติมเต็มบริเวณหน้าผากให้ดูมีความโหนกนูนมากขึ้น ใช้ฉีดปากเพื่อให้ได้รูปมากขึ้น บริเวณขมับใช้เพื่อแก้ปัญหาขมับตอบ เติมเต็มแก้มตอบ รวมทั้งใช้เพื่อฉีดร่องแก้มเพื่อเติมเต็มเป็นต้น

                                                                                                1. ฟิลเลอร์ (Filler) เนื้อแข็ง

                                                                                              ฟิลเลอร์ชนิดนี้จะมีเนื้อสัมผัสของตัวเจลที่มีความหนาแน่นที่สุด และเป็นฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง คงตัวสูง เหมาะสำหรับนำไปใช้ในการขึ้นโครงสร้างใบหน้า อาทิ การนำไปฉีดเพื่อปรับโครงหน้า ฉีดกราม คาง โหนกแก้ม เพื่อเพิ่มมิติให้กับใบหน้านั่นเอง

                                                                                              filler

                                                                                              ฟิลเลอร์ (Filler) สามารถทำได้บริเวณไหนได้บ้าง

                                                                                              การฉีดฟิลเลอร์ หรือการเติมสารเติมเต็ม สามารถฉีดได้ทั่วทั้งใบหน้าและร่างกาย แต่ในที่นี้จะกล่าวเพียงใบหน้า ดังต่อไปนี้

                                                                                              • หน้าผาก
                                                                                              • ขมับ
                                                                                              • ใต้ตา
                                                                                              • แก้ม
                                                                                              • ร่องแก้ม
                                                                                              • ปาก
                                                                                              • คาง
                                                                                              • กรอบหน้า

                                                                                              โดยการฉีดฟิลเลอร์ (Filler) แต่ละบริเวณ เป็นการฉีดเพื่อแก้ปัญหา ดังนี้

                                                                                                1. ฟิลเลอร์ (Filler) หน้าผาก

                                                                                              การฉีดฟิลเลอร์ที่หน้าผาก เป็นการทำเพื่อแก้ปัญหาในบางคนที่มีหน้าผากแบน ไม่สมส่วน ทำให้ใบหน้าไม่มีมิติ หรือทำให้ภาพรวมใบหน้าเวลาแต่งหน้า หรือรวบผมออกมาดูไม่สวยเท่าที่ควร ในบางคนยังฉีดฟิลเลอร์ หรือสารเติมเต็มบริเวณหน้าผากให้มีความโหนกนูน เพื่อปรับโหงวเฮ้งอีกด้วย แต่ในบริเวณนี้แพทย์ผู้ทำการรักษา จำเป็นอย่างมากที่จะต้องมีประสบการณ์ และมีความชำนาญ เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดเป็นจำนวนมากทั้งเล็กและใหญ่

                                                                                                1. ฟิลเลอร์ (Filler) ขมับ

                                                                                              การฉีดฟิลเลอร์ที่ขมับ เนื่องจากในบางคนมีขมับที่ตอบ ยุบ ทำให้รวบผม หรือทำผมแล้วไม่สวย ทั้งยังทำให้ดูโทรม และยังทำให้ดูมีโหนกแก้มใหญ่อีกด้วย ในบางกรณีจะใช้การฉีดฟิลเลอร์ขมับ หรือการเติมสารเติมเต็มเพื่อการแก้ปัญหาของคนที่ต้องการลดโหนกแก้ม เสริมใบหน้าให้มีความละมุม ดูหวานมากขึ้นด้วย โดยบริเวณนี้จะมีเนื้อบาง จึงทำให้เจ็บในระหว่างฉีดจึง จำเป็นต้องใช้แพทย์ที่มีประสบการณ์ในการรักษา เพื่อความปลอดภัยและเพื่อบรรเทาความเจ็บ

                                                                                                                 3. ฟิลเลอร์ (Filler) ใต้ตา

                                                                                              การฉีดฟิลเลอร์ที่ใต้ตา เป็นการฉีดฟิลเลอร์เพื่อใช้ในการช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ บริเวณรอบดวงตา ที่สามารถเป็นกันได้ทุกคน อาทิ ขอบตาดำ แก้ปัญหาถุงใต้ตา แก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตา แก้ปัญหาเบ้าตาลึก โดยที่ฟิลเลอร์ สามารถแก้ปัญหาใต้ตาได้ ทั้งที่ เกิดจากโรคประจำตัวต่าง ๆ เช่น ใต้ตาดำอันเป็นสาเหตุจากอาการภูมิแพ้ได้ด้วย โดยหลังฉีดฟิลเลอร์หรือเติมสารเติมเต็มนั้น จะส่งผลให้ใต้ตาดูเติมเต็ม สดใสขึ้น ดูไม่หมอง ไม่คล้ำ และยังทำให้ดูนอนเต็มอิ่มอีกด้วย

                                                                                                1. ฟิลเลอร์ (Filler) แก้ม

                                                                                              การฉีดฟิลเลอร์ที่แก้ม เป็นฟิลเลอร์ที่ช่วยปรับให้ใบหน้าดูเด็กมากขึ้น โดยสามารถเติมที่หน้าแก้ม หรือเติมที่บริเวณแก้มส้มเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากการยุบตัวของโครงสร้างกระดูก บริเวณแก้ม ที่ทำให้แก้มหย่อนคล้อย หน้าแก้มแบน ส่งผลให้ใต้ตาดูลึก ได้ด้วย

                                                                                                1. ฟิลเลอร์ (Filler) ร่องแก้ม

                                                                                              การฉีดฟิลเลอร์ที่ร่องแก้มเป็นการฉีดฟิลเลอร์ จุดที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากอยู่ที่จุดกึ่งกลางของใบหน้า เมื่อเป็นร่องลึกจะยิ่งเห็นเด่นชัด ทำให้ปากดูคว่ำ และยิ่งดูมีอายุ เมื่อถูกเติมเต็มก็จะทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ ดูยิ้มและเป็นมิตรมากขึ้น

                                                                                                1. ฟิลเลอร์ (Filler) ปาก

                                                                                              การฉีดฟิลเลอร์ที่บริเวณปาก เป็นการฉีดฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงนี้ เนื่องจากเป็นบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์แล้วได้ผลลัพธ์ที่เห็นชัด และสามารถเปลี่ยนใบหน้าไปได้เป็นอย่างมาก แก้ปัญหาริมฝีปากบาง ริมฝีปากไม่เท่ากัน ปากมีร่องลึก มีริ้วรอยหรือมีรูปทรงที่ไม่สวย นอกจากนี้ยังช่วยเติมเต็ม ริมฝีปากให้มีความอวบอิ่ม สวย ได้รูป และยังช่วยให้ปากมีความชุ่มชื้น และยังทำให้ปากมีสีที่อมชมพูขึ้นเหมาะกับการทาลิปสติกอีกด้วย

                                                                                                1. ฟิลเลอร์ (Filler) คาง

                                                                                              การฉีดฟิลเลอร์ที่บริเวณคาง เป็นการแก้ปัญหาสำหรับผู้ที่มีคางสั้น คางตัด คางทู่ คางบุ๋ม และยังปรับใบหน้าให้ดูเรียวยาวสมส่วนมากยิ่งขึ้นได้ เป็นการแก้ปัญหารูปหน้าที่ให้ผลลัพธ์ที่ดี และเป็นธรรมชาติมากกว่าการศัลยกรรมผ่าตัดทำคาง และสามารถเพิ่มได้ตามความต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องกลัวว่าฉีดไปแล้วหากยาวเกินไป หรือไม่เหมาะกับตัวเองจะต้องผ่าตัดเอาซิลิโคนออก

                                                                                                1. ฟิลเลอร์ (Filler) กรอบหน้า

                                                                                              การฉีดฟิลเลอร์ที่บริเวณกรอบหน้า เป็นการฉีดฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมทั้งหญิงและชาย โดยส่วนมากเพศชายจะฉีดฟิลเลอร์ที่กรอบหน้า เพื่อเน้นความชัดเจนของเส้นกรอบหน้าให้ชัด เป็นสัน ความชัดและความคมของโครงหน้า ให้ใบหน้าดูมีความเป็นผู้ชายที่โดดเด่นมากยิ่งขึ้น ส่วนในผู้หญิงนิยมฉีดฟิลเลอร์กรอบหน้า เนื่องจากต้องการให้ใบหน้า มีความคม ชัด และมีมิติมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

                                                                                              ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ (Filler)

                                                                                              • การฉีดฟิลเลอร์ สามารถแก้ปัญหาได้เกือบทุกอย่างบนใบหน้า
                                                                                              • การฉีดฟิลเลอร์ เป็นการแก้ปัญหาที่ใช้เวลาไม่นาน
                                                                                              • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่ต้องพักฟื้น
                                                                                              • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่ต้องผ่าตัด
                                                                                              • การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวการผ่าตัด
                                                                                              • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้
                                                                                              • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย สลายได้หมด
                                                                                              • การฉีดฟิลเลอร์ มีความปลอดภัยสูง
                                                                                              • การฉีดฟิลเลอร์ สามารถเพิ่มปริมาณ หรือลดปริมาณได้ตามต้องการ

                                                                                              ฟิลเลอร์ปลอมคืออะไร ดูยังไง ?

                                                                                              • ฟิลเลอร์ปลอม จะมีการเครมว่าสามารถคงสภาพใต้ผิวได้ยาวนานกว่า 12-18 เดือน
                                                                                              • ฟิลเลอร์ปลอม จะสามารถเคลื่อนตัวไปสู่จุดอื่น ๆ บนใบหน้าได้
                                                                                              • ฟิลเลอร์ปลอม จะไม่สลายไป
                                                                                              • ฟิลเลอร์ปลอม ฉีดไปแล้วจะเป็นก้อนแข็ง ไม่เป็นธรรมชาติ
                                                                                              • ฟิลเลอร์ปลอม จะไม่สามารถฉีดสลายได้

                                                                                              สามารถขอดูกล่องและให้ทางคลินิกที่ให้บริการแกะกล่องฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้าได้ เพื่อความปลอดภัยในการฉีดฟิลเลอร์

                                                                                              filler

                                                                                              การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ (Filler)

                                                                                              • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลา 1-3 วัน
                                                                                              • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรงดยา หรือวิตามินที่เป็นส่วนทำให้เลือดไหลยาก
                                                                                              • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรงดยาประเภทแอสไพริน หรือยาแก้อักเสบ

                                                                                              ฟิลเลอร์

                                                                                              ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ (Filler)

                                                                                              • ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดฟิลเลอร์ เพื่อประเมินปริมาณตัวยาและประเมินปัญหา
                                                                                              • ผู้ช่วยแพทย์ความสะอาดใบหน้า เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการติดเชื้อ
                                                                                              • ผู้ช่วยแพทย์ทำการแปะยาชา และทิ้งไว้เพื่อให้ยาชาออกฤทธิ์ 30-40 นาที
                                                                                              • ผู้ช่วยแพทย์เช็ดหน้า เพื่อเตรียมความพร้อมในการฉีดฟิลเลอร์
                                                                                              • ผู้ช่วยแพทย์ทำการประคบน้ำแข็ง ในบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้ความเย็นช่วยลดความเจ็บจากเข็ม
                                                                                              • แพทย์ฉีดฟิลเลอร์ตามแผนการประเมินให้ออกมาได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
                                                                                              • ผู้ช่วยแพทย์ใช้สำลีห้ามเลือดจากรอยเข็ม
                                                                                              • ผู้ช่วยแพทย์แปะพลาสเตอร์ ป้องกันรอยเข็มโดนสิ่งสกปรก เป็นอันเสร็จ

                                                                                              ฟิลเลอร์

                                                                                              การดูแลตัวเองหลังการฉีดฟิลเลอร์ (Filler)

                                                                                              • หลังการฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ 1 เดือน
                                                                                              • หลังการฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่
                                                                                              • หลังการฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานปลาร้า และของหมักดอง
                                                                                              • หลังการฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัส เกา ถู นวด คลึง ในบริเวณที่ทำฟิลเลอร์
                                                                                              • หลังการฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงการขยับใบหน้า หรือแสดงสีหน้ามาก ในช่วง 3 วันแรกหลังฉีดทำฟิลเลอร์
                                                                                              • หลังการฉีดฟิลเลอร์ ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้ฟิลเลอร์ที่ทำไปมีความอิ่มฟูขึ้น
                                                                                              • หลังการฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงการโดนความร้อนทุกชนิด
                                                                                              • หลังการฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงการอบซาวน่า และออกกำลังกายหนัก ๆ

                                                                                              Q&A คำถามเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ (Filler)

                                                                                              1. ระยะเวลาที่ฟิลเลอร์ หรือสารเติมเต็มสามารถคงอยู่ได้ในแต่ละบริเวณของใบหน้า

                                                                                              • ฟิลเลอร์หน้าผาก

                                                                                              สามารถคงตัวอยู่ได้ 6-12 เดือน

                                                                                              • ฟิลเลอร์ขมับ

                                                                                              สามารถคงตัวอยู่ได้ 18-24 เดือน

                                                                                              • ฟิลเลอร์ใต้ตา

                                                                                              สามารถคงตัวอยู่ได้ 6-9 เดือน

                                                                                              • ฟิลเลอร์แก้ม

                                                                                              สามารถคงตัวอยู่ได้ 12 เดือน

                                                                                              • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                                                                                              สามารถคงตัวอยู่ได้ 12 เดือน

                                                                                              • ฟิลเลอร์ปาก

                                                                                              สามารถคงตัวอยู่ได้ 6-12 เดือน

                                                                                              • ฟิลเลอร์คาง

                                                                                              สามารถคงตัวอยู่ได้ 8-24 เดือน

                                                                                              • ฟิลเลอร์กรอบหน้า

                                                                                              สามารถคงตัวอยู่ได้ 8-24 เดือน

                                                                                              • ฟิลเลอร์ริ้วรอยต่าง ๆ

                                                                                              สามารถคงตัวอยู่ได้ 6-12 เดือน

                                                                                              ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ ที่มีการผลิตที่แตกต่างกันไป ทำให้การคงตัวของฟิลเลอร์มีความแตกต่างกัน อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตประจำวัน และการดูของแต่ละบุคคลอีกด้วย

                                                                                              2. การฉีดสลายฟิลเลอร์คืออะไร

                                                                                              การฉีดสลายฟิลเลอร์​ หรือ Dissolving Filler คือ การฉีดสารเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส หรือ Hyaluronidase เพื่อเข้าไปทำการสลายฟิลเลอร์ที่ได้ทำการฉีดเข้าไป รวมทั้งซึ่งตัวยาดังกล่าว จะเป็นส่วนที่ทำให้โมเลกุล ของสารเติมเต็มจับตัวเป็นน้ำลดลง และสลายตัวจนหมด

                                                                                              3. ฟิลเลอร์จะเห็นผลกี่วันหลังฉีด

                                                                                              หลังจากการฉีดฟิลเลอร์ จะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ในทันที แต่อาจมีอาการบวมจากเข็มและตัวยาอยู่บาง แต่จะเข้าที่ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ หลังฉีด

                                                                                              4. ใครที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์

                                                                                              • ผู้ที่มีผิวหนังติดเชื้อ หรือผิวหนังมีอาการอักเสบ
                                                                                              • ผู้ที่เป็นลมพิษ
                                                                                              • ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกมาก และเลือดออกง่าย
                                                                                              • ผู้ที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง
                                                                                              • ผู้ที่มีอาการแพ้สารประเภทคอลลาเจนต่าง ๆ
                                                                                              • ผู้ที่กำลังอยู่ในระหว่างตั้งครรภ์
                                                                                              • ผู้ที่กำลังให้นมบุตร

                                                                                              5. ทำไมหลังฉีดฟิลเลอร์ถึงควรดื่มน้ำมากๆ

                                                                                              เนื่องจากฟิลเลอร์ เป็นสารเติมเต็มที่มีความอุ้มน้ำ การดื่มน้ำให้มาก ๆ จะเป็นการเข้าไปช่วยในการเติมเต็ม และเพิ่มความอิ่มฟูอุ้มน้ำอย่างเต็มที่ ให้กับฟิลเลอร์ที่ทำการฉีดเข้าไป ส่งผลให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และคงสภาพใต้ผิวหนังได้นานขึ้น

                                                                                              6. ฉีดฟิลเลอร์เจ็บไหม

                                                                                              ก่อนฉีดฟิลเลอร์ จะมีการทายาชา และรอให้ยาชาออกฤทธิ์ก่อน แพทย์จึงค่อยลงมือฉีดฟิลเลอร์ รวมทั้งฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็มในบางตัวยังมีส่วนผสมของยาชา จึงทำให้ไม่ต้องกลัวความเจ็บในขณะที่ดันตัวยาเข้าสู่ผิวหนัง

                                                                                              filler

                                                                                              7. ฉีดฟิลเลอร์อันตรายไหม

                                                                                              การฉีดฟิลเลอร์ หรือสารเติมเต็ม ควรทำกับแพทย์ผู้มีประสบการณ์เท่านั้น เพื่อความปลอดภัย และเพื่อให้ผลลัพธ์หลังการฉีดได้ความสวย ละมุน อย่างที่ต้องการ  เนื่องจากหากใช้บริการกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์แล้ว อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง อาทิ การฉีดเข้าเส้นเลือด การฉีดผิดตำแหน่ง ฉีดฟิลเลอร์ไปแล้วกลายเป็นก้อน เป็นไตแข็ง เป็นต้น อีกทั้งควรเลือกเข้ารับบริการในสถานเสริมความงามที่มีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือ และใช้ฟิลเลอร์ที่เป็นผลิตภัณฑ์แท้ ได้รับการันตีจากบริษัทยา ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยในการใช้บริการฟิลเลอร์

                                                                                              8. หลังฉีดฟิลเลอร์สามารถนอนในท่าปกติได้หรือไม่

                                                                                              หลังฉีดฟิลเลอร์ควรงดการนอนราบไปกับพื้น ในระยะเวลา 4 ชั่วโมงแรก และหลังจาก 4 ชั่วโมงสามารถนอนท่าปกติได้ และใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

                                                                                              9. ฟิลเลอร์ไหล สามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่

                                                                                              สามารถเกิดขึ้นได้ หากใช้บริการกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ และใช้ฟิลเลอร์ไม่ถูกกับปัญหาและบริเวณที่ต้องการแก้ปัญหา เนื่องจากแต่ละบริเวณบนใบหน้า ต้องใช้ฟิลเลอร์ที่มีเนื้อของผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น ใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่มีความคงตัว ในบริเวณที่ขยับบ่อย ๆ เช่น ร่องแก้ม อาจทำให้เคลื่อนตัวได้เป็นต้น

                                                                                              10. ฉีดฟิลเลอร์สามารถนวดหน้าได้หรือไม่

                                                                                              สามารถนวดหน้าได้ แต่ควรเว้นระยะจากการฉีดฟิลเลอร์ขั้นต่ำ 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการทำให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปเกิดการเคลื่อนตัวไปยังบริเวณอื่น ๆ ได้

                                                                                              ก่อนทำหัตถการทุกครั้ง ควรศึกษาหาข้อมูลว่าปัญหาที่เราเป็นนั้น สามารถใช้หัตถการใดในการแก้ปัญหาได้บ้าง และสิ่งที่ใช้แก้ปัญหาให้แก่เรานั้นมีคุณประโยชน์ และโทษมากน้อยแค่ไหน หาสถานที่ให้บริการที่มีความน่าเชื่อถือ ที่เราเดินเข้าไปแล้วจะสามารถมั่นใจได้ว่าไม่ถูกหลอก แพทย์ที่มีความน่าเชื่อถือ มีประสบการณ์และความสามารถ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกการจรดเข็มลงบนใบหน้า เพื่อฉีดฟิลเลอร์จะไม่ได้รับอันตรายตามมา

                                                                                              รมย์รวินท์คลินิก คลินิกที่เปิดมาอย่างยาวนาน มากไปด้วยแพทย์ผู้มีประสบการณ์และความสามารถ ที่สามารถทำให้ผู้เข้ารับบริการทุกท่านหมดกังวลในการทำทุกหัตถการ

                                                                                              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                                วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                                                Thermage FLX ยกกระชับผิวลดความหย่อนคล้อยคืออะไร ทำงานอย่างไร ?

                                                                                                Thermage FLX

                                                                                                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                                  วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                                                                                  Thermage FLX ยกกระชับ ลดความหย่อนคล้อยพร้อมเพิ่มมิติให้กับใบหน้า

                                                                                                  Thermage FLX เทคโนโลยีในการยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อย ด้วยคลื่นวิทยุ Monopolar RF โดยหลักการของ Thermage FLX คือ การปล่อยพลังงานความร้อนที่ได้รับการวิจัยมาแล้วว่าปลอดภัยต่อผิวหนังโดยเป็นการยิงลงสู่ชั้นผิวหนังชั้นลึก Dermis หรือชั้นหนังแท้ ซึ่งเป็นชั้นผิวที่มีความหนา และมีความยืดหยุ่น เป็นอย่างมากจะอยู่ในบริเวณลึกที่สุดในชั้นโครงสร้างผิว จากนั้นจะผ่าน ชั้น Subcutaneous fat หรือที่รู้จักกันว่าเป็นไขมันใต้ผิวหนังที่เป็นชั้นผิวหนังที่มีคอลลาเจนประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งหลังจากทำการยิง Thermage FLX ลงสู่ผิวแล้วคลื่นวิทยุ Monopolar RF ดังกล่าว จะเข้าไปสู่ใต้ชั้นผิวและทำให้ชั้นผิวหนังเกิดการหดตัว จากนั้นใต้ชั้นผิวหนังจะเกิดการสร้างตัวของคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ที่บริเวณใต้ชั้นผิว โดยคอลลาเจนนั้นเป็นสิ่งที่ร่างกายของเราจะทำการผลิตได้น้อยลงเมื่อมีอายุที่เพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้ผิวหนังหลังจากการทำ Thermage FLX มีความแน่น ฟูมากขึ้น อันเนื่องมาจากการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง

                                                                                                  ที่รมย์รวินท์คลินิกใช้ Thermage FLX ด้วยเทคนิค Lifting Select ที่เป็นเทคนิคเฉพาะของรมย์รวินท์คลินิก
                                                                                                  เป็นเทคนิคที่มุ่งเน้นศาสตร์การวิเคราะห์ใบหน้า เพื่อค้นพบจุดงดงามผ่าน 3 เฟรมเวิร์ค คือ
                                                                                                  • Frame Selection ยกโครงหน้า ย้อนเวลาให้ผิว
                                                                                                  • Light & Shadow สร้างมิติให้ใบหน้าเน้นแสงและเงา
                                                                                                  • Conceal Selection เก็บรายละเอียดงานผิว
                                                                                                  โดยรมย์รวินท์คลินิกจะใช้ Thermage FLX ในส่วนที่ 2. Light & Shadow คือใช้ในการสร้างมิติให้กับใบหน้าด้วยหัว TIPS ที่มีขนาดความลึกในระดับ 3  mm. ที่ทำงานถึงชั้นไขมันใต้ชั้นผิว ในการยกกระชับผิวชั้นนอก ทั้งยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว
                                                                                                  และใช้ Thermage FLX ในส่วนที่ 3.Conceal Selection ในการเก็บรายละเอียดของผิวให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ Thermage FLX  ในการแก้ปัญหารูขุมขนกว้าง (Pore Tightening) นั่นเอง

                                                                                                  ซึ่งการให้บริการ Thermage FLX ที่ รมย์รวินท์คลินิก มีให้บริการครอบคลุม ทั้งบริเวณ ผิวหน้า ลำคอ และรูปร่าง โดยคุณหมอที่รมย์รวินท์ ทุกท่านผ่านการเทรนและอบรมมาเป็นอย่างดี และให้บริการลูกค้า มาแล้วมากกว่า 10,000 เคส หรือมากกว่า 9,000,000 Shot โดยใช้ Concept ”Less is more for the better you หรือน้อยแต่มากเพื่อสิ่งที่ดีกว่าสำหรับคุณ“ ด้วยเทคนิค Lifting Select (**ข้อมูลจากลูกค้า ผู้รับบริการที่รมย์รวินท์คลินิกช่วงปี 2018-ปัจจุบัน)
                                                                                                  Thermage FLX3 scaled

                                                                                                  Thermage FLX เป็นโปรแกรมยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อย ที่มีผลงานวิจัยรองรับในด้านการยกกระชับในเรื่องของผลการรักษา และยังได้รับการรับรองทางด้านการแพทย์ในด้านความปลอดภัย การันตีมากกว่า 50 ฉบับ ทั้งนี้ Thermage FLX ยังนับเป็นทรีตเมนต์ที่มีการใช้เพื่อเป็นตัวช่วยในการยกกระชับใบหน้ามากกว่า 2 ล้านทรีตเมนต์จากทั่วโลกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น Thermage FLX ยังได้รับรางวัลจาก The Aesthetic Guide ในหัวข้อ Best new technology ภายใต้ชื่อรางวัล “2017 Thermage® FLX system” ประจำปี 2017 ทั้งยังได้รับการรับรองมาตรฐานจาก US-FDA หรือที่รู้จักกันดีว่า องค์การอาหารและยาจากประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาจากประเทศไทยด้วย Thermage FLX จึงนับเป็นโปรแกรมยกกระชับผิวที่มีความน่าเชื่อถือในระดับสากล และยังมีความปลอดภัยอีกด้วย อีกหนึ่งการการันตีในความปลอดภัย และการคร่ำหวอดในวงการยกกระชับด้านการยกกระชับผิว

                                                                                                  Thermage FLX คือ การที่ Thermage FLX เป็นผู้ริเริ่มต้นในการผลิตเทคโนโลยีกระยกกระชับผิวในบริเวณต่าง ๆ อย่างปลอดภัยได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2002 และยังจัดเป็นโปรแกรมยกกระชับผิวที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลกเป็นอันดับสูงสุด คือจำนวนมากกว่า 2 ล้านทรีตเมนต์ทั่วโลกอีกด้วย

                                                                                                  หลักการทำงานของโปรแกรม Thermage FLX

                                                                                                  หลักการทำงานของ Thermage FLX

                                                                                                  Thermage FLX ทำงานโดยการใช้คลื่นวิทยุ Monopolar Radiofrequency โดยการยิงคลื่นลงบนผิวทำให้ผิวหนังเกิดความร้อน และอาการสั่น Vibration โดยอาการสั่นดังกล่าวจะออกจาก Thermage FLX และลงลึกสู้ชั้นผิวหนังชั้นลึกหรือ Dermis จากนั้นผิวหนังจะเกิดการแยกโมเลกุลของน้ำเป็นส่วนประกอบของใต้ชั้นผิว ให้ออกจากคอลลาเจนที่รวมตัวกันอยู่ใต้ชั้นผิว โดยส่งผลให้เกิดการหดตัวลงในเวลาที่ออกจากเส้นใยคอลลาเจน จึงทำให้คอลลาเจนที่สะสมอยู่ใต้ชั้นผิวนั้นเกิดการหดตัวลงในทันที ซึ่งการสั่นใน Thermage FLX เป็นการสั่นเพื่อบรรเทาและป้องกันอาการเจ็บนั่นเอง ไม่เพียงเท่านั้น Thermage FLX ยังเป็นโปรแกรมที่เมื่อตัวโปรแกรมได้ส่งพลังงานความร้อนไปที่ชั้นผิวหนังเมื่อไร โปรแกรมก็จะส่งคลื่นความเย็นออกมาสลับเพื่อให้ผิวหนังในบริเวณที่เกิดความผ่อนคลายมากขึ้นเป็นระยะ ๆ โดยความเย็นที่ปล่อยออกมานี้ยังสามารถลดการเกิดอาการเบิร์น หรือผิวไหม้ได้อีกด้วย

                                                                                                  ความหมายของโปรแกรม Thermage FLX

                                                                                                  ความหมายของ Thermage FLX

                                                                                                  Thermage FLX เป็นโปรแกรม Thermage รุ่นใหม่ล่าสุด และมีการใส่ชื่อให้มีความแตกต่างจากของเดิมโดย FLX ที่พ่วงท้ายมากับชื่อ คือ โปรแกรมย่อมาจาก

                                                                                                    •  F ย่อมาจาก “FASTER” ให้ความรวดเร็วในการรักษาที่มากขึ้น และยังปล่อยระดับพลังงานความร้อนได้ถึง 4.0 มิลลิเมตร

                                                                                                  เป็นหัว Tip ที่ได้รับการพัฒนาให้ดีและเร็วกว่าหัว Tip แบบเดิม 25% โดยเป็นหัวที่สามารถทำได้ครอบคลุมบริเวณพื้นที่ผิวหนังได้เพิ่มมากกว่าเดิมถึง 33% เมื่อเทียบกับของเดิมจึงทำให้ได้ผลลัพธ์ในการยกกระชับผิว และการรักษาที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

                                                                                                    • L ย่อมาจาก “ALGORITHM” มีระบบที่แม่นยำแน่นอน เนื่องจากใช้เทคโนโลยี AccuREP

                                                                                                  ซึ่งสามารถปรับพลังงานตามความเหมาะสมกับสภาพผิวหนังของผู้ใช้บริการได้แบบ Real time และยังมีความแม่นยำสม่ำเสมอเป็นอย่างมาก ที่สำคัญยังมีความปลอดภัยต่อผิวหนังมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

                                                                                                    • X ย่อมาจาก “EXPERIENCE” เพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่ดีในการรักษาด้วย Thermage FLX

                                                                                                  เนื่องจาก Thermage FLX เป็นโปรแกรมที่พัฒนาให้มีความสบายในการรักษาที่มากขึ้น  ซึ่งในระหว่างการรักษาจะมีการปล่อย Cooling effect คือ ระบบทำความเย็นเพื่อลดความร้อนและป้องกันผิวไหม้เบิร์น ในระหว่างการรักษาและยังมีระบบสั่นในตัว เพื่อลดและบรรเทาความเจ็บในขณะทำการรักษาและยกกระชับผิว

                                                                                                  โดยประสบการณ์พิเศษดังกล่าวเกิดจากการที่ Thermage FLX มีการใส่เทคโนโลยีชนิดใหม่เพิ่มเข้ามา ดังนี้

                                                                                                    • AccuREPTM Technology  เทคโนโลยีชนิดใหม่ล่าสุดที่เป็นตัวตรวจความด้านทานของผิวได้อย่างอัตโนมัติ หรือเรียกกันว่า Automatic Skin Impedance Measurement โดยจะทำงานในระยะก่อนปล่อยพลังงานทุกช็อตลงสู่ผิวหนัง จึงส่งผลให้พลังงานทุกช็อตที่ลงสู่ผิวหนังนั้นเป็นพลังงานที่มีความเหมาะสมที่สุด ทั้งกับผิวหนัง และต่อบริเวณที่ทำการรักษา ซึ่งทำให้การยกกระชับผิวด้วย Thermage FLX เป็นการรักษาที่มีความปลอดภัยมีประสิทธิภาพ รวมทั้งยังมีความแม่นยำมากขึ้น
                                                                                                    • Advanced Comfort Pulse Technology ระบบที่ช่วยในการทำให้ผิวบริเวณที่ได้ทำการยกกระชับมีความผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ทำให้ระหว่างการทำการยกกระชับผิวจะไม่รู้สึกแสบผิวหรือมีความเจ็บ ระบม เนื่องจากตัวเครื่องจะมี Multi-Directional Vibration และระบบความเย็น  ที่แพทย์สามารถปรับระดับ และควบคุมได้ตามความเหมาะสม เพื่อปกป้องผิวในระหว่างทำ Thermage FLX

                                                                                                  Thermage FLX

                                                                                                  หัว Tip ของ Thermage FLX ประกอบไปด้วย

                                                                                                  Total Tip 4.0 cm 2 หัว Tip เป็นหัวทิปที่มีความเหมาะสมที่จะใช้กับใบหน้า และส่วนอื่น ๆ ในร่างกาย

                                                                                                  • หัวทิปชนิดนี้ เป็นหัวทิปที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมสำหรับการใช้ เพื่อยกกระชับผิวหน้าและใบหน้า จึงมีความเหมาะสมเป็นอย่างมากในการใช้เพื่อลดแก้ม ลดไขมันที่เกิดการสะสมบริเวณบนใบหน้า ลดเหนียงใต้คางที่มีไขมันสะสม ลดคางสองชั้น ไม่เพียงเท่านั้นหัวทิปชนิดนี้ยังสามารถใช้ได้กับบริเวณร่างกาย โดยนอกจากจะช่วยในการลดไขมันแล้ว ยังช่วยในการลดความหย่อนคล้อยของผิว ปรับผิวให้มีความอิ่ม ฟู แน่น และลดความหลวมของผิว
                                                                                                  • TT4.00F6-XXX มีทั้งหัวจำนวน 300 ช็อต 600 ช็อต และ 900 ช็อต

                                                                                                  Eye Tip 0.25 cm 2 หัว Tip เป็นหัวทิปที่เหมาะสมในการใช้กับบริเวณรอบดวงตา

                                                                                                  • หัวทิปชนิดนี้ เหมาะสมในการใช้แก้ปัญหาหนังตาตก การลดริ้วรอย รวมทั้งยกกระชับบริเวณต่าง ๆ ทั่วร่างกาย
                                                                                                  • TT0.25F6-XXX จำนวน 450 ช็อต

                                                                                                  Body Tip 16.0 cm 2 หัวTip เป็นหัวทิปที่เหมาะสมในการใช้กับบริเวณใบหน้าและลำตัว

                                                                                                  • หัวทิปชนิดนี้ เหมาะสมในการใช้แก้ปัญหา ริ้วรอยบริเวณร่างกาย ยกกระชับผิวที่มีความเหี่ยว ย่น ไม่กระชับ เช่น ในบริเวณต้นแขน ต้นขา และหน้าท้อง
                                                                                                  • TT16.00F6-XXX จำนวน 500 ช็อต

                                                                                                  New total Tip 3.0 cm  เป็นหัวทิปที่เหมาะกับการใช้กับบริเวณใบหน้า

                                                                                                  • หัวทิปชนิดนี้ เหมาะสำหรับการยิงบริเวณใบหน้า เพื่อทำให้ผิวมีความกระชับ แน่น เฟิร์มและสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
                                                                                                  • ใช้ลิดริ้วรอยขนาดเล็ก ร่องลึก ลดรูขุมขน และปรับสภาพผิวได้
                                                                                                  • เป็นหัวทิปที่มีจำนวน จำนวน 400 ช็อต

                                                                                                  Thermage FLX มีระดับพลังงานเท่าไรบ้าง ?

                                                                                                  การตั้งระดับพลังงานในการรักษาด้วย Thermage FLX ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์โดยแพทย์จะประเมินจากปัญหาของแต่ละบุคคล โดยระดับพลังงานของ Thermage FLX มี 4 ระดับดังนี้

                                                                                                    • ระดับพลังงาน 0-1 เป็นระดับพลังงานที่ในระหว่างการรักษาจะมีความรู้สึกว่าผิวในบริเวณที่ทำการรักษาจะมีความสั่น แต่จะยังไม่รับรู้ถึงความรู้สึกอื่น ระดับพลังงาน 0-1 เป็นระดับการรักษาที่มีผลในการรักษาที่ต่ำที่สุด
                                                                                                    • ระดับพลังงาน 2-2.5 เป็นระดับพลังงานที่ระหว่างการรักษาจะมีความรู้สึกร้อน แต่เป็นความร้อนในระดับที่ร่างกายทนได้ ผลลัพธ์ในการรักษาโดยพลังงานนี้จะสามารถเกิดได้ตามความต้องการของแพทย์ สามารถทำได้ตามความต้องการและปัญหา
                                                                                                    • ระดับพลังงาน 3-4 เป็นระดับพลังงานที่ระหว่างการรักษาจะในผู้เข้ารับบริการบางคนอาจมีความรู้สึกร้อน หรือเจ็บ มากจนเกินไป แต่ระดับพลังงานนี้เป็นระดับพลังงานที่ส่งผลลัพธ์ในการรักษาที่มีความชัดเจนมากที่สุด แพทย์ที่จะทำการรักษาในระดับความร้อนระดับนี้จะต้องมีความชำนาญมาก เนื่องจากเสี่ยงต่อความเผาไหม้ของผิวหนัง

                                                                                                  ในระหว่างการรักษา แพทย์จะมีการสอบถามถึงระดับความร้อน ที่ผู้เข้ารับบริการสามารถรับได้ทุกครั้ง เพื่อป้องกันความร้อน และความเจ็บที่มากจนเกินกว่าจะทนไหวในแต่ละบุคคล และเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการรักษา

                                                                                                  ส่วนประกอบของเครื่อง Thermage FLX

                                                                                                  Thermage FLX 1 เครื่องจะมีส่วนประกอบดังนี้

                                                                                                  ตัวเครื่องที่มีขนาดเครื่องไม่ใหญ่ และไม่เล็กเกินไป ที่ล้อทำให้เคลื่อนย้ายเครื่องได้อย่างสะดวกสบาย ไม่เป็นอันตราย

                                                                                                    • เครื่องประกอบไปด้วย หน้าจอแสดงผลที่สามารถแสดงผลระหว่างการรักษาได้อย่างรวดเร็วขณะทำการรักษา มีความแม่นยำเป็นอย่างมาก และสามารถแสดงจำนวนช็อตในขณะที่แพทย์ทำการยิงได้
                                                                                                    • ที่เชื่อมต่อขั้วไฟฟ้า
                                                                                                    • ด้ามอุปกรณ์
                                                                                                    • หัวทิปขนาดความลึกระดับต่าง ๆ

                                                                                                  Thermage FLX

                                                                                                  ใครเหมาะกับการทำการรักษาด้วย Thermage FLX ?

                                                                                                    • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการยกกระชับปรับรูปหน้า
                                                                                                    • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียว เล็กมีกรอบหน้าที่ชัด คมมากขึ้น
                                                                                                    • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการลดความหย่อนคล้อยของผิว
                                                                                                    • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้า กระชับรูขุมขน
                                                                                                    • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิว
                                                                                                    • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการลดไขมันสะสมบนใบหน้า อาทิ ผู้ที่มีเหนียง มีคางสองชั้น มีแก้มห้อย
                                                                                                    • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา
                                                                                                    • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการลดความหย่อนคล้อยคล้อยรอบดวงตา
                                                                                                    • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาตาสองชั้นหลบในที่ต้องการให้เห็นตาสองชั้นชัดเจนมากขึ้น
                                                                                                    • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการลดความหย่อนคล้อยคล้อยบริเวณร่างกาย เช่น หน้าท้อง ต้นแขน
                                                                                                    • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาเซลลูไลต์
                                                                                                    • Thermage FLX มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาไขมันสะสมที่บริเวณสะโพก ต้นขา และบั้นท้าย

                                                                                                  ใครไม่เหมาะกับการรักษาด้วย Thermage FLX ?

                                                                                                    • Thermage FLX ไม่เหมาะสมกับผู้หญิงที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์
                                                                                                    • Thermage FLX ไม่เหมาะสมกับผู้หญิงที่กำลังให้นมบุตร
                                                                                                    • Thermage FLX ไม่เหมาะสมกับผู้ต้องทำการรักษาด้วยการกระตุ้นไฟฟ้าที่หัวใจ
                                                                                                    • Thermage FLX ไม่เหมาะสมกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด
                                                                                                    • Thermage FLX ไม่เหมาะสมกับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ รวมทั้งผู้ที่มีโลหะภายในร่างกาย อาทิ ผู้มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ , ICD, or any electronic implanted device เป็นต้น
                                                                                                    • Thermage FLX ไม่เหมาะสมกับผู้ที่มีสภาพผิวผิดปกติขั้นรุนแรง เช่น ผู้ที่มี Fibroblast และ Elastin ผิดปกติ
                                                                                                    • Thermage FLX ไม่เหมาะสมกับผู้ที่มีประวัติการใช้ยาในกลุ่ม NSAIDS ยาต้านอักเสบ หรือยาแก้อักเสบที่มีส่วนผสมจาก Corticosteriods เป็นระยะเวลาติดต่อกัน
                                                                                                    • Thermage FLX ไม่เหมาะสมกับผู้ที่เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
                                                                                                    • Thermage FLX ไม่เหมาะสมกับผู้ที่เป็นโรคเริม
                                                                                                    • Thermage FLX ไม่เหมาะสมกับผู้ที่เป็นโรคลมบ้าหมู

                                                                                                  ในกรณีผู้ที่ทำหัตถการบนใบหน้าเช่นฉีดฟิลเลอร์ หรือฉีดโบ ควรเว้นระยะห่างในการทำ Thermage FLX โดยสามารถปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาอย่างเหมาะสม และประเมินการรักษาเบื้องต้นได้

                                                                                                  โดยบริเวณที่นิยมทำ Thermage FLX

                                                                                                  Thermage FLX นิยมทำบริเวณ หน้าผาก ขมวดคิ้ว หางตา ใต้ตา เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอย ความเหี่ยวย่นบนใบหน้า

                                                                                                  Thermage FLX นิยมทำบริเวณรอบดวงตา เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอย ตีนกา คิ้วตกที่ต้องการยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อยของหนังตา ต้องการเปิดหนังตาให้มากขึ้น

                                                                                                  Thermage FLX นิยมทำบริเวณรอบปาก เพื่อแก้ปัญหา ปากคว่ำ มุมปากตกที่ต้องการยกมุมปาก รวมทั้งแก้ปัญหาริ้วรอยรอบๆริมฝีปาก

                                                                                                  Thermage FLX นิยมทำบริเวณ ใบหน้าเหนียง บริเวณใต้คาง และคางสองชั้น เพื่อยกกระชับผิวลดความหย่อนคล้อยบนใบหน้า เพิ่มกรอบหน้า เพิ่มมิติให้กับใบหน้า ทำให้ใบหน้าได้รูป สวยกระชับมากขึ้น

                                                                                                  Thermage FLX นิยมทำบริเวณลำคอ เพื่อกระชับ ลดความเหี่ยวย่น ลดความหย่อนคล้อย แก้ปัญหารอยพับที่ลำคอ

                                                                                                  Thermage FLX นิยมทำบริเวณหน้าท้อง เพื่อลดริ้วรอยแตกลาย เพิ่มความกระชับลดความหย่อนคล้อย ทำให้เรียบเนียนมากขึ้น

                                                                                                  Thermage FLX นิยมทำบริเวณสะโพกและต้นขา เพื่อให้เกิดสัดส่วนที่ดี และผิวทั่วเรือนร่างเรียบสวยงาม

                                                                                                  Thermage FLX นิยมทำบริเวณร่างกาย เพื่อรักษาและทำให้ผิวที่ไม่ยกกระชับ ลดความหย่อนคล้อยและเหี่ยวย่น

                                                                                                  การเตรียมตัวก่อนทำการยกกระชับผิวด้วย Thermage FLX

                                                                                                    • Thermage FLX เป็นโปรแกรมที่ผู้เข้ารับบริการสามารถเข้ารับบริการได้เลย โดยไม่ต้องทำการเตรียมตัวก่อน
                                                                                                    • หากร้อยไหม ฉีดฟิลเลอร์ และฉีดโบ ควรเว้นระยะขั้นต่ำ 1 เดือนก่อนทำ Thermage FLX

                                                                                                  ขั้นตอนการทำ Thermage FLX

                                                                                                  ทำการประเมินใบหน้าหรือบริเวณอื่นๆที่ผู้เข้ารับบริการมีความกังวล

                                                                                                  ผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดผิวในบริเวณที่แพทย์จะทำ Thermage FLX

                                                                                                  ผู้ช่วยแพทย์ทำการแปะยาชาทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที เพื่อบรรเทาอาการเจ็บในระหว่างทำ Thermage FLX

                                                                                                  แพทย์ทำการยิง Thermage FLX ด้วยความชำนาญ ตามจำนวน Shot ที่ได้ทำการประเมินไปเบื้องต้น

                                                                                                  หลังทำ โปรแกรม Thermage FLX ควรดูแลอย่างไร

                                                                                                  การปฏิบัติตัวหลังจากเข้าทำ Thermage FLX

                                                                                                    • หลังจากเข้าทำ Thermage FLX ควรหลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ 2 สัปดาห์
                                                                                                    • หลังจากเข้าทำ Thermage FLX ควรหลีกทรีตเมนต์ และขัดผิว 2 สัปดาห์
                                                                                                    • หลังจากเข้าทำ Thermage FLX หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันการกลับมาหย่อนคล้อยของผิวหน้า

                                                                                                  อาการหลังทำ Thermage FLX

                                                                                                    • Thermage FLX จะมีรอยแดงบนผิว โดยรอยแดงบนผิวที่เกิดขึ้น Thermage FLX จะสามารถหายได้เองใน 1-2 ชั่วโมง
                                                                                                    • Thermage FLX อาจมีความบวมในบางผู้เข้ารับบริการ โดยอาการบวมหลังทำ Thermage FLXจะสามารถหายได้เองใน 5 วันถึง 1 สัปดาห์โดยไม่ต้องกังวล

                                                                                                  FAQ เกี่ยวกับ Thermage FLX ที่ควรรู้ก่อนทำ

                                                                                                    1. Thermage FLX จะเห็นผลทันทีเลยหรือไม่ ?

                                                                                                  โดยปกติแล้วผู้ที่ทำ Thermage FLX ไปครึ่งหน้าแล้ว เมื่อส่องกระจกจะสามารถเห็นได้ทันที่ว่าใบหน้าข้างที่ถูกทำไปแล้วครึ่งหน้าว่ามีความเปลี่ยนแปลง และเมื่อทำเสร็จทั้งสองด้านจะเห็นถึงความยกกระชับของผิวบริเวณที่ทำมากขึ้นจากเดิม โดยสิ่งที่เปลี่ยนไปจะสังเกตได้ว่าผิวมีสภาพที่ดีขึ้น ริ้วรอยเล็กๆจะลดลง เนื่องจาก Thermage FLX จะสามารถเห็นผลได้ทันทีหลังทำ 20% โดยประมาณทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และสภาพปัญหาของแต่ละบุคคล

                                                                                                    1. Thermage FLX จะเห็นผลที่ในระยะเวลานานเท่าไร ?

                                                                                                      • Thermage FLX จะเห็นผลลัพธ์ด้านการยกกระชับลดความหย่อนคล้อยจะเริ่มเห็นผล ในระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือน
                                                                                                      • ในระหว่างนั้นคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวหนังจะถูกจัดเรียงให้มีสภาพที่ดีขึ้น และยังถูกกระตุ้นด้วย Thermage FLX จึงทำให้เกิดการสร้างขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เมื่อครบระยะเวลาประมาณ 6 เดือน จะเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน ในบางคนอาจเห็นผลลัพธ์เร็วกว่า 6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลของแต่ละบุคคล
                                                                                                    1. Thermage FLX ควรทำบ่อยแค่ไหน ?

                                                                                                  สามารถทำ Thermage FLX ได้ทุก ๆ 1 ปี เพื่อคงสภาพผลลัพธ์การยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อยของใบหน้า รวมทั้งลดริ้วรอยบนใบหน้าให้ได้นานมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้หากมีความต้องการจะทำ Thermage FLX ก่อนระยะเวลา 1 ปี สามารถปรึกษาแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำได้เช่นกัน

                                                                                                    1. ระหว่างทำ Thermage FLX เจ็บไหม ?

                                                                                                  Thermage FLX ไม่เจ็บระหว่างที่ทำ เนื่องจากก่อนทำการยกกระชับผิวในแต่ละบริเวณผู้ช่วยแพทย์จะทำการมาส์กยาชา และรอให้ออกฤทธิ์ เพื่อบรรเทาความเจ็บในระหว่างทำก่อนอยู่แล้ว

                                                                                                    1. ระหว่างทำ Thermage FLX รู้สึกอย่างไร ?

                                                                                                  อุ่น : ระหว่างทำ Thermage FLX จะสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกอุ่น ๆ ที่หัวทิปสัมผัสกับผิวหนังเท่านั้น โดยระดับความอุ่นที่ออกมาจาก Thermage FLX จะเป็นความอุ่นในระดับที่คนเราทนไหว และไม่ร้อนจนเกินไป แต่จะบรรเทาความอุ่นได้เองเป็นระยะในขณะทำการรักษา

                                                                                                  สั่น : ระหว่างทำ Thermage FLX จะรู้สึกสั่นที่หัวทิป แต่จะเป็นความสั่นที่มาเพียงเป็นระยะเท่านั้น โดยความสั่นนี้เป็นความสั่นของ Thermage FLX ที่ใส่มาเพื่อให้ช่วยในการบรรเทาความบาดเจ็บของผิวที่เกิดจากการรักษา

                                                                                                    1. เมื่อทำการรักษาด้วย Thermage FLX ไปแล้วสามารถคงผลลัพธ์ได้นานเท่าไร ?

                                                                                                  เมื่อทำการยกกระชับผิวด้วย Thermage FLX แล้วนั้นจะสามารถคงสภาพผลลัพธ์ได้นาน 1-2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา การใช้ชีวิต และสภาพผิวของผู้เข้ารับการรักษาแต่ละบุคคล

                                                                                                    1. สามารถตรวจสอบ Thermage FLX โดยวิธีใดว่าคลินิกที่เราเข้ารับบริการเป็นของแท้หรือไม่ ?

                                                                                                      • ต้องเลือกคลินิกเสริมความงามที่ น่าเชื่อถือ มีอุปกรณ์ ที่ได่มาตรฐานของคลินิก โดย รมย์รวินท์คลินิก เป็นคลินิกเสริมความงามที่เปิดมายาวนานกว่า 21 ปีแล้ว คร่ำหวอดในวงการคลินิกเสริมความงามมาเป็นระยะเวลานาน จึงมีความน่าเชื่อถือในแวดวงความงามเป็นอย่างมาก
                                                                                                      • คลินิกที่เข้ารับบริการจะต้องมีสติกเกอร์ Thermage FLX ติดอยู่ที่บริเวณตัวเครื่อง เพื่อเป็นการการันตีตัวเครื่องว่าเป็นเครื่องแท้ ผู้เข้ารับบริการ Thermage FLX สามารถสอบถามเจ้าหน้าที่ในคลินิกเกี่ยวกับสติกเกอร์ที่ตัวเครื่องได้ ในกรณีที่หาด้วยตนเองไม่พบ
                                                                                                      • เครื่อง Thermage FLX ที่ทำการรักษาก็จะต้องมีการติดสติกเกอร์ Thermage FLX เครื่องแท้เช่นกัน โดยหากมีข้อสงสัย สามารถเรียกถาม และขอดูสติกเกอร์ดังกล่าวที่พนักงานได้

                                                                                                  Thermage FLX เป็นโปรแกรมยกกระชับ ลดริ้วรอยที่สามารถใช้ได้ทั้งใบหน้า และทั่วทั้งร่างกาย มีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งกับผู้ที่ต้องการยกกระชับ ลดริ้วรอยที่กลัวเจ็บเนื่องจาก Thermage FLX มีทั้งระบบความเย็น และยังมีระบบสั่น เพื่อป้องกันความสั่น โดยรมย์รวินท์คลินิกจัดเป็นคลินิกอันดับต้น ๆ ของประเทศที่ทำการให้บริการด้านการยกกระชับด้วย Thermage FLX กับคนไข้มาเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 1,000 เคส คลินิกทุกสาขาได้รับมาตรฐาน และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านการยกกระชับ ปรับรูปหน้าในทุกสาขา

                                                                                                  ท่านใดที่ประสบปัญหา ไม่ว่าจะเป็น ใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่กระชับ มีริ้วรอย มีความเหี่ยวย่น สามารถปรึกษาได้ที่หน้าสาขารมย์รวินท์คลินิกทุกสาขา และช่องทางออนไลน์เพื่อรับโปรโมชั่นพิเศษ

                                                                                                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                                    วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                                                    Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว คืออะไร ?

                                                                                                    Ultraformer mpt

                                                                                                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                                      วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                                                                                      BEFORE & AFTER


                                                                                                      Ultraformer MPT


                                                                                                      Ultraformer MPT


                                                                                                      Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิวคืออะไร?

                                                                                                      Ultraformer MPT หรือในชื่อเต็มคือ Ultraformer Micro-Pulse Technology โปรแกรมยกกระชับผิวหน้าอีกโปรแกรมหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมในระดับสูงในทั้งไทยและต่างประเทศ เป็นโปรแกรมที่มีความปลอดภัยในการรักษา และยังได้รับมาตรฐานการรับรองอย่างหลากหลายมาตรฐาน ทั้ง คณะกรรมการอาหารและยา ระดับสากลของประเทศเกาหลี (KFDA) และคณะกรรมการอาหารและยาประเทศไทย

                                                                                                      Ultraformer MPT มีความพิเศษอยู่ที่การสลายไขมันใต้ผิวไปพร้อม ๆ กับการยกกระชับผิวได้ภายในเครื่องเดียว นับเป็นโปรแกรมที่ตอบโจทย์คนที่มีความกังวลเกี่ยวกับ ปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่กระชับ มีเหนียง มีแก้ม รวมทั้งมีไขมันสะสมบนใบหน้า ทำการยกกระชับโดยใช้พลังงานคลื่นเสียง Micro & Macro Focused Ultrasound หรือ MMFU ที่ทำการส่งพลังงานเสียงที่มีความเข้มข้นสูงลงสู้ชั้นผิวหนัง ด้วยความจำเพาะเจาะจงในชั้นความลึกของผิวหนังชั้นที่ต้องการ ส่งผลให้ผิวหน้าที่มีความหย่อนคล้อย เกิดความยกกระชับให้กรอบหน้ามีความชัดขึ้น ช่วยกระชับผิวหน้าที่ย้วย ไม่เฟิร์ม ให้กระชับมากขึ้น ช่วยกระชับไขมันที่สะสมอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง รวมทั้งยังช่วยในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ผิว ให้ผิวได้มีความแน่น อวบอิ่ม มีคุณภาพที่ดีมากขึ้น ด้วยสองพลังงานคลื่นเสียง

                                                                                                      1.Micro Focused Ultrasound

                                                                                                      เป็นพลังงานคลื่นที่มีคุณสมบัติช่วยยกกระชับใบหน้า ด้วยวิธีการส่งพลังงานคลื่นลงไปใต้ผิว ในระดับความลึก mm 3.0 mm และ 4.5 mm  พลังงานคลื่น Micro Focused Ultrasound เมื่อลงสู่ชั้นผิวหลังจากการปล่อยออกมานั้น จะมีพลังงานความร้อนสะสมในระดับความร้อน 65-70 องศาเซลเซียส โดยพลังงานความร้อนในระดับนี้สามารถลงลึกได้ถึงชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน SMAS หรือ Superficial Muscular Aponeurotic System ที่ทุกคนทราบกันดีว่าเป็นชั้นผิวหนังที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดทำศัลยกรรม เมื่อ คลื่น Micro Focused Ultrasound ลงไปสู่ชั้น SMAS แล้ว ผิวหนังชั้นดังกล่าวจะเกิดการหดตัวลง อันเป็นเหตุผลให้ผิวหนังที่หย่อนคล้อย เกิดการกระชับ เรียบเนียน และเต่งตึงขึ้นนั่นเอง

                                                                                                      2.Macro Focused Ultrasound

                                                                                                      เป็นพลังงานคลื่นที่มีความเข้มข้นมากกว่าคลื่น Micro Focused Ultrasound ถึง 8 เท่าโดยการปล่อยคลื่นที่มีความร้อน 65-70 องศาเซลเซียส ลงไปในชั้นผิวที่มีความแตกต่างกันตั้งแต่ความลึก 6 mm, 9 mm และ 13 mm  โดยคลื่น Micro Focused Ultrasound จะลงไปสู่ใต้ผิว โดยการลดไขมัน สลายไขมัน และกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิว ส่งผลให้ผิวมีความเรียบเนียน ยกกระชับ และยืดหยุ่นมากขึ้น

                                                                                                      สำหรับคลื่น Micro Focused Ultrasound เป็นคลื่นที่มักจะนิยมใช้สำหรับการลดสัดส่วน เรือนร่าง ไขมันสะสมตามต้นขา มากกว่าใบหน้า เนื่องจากเป็นพลังงานที่สูง

                                                                                                      Ultraformer MPT

                                                                                                      ลักษณะการปล่อยพลังงานคลื่นของ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว

                                                                                                      Ultraformer MPT เป็นโปรแกรมที่มีการปล่อยพลังงานอย่างหลากหลาย โดยแพทย์สามารถเลือกยิงได้ตามความเหมาะสมกับปัญหาของผู้เข้ารับบริการแต่ละคน โดยหลักการปล่อยพลังงานคลื่นดังกล่าวเป็นสิ่งที่ช่วยยกประสิทธิภาพในการทำการยกกระชับได้มากขึ้น โดยสามารถจำแนกรูปแบบการปล่อยพลังงานของ Ultraformer MPT ได้ดังนี้

                                                                                                      1. NORMAL MODE (Normal Dot) เป็นการปล่อยพลังงานจาก Ultraformer MPT “เป็นเส้นประ” เป็นการยิงพลังงานเป็นลักษณะจุดไข่ปลา ที่มีขนาดเล็กเรียงตัวกันเป็นแถว
                                                                                                      2. MP MODE (Micro pulse) เป็นการปล่อยพลังงานจาก Ultraformer MPT “เป็นเส้นตรง”เป็นการยิงพลังงานเป็นลักษณะเส้นตรง โดยลักษณะการยิงแบบนี้จะเป็นการช่วยสะสมพลังงาน
                                                                                                      3. ULTRA BOOST MODE (Circular Dot) เป็นการปล่อยพลังงานจาก Ultraformer MPT “เป็นเส้นประวงกลม” ช่วยเข้ามาปรับสภาพผิวเรียบเนียนโดยเฉพาะ
                                                                                                      4. ULTRA BOOST MP MODE (Micro circular) เป็นการปล่อยพลังงานจาก Ultraformer MPT “เป็นวงกลม” ช่วยเรื่องงานผิวปรับให้ผิวดี มีความเรียบเนียน ช่วยสร้างคอลลาเจน ปรับผิวกระจ่างใส

                                                                                                      Ultraformer mpt

                                                                                                      หัวยิงของ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว สามารถยิงได้ในระดับความลึกเท่าไร

                                                                                                      หัวยิงของ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว มีด้วยกัน 7 ขาดระดับความลึก แบ่งได้ดังนี้

                                                                                                      1. หัวยิง Ultraformer MPT 1.5 mm. (ปล่อยพลังงานเป็นวงกลม) ช่วยในการลดริ้วรอยที่มีขนาดเล็ก บริเวณรอบดวงตา บริเวณหางตา บริเวณมุมปาก รวมทั้งยังช่วยในการยกคิ้วที่ตกลงให้ยกขึ้นได้
                                                                                                      2. หัวยิง Ultraformer MPT 2.0 mm.ลักษณะหัวยิงคนละแบบกับ 1.5 mm. แต่ทำการยิงในระดับที่ลึกกว่า ให้ผลลัพธ์เหมือนกัน คือ ลดริ้วรอยที่มีขนาดเล็กบริเวณรอบดวงตา บริเวณหางตา บริเวณมุมปาก รวมทั้งยังช่วยในการยกคิ้วที่ตกลงให้ยกขึ้น แต่เป็นการยิงโดยพลังงานที่ลึกกว่า
                                                                                                      3. หัวยิง Ultraformer MPT 3.0 mm. (ปล่อยพลังงานเป็นวงกลม) ช่วยในการยกกระชับผิวในระดับชั้นนอก และช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว
                                                                                                      4. หัวยิง Ultraformer MPT 4.5 mm. (ปล่อยพลังงานเป็นวงกลม) เป็นการยิงที่ลงลึกในชั้นผิวถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่ใช้ในการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า ช่วยในการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อย
                                                                                                      5. หัวยิง Ultraformer MPT 6.0 mm.ช่วยในการสลายไขมัน ลดเหนียง แก้ม คางสองชั้น และไขมันส่วนเกินต่าง ๆ บนใบหน้า ในการหดไขมันทำให้ผิวตึงกระชับขึ้น
                                                                                                      6. หัวยิง Ultraformer MPT 9.0 mm.ช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ที่มีการสลายลงไป และยังช่วยสลายไขมัน กระชับสัดส่วนในบริเวณที่ทำได้
                                                                                                      7. หัวยิง Ultraformer MPT 13.0 mm.สามารถช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวที่มีการสลายลงไป และยังช่วยสลายไขมัน กระชับสัดส่วนในบริเวณที่ทำได้ลึกกว่าหัวขนาดความลึก 9.0 mm.

                                                                                                      โดยลักษณะเด่นในการยกกระชับของ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว คืออะไร ?

                                                                                                      Ultraformer mpt

                                                                                                      ลักษณะเด่นในการยกกระชับของ Ultraformer MPT คือการยกหน้า 4 มิติ ในเพียง 3 ขั้นตอนเท่านั้นคือ

                                                                                                      ขั้นตอนที่ 1

                                                                                                      1D Ultraformer MPT ช่วยยกผิวหน้าให้แน่นกระชับ และลดเลือนริ้วรอย

                                                                                                      แบ่งเป็นใบหน้าส่วนบน คือ ลดริ้วรอยหน้าผาก,ลดริ้วรอยรอบดวงตา, ลดถุง/ใต้ตา , ยกหางตา ด้วยหัว Ultraformer MPT ความลึก 1.5 และ 2.0 mm.

                                                                                                      ใบหน้าส่วนล่าง Ultraformer MPT จะช่วยปรับผิวแน่นเฟิร์ม, ยกกระชับใบหน้า, สร้างคอลลาเจน, สลายไขมันชั้นตื้น ด้วยหัว Ultraformer MPT ความลึก 3.0 และ 4.5 mm.

                                                                                                      2D  Ultraformer MPT ช่วยสร้างกรอบหน้า

                                                                                                      ผิวหน้าแน่นเฟิร์ม, ยกกระชับใบหน้า , สร้างคอลลาเจน, สลายไขมันชั้นตื้น

                                                                                                      ขั้นตอนที่ 2

                                                                                                      3D Ultraformer MPT ช่วยสร้างกรอบหน้า

                                                                                                      ลดเนียง, สลายไขมัน, ปรับกรอบหน้าให้คมชัด

                                                                                                      ขั้นตอนที่3

                                                                                                      4D Ultraformer MPT ช่วยเก็บงานผิว

                                                                                                      กระชับรูขุมขนเนียนละเอียดทั่วหน้า ,ผิวกระจ่างใสสุขภาพดี

                                                                                                      จุดเด่นของ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว

                                                                                                      • Ultraformer MPT เป็นโปรแกรมยกกระชับใบหน้าที่มีความปลอดภัย
                                                                                                      • Ultraformer MPT มีหลากหลายระดับความลึกของหัว สามารถปล่อยพลังงานได้หลากหลายชั้นผิว
                                                                                                      • Ultraformer MPT ใน 1 line สามารถปล่อยพลังงานออกมาได้ถึง 417 dots
                                                                                                      • Ultraformer MPT เป็นโปรแกรมที่ยิงเร็วกว่า Ultraformer รุ่นอื่น 2.5 เท่า จึงทำให้ใช้เวลาในการทำน้อยลง
                                                                                                      • Ultraformer MPT เป็นโปรแกรมที่สามารถสลายไขมันได้พร้อมกับกระชับ
                                                                                                      • Ultraformer MPT เป็นโปรแกรมที่ไม่ทำลาย หรือส่งผลเสียต่อผิวโดยรอบ
                                                                                                      • Ultraformer MPT เป็นโปรแกรมที่สามารถกำหนดรูปแบบการปล่อยพลังงานได้อย่างแม่นยำ
                                                                                                      • Ultraformer MPTเป็นโปรแกรมที่ให้พลังงานความร้อนที่มีความละเอียด และมีความหนาแน่นกว่า Ultraformer รุ่นอื่นถึง 25 เท่า
                                                                                                      • Ultraformer MPT สามารถกำหนดจุดที่ต้องการรักษาได้อย่างแม่นยำ
                                                                                                      • Ultraformer MPT ใช้แก้ปัญหาความหย่อนคล้อยได้ ทั้ง ใบหน้าลำคอ เหนียง คางสองชั้น และลำตัว
                                                                                                      • Ultraformer MPT เป็นโปรแกรมยกกระชับที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้นแต่ให้ผลลัพธ์เทียบเท่า

                                                                                                      Ultraformer mpt

                                                                                                      ข้อดีของการทำการรักษาโดย Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิวคืออะไร?

                                                                                                      • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ สามารถช่วยในการยกกระชับผิวทั้งใบหน้า และร่างกายที่มีความหย่อนคล้อยได้เป็นอย่างดี
                                                                                                      • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ สามารถช่วยในการยกกระชับปรับ และเพิ่มกรอบหน้าให้เรียว ชัด คม เข้ารูป มีมิติมากขึ้น
                                                                                                      • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ สามารถช่วยลดไขมันบริเวณใบหน้า และร่างกายได้
                                                                                                      • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ สามารถช่วยในการลดริ้วรอย และร่องลึกได้
                                                                                                      • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ สามารถช่วยลดริ้วรอยร่องตื้นต่าง ๆ บนบริเวณใบหน้าได้
                                                                                                      • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ สามารถช่วยในการแก้ปัญหาผิวหน้า งานผิวที่มีคุณภาพไม่ดี เช่น รูขุมขนกว้างไม่กระชับเป็นบ่อเกิดของสิว ผิวหน้ามันได้
                                                                                                      • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ มีความปลอดภัยสูง น่าเชื่อถือ
                                                                                                      • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลตัวเอง แต่กลัวความเจ็บ หรือมีความกังวลในการเข้าคลินิกความงาม
                                                                                                      • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ สามารถช่วยยกกระชับได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด จึงไม่ทำให้เกิดบาดแผล และไม่เสียเวลาพักฟื้น
                                                                                                      • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ หลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ปกติ โดยไม่ต้องกังวลอาการต่าง ๆ
                                                                                                      • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ สามารถแต่งหน้าได้ทันที
                                                                                                      • ข้อดีของ Ultraformer MPT คือ  สามารถออกกำลังกายได้ทันที

                                                                                                      ข้อด้อยของ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิวคืออะไร?

                                                                                                      • Ultraformer MPT ไม่เห็นผลลัพธ์หลังการทำ 100%
                                                                                                      • Ultraformer MPT ต้องให้เวลาผิวในการฟื้นฟู

                                                                                                      Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว สามารถใช้สำหรับการแก้ปัญหาในจุดไหนได้บ้าง?

                                                                                                      ด้วยความที่ Ultraformer MPT สามารถใช้ได้ทั้งแก้ปัญหาการยกกระชับ และยังช่วยในการสลายไขมัน จึงสามารถทำให้ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งร่างกาย โดยสามารถแบ่งเป็นใบหน้า และเรือนร่างได้ ดังนี้

                                                                                                      1. Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว สามารถแก้ปัญหาบริเวณใบหน้าอะไรได้บ้าง?

                                                                                                      • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหา ริ้วรอยบนหน้าผากได้
                                                                                                      • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา ริ้วรอยบริเวณหางตา ตีนการิ้วรอยบริเวณใต้ตาได้
                                                                                                      • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยบริเวณคิ้ว และหว่างคิ้วได้
                                                                                                      • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยบริเวณแก้ม และร่องแก้มได้
                                                                                                      • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยมุมปาก ร่องน้ำหมากได้
                                                                                                      • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหากรอบหน้าไม่ชัด ไขมันเยอะได้
                                                                                                      • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาสลายไขมันใต้คางได้
                                                                                                      • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่นบริเวณลําคอได้

                                                                                                      2. Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว สามารถแก้ปัญหาบริเวณเรือนร่าง อะไรได้บ้าง?

                                                                                                      • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาต้นแขนไม่กระชับ หย่อนคล้อยได้
                                                                                                      • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาหน้าอกหย่อนคล้อยได้
                                                                                                      • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาหน้าท้องหย่อนย้วยไม่กระชับได้
                                                                                                      • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาหลังมีเนื้อ และมีไขมันสะสมได้
                                                                                                      • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาลดไขมันสะสมบริเวณรอบเอวได้
                                                                                                      • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาลดไขมันบริเวณเหนือหัวเข่าได้
                                                                                                      • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาลดไขมันสะสมบริเวณต้นขาได้
                                                                                                      • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาลดไขมันสะสมบริเวณน่องได้
                                                                                                      • Ultraformer MPT สามารถแก้ปัญหาเนื้อส่วนเกิน นมน้อย เนื้อปลิ้น บริเวณใต้รักแร้ได้

                                                                                                      Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว เหมาะกับใครบ้าง ?

                                                                                                      • Ultraformer MPT เหมาะกับ ผู้ที่มีใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่ตึงกระชับ
                                                                                                      • Ultraformer MPT เหมาะกับ ผู้ที่มีลําคอหย่อนคล้อย ไม่กระชับ มีรอยสร้อยคอ เหี่ยว ย่น
                                                                                                      • Ultraformer MPT เหมาะกับ ผู้ที่คิ้วตก จนใบหน้าดูเศร้า
                                                                                                      • Ultraformer MPT เหมาะกับ ผู้ที่มีหางตาตกจนใบหน้าดูเศร้า
                                                                                                      • Ultraformer MPT เหมาะกับ ผู้ที่มีหนังตาตก อันเนื่องมาจากวัยที่มากขึ้น หรือพันธุกรรม
                                                                                                      • Ultraformer MPTเหมาะกับ ผู้ที่มีขอบตาด้านล่างหย่อนคล้อย
                                                                                                      • Ultraformer MPTเหมาะกับ ผู้ที่มีริ้วรอยรอบดวงตา หรือตีนกา
                                                                                                      • Ultraformer MPTเหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด ไม่คม
                                                                                                      • Ultraformer MPTเหมาะกับ ผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณใบหน้า ทั้ง แก้ม เหนียง และใต้คาง
                                                                                                      • Ultraformer MPT เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก
                                                                                                      • Ultraformer MPT เหมาะกับ ผู้ที่มีผิวหมองคล้ำขาดความสดใส
                                                                                                      • Ultraformer MPT เหมาะกับ ผู้ที่มีผิวหลวม ไม่กระชับที่ต้องการสร้างคอลลาเจน
                                                                                                      • Ultraformer MPTเหมาะกับ ผู้ที่มีไขมันส่วนเกินบนร่างกาย แต่ไม่ต้องการแก้ปัญหาด้วยการผ่าตัดศัลยกรรม

                                                                                                      Ultraformer MPT

                                                                                                      การเตรียมตัวก่อนทำ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว

                                                                                                      1. การเตรียมตัวก่อนทำ Ultraformer MPT ควรปรึกษาแพทย์ถึงความกังวล และสิ่งที่ต้องการทำการรักษา หากมีโรคประจำตัว หรือมีปัญหาผิวบาง ให้แจ้งแพทย์ เพื่อทำการปรับแผนการรักษา
                                                                                                      2. การเตรียมตัวก่อนทำ Ultraformer MPT ควรงดรับประทานยาในกลุ่มแอสไพริน ยาวิตามิน น้ำมันตับปลา อาหารเสริมต่าง ๆ
                                                                                                      3. การเตรียมตัวก่อนทำ Ultraformer MPT ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
                                                                                                      4. การเตรียมตัวก่อนทำ Ultraformer MPT ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ก่อนเข้ารับบริการ
                                                                                                      5. การเตรียมตัวก่อนทำ Ultraformer MPT ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผิวก่อนเข้ารับบริการ

                                                                                                      ขั้นตอนการทำ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว

                                                                                                      1. ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินแผนการรักษา โดยแพทย์จะประเมินจาก
                                                                                                        • ปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวของแต่ละบุคคล หรือ Facial Sagging
                                                                                                        • ปัญหาความหนา ความหลวมของผิวในแต่ละบุคคล หรือ Skin Thickness
                                                                                                        • ปัญหาความหนาของชั้นไขมันบนใบหน้าในแต่ละบุคคล Facial Fat Pad Layer
                                                                                                        • ปัญหาแนวการยกผิวของใบหน้าของแต่ละบุคคล Facial Vector for Lifting
                                                                                                        • ปัญหาผิวอื่น ๆ ของแต่ละบุคคลร่วมด้วย หรือ Other skin conditions อาทิปัญหา รูขุมขนกว้าง ปัญหาหลุมสิว
                                                                                                          ปัญหาผิวหน้า ปัญหาฝ้ากระจุดด่างดำ ปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ ที่อยู่บนใบหน้า
                                                                                                      2. ผู้ช่วยแพทย์ทำหน้าที่เตรียมใบหน้า ทำความสะอาดใบหน้า เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนลงมือทำ
                                                                                                      3. ผู้ช่วยแพทย์ทำการแปะยาชา โดยทิ้งไว้ประมาณ 45-60 นาที
                                                                                                      4. ผู้ช่วยแพทย์ทำความสะอาดใบหน้า เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรักษาด้วย Ultraformer MPT
                                                                                                      5. แพทย์ทำ Ultraformer MPT ในระหว่างที่ทำ Ultraformer MPT ผู้เข้ารับการรักษาจะรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยจากการรักษาเท่านั้น
                                                                                                      6. ทำความสะอาดใบหน้าหลังทำ Ultraformer MPTเสร็จเรียบร้อย

                                                                                                      การดูตัวเองหลังการทำ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว

                                                                                                      • หลังการทำ Ultraformer MPT ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดด ในระยะเวลา 4-5 วันแรก
                                                                                                      • หลังการทำ Ultraformer MPT ควรงดกิจกรรมที่ทำให้ผิวสัมผัสกับความร้อน เช่น ซาวน่า การเล่นกีฬา แช่ออนเซ็น
                                                                                                      • หลังการทำ Ultraformer MPT ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อผิวที่ดี
                                                                                                      • หลังการทำ Ultraformer MPT หากมีอาการบวมแดง ทำการประคบเย็น เพื่อบรรเทาความเจ็บได้
                                                                                                      • หลังการทำ Ultraformer MPT หากมีอาการบวมบริเวณที่ทำ ควรนอนหมอนสูง เพื่อให้ลดอาการบวม ปกติแล้วอาการบวมสามารถหายได้เองภายใน 2-3 วัน เป็นอาการปกติไม่ต้องกังวล

                                                                                                      Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิวใช้เวลาในการเห็นผลนานเท่าไร?

                                                                                                      Ultraformer MPT สามารถเห็นผลหลังทำได้ในทันทีประมาณ 20% ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยสามารถรู้สึกได้ว่าใบหน้ามีความตึงมากขึ้น เมื่อส่องกระจกจะเห็นว่าใบหน้ามีความยกกระชับมากขึ้น

                                                                                                      MPT

                                                                                                      หลังจากนั้น Ultraformer MPT ที่ทำการยิงลงสู่ผิวหน้าไปแล้วนั้น จะเริ่มทำการกระตุ้นให้สร้างคอลลาเจนที่อยู่ภายใต้ชั้นผิวขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ได้ใน 1-3 เดือน และสามารถคงผลลัพธ์ได้นาน 6-8 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวการใช้ชีวิตประจำวัน และการดูแลของแต่ละบุคคล

                                                                                                      Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว ควรทำบ่อยแค่ไหน?

                                                                                                      Ultraformer MPT ควรทำทุก ๆ 3-6 เดือน เพื่อเป็นการคงสภาพความยกกระชับของใบหน้าให้คงที่ไม่หย่อนคล้อย รวมทั้งเพื่อความต่อเนื่องในการรักษา

                                                                                                      ULTRAFORMER MPT
                                                                                                      ULTRAFORMER MPT

                                                                                                      Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว เจ็บหรือไม่ ?

                                                                                                      การทำ Ultraformer MPT จะมีความเจ็บเพียงเล็กน้อย เนื่องจากมีการทายาชาก่อนทำการรักษาเพื่อบรรเทาความเจ็บ จะมีเพียงความรู้สึกอุ่น ๆ และเจ็บจี๊ด ๆ ในระหว่างการทำ Ultraformer MPT เท่านั้น โดยความเจ็บที่เกิดขึ้นระหว่างที่ทำ เป็นความเจ็บในระดับที่ทนได้ผู้เข้ารับบริการไม่ต้องกังวลใจ

                                                                                                      Ultraformer MPT

                                                                                                      ทำ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว บริเวณใด ใช้จำนวน Lines เท่าไร ?

                                                                                                      จำนวน Lines ในการทำ Ultraformer MPT ขึ้นอยู่กับปัญหาและความกังวลของแต่ละบุคคล ทั้งนี้ก่อนทำการรักษาควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินจำนวน Lines ในการรักษาอย่างแม่นยำ โดยสามารถประเมินจำนวน Lines ในการทำ Ultraformer MPT อย่างคร่าว ๆ ได้ ดังนี้

                                                                                                      • ทำ Ultraformer MPT ทั่วทั้งใบหน้า ใช้จำนวนประมาณ 400-600 Lines
                                                                                                      • ทำ Ultraformer MPT ในบริเวณหน้าผาก ใช้จำนวนประมาณ 100-200 Lines
                                                                                                      • ทำ Ultraformer MPT ในบริเวณรอบดวงตา ใช้จำนวนประมาณ 100-200 Lines
                                                                                                      • ทำ Ultraformer MPT ในบริเวณหน้าแก้มทั้ง 2 ด้าน ใช้จำนวนประมาณ 300-500 Lines
                                                                                                      • ทำ Ultraformer MPT ในบริเวณ คาง หรือเหนียง ใช้จำนวนประมาณ 200 Lines

                                                                                                      ULTRAFORMER MPT
                                                                                                      ULTRAFORMER MPT

                                                                                                      วิธีการเลือกคลินิกในการเข้ารับบริการ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิว ให้ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                                                                                                      1. เลือกคลินิกเสริมความที่ได้รับความน่าเชื่อถือ
                                                                                                      2. เลือกคลินิกเสริมความงามที่คร่ำหวอดในวงการมาเป็นระยะเวลายาวนาน
                                                                                                      3. เลือกคลินิกเสริมความงามที่ใช้ Ultraformer MPT เครื่องแท้ โดยสามารถตรวจสอบเครื่องแท้ได้ (สามารถตรวจสอบได้ ที่นี่ )
                                                                                                      4. เลือกคลินิกเสริมความงามที่มีความสะอาดถูกหลักกระทรวงสาธารณสุข
                                                                                                      5. เลือกคลินิกเสริมความงามที่ได้มาตรฐานในระดับสากล
                                                                                                      6. เลือกคลินิกที่มีการการันตีจากผู้ใช้บริการจริง

                                                                                                      ULTRAFORMER MPT
                                                                                                      ULTRAFORMER MPT

                                                                                                      รมย์รวินท์คลินิก มีให้บริการ Ultraformer MPT สลายไขมันพร้อมยกกระชับผิวในทุกสาขา ท่านใดมีความกังวลเรื่องใบหน้าไม่ยกกระชับ มีไขมันสะสมบนใบหน้า ที่ต้องการการยกกระชับอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้นหน้า สามารถเข้ามาปรึกษาที่ได้รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขาทั่วประเทศไทยทั้ง 28 สาขา พร้อมทั้งยังมีแพทย์ผู้มีประสบการณ์พร้อมให้การบริการในทุกสาขา สามารถมั่นใจได้ว่าทุกการรักษาปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน

                                                                                                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                                        วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                                                        CoolSculpting สลายไขมันคืออะไร ?

                                                                                                        COOLSCULPTING

                                                                                                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                                          วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                                                                                          BEFORE & AFTER


                                                                                                          Coolsculpting


                                                                                                          Coolsculpting


                                                                                                          ฆ่าเซลล์ไขมัน พร้อม สลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting

                                                                                                          ด้วยวิถีชีวิตสมัยใหม่ในยุคที่การดูแลตัวเองทำได้ยากมากขึ้นเนื่องจากเวลาที่บีบกระชั้นชิดในแต่ละวันทั้งรถติดทั้งงานที่สามารถทำได้ทุกที ทุกเวลา อาหารอร่อยที่เพียงแต่เดินออกมาหน้าบ้านก็เรียงรายกันเยอะแยะมากมายทำให้การดูแลรูปร่างเป็นสิ่งที่ยากมากขึ้น

                                                                                                          ในทางกลับกันทุกสื่อโซเชียล ทุกคนกลับถ่ายรูปอวดหุ่นสวย ไม่ว่าจะเป็นใส่บิกินีในช่วงซัมเมอร์ใส่เสื้อผ้าตัวเล็กตามแฟชั่น ไม่ใช่แค่ดารานักแสดงเท่านั้น แต่เพื่อนในโซเชียลก็อวดหุ่นกันเหมือนกับว่าการดูแลรูปร่างในยุคสมัยนี้เป็นเรื่องง่ายเสียอย่างนั้น ไม่ว่าจะแต่งรูปก็แล้ว รีทัชรูปก็แล้วแต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำได้เนียนจนคนรอบข้างจับโป๊ะไม่ได้

                                                                                                          จะดีกว่าไหมหากเราสละเวลาเพียง 35 นาทีต่อครั้งก็สามารถมีรูปร่างที่ดีได้ จนคนอื่นอิจฉา แถมยังเป็นรูปร่างดีที่ไม่ทำร้ายร่างกายและไม่ทำลายสุขภาพเนื่องจากมีแพทย์ผู้มีประสบการณ์ในการดูแลทุกๆขั้นตอนอย่างการทำการสลายไขมันด้วยความเย็นกับ CoolSculpting ที่รมย์รวินท์คลินิกนั่นเอง

                                                                                                          Coolsculpting กับ สลายไขมัน ด้วยความเย็น คืออะไร?

                                                                                                          Coolsculpting เป็นโปรแกรมที่ถูกออกแบบและคิดค้นมาเป็นอย่างดีโดยการใช้หลักการฆ่าไขมัน และสลายไขมันด้วยการใช้ความเย็นในการแทรกซึมสู่ชั้นผิวไปแทนที่ความร้อนที่ร่างกาย เพื่อให้เกิดการแปรเปลี่ยนสภาพของเซลล์ไขมันที่แทรกสะสมอยู่ในชั้นผิวให้เปลี่ยนสภาพเป็นผลึกน้ำแข็งจากการใช้ความเย็นเพื่อฟรีซไขมัน จากนั้นไขมันที่ถูกฟรีซก็จะค่อยๆสลายออกตามระบบกลไกของร่างกาย และเมื่อไขมันดังกล่าวสลายออกไปแล้ว ร่างกายก็จะมีการสั่งงานให้มีการจัดเรียงเซลล์ขึ้นใหม่ หรือเรียกอีกอย่างว่ากระบวนการนี้คือกระบวนการฆ่าไขมันนั่นเอง

                                                                                                          การสลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting เป็นโปรแกรมที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสลายและฆ่าไขมันในร่างกายแต่ไม่มีเวลาหรือทำมาหลายวิธีแล้วแต่ก็ยังไม่ลดเนื่องจากเป็นวิธีที่ทันสมัยและเป็นวิธีที่ร่างกายไม่ดื้อถึงแม้จะทำนานหรือบ่อยแค่ไหนก็ตาม ด้วยการใช้ Applicator ในการรักษาพร้อมกันถึง 2 จุดเพื่อเพิ่มพลังการฆ่าเซลล์ไขมันด้วยความเย็นแบบคูณ 2 ทั้งประหยัดเวลา และยังช่วยในการสลายไขมันได้อย่างรวดเร็วกว่าโปรแกรมสลายไขมันประเภทอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นโปรแกรมที่มีความปลอดภัย มีการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.มีการทำการวิจัยระดับโลกเพื่อเก็บตัวอย่างการรักษาของการสลายไขมันด้วยความเย็นกับ Coolsculpting  มากกว่า 20 ฉบับ

                                                                                                          CoolSculpting

                                                                                                          สลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting มีหลักการทำงานอย่างไร ?

                                                                                                          สลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting ทำงานกับไขมันโดยวิธีการส่งความเย็นที่อยู่ในระดับขั้นสูงถึงจุดเยือกแข็ง เป็นความเย็นตั้งแต่อุณหภูมิ -11 ไปจนถึงอุณหภูมิ -13 °C (องศาเซลเซียส) ผ่านชั้นผิวหนัง เพื่อเข้าไปช่วยในการฟรีซไขมันซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการฆ่าและสลายไขมัน ที่สะสมอยู่ทั่วทั้งเรือนร่าง โดยหลักการที่ว่าคือปกติของเซลล์ไขมันจะเป็นเซลล์ที่มีความอ่อนไหวสูง อีกทั้งเซลล์ไขมันยังเป็นสิ่งที่ไม่ทนต่อระดับความเย็นในระดับที่สูงมากๆ เมื่อเซลล์ไขมันถูกความเย็นในระดับที่มีอุณหภูมิติดลบทำการแทรกตัวเข้าไปภายในเซลล์ไขมันในระดับที่มีความสูงถึง -11 ถึง -13 °C (องศาเซลเซียส) เซลล์ไขมันดังกล่าวกลายเป็นเหมือนเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า Apoptosis หรือจัดเป็นภาวะการตายของเซลล์จากการถูกแช่แข็ง ที่เรียกกันว่าการฟรีซนั่นเอง ลักษณะนี้เป็นเหมือนการถูกฆ่าเซลล์ไขมัน โดยเซลล์ที่โดนความเย็นนั้นจะค่อยๆตายและสลายตัวไปเรื่อยๆ ซึ่งการสลายไขมันด้วยความเย็นกับ Coolsculpting จะทำการสลายหรือฆ่าเพียงแค่เซลล์ไขมันเท่านั้น จะไม่ทำลายเซลล์หรือเนื้อเยื่ออื่นๆที่อยู่ในบริเวณเดียวกันและบริเวณข้างเคียง

                                                                                                          กลไกการขับไขมันของการสลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting ?

                                                                                                          เมื่อการสลายไขมันด้วยความเย็นกับ CoolSculpting ได้ทำการฆ่าไขมัน และสลายไขมันแล้ว ร่างกายจะมีกระบวนการกำจัดไขมันตามกลไกธรรมชาติ และขับออกมาในรูปแบบของเสียในร่างกายอาทิปัสสาวะ อุจจาระ โดยไม่ส่งผลให้ระบบขับถ่ายมีความปกติและไม่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันอีกด้วย

                                                                                                          ระดับความเย็นของการสลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting ส่งผลให้เกิดอันตรายต่อส่วนอื่นๆในร่างกายหรือไม่?

                                                                                                          ระดับความเย็นจากการสลายไขมันด้วยความเย็นกับ Coolsculpting  เป็นระดับความเย็นที่ผ่านการวิจัยมาเป็นอย่างดีแล้วว่าทำการฆ่าไขมัน และสลายไขมันได้ แต่ไม่ทำอันตรายต่อผิวหนัง โดยไม่ทำให้ผิวหนังบริเวณที่ทำและบริเวณโดยรอบตาย  จึงสามารถมั่นใจได้ว่าในการรักษาปลอดภัยอย่างแน่นอน

                                                                                                          สลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting ต่างจาก เครื่องสลายไขมันด้วยความเย็นตัวอื่นอย่างไร ?

                                                                                                            • Coolsculpting ได้การรับรองมาตรฐานจาก US FDA ได้เครื่องเดียว
                                                                                                            • Coolsculpting มีงานวิจัยรับรองผลการรักษาและวิธีการรักษา
                                                                                                            • Coolsculpting สามารถสลายเซลล์ไขมัน ได้มากกว่า
                                                                                                            • Coolsculpting มีความเสถียรเป็นอย่างมากทั้งตัวเครื่องและ Applicator

                                                                                                          CoolSculpting

                                                                                                          ข้อดีของการสลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting คืออะไร?

                                                                                                          การสลายไขมันด้วยความเย็นกับ Coolsculpting นั้นสามารถเห็นผลลัพธ์ในการรักษาได้ทันทีหลังทำ และยังสามารถลดลงได้เรื่อยๆอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเข้ารับบริการจนครบครอส

                                                                                                          โดยในการทำการสลายไขมันด้วยความเย็นกับ Coolsculpting ครั้งแรกนั้นจะเห็นผลถึง 27-31% โดยประมาณ

                                                                                                          ผลข้างเคียงการสลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting คืออะไร ?

                                                                                                          การสลายไขมันด้วยความเย็นกับ Coolsculpting เป็นโปรแกรมที่ไม่มีผลข้างเคียงและไม่มีอันตราย จะมีเพียงอาการเหล่านี้เท่านั้น

                                                                                                          • อาจมีผิวบวม ช้ำ และแดง หลังจากทำ
                                                                                                          • อาจจะยังรู้สึกเสียวแปลบที่ผิวหลังจากทำ
                                                                                                          • อาจมีอาการผิวซีดชั่วขณะในระหว่างที่ทำ
                                                                                                          • อาจมีผิวที่มีก้อนแข็งจากการดูดของหัว Applicator
                                                                                                          • อาจมีอาการกดเจ็บที่ผิวหนัง หลังจากตอนทำ
                                                                                                          • อาจเกิดอาการเป็นตะคริวหลังทำ
                                                                                                          • อาจรู้สึกคันหรือแสบผิว
                                                                                                          • อาจมีรู้สึกตึงผิว

                                                                                                          โดยอาการเหล่านี้เป็นอาการเพียงชั่วคราวหลังทำการสลายไขมันด้วยความเย็นกับ Coolsculpting เท่านั้น โดยอาการดังกล่าวสามารถหายได้เองและไม่ก่อให้เกิดอันตรายตามมา

                                                                                                          CoolSculpting

                                                                                                          สลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting สามารถทำส่วนใดได้บ้าง?

                                                                                                          Coolsculpting สามารถทำบริเวณ “Bra Fat ด้านหลัง”

                                                                                                          Coolsculpting สามารถทำบริเวณ “ต้นแขน”

                                                                                                          Coolsculpting สามารถทำบริเวณ “นมน้อยหรือหน้าอกผู้ชาย”

                                                                                                          Coolsculpting สามารถทำบริเวณ “ใต้แขน”

                                                                                                          Coolsculpting สามารถทำบริเวณ “หน้าท้อง”

                                                                                                          Coolsculpting สามารถทำบริเวณ “เอว”

                                                                                                          Coolsculpting สามารถทำบริเวณ “ห่วงยางรอบเอว”

                                                                                                          Coolsculpting สามารถทำบริเวณ “ต้นขาด้านใน”

                                                                                                          Coolsculpting สามารถทำบริเวณ “ต้นขาด้านนอก”

                                                                                                          Coolsculpting สามารถทำบริเวณ “เหนือหัวเข่า”

                                                                                                          Coolsculpting สามารถทำบริเวณ “แก้มก้น”

                                                                                                          Coolsculpting สามารถทำบริเวณ “ไขมันใต้ก้น หรือ Banana roll”

                                                                                                          สลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting เหมาะกับใครบ้าง ?

                                                                                                          • Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่มีรูปร่างที่ดีอยู่แล้วแต่มีปัญหาไขมันสะสมเฉพาะจุด 
                                                                                                          • Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่ออกกำลังกายแล้วยังมีไขมันที่สะสมตามอวัยวะต่าง 
                                                                                                          • Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่ลดไขมันยาก 
                                                                                                          • Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีรูปร่างที่ได้สัดส่วน 
                                                                                                          • Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่ต้องการความลีน 
                                                                                                          • Coolsculpting เหมาะกับคุณแม่หลังคลอดที่ต้องการกลับไปรูปร่างเท่าตอนก่อนท้อง 
                                                                                                          • Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่ต้องการสลายไขมันอย่างยั่งยืน 
                                                                                                          • Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย 
                                                                                                          • Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณหน้าท้อง 

                                                                                                          สลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting ไม่เหมาะกับใคร ?

                                                                                                          • Coolsculpting ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิดควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษา
                                                                                                          • Coolsculpting ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคแพ้ความเย็น อาทิผู้ที่เป็นลมพิษจากความเย็น โรคกลัวความเย็น
                                                                                                          • Coolsculpting ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นมีอาการเลือดแข็งตัวผิดปกติ
                                                                                                          • Coolsculpting ไม่เหมาะสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์หรือหญิงที่อยู่ในระหว่างให้นมบุตร
                                                                                                          • Coolsculpting ไม่เหมาะสำหรับผู้หญิงอยู่ในช่วงระหว่างเป็นประจำเดือน
                                                                                                          • Coolsculpting ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ได้รับการผ่าตัดในระยะไม่ เกิน 6 เดือน
                                                                                                          • Coolsculpting ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไส้เลื่อน
                                                                                                          • Coolsculpting ไม่เหมาะสำหรับเป็นผู้ป่วยที่พึ่งทำการผ่าตัดในบริเวณที่ต้องการสลายไขมัน
                                                                                                          • Coolsculpting ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ติดอุปกรณ์การแพทย์ในร่างกาย อาทิ เครื่องกระตุ้นหัวใจ เป็นต้น

                                                                                                          สลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting ใช้ระยะเวลาในการทำต่อครั้ง นานเท่าไร ?

                                                                                                          การสลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting ต่อ 1 บริเวณที่ทำการสลายไขมัน นั้น จะมีหน่วยคำนวณเป็นไซเคิล (Cycle) สามารถกำจัดไขมันได้ครั้งละประมาณ 60-70 % ในการทำ และใช้เวลาในการทำต่อครั้งและต่อ Cycle เพียง 35 นาที เท่านั้นหากใช้ทั้ง 2 Applicator ก็จะเป็นการฆ่าไขมันและ สลายไขมัน ได้แบบคูณ 2 ซึ่ง เพียงพอต่อการฆ่าไขมันแล้วทั้งยังมีเอกสารงานวิจัยรองรับว่าระยะเวลา 35 นาทีที่กำหนดนี้เป็นระยะเวลาที่มีความเหมาะสมมากที่สุดในการฆ่าไขมันให้ตายและไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย

                                                                                                          สลายไขมันด้วยความเย็นกับ Coolsculpting ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล ?

                                                                                                          สลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting ในแต่ละครั้ง จะสังเกตเห็นได้ว่า รูปร่างและสัดส่วนของผู้เข้ารับบริการจะลดลงได้ภายใน 3 – 4 สัปดาห์ และจะเริ่มเห็นผลได้อย่างชัดเจนภายใน 3 เดือน ทั้งนี้หากเข้ารับบริการไปแล้ว ควรกลับมาทำซ้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลลัพธ์ในการรักษา ขั้นต่ำ 4 ครั้งต่อ 1 หลังจากนั้นสามารถกลับมา ทำการสลายไขมันด้วยความเย็นกับ Coolsculpting ได้ในระยะเวลาที่ห่างขึ้นคือ 2 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้ง เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในผลลัพธ์การรักษา

                                                                                                          Coolsculpting

                                                                                                          การเตรียมตัวก่อนทำการสลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting มีอะไรบ้าง?

                                                                                                          การทำ Coolsculpting เป็นโปรแกรมที่สบายๆ สามารถเข้ามาทำการรักษาได้เลยโดยไม่ต้องเตรียมตัวอะไรก่อน

                                                                                                          Coolsculpting กับขั้นตอนในการสลายไขมัน ด้วยความเย็นมีอะไรบ้าง ?

                                                                                                          1. ปรึกษาแพทย์ในบริเวณสัดส่วนที่ต้องการจะลดและแจ้งความกังวลเกี่ยวกับสัดส่วน เพื่อให้แพทย์พิจารณาและวางแผนการรักษาอย่างถูกต้อง
                                                                                                          2. ผู้ช่วยแพทย์จะทำการชั่งน้ำหนัก และวัดสัดส่วน เพื่อเก็บข้อมูลก่อนทำ
                                                                                                          3. ผู้เข้ารับบริการจะต้องเปลี่ยนชุด รวมทั้งถ่ายภาพสัดส่วนที่ทำการรักษาก่อนเข้ารับบริการ
                                                                                                          4. ผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดผิวเพื่อความสะอาด
                                                                                                          5. ทำเครื่องหมายเพื่อความแม่นยำในการติด Applicator
                                                                                                          6. ติด Applicator  อย่างแม่นยำ
                                                                                                          7. จากนั้นทำการสลายไขมันด้วยความเย็นกับ Coolsculpting

                                                                                                          ผู้เข้ารับบริการสามารถเลือกท่าทาง ที่ผ่อนคลายที่สุดในระหว่างที่ทำ เนื่องจากต้องใช้เวลาถึง 35 นาที อาจให้พนักงานแนะนำท่าที่เหมาะสมได้ ในระหว่างที่ทำการสลายไขมันด้วยความเย็นกับ Coolsculpting อยู่นั้นสามารถใช้โทรศัพท์มือถือได้ตามปกติ

                                                                                                          Coolsculpting

                                                                                                          ความรู้สึกขณะทำการสลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting

                                                                                                          ความรู้สึกขณะทำการสลายไขมันด้วยความเย็นกับ Coolsculpting จะมีความรู้สึกเย็นบนผิวแต่เป็นความเย็นที่สามารถทนได้ ผู้เข้ารับการรักษาสามารถแจ้งความต้องการและความกังวลต่อแพทย์ในขณะที่ทำการติด Applicator ได้ นอกจากความเย็นแล้วจะรู้สึกเหมือนผิวหนังถูกดูดบริเวณที่ติด  Applicator ด้วยแต่เป็นการถูกดูดที่ไม่เจ็บ ในทางกลับกันยังทำให้รู้สึกผ่อนคลายอีกด้วย

                                                                                                          สำหรับความเย็นที่ออกมาจาก Coolsculpting  ลงผ่านผิวหนังนั้นเป็นพลังงานความเย็นที่ ผ่านการควบคุมเป็นอย่างดี และค่อยส่งผ่านผิวหนังลงไปสู่ไขมัน บริเวณต่างๆในร่างกายเพื่อให้ไขมันแข็งตัว

                                                                                                          Coolsculpting

                                                                                                          เปรียบเทียบการสลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting กับ โปรแกรมสลายไขมัน

                                                                                                          โปรแกรมสลายไขมันเป็นการฉีดตัวยาบางชนิดที่มีประสิทธิภาพในการสลายไขมัน โดยอาจเป็นสารที่สกัดมาจากธรรมชาติหรือเป็นสารสังเคราะห์ โดยการฉีดลงสู่ชั้นไขมันเพื่อให้ตัวยาดังกล่าวเข้าไปทำหน้าที่สลายไขมัน ผลลัพธ์ในการทำก็คือบริเวณที่ทำการสลายไขมันโดยบางตัวยาจะช่วยทั้งลดขนาดและกระชับผิวหนังไปในตัว แต่บางตัวยาจะช่วยเพียงลดไขมันอย่างเดียว ไม่ช่วยในการกระชับผิว อีกทั้งในท่านคนที่ทำไปอาจมีอาการเขียวช้ำ หลังทำอันเนื่องมาจากเข็มอีกด้วย ทั้งนี้ก่อนทำจะต้องหาข้อมูลให้ดีเพื่อไม่ให้บริเวณที่ทำการสลายไขมันไปเกิดการหย่อนคล้อยหลังจากทำ

                                                                                                          โปรแกรม สลายไขมัน สามารถทำได้แทบจะครบทุกบริเวณในร่างกายที่มีไขมันสะสม อาทิเหนียงใต้คาง ต้นแขน ต้นขา หน้าท้องเอว สะโพก หรือบริเวณที่มีไขมันส่วนเกินอื่นๆ แต่บริเวณที่เป็นที่นิยมมากที่สุดจะเป็นบริเวณใบหน้าอย่างเหนียง แก้ม นั่นเอง

                                                                                                          ผลลัพธ์หลังการทำโปรแกรมสลายไขมันจะเห็นผลอย่างชัดเจนหลังจากทำไปประมาณ 1สัปดาห์ สามารถเห็นผลอย่างชัดเจนประมาณ 1 เดือน และสามารถคงสภาพผลลัพธ์หลังการทำได้ 5-6 เดือนโดยประมาณ ขึ้นอยู่กับการรับประทานอาหารของผู้เข้ารับบริการด้วยว่ารับประทานอาหารที่มีไขมันสูงหรือไม่ รับประทานของหวานมากหรือไม่ หากรับประทานของมัน ของทอดก็จะทำให้เกิดไขมันสะสมกลับมาได้เร็วมากขึ้น และทำให้ต้องกลับมาทำการสลายไขมันในระยะเวลาที่เร็วขึ้น

                                                                                                          เป็นโปรแกรมที่สามารถเห็นผลได้ในระยะเวลา 1 เดือนและจะลดลงเรื่อยๆหลังทำอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถคงผลลัพธ์ได้อย่างยาวนานโดยไม่โย่โย และไม่อันตรายทั้งนี้หลังจากทำการสลายไขมันด้วยความเย็นกับ Coolsculpting ควรลดการรับประทานของทอดและอาหารมันเพื่อป้องกันการสะสมใหม่ของไขมัน

                                                                                                          เปรียบเทียบการสลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting กับ Carboxy Therapy

                                                                                                          Carboxy Therapy เป็นการลดไขมันโดยการฉีดก๊าซ Carbon dioxide (CO2)  วิธีการคือใช้ก๊าซดังกล่าว ต่อกับเข็มฉีดยา จากนั้นทำการเจาะผิวและฉีดก๊าซลงไปที่บริเวณใต้ผิวหนังเพื่อให้เกิดกระบวนการ Oxidative Lipolysis หรือเพื่อให้เกิดกระบวนการสลายไขมันที่สะสมอยู่ภายใต้ผิว รวมทั้งลดขนาดของไขมัน ทำให้ ช่วยลดขนาดรูปร่างสัดส่วนมีความกระชับ ลดรอยแตกลายจากไขมันและลดผิวเปลือกส้ม อันเป็นสาเหตุของผิวเป็นคลื่น ขรุขระไม่เรียบเนียน ทำให้กลับมาสวยงามเรียบเนียนอีกครั้ง ระหว่างทำอาจมีความเจ็บจากการเจาะผิวและฉีดก๊าซ

                                                                                                          Caboxy Therapy เป็นโปรแกรมที่จะเป็นจะต้องทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในทุกๆ 1-2 สัปดาห์ และต้องทำให้ครบ 5-10 ครั้ง ถึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลง และเมื่อทำครบจะสามารถลดปริมาณไขมันได้ 30% โดยประมาณ  ในขณะที่การสลายไขมันด้วยความเย็นกับ Coolsculpting นั้นหลังจากเข้ารับบริการในครั้งแรกก็สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างเห็นได้ชัด และจะยิ่งเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเมื่อครบระยะเวลา 3 เดือนอีกทั้งยังสามารถคงสภาพผลลัพธ์ได้นานหากทำการควบคุมอาหารควบคู่

                                                                                                          เปรียบเทียบการสลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting กับเครื่องนวดยกกระชับสัดส่วน

                                                                                                          เครื่องนวดกระชับสัดส่วน ที่ดีนั้นจะต้องเป็นเครื่องที่ได้มาตรฐานและผ่านงานวิจัยและทดสอบทางการแพทย์ รวมทั้งเครื่องนวดกระชับสัดส่วนจะถูกจัดกลุ่มให้เป็นเครื่องมีแพทย์ที่มีการควบคุมเป็นพิเศษ โดยปกติแล้วสถาบันที่มีการให้บริการเครื่องนวดกระชับสัดส่วนจะไม่มีเอกสารดังกล่าว ไม่มีการดูแลและกำกับการรักษาจากแพทย์ รวมทั้งยังไม่มีการจดทะเบียนบริษัทในรูปแบบคลินิกเวชกรรม จึงจัดเป็นสถานบริการในการกระชับรูปร่างที่ไม่ได้มาตรฐานเนื่องจากไม่มีเครื่องมือแพทย์นั่นเอง

                                                                                                          สถาบันดังกล่าวจึงเป็นสถาบันที่จะใช้การนวดในลักษณะที่เป็นเพียงการนวด ร้อน-เย็น ในรูปแบบพลังงานต่ำหรือพลังงานอ่อน โดยการนวดในลักษณะนี้เป็นการนวดในลักษณะที่ไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ในระยะยาวเนื่องจากเป็นเพียงการนวดเพื่อรีดน้ำในร่างกายที่สะสมออกจนทำให้ร่างกายบวมออกนั่นเอง โดยวิธีนี้จะให้ผลลัพธ์เพียงชั่วคราว เพียงแค่ 3-7วันเท่านั้นไม่ได้เป็นผลลัพธ์ถาวร แม้จะทำการคุมอาหารควบคู่กันไปก็ตาม

                                                                                                          ในขณะที่การสลายไขมันด้วยความเย็นกับ Coolsculpting จะทำการกำจัดไขมัน โดยการฆ่าไขมันและสลายไขมันออกไปจากร่างกายไม่ใช่เพียงแต่การรีดน้ำเท่านั้น จึงทำให้มีผลลัพธ์ในการรักษาที่ถาวร

                                                                                                          เปรียบเทียบการสลายไขมัน ด้วยความเย็นกับ Coolsculpting กับการออกกำลังกาย

                                                                                                          การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่เราทุกคนล้วนแล้วแต่ทราบกันดีว่าสามารถใช้ในการลดสัดส่วนได้แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำได้ เนื่องจากในบางคนไม่มีเวลาที่มากพอ หรือบางคนไม่มีพื้นที่ในการออกกำลังกายเฉพาะสัดส่วนที่ต้องการเป็นต้น

                                                                                                          โดยการสลายไขมันด้วยความเย็นกับ Coolsculpting เป็นโปรแกรมที่สามารถทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกายได้เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีและมีประสิทธิภาพ หรือหากใครที่ไม่สะดวกที่จะออกกำลังกาย เนื่องจากไม่มีเวลาการสลายไขมันด้วยความเย็นกับ Coolsculpting ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์เนื่องจากใช้เวลาในการทำแต่ละครั้งเพียงแค่ 35 นาที เหมาะแก่ผู้ที่ไม่มีเวลาว่าหรือสามารถทำงานในโทรศัพท์มือถือควบคู่กันไปได้ด้วย นับเป็นการใช้เวลาอย่างคุ้มค่าและเหมาะสมกับผู้ที่ไม่มีเวลาว่างอีกด้วย

                                                                                                          รมย์รวินท์คลินิกผู้นำด้านความงามอย่างครบวงจรมีประสบการณ์มากมายในการดูแลรูปร่างและสลายไขมัน มีแพทย์ในการดูแลและควบคุมในทุกขั้นตอน ทั้งยังมี Specialist ในการดูแลรูปร่างโดยเฉพาะจึงทำให้ผู้เข้ารับบริการทุกท่านมีความเชื่อถือได้ว่าทุกการให้บริการเป็นการบริการที่ได้มาตรฐาน โดยผู้ที่มีความรู้และได้รับการอบรมในตัวโปรแกรมมาอย่างถูกต้องตามหลักการและปฏิบัติทั้งยังมีสาขาไว้รองรับทั่วทั้งประเทศไทย พร้อมให้ความสะดวกสบายแก่ผู้เข้ารับบริการทุกท่าน

                                                                                                          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                                            วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                                                            Ulthera SPT ยกกระชับ คืออะไร? เหมาะกับใครบ้าง อยู่ได้นานแค่ไหน

                                                                                                            Ulthera SPT

                                                                                                            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                                              วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                                                              BEFORE & AFTER


                                                                                                              Ulthera


                                                                                                              Ulthera


                                                                                                              ulthera


                                                                                                              ultherapy


                                                                                                              Ulthera SPT คืออะไร ?

                                                                                                              โปรแกรมที่โด่งดังจนกลายเป็นโปรแกรมแรกที่ใครหลายๆคนนึกถึงหากต้องการทำหัตถการเป็นอย่างแรก อย่าง Ulthera SPT หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อว่า Ultherapy เป็นโปรแกรมยกกระชับผิว (Tissue lifting) อย่างแม่นยำเป็นโปรแกรมแรก โดยการใช้ คลื่น Focused Ultrasound หรือคลื่นเสียงที่มีความถี่สูงและจำเพาะเจาะจงมาใช้ในการยกกระชับ หรือทำความเข้าใจกันอย่างง่ายว่าเป็นคลื่นที่ใช้ในการตรวจครรภ์เพื่อดูเพศเด็กนั่นเอง โดย Ulthera  SPT ทำงานอย่างแม่นยำสูงเนื่องจากมีจอมอนิเตอร์ที่แสดงภาพภายใต้ชั้นผิวในขณะทำการรักษาอย่าง Real Time จึงทำให้แพทย์สามารถมองเห็นได้ว่ายิงตรงชั้นผิวที่ต้องการทำการรักษาหรือไม่

                                                                                                              Ulthera ถูกคิดค้นขึ้นมาโดยแพทย์ผิวหนังระดับต้นๆของโลกทั้งยังเป็น ผู้อำนวยการสถาบัน Wellman Center for Photomedicine, Boston, MA, USA ที่มีชื่อว่า DR. Rox Anderson โดย Ulthera ได้ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1994  และยังถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นเครื่องยกกระชับผิวเครื่องแรกของโลกที่โด่งดังและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ไม่เพียงเท่านั้น Ulthera ยังเป็นโปรแกรมยกกระชับเพียงเครื่องเดียวที่ได้รับการรับรองจาก US FDA ในด้านการยกกระชับ ยกคิ้ว ยกใบหน้า รวมทั้งลำคออีกด้วย

                                                                                                              หลังจากทำการวิจัยและคิดค้นมาอย่างดีแล้ว Ulthera จึงได้ออกสู่ท้องตลาดอย่างเป็นทางการในปี 2004 ในนามเครื่องยกกระชับต้นแบบ Original  ที่ทำให้ผิวมีความกระชับ ลดริ้วรอยด้วยการยิงคลื่นพลังงานความร้อนอย่างมีความแม่นยำจากตัวเครื่องลงสู่ผิวหนังชั้นลึก อย่างชั้น Superfical Muscular Aponeurotic System (SMAS) หรือชั้นเนื้อเยื่อชั้นใน โดยในชั้นนี้เป็นชั้นเดียวกับชั้นที่ศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดศัลยกรรมยกกระชับ หรือดึงใบหน้า Ulthera จะทำงานโดยการใช้ความร้อนพลังงาน  60-70°C ที่มีจุดพลังงานขนาดเพียง 1 mm. ที่มีลักษณะขณะยิง เป็นเหมือนจุดไข่ปลาขนาดเล็กๆ ที่เรียงตัวกันเป็นเส้นตรงอยู่ใต้ผิว และแพทย์จะสามารถมองเห็นชั้นผิวในขณะที่ยิงคลื่นได้ผ่านหน้าจอได้ จึงสามารถทำให้มั่นใจได้ว่าทุกพลังงานที่ยิงลงผิวหนังเป็นการยิงอย่างแม่นยำ ลงสู่ชั้นผิวที่ตรงชั้นที่สุด อีกทั้งแพทย์ยังสามารถปรับระดับคลื่นตามความเหมาะสมในการรักษาได้ตามสภาพผิวและปัญหาของผู้เข้ารับการรักษาได้ ปัจจุบัน Ulthera ถูกนำมาใช้ในการรักษาในด้านการแพทย์มาแล้วนานกว่า 50 ปี

                                                                                                              messageImage 1718793370202

                                                                                                              โดยตอนนี้ Ulthera พัฒนาในรูปโฉมใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม เป็น “ Ulthera  SPT” ด้วยโฉมใหม่ที่ดีกว่าเดิมทำให้รับความนิยมไปอีกขั้นทั่วทุกมุมโลก เนื่องจากความดีงามของผลลัพธ์ในการรักษาที่ Ulthera  SPT ได้เข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ Fibroblast (ไฟโบรบลาสต์)

                                                                                                              โดยคลื่นพลังงานจาก Ulthera  SPT จะเข้าไปกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ทำให้เกิดการหดตัวของเนื้อเยื่อ จนกระทั่งมีรูปแบบคล้ายคลึงกับการเย็บเนื้อเยื่อให้ตึงขึ้น จึงทำให้เกิดการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ จึงช่วยแก้ไขปัญหาผิวหน้าที่หย่อนคล้อย มีริ้วรอย ปรับให้ผิวยกกระชับผิวหรือทำให้ผิวเต่งตึงขึ้นได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ทั้งยังไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับผิวบริเวณข้างเคียง ไม่แสบ ไม่ร้อน ไม่เบิร์น และยังมีความปลอดภัยสูงอีกด้วยเนื่องจากมีการศึกษาและวิจัยมาว่าเป็นโปรแกรมที่มีความปลอดภัยสูงและมีผลลัพธ์ที่เป็นที่น่าพึงพอใจจากผู้ใช้งานจริง

                                                                                                              Ulthera  SPT มีความพิเศษที่นอกจากการเห็นหน้าจอแสดงผลในขณะการรักษาแบบ Real Time แล้วยังสามารถเปลี่ยนหัวในการรักษาได้  โดยแต่ละหัวจะใช้สำหรับความลึกของชั้นผิวที่แตกต่างกัน จึงเหมาะกับบริเวณและการรักษาในชั้นผิวที่แตกต่างกันตามความเหมาะสมและความต้องการแก้ปัญหาของแต่ละบุคคล

                                                                                                              หัวของ Ulthera SPT ในการยกกระชับทั้ง 3 หัวใช้อย่างไร ?

                                                                                                              สามารถแบ่งลำดับความลึกของพลังคลื่นพลังงานอัลตร้าซาวด์จากหัว Ulthera SPT ได้ดังนี้

                                                                                                                • หัวสีส้มของ Ulthera  SPT มีขนาดความลึกของพลังงานอัลตร้าซาวด์  1.5 mm มีความเหมาะสมในการใช้เพื่อยิงริ้วรอยที่อยู่บนผิวหนังชั้นบน ผิวหนังชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) รวมทั้งผิวหนังชั้นผิวหนังแท้ (Dermis)

                                                                                                              หัวสีส้มของ Ulthera  SPT  ในขนาด 1.5 mm  จึงมีความเหมาะสมในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับ รูขุมขนที่มีขนาดกว้าง ไม่กระชับ รวมทั้งแก้ปัญหาริ้วรอยที่มีขนาดเล็ก ตื้น ในบริเวณรอบดวงตา

                                                                                                                • หัวสีเขียวของ Ulthera  SPT มีขนาดความลึกของพลังงานอัลตร้าซาวด์ 3.0 mm. มีความเหมาะสมในการยิงเพื่อกระชับผิวในชั้นไขมัน (Subcutis) ทั้งนี้ชั้นไขมันที่อยู่ใต้ผิวของคนเราจะมีลักษณะคอลลาเจนเป็นแนวตั้งเมื่อใช้คลื่นพลังงาน 3.0 mm. ยิงลงไป จะช่วยหดขนาดปริมาณไขมันได้ 

                                                                                                              หัวสีเขียวของ Ulthera  SPT ในขนาด 3.0 mm. จึงมีความเหมาะสมในการแก้ปัญหาด้านความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นของผิว อาทิในบริเวณกรอบหน้า บริเวณรอบดวงตา รวมทั้งบริเวณหน้าผาก นอกจากนี้ยังสามารถใช้หัวขนาด 3.0 mm ยิงในผิวหนังชั้น SMAS ในบริเวณผิวที่มีความบางมาก หรือในบุคคลที่มีผิวบางได้ด้วย

                                                                                                                • หัวสีฟ้าของ Ulthera  SPT ในขนาด 4.5 mm. จึงมีความเหมาะสมในการแก้ปัญหาในด้านชั้นเนื้อเยื่อ บนกล้ามเนื้อ หรือชั้น SMAS โดยผิวหนังชั้นนี้จะมีคอลลาเจนในลักษณะเป็นแนวนอน การใช้หัวสีฟ้าที่มีความลึกในขนาด 4.5 mm. จะทำการยกกระชับได้เป็นอย่างดี

                                                                                                              หัวสีฟ้าของ Ulthera  SPT ในขนาด 4.5 mm. จึงมีความเหมาะสมสำหรับการนำมายกกระชับในบริเวณแก้ม กรอบหน้าที่หย่อนคล้อย บริเวณเหนียง รวมทั้งบริเวณลำคอ 

                                                                                                              ข้อดีของการทำ Ulthera SPT

                                                                                                                • การทำ Ulthera  SPT จัดเป็นการยกกระชับผิวที่ได้ผมเทียบเท่าการผ่าตัดทำศัลยกรรม
                                                                                                                • การทำ Ulthera  SPT สามารถยกกระชับได้โดยไม่เจ็บตัว
                                                                                                                • การทำ Ulthera  SPT สามารถเห็นผลหลังทำได้ทันทีประมาณ 30%
                                                                                                                • การทำ Ulthera  SPT สามารถใช้หน้าได้ทันทีหลังทำ เนื่องจาก ไม่มีรอย ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น
                                                                                                                • การทำ Ulthera  SPT สามารถคงผลลัพธ์บนใบหน้าได้นานกว่า 1 ปี
                                                                                                                • การทำ Ulthera  SPT สามารถกระตุ้นผิวให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ในบริเวณใต้ผิวได้ ทำให้ผิวมีความอ่อนเยาว์ได้ด้วย
                                                                                                                • การทำ Ulthera  SPT เป็นโปรแกรมที่มีความแม่นยำ โดยสามารถดูได้ผ่านหน้าจอระหว่างทำจึงทำให้ทุกจุดที่ยิงเป็นการยิงอย่างตรงจุด
                                                                                                                • การทำ Ulthera  SPT เป็นการเพิ่มความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้า
                                                                                                                • การทำ Ulthera  SPT  ช่วยให้รูขุมขนเล็กลง ผิวถูกยกกระชับ ปรับความเรียบเนียนให้กับผิวได้ทั่วทั้งบริเวณหน้า
                                                                                                                • การทำ Ulthera  SPT มีความปลอดภัยมีได้มาตรฐาน ทั้งยังสามารถตรวจสอบได้
                                                                                                                • การทำ Ulthera  SPT สามารถทำได้หลายส่วนในร่างกาย

                                                                                                              ข้อเสียของการทำ Ulthera SPT

                                                                                                                • Ulthera  SPT จะมีอาการเจ็บเล็กน้อย รู้สึกเหมือนโดนดูด รู้สึกอุ่น ๆ ใต้ผิวหนัง รวมทั้งอาจรู้สึกเหมือนมีหนามเล็ก ๆมาแทง ในขณะทำบริเวณใบหน้า ขณะที่ทำการปล่อยคลื่นพลังงานเพื่อรักษา เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีกระดูกและชั้นผิวหนังไม่หนา
                                                                                                                • Ulthera  SPT เป็นโปรแกรมที่หลังทำในบางคนอาจมีรอยแดงในบริเวณที่ทำ แต่รอยที่เกิดขึ้นนี้สามารถหายเป็นปกติได้ภายใน 1 ชั่วโมง
                                                                                                                • ในบางคนที่ทำการรักษา Ulthera  SPT อาจมีรอยเขียวหรือเกิดความบวมแต่จะสามารถหายได้เองในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์
                                                                                                                • ในบางคนหลังทำ การรักษาด้วย Ulthera  SPT จะมีความรู้สึกร้อนหรืออุ่นในบริเวณกราม เนื่องจากเป็นบริเวณที่โดนกระดูกโดยตรง

                                                                                                              Ulthera SPT เหมาะกับใคร ?

                                                                                                                • Ulthera  SPT เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยคล้อย และมีความไม่กระชับ
                                                                                                                • Ulthera  SPT เหมาะกับผู้ที่คิ้วตก หางตาตก รวมทั้งมีริ้วรอยรอบดวงตา ทำให้ดูแก่กว่าอายุจริง
                                                                                                                • Ulthera  SPT เหมาะกับผู้ที่มีกรอบหน้าไม่ชัดเจน
                                                                                                                • Ulthera  SPT เหมาะกับผู้ที่มีแก้มห้อยมีกระเปาะแก้ม
                                                                                                                • Ulthera  SPT เหมาะกับผู้ที่มีคางสองชั้น มีเหนียง ลำคอย่น มีรอยสร้อยคอ
                                                                                                                • Ulthera  SPT เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับและไม่ต้องการผ่าตัดศัลยกรรม
                                                                                                                • Ulthera  SPT เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาในการพักฟื้น
                                                                                                                • Ulthera  SPT เหมาะกับผู้ที่กลัวเข็มและเลือด
                                                                                                                • Ulthera  SPT เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวหน้าให้มีความเรียบเนียน กระชับรูขุมขน
                                                                                                                • Ulthera  SPT เหมาะกับผู้ที่ต้องการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง

                                                                                                              Ulthera SPT สามารถทำได้ตั้งแต่มีอายุเท่าไร?

                                                                                                              สามารถแบ่งช่วงวัยในการทำ Ulthera  SPT โดยแต่ละช่วงอายุจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันดังนี้ ?

                                                                                                              ในช่วงอายุ 25-30 ปี 

                                                                                                              ช่วงอายุนี้จะเป็นช่วงอายุที่การทำ Ulthera  SPT เปรียบเสมือนการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนให้กับบริเวณใต้ผิวหนัง ถึงแม้ในช่วงวัยนี้ จะเป็นช่วงวัยที่ ผิวหนังจะยังไม่เกิดปัญหามากแต่คอลลาเจนใต้ชั้นผิวก็จะเริ่มลดลงบ้างแล้ว แต่การทำ Ulthera SPT ในช่วงอายุนี้จะเป็นการกระตุ้นให้ผิวหนังเกิดการสร้างคอลลาเจน เพื่อทดแทนในจำนวนที่ลดลง

                                                                                                              ในช่วงอายุเท่านี้แนะนำให้ทำ Ulthera SPT เพื่อให้เกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ในปริมาณช๊อตที่ไม่มากโดยสามารถปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์อันเป็นที่น่าพึงพอใจก่อนได้

                                                                                                              ในช่วงอายุ  35-45 ปี

                                                                                                              ในช่วงอายุนี้จะเป็นช่วงอายุที่ใบหน้าจะเริ่มมีความหย่อนคล้อย มีริ้วรอย และรอยเหี่ยวย่นแล้ว โดย อาทิ มีร่องแก้ม  กรอบหน้าไม่ชัด เริ่มมีกระเปาะแก้ม มีร่องน้ำหมาก มีร่องมุมปาก หางตาตก หรือมีถุงใต้ตา ซึ่งการทำ Ulthera  SPT ในช่วงอายุเท่านี้จะเปรียบเสมือนการรักษาอาการต่าง ๆ รวมถึงยกกระชับใบหน้าและผิว ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระตุ้นคอลลาเจน  ทำให้ผิวหนังของคนเราที่เริ่มมีการเสื่อมสภาพ อันเนื่องมาจากวัยที่เพิ่มมากขึ้น นั้นกลับมาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

                                                                                                              ในช่วงอายุ 45-50 ปี

                                                                                                              ในช่วงอายุนี้จะเป็นวัยที่เริ่มมีปัญหาในบริเวณต่าง ๆ บนใบหน้า นอกเหนือจากบริเวณใบหน้า ไม่ว่าจะเป็น บริเวณ ใต้คาง ลำคอ รวมถึงหนังตาบน จะเริ่มหย่อนคล้อยลงมาตามวัย อาจเป็นความหย่อนคล้อยที่มีความรุนแรงที่มากขึ้น หากไม่ได้รับการรักษา ทั้งนี้ในช่วงอายุนี้จะต้องดูแล และรักษาสภาพผิวหน้าให้มากขึ้น เพื่อเป็นการลดปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหน้า โดยการกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิวที่หลวมลงจนเกิดช่องว่างในผิว อันเกิดจากคอลลาเจนที่ลดลง และเริ่มหยุดสร้างตามวัย

                                                                                                              ในช่วงอายุวัย 60 ปีขึ้นไป

                                                                                                              ในช่วงอายุนี้ใบหน้าของคนเราจะมีปัญหาอื่น ๆ ตามวัยร่วมอยู่ด้วย ดังนั้นการทำ Ulthera  SPT แพทย์จึงต้องทำร่วมกับโปรแกรมอื่น เพื่อเสริมกำลังการยกกระชับและรักษา รวมทั้งเป็นการป้องกันการเกิดปัญหาเดิมอีกด้วย ทั้งนี้ยังเป็นการทำให้ผิวหนังในบริเวณที่ไม่มีปัญหาได้รับผลกระทบไปด้วยนั่นเอง

                                                                                                              Ulthera SPT

                                                                                                              Ulthera SPT สามารถทำบริเวณใดได้บ้าง ?

                                                                                                              สามารถทำ Ulthera  SPT ได้ทั้งบริเวณใบหน้าและลำตัวโดยแต่ละบริเวณที่ทำ Ulthera  SPT  จะส่งผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปดังนี้

                                                                                                                • เมื่อทำ Ulthera  SPT ที่บริเวณใบหน้าจะส่งผลให้กรอบหน้าชัดขึ้น ใบหน้ามีความยกกระชับมากขึ้น ลดปัญหาหย่อนคล้อยของผิว  ทั้งยังช่วยสร้างคอลลาเจนให้กับบริเวณใต้ชั้นผิวด้วย
                                                                                                                • เมื่อทำ Ulthera  SPT ที่บริเวณรอบดวงตา หรือเรียกว่า Ulthera  SPTใต้ตาจะส่งผลให้หางคิ้วถูกยกขึ้น หางตาถูกยกขึ้น  ดวงตาดูโตขึ้น ตาที่เคยตกจะดูเปิดมากขึ้น ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูสดใสขึ้น
                                                                                                                • เมื่อทำ Ulthera  SPT ที่บริเวณใต้คาง ลำคอ และเหนียง จะส่งผลให้ผิวถูกฟื้นฟู และยังช่วยแก้ปัญหาเหนียงห้อยและไขมันใต้คาง  ลดคาง 2 ชั้นเพิ่มความตึงกระชับ
                                                                                                                • เมื่อทำ Ulthera  SPT ที่บริเวณหน้าอก จะส่งผลให้ผิวบริเวณเนินอกที่เกิดการหย่อนคล้อย กลับกลายเป็นให้เต่งตึงมากขึ้น
                                                                                                                • เมื่อทำ Ulthera  SPT ที่บริเวณหลังมือ ส่งผลให้ริ้วรอยรวมทั้งรอยเหี่ยวย่นบริเวณหลังมือลดลง มือดูอ่อนเยาว์ และสาวขึ้น
                                                                                                                • เมื่อทำ Ulthera  SPT ที่บริเวณท้องแขน รวมทั้ง หน้าท้อง จะส่งผลให้เกิดความกระชับมากขึ้น ทำให้หน้าท้องและท้องไม่ย้วย
                                                                                                                • เมื่อทำ Ulthera  SPT ที่บริเวณหน้าอกส่งผลให้คอลลาเจนบนที่ผิวชั้นบนมีความกระชับมากขึ้น ส่งผลให้ผิวบริเวณหน้าอกเกิดความหย่อนคล้อยมีความกระชับและเต่งตึงมากขึ้น คืนความอ่อนเยาว์และความสาวให้อีกครั้ง

                                                                                                              Ulthera SPT

                                                                                                              ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนทำ Ulthera SPT

                                                                                                                • ก่อนทำ Ulthera  SPT ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
                                                                                                                • ก่อนทำ Ulthera  SPT ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการยกกระชับ
                                                                                                                • ก่อนทำ Ulthera  SPT ควรปรึกษาแพทย์รวมทั้งแจ้งประวัติการรักษา อาการแพ้ แก่แพทย์โดยละเอียด

                                                                                                              ขั้นตอนในการทำ Ulthera SPT

                                                                                                                1. แพทย์ทำการประเมินรูปหน้าก่อนทำการรักษา
                                                                                                                2. ผู้ช่วยแพทย์ทำการทายาชา และพักทิ้งไว้จนยาชาออกฤทธิ์ เพื่อบรรเทาความเจ็บระหว่างทำ Ulthera  SPT
                                                                                                                3. แพทย์ออกแบบรูปหน้า และวางแผนการรักษาเกี่ยวกับปัญหาที่มีความกังวลในจุดต่าง ๆ
                                                                                                                4. ทำการยิง Ulthera  SPT ตามแผนการรักษาที่ได้ทำการประเมินเอาไว้ในเบื้องต้น
                                                                                                                5. ทำความสะอาดใบหน้า

                                                                                                              การดูแลรักษาตัวหลังทำ Ulthera SPT

                                                                                                                • หลังทำ Ulthera  SPT ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดด แสงจัด ๆ และการโดนความร้อนโดยตรงที่ผิว อาทิ  การอบซาวน่า การแช่ออนเซ็น เป็นต้น
                                                                                                                • หลังทำ Ulthera  SP ควรทาครีมบำรุงผิว และครีมกันแดดที่มีค่าSPF 50 ++ ทั้งก่อนออกแดด และระหว่างเจอแดด
                                                                                                                • หลังทำ Ulthera  SPT หากเกิดอาการบวมควรนอนหนุนหมอนที่สูงกว่าระดับที่นอน เพื่อให้อาการบวมลดลง  อาการเหล่านี้เป็นอาการปกติสามารถหายได้เอง
                                                                                                                • หลังทำ Ulthera  SP หากเกิดอาการบวม หรือ แดงมาก สามารถใช้การประคบเย็นร่วมด้วยได้
                                                                                                                • หลังทำ Ulthera  SPT หากเกิดอาการผิวแห้งอัน เนื่องมาจากการทายาชา สามารถบำรุงผิวด้วยมอยเจอไรซ์เซอร์ หรือครีมบำรุงผิวได้
                                                                                                                • หลังทำ Ulthera  SPT ควรงดการทาบำรุงประเภทไวท์เทนนิง รวมทั้งครีมที่มีการผลัดเซลล์ผิวประมาณ 1 สัปดาห์ เนื่องจากผิวยังมีความบอบบางอยู่มาก
                                                                                                                • หลังทำ Ulthera  SPT ไม่ควรสัมผัสผิวหน้าแรง เนื่องจากอาจมีความระบมอยู่ในผิว สามารถรับประทานยาแก้ปวด เพื่อระงับอาการปวดได้ อาการระบมดังกล่าวจะสามารถหายได้เองใน 1 สัปดาห์ โดยไม่ต้องกังวล
                                                                                                                • หลังทำ Ulthera  SPT ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีที่สุด


                                                                                                              ในการทำ Ulthera SPT ใช้เวลากี่นาที ?

                                                                                                              การทำ Ulthera  SPT แต่ละครั้งจะใช้เวลาในการรักษาตามแต่ปัญหาที่กังวลประมาณ 45-60 นาทีต่อครั้ง  ทั้งนี้เวลาอาจมีเหลื่อมล้ำตามปัญหาที่เกิดขึ้นของแต่ละบุคคล

                                                                                                              ในบางกรณีที่คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บก็ไม่ผิดปกติ หากเจ็บหรือร้อนเกินกว่าการทนไหว สามารถแจ้งแพทย์ได้เพื่อให้แพทย์ปรับแผนการรักษา หรือปรับระดับตามสมควร

                                                                                                              ผลลัพธ์หลังจากทำ Ulthera SPT

                                                                                                              Ulthera  SPT จะสามารถเห็นผลลัพธ์หลังการรักษาได้ทันทีหลังทำ ตั้งแต่ครั้งแรกประมาณ 20-30% โดยผลลัพธ์หลังการรักษาจะสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อครบ 3 เดือน

                                                                                                              Ulthera SPT สามารถคงผลลัพธ์ได้นานเท่าไร ?

                                                                                                              Ulthera SPT สามารถคงสภาพผลลัพธ์ได้นานประมาณ 1–2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแล และสภาพผิวของของแต่ละบุคคล อีกทั้งหากทำ Ulthera SPT เป็นประจำต่อเนื่องในเวลาทุก ๆ 1-2 ปี จะทำให้คงความอ่อนเยาว์ใบหน้าให้ดูอ่อนกว่าวัยได้ถึง 10 ปี

                                                                                                              Ulthera SPT มีอันตรายหรือมีผลข้างเคียงในการรักษาหรือไม่?

                                                                                                              Ulthera SPT เป็นโปรแกรมที่ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์ ชนิดเดียวกับที่วงการแพทย์ใช้ในการอัลตร้าซาวด์ทารกในครรภ์ ยังเป็นโปรแกรมที่ได้รับการคิดค้น วิจัยและประเมินระดับของพลังงานอัลตราซาวน์ที่ใช้ในการรักษา มาให้เหมาะสมในการยกกระชับให้กับทุกสภาพผิว อีกทั้ง Ulthera SPT ยังเป็นโปรแกรมที่ได้รับมาตรฐานการรองรับในระดับสากลจากประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA ) ได้รับการยอมรับในผลการรักษาจากหลากหลายประเทศในทั่วทุกมุมโลก และยังได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา หรืออย. จากประเทศไทย Ulthera  SPT จึงเป็นโปรแกรมที่มีความปลอดภัยในขั้นสูง มีความเชื่อถือได้ในความปลอดภัยจึงทำให้ผู้เข้ารับบริการไม่ต้องกังวลในผลข้างเคียงในการรักษา

                                                                                                              ulthera


                                                                                                              ultherapy

                                                                                                              Ulthera SPT ผู้ชายทำได้หรือไม่?

                                                                                                              ในยุคที่ผู้ชายก็ดูแลใส่ใจในตัวเอง และรักตัวเองมากขึ้น Ulthera SPT ก็เป็นหนึ่งในโปรแกรมที่แนะนำให้กับคุณผู้ชาย เนื่องจากเป็นโปรแกรมที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และการใช้ชีวิตของคุณผู้ชายในทุกรูปแบบ ที่ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายที่สมบุกสมบัน หรือบุกป่าฝ่าดงแค่ไหนก็สามารถทำ Ulthera SPT ได้ เนื่องจากเป็นโปรแกรมที่ก่อนทำไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก และหลังทำยังไม่ต้องดูแลอะไรมากอีกด้วย ไม่เจ็บ ไม่ช้ำ ไม่มีรอยเข็ม โดย Ulthera SPT ตอบโจทย์คุณผู้ชายครบทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น การซ่อมแซม และฟื้นฟูผิวหน้า ช่วยยกกระชับ เพิ่มความอ่อนเยาว์ และยังให้ผลลัพธ์ที่แลดูเป็นธรรมชาติเหมาะกับคุณผู้ชายเป็นอย่างมาก จนกระทั่งปัจจุนคุณผู้ชายหลาย ๆ ท่านจึงรู้จักกันในชื่อ Ulthera For Men อีกด้วย

                                                                                                              BF AT ULTHERA 01

                                                                                                              Ulthera

                                                                                                              ulthera


                                                                                                              ulthera


                                                                                                              ทำ Ulthera SPT ที่รมย์รวินท์คลินิก ดียังไง?

                                                                                                              Ulthera SPT เป็นโปรแกรมที่โด่งดังและได้รับความสนใจ จากผู้ใช้บริการอย่างหลากหลาย แต่หลายคนที่ใช้บริการอาจยังไม่รู้ว่ามี Ulthera SPT อยู่มากมายตามท้องตลาด โดยรมย์รวินท์คลินิก เป็นคลินิกเสริมความงามที่สามารถการันตีได้ว่าใช้ Ulthera SPT เครื่องแท้ทุกสาขา สามารถตรวจสอบได้ที่ www.merzclubthailand.com  จากบริษัทผู้นำเข้าโดยตรง ทั้งยังมีสติกเกอร์ และโล่จากบริษัทเป็นเครื่องการันตี

                                                                                                              รมย์รวินท์คลินิก เป็นคลินิกเสริมความงามที่เปิดให้บริการมาอย่างยาวนาน มีชื่อเสียงโด่งดัง มีเคสรีวิวมากมายเป็นการการันตีผลลัพธ์หลังการรักษา

                                                                                                              รมย์รวินท์คลินิก มีแพทย์ผู้มีประสบการณ์ประจำอยู่ทุกสาขา เพื่อความสะดวกสบายในการให้บริการทุกท่าน

                                                                                                              รมย์รวินท์คลินิก มีพนักงานที่ผ่านการฝึกอบรมในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้ทุกการบริการมีประสิทธิภาพที่สุด

                                                                                                              สามารถเข้ารับบริการ Ulthera  SPT ที่รมย์รวินท์คลินิกได้แล้วทุกสาขาทั้ง 28 สาขาทั่วประเทศ พร้อมรับโปรโมชั่นดี ๆ เพียงปรึกษาพนักงานหน้าสาขา

                                                                                                              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                                                วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                                                                Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน ตัวใหม่ล่าสุดคืออะไร?

                                                                                                                Radiesse

                                                                                                                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                                                  วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                                                                                                  BEFORE & AFTER

                                                                                                                  Radieese


                                                                                                                  Radieese


                                                                                                                  Radiesse biostimulator งานผิวกระตุ้นคอลลาเจนผิวฉ่ำโกลด์

                                                                                                                  เทรนด์งานผิวที่เป็นที่สุดในช่วงนี้ที่ใคร ๆ ก็พูดถึง และเป็นกระแสดีไม่มีตกก็คงต้องยกให้งานผิว ไม่ว่าจะเป็น การดูแลผิวชั้นใน ผิวชั้นนอก หรือสร้างคอลลาเจนให้กับผิวเพื่อเสริม ทดแทน  และแทนที่คอลลาเจนบนใบหน้าที่เกิดการสูญเสียไปตามวัย โดยคอลลาเจนใต้ผิวของคนเราเมื่ออายุมากขึ้นจะไม่สามารถสร้างขึ้นได้เอง หากไม่มีสิ่งใดเข้าไปทดแทนหรือกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิวให้เกิดการสร้างใหม่  ผิวหนังจะเกิดการหย่อนคล้อย หลวม ไม่แน่น พร้อมกันกับปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ ความแห้งกร้าน เหี่ยวหย่อนที่จะเกิดขึ้นเมื่อผิวของเราขาดคอลลาเจน

                                                                                                                  อีกทั้งด้วยสภาวะ มลพิษและปัจจัยต่าง ๆ ภายนอก เพียงแค่การดื่มน้ำให้มาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง คงไม่พอที่จะช่วยในเรื่องของการสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิว เนื่องจากปัจจัยภายนอกไม่เหมือนกันกับเมื่อก่อน ดังนั้นการมีตัวช่วยที่ดี และทำควบคู่ไปกับการดูแลตัวเอง ก็นับเป็นสิ่งที่ดีที่จะช่วยฟื้นฟูผิว ให้ดีมากขึ้นไปอีกขั้นนั่นเอง

                                                                                                                  Radiesse biostimulator งานผิวกระตุ้นคอลลาเจนคือ ?

                                                                                                                  ตัวช่วยที่เป็นที่สุดแห่งยุคฟื้นฟูผิวจากภายในส่งผลให้ผิวสวยสู่ภายนอก โดยให้ผลลัพธ์ที่แลดูเป็นธรรมชาติที่สุดในตอนนี้ คือ Radiesse biostimulator ตัวงานผิวกระตุ้นคอลลาเจนฟื้นฟูผิวถึงระดับโครงสร้าง ที่มีความแตกต่างจากงานผิวชนิดอื่น ๆ เนื่องจากไม่ได้มีส่วนประกอบหลักเป็น HA หรือ Hyaluronic acid เหมือนตัวฟิลเลอร์งานผิว และไม่ได้มีส่วนประกอบหลักที่ใช้ผลิตไหมสำหรับทำการเย็บแผลอย่าง PDO PCL PLLA หรือ PDLLA แต่ Radiesse เป็น biostimulator ที่ผลิตมาจากแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทด์ หรือ Calcium Hydroxylapatite microsphere เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อกระดูกที่ตอนนี้ใครๆก็เรียกกันว่า CaHA “คาฮ่าไมโครสเฟียร์” กันจนกลายเป็นคำติดปาก

                                                                                                                  CaHA Microspheres“คาฮ่า ไมโครสเฟียร์” เป็นสารที่ใช้มานานกว่า 25 ปีในวงการแพทย์ โดยเป็นสารที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้เองสามารถพบ CaHA “คาห้าไมโครสเฟียร์” ได้ที่บริเวณเนื้อเยื่อกระดูกรวมถึงในบริเวณฟัน แต่ Radiesse เป็น biostimulator ที่เกิดจากการสังเคราะห์จึงทำให้มีสารที่มีขนาดสม่ำเสมอเท่า ๆ กันในขนาด 25-45 ไมครอน สามารถ เข้ากันได้ดีกับร่างกายของมนุษย์ ไม่ก่อให้เกิดการกระตุ้นให้แพ้ เป็นสารที่ร่างกายไม่ต่อต้าน มีข้อมูลตีพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนมากกว่า 250 ฉบับ จึงสามารถมั่นใจได้ในความปลอดภัย สามารถสลายได้ตามธรรมชาติ รวมทั้งยังเป็นสารที่ได้รับการอนุมัติและรับรองจากยุโรป CE  US FDA หรือองค์การอาหารและยาจากประเทศสหรัฐอเมริกา และ THFDA องค์กรอาหารและยาของประเทศไทยใช้ฉีดที่หน้าและมือด้วย

                                                                                                                  เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังและใบหน้าจะเกิดการผลิตตัวที่น้อยลง และที่มีอยู่เดิมก็จะเริ่มเสื่อมสภาพ ความยืดหยุ่น ความแข็งแรงก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ การใช้สารที่เป็นตัวกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวที่ดี ก็จะทำให้ผิวมีการฟื้นฟูที่ดี มีส่วนในการลดริ้วรอย ขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนั่นเอง

                                                                                                                  โดย Radiesse biostimulator มี Concept ส่วนตัวที่บ่งบอกถึงภาพรวมของผลิตภัณฑ์อยู่ว่า

                                                                                                                  “The One of a Kind Regenerative Biostimulator”

                                                                                                                  การทำงานของ Radiesse biostimulator

                                                                                                                   Radiesse biostimulator จะทำงานโดยการกระตุ้น Fibroblasts (ไฟโบรบลาส) โดย Fibroblasts จัดเป็นเซลล์ต้นกำเนิดในการสร้างคอลลาเจนให้กับผิว และเป็นสิ่งที่ทำให้คอลลาเจนใต้ผิวมีจำนวนมากขึ้นเนื่องจาก CaHA ก็เป็นสารที่ก่อตัวเป็นโครงสร้าง จึงทำให้เกิดการกระตุ้นเซลล์ในร่างกายให้เกิดการผลิตคอลลาเจนหรือเส้นใยตาข่าย 3 มิติ (3D Matrix)โดยรอบโครงสร้าง  หลังจากนั้นจึงเกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ที่บริเวณใต้ชั้นผิว เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงลึกไปจนถึงขนาดโครงสร้าง จึงทำให้หลังทำการฉีด Radiesse biostimulator ผิวจึงได้รับการฟื้นฟูมากขึ้น ทั้งสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งสร้างได้มากถึง 250% ผิวจึงมีการเติมเต็ม อิ่มฟู มีการคืนตัวได้ดีได้ในทันทีหลังทำการฉีด Radiesse biostimulator

                                                                                                                  รวมทั้ง Radiesse ยังเป็นโปรแกรมที่ช่วยเติมเต็ม และทำให้ลดปัญหาเกี่ยวกับการสูญเสียไขมันบนใบหน้า ในผู้ที่มีโรคประจำตัวต่าง ๆ รวมไปจนถึงผู้ที่มีโรคประจำตัว อันเนื่องมากจากไขมัน อาทิ โรค HIV Lipoatrophy ทั้งนี้หากมีโรคประจำตัวดังกล่าวที่ต้องการใช้ Radiesse ในการรักษาควรแจ้งให้แพทย์ทราบโดยละเอียด เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัย และเกิดผลลัพธ์ที่ดี

                                                                                                                  โดย Radiesse biostimulator มี สโลแกนที่ทำให้คนจำผลิตภัณฑ์ได้ง่ายว่าผิว YOUNG ดี ดู HEALTHY ได้กว่านี้ไปอีกนานเพื่อเป็นสิ่งบ่งบอกว่าหากได้ฉีด Radiesse ไม่ว่าจะเป็นใครก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีทุกคน

                                                                                                                  Radiesse biostimulator สามารถคงสภาพอยู่ใต้ชั้นผิวได้นานเท่าไร ?

                                                                                                                  Radiesse สามารถคงสภาพใต้ชั้นผิวได้นานถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลของแต่ละบุคคล

                                                                                                                  ระยะเวลาในการเห็นผลของ Radiesse biostimulator

                                                                                                                   Radiesse biostimulator จะสามารถแจกแจงผลลัพธ์โดยละเอียดได้ 3 ระยะหลังทำการรักษาดังนี้

                                                                                                                  1. ผลลัพธ์ทันทีหลังจากฉีด Radiesse

                                                                                                                  Radiesse จะเป็นสารที่สามารถเข้าไปเติมเต็มใต้ชั้นผิวได้ทันที โดยสามารถเปรียบเทียบได้กับการฉีดฟิลเลอร์ ที่สามารถช่วยในการเติมเต็มหรือทดแทนคอลลาเจนที่สูญเสียไปบริเวณใต้ชั้นผิวได้ ทั้งนี้ยังสามารถลดเลือนริ้วรอยได้อีกด้วย

                                                                                                                  2. ผลลัพธ์ระยะสั้น 1 สัปดาห์ – 1 เดือน หลังจากฉีด Radiesse

                                                                                                                  เมื่อทำฉีด Radiesse ไปในระยะ 1 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน CaHA ที่เป็นส่วนประกอบหลัก จะเกิดการทำงานโดยการเริ่มเข้าไปกระตุ้น Fibroblast ในบริเวณใต้ชั้นผิวให้เกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจนและอิลาสตินเพิ่ม ซึ่งคอลลาเจนและอิลาสตินดังกล่าวจะเข้ามาแทนที Radiesse ที่ทำการฉีดเข้าไปในตอนแรก และค่อย ๆ สลายตัวไปจนหมดในที่สุด หลังจากนั้นก็จะได้ผิวที่มีความหนาแน่น นุ่มเด้ง อิ่มฟู และกระชับที่มากขึ้น

                                                                                                                  3. ผลลัพธ์ผลระยะยาว 6-24 เดือนหลังจากทำฉีด Radiesse

                                                                                                                  เมื่อทำฉีด Radiesse ไปในระยะ 6-24 เดือน เส้นใยคอลลาเจนและอิลาสติน จะถูกสร้างขึ้นมาอย่างเต็มที่ และเริ่มทำงาน ส่งผลให้ใบหน้ามีความแน่นขึ้น รวมทั้งยังได้สุขภาพผิวที่ดีขึ้นในระยะยาว ผิวที่หลวมก็จะดีขึ้น และแข็งแรงขึ้น 

                                                                                                                  ข้อมูลผลิตภัณฑ์

                                                                                                                  ขนาดบรรจุ Radiesse biostimulator

                                                                                                                  Radiesseกล่อง บรรจุด้วยกัน 1 ไซริงค์ 1 ไซริงค์ บรรจุ 1.5 cc และยังมีเข็มฉีดยาขนาด 27 บรรจุมาด้วยในกล่องพร้อมฉีด เพื่อความสะดวกสบายในการใช้บริการของแพทย์

                                                                                                                  Radiesse สามารถเก็บไว้โดย ไม่จำเป็นต้องนำเข้าตู้เย็น และเก็บในอุณหภูมิห้องได้นาน 2 ปี Storage temp 15-25 Celsius degree

                                                                                                                  รมรวินท์คลินิกเป็นคลินิกที่มีแพทย์ที่เป็น KOLs ของ Radiesse biostimulator อย่างคุณหมอออย พญ.อรุณี ทองอัครนิโรจน์ แพทย์ผู้มีประสบการณ์เป็นผู้ทำการรักษา และทำการเทรนด์ทีมแพทย์ในคลินิกอย่างใกล้ชิด จึงทำให้ทีมแพทย์ทุกท่านในรมย์รวินท์คลินิก มีความแม่นยำในการรักษาฉีด Radiesse biostimulator อีกทั้งยังสามารถฉีดให้ได้ผลลัพธ์ของโปรแกรมที่ดีที่สุด เชื่อถือได้ และปลอดภัยที่สุด

                                                                                                                  Radiesse biostimulator

                                                                                                                  ประโยชน์ของ Radiesse biostimulator 5 ประการ CaHA

                                                                                                                  1. Radiesse biostimulator ช่วยในการกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการสร้างคอลลาเจน type 1 ได้สูงสุดถึง 150%
                                                                                                                  2. Radiesse biostimulator ช่วยในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน type 3 ให้กับใต้ชั้นผิวสูงสุดถึง 130% โดยคอลลาเจน type 3 เป็นคอลลาเจนที่พบในผิวเด็ก และยังเป็นคอลลาเจนที่ทำงานร่วมกันกับคอลลาเจน Type1
                                                                                                                  3. Radiesse biostimulator ช่วยในการกระตุ้นอิลาสตินในบริเวณใต้ชั้นผิวสูงสุดถึง 250% โดยอิลาสตินนั้นเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น คืนตัวง่าย และเมื่อผิวมีอิลาสตินมากก็จะทำให้ผิวไม่มีริ้วรอย และทำให้ภาพรวมดูอ่อนกว่าวัย
                                                                                                                  4. Radiesse biostimulator ช่วยในการกระตุ้น Proteoglycan ที่เปรียบเสมือนตัวกักเก็บน้ำของผิว ยิ่งผิวมี Proteoglycan มากเท่าไร ยิ่งทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น อิ่มน้ำ มากเท่านั้น
                                                                                                                  5. Radiesse biostimulator ช่วยในการกระตุ้น Angiogenesis ที่เป็นเหมือนรากแก้ว ที่ช่วยสร้างเส้นเลือดที่ร่างกายใช้ในการหล่อเลี้ยงผิว ทำให้ผิวมีสารอาหารและมีการสูบฉีดเลือดอย่างทั่วถึง ทำให้เลือดสูบฉีดดี ผิวสวย มีเลือดฝาด ดูแดงอมชมพู

                                                                                                                  ประสิทธิภาพ 5 ประการส่งผลให้ Radiesse biostimulator ทำให้เกิผลลัพธ์ที่เหนือกว่าถึง 3 ประการ โดยสรุปได้ดังนี้

                                                                                                                  1. Healthier ทำให้ผิวมีสุขภาพดีมากขึ้นในทุกมิติ 
                                                                                                                  2. Younger ช่วยให้ใบหน้าภาพรวมดูอ่อนเยาว์ลง สัมผัสไปรู้สึกเหมือนผิวเด็กอีกครั้ง 
                                                                                                                  3. Longer ช่วยยืดอายุของผิวให้ดูดี ผิวดูเด็กได้ยาวนานขึ้น 

                                                                                                                  ลักษณะเด่นของ Radiesse biostimulator

                                                                                                                  • ลักษณะเด่นของ Radiesse คือ Strong Structural Skin ทำให้ผิวมีความแข็งแรงมากขึ้น โดยเป็นการเสริมสร้างให้ผิวมีความแข็งแรงลงลึกในระดับโครงสร้าง
                                                                                                                  • ลักษณะเด่นของ Radiesse คือ Profound Rejuvenation ฟื้นฟูผิวในระดับล้ำลึกอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ภาพรวมของผิวดูดีและแข็งแรงมากขึ้น
                                                                                                                  • ลักษณะเด่นของ Radiesse คือ Cell Regenerative Stimulation ช่วยให้เกิดการสร้างเซลล์ใหม่ เพื่อมาทดแทนเซลล์เดิมที่เกิดการสูญเสียไป และเพิ่มความหนาแน่นในผิวที่เริ่มหย่อนคล้อยและหลวม

                                                                                                                  Radiesse biostimulator

                                                                                                                  ข้อดีของ Radiesse biostimulator

                                                                                                                  •  Radiesse ช่วยในการเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว ทั้งยังช่วยทำให้ผิวมีความแน่นกระชับมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
                                                                                                                  •  Radiesse ช่วยในการลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ ทั่วทุกบริเวณ
                                                                                                                  •  Radiesse ช่วยในการเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึกดูตื้นขึ้น
                                                                                                                  • Radiesse ช่วยในการกระตุ้นให้เกิดกระบวนการผลิตคอลลาเจนของผิวตามธรรมชาติ
                                                                                                                  • Radiesse ช่วยในการฟื้นฟูทั้งยังช่วยเสริมสร้างให้ผิวมีคุณภาพมากขึ้นทุกประการ
                                                                                                                  • Radiesse มีความปลอดภัย เป็นการใช้สารที่มีในร่างกายในการฟื้นฟูผิว ไม่แปลกปลอม สลายได้เองตามธรรมชาติ จึงไม่ตกค้าง และไม่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบของผิว
                                                                                                                  • Radiesse ใช้ระยะเวลาในการทำสั้นมาก เพียง 30-60 นาที และให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานถึง 1 ปี (ทั้งนี้เป็นผลลัพธ์เฉพาะบุคคล)

                                                                                                                  Radiesse biostimulator ใช้ฉีดบริเวณใดได้บ้าง

                                                                                                                  • Radiesse ใช้ฉีดบริเวณใบหน้าส่วนกลาง หรือ middle face”
                                                                                                                  • Radiesse ใช้ฉีดบริเวณใบหน้าส่วนล่าง หรือ lower face”
                                                                                                                  • Radiesse ใช้ฉีดบริเวณลำคอ
                                                                                                                  • Radiesse ใช้ฉีดบริเวณหลังมือ

                                                                                                                  Radiesse biostimulator

                                                                                                                  Radiesse biostimulator เหมาะกับใคร ?

                                                                                                                  • Radiesse เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป 
                                                                                                                  • Radiesse เหมาะกับผู้ที่มีผิวเหี่ยว มีริ้วรอย ร่องลึกที่ต้องการเติมเต็ม 
                                                                                                                  • Radiesse เหมาะกับผู้ที่มีใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่กระชับที่ต้องการฟื้นฟู 
                                                                                                                  • Radiesse เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ในการรักษาที่รวดเร็ว 
                                                                                                                  • Radiesse เหมาะกับผู้ที่มีคอและหลังมือเหี่ยว ที่ต้องการแก้ปัญหา 
                                                                                                                  • Radiesse เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยที่ต้องการแก้ปัญหาในระยะยาว 

                                                                                                                  Radiesse biostimulator ไม่เหมาะกับใคร ?

                                                                                                                  • Radiesse ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคที่เกี่ยวกับอาการเลือดออกง่าย
                                                                                                                  • Radiesse ไม่เหมาะกับสตรีที่ตั้งครรภ์ และสตรีที่อยู่ในระยะให้นมบุตร
                                                                                                                  • Radiesse ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติการแพ้ส่วนประกอบในตัวยา

                                                                                                                  ระยะเวลาในการฉีด Radiesse biostimulator ในแต่ละครั้ง

                                                                                                                  Radiesse biostimulator ใช้ระยะเวลาในการทำเพียง 30 นาทีถึง 60 นาทีเท่านั้น

                                                                                                                  การเตรียมตัวก่อนฉีด Radiesse biostimulator

                                                                                                                  1. Radiesse ก่อนทำให้งดการรับประทานยาที่ทำให้เลือดแข็งตัว อาทิ ยาจำพวกแอสไพริน น้ำมันตับปลา วิตามินอี โสม กระเทียม กิงโกะ เป็นต้น เพื่อป้องกันการเลือดออกมาก 
                                                                                                                  2. Radiesse ก่อนทำให้งดการทำสครับผิว หรือการผลัดเซลล์ผิวด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อป้องกันการอักเสบของผิว
                                                                                                                  3. Radiesse ก่อนทำควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวพร้อมกับการบำรุง 

                                                                                                                  ขั้นตอนการทำการฉีด Radiesse biostimulator

                                                                                                                  1. ผู้ช่วยแพทย์เก็บผมให้เรียบร้อย เพื่อเตรียมความพร้อมในการฉีด Radiesse 
                                                                                                                  2. ผู้ช่วยแพทย์ทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ 
                                                                                                                  3. ทา หรือ ฉีดยาชา เพื่อบรรเทาความเจ็บระหว่างการรักษา 
                                                                                                                  4. ทำการฉีด Radiess บนใบหน้า หรือบริเวณที่ต้องการทำการรักษา 
                                                                                                                  5. ผู้ช่วยแพทย์กดห้ามเลือด 

                                                                                                                  การดูแลตัวเองหลังฉีด Radiesse biostimulator

                                                                                                                  1. หลังฉีด Radiesse ให้งดกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก
                                                                                                                  2. หลังฉีด Radiesse ให้งดการโดนแสงแดด หรือทำกิจกรรมที่โดนความร้อนมากๆ
                                                                                                                  3. หลังฉีด Radiesse ไม่เอามือไปสัมผัสบริเวณที่ทำการรักษา เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

                                                                                                                  ผู้ที่ต้องปรึกษาแพทย์และแจ้งข้อมูลโดยละเอียดก่อนทำการรักษาด้วย Radiesse biostimulator

                                                                                                                  • ผู้ที่มีอาการผิวหนังมีการติดเชื้อ 
                                                                                                                  • ผู้ที่มีอาการเป็นสิวเรื้อรัง  
                                                                                                                  • ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคเริม 
                                                                                                                  • ผู้ที่มีประวัติการใช้ยาละลายลิ่มเลือด หรือยาที่ก่อให้เกิดการแข็งตัวของเลือด 
                                                                                                                  • ผู้ที่มีประวัติมีแผลแล้วกลายเป็นคีลอยด์ 

                                                                                                                  Radiesse biostimulator

                                                                                                                  Radeisse

                                                                                                                  ผลข้างเคียงของการฉีด Radiesse biostimulator

                                                                                                                  1. สามารถเกิดรอยแดงรอย จ้ำ หรือรอยเขียวช้ำหลังจากทำการฉีด Radiesse โดยอาการนี้เป็นอาการปกติ ที่สามารถเกิดขึ้นในเวลาชั่วคราว และสามารถหายได้เอง
                                                                                                                  2. อาจเกิดอาการคันได้ที่บริเวณที่ฉีด Radiesse โดยอาการคันที่เกิดขึ้นสามารถหายได้เอง
                                                                                                                  3. อาจเกิดการปวด หรือเจ็บบริเวณรอยเข็มที่ทำการฉีด Radiesse หากมีสิ่งสกปรกไปโดนอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
                                                                                                                  4. อาการดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น อาการคัน เจ็บ ปวด หรือรอยแดง สามารถหายได้เองใน 1-2 วัน หากเป็นนานมากกว่า 1-2 วัน ควรปรึกษาคลินิกหรือแพทย์ที่ให้บริการ
                                                                                                                  5. อาจมีการเปลี่ยนสีของผิวในบริเวณที่ทำ อาทิ ผิวซีดซึ่งหากเกิดอาการดังกล่าวให้ปรึกษาแพทย์

                                                                                                                  Radeisse

                                                                                                                  Radiesse biostimulator ต่างกับ Sculptra อย่างไร ?

                                                                                                                  • Radiesse ผลิตโดยการใช้สาร CaHA Microspheres เป็นสารสังเคราะห์ที่มีลักษณะเนื้อสารเป็นเจลมาในไซริงค์ ใช้ในการสร้างคอลลาเจนไทป์ 1 และไทป์ 3 ใช้สำหรับการฉีด เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ฟื้นฟูผิวในระดับโครงสร้าง  ยกกระชับความหย่อนคล้อย และเติมเต็มผิวในบริเวณที่มีความบกพร่อง โดยเห็นผลทันทีในการทำ อันเนื่องมาจากเนื้อเจลของตัวยา คงผลลัพธ์ยาวนาน 2 ปี
                                                                                                                  • Sculptra ผลิตโดยการใช้สาร PLLA (Poly-L-Lactic Acid) เป็นสารที่ใช้ในการผลิตไหมเย็บแผลใช้ในการสร้างคอลลาเจนไทป์ 1 ถึง 66.5% ใช้ในการฉีดเพื่อกระตุ้นคอลลาเจน ช่วยในการคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิว ฟื้นฟูผิวจากภายในให้ส่งผลสู่ภายนอก  คืนความอ่อนเยาว์ หลังการฉีดจำเป็นต้องทำการนวด 5 วัน เพื่อเป็นการกระจายตัวยาและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด จะเห็นผลหลังการฉีด Sculptra ประมาณ 5 วัน เนื่องจากจะต้องรอสาร PLLA จะออกฤทธิ์ และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้นหลังจากฉีดไปแล้ว 3 เดือน มีผลลัพธ์ที่ยาวนาน 2 ปี
                                                                                                                  • จะเห็นได้ว่าทั้งสองโปรแกรมใช้สารในการผลิตที่แตกต่างกัน จึงทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกัน 100%  อีกทั้งลักษณะของเนื้อสารยังไม่เหมือนกัน ทำให้ผลลัพธ์หลังจากการฉีดทันที่จะเห็นผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกัน สามารถทำทั้งสองชนิดควบคู่กันได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในการฟื้นฟูโครงสร้างผิวที่ดีที่สุด

                                                                                                                  Radeisse

                                                                                                                  Radiesse biostimulator ต่างกับ Gouri อย่างไร ?

                                                                                                                  • Radiesse ผลิตโดยการใช้สาร CaHA Microspheres เป็นสารสังเคราะห์ที่มีลักษณะเนื้อสารเป็นเจล มาในไซริงค์  ใช้ในการสร้างคอลลาเจนไทป์ 1 และไทป์ 3 ใช้สำหรับการฉีดเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ให้เกิดการสร้างในระยะยาว ฟื้นฟูผิวในระดับโครงสร้าง ยกกระชับความหย่อนคล้อย และเติมเต็มผิวในบริเวณที่มีความบกพร่อง โดยเห็นผลทันทีในการทำ อันเนื่องมาจากเนื้อเจลของตัวยา คงผลลัพธ์ยาวนาน 2 ปี
                                                                                                                  • Gouri ผลิตโดยการใช้สาร PCL (Polycaprolactone) มีลักษณะเป็นของเหลวมาในไซริงค์ (Fully Liquid) ช่วยในการป้องกันการเกิดริ้วรอยในอนาคต เติมเต็มผิวทำให้ผิวอิ่มฟู คงผลลัพธ์ในผิวได้ 1 ปี
                                                                                                                  • จะเห็นได้ว่าทั้งสองโปรแกรมให้ผลลัพธ์ในการรักษาที่มีความคล้ายคลึงกัน และ Gouri มีอายุการคงผลลัพธ์ที่สั้นกว่า Radiesse 

                                                                                                                  Radeisse

                                                                                                                  Radiesse biostimulator ต่างกับ Rejuran อย่างไร ?

                                                                                                                  • Radiesse ผลิตโดยการใช้สาร CaHA Microspheres เป็นสารสังเคราะห์ที่มีลักษณะเนื้อสารเป็นเจล มาในไซริงค์ ใช้ในการสร้างคอลลาเจนไทป์ 1 และไทป์ 3 ใช้สำหรับการฉีดเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวให้เกิดการสร้างในระยะยาว ฟื้นฟูผิวในระดับโครงสร้าง  ยกกระชับความหย่อนคล้อย และเติมเต็มผิวในบริเวณที่มีความบกพร่องโดยเห็นผลทันทีในการทำ อันเนื่องมาจากเนื้อเจลของตัวยา คงผลลัพธ์ยาวนาน 2 ปี
                                                                                                                  • Rejuran เป็นโปรแกรมฉีดในกลุ่ม Skin Booster ผลิตโดยการใช้ Polyneucleotide (พอลินิวคลิโอไทด์) หรือ PN จากปลาแซลมอน ช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวกระจ่างใส ชุ่มชื้น ลดจุดด่างดำ ฝ้า กระ รอยแดง รอยดำ รวมทั้งรอยสิว เสริมสร้างผิวให้มีความแข็งแรงมากขึ้น คงผลลัพธ์ได้นาน 3-6 เดือน
                                                                                                                  • จะเห็นได้ว่าทั้งสองโปรแกรมช่วยแก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน และทำงานกับผิวคนละชั้นผิว โดย Radiesse จะทำงานในชั้นผิวที่ลึกกว่า และ Rejuran จะทำงานกับผิวบริเวณชั้นตื้น จึงสามารถทำการรักษาร่วมกันเพื่อเป็นการเป็นการดูแลผิวอย่างครบถ้วนทุกมิติได้โดยสมบูรณ์แบบ ทั้งเป็นการสร้างคอลลาเจน ทั้งสร้างความชุ่มชื้น  รูขุมขนกระชับ ลดความโทรมของใบหน้าได้ด้วย

                                                                                                                  Radeisse

                                                                                                                  ทำไมควรฉีด Radiesse biostimulator ที่รมย์รวินท์คลินิก

                                                                                                                  1. ที่รมย์รวินท์คลินิกมีแพทย์ผู้ชำนาญการ และเป็น KOLs ของ Radiesse อย่างคุณหมอออย พญ.อรุณี ทองอัครนิโรจน์ แพทย์ผู้ชำนาญการประจำรมย์รวินท์คลินิก
                                                                                                                  2. ที่รมย์รวินท์คลินิกแพทย์ทุกท่าน ได้รับการเทรนการทำผลิตภัณฑ์ Radiesse มาจนชำนาญ
                                                                                                                  3. ที่รมย์รวินท์คลินิกแพทย์วิเคราะห์ปัญหาของคนไข้ทุกท่านตามจริงแบบเคสต่อเคส
                                                                                                                  4. ที่รมย์รวินท์คลินิกมีการดูแลความสะอาดตรงตามหลักกระทรวงสาธารณะสุข
                                                                                                                  5. ที่รมย์รวินท์คลินิกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นของแท้ จากบริษัทจัดจำหน่ายจริงสามารถตรวจสอบได้
                                                                                                                  6. ที่รมย์รวินท์คลินิกมีประสบการณ์กว่า 20 ปีในการรักษา และดูแลด้านความงาม
                                                                                                                  7. ที่รมย์รวินท์คลินิกมีการจัดอบรมพนักงาน เพื่อให้การเข้ารับบริการของคนไข้ในทุกครั้งเป็นการรับบริการที่ดีที่สุด
                                                                                                                  8. ที่รมย์รวินท์คลินิกมีสาขามากมาย เพื่อพร้อมสำหรับการดูแลรักษาคนไข้ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด รวม 26 สาขา
                                                                                                                  9. ที่รมย์รวินท์คลินิกมีที่จอดรถมากมาย
                                                                                                                  10. คลินิกทุกสาขาสามารถเดินทางได้สะดวกสบาย

                                                                                                                  รู้แบบนี้แล้วไม่ต้องลังเลรีบเข้ามารับบริการ พร้อมรับโปรโมชันสุดพิเศษได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ได้แล้ววันนี้ 

                                                                                                                  Radeisse

                                                                                                                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                                                    วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                                                                    Sculptra กระตุ้นคอลลาเจน สร้างคุณภาพผิว คืออะไร?

                                                                                                                    Sculptra เหมาะกับใคร

                                                                                                                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                                                      วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                                                                                                      Sculptra ตัวสร้างคุณภาพผิวที่เป็นที่พูดถึงมากที่สุด

                                                                                                                      Sculptra ที่สุดของงานผิวที่เป็นที่กล่าวขานกันมาตลอด ถึงความดีงามหลังการรักษาว่าได้งานผิวที่มีคุณภาพ จนไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจึงได้รับความนิยมไปทั่วโลกขนาดนี้ เพราะเราทุกคนเชื่อว่า การจะมีผิวที่ดีได้ต้องเริ่มมาจากภายใน ซึ่งนั่นหมายถึง ชั้นใต้ผิวหนังนั่นเอง เมื่อมีอายุที่มากขึ้นก็ทำให้ผิวหนังไม่สามารถคงสภาพที่ยังดูสวยสดใสได้ เหมือนตอนยังอ่อนเยาว์จึงต้องเริ่มจากการบำรุงผิวจากใต้ชั้นผิว เพื่อให้สร้างความอ่อนเยาว์จากภายในให้ส่งผลออกมาที่ผิวภายนอกนั่นเอง

                                                                                                                      Sculptra เป็นหนึ่งโปรแกรมที่ช่วยสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ที่ถูกกล่าวขานอย่างแพร่หลายมาก ๆ เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่ดี ดูมีความเป็นธรรมชาติ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์กว่าวัยได้

                                                                                                                      Sculptra คืออะไร?

                                                                                                                      Sculptra Collagen Biostimulator หรือสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ที่เป็นตัวแรกของโลกได้รับความแพร่หลายไปทั่วโลกมาอย่างยาวนานตั้งแต่ 1999 Sculptra ถูกใช้อย่างเป็นวงกว้างมาแล้วกว่า 20 ปีจากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก ทั้งยังเป็น Collagen Biostimulator ตัวเดียวที่ได้รับรองมาตรฐานจาก US FDA ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้รับ อย.ไทยในปี 2023

                                                                                                                      Sculptra Collagen Biostimulator คือ สาร Poly-L-Lactic (PLLA) ที่ทำให้มีขนาดที่เล็กที่สุด เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการนำมาฉีด เพื่อเพิ่มการกระตุ้นคอลลาเจนให้กับบริเวณใต้ผิวหนัง ซึ่งสาร Poly-L-Lactic (PLLA) เป็นสารชนิดเดียวกับเส้นไหมที่แพทย์ใช้ทำการเย็บแผลให้กับคนไข้ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดการตกค้าง หรือส่งผลให้เกิดอันตรายหลังจากการทำ โดยสาร Poly-L-Lactic (PLLA) จะเข้าไปทำการกระตุ้นคอลลาเจนให้กับบริเวณใต้ผิวหนังที่คอลลาเจนเริ่มมีการเสื่อมสลายไปตามวัย สาร Poly-L-Lactic (PLLA) Collagen Biostimulator หลังจากฉีดไปแล้วจะสามารถย่อยสลายได้เป็น H2O, Co2 และ Lactic acid จึงสามารถเข้ากันกับร่างกายของคนเราได้เป็นอย่างดี และยังย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ทั้งนี้ Sculptra ยังมีงานวิจัยรองรับในการรักษามากกว่า 50 งานวิจัย รวมถึงได้ทำกลุ่มตัวอย่างในการรักษา และทดลองมากกว่า 1,000 ราย จึงถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีผู้รับรอง และการันตีเรื่องประสิทธิภาพความพึงพอใจ รวมทั้งความปลอดภัยในการรักษา

                                                                                                                      Sculptra เป็นโปรแกรมฉีดที่จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen Biostimulator ที่ใช้ในการฉีดให้ผิวเกิดการสร้างคอลลาเจนของตัวเอง เพื่อทดแทนที่คอลลาเจนเก่าใต้ผิวหนังที่สูญเสียไป โดยการทำงานใต้ผิวหนังชั้นลึก เพื่อให้ส่งผลออกมาถึงผิวหนังชั้นนอก จึงทำให้ช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจน และช่วยคืนความอ่อนเยาว์ ชุ่มชื่นให้กับผิว ยกกระชับผิวที่มีความหย่อนคล้อยให้กลับมากระชับอีกครั้ง ช่วยเติมเต็มริ้วรอยร่องลึกบนผิวให้ตื้นขึ้น ปรับผิวกระจ่างใส รูขุมขนกระชับแน่นขึ้น คุณภาพของผิวและความเต่งตึงของใบหน้าในภาพรวมดีขึ้น ปรับให้ผิวที่เคยหลวมจากการสูญเสียคอลลาเจน ให้แน่น อิ่มฟูอีกครั้ง และด้วยความที่ Sculptra ไม่ใช่การฉีดสารเติมเต็มแต่เป็น Collagen Biostimulator จะทำให้ใต้ผิวค่อย ๆ ฟื้นฟูตัวเองและได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรืออาการข้างเคียงใด ๆ ในการรักษา

                                                                                                                      Sculptra มีคอลลาเจนที่สำคัญต่อร่างกายอย่างไร?

                                                                                                                      คอลลาเจน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่จัดเป็นองค์ประกอบหลักของผิวหนังมนุษย์ และมีสัดส่วนในผิวหนังของคนเราสูงถึง 80% – 90% ไม่เพียงเท่านั้นคอลลาเจนยังเป็นส่วนของโครงสร้างสำคัญต่าง ๆ ที่ประกอบในร่างกาย อาทิ ในกระดูก ในกล้ามเนื้อ เป็นส่วนประกอบของเล็บ เส้นเอ็น รวมทั้งข้อต่อของคนเราด้วย

                                                                                                                      ร่างกายของมนุษย์ประกอบไปด้วยคอลลาเจนรวมกันหลายชนิดแต่จะมี 5 ชนิดที่สามารถพบได้บ่อยในร่างกาย คือ

                                                                                                                      1. Collagen Type 1 คอลลาเจนไทป์นี้เป็นคอลลาเจนที่มีความยืดหยุ่นรวมทั้งมีความแข็งแรงสูง สามารถพบได้บริเวณผิวหนัง และเส้นเอ็น
                                                                                                                      2. Collagen Type 2 คอลลาเจนไทป์นี้เป็นคอลลาเจนที่มีเส้นใยหลวมกว่าคอลลาเจนไทป์ 1 สามารถพบได้บริเวณกระดูก และข้อต่อ
                                                                                                                      3. Collagen Type 3 คอลลาเจนไทป์นี้เป็นคอลลาเจนที่มีความแข็งแรงต่ำ เมื่อเทียบกับคอลลาเจนไทป์ 1 สามารถพบได้ที่บริเวณผิวหนัง และหลอดเลือด
                                                                                                                      4. Collagen Type 4 คอลลาเจนไทป์นี้เป็นคอลลาเจนที่มีลักษณะเฉพาะตัวมาก สามารถพบได้ตามเนื้อเยื่อที่เกี่ยวพันที่หุ้มกล้ามเนื้อ ไขมัน และเส้นใยฝอยของเยื่อบุผิว
                                                                                                                      5. Collagen Type 5 คอลลาเจนไทป์นี้เป็นคอลลาเจนที่มีลักษณะคล้ายกันกับคอลลาเจนไทป์ 1 สามารถพบได้ตามเส้นผม เนื้อเยื่อของทารก รวมไปจนถึงผิวของเซลล์

                                                                                                                      Sculptra มีความสำคัญอย่างไรต่อเซลล์ Fibroblast

                                                                                                                      เซลล์ Fibroblast  คือ เซลล์ที่ก่อให้เกิดคอลลาเจนและอิลาสตินที่เรารู้จักกัน โดยคอลลาเจนและอิลาสตินนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้ผิวหนังของคนเรา และเป็นตัวทำหน้าที่สร้างและรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว รวมทั้งยังทำหน้าที่ในการทำให้ผิวหนังมีความแข็งแรง สร้างความยืดหยุ่น เด้งกระชับ แต่เมื่อคนเรามีอายุที่มากขึ้นโดยปกติประมาณ 25-30 ปี เซลล์ Fibroblast จะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ ตามวัย ส่งผลให้คอลลาเจน และอิลาสตินไม่เกิดการสร้างขึ้นใหม่ จึงทำให้ผิวของคนเราเกิดความหย่อนคล้อยลงเรื่อย ๆ เมื่อมีอายุที่มากขึ้น

                                                                                                                      กระบวนการทำงานของ Sculptra หลังฉีดลงสู่ผิว?

                                                                                                                      หลังฉีด Sculptra Collagen Biostimulator ลงสู้ผิวแล้วผิวจะมีความเติมเต็ม กระชับ เด้งฟูขึ้นทันทีหลังจากฉีด อันเนื่องมาจาก Sculptra เป็นโปรแกรมที่จะต้องทำการผสมกับ Sterile water ก่อนแล้วค่อยนำมาฉีดเข้าที่บริเวณผิวหนัง จึงทำให้ผิวหนังเติมเต็มขึ้นจากการฉีดน้ำเข้าไปที่ผิวหนัง หลังจากนั้นประมาณ 2-3 วันจะค่อย ๆ ยุบลง และจะกลับมายุบ ไม่เต่งตึงเหมือนเดิม เนื่องจากร่างกายได้ทำการดูดซึม Sterile water ที่ฉีดเข้าไปจนหมด

                                                                                                                      โดยระหว่างนั้น Sculptra ก็จะกระจายตัวไปจนทั่วผิวหนัง หลังจากนั้น Sculptra ก็จะเริ่มทำงานกับผิวหนัง โดยหลังจากที่ฉีด Sculptra และตัวยาเริ่มกระจายตัวไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของผิวหนังอนุภาคของ Sculptra จะเริ่มทำงานโดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายด้วยวิธีการ คือ การดึงเซลล์ Macrophages เพื่อมาล้อมรอบตัวอนุภาคของ Sculptra ให้มากที่สุดจากนั้นจะเริ่มทำการส่งสัญญาณให้กับ Fibroblast ที่อยู่ใต้ผิวหนัง เพื่อให้เกิดการรวมตัวที่มากขึ้น ทำให้ผิวมีความแข็งแรงขึ้น หนาแน่นขึ้น ยกกระชับมากขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไป Sculptra จะค่อย ๆ เกิดการสลายออกไปเองตามกระบวนการของร่างกาย แต่จะเหลือคอลลาเจนและอิลาสตินที่ถูกสร้าง ในขณะที่ Sculptra ยังอยู่ในร่างกายเอาไว้แทนที่ ทำให้ผิวที่เคยหลวมเกิดการกระชับแน่นขึ้น และช่วยในการยกกระชับใบหน้า และฟื้นฟูคุณภาพผิวได้ยาวนานถึง 25 เดือน ซึ่งยังไม่มี Collagen Biostimulator ตัวใดสามารถทำได้

                                                                                                                      ความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างใบหน้า และผิวหนังเมื่อมีอายุมากขึ้น

                                                                                                                      เมื่อคนเรามีอายุและวัยที่เพิ่มมากขึ้น โครงสร้างและกระดูกบนใบหน้าจะมีความเปลี่ยนแปลง เนื่องจากกระดูกของเราจะเกิดการย่อยสลาย ( Volume loss ) และกร่อนลงไปตามกาลเวลา จึงทำให้ใบหน้ามีความเปลี่ยนแปลงจากการสูญเสียปริมาตรของกระดูก  และเมื่อกระดูกมีการผุกร่อนลงไปแล้ว ใบหน้าภาพรวมจะดูโทรมขึ้น เนื่องจากโครงหน้าจะเริ่มตอบ ไม่สดใสเหมือนตอนกระดูกยังไม่ผุกร่อนนั่นเอง

                                                                                                                      ไม่เพียงเท่านั้น คอลลาเจนและอิลาสตินในผิวหนังของคนเรา ก็จะสร้างได้น้อยลงเรื่อย ๆ ไปจนถึงหยุดสร้าง และสูญเสียออกไปเรื่อย ๆ โดยคนเราจะเริ่มสูญเสียคอลลาเจนในผิวไปทุก ๆ ปีละ 1-2 % เมื่ออายุเราเข้าสู่วัย  20 ปี คอลลาเจนในผิวหนังจะเริ่มสร้างได้น้อยลง และจะเริ่มสูญเสียคอลลาเจนไป เมื่อเข้าสู่วัย 45 ปีในปริมาณ 1- 2% ซึ่งภาพรวมหลังจากที่ค่อย ๆ สูญเสียกระดูกอันเป็นโครงสร้างของใบหน้า รวมทั้งสูญเสียคอลลาเจนไปก็จะดูหย่อนคล้อย จากที่เคยตึงกระชับก็จะไม่เหมือนผิวในช่วงวัยก่อนหน้าอีกแล้ว

                                                                                                                      อะไรคือความพิเศษของ Sculptra ?

                                                                                                                      Sculptra เป็น Original Collagen Biostimulator ที่สามารถกระตุ้นให้ผิวหนังเกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว โดยเป็นคอลลาเจนตามธรรมชาติได้ สูงถึง 66.5% โดยเป็นคอลลาเจน type1 ที่ช่วยในการสร้างความยืดหยุ่น และความแข็งแรงให้กับผิว ได้หลังจากฉีด Sculptra ไป 3 เดือนโดยประมาณ ซึ่งคอลลาเจนที่ได้จะเป็นคอลลาเจนที่ผลิตจากผิวหนังของเราเองไม่ก่อให้เกิดอันตราย

                                                                                                                      ในการฉีด Sculptra ในแต่ละครั้งจะต้องใช้ปริมาณยาเท่าไร?

                                                                                                                      จากการทำการวิจัยเกี่ยวกับ Sculptra Collagen Biostimulator โดยเน้นการทำการทดลองจากคนจริงและมีกลุ่มตัวอย่าง ในจำนวนที่สามารถทำการคาดคะเนได้แล้ว แพทย์แนะนำให้ใช้ Sculptra ในช่วงอายุคนไข้ 10 ปี ต่อ Sculptra 1 ขวด โดยสามารถปรับเปลี่ยนตามความหลวมของผิวหนังแต่ละคนได้ ทั้งนี้ให้ปรึกษาแพทย์ถึงจำนวนตัวยาที่ใช้ในการรักษาก่อนเข้ารับบริการ

                                                                                                                       

                                                                                                                      Sculptra เหมาะกับใคร
                                                                                                                      Sculptra เหมาะกับใคร

                                                                                                                       

                                                                                                                      Sculptra เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเหมาะกับใคร ?

                                                                                                                      1. Sculptra เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย
                                                                                                                      2. Sculptra เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยบนใบหน้าทั้งริ้วรอยที่เห็นชัด และริ้วรอยที่เห็นไม่ชัด
                                                                                                                      3. Sculptra เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยตามวัย
                                                                                                                      4. Sculptra เหมาะกับผู้ที่มีอายุมากและร่างกายหยุดการผลิตคอลลาเจนแล้ว
                                                                                                                      5. Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน
                                                                                                                      6. Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีผิวที่แข็งแรง
                                                                                                                      7. Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีผิวที่อ่อนเยาว์
                                                                                                                      8. Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีคุณภาพผิวที่ดี
                                                                                                                      9. Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีผิวที่กระชับอิ่มฟู
                                                                                                                      10. Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนานไม่ต้องการฉีดบ่อย ๆ

                                                                                                                      Sculptra เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับใคร ?

                                                                                                                      1. Sculptra ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติผิวหนังมีการเกิดคีลอยด์ หรือมีแผลเป็นนูน
                                                                                                                      2. Sculptra ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติผิวหนังเคยแพ้ชนิดรุนแรง (Anaphylaxis)
                                                                                                                      3. Sculptra ไม่เหมาะกับผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง
                                                                                                                      4. Sculptra ไม่เหมาะกับผู้ที่มีการอักเสบของผิวในบริเวณที่ต้องการทำ
                                                                                                                      5. Sculptra ไม่เหมาะกับผู้ที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ ให้นมบุตร

                                                                                                                      หลังจากฉีด Sculptra จะมีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างไร?

                                                                                                                      • หลังจากฉีด Sculptra ใบหน้าที่ดูผอมตอบ จากการสูญเสียคอลลาเจน จะถูกเติมเต็มด้วย Collagen Biostimulator ให้ดูอวบอิ่ม มีน้ำมีนวลมากขึ้น
                                                                                                                      • หลังจากฉีด Sculptra จะช่วยในการเติมร่องลึกและริ้วรอยให้ตื้นขึ้นได้
                                                                                                                      •  หลังจากฉีด Sculptra จะช่วยในการเติมเต็มหน้าแก้มที่แบน ทำให้โหนกแก้มดูเล็ก ใบหน้าโดยรวมดูละมุนขึ้นได้
                                                                                                                      •  หลังจากฉีด Sculptra จะช่วยปรับให้ใบหน้ามีความสวยอิ่มเอิบและดูผ่อง เนื่องจากผิวดีมากขึ้น
                                                                                                                      • หลังจากฉีด Sculptra จะช่วยทำให้รูขุมขนเล็กลง ลดการเกิดการอุดตันอันเป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้
                                                                                                                      • หลังจากฉีด Sculptra จะช่วยปรับสภาพผิวให้ดีมากยิ่งขึ้นได้
                                                                                                                      • หลังจากฉีด Sculptra จะช่วยให้ผิวที่หลวมมีความหนาแน่นมากขึ้น
                                                                                                                      • หลังจากฉีด Sculptra จะช่วยประให้ผิวดูสว่างกระจ่างใสมากขึ้น
                                                                                                                      • หลังจากฉีด Sculptra จะช่วยลดริ้วรอยและจุดด่างดำเล็ก ๆ ได้
                                                                                                                      • หลังจากฉีด Sculptra จะช่วยทำให้ผิวมีคุณภาพที่ดีมากขึ้นได้
                                                                                                                      • หลังจากฉีด Sculptra จะช่วยให้ใบหน้าสวยอิ่มเอิบมากขึ้น ดูแตกต่างจากเดิม เปลี่ยนตัวเองให้คุณเป็นคนใหม่ได้ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์

                                                                                                                       

                                                                                                                      Sculptra ฉีดตรงไหนได้บ้าง
                                                                                                                      Sculptra ฉีดตรงไหนได้บ้าง

                                                                                                                      Sculptra สามารถทำที่บริเวณใดได้บ้าง ?

                                                                                                                      • Sculptra สามารถทำได้ในบริเวณ ขมับ
                                                                                                                      • Sculptra สามารถทำได้ในบริเวณ หน้าแก้ม
                                                                                                                      • Sculptra สามารถทำได้ในบริเวณ แก้มล่าง
                                                                                                                      • Sculptra สามารถทำได้ในบริเวณ แนวกราม

                                                                                                                      Sculptra ไม่สามารถทำที่บริเวณใดได้บ้าง?

                                                                                                                      • Sculptra ไม่สามารถทำได้ในบริเวณ โซนใต้ตา
                                                                                                                      • Sculptra ไม่สามารถทำได้ในบริเวณ ทีโซน
                                                                                                                      • Sculptra ไม่สามารถทำได้ในบริเวณ ร่องแก้ม
                                                                                                                      • Sculptra ไม่สามารถทำได้ในบริเวณ ร่องน้ำหมาก

                                                                                                                      โดยบริเวณที่กล่าวมาทั้งหมดนับเป็นจุดที่มีความบอบบางสูง อาจทำให้เกิดความอันตรายในการทำได้ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ และเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการรักษา

                                                                                                                      ลักษณะของการบรรจุขวดของ Sculptra มีลักษณะของการบรรจุขวดอย่างไร?

                                                                                                                      • Sculptra เป็นผลิตภัณฑ์ที่บรรจุมาในขวดที่สะอาดปราศจากเชื้อ
                                                                                                                      • Sculptra เป็นผลิตภัณฑ์ที่มาในรูปแบบ dried powder หรือที่เรียกกันว่าเป็นแบบผง

                                                                                                                      Sculptra ที่บรรจุมาในขวด จะประกอบไปด้วย

                                                                                                                      1.  อนุภาคของสาร Poly-L-lactic acid (PLLA) ปริมาณ 150 mg โดยเป็นสารที่เป็นส่วนประกอบหลัก และไม่ก่อให้เกิดอันตราย
                                                                                                                      2. Sodium Carboxymethylcellulose สารให้ความคงตัว ปริมาณ 90 mg โดยเป็นส่วนประกอบที่ส่งผลในการทำละลาย และเมื่อ Sculptra เกิดการละลายแล้ว จะสามารถใช้งานได้ทันที
                                                                                                                      3. Mannitol ปริมาณ 127.5 mg เป็นส่วนประกอบที่ทำให้ผลิตภัณฑ์สามารถมีการบรรจุเป็นแบบสุญญากาศได้

                                                                                                                      Sculptra

                                                                                                                      จะเห็นผลหลังจากการฉีด Sculptra นานเท่าไร?

                                                                                                                      หลังจากการฉีด Sculptra Collagen Biostimulator จะสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นหลังจากการฉีดอย่างต่อเนื่อง โดยจะสามารถสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในระยะเวลา 2-3 สัปดาห์เป็นต้นไป และจะเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจนหลังจากฉีดไปแล้ว 3 เดือน โดยผิวหนังจะเริ่มสร้างคอลลาเจนไทป์ 1 ได้สูงถึง 66.5%

                                                                                                                      เมื่อเข้ารับการฉีด Sculptra ควรเตรียมตัวอย่างไร ?

                                                                                                                      • ก่อนที่จะเข้ารับการรักษาด้วย Sculptra ไม่ควรฉีด หรือทำการรักษาใบหน้า หรือผิวหน้าด้วยหัตถการประเภทอื่น ๆ 2 – 4 สัปดาห์
                                                                                                                      • ก่อนที่จะเข้ารับการรักษาด้วย Sculptra ควรหยุดการใช้ยาแก้ปวด อาทิ ยาในกลุ่มยาแอสไพริน เป็นระยะเวลาขั้นต่ำ 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันอาการฟกช้ำ
                                                                                                                      • ก่อนที่จะเข้ารับการรักษาด้วย Sculptra ควรงดการรับประทานวิตามินบำรุง ที่เป็นสาเหตุทำให้เลือดหยุดไหลยากในตอนฉีด Sculptra อาทิ วิตามินอี น้ำมันตับปลาเป็นต้น แปะก๊วย เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์
                                                                                                                      • ผู้มีอาการป่วย หรือมีโรคประจำตัวร้ายแรง ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนเข้าทำการฉีด Sculptra
                                                                                                                      • ก่อนที่จะเข้ารับการรักษาด้วย Sculptra ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระยะเวลา 1-3 วัน
                                                                                                                      • ก่อนที่จะเข้ารับการรักษาด้วย Sculptra ควรดูแลสุขภาพร่างกายอยู่ในสภาพปกติแข็งแรงดี

                                                                                                                      ขั้นตอนการฉีด Sculptra

                                                                                                                      • ปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์เพื่อประเมินผิวหน้า รวมทั้งสภาพผิวอย่างละเอียดก่อนการทำการฉีด Sculptra
                                                                                                                      • ผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดผิว เพื่อชะล้างและกำจัดความมัน รวมทั้งสิ่งสกปรกบนใบหน้า ก่อนการทำการฉีด Sculptra
                                                                                                                      • ทายาชาเพื่อลดความเจ็บในระหว่างทำการฉีด Sculptra ทิ้งเอาไว้ 30-40 นาที
                                                                                                                      • เช็ดยาชาออก เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำการฉีด Sculptra
                                                                                                                      • แพทย์ลงมือทำการฉีด Sculptra โดยการฉีดเข้าสู่ใต้ผิวหนังอย่างแม่นยำ เพื่อให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว
                                                                                                                      • เช็ดเพื่อห้ามเลือด
                                                                                                                      • ประคบเย็นเพื่อให้รอยเข็มจางลง และแปะพลาสเตอร์ปิดรอยเข็ม

                                                                                                                      วิธีการดูแลตัวเองหลังจากฉีด Sculptra เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ?

                                                                                                                      • หลังจากเข้ารับบริการฉีด Sculptra ควรนวดให้ครบ Triple 5 คือ นวด 5 วัน 5 ครั้ง วันละ 5 นาที ตามคำสั่งของแพทย์เพื่อให้ Sculptra กระจายตัวไปทั่วทั้งใบหน้า
                                                                                                                      • หลังจากเข้ารับบริการฉีด Sculptra ควรหลีกเลี่ยงการให้ใบหน้าสัมผัสแสงแดดจัด หรือแสงยูวี เช่น แสงไฟ จนกว่าอาการบวมและแดงจากการฉีดจะหายไป
                                                                                                                      • หลังจากเข้ารับบริการฉีด Sculptra ไม่ควรเข้ารับการทำหัตถการชนิดอื่น ๆ ในระยะเวลา 2-4 สัปดาห์ เพื่อให้ตัวยา Sculptra ได้ทำงานก่อน
                                                                                                                      • หลังจากเข้ารับบริการฉีด Sculptra ควรหลีกเลี่ยงการแต่งหน้า เนื่องจากใบหน้ายังมีความบวมอยู่
                                                                                                                      • หลังจากเข้ารับบริการฉีด Sculptra ควรหลีกเลี่ยงการอบซาวน่า หรือการอบไอน้ำในระยะเวลา 24 ชั่วโมง
                                                                                                                      • หลังจากเข้ารับบริการฉีด Sculptra หากมีอาการเจ็บในบริเวณที่ทำสามารถใช้เจลเย็นประคบในบริเวณที่ฉีด Sculptra ได้

                                                                                                                      Triple 5 วิธีการนวดใบหน้าหลังฉีด Sculptra ทั้งหมด 4 ท่า ประกอบด้วย

                                                                                                                      ท่าที่ 1 ใช้นิ้วโป้งนวดไปที่บริเวณขมับด้านซ้าย และด้านขวา  จากนั้น ให้กำมือและค่อย ใช้กำปั้น นวดคลึง จากเลื่อนจากหน้าผากออกไปทางขมับด้านซ้ายและขวาพร้อม ๆ กัน

                                                                                                                      ท่าที่ 2 ให้ยกนิ้วโป้งขึ้น แล้ววางนิ้วโป้งให้แนบกับแก้มด้านซ้ายและขวา จากนั้นค่อย ๆ เลื่อนนิ้วโป้ง ให้ออกไปบริเวณข้างแก้มพร้อมกันทั้งซ้ายและขวา โดยใช้วิธีกดแล้วค่อย ๆ เลื่อนออกอย่างช้า ๆ และเบามือ

                                                                                                                      ท่าที่ 3 ให้กำมือ แล้วใช้ในส่วนอุ้งมือกดเข้าที่บริเวณข้างแก้ม จากนั้นค่อย ๆ นวด โดยการเริ่มไล่จากด้านล่างใบหน้า ขึ้นไปด้านบนใบหน้า ให้ถึงบริเวณโหนกแก้ม ให้ทำวนหลาย ๆ ครั้ง ซึ่งวิธีนวดนี้จัดเป็นวิธีการยกกระชับผิวหน้า

                                                                                                                      ท่าที่ 4 ให้ยกนิ้วโป้งเหมือนกันกับท่าที่ 2 แล้วนำนิ้วมาจรดที่บริเวณคางจากนั้นจึงค่อย ๆ เลื่อนนิ้วโป้งไล่ขึ้นไปตามแนวสันกราม

                                                                                                                      โดยการนวด Triple 5  แนะนำให้นวด 5 วันหลังจากการฉีด Sculptra วันละ 5 ครั้ง และครั้งละ 5 นาที เพื่อให้ผลลัพธ์ในการฉีด Sculptra เป็นไปอย่างดีที่สุด

                                                                                                                      Sculptra ต้องทำกี่ครั้งเพื่อการรักษาที่ดีและเห็นผลที่สุด

                                                                                                                      Sculptra จำนวน 2 – 3 ครั้ง และเมื่อครบกำหนดควรมาทำเพิ่ม เพื่อผลลัพธ์อันเป็นที่น่าพึงพอใจ และเพื่อคงสภาพผลลัพธ์ของผิวให้ดีไปโดยตลอด

                                                                                                                      Sculptra ควรเว้นระยะเวลาการฉีดนานเท่าไร ?

                                                                                                                      ในการฉีด Sculptra ควรเว้นระยะห่างในการฉีดประมาณ 4 – 6 สัปดาห์ เพื่อผลลัพธ์ และประสิทธิภาพในการรักษาที่ดี

                                                                                                                      ผลข้างเคียงของ Sculptra มีอะไรบ้าง?

                                                                                                                      หลังจากฉีด Sculptra  ในช่วง 1-2 วันแรก อาจมีอาการปวด บวมหรือแดงที่ผิว อาการเหล่านี้จะสามารถหายไปเองได้ตามธรรมชาติในระยะ 4-5 วัน โดยไม่ต้องกังวล

                                                                                                                      หลังจากฉีด Sculptra อาจมีการเจอตุ่มนูน บวมหรือก้อนเล็ก ๆ ในบริเวณใต้ผิวหนังที่ฉีด ซึ่งเป็นอาการปกติหลังการทำสามารถหายได้เองโดยไม่ต้องกังวล หากมีความกังวลสามารถแจ้งคลินิกที่เข้ารับบริการเพื่อให้แพทย์ทำการนวด เพื่อการกระจายตัวของสาร PLLA ที่มากขึ้น และไม่เกาะตัวกันเป็นก้อน

                                                                                                                      Sculptra สามารถทำได้ตอนอายุเท่าไร?

                                                                                                                      โดยปกติคอลลาเจนของคนเราจะลดลงตั้งแต่มีอายุ 20 ปี เป็นต้นไป และจะเริ่มสร้างคอลลาเจนได้ช้าลงตามลำดับ ดังนั้นเมื่อคอลลาเจนลดลง จึงสามารถทำการสร้างคอลลาเจน เพื่อทดแทนคอลลาเจนที่ลดลงได้ในทันที เพื่อให้ผิวหนังยังคงสภาพที่ดีอยู่ และไม่ให้ความชุ่มชื้น ยืดหยุ่นบนผิวลดลง ทั้งนี้ยังเป็นการยืดอายุของผิว รวมทั้งยังช่วยคงสภาพความแน่นกระชับของผิว ให้มีริ้วรอยช้าลงกว่าผู้ที่เริ่มฉีด Sculptra ในอายุที่มากอีกด้วย

                                                                                                                      Sculptra สามารถทำร่วมกับโปรแกรมประเภทฉีดอื่นๆได้หรือไม่ ?

                                                                                                                      Sculptra เป็นโปรแกรมฉีดประเภท Biostimulator เพื่อฉีดกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว โดยมีวัตถุประสงค์ต่างจากโปรแกรมฉีดชนิดอื่น ๆ ที่อาจเป็นการฉีดเพื่อเติมเต็มอย่างฟิลเลอร์ หรือลดขนาดกล้ามเนื้อ อย่างฉีดโบ จะเห็นได้ว่าโปรแกรมฉีดแต่ละชนิดจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป อีกทั้งโปรแกรมฉีดแต่ละชนิดยังทำงานคนละชั้นผิวหนังของใบหน้า

                                                                                                                      จึงสามารถฉีด Sculptra ร่วมกับโปรแกรมฉีดชนิดอื่น ๆ ได้ นับเป็นสิ่งที่ดีอีกด้วย เนื่องจากเป็นการดูแลความงามอย่างทั่วถึงทุกชั้นผิว ทั้งนี้ในการนัดเพื่อเข้ามาทำทุกโปรแกรมควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญถึงลำดับการทำ เพื่อให้กระทำทุกโปรแกรมได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                                                                                                                      Sculptra เป็นโปรแกรมที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากงานผิวหรือ skin quality เป็นสิ่งที่มาแรงมากในช่วงนี้ จึงมีหลากหลายคลินิกเสริมความงามให้ความสนใจ ดังนั้นสิ่งที่ควรให้ความคำนึงถึงก่อนทำการรักษาทุกครั้ง คือ ความน่าเชื่อถือของคลินิกที่ให้บริการ ความได้มาตรฐาน ความสะอาด ชนิดของยา และการการันตีต่าง ๆ รวมทั้งประสบการณ์ของแพทย์ที่ทำการดูแล จึงควรศึกษาหาข้อมูลโดยละเอียดทุกครั้งก่อนเข้ารับบริการ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เต็มประสิทธิภาพที่สุดในการรักษา

                                                                                                                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                                                        วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                                                                        Oligio ยกกระชับคืออะไร ? ลดไขมัน ได้อย่างไร ? สร้างงานผิวได้ยังไง ?

                                                                                                                        Oligio

                                                                                                                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                                                          วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                                                                                                          BEFORE & AFTER


                                                                                                                          oligio


                                                                                                                          oligio

                                                                                                                          ในยุคที่ทั้งผู้หญิง ผู้ชายแทบทุกคน สวยหล่อ ครบจบเสร็จพร้อมตั้งแต่หัวจรดเท้า และหันมาดูแลตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อให้ดูดีในแบบที่เป็นตัวเอง ในแบบที่ตัวเองชอบ ไม่ว่าจะเป็น มีสีผิวที่พึงพอใจ มีรูปร่างที่พึงพอใจ มีทรงผมที่พึงพอใจ รวมไปจนถึงมีใบหน้าที่พึงพอใจ บางคนอาจจะทำศัลยกรรมเพื่อให้มีรูปหน้าในแบบที่ตัวเองต้องการ หรือใครที่กลัวการผ่าตัดอาจจะเลือกเครื่องยกกระชับที่มีความเหมาะสมกับตัวเองที่สุด เพื่อให้ได้ใบหน้าที่สวยงามในแบบที่พอดีตามต้องการ

                                                                                                                          ในท้องตลาดแวดวงความงามมีเครื่องยกกระชับมากมาย ทั้ง ยกกระชับ ลดไขมัน ยกกระชับผิวหน้า ยกกระชับผิวหนัง หรือยกกระชับกล้ามเนื้อ ทุกโปรแกรมยกกระชับจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจทำโปรแกรมยกระชับสามารถแจ้งความต้องการ และแจ้งปัญหาให้แพทย์ทราบเบื้องต้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ

                                                                                                                          โปรแกรม Oligio ลีน ลด เฟิร์ม ยก

                                                                                                                          Oligio โปรแกรมยกกระชับตัวใหม่ล่าสุดในท้องตลาด เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีที่สามารถยกกระชับ ปรับใบหน้าให้เรียวสวยสมใจ โดยที่ไม่เจ็บและไม่แม้แต่จะต้องทายาชาในระหว่างหรือก่อนทำด้วย

                                                                                                                          Oligio เป็นโปรแกรมยกกระชับจากบริษัท Wontech บริษัทเครื่องมือการแพทย์และความงามจากประเทศเกาหลีใต้ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานทั้งในไทย ยุโรป และ อเมริกา จึงมีความปลอดภัยในการทำการรักษา

                                                                                                                          Oligio ใช้นวัตกรรมคลื่น RFความถี่ 6.78 MHz  ในการช่วยยกกระชับแต่เป็นการพัฒนาให้มีความสบายในระหว่างทำมากยิ่งขึ้น มีความเจ็บในระหว่างทำที่น้อยลง เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวเจ็บ หรือกลัวกระแสคลื่นต่าง ๆ ในระหว่างทำ

                                                                                                                          โปรแกรม Oligio คืออะไร

                                                                                                                          การทำงานของ Oligio

                                                                                                                          Oligio เป็นการใช้เทคโนโลยีคลื่นความถี่สูง 6.78 MHz ที่สามารถปรับได้ 3 โหมด คือ โหมดเดี่ยว โหมดคู่ และโหมดอัตโนมัติ ยิงลงลึกสู่ชั้นผิว 3 mm. ซึ่งเป็นชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Fat) ในการช่วยยกกระชับผิวหน้า โดยการใช้ความร้อนจากหัว Tips ที่มีลักษณะเป็นหัวเข็ม F4.0 ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และสามารถปรับโหมดการยิงแบบอัตโนมัติได้ ทำให้การยิงพลังงาน ในการส่งกระแสคลื่นลงไปสู่ชั้นผิวหนังมีความสม่ำเสมอ แม่นยำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสังเคราะห์คอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิว ให้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่อย่างเป็นระเบียบ และเพิ่มปริมาณที่มากขึ้น ส่งผลให้ผิวหน้าหลังได้ทำดีขึ้น ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และความหนาแน่นให้กับผิว ลดไขมัน ทำให้ชั้นไขมันมีขนาดที่บางลง

                                                                                                                          การทำงานของ โปรแกรม Oligio

                                                                                                                          ที่สำคัญยังสามารถช่วยในการลดการเกิดปัญหาอันไม่พึงประสงค์ในขณะที่ทำการรักษา เนื่องจาก Oligio มีการตรวจสอบอุณหภูมิของผิว และระบบตรวจจับแรงกดอย่างแม่นยำในตัว มีระบบทำความเย็นอัจฉริยะ ที่ช่วยปล่อยลมออกมาในระหว่างทำอย่างอัตโนมัติ และยังมีช่องระบายความร้อนที่สามารถกำหนดเองได้ในคนไข้แต่ละราย จึงทำให้ช่วยลดอัตราความเสี่ยงในการสะสมค่าพลังงานความร้อนที่อยู่ใต้ผิวที่สะสมอยู่มากจนเกินไปในชั้นผิว ส่งผลให้ลดโอกาสในการเกิดการเผาไหม้ (Burn) ของผิว และไม่ทำให้ผิวไหม้ หรือมีตุ่มพอง หนอง เป็นต้น

                                                                                                                          เทคนิคเฉพาะตัวของโปรแกรม OLIGIO FAST MOVING TECHNIQUE

                                                                                                                          เทคนิคเฉพาะตัวของ Oligio Fast Moving Technique

                                                                                                                          เป็นเทคนิคที่ออกแบบมาสำหรับการรักษาโดย Oligio เท่านั้น โดย Fast Moving Technique เป็นเทคนิคที่ทำให้การรักษามีความเสถียรมากขึ้น เนื่องจากพลังงานที่ลงสู่ชั้นผิวโดย Oligio นั้นจะลงสู่ชั้นผิวที่เท่ากัน อย่างแม่นยำ ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ลดการเบิร์นหรือการเผาไหม้ของผิวหนังในระหว่างทำ จึงทำให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจมากกว่า โดยแพทย์ทุกท่านของรมย์รวินท์ได้รับการเทรนด์ Fast Moving Technique มาเป็นอย่างดี ทั้งภาคทฤษฏีและปฏิบัติจึงสามารถเชื่อถือได้ว่า หากเข้ามาบรับบริการ Oligio Fast Moving Technique ที่รมย์รวินท์คลินิกจะสามารถให้การรักษาที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยอย่างแน่นอน

                                                                                                                          จุดเด่นของโปรแกรม Oligio

                                                                                                                          จุดเด่นของ Oligio

                                                                                                                          Minimize Pain

                                                                                                                          Oligio มีระบบ Vibration ในตัวจึงทำให้ช่วยลดและบรรเทาความเจ็บในปวดขณะคนไข้ทำการรักษาอยู่ รวมถึงยังมีระบบ Cooling system ซึ่งเป็นตัวช่วยในการปกป้องผิวชั้นนอกจากความร้อนของคลื่น Monopolar RF ทั้งยังช่วยส่งพลังงานความถี่สูงไปยังผิวชั้นลึก ส่งผลให้หลังทำการรักษาไม่จำเป็นต้องรับการพักฟื้น จึงทำให้สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ปกติเลยในทันที

                                                                                                                          Faster Treatment

                                                                                                                          Oligio มีฟังชันก์ Auto ในการทำงาน จึงมีความแม่นยำ และปลอดภัย แม่นยำในขณะทำการรักษา นอกจากนี้ขนาดของ Face Tip ยังมีขนาดกว้างถึง 4 ซม. ช่วยประหยัดเวลาในการทำมากขึ้น แต่ให้ผลลัพธ์ดีเหมือนเดิม

                                                                                                                          Oligio มีหัว Tip 600 Shots ใช้เวลาในการทำเพียง 20-30 นาที และ หัว Tip 300 shots ใช้เวลาในการทำเพียง 10-15 นาทีเท่านั้น

                                                                                                                          Safe Treatment

                                                                                                                          Oligio มีระบบ Real-Time temperature Monitoring ที่ช่วยในการวัดอุณหภูมิของผิวหนังแบบ real-time ตามจริง เมื่ออุณหภูมิของผิวหนังสูงขึ้นมากกว่า 43 องศา จะทำให้เครื่องหยุดการทำงานทันที จึงเป็นการช่วยลดความเสี่ยงของการเผาไหม้ของบริเวณผิวหนัง รวมถึงยังมีระบบ Pressure Sensing ที่ช่วยตรวจสอบแรงกดระหว่างหัว Tip และผิวหนัง จึงเป็นการลดความเสี่ยงที่จะเกิดผิวไหม้ อันเนื่องมาจากการที่หัว Tip ไม่แนบกับผิวในระหว่างการรักษา

                                                                                                                          Convenience

                                                                                                                          Oligio มีระบบ Treatment ทั้งหมด 3 โหมด ได้แก่ Single / Double / Auto ซึ่งแพทย์ หรือผู้ชำนาญการสามารถปรับใช้ได้ตามความสะดวก

                                                                                                                          Long-Lasting Effet

                                                                                                                          Oligio กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินใต้ชั้นผิว จึงทำให้คงสภาพผลลัพธ์ได้นานถึง 6 เดือน – 1 ปี

                                                                                                                          Oligio ใช้ระยะเวลานานเท่าไรจึงจะเห็นผลลัพธ์ในการทำ ?

                                                                                                                          ผู้เข้ารับการรักษาด้วย Oligio จะสามารถเห็นผลการยกกระชับ ลดไขมัน ได้ทันที หลังจากทำเสร็จในครั้งแรก เนื่องจากหลังทำคอลลาเจนจะเกิดการหดตัวลง ประมาณ 20-30% จากนั้นผิวหนังจะเกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่บริเวณใต้ผิว ผิวจะค่อย ๆ ฟื้นฟู และจะเห็นผลเต็มที่หลังการรักษาในเวลาประมาณ 3-6 เดือน

                                                                                                                          ควรเว้นระยะเวลาในการทำ Oligio นานเท่าไร ?

                                                                                                                          สามารถทำ Oligio ได้ทุก ๆ 6 เดือน เพื่อให้ผลลัพธ์ในการยกกระชับคงสภาพได้ดีที่สุด รวมทั้งยังลดไขมัน ที่เกิดการสะสมขึ้นมาใหม่ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งรายละเอียดในการรักษาโดยละเอียดเพื่อความปลอดภัย

                                                                                                                          ทำ Oligio ควรทำตั้งแต่อายุเท่าไร ?

                                                                                                                          สามารถทำ Oligio ได้ตั้งแต่ผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป เพื่อป้องกันใบหน้าหย่อนคล้อยในอนาคต และในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป จะเป็นการทำเพื่อยกกระชับใบหน้าที่หย่อนคล้อยลงตามวัย ลดไขมันที่สะสมบริเวณใบหน้า และสามารถทำได้โดยไม่จำกัดเพศ

                                                                                                                          Oligio สามารถทำบริเวณใดได้บ้าง?

                                                                                                                          • Oligio สามารถทำบริเวณ “รอบดวงตา” ได้
                                                                                                                          • Oligio สามารถทำบริเวณ “ทั่วผิวหน้า” ได้
                                                                                                                          • Oligio สามารถทำบริเวณ “กรอบหน้า” ได้
                                                                                                                          • Oligio สามารถทำบริเวณ “ใต้คาง หรือเหนียง” ได้
                                                                                                                          • Oligio สามารถทำบริเวณ “ลำคอ” ได้
                                                                                                                          • Oligio สามารถทำบริเวณ “หน้าท้อง” ได้
                                                                                                                          • Oligio สามารถทำบริเวณ “ต้นแขน” ได้

                                                                                                                          ผลลัพธ์ของการทำ โปรแกรม Oligio

                                                                                                                          ข้อดีของ Oligio ในการยกกระชับใบหน้าคือ ?

                                                                                                                          • Oligio จะช่วยยกกระชับผิวที่มีความหย่อนคล้อยอันเนื่องมาจากการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว
                                                                                                                          • Oligio จะช่วยกระตุ้นการสร้าง และจัดเรียงตัวใหม่ของ collagen ใต้ผิวหนัง
                                                                                                                          • Oligio จะช่วยเพิ่มคุณภาพของ collagen ให้มีคุณภาพที่ดี
                                                                                                                          • Oligio จะช่วยลดไขมันส่วนเกินบนใบหน้าที่สะสมอยู่ใต้ผิว ลดแก้มและลดเหนียง ช่วยปรับให้ใบหน้ามีความเรียว เล็ก เข้ารูป กรอบหน้าคมชัดมากขึ้น
                                                                                                                          • Oligio จะช่วยเพิ่มคอลลาเจนและอีลาสติน ใต้ชั้นผิวทำให้ผิวหนาขึ้นและผิวมีความแข็งแรงขึ้นมากขึ้น
                                                                                                                          • Oligio จะช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพให้กลับมายืดหยุ่นอีกครั้ง
                                                                                                                          • Oligio จะช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของผิว
                                                                                                                          • Oligio จะช่วยทำให้ผิวที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่น และมีความหย่อนคล้อย กลับมาเรียบตึงอีกครั้ง
                                                                                                                          • Oligio จะช่วยลดขนาดรูขุมขนที่มีความกว้างให้เล็กและกระชับขึ้น
                                                                                                                          • Oligio จะช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน และลดริ้วรอยบนใบหน้า

                                                                                                                          โปรแกรม Oligio เหมาะกับใครบ้าง ทำบริเวณไหนได้บ้าง

                                                                                                                          Oligio เหมาะกับใคร ?

                                                                                                                          • Oligio เหมาะกับผู้ที่ ต้องการยกกระชับ ใบหน้ามีความหย่อนคล้อย ไม่กระชับ
                                                                                                                          • Oligio เหมาะกับผู้ที่ มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด มีไขมันสะสมบนใบหน้า ต้องการลดไขมัน
                                                                                                                          • Oligio เหมาะกับผู้ที่ มีปัญหา ร่องแก้มลึก มีร่องน้ำหมาก และริ้วรอยต่าง ๆ
                                                                                                                          • Oligio เหมาะกับผู้ที่ มีปัญหาเนื้อแก้มเยอะ ทำให้หน้าดูบาน ใหญ่ ที่ต้องการลดไขมัน
                                                                                                                          • Oligio เหมาะกับผู้ที่ อยากให้ใบหน้าเข้ารูป v shape ดูเล็กลง
                                                                                                                          • Oligio เหมาะกับผู้ที่ มีปัญหาเหนียง
                                                                                                                          • Oligio เหมาะกับผู้ที่ มีปัญหาเปลือกตาเริ่มตก หนังตาตก ต้องการยกคิ้ว ต้องการกระชับ
                                                                                                                          • Oligio เหมาะกับผู้ที่ มีมุมปากตก
                                                                                                                          • Oligio เหมาะกับผู้ที่ คอลลาเจนบนใบหน้าเริ่มลดลงตามวัย และต้องการเพิ่มปริมาณคอลลาเจน
                                                                                                                          • Oligio เหมาะกับผู้ที่ มีปัญหารูขุมขนกว้างที่ต้องการกระชับรูขุมขนให้มีขนาดเล็กลง
                                                                                                                          • Oligio เหมาะกับผู้ที่ ต้องการชะลอการเกิดความหย่อนคล้อยของผิวในอนาคต
                                                                                                                          • Oligio เหมาะกับผู้ที่ ผู้ที่มีลำคอเหี่ยวย่นตามวัย
                                                                                                                          • Oligio เหมาะกับผู้ที่ มีหน้าท้องเหี่ยวย่น

                                                                                                                          Oligio ไม่เหมาะกับใคร ?

                                                                                                                          • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีการฝังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในร่างกาย
                                                                                                                          • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีการฝังน็อต หรือ สกรู ที่บริเวณกะโหลก (Bioabsorbable) หรือรากฟันเทียม
                                                                                                                          • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่เป็นโรคผิวหนังบางชนิด และยังอยู่ในกระบวนการรักษาบาดแผล
                                                                                                                          • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีการติดเชื้อบางชนิด ที่บริเวณผิวหนังที่ต้องการทำการรักษา
                                                                                                                          • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร
                                                                                                                          • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีโรคประจำตัว อาทิ โรคเบาหวาน โรคลมบ้าหมู โรคเกี่ยวกับเลือด รวมทั้งโรคที่ส่งผลต่อระบบการแข็งตัวของเลือด
                                                                                                                          • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคแพ้ภูมิตัวเอง รวมทั้งผู้ที่อยู่ในระหว่างการรับประทานยาต้านการอักเสบของผิวหนังทุกวัน
                                                                                                                          • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีแผลเปิด ในบริเวณที่ต้องการทำการรักษา
                                                                                                                          • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีการติดเชื้อไวรัสเริม และยังมีอาการอักเสบอยู่
                                                                                                                          • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีประวัติการรักษาโรคด้วย โปรแกรมยับยั้งกล้ามเนื้อ หรือฉีดฟิลเลอร์ในระยะเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์
                                                                                                                          • Oligio ไม่เหมาะกับ ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายผิวหนัง หรือปลูกถ่ายไขมันในบริเวณที่ทำการรักษาไม่เกิน 6 เดือน

                                                                                                                          การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษาด้วย Oligio

                                                                                                                          • ก่อนทำ Oligio ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อเตรียมผิว
                                                                                                                          • ก่อนทำ Oligio ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อพร้อมต่อการเข้ารับการรักษา
                                                                                                                          • ก่อนทำ Oligio ควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดโดยตรง และใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูงเมื่อออกนอกบ้าน
                                                                                                                          • ก่อนทำ Oligio ควรเตรียมพร้อมร่างกายให้สุขภาพดี เพื่อพร้อมต่อการเสริมสร้างคอลลาเจน

                                                                                                                          ขั้นตอนการทำการรักษาด้วย Oligio

                                                                                                                          • ผู้ช่วยแพทย์จะทำการรวบผม เก็บผมให้คนไข้ให้เรียบร้อย
                                                                                                                          • ผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดใบหน้าคนไข้ให้สะอาด ปราศจากเครื่องสำอาง และความมัน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนทำการรักษา
                                                                                                                          • ผู้ช่วยแพทย์ทำการแปะแผ่นสื่อที่แผ่นหลัง เพื่อเป็นสื่อในการทำการรักษา
                                                                                                                          • แพทย์ทำการทาเจลเย็นลงบนผิวบริเวณที่ต้องการทำการรักษา
                                                                                                                          • แพทย์ใช้ Oligio ในการแก้ปัญหาทั่วใบหน้าจนครบจำนวน Shot ผู้ช่วยแพทย์ทำความสะอาดใบหน้า เป็นอันเสร็จการรักษา

                                                                                                                          คำแนะนำหลังทำ โปรแกรม Oligio

                                                                                                                          การดูแลตัวหลังทำการรักษาด้วย Oligio

                                                                                                                          • หลังทำ Oligio ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด และความร้อนโดยตรง เนื่องจากผิวบริเวณที่ทำการรักษาจะมีความบอบบางและแพ้ง่ายอยู่
                                                                                                                          • หลังทำ Oligio ควรงดการทำเลเซอร์ อบซาวน่า หลังทำการรักษา 1 สัปดาห์ เพื่อให้ผิวได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่
                                                                                                                          • หลังทำ Oligio ควรทาครีมกันแดด SPF 50 +++ ขึ้นไป เนื่องจากผิวยังมีความบอบบาง
                                                                                                                          • หลังทำ Oligio ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันอาการอักเสบของผิว

                                                                                                                          ความรู้สึกระหว่างทำ Oligio

                                                                                                                          ระหว่างทำ Oligio จะมีความรู้สึกร้อนในผิวบริเวณที่ทำการรักษาเพียงเล็กน้อย จะเป็นความรู้สึกร้อนสลับกันกับความเย็นจากการทำงานของหัว Tip และความร้อนจะไม่ได้ร้อนจนเกิดอันตราย และ Oligio ไม่จำเป็นจะต้องทายาชาก่อนทำการรักษา

                                                                                                                          Q&A รวบรวมคำถามเกี่ยวกับ Oligio

                                                                                                                          oligio

                                                                                                                          1. Oligio สามารถเห็นผลได้นานเท่าไร ?

                                                                                                                          • หลังทำ Oligio สามารถคงสภาพผลลัพธ์หลังทำได้นาน 6 เดือน – 1 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลของแต่ละบุคคล

                                                                                                                          2. การทำ Oligio มีความอันตรายหรือไม่ ?

                                                                                                                          • Oligio เป็นโปรแกรมที่ไม่มีอันตราย เนื่องจากมีระบบ AI ควบคุมการทำงาน ทำให้สามารถจ่ายพลังงานคลื่น Monopolar RF ในการรักษาได้อย่างสม่ำเสมอ มีการป้องกันความเจ็บด้วยระบบสั่น และระบบทำความเย็น ทั้ง Oligio ยังเป็นโปรแกรมที่ได้รับการผ่านการรับรองมาตรฐานทั้งในไทย ยุโรป และ อเมริกา

                                                                                                                          oligio3. Oligio ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล ?

                                                                                                                          • Oligio เป็นโปรแกรมที่เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยสามารถทำการยกกระชับได้ในทันที และจะเห็นผลเต็มที่ใน 3-6 เดือนหลังจากการรักษา

                                                                                                                          4. Oligio ต้องทำบ่อยแค่ไหน ?

                                                                                                                          • สามารถทำ Oligio ได้ตั้งแต่หลังทำการรักษาไปครบ 6 เดือน เพื่อคงสภาพผลลัพธ์ในการยกกระชับและ ลดไขมัน ที่ดีที่สุด

                                                                                                                          oligio
                                                                                                                          oligio

                                                                                                                          5. Oligio ต่างจาก Ultrafomer III อย่างไร ?

                                                                                                                            • Oligio ใช้คลื่น Monopolar RF ในการรักษาจะทำงานบริเวณผิวหนังชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้ผิว มีแก้ม เหนียง คาง 2 ชั้น ต้องการลดไขมัน และต้องการให้ผิวแน่นกระชับ กรอบหน้าไม่ชัด มีริ้วรอยรอบดวงตา
                                                                                                                            •  Ultrafomer III ใช้คลื่น Macro and Micro Focused Ultrasound (MMFU) จะสามารถปล่อยพลังงานได้ถึงชั้น SMAS เหมาะสำหรับ ผู้ที่ผิวหย่อนคล้อย ร่องแก้มชัด มีถุงใต้ตา ริ้วรอย มุมปากตก คิ้วตก แก้มหย่อน

                                                                                                                          จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันที่คลื่นพลังงานที่ใช้ในการยิงความร้อนลงชั้นผิวหนัง จึงทำให้คลื่นความร้อนในการยิงลงสู่ชั้นผิวหนังในชั้นที่แตกต่างกัน และเหมาะกับการแก้ปัญหากันคนละแบบ สามารถทำการรักษาร่วมกันได้ เพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ในการยกกระชับที่ดีมากขึ้น นอกจากนี้ ทั้งสองเครื่องยังสามารถใช้แก้ปัญหากันได้คนละปัญหา หากทำการรักษาร่วมกัน จะได้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมทั่วทุกบริเวณมากขึ้น

                                                                                                                          6. Oligio ต่างจาก Thermage FLX อย่างไร ?

                                                                                                                          • Oligio ใช้คลื่น Monopolar RF ในการรักษา จะทำงานบริเวณผิวหนังชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้ผิว มีแก้ม เหนียง คาง 2 ชั้น ต้องการลดไขมัน และต้องการให้ผิวแน่นกระชับ กรอบหน้าไม่ชัด มีริ้วรอยรอบดวงตา
                                                                                                                          • Thermage FLX ใช้คลื่น Monopolar RF ในการรักษา ชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ไขมันสะสมใต้ชั้นผิวมีริ้วรอยรอบดวงตา
                                                                                                                          • จะเห็นได้ว่าทั้งสองโปรแกรม มีหลักการทำงานที่คล้ายกัน เนื่องจากการใช้คลื่นพลังงานในการรักษาที่เป็นคลื่นเดียวกัน แต่ Thermage FLX จะเป็นโปรแกรมยกกระชับที่ไม่มีการสลับพลังงานความร้อน และความเย็นในการรักษาเหมือนกับ Oligio

                                                                                                                          oligio
                                                                                                                          oligio

                                                                                                                          7. Oligio ต่างจาก Ulthera SPT อย่างไร ?

                                                                                                                          • Oligio ใช้คลื่น Monopolar RF ในการรักษา จะทำงานบริเวณผิวหนังชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้ผิว มีแก้ม เหนียง คาง 2 ชั้น ต้องการลดไขมัน และต้องการให้ผิวแน่นกระชับ กรอบหน้าไม่ชัด มีริ้วรอยรอบดวงตา
                                                                                                                          •  Ulthera SPT ใช้คลื่น Micro Focused Ultrasound With Visualization (MFU-V) ในการรักษาจะทำงานในบริเวณผิวหนังชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน และชั้น SMAS เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด ไม่ต้องการผ่าตัดดึงหน้า มีจอแสดงผลทำให้เห็นถึงความแม่นยำในการรักษา
                                                                                                                          • จะเห็นได้ว่า ทั้งสองโปรแกรมยกกระชับจะทำงานกันคนละชั้นผิว ใช้คลื่นพลังงานในการรักษาที่แตกต่างกัน สามารถทำการรักษาทั้งสองโปรแกรมยกกระชับร่วมกันได้ เพื่อผลลัพธ์ในการรักษาที่ได้ผลลัพธ์ในการยกกระชับที่ดีที่สุด อีกทั้งยังเป็นการยกกระชับใบหน้าอย่างทั่วถึงทุกชั้นผิว ทำให้หลังจากทำการยกกระชับทั้งสองเครื่องร่วมกันจะเป็นการช่วยในการยกกระชับ และยังชะลอการหย่อนคล้อยได้อีกด้วย

                                                                                                                          8. Oligio ต่างจาก Morpheus 8 อย่างไร ?

                                                                                                                          • Oligio ใช้คลื่น Monopolar RF ในการรักษา จะทำงานบริเวณผิวหนังชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้ผิว มีแก้ม เหนียง คาง 2 ชั้น ต้องการลดไขมัน และต้องการให้ผิวแน่นกระชับ กรอบหน้าไม่ชัด มีริ้วรอยรอบดวงตา
                                                                                                                          •  Morpheus 8 ใช้คลื่น RF ในการรักษา จะทำงานบริเวณ ชั้นผิวหนังแท้  เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย และริ้วรอย รูขุมขนกว้าง
                                                                                                                          • จะเห็นได้ว่า ทั้งสองโปรแกรมยกกระชับใช้พลังงานในการรักษาที่แตกต่างกัน จึงทำให้ทำงานกันคนละชั้นผิวอย่างชัดเจน โดย Morpheus 8 จะสามารถกระตุ้นคอลลาเจน รวมทั้งลดริ้วรอยร่องลึก ลดไขมันส่วนเกิน ลดแก้ม เหนียง คาง 2 ชั้นได้น้อยกว่า Oligio แต่ Morpheus 8 จะช่วยในการปรับผิวให้เรียบเนียน และรักษารอยแผลเป็นได้มากกว่า Oligio แนะนำให้ทำร่วมกันทั้ง 2 โปรแกรมเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการยกกระชับ

                                                                                                                          oligio
                                                                                                                          oligio

                                                                                                                          9. Oligio ต่างจาก Ultrafomer MPT อย่างไร ?

                                                                                                                          • Oligio ใช้คลื่น Monopolar RF ในการรักษา จะทำงานบริเวณผิวหนังชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้ผิว มีแก้ม เหนียง คาง 2 ชั้น ต้องการลดไขมัน และต้องการให้ผิวแน่นกระชับ กรอบหน้าไม่ชัด มีริ้วรอยรอบดวงตา
                                                                                                                          • Ultrafomer MPT ใช้คลื่น Macro and Micro Focused Ultrasound (MMFU) ในการรักษาโดยสามารถปล่อยพลังงานลงชั้นผิวได้ถึงชั้น SMAS เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ คิ้ว หรือหางตาตก รูขุมขนกว้าง ไม่กระชับ มีริ้วรอยร่องลึก
                                                                                                                          • โดย Ultrafomer MPT จะสามารถทำการลดไขมันสะสมบนใบหน้า เหนียงใต้คางสองชั้น ได้น้อยกว่า Oligio แต่ช่วยกระชับความหย่อนคล้อยได้มากกว่า จึงเหมาะเป็นอย่างยิ่งหากจะทำการรักษาร่วมกันกับ Oligio จะได้ให้ผลลัพธ์ในการยกกระชับ ลดไขมันบริเวณใบหน้าในแบบครบรูปแบบ และได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                                                                                                                          10. Oligio ต่างจาก Volnewmer อย่างไร ?

                                                                                                                          • Oligio ใช้คลื่น Monopolar RF ในการรักษา จะทำงานบริเวณผิวหนังชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้ผิว มีแก้ม เหนียง คาง 2 ชั้น ต้องการลดไขมัน และต้องการให้ผิวแน่นกระชับ กรอบหน้าไม่ชัด มีริ้วรอยรอบดวงตา
                                                                                                                          • Volnewmer ใช้คลื่น Monopolar RF โดยความเย็นของโปรแกรมยกกระชับชนิดนี้จะใช้น้ำในการหล่อเลี้ยงซึ่งอาจจะมีความไม่เสถียรอยู่บ้าง และจะทำการรักษาที่ชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่ผิวไม่ตึง มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย เริ่มมีริ้วรอย กรอบหน้าไม่ชัด
                                                                                                                          • ถึงแม้จะใช้พลังงานเช่นเดียวกัน ในการรักษาจะมีส่วนผลลัพธ์ที่แตกต่างกันในบางส่วน และ Oligio จะมีความเสถียรในการทำความเย็นที่น้อยกว่า อีกทั้ง Volnewmer จะมีราคาที่สูงกว่า

                                                                                                                          11. Oligio ต่างจาก Sylfirm อย่างไร ?

                                                                                                                          • Oligio ใช้คลื่น Monopolar RF ในการรักษา จะทำงานบริเวณผิวหนังชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้ผิว มีแก้ม เหนียง คาง 2 ชั้น ต้องการลดไขมัน และต้องการให้ผิวแน่นกระชับ กรอบหน้าไม่ชัด มีริ้วรอยรอบดวงตา
                                                                                                                          •  Sylfirm ใช้คลื่น RF Microneedling System ในการรักษา โดยจะส่งพลังงานลงสู่ชั้นผิวชั้นหนังแท้ เหมาะกับผู้ที่มีผิวไม่กระชับ รูขุมขนกว้าง มีริ้วรอย และเน้นไปทางสีผิว
                                                                                                                          • จะเห็นได้ว่าทั้งสองโปรแกรมทำงานต่างกันทั้งตัวคลื่นพลังงานที่ใช้ในการยิง การรักษา รวมทั้งผลลัพธ์หลังการรักษา หากทำการรักษาร่วมกันทั้งสองเครื่องจะให้ผลลัพธ์ที่ให้ทั้งใบหน้ายกกระชับ และผิวกระจ่างใสไร้ริ้วรอย รวมทั้งมีผิวหน้าที่ดีมากยิ่งขึ้นด้วย

                                                                                                                          12. Oligio ต่างจาก Emface อย่างไร ?

                                                                                                                          • Oligio ใช้คลื่น Monopolar RF ในการรักษาจะทำงานบริเวณผิวหนังชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้ผิว มีแก้ม เหนียง คาง 2 ชั้น ต้องการลดไขมัน และต้องการให้ผิวแน่นกระชับ กรอบหน้าไม่ชัด มีริ้วรอยรอบดวงตา
                                                                                                                          •  Emface ใช้คลื่น RF + HIFES ในการรักษา และจะทำการยกกระชับถึงชั้นกล้ามเนื้อ จึงทำให้เหมาะเป็นอย่างยิ่งที่จะทำกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพกล้ามเนื้อ และผิว กลัวเจ็บ กลัวการผ่าตัด กลัวเข็ม
                                                                                                                          • ทั้งสองโปรแกรมเป็นโปรแกรมยกกระชับที่ทำการรักษากันคนละแบบ พลังงานลงชั้นผิวกันคนละชั้น สามารถทำร่วมกันได้ เนื่องจากเป็นโปรแกรมยกกระชับเหมือนกันที่ทำงานที่ชั้นผิวที่แตกต่างกัน  ทำให้การยกกระชับได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และเห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                                                                                                                          ซึ่งจากข้อมูลข้างต้น Oligio ถือเป็นโปรแกรมยกกระชับ ลดไขมันที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการความรวดเร็ว และผู้ที่ต้องการยกกระชับผิว ซึ่งทางรมย์รวินท์พร้อมให้บริการ Oligio แล้วในวันนี้และยังมีโปรแกรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจ โดยสามารถทักหาแอดมินได้ทุกช่องทาง  รวมทั้งยังเข้าไปปรึกษาได้ที่หน้าสาขาได้ตั้งแต่วันนี้

                                                                                                                          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                                                            วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                                                                            EMFACE คืออะไร? ทำงานยังไง? ยกกระชับได้อย่างไร?

                                                                                                                            EMFACE

                                                                                                                            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                                                              วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                                                                                                              BEFORE & AFTER


                                                                                                                              Emface


                                                                                                                              Emface

                                                                                                                              EMFACE เครื่องยกกระชับกล้ามเนื้อ เครื่องแรกของโลกที่ตอบโจทย์คนกลัวเจ็บ

                                                                                                                               

                                                                                                                              EMFACE ยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าเครื่องแรกและเครื่องเดียวของโลก มาพร้อม Applicator  ใหม่ ช่วยลดเหนียง สลายไขมัน

                                                                                                                              สุดยอดเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี สำหรับใช้ในการยกกระชับถึงชั้นกล้ามเนื้อของใบหน้า เครื่องแรก และเครื่องเดียวในโลก ที่สามารถทำได้ในขณะนี้ อีกทั้ง EMFACE ยังเป็นโปรแกรมที่ได้รับการยอมรับจากแพทย์และผู้ใช้จริง เซเลป ดารา คนดังจากทั่วโลก ว่าได้รับผลลัพธ์ที่เป็นที่น่าพึงพอใจ ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปีที่ผ่านมา ทั้งยังครองใจใครหลาย ๆ คน จนกลายเป็นกระแสว่าแพทย์ท่านใดไม่ได้ทำ EMFACE หรือคลินิกใดไม่มี EMFACE ไว้ให้บริการคนไข้ เท่ากับเชย ล้าสมัย หรือไม่เลือกสรรเทคโนโลยีที่ดีให้กับลูกค้า มาถึงขนาดนี้แล้วมาทำความรู้จักกับ EMFACE โดยละเอียดกันดีกว่า

                                                                                                                               

                                                                                                                               

                                                                                                                              EMFACE คืออะไร ?

                                                                                                                              EMFACE คือ โปรแกรมที่ผ่านการออกแบบวิจัยรวมทั้งพัฒนาโปรแกรมมาเป็นอย่างดี ในการใช้สำหรับยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้า จึงทำให้ได้รับการขนานนามว่าเป็นที่สุดของเครื่องยกกระชับกล้ามเนื้อ ที่ทำงานกับกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ ลึกกว่า และตรงจุดกว่า จึงเป็นการรักษาที่ได้ผลลัพธ์อย่างตรงจุด ทำให้ EMFACE ได้รับความน่าเชื่อถือ รวมทั้งได้รับการรับรองประสิทธิภาพ ความปลอดภัยจาก USFDA หรือ อย. จากประเทศสหรัฐอเมริการวมถึงทั่วโลก

                                                                                                                              EMFACE ยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าทำงานอย่างไร ให้ผลลัพธ์อย่างไร ?

                                                                                                                              EMFACE ยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้า เป็นโปรแกรมที่ให้ผลลัพธ์ในการยกกระชับกล้ามเนื้อบนใบหน้าในระยะยาว โดยการทำงานของตัวเครื่องจะทำงาน โดยการใช้พลังงานในการช่วยกระตุ้นให้เกิดการทำงานต่อชั้นผิวบนใบหน้าได้อย่างครบทุกชั้น ตั้งแต่ชั้นผิวหนัง ไขมัน ไปจนถึงชั้นกล้ามเนื้อ อย่างครบถ้วนจึงทำให้ EMFACE ยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าได้ ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีเครื่องใดในโลกที่สามารถยกกระชับได้ถึงชั้นกล้ามเนื้อได้เลยในปัจจุบัน

                                                                                                                              EMFACE ยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้า ไม่ใช่แค่เพียงกระตุ้นและยกกระชับกล้ามเนื้อบนใบหน้าเพียงอย่างเดียว EMFACE นั้นยังช่วยในการลดริ้วรอยขนาดเล็ก ๆ ร่องน้ำหมาก  ร่องแก้ม รวมทั้งยังช่วยสลายไขมันในได้ในเครื่องเดียว

                                                                                                                              โปรแกรม emface ใช้คลื่นอะไรในการยกกระชับ ?

                                                                                                                              EMFACE ใช้คลื่นอะไรในการยกกระชับ ?

                                                                                                                              EMFACE เป็นเครื่องยกกระชับกล้ามเนื้อ ที่มีความผสมผสานระหว่างสองเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน อันประกอบไปด้วย

                                                                                                                                • เทคโนโลยี HIFES (High Intensity facial electric stimulation)  คลื่นวิทยุความถี่ที่มีลักษณะพิเศษ ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถกระจายพลังงานความร้อนจากตัวคลื่นได้อย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ ทำให้ผิวหนังในบริเวณที่ทำเกิดการหด เกร็ง เป็นจังหวะ 125 cycles จากการหดเกร็งนี่เอง จึงเป็นเหมือนการทำให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าเปรียบเสมือนได้รับการออกกำลังกาย จึงก่อให้เกิดคุณภาพของกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่ดีมากยิ่งขึ้นถึง 30% จากเดิม อีกทั้งเทคโนโลยีนี้ยังสามารถลงลึกถึงใต้ชั้นผิวได้ถึง 20 มิลลิเมตร และยังมีความปลอดภัยมาก เนื่องจากมี AI คอยควบคุมคุณภาพ และวัดระดับความลึกของการปล่อยคลื่นให้อยู่ในระดับที่เหมาะแก่การทำการรักษา  นอกจากนี้คลื่นชนิดนี้ยังช่วยในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างการผลิตคอลลาเจน และอิลาสตินบริเวณใต้ผิวหนัง ในผิวหนังชั้น ไขมันใต้ผิวหนัง และชั้นผิวหนังแท้ จึงทำให้ผิวบริเวณที่ทำ มีความเรียบเนียน กระชับ ไร้ริ้วรอย และรอยเหี่ยวย่น  
                                                                                                                                • เทคโนโลยี Synchronized RF พลังงานคลื่นวิทยุแม่เหล็กที่มีไฟฟ้าแรงสูง ที่ช่วยในการกระตุ้นการยกกระชับ ตั้งแต่ชั้นผิวหนังแท้ ไปจนถึงชั้นกล้ามเนื้อ และจะทำงานร่วมกันกับพลังงาน RF จึงสามารถช่วยในการเผาผลาญไขมันที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังได้ อีกทั้งพลังงานยังสามารถควบคุมพลังงาน RF ดังกล่าวให้ไม่ปล่อยความร้อนลงสู่ชั้นผิว จึงทำให้ไม่เกิดการเบิร์นของผิวและยังช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน รวมถึงอีลาสตินที่อยู่บริเวณใต้ผิว ทั้งยังคงความยืดหยุ่นรวมกับช่วยพยุงผิวหนังไปพร้อม ๆ กันกับการยกกระชับกล้ามเนื้อแบบลงลึกถึง 37%

                                                                                                                              โปรแกรม emface ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

                                                                                                                              EMFACE ยกกระชับกล้ามเนื้อบนใบหน้า ได้รับการวิจัยอย่างแม่นยำแล้วว่าสามารถยกกระชับได้ลงลึกถึงกล้ามเนื้อ และยังสามารถช่วยเพิ่มจำนวนและปริมาณการสร้างคอลลาเจน (Collagen) ใต้ชั้นผิวได้ถึง 27% เพิ่มอิลาสติน (Elastin) บริเวณใต้ชั้นผิวได้สูงสุดถึง 129% EMFACE  ยังช่วยในการเพิ่มความหนาแน่นของกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้สูงสุดถึง 19.2% ช่วยเพิ่มเส้นใยของกล้ามเนื้อใบหน้าได้ 19.2% ช่วยลดริ้วรอยได้สูงสุดถึง 37% ช่วยในการยกกระชับผิวหนังได้สูงสุดถึง 23% ช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อและยกกระชับกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้อีกถึง 30% เลยทีเดียว

                                                                                                                              ไฮไลต์สำคัญของ EMFACE คือการเป็นโปรแกรมที่ช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าได้ถึงบริเวณชั้น SMAS ที่เป็นเนื้อเยื่อติดกับกล้ามเนื้อ มีคุณสมบัติในการยกพยุงโครงสร้างใบหน้า เป็นชั้นที่ศัลยแพทย์ใช้สำหรับการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า

                                                                                                                              รวมทั้ง EMFACE ยังสามารถลงลึกถึงผิวหนังชั้น Muscle หรือชั้นกล้ามเนื้อที่ยังไม่มีเครื่องใดทำได้ จึงทำให้ผลลัพธ์ในการทำ EMFACE ได้ผลที่ดีเกินคาดจากผู้ใช้บริการจริง ไม่เพียงเท่านั้น EMFACE ยังช่วยในการลดความหย่อนคล้อยของบริเวณ Skin layer ทั้งสองชั้นอย่าง ชั้นหนังกำพร้า (epidermis) ชั้นหนังแท้ (dermis) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง Superfacial Fat (Subcutaneous) ได้อีกด้วย

                                                                                                                              EMFACE ยกกระชับได้ในผิวหนังชั้นใดบ้าง? 

                                                                                                                              สามารถแจกแจงได้ดังนี้

                                                                                                                              Skin Layer 

                                                                                                                                • Epidermis
                                                                                                                                • Dermis

                                                                                                                              Superficial 

                                                                                                                                • Fat (Subcutaneous)

                                                                                                                              SMAS

                                                                                                                              Muscle 

                                                                                                                                • Retaining Ligament & Spaces

                                                                                                                              การติดเครื่องมือ Applicator ของ EMFACE จะติดด้วยกัน 3 บริเวณคือ 

                                                                                                                                1. บริเวณแก้มซ้าย
                                                                                                                                2. บริเวณแก้มขวา
                                                                                                                                3. บริเวณหน้าผาก

                                                                                                                              ใหม่ล่าสุด EMFACE ออก Applicator ใหม่ เอาใจคนมีไขมันบนใบหน้าเยอะ มีเหนียง มีแก้มล่างสะสมที่ต้องการจะลดเหนียง ซึ่งในขณะนี้มีเพียงไม่กี่คลินิกในประเทศไทย และรมรวินท์คลินิกมีให้บริการเป็นคลินิกอันดับต้น ๆ ของไทย

                                                                                                                              Emface Submentum

                                                                                                                               EMFACE และ EMFACE Submentum แตกต่างกันอย่างไร ? 

                                                                                                                               EMFACE Submentum แตกต่างกับ EMFACE คือ การที่ออกแบบ Applicator ใหม่ ที่ต่างจากของเดิม เนื่องจาก Applicator ใหม่นี้จะทำงานโดยเน้นสลายไขมันบริเวณใต้คาง เพื่อช่วยในการลดเหนียง ไปพร้อม ๆ กับยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณใต้คาง (Double Chin) ซึ่งจะช่วยในการลดขนาดของเซลล์ไขมันสะสม ที่เป็นส่วนเกินอยู่บริเวณใต้คาง จนกลายเป็นเหนียง หรือคางสองชั้นที่เราเห็นกันนั่นเอง

                                                                                                                              ในกรณีนี้ไม่ใช่เพียงแค่คนเจ้าเนื้อหรืออ้วนเท่านั้น คนผอมก็สามารถมีเหนียง หรือคางสองชั้นได้เช่นกัน โดยการติดเครื่องมือของ EMFACE Submentum เพื่อลดเหนียงจะติด Applicator ในบริเวณที่แตกต่างกับ EMFACE ปกติ เนื่องจากจะเน้นเป็นการลดเหนียงและคางสองชั้นมากกว่า โดยจะติดด้วยกัน 3 บริเวณ คือ

                                                                                                                                1. บริเวณแก้มซ้าย
                                                                                                                                2. บริเวณแก้มขวา
                                                                                                                                3. บริเวณเหนียง ใต้คาง

                                                                                                                              Applicator แต่ละแผ่นของ EMFACE และ EMFACE Submentum ทำงานอย่างไร ? 

                                                                                                                              Applicator ของ EMFACE ติดบริเวณหน้าผาก

                                                                                                                              เพื่อช่วยในการยกกระชับกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณหน้าผาก เหนือคิ้ว หางคิ้ว ยกหางตาตก และยังช่วยลดริ้วรอยบริเวณใบหน้าส่วนบน หรือ (Upper face) ให้มีขนาดเล็กลง จนถึงไม่มีเลย  

                                                                                                                              Applicator ของ EMFACE ติดบริเวณแก้มซ้ายและขวา

                                                                                                                              เพื่อช่วยในการยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าส่วนกลาง และส่วนล่าง ให้ยกขึ้น เช่น ยกแก้มที่หย่อนคล้อย มุมปากที่ตกลง กระเปาะแก้มที่หย่อนและตกลงให้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดริ้วรอย อาทิ ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ร่องลึกต่าง ๆ ให้ตื้นขึ้น และดียิ่งขึ้น เปรียบเสมือนการออกกำลังกายให้กับใบหน้า 

                                                                                                                              Applicator ของ EMFACE Submentum ติดบริเวณเหนียง (Double Chin 

                                                                                                                              เพื่อช่วยลดลดเหนียง และสลายไขมันที่สะสมอยู่บริเวณใต้คาง ทั้งยังช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อในบริเวณใต้คางไปพร้อม ๆ กัน จึงทำให้ผลลัพธ์ที่ได้จะได้ทั้ง ลดเหนียง และยกกระชับในคราวเดียวกันหลังจากทำการรักษา 

                                                                                                                              emface เหมาะกับใคร

                                                                                                                              EMFACE และ EMFACE Submentum เหมาะกับใคร ? 

                                                                                                                              EMFACE EMFACE Submentum สามารถทำได้ตั้งแต่คนไข้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป โดยคนที่มีอายุในช่วง 20 ปี จะเป็นกลุ่มที่ยังไม่ปัญหาเรื่องความหย่อนคล้อยมากนัก แต่อาจจะมีปัญหาเรื่อง Baby Fat

                                                                                                                              หากทำ EMFACE จะช่วยในการยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้า ปรับขนาดใบหน้าให้เล็กลงและยกกระชับมากขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าดูคมชัด ได้สัดส่วนที่สวยงามมากขึ้น และยังช่วยยืดอายุ ป้องกันใบหน้าไม่ให้หย่อนคล้อยก่อนวัย และช่วยชะลออายุผิวได้ด้วยในอนาคต

                                                                                                                              หากทำ EMFACE Submentum จะช่วยลดไขมันบริเวณใบหน้า ทั้งแก้ม ใต้คางหรือลดเหนียง ทำให้ใบหน้าดูโตเป็นสาวมากขึ้น และเห็นรูปหน้าที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

                                                                                                                              EMFACE EMFACE Submentum ในกลุ่มคนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป จะเริ่มมีปัญหาใบหน้า และผิวหน้ามากขึ้นแล้ว การทำ EMFACE เป็นเหมือนการยกความหย่อนคล้อยของใบหน้าอย่างตรงจุด ที่สามารถทำได้ทุก ๆ ปี เมื่อรู้สึกกังวล แต่ได้ผลลัพธ์เทียบเท่าการทำศัลยกรรมดึงหน้า แต่ไม่จำเป็นต้องหย่อนคล้อยมากจึงจะทำได้ เหมือนการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าก็สามารถทำได้

                                                                                                                              หากทำ EMFACE จะช่วยลดความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นจากวัย และปัจจัยอื่น ๆ บนใบหน้า โดยหากทำ EMFACE จะเข้าไปทำการยกกระชับกล้ามเนื้อ ลดริ้วรอยทั้งลึกและตื้น ทั้งนี้ยังช่วยเรื่องความอ่อนเยาว์ และทำให้ใบหน้าดูสดใส เนื่องจาก EMFACE ยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าช่วยยกทั้ง หางตา และมุมปาก อันเป็นส่วนที่เมื่อมีอายุจะเริ่มตกลง จึงทำให้ใบหน้าของคนเราดูเศร้า และดูดุด้วย

                                                                                                                              EMFACE Submentum จะช่วยทำให้ช่วงล่างของใบหน้า และบริเวณกรอบหน้ามีความคมชัดมากขึ้น และยังเป็นการลดยกกระชับในส่วนไขมัน ลดเหนียง คางสองชั้น กระเปาแก้ม ที่ไม่ว่าจะเป็นคนในช่วงอายุเท่าไรก็สามารถมีได้ทุกคนด้วย

                                                                                                                              หากทำ EMFACE จะช่วยแก้ปัญหาอะไรบนใบหน้าได้บ้าง ? 

                                                                                                                                • EMFACE จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณหน้าผาก
                                                                                                                                • EMFACE จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม
                                                                                                                                • EMFACE จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณ Jawline
                                                                                                                                • EMFACE จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณคิ้ว
                                                                                                                                • EMFACE จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณหางตา
                                                                                                                                • EMFACE จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อมุมปาก
                                                                                                                                • EMFACE จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อกรอบหน้า
                                                                                                                                • EMFACE จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อกระเปาะแก้ม
                                                                                                                                • EMFACE ช่วยลดริ้วรอยทั่วทั้งใบหน้า

                                                                                                                              EMFACE Submentum ช่วยแก้ปัญหาอะไรบนใบหน้าได้บ้าง ? 

                                                                                                                                • EMFACE Submentum จะช่วยลดเหนียง (Double Chin) และลดไขมันใต้คาง
                                                                                                                                • EMFACE Submentum จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม
                                                                                                                                • EMFACE Submentum จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อมุมปาก
                                                                                                                                • EMFACE Submentum จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อกระเปาะแก้ม
                                                                                                                                • EMFACE Submentum จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อกรอบหน้า
                                                                                                                                • EMFACE Submentum จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณ Jawline

                                                                                                                              EMFACE และ EMFACE Submentum ต้องเข้ารับการรักษาต่อเนื่องกี่ครั้งจึงจะเห็นผลดีที่สุด ?

                                                                                                                              เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการรักษา EMFACE และ EMFACE Submentum ควรเข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอให้ครบ Protocol ของโปรแกรม คือ 4 ครั้ง และเว้นระยะห่างในการทำแต่ละครั้ง 1 สัปดาห์ หรือ 7 วัน หรือตามวันนัดของแพทย์ เพื่อผลลัพธ์ในการลดเหนียง 

                                                                                                                              EMFACE และ EMFACE Submentum สามารถคงผลลัพธ์ได้นานเท่าไร ? 

                                                                                                                              หลังจากการทำ EMFACE และ EMFACE Submentum ครบ Protocol สามารถคงผลลัพธ์ในการยกกระชับกล้ามเนื้อ ลดเหนียงและไขมันบนใบหน้าได้นานถึง 1 ปี 

                                                                                                                              หลังจากทำ EMFACE และ EMFACE Submentum ครบแล้วควรเข้ามาทำอีกทีเมื่อไหร่ ? 

                                                                                                                              หลังจากเข้ารับการรักษา EMFACE และ EMFACE Submentum แล้ว จะสามารถคงสภาพการยกกระชับกล้ามเนื้อไขมัน และลดเหนียงได้ถึง 1 ปี จึงทำให้ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาบ่อย และสามารถทิ้งช่วงการรักษาได้ถึง 1 ปี ในระหว่างนั้นสามารถทำโปรแกรมยกกระชับอื่น เพื่อเป็นการทำให้ผลลัพธ์ในการรักษาดียิ่งขึ้นได้ 

                                                                                                                              emface นวัตรกรรมออกกำลังกายให้กระชับใบหน้า

                                                                                                                              EMFACE และ EMFACE Submentum ใช้เวลาในการรักษานานเท่าไร? 

                                                                                                                              ในการรับการรักษา EMFACE และ EMFACE Submentum ใช้ระยะเวลาในการทำเพียง 20 นาทีเท่านั้น และไม่ต้องทา หรือฉีดยาชาร่วมในการรักษา  

                                                                                                                              EMFACE และ EMFACE Submentum ใช้เวลานานเท่าไรจึงจะเห็นผลลัพธ์ในการรักษา ? 

                                                                                                                              สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำในครั้งแรก แต่จะเห็นผลลัพธ์ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เข้ารับการรักษาในครั้งที่ 1-3 และจะเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน หลังจากทำการรักษาครบ 4 ครั้ง นอกจากนี้หลังจากทำการรักษาครบ 4 ครั้งแล้ว ประสิทธิภาพของ EMFACE และ EMFACE Submentum ยังจะทำงานกับผิวหน้าต่อ จึงส่งผลให้การรักษาเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

                                                                                                                              ความรู้สึกระหว่างทำโปรแกรม emface และโปรแกรม EMFACE Submentum

                                                                                                                              ความรู้สึกระหว่างทำ EMFACE และ EMFACE Submentum

                                                                                                                                • ระหว่างทำจะรู้สึกตึงบนหน้า
                                                                                                                                • ระหว่างทำจะรู้สึกเหมือนโดนดึงหน้า
                                                                                                                                • ระหว่างทำจะรู้สึกกระตุก ๆ บนใบหน้า
                                                                                                                                • ระหว่างทำจะรู้สึกเหมือนโดนเครื่องบังคับใบหน้าให้ขยับไปตามเครื่อง
                                                                                                                                • ระหว่างทำจะรู้สึกอุ่นในบริเวณที่แปะ Applicator
                                                                                                                                • ระหว่างทำจะรู้สึกกระตุกจากการยกกระชับของกล้ามเนื้อที่อยู่บนใบหน้า
                                                                                                                                • ระหว่างทำจะรู้สึกเหมือนถูกนวด
                                                                                                                                • บริเวณเหนียงจะมีความอุ่นมากกว่าบริเวณใบหน้า เนื่องจากพลังงานของ Applicator มีความร้อนที่สูงกว่า

                                                                                                                              emface ยกกระชับใบหน้าทันทีหลังทำ

                                                                                                                              หมายเหตุ*

                                                                                                                              ความรู้สึกตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้น จะเป็นเพียงการส่งกระแสคลื่นพลังงานตามจังหวะ และพัก สลับกันเป็นจังหวะ ไม่ใช่การดูด หรือการช๊อตของไฟฟ้า ผู้ที่มีความกลัว หรือกังวล รวมทั้งกลัวเข็ม สามารถเข้ารับการรักษาได้โดยไร้กังวล

                                                                                                                              emface
                                                                                                                              emface

                                                                                                                              การดูแลตัวเองก่อนเข้ารับการรักษา EMFACE และ EMFACE Submentum  

                                                                                                                                • พักผ่อนให้เพียงพอ
                                                                                                                                • ดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อเตรียมพร้อมผิวให้พร้อมรับการกระตุ้น
                                                                                                                                • ไม่ต้องแต่งหน้าวันที่เข้ารับการรักษา

                                                                                                                              การดูแลตัวเองหลังเข้ารับการรักษา EMFACE และ EMFACE Submentum

                                                                                                                              EMFACE และ EMFACE Submentum เป็นโปรแกรมที่หลังเข้ารับการรักษาจะไม่มีรอยเข็ม ไม่มีรอยช้ำ จึงไม่จำเป็นต้องดูแลเป็นพิเศษ สามารถทาครีมบำรุง และแต่งหน้า รวมทั้งใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ 

                                                                                                                              emface
                                                                                                                              emface

                                                                                                                              อาการหลังเข้ารับการรักษา EMFACE และ EMFACE Submentum  

                                                                                                                              หลังเข้ารับการรักษาในแต่ละครั้ง หากเป็นผู้ที่มีผิวบาง หรือผิวแพ้ง่าย อาจจะเห็นเป็นรอยแดงจากการติดแผ่น Applicator และความอุ่นของเครื่องเพียงเล็กน้อย ในระยะเวลาอันสั้น จึงไม่ต้องกังวล เนื่องจากรอยแดงที่เกิดขึ้นนั้นสามารถหายไปได้เอง และอาจมีอาการเสียวฟันบ้างในผู้เข้ารับการรักษาบางท่าน

                                                                                                                              โดยอาการดังกล่าวไม่เป็นอาการอันตราย

                                                                                                                              emface
                                                                                                                              emface

                                                                                                                              ใครไม่เหมาะกับการเข้ารับการรักษาด้วย EMFACE และ EMFACE Submentum ? 

                                                                                                                                • ผู้ที่มีโลหะใกล้กับบริเวณที่ทำการรักษา หรือบริเวณที่ติดเครื่องมือ
                                                                                                                                • ผู้ที่มีประวัติเคยทำการรักษาโรค ด้วยการใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ
                                                                                                                                • ผู้ที่เคยมี หรือกำลังมีอาการตับหรือไตวาย
                                                                                                                                • ผู้ที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือมีอาการเกี่ยวกับหัวใจ
                                                                                                                                • ผู้ที่ทำเคมีบำบัด
                                                                                                                                • ผู้ที่อยู่ในระหว่างการใช้รังสีรักษา
                                                                                                                                • ผู้ที่มีการเสริมซิลิโคนหน้าผาก เนื่องจากอาจทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของซิลิโคนที่เสริมมา
                                                                                                                                • สตรีที่กำลังตั้งครรภ์

                                                                                                                              ทั้งนี้ในการปรึกษา ก่อนเข้ารับการรักษาควรแจ้งอาการของโรคที่เป็น และอาการต่าง ๆ ในร่างกายให้แพทย์ทราบโดยละเอียด เพื่อให้การประเมินการรักษา เป็นไปอย่างแม่นยำที่สุด  เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และความปลอดภัยในการรักษา

                                                                                                                              emface VS เครื่องยกกระชับที่มาแรง

                                                                                                                              EMFACE และ EMFACE Submentum สามารถทำร่วมกับหัตถการประเภทใดได้บ้าง ? 

                                                                                                                              สามารถจำแนกได้เป็นกลุ่มการรักษา ดังนี้ 

                                                                                                                              หัตถการกลุ่มฉีด

                                                                                                                              สามารถทำ EMFACE และ EMFACE Submentum ร่วมกับหัตถการกลุ่มฉีดได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น สารยับยั้งกล้ามเนื้อ หรือฉีดโบ ,สารเติมเต็ม (ฉีด Filler ไม่ว่าจะเป็นฉีดเพื่อปรับรูปหน้า หรือฉีดฟิลเลอร์งานผิว) สารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator เช่น ฉีด Radiesse ฉีด sculptra) ฉีดงานผิว (เช่น ฉีด Rejuran หรือไหมน้ำชนิดต่าง ๆ) รวมทั้งการสลายไขมันลดเหนียง เป็นต้น

                                                                                                                              หัตถการกลุ่มฉีดดังกล่าว สามารถทำร่วมกับ EMFACE และ EMFACE Submentum ได้เนื่องจากพลังงานของตัวเครื่องจะไม่ส่งผลเสียกับตัวยา และไม่ก่อให้เกิดอันตราย แต่หากทำหัตถการกลุ่มฉีดมาแล้ว ควรเว้นระยะเวลา 2-4 สัปดาห์ ก่อนเข้ารับการรักษาด้วย EMFACE และ EMFACE Submentum เพื่อให้รอยแผลจากการฉีดปิดสนิทเข้าที่ และตัวยาที่ฉีดเข้าไปเข้าที่เข้าทางเป็นอย่างดี

                                                                                                                              หากต้องการเข้ารับการรักษา EMFACE และ EMFACE Submentum และหัตถการประเภทฉีดในการรักษาครั้งเดียวกัน ควรทำ EMFACE และ EMFACE Submentum ก่อนเสมอ เพื่อป้องกันตัวยาเกิดการเคลื่อนที่และกระจายตัว นอกจากนี้คลื่นจาก EMFACE และ EMFACE Submentum อาจเข้าไปทำการสลายตัวยา หรือเข้าไปทำให้ตัวยาออกฤทธิ์ผิดชั้นได้

                                                                                                                              หัตถการกลุ่มเครื่อง

                                                                                                                              สามารถทำ EMFACE และ EMFACE Submentum ร่วมกับหัตถการกลุ่มเครื่องได้ทุกชนิด แต่ต้องเข้ารับการรักษาคนละครั้ง เนื่องจากเครื่องยกกระชับ และลดเหนียงแต่ละเครื่องมีพลังงานการส่งคลื่นคนละชนิด และความลึกในการยิงคลื่นลงชั้นผิวยังมีความแตกต่างกัน หากทำร่วมกับโปรแกรมยกกระชับเครื่องอื่น ๆ จะยิ่งเป็นการทำให้ผลลัพธ์ในการรักษาดียิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นการยกกระชับในทุกชั้นผิวอย่างทั่วถึงนั่นเอง

                                                                                                                              emface VS เครื่องยกกระชับอื่น ต่างกันอย่างไร

                                                                                                                              ทรีทเมนต์ (Treatment) 

                                                                                                                              สามารถทำ EMFACE และ EMFACE Submentum ได้ เนื่องจากเป็นการดูแลปรนนิบัติผิว ไม่มีแผล ไม่มีรอยเข็ม สามารถทำก่อน หรือหลังการทำ EMFACE และ EMFACE Submentum ได้โดยไม่มีอันตราย

                                                                                                                              การทำหัตถการเฉพาะจุด เช่นฉีดสิว

                                                                                                                              สามารถทำได้แต่ควรทำ EMFACE และ EMFACE Submentum ก่อน เนื่องจากป้องกันการเจ็บ อาการช้ำจากรอยเข็มที่ทำการรักษา หรือควรทำคนละรอบการรักษาโดยทิ้งระยะห่างในการรักษา 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้ตัวยาที่ฉีดมาออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ก่อน

                                                                                                                              กลุ่มให้วิตามินบำรุงผิว และฟื้นฟูร่างกาย

                                                                                                                              สามารถทำการรักษาได้ตามปกติ เนื่องจากการรักษากลุ่มนี้เป็นการดูแลผิว และไม่ได้ทำบริเวณใบหน้า ไม่มีคลื่น และรอยเข็มบนใบหน้า จึงไม่ทำให้เกิดอันตรายจากรอยเข็ม อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมผิวทั่วทั้งร่างกาย

                                                                                                                              ทั้งนี้ก่อนเข้ารับการรักษา ควรแจ้งความประสงค์แก่เจ้าหน้าที่ในการเข้ารับการรักษา เพื่อการเรียงลำดับการทำหัตถการในแต่ละครั้งให้ถูกต้อง และเพื่อผลลัพธ์ในการรักษาทุกโปรแกรม ทุกตัวยา และทุกเครื่องอย่างดีที่สุด


                                                                                                                              EMFACE เป็นโปรแกรมยกกระชับกล้ามเนื้อเครื่องแรก และเครื่องเดียวในโลก ที่ตอนนี้มีการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น โดยการเพิ่ม Applicator ที่ใช้ติดบริเวณเหนียง เพื่อลดเหนียงทำให้การรักษาครอบคลุมทั่วทั้งใบหน้า มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากไม่มีเข็ม ไม่เจ็บ ไม่แสบ ไม่ร้อนในระหว่างทำ แต่เป็นเครื่องที่อาศัยความแม่นยำในการติดแผ่น Applicator ของแพทย์เป็นอย่างมาก หากติดผิดพลาด ไม่ถูกทิศทางของกล้ามเนื้อ หรือไม่รู้สรีระบนใบหน้า อาจทำให้การรักษาไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี และอาจทำให้เกิดผลกระทบอื่น ๆ ตามมา


                                                                                                                              รมย์รวินท์คลินิก คลินิกเสริมความงามอันดับต้นๆของประเทศไทย 

                                                                                                                              รมย์รวินท์คลินิก นำทีมโดยแพทย์ที่มากความสามารถและได้รับความน่าเชื่อถือมากมายพร้อมให้การรักษารวมทั้งให้คำปรึกษา ทั้งยังมีประสบการณ์ในการดูแลคนไข้นับ 30 ปี และมีสาขาทั่วทั้งประเทศไทย พร้อมให้คนไข้เข้ารับการรักษา จึงเป็นเครื่องการันตีได้ว่ามีความน่าเชื่อถือ ทุกการรักษาเห็นผลจริง จึงทำให้มีคนไข้เข้ามาเข้ารับการรักษาเป็นจำนวนมาก

                                                                                                                              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                                                                วันที่สะดวกในการติดต่อ