ปิดตำนานรอยลบสักตลอดกาลด้วย PICO UN-TATTOO

ลบรอยสัก PICO UN-TATTOO

ปิดตำนานลบรอยสักตลอดกาลด้วย PICO UN-TATTOO

 

สร้างปรากฏการณ์สั่นสะเทือนรูปแบบใหม่ กับจักรวาลความสยองขวัญ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังรอยสักที่สวยงาม เตรียมปิดตำนานต้นกำเนิดรอยสักอาถรรพ์ที่ไม่มีวันจางหาย และยากจะลบเลือน คอยตามหลอกหลอนไปทุกหนทุกแห่งไม่มีวันสิ้นสุด ทุกคนจะต้องจดจำรอยสักนี้ไปตลอดกาล หากไม่สามารถลบออกได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งรอยสักนี้ เป็นปัญหาใหญ่ที่รอการแก้ไข จะมีวิธีใดที่สามารถกำจัดรอยสักนี้ได้บ้าง? โดยไม่หลงเหลือรอยใด ๆ บนร่างกาย บทความนี้รวบรวมมาให้แล้ว พร้อมแนะนำทางเลือกใหม่ ในการลบรอยสักอย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงค่ะ

 

ลบต้นกำเนิด จักรวาลความผิดพลาดสู่ผิวสวยตลอดกาล
ลบต้นกำเนิด จักรวาลความผิดพลาดสู่ผิวสวยตลอดกาล

 

เตรียมลบต้นกำเนิดรอยสัก จักรวาลความพลาด สู่ผิวสวย ตลอดกาล

4 วิธีลบรอยสักยอดฮิต มีอะไรบ้าง?

การลบรอยสักมีหลากหลายวิธี แต่ละวิธีก็จะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป ซึ่งการเลือกวิธีลบรอยสักนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งขนาดของรอยสัก สีของหมึก และสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยส่วนใหญ่วิธีที่นิยมใช้สำหรับการลบรอยสัก มีดังนี้

  • ลบรอยสักด้วยน้ำยาลบรอยสัก 

การลบรอยสักด้วยน้ำยาลบรอยสัก เป็นวิธีการที่มีความเสี่ยงสูง และไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง โดยน้ำยาลบรอยสักส่วนใหญ่ มักมีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งจะกัดเซาะผิวหนังบริเวณที่มีรอยสัก ทำให้เม็ดสี และน้ำหมึกที่ฝังอยู่จางหายไป ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังสูง ทำให้ผิวไหม้ เกิดการติดเชื้อ หรือเกิดแผลเป็นขั้นรุนแรงได้

  • ลบรอยสักด้วยการศัลยกรรมผ่าตัด

การศัลยกรรมผ่าตัดลบรอยสัก เป็นวิธีการที่เหมาะสำหรับรอยสักขนาดเล็ก โดยจะตัดเอาผิวหนังที่มีรอยสักออกไปโดยตรง และทำการเย็บแผลปิดบริเวณที่ผ่าตัด ซึ่งหลังทำมีโอกาสที่จะเกิดรอยแผลเป็นใหม่ และใช้เวลาในการพักฟื้นค่อนข้างนาน รวมถึง มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการติดเชื้อ เช่นเดียวกับการผ่าตัดอื่น ๆ 

  • ลบรอยสักด้วยการกรอผิวหนัง

การลบรอยสักด้วยการกรอผิวหนัง เป็นวิธีการที่ใช้เครื่องมือแพทย์กรอผิว เพื่อขัดเอาเม็ดสี และน้ำหมึกออกจากผิวหนัง ทำให้รอยสักจางลง แต่ไม่สามารถหายไปได้ทั้งหมด ซึ่งจะต้องทำซ้ำหลายครั้งถึงเห็นผลชัดเจน อีกทั้ง ขณะทำอาจรู้สึกเจ็บ และรู้สึกแสบในบริเวณที่ทำการกรอผิวหนังได้

  • ลบรอยสักด้วยเลเซอร์

การลบรอยสักด้วยเลเซอร์ เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เช่น เครื่อง PICO UN-TATTOO เนื่องจากเป็นทางเลือกที่มีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และลดโอกาสในการเกิดแผลเป็น โดยเลเซอร์จะปล่อยพลังงานแสงเข้าไป เพื่อทำลายเม็ดสี และน้ำหมึกที่ฝังอยู่บนผิวหนัง ทำให้รอยสักบริเวณนั้นค่อย ๆ จางลง และหายไปตามธรรมชาติ โดยไม่ทิ้งรอยแผล และไม่ทำร้ายผิวหนังบริเวณรอบ ๆ แต่อาจจะต้องมีการทำหลายครั้ง จึงจะสามารถลบรอยสักออกได้ทั้งหมด 

 

ลบเกลี้ยง PICO UN-TATTOO
ลบเกลี้ยง PICO UN-TATTOO

 

PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก ทางเลือกใหม่ ลบเกลี้ยงทุกรอยสัก กำจัดได้ทุกเม็ดสี

PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก คืออะไร? ทำไมถึงนิยมลบรอยสัก?

PICO UN-TATTOO คือ เทคโนโลยีเลเซอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ในการรักษาปัญหาผิว และลบรอยสักได้ทุกสี ทุกขนาด โดยใช้พลังงานความยาวคลื่นที่มีความหลากหลาย ได้แก่ 532 นาโนเมตร 670 นาโนเมตร และ 1,064 นาโนเมตร สามารถตอบโจทย์สำหรับการรักษาปัญหาผิวทุกรูปแบบ ตั้งแต่ฝ้า กระ รอยดำ รอยแดง หลุมสิว ไปจนถึงรอยสักได้อย่างตรงจุด ซึ่งการมีพลังงานความยาวคลื่นที่หลากหลายนั้น ทำให้สามารถปรับพลังงานได้ตามความเหมาะสมกับรอยสักในแต่ละสี ทั้งสีดำ สีแดง สีเหลือง หรือสีน้ำเงิน

อีกทั้ง เครื่อง PICO UN-TATTOO ยังสามารถปล่อยพลังงานในระดับ Nanosecond และ Picosecond ซึ่งมีความเร็วสูงมาก ทำให้เกิดปฏิกิริยา Photo-acoustic ที่ช่วยให้เม็ดสีแตกกระจาย เป็นโมเลกุลขนาดเล็กละเอียดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายกำจัดออกไปได้ง่ายขึ้น โดยไม่ทำให้เกิดความร้อนสะสมใต้ผิวหนัง จึงลดโอกาสในการเกิดแผลเป็น และผิวไหม้หลังทำ

นอกจากนี้ PICO UN-TATTOO ยังมีโหมด Pico Genesis ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวเรียบเนียน มีความแข็งแรง และดูกระจ่างใสขึ้นหลังจากทำการรักษา 

 

PICO UN-TATTOO ลบรอยสักมีข้อดีอะไรบ้าง?

  • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก มีประสิทธิภาพสูงในการจัดการเม็ดสี โดยเฉพาะรอยสักได้ทุกสี ทุกขนาด ทั้งรอยสักสีดำ สีน้ำตาล สีแดง สีเขียว หรือสีน้ำเงิน
  • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก สามารถรักษาปัญหาผิวได้หลากหลาย นอกจากการลบรอยสักแล้ว PICO UN-TATTOO ยังใช้รักษาปัญหาผิวอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น ฝ้า กระ รอยดำ รอยแดง หลุมสิว และรูขุมขนกว้าง
  • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากไม่มีความร้อนสะสมใต้ชั้นผิว ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็น หรือผิวไหม้ ผิวเบิร์นหลังทำ
  • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำการรักษา ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาผิวของแต่ละบุคคล
  • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก ได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) ว่ามีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการรักษา
  • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก ไม่ต้องมีการพักฟื้น หลังทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที

 

PICO UN-TATTOO ลบรอยสักเหมาะกับใคร?

  • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระตื้น กระลึก และกระแดด
  • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว ผิวไม่เรียบเนียน
  • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยดำ รอยแดงจากสิว
  • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง รูขุมขนไม่กระชับ
  • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลบรอยสักทุกสี ทุกขนาด
  • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยแผลเป็น รอยแตกลาย
  • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับสีผิวให้ดูสว่าง กระจ่างใส
  • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเม็ดสี

 

จะเห็นได้ว่า การทำ PICO UN-TATTOO ลบรอยสักถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลบรอยสัก และสามารถจัดการกับปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยสิว หลุมสิว หรือรูขุมขนกว้าง โดยไม่ทำลายผิวหนังบริเวณรอบข้าง ทำให้มีความปลอดภัยสูง ลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง สำหรับใครที่กำลังมองหาตัวช่วยในการแก้ไขปัญหาผิว หรือต้องการลบรอยสัก สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้แล้ววันนี้ ที่รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา

ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอยรอบดวงตา

โบยกหางตา

ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอยรอบดวงตา ทางเลือกใหม่ในการปรับใบหน้าให้อ่อนเยาว์

การฉีดโบยกหางตา เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมในการปรับรูปหน้า ที่ช่วยลดริ้วรอยและยกหางตาให้ดูสดใสขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยตีนกาและหางตาตก ซึ่งอาจทำให้ใบหน้าดูมีอายุและไม่สดใส การฉีดโบยกหางตาจะช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณหางตา ทำให้ริ้วรอยเหล่านี้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด 

 

นอกจากนี้ยังช่วยให้ดวงตามีลักษณะที่เปิดกว้างและสดใสขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้นนาน บทความนี้จะพาทุกท่านไปสำรวจรายละเอียดเกี่ยวกับการฉีดโบยกหางตา รวมถึงข้อดี ข้อเสีย และสิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ เพื่อให้คุณสามารถเลือกวิธีการดูแลตัวเองที่เหมาะสมที่สุด

 

โบยกหางตา คืออะไร
โบยกหางตา คืออะไร

 

ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย คืออะไร?

ฉีดโบยกหางตา คือ การฉีดสารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเข้าไปในบริเวณหางตา เพื่อช่วยลดริ้วรอยและยกหางตาให้ดูสูงขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่มีปัญหาริ้วรอยหางตาและหางตาตก ซึ่งจะทำให้ผิวบริเวณหางตาและรอบดวงตาเรียบเนียนและกระชับขึ้น ช่วยให้ดวงตามีความสดใสและกลมโตมากขึ้น

 

ปัญหาหางตาตก เกิดจากอะไร?

 

ปัญหาหางตาตกเกิดจากหลายสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างของใบหน้าและการเปลี่ยนแปลงตามอายุ ดังนี้

 

  • อายุที่มากขึ้น

เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังจะสูญเสียคอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้ผิวหนังเต่งตึงและยืดหยุ่น ทำให้ผิวหนังบริเวณหางตาหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอย ส่งผลให้หางตาดูตกลงต่ำกว่าเดิม

  • โครงสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อ

โครงสร้างกระดูกเบ้าตาที่ผิดปกติ เช่น กระดูกโหนกคิ้วที่โค้งลงมากเกินไป หรือความหนาของกระดูก สามารถส่งผลต่อระดับของหางตาได้ นอกจากนี้ กล้ามเนื้อที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของเปลือกตาอาจมีความผิดปกติหรืออ่อนแรง ทำให้ไม่สามารถยกหางตาขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • การสะสมของไขมัน

การสะสมไขมันบริเวณหางตา อาจทำให้เกิดความรู้สึกว่าหางตาตก เนื่องจากไขมันส่วนเกินจะดึงผิวหนังให้หย่อนคล้อยมากขึ้น ส่งผลให้เกิดลักษณะหางตาที่ดูตกลง

  • กรรมพันธุ์

บางคนอาจมีปัญหาหางตาตกเนื่องจากกรรมพันธุ์ ซึ่งส่งผลต่อโครงสร้างของดวงตาและผิวหนังบริเวณรอบดวงตา โดยเฉพาะในคนเอเชียที่มักมีเนื้อบริเวณรอบดวงตามากกว่าคนในทวีปอื่น

  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต

การขยี้ตาบ่อย ๆ การสัมผัสแดดโดยไม่ทาครีมกันแดดปกป้องผิว และการนอนหลับไม่เพียงพอ สามารถทำให้ผิวหนังรอบดวงตาเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ส่งผลให้เกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย

  • ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ

บางครั้ง ปัญหาหางตาตกอาจเกิดจากโรคหรือภาวะทางการแพทย์ เช่น ความผิดปกติของระบบประสาท หรือโรคที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดอาการหนังตาตกหรือหางตาตก

 

ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอยรอบ ช่วยอะไร?

การฉีดโบยกหางตา เป็นหัตถการที่ช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอย และความหย่อนคล้อยบริเวณรอบดวงตา ซึ่งช่วยแก้ปัญหาได้ ดังนี้

  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ช่วยลดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาและหางตา
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ช่วยยกหางตา ทำให้ใบหน้าดูสดใส อ่อนเยาว์
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ช่วยปรับให้ใบหน้าโดยรวมดูดีขึ้น
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ไม่ต้องรอนาน
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย มีความปลอดภัยสูง ไม่มีผลข้างเคียงอันตราย
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้นนาน
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ปรับโหงวเฮ้งให้ดีขึ้น

 

โบยกหางตา เหมาะกับใคร
โบยกหางตา เหมาะกับใคร

 

ใครบ้างที่ควรฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย?

การฉีดโบยกหางตาเหมาะสำหรับกลุ่มคนดังต่อไปนี้

  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เหมาะกับคนที่อายุ 30 ปีขึ้นไป 
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เหมาะกับคนที่ชั้นตาหลบใน
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เหมาะกับคนที่มีปัญหาหางตาตก คิ้วตก
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เหมาะกับคนที่มีปัญหาหนังตาหย่อนคล้อย
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เหมาะกับคนที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณหางตาจากการแสดงสีหน้า
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เหมาะกับคนที่ต้องการปรับใบหน้าให้สดใส อ่อนเยาว์
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น

 

ใครที่ไม่ควรฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย

คนที่ไม่ควรฉีดโบยกหางตาเพื่อลดริ้วรอยรอบดวงตา มีดังนี้

  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่เหมาะกับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่เหมาะกับคนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคเกี่ยวกับระบบประสาทที่ส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่เหมาะกับคนที่มีอาการแพ้สารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่เหมาะกับคนที่มีการติดเชื้อบริเวณที่ต้องการฉีด
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่เหมาะกับคนที่มีแผลเปิดบริเวณที่ต้องการฉีด
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวหนัง เช่น สิว ผดผื่น ควรรักษาให้หายก่อนฉีด
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่เหมาะกับคนที่ใช้ยาบางชนิด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ถาวร เพราะฉีดโบสลายได้เองตามธรรมชาติ

 

ข้อดีของการฉีดโบยกหางตา
ข้อดีของการฉีดโบยกหางตา

 

ข้อดีและข้อเสียของการฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอยรอบดวงตา

ข้อดีของการฉีดโบยกหางตาเพื่อลดริ้วรอย มีดังนี้

  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องมีรอยแผลเป็น
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย สามารถเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ช่วยยกหางตา แก้ปัญหาหางตาตก
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ช่วยให้ดวงตาดูโตขึ้นและสดใสขึ้น
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่ต้องพักฟื้นนาน สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณหางตาและรอบดวงตา

 

ข้อเสียของการฉีดโบยกหางตาเพื่อลดริ้วรอย มีดังนี้

  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ผลลัพธ์ไม่ถาวร ต้องฉีดซ้ำเพื่อคงประสิทธิภาพ
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่เหมาะสำหรับปัญหาหางตาตกมาก
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย อาจเกิดอาการข้างเคียง เช่น หนังตาตก หรือเปลือกตาตก
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ หากฉีดในสถานพยาบาลที่ไม่สะอาด
  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย อาจส่งผลกระทบต่อกล้ามเนื้อบริเวณใกล้เคียง

 

ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เลือกยี่ห้อไหนดี?

การเลือกยี่ห้อฉีดโบสำหรับการฉีดยกหางตาเพื่อลดริ้วรอยนั้นมีความสำคัญ เนื่องจากแต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติและผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ควรพิจารณาในการเลือกใช้ ดังนี้

 

ฉีดโบยกหางตายี่ห้อ Allergan

  • จุดเด่น : เป็นแบรนด์ที่มีการเลือกใช้งานยาวนานที่สุดในโลก และได้รับการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกา มีความบริสุทธิ์สูง ออกฤทธิ์เร็ว เห็นผลชัดเจนภายใน 3-7 วัน และคงอยู่ได้นาน 4-6 เดือน ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน ทำให้มีความปลอดภัย และมีความแม่นยำตรงจุด
  • ข้อดี : สามารถใช้ในการรักษาได้หลายตำแหน่ง เช่น ลดริ้วรอยรอบดวงตา หน้าผาก แก้ม ปีกจมูก และกราม เพื่อปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพื่อลดเหงื่อในบริเวณรักแร้ และปรับรูปร่างของแขนและขาได้

 

ฉีดโบยกหางตายี่ห้อ Dysport

  • จุดเด่น : เป็นยี่ห้อฉีดโบยกหางตาที่มาจากประเทศอังกฤษ มีโมเลกุลที่เล็กกว่าทำให้สามารถกระจายตัวได้กว้างและทั่วถึงเมื่อฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อ สามารถออกฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว มีโอกาสน้อยที่จะเกิดอาการดื้อยา ผลลัพธ์จากการฉีด Dysport มักจะดูเป็นธรรมชาติ ไม่ทำให้ใบหน้าตึงหรือแข็งเกินไป
  • ข้อดี : มีความหลากหลายในการใช้งาน ด้วยคุณสมบัติในการกระจายตัวอย่างดี ออกฤทธิ์รวดเร็ว มีระยะเวลาการอยู่ได้นาน ผลลัพธ์ที่ได้เป็นธรรมชาติ และเหมาะสำหรับการฉีดเพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อใหญ่ เช่น กล้ามเนื้อบริเวณแขน น่อง

 

ฉีดโบยกหางตายี่ห้อ Xeomin

  • จุดเด่น : มีจุดเด่นที่สำคัญคือความบริสุทธิ์สูงถึง 100% ซึ่งไม่มีโปรตีนที่ไม่จำเป็นเจือปน ทำให้ลดโอกาสเกิดอาการแพ้และดื้อยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีโมเลกุลขนาดเล็กที่ช่วยให้กระจายตัวได้ดี ทำให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและไม่แข็งตึง นอกจากนี้ Xeomin ยังได้รับการรับรองจาก USFDA ซึ่งยืนยันถึงความปลอดภัยและคุณภาพของตัวยา
  • ข้อดี : สามารถใช้ในการรักษาได้หลายตำแหน่ง เช่น ลดริ้วรอยบนใบหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียว และลดกล้ามเนื้อกราม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยและปรับรูปหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เคยมีปัญหาการดื้อยา

 

ฉีดโบยกหางตายี่ห้อ Aestox

  • ข้อดี : มีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5% ซึ่งช่วยลดโอกาสในการดื้อยาและให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ยังออกฤทธิ์เร็วและเห็นผลได้ภายในเวลาอันสั้น ทำให้เหมาะสำหรับการลดริ้วรอยและปรับรูปหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ 
  • จุดเด่น :สามารถใช้ในการลดริ้วรอยต่าง ๆ เช่น รอยหางตา รอยย่นระหว่างหน้าผาก หรือปรับรูปหน้าให้เรียว  มีความบริสุทธิ์มาก ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ และออกฤทธิ์เร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอย และปรับรูปหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ฉีดโบยกหางตายี่ห้อ Nabota

  • ข้อดี : มีความบริสุทธิ์สูงถึง 98.7% ซึ่งช่วยลดโอกาสในการดื้อยา เป็นยี่ห้อฉีดโบยกหางตายี่ห้อเกาหลีเพียงยี่ห้อเดียวที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (US FDA) ใช้เทคโนโลยี Hi-PURE ที่พัฒนามานานกว่า 30 ปี ซึ่งช่วยในการสกัดและผลิต
  • จุดเด่น : มีความบริสุทธิ์มาก ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว และได้รับการรับรองจาก US FDA ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอย และปรับรูปหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ฉีดโบหางตา ที่ไหนดี? เคล็ดลับเลือกคลินิกให้ปลอดภัย

  • เลือกคลินิกที่ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้อง

ตรวจสอบว่าเป็นคลินิกที่มีการจดทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุข มีใบอนุญาตชัดเจน และดำเนินการโดยแพทย์ที่มีความรู้ประจำคลินิก

  • ฉีดโบยกหางตากับแพทย์ที่มีความรู้และประสบการณ์

แพทย์ที่มีความรู้จะเข้าใจกายวิภาคของใบหน้าว่ากล้ามเนื้อบริเวณหางตามีความซับซ้อน การฉีดในตำแหน่งที่ผิดอาจทำให้ใบหน้าดูแข็งหรือผิดธรรมชาติ เพราะฉะนั้นการฉีดโบกับแพทย์ที่มีความรู้มีความจำเป็นอย่างมาก เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อันตรายในอนาคต

  • ฉีดโบแท้ที่มีความปลอดภัยเท่านั้น

ฉีดโบหางตาที่ดีควรเป็นของแท้ มีการรับรองจาก อย. เช่น ยี่ห้อ Allergan, ยี่ห้อ Xeomin, หรือ ยี่ห้อ Dysport แพทย์ควรเปิดขวดใหม่ต่อหน้าเพื่อความมั่นใจ

  • ตรวจสอบชื่อเสียงและรีวิว

ค้นหาข้อมูลและรีวิวจากผู้ใช้บริการจริงผ่านเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย เพื่อดูประสบการณ์ของลูกค้าคนอื่น ๆ ในการประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกฉีดโบหางตา

 

เปรียบเทียบการฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย กับการยกหางตาวิธีอื่น ๆ 

การยกหางตา เป็นวิธีการที่ช่วยปรับรูปทรงของดวงตาให้ดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น โดยมีหลายวิธีที่สามารถเลือกใช้ได้ ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป ดังนี้

 

  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย

การทำงาน : เป็นการฉีดสารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อบริเวณใต้ท้องคิ้ว เพื่อคลายกล้ามเนื้อที่ดึงหางตาตก ทำให้หางตายกขึ้นและใบหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

ข้อดี : ช่วยให้หางตาที่ตกลงกลับมายกขึ้น โดยการคลายกล้ามเนื้อที่ดึงหางตาลง ทำให้ดวงตาดูสดใสและมีชีวิตชีวามากขึ้น เป็นทางเลือกที่ไม่ต้องใช้การผ่าตัด ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและปลอดภัย

 

  • ร้อยไหมยกหางตา ลดริ้วรอย

การทำงาน : เป็นการใช้ไหมชนิดละลายร้อยเข้าไปในชั้นผิวบริเวณเหนือหางตา เพื่อกระชับผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

ข้อดี : ช่วยยกหางตาที่ตกลงให้กลับมาสูงขึ้นทันทีหลังทำ โดยไม่ต้องผ่าตัด ทำให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

 

  • ฟิลเลอร์ยกหางตา ลดริ้วรอย

การทำงาน : เป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิกเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อเติมเต็มและยกคิ้วขึ้น

ข้อดี : ช่วยยกหางตาโดยการฉีดเข้าไปที่ใต้คิ้ว ทำให้หางตายกสูงขึ้นตามแนวคิ้วที่ถูกยกขึ้น สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ เป็นวิธีที่ไม่ต้องใช้การผ่าตัดและไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

 

  • Ulthera SPT ยกหางตา ลดริ้วรอย

การทำงาน : เป็นการใช้เทคโนโลยีพลังงานเสียงในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง

ข้อดี : การยกหางตาด้วย Ulthera SPT ให้ผลลัพธ์การยกหางตาแบบ 3 มิติ ทั้งส่วนหางตา ขมับ และชั้นผิวโดยรอบ ทำให้ดูเป็นธรรมชาติ เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ และผลลัพธ์จะดีขึ้นต่อเนื่องใน 2-3 เดือน

 

  • ศัลยกรรมยกหางตา

การทำงาน : เป็นการผ่าตัดเพื่อยกหางคิ้วหรือหนังตา ด้วยเทคนิค Subbrow Lift หรือ เทคนิค Temporal Lift ผลลัพธ์ที่ได้จะช่วยให้หางตายกสูงขึ้น และยังช่วยแก้ไขปัญหารอยตีนกาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อดี : การศัลยกรรมยกหางตา ช่วยให้หางตาที่ตกหรือหย่อนคล้อยกลับมายกขึ้น ลดรอยเหี่ยวย่นบริเวณหางตาและรอยหางตา ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ ผลลัพธ์จากการศัลยกรรมยกหางตามักจะคงอยู่ได้ถาวร โดยสามารถเห็นผลได้ทันทีหลังทำ

 

เตรียมตัวก่อนฉีด โบยกหางตา
เตรียมตัวก่อนฉีด โบยกหางตา

 

การเตรียมตัวก่อนฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย

การเตรียมตัวก่อนฉีดโบยกหางตา เป็นขั้นตอนที่สำคัญเพื่อให้การทำฉีดโบยกหางตาเป็นไปอย่างปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ดังนั้นควรปฏิบัติตามข้อแนะนำ ดังนี้

  • ก่อนฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน
  • ก่อนฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ควรเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น
  • ก่อนฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ควรแจ้งโรคประจำตัวและยาที่รับประทานประจำให้แพทย์ทราบก่อนฉีด
  • ก่อนฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ควรพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนฉีด
  • ก่อนฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ควรตรวจสอบโบที่ใช้ว่าแท้หรือไม่ เพื่อความมั่นใจว่าเป็นโบแท้
  • ก่อนฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย งดทานอาหารเสริมประเภทวิตามินอี น้ำมันปลา ก่อนฉีด 1 สัปดาห์
  • ก่อนฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย งดทานยาที่มีผลต่อการเข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ก่อนฉีด 1 สัปดาห์
  • ก่อนฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงก่อนฉีด
  • ก่อนฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย งดการสครับหรือขัดหน้าเป็นเวลา 2-3 วันก่อนฉีด

 

ขั้นตอนการฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย

การฉีดโบยกหางตา เป็นหัตถการการที่ช่วยปรับรูปทรงของดวงตาให้ดูสดใสและลดริ้วรอย โดยมีขั้นตอน ดังนี้

  1. พบแพทย์เพื่อทำการตรวจวิเคราะห์และประเมินปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนฉีดโบยกหางตา 
  2. แพทย์จะพูดคุยเกี่ยวกับความต้องการของ และแนะนำยี่ห้อโบยกหางตา รวมถึงปริมาณตัวยาที่เหมาะสม
  3. ทำความสะอาดผิวหน้าบริเวณที่จะฉีดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและแอลกอฮอล์
  4. เริ่มแปะยาชาบริเวณที่ต้องการฉีดโบยกหางตา เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด โดยรอให้ยาชาออกฤทธิ์ประมาณ 15-30 นาที
  5. แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดโบหางตาเข้าไปบริเวณใต้ท้องคิ้วแถวหางตา
  6. ในระหว่างการฉีดโบยกหางตา อาจมีการประคบเย็นเพื่อลดอาการเจ็บและบวมแดงจากเข็ม
  7. เมื่อทำการฉีดโบยกหางตาเสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะแนะนำเกี่ยวกับวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด

 

เตรียมตัวก่อนฉีด โบยกหางตา
เตรียมตัวก่อนฉีด โบยกหางตา

 

การดูแลตัวเองหลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย

การดูแลตัวเองหลังฉีดโบยกหางตา เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน และลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง ควรปฏิบัติตามข้อแนะนำ ดังนี้

  • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย งดการสัมผัส หรือ กดบริเวณที่ฉีดในช่วง 4 ชั่วโมงแรก
  • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย งดการอบซาวน่า หรือการอยู่ในที่มีอุณหภูมิสูง
  • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย งดใช้ยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
  • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย งดนอนราบหรือนอนคว่ำในช่วง 4-6 ชั่วโมงแรก
  • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย งดสูบบุหรี่และงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง
  • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย หลีกเลี่ยงการทาสกินแคร์หรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของกรดวิตามินเอ AHA หรือ BHA ในวันแรก
  • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย หากมีอาการบวม สามารถประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเป็นเวลา 1 ชั่วโมง
  • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย หลังฉีดประมาณ 30 นาที ควรทำการบริหารกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด เช่น ยักคิ้ว
  • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย หากมีอาการบวม สามารถประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเป็นเวลา 1 ชั่วโมง

 

คำถามพบบ่อยเรื่องการฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย

  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ดีไหม?

การฉีดโบยกหางตาเป็นวิธีที่ดีสำหรับผู้ที่มีปัญหาหางตาตกหรือริ้วรอยรอบดวงตา โดยช่วยให้หางตายกขึ้นและลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ ได้ในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น ทำให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

 

  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เจ็บไหม?

ก่อนการฉีดโบยกหางตาจะมีการใช้ยาชาและประคบเย็นระหว่างการฉีดโบยกหางตา ทำให้ความรู้สึกเจ็บน้อยลง โดยทั่วไปจะรู้สึกเพียงเล็กน้อยเมื่อเข็มลงบนผิวหน้า

 

  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เห็นผลเมื่อไหร่?

การฉีดโบยกหางตา เริ่มเห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 3-4 วันหลังจากการฉีด โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้นในช่วง 7-14 วันหลังทำ ซึ่งจะช่วยให้หางตายกขึ้นและลดริ้วรอยรอบดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

 

  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ผลลัพธ์อยู่ได้นานไหม?

ผลลัพธ์จากการฉีดโบยกหางตาเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 3-4 วันหลังจากฉีดโบหางตา และผลลัพธ์จะชัดเจนที่สุดในช่วง 7-14 วัน ซึ่งในระยะนี้จะช่วยให้หางตายกขึ้นและลดริ้วรอยรอบดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับระยะเวลาที่ผลลัพธ์จะอยู่ได้นั้น โดยทั่วไปจะอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ยี่ห้อของโบหางตาที่ใช้และการดูแลตัวเองหลังการฉีด

 

  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย มีอันตรายไหม?

การฉีดโบยกหางตามักไม่เป็นอันตราย หากทำโดยแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญ และใช้โบยกหางตาของแท้ หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์หรือใช้โบปลอม อาจเกิดผลข้างเคียงเช่น หางตาตกหรือใบหน้าดูแข็งเกินไป

 

  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย มีผลข้างเคียงไหม?

แม้ว่าการฉีดโบยกหางตาจะมีความปลอดภัยสูง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง เช่น อาการบวม ฟกช้ำ หรือการเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงในบริเวณที่ไม่ได้ตั้งใจ หากทำโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์

 

  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย สามารถฉีดซ้ำได้ไหม?

โบยกหางตาสามารถฉีดซ้ำได้ตามคำแนะนำของแพทย์ โดยทั่วไปควรทิ้งระยะเวลาประมาณ 3-6 เดือนระหว่างการฉีด เพื่อให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวและไม่เกิดอาการดื้อยา

 

  • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย สามารถทำร่วมกับวิธีอื่นได้ไหม?

การฉีดโบยกหางตาสามารถทำร่วมกับฟิลเลอร์หรือวิธีอื่น ๆ ได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปรับรูปหน้า เช่น การใช้ฟิลเลอร์ใต้คิ้วเพื่อเสริมสร้างรูปทรงของใบหน้าให้ดูเรียวขึ้น เป็นต้น

 

การฉีดโบยกหางตาเป็นหนึ่งในหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการความงาม โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปลักษณ์ของดวงตาให้ดูสดใสและอ่อนเยาว์มากขึ้น การทำหัตถการนี้มีข้อดีหลายประการ เช่น ช่วยยกหางตา ลดริ้วรอยรอบดวงตา และทำให้ใบหน้าดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

 

อีกทั้งการฉีดโบยกหางตาช่วยแก้ปัญหาหางตาตกและริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 3-4 วันหลังการฉีด และจะชัดเจนที่สุดในช่วง 7-14 วัน การฉีดโบยกหางตาเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหางตาตกเล็กน้อยหรือริ้วรอยรอบดวงตา แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหางตาตกมาก ซึ่งอาจต้องพิจารณาวิธีการอื่น เช่น การผ่าตัดหรือร้อยไหม

 

เพราะฉะนั้น ควรเลือกฉีดโบยกหางตากับแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง นอกจากนี้ ควรดูแลตัวเองหลังจากการฉีดโบยกหางตาอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานที่สุด

Ultherapy Prime กับ Ulthera SPT ต่างกันอย่างไร เรื่องที่ต้องรู้ก่อนเลือกทำ

Ultherapy Prime กับ Ulthera SPT ต่างกันอย่างไร

เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime กับ Ulthera SPT ต่างกันอย่างไร เรื่องที่ต้องรู้ก่อนเลือกทำ

การยกกระชับใบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้กลับมาเต่งตึง อ่อนเยาว์ โดยไม่ต้องพักฟื้นนาน ซึ่ง Ulthera SPT นับเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความไว้วางใจจากแพทย์และผู้รับบริการมายาวนาน ล่าสุดเทคโนโลยีนี้ได้ถูกพัฒนาต่อยอดออกเป็นเวอร์ชันที่โดดเด่นขึ้น นั่นก็คือ Ultherapy Prime ซึ่งทั้งสองต่างก็มีจุดเด่นที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันไป

 

ในบทความนี้ รมย์รวินท์คลินิกจะพาไปทำความรู้จักกับความแตกต่าง ระหว่างยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime และ Ulthera SPT เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ว่าเทคโนโลยีแบบใดเหมาะสมกับความต้องการและปัญหาผิวมากที่สุด พร้อมทั้งข้อดีและผลลัพธ์ที่แตกต่างกันของทั้งสองเทคโนโลยีนี้

 

Ultherapy Prime vs Ulthera SPT ความแตกต่างที่จำเป็นต้องรู้ก่อนยกกระชับใบหน้า 

 

Ultherapy เทคโนโลยีใหม่ที่พัฒนาจาก Ulthera SPT
Ultherapy เทคโนโลยีใหม่ที่พัฒนาจาก Ulthera SPT

 

ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เทคโนโลยีใหม่ที่พัฒนามาจาก Ulthera SPT

  • เทคโนโลยีล่าสุดในวงการความงาม Ultherapy Prime ถือเป็นการปฏิวัติเทคโนโลยีการยกกระชับผิวหน้า ที่พัฒนาต่อยอดจาก Ulthera SPT ด้วยการผสานความก้าวหน้าและความเข้าใจในสรีรวิทยาผิวอย่างลึกซึ้ง ระบบนี้โดดเด่นด้วยความแม่นยำในการส่งคลื่นพลังงานที่เหนือชั้น สามารถเจาะลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นโครงสร้างสำคัญใต้ผิวหนัง 

 

  • การรักษาด้วย Ultherapy Prime ไม่เพียงมอบประสิทธิภาพที่เหนือกว่า แต่ยังลดระยะเวลาการทำลงอย่างมาก ส่งผลให้ผู้รับการรักษาได้สัมผัสประสบการณ์ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น พร้อมกับผลลัพธ์การยกกระชับที่เห็นผลชัดเจนและเป็นธรรมชาติ นับเป็นการยกระดับมาตรฐานการดูแลผิวที่ตอบโจทย์ทั้งแพทย์ผู้ให้การรักษาและผู้รับบริการ

 

  • สิ่งที่โดดเด่นของการยกกระชับด้วย Ultherapy Prime คือผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน ผิวจะค่อย ๆ กระชับและแลดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยจะเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนภายใน 2-3 เดือนหลังทำ และสามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 1-2 ปี โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดหรือใช้เวลาพักฟื้นนาน เทคโนโลยีนี้จึงถือเป็นอีกก้าวสำคัญของเทคโนโลยีการยกกระชับผิว ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและลงตัว

 

ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime คืออะไร?

Ultherapy Prime คือเทคโนโลยีการยกกระชับผิวหน้าล่าสุดที่ถูกพัฒนาขึ้นจาก Ulthera SPT โดยยังคงใช้หลักการของ High-Intensity Focused Ultrasound (HIFU) หรือคลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูงที่มีความแม่นยำสูง ในการส่งพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นผิวชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า

 

จุดเด่นของ Ultherapy Prime ที่ทำให้โดดเด่นกว่าเดิม มีดังนี้

 

  • หน้าจอขนาดใหญ่และคมชัด 35% 

Ultherapy Prime มาพร้อมระบบแสดงผลอัลตราซาวนด์รุ่นใหม่ ที่ยกระดับประสบการณ์การมองเห็นด้วยหน้าจอขนาดใหญ่พิเศษ 35% พร้อมความคมชัดระดับ Full HD ช่วยให้แพทย์สามารถศึกษาโครงสร้างผิวได้อย่างละเอียด ทั้งในแง่ความลึกและมิติของชั้นผิวแต่ละระดับ

ด้วยภาพที่คมชัดเหนือระดับนี้ ทำให้การวินิจฉัยและวางแผนการรักษาทำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 

  • ระบบประมวลผลที่รวดเร็วและเสถียรขึ้น

Ultherapy Prime มาพร้อมกับระบบที่พัฒนาขึ้นให้มีประสิทธิภาพในการประมวลผลสูงขึ้นถึง 20% ช่วยให้การปล่อยพลังงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว แม่นยำ และต่อเนื่องยิ่งขึ้น ส่งผลให้ระยะเวลาในการทำหัตถการสั้นลง โดยยังคงรักษาคุณภาพของผลลัพธ์ไว้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

  • ดีไซน์ทันสมัยและใช้งานง่าย

ตัวเครื่องถูกออกแบบใหม่ให้มีดีไซน์ที่ทันสมัย ดูหรูหรา และใช้งานง่ายยิ่งขึ้น ขนาดเครื่องถูกปรับให้ เล็กลงกว่าเดิม ทำให้สามารถจัดวางและเคลื่อนย้ายได้สะดวก ออกแบบตามหลัก Ergonomics (สรีรศาสตร์) เพื่อรองรับการใช้งานที่ยาวนานของแพทย์ ลดความเมื่อยล้า และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

 

Ultherapy Prime ทำงานอย่างไร
Ultherapy Prime ทำงานอย่างไร

 

หลักการทำงานของยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime

  • ยกกระชับใบหน้าด้วยพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์

ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น 35% ช่วยให้แพทย์มองเห็นชั้นผิวหนังแบบเรียลไทม์ผ่านหน้าจออัลตราซาวนด์ได้ดีกว่าเดิม ทำให้พลังงานคลื่นเสียงถูกโฟกัสอย่างแม่นยำลงไปยังชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า โดยพลังงานที่ส่งลงไปจะทำให้ชั้น SMAS หดตัว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่

 

  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่

เมื่อพลังงานความร้อนถูกส่งไปยังชั้น SMAS จะเกิดจุดความร้อนเล็กๆ จำนวนมากในชั้นผิว

ความร้อนนี้จะกระตุ้นเซลล์ผิวหนังให้สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ตามธรรมชาติ

คอลลาเจนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่จะช่วยฟื้นฟูและยกกระชับผิวจากภายในสู่ภายนอก

 

  • ผลลัพธ์ที่แม่นยำและตรงจุด

ด้วยระบบประมวลผลที่เร็วขึ้น ทำให้พลังงานถูกควบคุมให้มีความเสถียรและแม่นยำตลอดการรักษา แพทย์สามารถกำหนดระดับความลึกและตำแหน่งที่พลังงานจะลงไปได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้ผิวยกกระชับและดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างชัดเจน โดยไม่กระทบกับชั้นผิวหนังส่วนอื่น

 

ข้อดีของการยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime 

  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างลึกถึงชั้น SMAS
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย UltherapyPrime ช่วยลดความเสี่ยงของการยิงพลังงานผิดตำแหน่ง
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลาย
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เป็นเทคโนโลยีที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล หรือรอยช้ำหลังทำ
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังทำทันที
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime ทำให้ผลลัพธ์ยกกระชับใบหน้าที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจนใหม่ ให้ผิวแน่นกระชับมากขึ้น
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime มีหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น 35% ช่วยให้แพทย์มองเห็นชั้นผิวได้แบบละเอียดมากขึ้น
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime มีระบบประมวลผลเร็วขึ้น 20% ใช้เวลาในการทำน้อยลง
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime ดีไซน์เครื่องทันสมัยขึ้น อำนวยความสะดวกต่อการใข้งานและการเคลื่อนย้าย

 

ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT คืออะไร?

Ulthera SPT เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าที่ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูง (High-Intensity Focused Ultrasound: HIFU) ในการส่งพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นผิวลึกที่เรียกว่า SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า

 

การทำงานของ Ulthera SPT เป็นการใช้เทคโนโลยี SPT (See-Plan-Treat) ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถ มองเห็นชั้นผิวแบบเรียลไทม์ (Real-Time) ผ่านหน้าจออัลตราซาวนด์ ทำให้สามารถวางแผนและกำหนดจุดปล่อยพลังงานได้อย่างแม่นยำในชั้นผิวที่ต้องการรักษา

 

หลักการทำงานของยกกระชับใบหน้า Ulthera SPT

หลักการทำงานของยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera มี 3 ขั้นตอนหลัก ดังนี้

 

  • ส่งพลังงานคลื่นเสียงเข้าสู่ชั้นผิวลึก

เทคโนโลยี Ulthera SPT ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ ที่มีความแม่นยำสูงในการส่งพลังงานความร้อนลงไปยังชั้นผิวหนังลึกที่เรียกว่า SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นผิวที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า พลังงานที่ปล่อยออกมาจะสร้างจุดความร้อนเล็กๆ ในชั้น SMAS ช่วยกระตุ้นการหดตัวของเส้นใยคอลลาเจนและทำให้ผิวกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

 

  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่

หลังจากส่งพลังงานลงไปยังชั้น SMAS จะเกิดจุดความร้อนที่มีขนาดและความลึกแม่นยำ ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ กระบวนการนี้จะฟื้นฟูผิวจากภายใน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น กระชับ และเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

  • ผลลัพธ์ที่แม่นยำตรงจุด

ด้วยเทคโนโลยี Real Time ใน Ulthera SPT แพทย์สามารถมองเห็นภาพชั้นผิวหนังได้แบบเรียลไทม์ขณะทำการรักษา ทำให้สามารถกำหนดตำแหน่ง ความลึก และความเข้มข้นของพลังงานได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการยกกระชับผิว ลดความเสี่ยงจากความคลาดเคลื่อน และมั่นใจได้ว่าพลังงานจะถูกส่งไปยังตำแหน่งที่ต้องการอย่างแม่นยำที่สุด

 

ข้อดีของการยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT

  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันปกติได้ทันที
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ที่มีความปลอดภัยสูง
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาจากสหรัฐอเมริกา
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT ใช้เทคโนโลยีแบบ Real Time ที่ช่วยให้แพทย์มองเห็นชั้นผิวและวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำ
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT ช่วยลดความเสี่ยงในการยิงพลังงานผิดจุด
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT ช่วยยกกระชับผิวได้นาน 1-2 ปี
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT สามารถใช้ได้กับทุกสีผิวและทุกสภาพผิว
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า 
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT ช่วยให้ใบหน้าเรียบเนียนและดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT เหมาะสำหรับคนที่ต้องการยกกระชับผิว แต่ไม่อยากเจ็บตัวหรือมีรอยแผล

 

Ulthera SPT VS Ultherapy Prime
Ulthera SPT VS Ultherapy Prime

 

ความแตกต่างระหว่างยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime vs Ulthera SPT

การเปรียบเทียบระหว่าง Ultherapy Prime และ Ulthera SPT มีความแตกต่างกัน ดังต่อไปนี้

 

1. เทคโนโลยี

Ultherapy Prime และ Ulthera SPT เป็นการยกกระชับใบหน้าที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกัน ด้วยการใช้พลังงานคลื่นเสียงความถี่สูงแบบ HIFU (High Intensity Focused Ultrasound) เพื่อยิงพลังงานลงลึกไปถึงชั้นผิว SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับการศัลยกรรมดึงหน้า 

แต่ Ulthera Prime เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มเติม โดยเพิ่มระบบการประมวลผลที่รวดเร็วมากขึ้น 20% มีหน้าจอใหญ่ขึ้น 35% ซึ่งช่วยให้การรักษามีความแม่นยำตรงจุดได้เฉพาะบุคคลมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงดีไซน์เครื่องที่ทันสมัย สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น

 

2. เทคโนโลยีการมองเห็นชั้นผิวที่ล้ำสมัย

 

ทั้ง Ultherapy Prime และ Ulthera SPT มาพร้อมกับระบบแสดงภาพชั้นผิวที่มีความละเอียดและคมชัดสูง ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นและวิเคราะห์โครงสร้างผิวในทุกชั้นได้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำและตรงจุด โดยการปรับระดับพลังงานและความลึกให้เหมาะสมกับลักษณะผิวเฉพาะของแต่ละบุคคล เพื่อให้การยกกระชับมีประสิทธิภาพสูงสุดและได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจในทุกขั้นตอนการรักษา

 

3. การวางแผนการรักษา

เทคโนโลยี Ultherapy Prime และ Ulthera SPT มอบความสามารถในการแสดงภาพชั้นผิวแบบเรียลไทม์อย่างคมชัด ช่วยให้แพทย์สามารถประเมินโครงสร้างผิว ระบุปัญหาเฉพาะจุด และเข้าใจความต้องการของผู้รับบริการได้อย่างละเอียด ส่งผลให้สามารถวางแผนการรักษา กำหนดตำแหน่ง ระดับความลึก และพลังงานที่เหมาะสมสำหรับแต่ละจุดได้อย่างแม่นยำ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการยกกระชับผิว

 

4. ความแม่นยำในการยิงพลังงาน

ทั้ง Ultherapy Prime และ Ulthera SPT มีความแม่นยำสูงขึ้น เนื่องจากมีระบบการมองเห็นชั้นผิวแบบ Real Time ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถวิเคราะห์โครงสร้างผิวและมองเห็นชั้นผิวหนังได้อย่างชัดเจนในระหว่างการรักษา ทำให้สามารถกำหนด ตำแหน่ง ความลึก และความเข้มข้นของพลังงาน ได้อย่างเหมาะสมและตรงจุด

 

นอกจากนี้ ระบบการควบคุมพลังงานยังถูกออกแบบมาให้ ปล่อยพลังงานอย่างสม่ำเสมอและเสถียรในทุกจุดที่ทำการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนลึกถึงชั้น SMAS อย่างเต็มประสิทธิภาพ

 

5. ผลลัพธ์ที่ได้รับ

Ultherapy Prime และ Ulthera SPT ช่วย ยกกระชับใบหน้า ลดเลือนริ้วรอย และ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิวหนัง อย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ผลลัพธ์ที่ เป็นธรรมชาติและสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น

 

6. ความรู้สึกระหว่างยกกระชับใบหน้า

Ultherapy Prime อาจมีความรู้สึกเจ็บน้อยลง เนื่องจากมีการประมวลผลระบบการทำงานมีความรวดเร็วขึ้น ทำให้ใช้ระยะเวลาในการทำที่น้อยลง ส่วน Ulthera SPT อาจจะมีความรู้สึกจี๊ด ๆ อุ่น ๆ ในระดับที่ทนไหวตรงบริเวณที่ทำการรักษา ซึ่งก่อนทำจะมีการทายาชา เพื่อลดความเจ็บในระหว่างการรักษา

 

Ultherapy Prime ยกกระชับที่ดีกว่าเดิม
Ultherapy Prime ยกกระชับที่ดีกว่าเดิม

 

ข้อดีของการยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime ที่เหนือกว่า Ulthera SPT

  • ความแม่นยำที่เหนือกว่า เพื่อผลลัพธ์การยกกระชับที่สมบูรณ์แบบ

Ultherapy Prime นำเสนอเทคโนโลยีการยกกระชับผิวที่ล้ำสมัย ด้วยระบบการแสดงภาพชั้นผิวแบบเรียลไทม์ที่มีความคมชัดและละเอียดมากขึ้น ช่วยให้แพทย์สามารถโฟกัสพลังงานได้อย่างแม่นยำในทุกจุดสำคัญ เช่น กรอบหน้า ร่องแก้ม และบริเวณใต้คาง ทำให้การยกกระชับเป็นไปอย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลอย่างครบถ้วน เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยั่งยืนกว่าเดิม

  • การวางแผนการรักษาที่ดีกว่า

การเห็นภาพชั้นผิวระหว่างทำยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime ทำให้แพทย์สามารถวางแผนการยิงพลังงานได้อย่างละเอียด และเหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

  • ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและคงนานกว่า

เนื่องจากความแม่นยำในการยิงพลังงานและผลลัพธ์ที่ได้จากการยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime จะเห็นได้ชัดเจนในระยะเวลาที่เร็วขึ้น และผลลัพธ์คงนานอย่างเป็นธรรมชาติ

  • ความสะดวกสบาย

เทคโนโลยียกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime ที่สามารถปรับพลังงานให้เหมาะสมกับแต่ละจุด ทำให้ผู้รับบริการรู้สึกเจ็บน้อยลง และมีความสบายมากขึ้นในระหว่างการทำยกกระชับ

 

ใครควรเลือกการยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime vs Ulthera SPT

ใครควรเลือกยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime?

  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เหมาะกับคนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป 
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณกรอบหน้า หางตา และแก้ม
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เหมาะกับคนที่มีปัญหาริ้วรอยร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และหางตาตก
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เหมาะกับคนที่ต้องการยกกระชับแบบไม่ต้องผ่าตัด
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เหมาะกับคนที่ต้องการป้องกันความหย่อนคล้อย
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เหมาะกับคนที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวสวย
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ที่เห็นผลได้ชัดเจน

 

ใครควรเลือกยกกระชับใบหน้า Ulthera SPT?

  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณ แก้ม หางตา และลำคอ
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT เหมาะกับคนที่มีปัญหาริ้วรอยร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ริ้วรอยรอบดวงตา ให้ดูตื้นขึ้น
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT เหมาะกับคนที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวสวย
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT เหมาะกับคนที่ต้องการกรอบหน้าคมชัด ยกกระชับมากขึ้น
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT เหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอิ่มฟู เต่งตึงมากขึ้น
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT เหมาะกับคนที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์แบบธรรมชาติ

 

ขั้นตอนการยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera Prime vs Ulthera SPT

 

การเตรียมตัวก่อนทำ Ulthera Prime vs Ulthera SPT

  • ก่อนยกกระชับใบหน้า ควรเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ที่มีความรู้ เพื่อประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษา
  • ก่อนยกกระชับใบหน้า ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว และยาที่กำลังรับประทานอยู่
  • ก่อนยกกระชับใบหน้า หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัด 1-2 สัปดาห์ก่อนทำ
  • ก่อนยกกระชับใบหน้า งดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ เรตินอล หรือ วิตามินซี อย่างน้อย 3-5 วันก่อนทำ
  • ก่อนยกกระชับใบหน้า หลีกเลี่ยงการขัดผิวหรือทำทรีตเมนต์
  • ก่อนยกกระชับใบหน้า งดทานยาแอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยาแก้อักเสบบางชนิด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • ก่อนยกกระชับใบหน้า งดอาหารเสริมหรือสมุนไพรบางชนิด เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา โสม หรือกระเทียม อย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • ก่อนยกกระชับใบหน้า งดแต่งหน้าในวันที่มาทำ เพื่อให้ผิวสะอาดพร้อมสำหรับการทำหัตถการ

 

ขั้นตอนการทำ Ulthera Prime vs Ulthera SPT

  1. ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวหน้าและปัญหา เพื่อกำหนดตำแหน่งที่ต้องการยกกระชับใบหน้า
  2. แพทย์หรือผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดบริเวณใบหน้าและลำคอ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  3. ทายาชาบริเวณที่ต้องการยกกระชับใบหน้า เพื่อลดความเจ็บขณะทำ
  4. แพทย์เริ่มใช้หัวเครื่องมือเพื่อส่งพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ลงไปสู่ชั้น SMAS ชั้นผิวสำหรับยกกระชับใบหน้าโดยเฉพาะ
  5. แพทย์จะทำการดูชั้นผิวผ่านหน้าจอการแสดงผลแบบเรียลไทม์ เพื่อปรับระดับพลังงานให้เหมาะสมในแต่ละจุด
  6. หลังจากการยกกระชับใบหน้า ผิวอาจมีรอยแดงหรือรู้สึกอุ่นเล็กน้อย นับเป็นอาการปกติและจะหายได้เองในไม่กี่ชั่วโมง
  7. แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังยกกระชับใบหน้า

 

การดูแลตัวเองหลังทำ Ulthera Prime vs Ulthera SPT

  • หลังยกกระชับใบหน้า งดออกกำลังกายหนัก ในช่วง 2-3 วันแรก
  • หลังยกกระชับใบหน้า งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่
  • หลังยกกระชับใบหน้า หลีกเลี่ยงการสัมผัสความร้อน อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
  • หลังยกกระชับใบหน้า หลีกเลี่ยงการกด นวด หรือขัดผิวหน้า ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
  • หลังยกกระชับใบหน้า หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ เรตินอล หรือสารเคมี อย่างน้อย 7 วันหลังทำ
  • หลังยกกระชับใบหน้า ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวให้มีความชุ่มชื้น
  • หลังยกกระชับใบหน้า ควรนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
  • หลังยกกระชับใบหน้า ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50+++ ทุกวัน เพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV

 

Ultherapy Prime กับ Ulthera SPT ต่างกันอย่างไร
Q&A รวมคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับ Ultherapy

 

รวมคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับ Ulthera Prime vs Ulthera SPT

  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime ดีกว่า Ulthera SPT ไหม?

ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime มีข้อได้เปรียบในเรื่องความแม่นยำ และการรักษาที่ตรงจุดมากขึ้น จึงให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ช่วยลดความรู้สึกไม่สบายระหว่างการทำ

 

  • การยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เจ็บน้อยกว่า Ulthera SPT ไหม?

เทคโนโลยียกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime ได้รับการพัฒนาให้ลดความรู้สึกเจ็บน้อยลง โดยการประมวลผลของระบบการทำงานที่รวดเร็วขึ้นถึง 20% ทำให้ช่วยลดระยะเวลาในการทำให้น้อยลง จึงอาจช่วยให้สามารถช่วยลดความเจ็บได้ด้วย

 

  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เห็นผลเร็วกว่า Ulthera SPT?

ผลลัพธ์ของการยกกระชับใบหน้าของทั้งสองเทคโนโลยีใช้ระยะเวลาเห็นผลใกล้เคียงกัน โดยผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ใน 2-3 เดือนหลังทำ

 

  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวหรือไม่?

Ultherapy Prime และ Ulthera SPTสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว เนื่องจากพลังงานอัลตราซาวนด์ไม่ทำลายชั้นผิวหนังด้านนอก ทำให้สามารถยกกระชับใบหน้าได้ดี

 

  • ต้องยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera Prime บ่อยแค่ไหน?

ผลลัพธ์ของการยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime สามารถอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตัวเองในแต่ละบุคคล

 

  • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera Prime สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม?

Ultherapy Prime สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ แต่ควรเว้นระยะเวลาในการทำ เช่น การฉีดโบหรือการฉีดฟิลเลอร์ ควรทำหลังยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้วางแผนการรักษาเพื่อลำดับการทำหัตถการให้เหมาะสมในแต่ละบุคคล

 

Ultherapy Prime vs Ulthera SPT เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ

Ultherapy Prime และ Ulthera SPT เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยโดยไม่ต้องผ่าตัด ทั้งสองเทคโนโลยีมีประสิทธิภาพสูงในการฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิว พร้อมยกกระชับให้ดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม Ultherapy Prime ถือเป็นเวอร์ชันที่ถูกพัฒนาให้ก้าวล้ำยิ่งขึ้นจาก Ulthera SPT โดยเน้นที่ความแม่นยำในการส่งพลังงานล้ำลึกถึงชั้นผิวที่ต้องการ มีระบบประมวลผลที่เร็วขึ้น ช่วยลดระยะเวลาในการรักษา และหน้าจออัลตราซาวนด์ที่ใหญ่ขึ้นถึง 35% พร้อมความคมชัดระดับ Full HD ทำให้การวิเคราะห์และวางแผนการรักษาในแต่ละจุดมีความละเอียดและแม่นยำยิ่งกว่าเดิม

ก่อนตัดสินใจ ควรปรึกษาแพทย์ผู้มีความรู้และประสบการณ์ เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมที่สุดกับความต้องการและสภาพผิว ในการยกกระชับด้วย Ultherapy Prime ไม่เพียงแต่จะช่วยยกกระชับใบหน้า แต่ยังช่วยเสริมความมั่นใจ และคืนความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้าได้อย่างยาวนาน

หน้าเด็ก ลดอายุผิว ทำอย่างไร หน้าเด็กต้องรับวันเด็ก 2025

ยกขบวนหน้าเด็ก

หน้าเด็ก ลดอายุผิว ทำอย่างไร

 

วันเด็กปีนี้! หน้าไม่ยอมแก่ง่าย ๆ เตรียมยกขบวนหน้าเด็ก ยกระดับความสวยให้ปังกว่าใคร เผยผิวใหม่ ดูอ่อนกว่าวัย เหมือนกดรีเซตอายุให้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง รมย์รวินท์คลินิก จัดมาให้แล้ว อัปเดต 4 หัตถการสตาฟหน้าเด็ก โกงอายุผิว ก้าวข้ามปัญหาริ้วรอย ร่องลึก ผิวหย่อนคล้อย และขาดความยืดหยุ่น ไม่ต้องทนหน้าแก่ก่อนวัยอีกต่อไป แต่จะมีหัตถการอะไรบ้างนั้น? บทความนี้รวบตึงมาให้แล้วค่ะ

 

ล็อกหน้าเด็ก เป๊ะทุกองศา
ล็อกหน้าเด็ก เป๊ะทุกองศา

ยกขบวนหน้าเด็ก ยกระดับความสวย เหนือกาลเวลา รับวันเด็ก 2025

 

หน้าแก่ก่อนวัย เกิดจากอะไร?

ปัญหาหน้าแก่ก่อนวัย เกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก โดยสาเหตุหลักที่ส่งผลให้หน้าแก่ก่อนวัย มีดังนี้

 

หน้าแก่ก่อนวัยจากปัจจัยภายใน

  • ผิวเสื่อมสภาพตามวัย

เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะเริ่มผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินลดลง ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น และไม่เกิดการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวหย่อนคล้อย และเหี่ยวย่นก่อนวัยนั่นเอง

  • อนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น 

การสะสมของอนุมูลอิสระ ทำให้ร่างกายไม่สามารถฟื้นฟู และซ่อมแซมตัวเองได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้เซลล์ผิวเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ทำให้ผิวหน้าขาดความกระชับ และขาดความยืดหยุ่น จนเกิดเป็นริ้วรอยได้ง่าย

  • สูญเสียไขมันใต้ผิวหนัง

อายุที่เพิ่มมากขึ้น ร่างกายจะค่อย ๆ สูญเสียไขมันใต้ผิวหนังไปตามกระบวนการธรรมชาติ เมื่อไขมันใต้ผิวหนังลดลง ผิวหนังก็จะขาดการพยุง ทำให้เกิดความหย่อนคล้อย ใบหน้าขาดความอิ่มฟู และดูแก่กว่าวัย

  • ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ในช่วงวัยหมดประจำเดือน ทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงลดลง ซึ่งส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน และเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าปกติ

 

หน้าแก่ก่อนวัยจากปัจจัยภายนอก

  • แสงแดด 

รังสี UV จากแสงแดด ถือเป็นศัตรูตัวร้ายของผิวหนัง โดยรังสี UV ในแสงแดดจะเข้าไปทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ชั้นผิว ทำให้เกิดปัญหาผิวตามมามากมาย ทั้งเกิดริ้วรอย จุดด่างดำ และผิวเหี่ยวย่นได้ง่าย

  • มลภาวะ

มลพิษ ฝุ่นละออง ควัน และสารเคมีในชีวิตประจำวัน สามารถกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระได้ ซึ่งเป็นตัวการในการทำร้ายเซลล์ผิว ทำให้ผิวอ่อนแอ และดูแก่กว่าวัย

  • สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

สารพิษในบุหรี่ และแอลกอฮอล์ อาจส่งผลกระทบต่อคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวสูญเสียน้ำ ขาดความชุ่มชื้น และเสื่อมสภาพเร็วขึ้นกว่าปกติ

  • นอนหลับไม่เพียงพอ

การนอนหลับไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายไม่สามารถหลั่ง Growth Hormone ออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่ง Growth Hormone มีบทบาทสำคัญในการซ่อมแซม และฟื้นฟูส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เมื่อนอนหลับไม่เพียงพอ ร่างกายจะหลั่ง Cortisol Hormone ออกมาแทน ส่งผลให้คอลลาเจนลดลง ผิวเกิดความหย่อนคล้อย ดูไม่สดใสได้

  • ดื่มน้ำไม่เพียงพอ

การดื่มน้ำน้อย หรือดื่มน้ำไม่เพียงพอ อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ และส่งผลเสียต่อสุขภาพผิวในระยะยาว ทำให้ผิวแห้งกร้าน ขาดความยืดหยุ่น และเกิดริ้วรอยได้ง่าย

  • ความเครียดสะสม

เมื่อมีความเครียด ร่างกายจะหลั่ง Cortisol Hormone ออกมามากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เซลล์ผิวเสื่อมสภาพเร็ว และผิวแก่ก่อนวัย อีกทั้ง ความเครียดยังสามารถสังเกตได้จากการแสดงสีหน้า หากมีความเครียดมาก คิ้วจะเริ่มขมวด และใบหน้าบึ้งตึง ซึ่งทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้อีกด้วย

  • แต่งหน้าหนัก 

การแต่งหน้าหนัก หรือแต่งหน้าบ่อย ๆ โดยไม่ปล่อยให้ผิวได้พัก อาจทำให้รูขุมขนอุดตัน และส่งผลเสียต่อสุขภาพผิวโดยรวมได้ อีกทั้ง การทำความสะอาดผิวหน้าแรง ๆ เช่น การใช้สำลีถูหน้า อาจทำให้เกิดการเสียดสี จนผิวเกิดริ้วรอยได้ง่าย

 

รวมมิตรโปรแกรมฮิต ล็อกหน้าเด็ก เป๊ะทุกองศา 

  • โปรแกรม Radiesse 

Radiesse คือ สารเติมเต็มที่ผลิตจาก Calcium Hydroxylapatite หรือ CaHA ซึ่งเป็นสารที่สามารถพบได้ในร่างกาย จึงมีความปลอดภัย ไม่ใช่สารแปลกปลอมใด ๆ โดย Radiesse มีคุณสมบัติพิเศษ ในการกระตุ้นการสร้างเส้นใยตาข่ายตรึงผิวใหม่ถึง 5 ประการ ได้แก่ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type 1,  กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type 3, กระตุ้นการสร้าง Elastin, กระตุ้นการสร้าง Proteoglycan และ กระตุ้นการสร้าง Angiogenesis เมื่อฉีด Radiesse เข้าไปยังผิวหนังแล้ว CaHA จะกระตุ้นการทำงานของ Fibroblasts ให้ผลิตคอลลาเจนใหม่มากขึ้น เพื่อเสริมความแข็งแรงให้ผิวถึงระดับโครงสร้าง ส่งผลให้ผิวดูเติมเต็ม หน้าเด็ก มีความอิ่มฟู และทำให้ร่องลึกต่าง ๆ ดูตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล

  • โปรแกรม Sculptra

Sculptra คือ สารกระตุ้นคอลลาเจนที่ผลิตจาก Poly-L-Lactic Acid หรือ PLLA ซึ่งเป็นสารแบบเดียวกับเส้นไหมที่แพทย์นำมาใช้ในการเย็บแผล อีกทั้ง ยังเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนตัวแรก และตัวเดียวที่ได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยาในสหรัฐอเมริกา (US FDA) โดย Sculptra มีคุณสมบัติพิเศษ ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type 1 มากถึง 66.5% เมื่อฉีด Sculptra เข้าสู่ผิวหน้าแล้ว PLLA จะไปกระตุ้นการทำงานของ Fibroblasts ที่อยู่ใต้ชั้นผิว ให้เกิดการรวมตัวกัน และผลิตคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างผิว และเสริมชั้นผิวให้แข็งแรง ส่งผลให้ผิวเกิดการยกกระชับ หน้าเด็กลง ผิวมีความหนาแน่น และยืดหยุ่นมากขึ้น สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล

  • โปรแกรม Ultherapy Prime

Ultherapy Prime คือ เทคโนโลยียกกระชับที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจาก Ulthera รุ่นเดิม โดย Ultherapy Prime มีการปรับปรุงประสิทธิภาพให้สูงขึ้น และมีความรวดเร็วขึ้นถึง 20% รวมถึง หน้าจอที่มีขนาดใหญ่ถึง 35% ทำให้แพทย์สามารถทำการรักษาได้อย่างสะดวกสบาย และมีความแม่นยำมากขึ้น ซึ่ง Ultherapy Prime จะส่งพลังงาน Micro-Focused Ultrasound ลงลึกเข้าสู่ชั้นผิวได้ถึง 3 ระดับ สามารถแก้ไขปัญหาครอบคลุมในทุกระดับชั้นผิว ตั้งแต่ 1.5 มม. สำหรับลดริ้วรอย กระชับรูขุมขนชั้นบน, 3.0 มม. สำหรับลดความหย่อนคล้อยของผิว และ 4.5 มม. สำหรับชั้น SMAS ยกกระชับผิว ทั้งแก้ม เหนียง ลำคอ ส่งผลให้ผิวแน่นกระชับ เต่งตึง และหน้าเด็ก ดูอ่อนกว่าวัยมากขึ้น สามารถคงผลลัพธ์ยาวนานถึง 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล

  • โปรแกรม Thermage FLX

Thermage FLX คือ เทคโนโลยียกกระชับ และสลายไขมัน โดยใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (Monopolar RF) ส่งพลังงานลงไปยังชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) ทำให้เกิดความร้อน และเกิดอาการสั่น Vibration ในชั้นผิวหนังแท้ และชั้นไขมัน จากนั้นคอลลาเจนจะเกิดการหดตัวลงทันที พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ทดแทน อีกทั้ง ความร้อนนี้ ยังเข้าไปสลายไขมันส่วนเกินในชั้นไขมัน โดยเฉพาะบริเวณแก้ม และเหนียง ส่งผลให้กรอบหน้าชัด ผิวเฟิร์มแน่น และลดเลือนริ้วรอยได้ สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 12 – 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล

 

อยากหน้าเด็ก ผิวสวยเหมือน 14 อีกครั้ง ต้องมาพิสูจน์ผลลัพธ์ที่ รมย์รวินท์คลินิกเท่านั้น ไม่ว่าจะมีปัญหาผิวหน้าแบบไหน โปรแกรม Radiesse, โปรแกรม Sculptra, โปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม Thermage FLX สามารถช่วยให้คุณมีผิวหน้าที่อ่อนกว่าวัย เปล่งปลั่ง และดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ที่ รมย์รวินท์คลินิก เรามีทีมแพทย์ที่มีความรู้ ความชำนาญเกี่ยวกับโครงสร้างผิวหน้า พร้อมให้การดูแล และให้คำปรึกษาปัญหาผิวแบบเฉพาะบุคคล เพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และปลอดภัยที่สุด

Coolsculpting Elite สยบไขมันด้วยความเย็น

Coolsculpting Elite สยบไขมันด้วยความเย็น

ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




    วันที่สะดวกในการติดต่อ








    Coolsculpting Elite ตัวช่วยสยบไขมันด้วยความเย็น ลดไขมันได้ดีจริงไหม?

     

    ในยุคที่ใครก็ต่างให้ความสำคัญกับการดูแลรูปร่าง ดูแลตัวเอง เพราะการมีรูปร่างที่ดีจะช่วยเพิ่มความมั่นใจได้อย่างมาก ซึ่งในปัจจุบันก็มีตัวช่วยเรื่องหุ่นอย่าง Coolsculpting Elite เทคโนโลยีลดไขมันด้วยความเย็น ที่จะมาช่วยลดไขมันและกระชับสัดส่วนเฉพาะจุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด

     

    Coolsculpting Elite ลดไขมันด้วยความเย็นคืออะไร
    Coolsculpting Elite ลดไขมันด้วยความเย็นคืออะไร

     

    Coolsculpting Elite ลดไขมัน ด้วยความเย็น คืออะไร?

    • ทำความรู้จักกับเทคโนโลยีที่จะช่วยสานฝันหุ่นสวยให้คุณได้อย่างรวดเร็ว Coolsculpting Elite คือ เทคโนโลยีลดไขมันด้วยความเย็นสัญชาติอเมริกา Coolsculpting Elite เป็นเครื่องที่พัฒนามาจาก Coolsculpting ซึ่งเป็นรุ่นเดิม โดยเพิ่มหัวแอปพลิเคเตอร์ (Applicator) ตัวใหม่รูปทรงตัว C เพิ่มทั้งหมด 3 หัว และปรับขนาดหัวแอปพลิเคเตอร์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่า 20% ออกแบบมาให้เหมาะกับสรีระของร่างกายหลาย ๆ จุด ทั้งยังสามารถทำงานพร้อมกันได้ทั้ง 2 จุดในเวลาเดียวกัน เพิ่มความสะดวก ประหยัดเวลา และยังเห็นผลได้ไวขึ้น
    • ซึ่ง Coolsculpting Elite เป็นเทคโนโลยีลดไขมันที่ได้รับความสนใจอย่างมากในตอนนี้ เนื่องจากสามารถลดไขมันได้ด้วยความเย็นจัด ที่เรียกว่า Cryolipolysis ที่ช่วยลดไขมันอุณหภูมิ -11 ถึง -13 องศา ทำให้เซลล์ไขมันตายและหายไป นอกจากนี้ Coolsculpting Elite ยังมีความปลอดภัย เพราะได้รับการรับรองจาก U.S. FDA หรือ อย. อเมริกาและได้รับรอง อย. ไทย มีงานวิจัยรองรับมากกว่า 120 ฉบับ ลดไขมันได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ทั้งยังให้ผลลัพธ์ที่ตรงใจ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ยกกระชับ ลดสัดส่วนให้ได้ตามที่ต้องการ

     

    หลักการทำงานของ Coolsculpting Elite

    • Coolsculpting Elite เป็นเครื่องที่ช่วยลดไขมันเฉพาะจุด จะทำงานโดยการปล่อยพลังงานความเย็นด้วย Cryolipolysis แบบเสถียรในช่วงอุณหภูมิ –11 ถึง –13 องศา ลงไปยังเซลล์ไขมันที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้เซลล์ไขมันนั้น ถูกผลึกให้เป็นน้ำแข็งแและถูกทำลาย เซลล์ไขมันจะตาย และถูกขับออกจากทางร่างกายผ่านกระบวนการขับของเสียตามธรรมชาติ จึงทำให้ Coolsculpting Elite สามารถลดไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพแบบยั่งยืน นอกจากนี้ Coolsculpting Elite ยังมีความปลอดภัย และสามารถยิงพลังงานได้อย่างเสถียร เนื่องจากมีระบบ Freeze Detect ที่ช่วยตัดความเย็นให้เหมาะสมกับผล ลดโอกาสผิวเบิร์น ป้องกันความเสี่ยงที่เนื้อเยื่อจะเกิดความเสียหายได้ ทั้งนี้ระบบ Freeze Detect ยังได้รับการจดสิทธิบัตรเฉพาะเครื่อง Coolsculpting Elite เท่านั้น

     

    ซึ่ง Coolsculpting Elite นั้นจะมีหัว Applicators อยู่ทั้งหมด 7 หัว ที่สามารถเลือกใช้ในตำแหน่งที่เหมาะสมได้ทั่วร่างกาย 

     

    Coolsculpting Elite มีกี่หัว แต่ละหัวแตกต่างกันไหม?

    ลดไขมันด้วยความเย็น แบบปลอดภัย ด้วย Coolsculpting Elite ดีไหม ? ต้องบอกก่อนว่าปัจจุบัน Coolsculpting Elite ได้มีการพัฒนาหัว Applicators ให้มีหลายขนาดมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้หลากหลายจุด โดยหัว Applicators ของ Coolsculpting Elite นั้นเป็นแบบ 2 IN 1 ซึ่งมีหัว 2 แบบ จึงสามารถทำได้ สามารถทำได้ 2 จุด พร้อมกันในเวลาเดียว ช่วยให้ประหยัดเวลาในการทำมากขึ้น และยังพัฒนาหัว Applicators ให้มีความใหญ่ขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มหน้าที่ในการทำงานของ Coolsculpting Elite ได้ครอบคลุมมากขึ้น ทำให้สามารถลดไขมันได้มากกว่า 20% และยังสามารถเข้าถึงไขมันได้หลายส่วนมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของ Coolsculpting Elite ได้เต็มที่มากขึ้น โดยหัว Applicators จะมีทั้งหมด 7 ไซส์ แต่ละหัวก็มีคุณสมบัติที่แตกต่าง และเหมาะกับแต่ละจุดแตกต่างกันไป ดังนี้

     

    • CoolAdvantage เป็นหัว Applicator ที่ได้รับความนิยมสูง เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมระดับปานกลาง สามารถทำได้หลายส่วน ไม่ว่าจะเป็น เอว หน้าอกผู้ชาย แขน บริเวณปีกหลัง ท้อง ต้นขาด้านใน และใต้ก้น 
    • CoolAdvantage Petite เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมน้อย โดยหัวนี้จะใช้ลดไขมันได้หลายจุด เช่น ท้อง หน้าอกผู้ชาย เอว แขน บริเวณปีกหลัง ต้นขาด้านใน และใต้ก้น 
    • CoolAdvantage Plus เป็นหัวที่มีขนาดใหญ่ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมที่เยอะ โดยจะใช้ลดไขมันบริเวณร่างกายที่มีพื้นที่เยอะ เช่น เอว ท้อง
    • CoolMini เป็นหัว Applicator ที่มีขนาดเล็กที่สุด จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันมันบริเวณเฉพาะจุด เช่น เหนียง เนื้อใต้รักแร้ หรือบริเวณนมน้อย หรือบริเวณที่เนื้อมีความย้วย
    • CoolSmooth Pro เป็นหัว Applicator เฉพาะที่ ใช้สำหรับลดไขมันบริเวณขาด้านนอก และบริเวณใต้สะโพกลงมา ทั้งยังสามารถใช้ทำซิกแพ็คบริเวณหน้าท้องได้

     

    หัว Applicators ตัวใหม่ของ Coolsculpting Elite นั้นจะแบ่งออกเป็น 3 Series ซึ่งแต่ละ Series นั้นก็มีคุณสมบัติ และความโดดเด่นที่แตกต่างกันไป ดังนี้

     

    • Curve Series เป็นหัว Applicator ที่มาใหม่ของ Coolsculpting Elite เหมาะกับบริเวณส่วนโค้งเว้าของร่างกาย โดยแบ่งออกเป็น

    หัว Curve 80 ช่วยลดไขมันโดยเฉพาะ ในบริเวณที่มีพื้นที่แคบ เช่น คาง หรือเหนียง เหนือหัวเข่า และนมน้อย

    หัว Curve 120 ช่วยลดไขมันบริเวณที่มีพื้นกว้างปานกลาง เช่น ต้นขาด้านใน หน้าท้อง และเอว

    หัว Curve 150 ช่วยลดไขมันบริเวณที่มีพื้นที่กว้าง เช่น บริเวณหน้าท้อง และบั้นท้าย

    หัว Curve 240 ช่วยลดไขมันส่วนเกินของผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมเยอะ ทั้งยังช่วยยกกระชับผิวให้ได้สัดส่วนมากขึ้น

    • Flat Series เป็นหัว Applicator ที่มาใหม่ของ Coolsculpting Elite มีความแบนจึงเหมาะสำหรับบริเวณผิวที่เรียบแบน โดยแบ่งออกเป็น

    หัว Flat 125 ช่วยลดไขมันส่วนเกินในบริเวณต้นขาด้านใน และบริเวณต้นแขน

    หัว Flat 165 ช่วยลดไขมันส่วนเกินในบริเวณหน้าท้องส่วนบน และหน้าท้องส่วนล่าง

    • Surface 150 ป็นหัว Applicator ที่มาใหม่ของ Coolsculpting Elite เหมาะสำหรับบริเวณที่หัวอื่น ๆ ไม่สามารถหนีบได้ เช่น บริเวณหน้าท้อง และต้นขาด้านนอก ช่วยลดไขมันส่วนเกินได้

     

    Coolsculpting Elite ช่วยอะไรบ้าง
    Coolsculpting Elite ช่วยอะไรบ้าง

     

    Coolsculpting Elite ช่วยอะไรบ้าง ?

    Coolsculpting Elite ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? เป็นอีกหนึ่งคำถามยอดฮิตที่หลาย ๆ คนกำลังสงสัย ซึ่ง Coolsculpting Elite นั้นสามารถช่วยลดไขมันในร่างกายได้หลายจุด ดังนี้

    • Coolsculpting Elite ช่วยลดไขมันต้นแขน แก้ปัญหาต้นแขนใหญ่ แขนไม่กระชับ แขนย้วย
    • Coolsculpting Elite ช่วยลดไขมันต้นขา แก้ปัญหาต้นแขนขาใหญ่ ไม่กระชับ หรือปัญหาขาเบียด
    • Coolsculpting Elite ช่วยลดไขมันหน้าท้อง แก้ปัญหาหน้าท้องไม่แบนราบ หรืออ้วนลงพุง  
    • Coolsculpting Eliteช่วยลดไขมันบริเวณรอบ ๆ เอว หรือเอวห่วงยาง ช่วยกระชับเอวให้ได้สัดส่วน
    • Coolsculpting Elite ช่วยลดไขมันบริเวณสะโพก และบริเวณก้น แก้ปัญหาสะโพกใหญ่ มีความย้วย ลดไขมันใต้ก้น ให้กระชับได้สัดส่วนขึ้น

    ขั้นตอนการทำ Coolsculpting Elite

    การทำ Coolsculpting Elite สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องมีขั้นตอนเยอะ เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อลดไขมันด้วยความเย็นจัดโดยเฉพาะ ทำให้มีความปลอดภัย สะดวกสบาย และประหยัดเวลา ซึ่งขั้นตอนของ Coolsculpting Elite มีดังนี้

     

    • ก่อนเริ่มทำ Coolsculpting Elite ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อให้เข้าใจถึงปัญหา ความกังวลของคนไข้ และทางแพทย์จะได้วางแผนการรักษาด้วยเครื่อง Coolsculpting Elite ได้ถูกต้องและตรงจุด 
    • แพทย์เลือกใช้หัว Applicator ตามตำแหน่งร่างกายที่ต้องการรักษา โดยแพทย์จะออกแบบการวางหัว Applicator บนผิวหนังตามสรีระร่างกาย จากนั้นจะเริ่มทำการรักษา
    • ขั้นตอนการรักษา แพทย์จะเริ่มวางหัว Applicator ในจุดที่ต้องการ จากนั้นจะทำการปล่อยพลังงานความเย็นเข้าไปที่ชั้นเซลล์ไขมันประมาณ 35 นาที
    • จากนั้นแพทย์จะทำการนวดก้อนไขมันเป็นเวลา 2 นาที เพื่อให้ก้อนไขมันนั้นแตกออกจากกัน และทำให้ไขมันสลายได้ดียิ่งขึ้น ผลลัพธ์จะเห็นได้ชัดขึ้น
    • เมื่อทำการรักษาเสร็จเรียบร้อย แพทย์จะทำการแนะนำวิธีดูแลตัวเองหลังทำ Coolsculpting Elite อย่างละเอียด จากนั้นจะทำการนัดหมายเพื่อมาติดตามผลอีกครั้ง แพทย์แนะนำวิธีดูแลตัวเองหลังทำอย่างใกล้ชิด และอาจมีการนัดหมายติดตามผลอย่างต่อเนื่อง

     

    การดูแลตัวเองหลังการทำ Coolsculpting Elite

    หลังลดไขมันด้วย Coolsculpting Elite ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยในช่วงแรกหลังทำ อาจจะรู้สึกถึงความปวด หรือชา ในบริเวณที่รักษาได้ แต่เป็นเพียงอาการชั่วคราวที่หายได้  ซึ่งวิธีดูแลตัวเองหลังทำ Coolsculpting Elite มีดังนี้

    • ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่สบายในช่วงแรก เพื่อช่วยลดการระคายเคืองในบริเวณที่ทำการรักษาด้วย Coolsculpting Elite
    • ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยสร้างกล้ามเนื้อ และช่วยเรื่องระบบเผาผลาญในร่างกายให้ทำงานได้ดีขึ้น โดยควรเริ่มออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การเดิน วิ่ง หรือเล่นโยคะ
    • ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ โปรตีนไขมันต่ำ และธัญพืชไม่ขัดสี
    • ควรหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป ของทอด น้ำตาล และเครื่องดื่มที่มีแคลอรีสูง เช่น น้ำอัดลม และแอลกอฮอล์ ที่อาจจะทำให้เกิดไขมันส่วนเกินในร่างกายได้
    • ควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อช่วยให้ร่างกายขับของเสียออก และช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น
    • หลีกเลี่ยงการนวด หรือกดแรง ๆ บริเวณที่ทำการรักษาในช่วงสัปดาห์แรก
    • หากมีอาการผิดปกติ เช่น บวม แดง หรือปวดบริเวณที่ทำการรักษาอย่างรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ทันที
    • เข้าพบแพทย์เพื่อติดตามอาการหลังทำ 

     

    Coolsculpting Elite เหมาะกับใคร
    Coolsculpting Elite เหมาะกับใคร

     

    Coolsculpting Elite ลดไขมัน เหมาะกับใคร

    • Coolsculpting Elite เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันน้อยถึงปานกลาง มีค่าดัชนีมวลหรือค่า BMI<35
    • Coolsculpting Elite เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดสัดส่วนให้มีความกระชับ
    • Coolsculpting Elite เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสม มีไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดตามร่างกาย เช่น หน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน เหนียง
    • Coolsculpting Elite เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหุ่นสวยแบบเร่งด่วน อยากได้หุ่นที่ต้องการ
    • Coolsculpting Elite เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ไม่มีเวลาควบคุมอาหาร
    • Coolsculpting Elite เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่อยากพักฟื้นนาน
    • Coolsculpting Elite เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด 

     

    Coolsculpting Elite ไม่เหมาะกับใคร

    • Coolsculpting Elite ไม่เหมาะกับ ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับความเย็น เช่น โรคภูมิแพ้ความเย็น (Cold Urticaria) หรือโรคเลือดผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับความเย็น (Cryoglobulinemia, Paroxysmal Cold Hemoglobinuria)
    • Coolsculpting Elite ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหนังรุนแรงในบริเวณที่ต้องการทำ เช่น มีแผลเปิด การติดเชื้อ หรือปัญหาผิวอื่น ๆ ที่อาจทำให้การรักษาไม่ปลอดภัย
    • Coolsculpting Elite ไม่เหมาะกับ สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร เนื่องจากหลังทำ Coolsculpting Elite อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้
    • Coolsculpting Elite ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาก Coolsculpting Elite ไม่ใช่วิธีลดน้ำหนัก แต่เหมาะสำหรับการปรับรูปร่างและกำจัดไขมันเฉพาะจุด
    • Coolsculpting Elite ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีภาวะสุขภาพไม่เหมาะสม เช่น โรคร้ายแรงที่ยังไม่ได้รับการรักษา หรือผู้ที่แพทย์ประเมินว่าไม่เหมาะสมกับการทำหัตถการนี้
    • Coolsculpting Elite ไม่เหมาะกับ ผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เกินจริง ควรเข้าใจว่า Coolsculpting Elite ช่วยลดไขมันเฉพาะจุด แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ในทันที หรือลดน้ำหนักได้ทันที

     

    ข้อดีของการทำ Coolsculpting Elite ลดไขมันด้วยความเย็น

    • Coolsculpting Elite เป็นเทคโนโลยีลดไขมันด้วยความเย็น ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้เข็ม มีความปลอดภัย พักฟื้นน้อย สามารถใช้ชีวิตปกติได้เลยหลังทำ
    • Coolsculpting Elite ช่วยลดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดได้ และช่วยแก้ปัญหาเซลลูไลท์ได้หลายบริเวณในร่างกาย 
    • Coolsculpting Elite ช่วยกำจัดเซลล์ไขมัน พร้อมกระชับสัดส่วนให้มีความสวยงาม ได้หุ่นที่สวยตามต้องการ
    • Coolsculpting Elite เป็นเทคโนโลยีลดไขมันที่มีงานวิจัยทางการแพทย์รองรับมากกว่า 120 ฉบับ
    • Coolsculpting Elite ได้รับการรับรองว่าผ่านการทดสอบและรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จากไทยและต่างประเทศ จึงมั่นใจได้ว่าปลอดภัยต่อผู้ใช้
    • Coolsculpting Elite เป็นการลดไขมันด้วยเทคโนโลยีความเย็น ที่ใช้เวลาไม่นาน มีขั้นตอนที่สะดวก ไม่ยุ่งยาก สามารถเห็นผลได้ไว

     

    ความรู้สึกระหว่างที่ทำ Coolsculpting Elite

    สำหรับผู้ที่มีความสนใจอยากลองลดไขมันด้วยเครื่อง Coolsculpting Elite แต่ยังกังวลว่าจะมีความเจ็บปวดไหม? หรือมีความรู้สึกอย่างไรระหว่างทำ โดยทั่วไปแล้ว การลดไขมันด้วยเครื่อง Coolsculpting Elite จะใช้เทคโนโลยีความเย็นในการฟรีซเซลล์ไขมันให้ตาย ซึ่งอาจจะทำให้บริเวณที่ทำการรักษานั้นรู้สึกตึง ๆ เย็น ๆ มีความชา หรืออาจจะมีอาการปวดร่วมด้วยเล็กน้อย และหลังจากทำ Coolsculpting Elite เสร็จแล้วอาการดังกล่าวจะค่อย ๆ ดีขึ้น และหายไปตามลำดับ

     

    ผลลัพธ์หลังทำ Coolsculpting Elite

    • หลังทำ Coolsculpting Elite สามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรก โดยหลังทำ Coolsculpting Elite จะสามารถลดไขมันได้ถึง 27–31% ของไขมันทั้งหมดในบริเวณที่ทำการรักษา
    • หลังทำ Coolsculpting Elite จะสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นภายใน 2–3 เดือน หลังทำการรักษา และผลลัพธ์สามารถอยู่ได้ยาวนานขึ้น หากมีการควบคุมน้ำหนักที่ดี
    • แนะนำให้ทำการรักษาด้วย Coolsculpting Elite อย่างต่อเนื่อง เพื่อคงผลลัพธ์และกำจัดไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • ผลลัพธ์ในการทำ Coolsculpting Elite นั้นจะขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันและปัญหา ความกังวล ของแต่ละบุคคล

     

    ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังทำ Coolsculpting Elite

    หลังการทำ Coolsculpting Elite ลดไขมัน อาจจะเกิดผลข้างเคียงที่เกิดจากขั้นตอนระหว่างทำได้ โดยผลข้างเคียงที่อาจะเกิดได้หลังทำ Coolsculpting Elite นั้นก็อาจมีหลายอาการ ไม่ว่าจะเป็น

    • ผลข้างเคียงหลังทำ Coolsculpting Elite อาจมีอาการบวม แดง ตึง ผิวบริเวณที่ทำมีการเปลี่ยนสีชั่วคราว หรือเกิดรอยฟกช้ำในบริเวณที่ทำการรักษา
    • ผลข้างเคียงหลังทำ Coolsculpting Elite ในช่วง 1–2 สัปดาห์แรก อาจรู้สึกเจ็บ ชา คัน หรือมีรอยแดงและบวมในบริเวณที่ทำการรักษา

    แต่อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ หายไปหลังจากทำประมาณ 1-2 สัปดาห์ และจะเริ่มเห็นว่าสัดส่วนและไขมันในร่างกายลดลงภายใน 2–3 เดือนหลังการทำ หากพบว่ายังมีอาการข้างเคียงที่ยังไม่หาย หรือมีอาการอื่น ๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมานั้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ทันที

     

    Coolsculpting Elite ทำที่ไหนดี
    Coolsculpting Elite ทำที่ไหนดี

     

    Coolsculpting Elite ต่างกับ Coolsculpting รุ่นเดิมอย่างไร ?

    ไขข้อสงสัย Coolsculpting Elite กับ Coolsculpting รุ่นเดิม มีความแตกต่างกันอย่างไร? และควรเลือกทำเครื่องไหนดี? วันนี้เรามีคำตอบ 

     

    Coolsculpting รุ่นเดิม

    • Coolsculpting รุ่นเดิม มีจำนวนหัว Applicator 5 หัว
    • Coolsculpting รุ่นเดิม สามารถทำได้ทีละหัว 
    • Coolsculpting รุ่นเดิม มีความเจ็บน้อย เนื่องจากใช้หัว Applicator แบบสุญญากาศ
    • Coolsculpting รุ่นเดิม สามารถลดไขมันได้ดี และให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน
    • Coolsculpting รุ่นเดิม เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันไม่เยอะมาก และต้องการลดไขมันในราคาที่คุ้มค่า
    • Coolsculpting รุ่นเดิม มีราคาที่ประหยัดกว่า
    • Coolsculpting รุ่นเดิม มีความเสถียรในการปล่อยพลังงานเนื่องจากปล่อยพลังงานเพียงหัวเดียว

     

    Coolsculpting Elite

    • Coolsculpting Elite มีจำนวนหัว Applicator 7 หัว
    • Coolsculpting Elite สามารถทำหลายหัวพร้อมกันได้ในครั้งเดียว 
    • Coolsculpting Elite สามารถปรับการใช้งานให้สะดวกได้ยิ่งขึ้น
    • Coolsculpting Elite สามารถลดไขมันได้ดีและผลลัพธ์ยาวนานเหมือนกัน
    • Coolsculpting Elite เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมันเร็วขึ้น และต้องการความสะดวกสบายยิ่งขึ้น
    • Coolsculpting Elite มีราคาที่สูงกว่า

     

    Coolsculpting Elite กับ การผ่าตัดดูดไขมัน ต่างกันอย่างไร ?

    ใครที่กำลังมีข้อสงสัยว่าแล้ว Coolsculpting Elite กับ ดูดไขมัน ต่างกันอย่างไร ? เลือกทำแบบไหนดี ? วันนี้เราจะมาอธิบายเกี่ยวกับข้อสงสัย สำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมัน และอยากได้ทางเลือกที่ดีที่สุด และตอบโจทย์กับปัญหาได้มากที่สุด ซึ่งความแตกต่างระหว่างการทำ Coolsculpting Elite กับการดูดไขมัน มีดังนี้

     

    Coolsculpting Elite

    • Coolsculpting Elite ใช้เทคโนโลยีความเย็น Cryolipolysis ที่ช่วยลดไขมันในอุณหภูมิ -11 ถึง -13 องศา เพื่อทำลายเซลล์ไขมันแบบไม่ต้องผ่าตัด และร่างกายจะกำจัดเซลล์ไขมันออกเองตามธรรมชาติ สามารถทำได้หลายส่วนบนร่างกาย
    • Coolsculpting Elite เหมาะกับคนที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด หรือมี BMI<35  
    • Coolsculpting Elite เป็นการใช้เครื่อง ไม่ใช่การผ่าตัด จึงไม่มีการวางยาสลบ และไม่มีแผล
    • Coolsculpting Elite มีความเสี่ยงต่ำ มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากเครื่องผ่านการรับรองอย. ทั้งไทย และต่างประเทศ
    • Coolsculpting Elite หลังทำอาจมีอาการปวดระบม หรือบวมในจุดที่เซลล์ไขมันตายและค้างอยู่ ซึ่งผลข้างเคียงจะหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์
    • Coolsculpting Elite หลังทำไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
    • Coolsculpting Elite จะค่อย ๆ เริ่มเห็นผลลัพธ์ใน 3-4 สัปดาห์ และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเต็มที่ใน 3 เดือน
    • Coolsculpting Elite มีค่าใช้จ่ายต่อครั้งที่อาจจะต่ำกว่าการดูดไขมัน แต่ต้องเข้ามาทำซ้ำ ในบางกรณีเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

     

    การผ่าตัดดูดไขมัน

    • การผ่าตัดดูดไขมัน เป็นวิธีการผ่าตัดที่ใช้เครื่องมือเฉพาะในการดูดเซลล์ไขมันออกจากร่างกายโดยตรงและทันที ช่วยปรับรูปร่างและลดสัดส่วนได้อย่างรวดเร็ว และต้องดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
    • การผ่าตัดดูดไขมัน เหมาะกับคนที่มีปริมาณไขมันเยอะ หรือมี BMI>35
    • การผ่าตัดดูดไขมัน เป็นการผ่าตัดที่ช่วยปรับรูปร่างและลดสัดส่วนได้อย่างรวดเร็ว สามารถทำได้หลายส่วนบนร่างกาย
    • การผ่าตัดดูดไขมัน หลังทำผิวบริเวณที่ทำอาจมีอาการเจ็บบวม ฟกช้ำ ผิวเป็นคลื่นไม่เรียบเนียน
    • การผ่าตัดดูดไขมัน อาจมีความเสี่ยงจากการผ่าตัดได้ เช่น การติดเชื้อ หรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาชา
    • การผ่าตัดดูดไขมัน อาจต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนานถึง 1-2 เดือน ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันที่ดูดออก
    • การผ่าตัดดูดไขมัน จะเห็นผลลัพธ์เต็มที่ประมาณ 3-4 เดือน หลังทำ
    • การผ่าตัดดูดไขมัน มีค่าใช้จ่ายต่อครั้งที่สูงกว่า แต่ทำเพียงครั้งเดียวก็สามารถแก้ปัญหาไขมันส่วนเกินได้

     

    สำหรับใครที่เลือกไม่ได้ว่า ดูดไขมัน กับ Coolsculpting Elite ทำอันไหนดี แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินสัดส่วน วิเคราะห์ปัญหา และวางแผนการแก้ไขให้ตรงจุด เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดดูดไขมัน หรือ การใช้เครื่องลดไขมัน Coolsculpting Elite หากต้องการผลลัพธ์ในระยะยาว และถาวร ควรควบคุมอาหาร และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตร่วมด้วย

     

    ทำ Coolsculpting Elite ที่ไหนดี ?

     

    หากต้องการที่จะทำ Coolsculpting Elite ลดไขมันด้วยความเย็นนั้น ต้องศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่รักษาให้ดี เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี การเลือกคลินิก ทำ Coolsculpting Elite ที่ไหนดี ? นั้นสำคัญมาก ซึ่งมีวิธีเลือก ดังนี้

    • ตรวจสอบว่าคลินิกมีใบอนุญาตประกอบกิจการที่ถูกต้อง และผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข
    • เครื่อง Coolsculpting Elite  ต้องเป็นของแท้ที่สามารถตรวจสอบได้ เพื่อความปลอดภัย และเพื่อผลลัพธ์ที่ดีในการรักษา
    • คลินิกมีความสะอาดและมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน
    • เลือกคลินิกที่ทำการรักษาโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการใช้เครื่อง Coolsculpting Elite และมีความเชี่ยวชาญด้านการปรับสัดส่วนร่างกาย
    • แพทย์สามารถให้คำปรึกษาและแนะนำได้อย่างละเอียด เกี่ยวกับกระบวนการการรักษาด้วย Coolsculpting Elite และผลลัพธ์ที่คุณคาดหวัง
    • ควรหาข้อมูลเกี่ยวกับรีวิว Coolsculpting Elite หรือประสบการณ์จากผู้ที่เคยใช้บริการที่คลินิกนั้น เพื่อดูว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร
    • ควรเลือกคลินิกที่มีราคา Coolsculpting Elite ไม่ต่ำหรือสูงเกินไป เมื่อเทียบกับคุณภาพบริการ และมาตรฐานของสถานที่
    • ควรระวังโปรโมชั่นที่ราคาถูกมากเกินไป เพราะอาจเป็นเครื่องมือ Coolsculpting Elite ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือเป็นเครื่องปลอมได้

     

    Coolsculpting Elite ต้องทำกี่ครั้ง ?

    การลดไขมันด้วย Coolsculpting Elite จะต้องทำกี่ครั้งถึงเห็นผล ? ในการทำ Coolsculpting Elite นั้นแพทย์จะทำการสอบถามถึงปัญหาและความกังวลใจของคนไข้ ว่าต้องการลดไขมันในจุดไหน และต้องทำกี่ครั้งถึงจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน โดยทั้งนี้ระยะเวลาในการทำ และจำนวนครั้งในการทำ Coolsculpting Elite จะขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันของคนไข้ โดยปกติแล้ว Coolsculpting Elite สามารถกลับมาทำซ้ำได้ทุก ๆ 4-6 สัปดาห์ เนื่องจากเป็นเครื่องลดไขมันที่ไม่ต้องพักฟื้น ไม่เจ็บ และขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์

     

    Coolsculpting Elite ราคาเท่าไหร่ ?

    ราคาของ Coolsculpting Elite ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการทำและโปรโมชั่นของแต่ละคลินิก โดยก่อนเริ่มทำ แพทย์จะประเมินและวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับความต้องการ และงบประมาณของแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในราคาที่เหมาะสม

     

    สำหรับใครที่อยากจะลดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด Coolsculpting Elite ลดไขมันด้วยความเย็น เรียกได้ว่าเป็นเครื่องที่ตอบโจทย์อย่างมากในตอนนี้ ช่วยแก้ปัญหารูปร่างได้อย่างตรงจุด ซึ่งทาง รมย์รวินท์คลินิก ก็พร้อมให้บริการแล้วทุกสาขา สามารถเข้ามาสอบถาม และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับ Coolsculpting Elite ได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ได้ทุกสาขา

    โบกระชับรูขุมขน ฟื้นฟูใบหน้าเรียบเนียน กระชับรูขุมขนกว้าง

    ฉีดโบกระชับรูขุมขน

    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




      วันที่สะดวกในการติดต่อ








      โบกระชับรูขุมขน ฟื้นฟูใบหน้าเรียบเนียน เผยผิวใส กระชับรูขุมขนกว้าง

      ปัญหารูขุมขนกว้าง เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่สร้างความกังวลใจให้กับหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะส่งผลต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน การแต่งหน้า และการดูแลผิวพรรณ ซึ่งการมีรูขุมขนกว้างทำให้ผิวหน้าดูขรุขระ ไม่เรียบเนียน และอาจทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น 

       

      ด้วยสาเหตุเหล่านี้ จึงมีผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการแก้ไขปัญหารูขุมขนกว้าง หนึ่งในวิธีการที่ได้รับความนิยมและให้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจก็คือ “การฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง” ซึ่งเป็นวิธีการทางการแพทย์ที่ช่วยให้รูขุมขนเล็กลง ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น และดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น

       

      วันนี้รมย์รวินท์คลินิกจะมาแนะนำเรื่องของโบกระชับรูขุมขนกว้างว่ามีหลักการทำงานอย่างไร วิธีเลือกยี่ห้อควรเลือกแบบไหนดี รวมไปถึงการดูแลตัวเองก่อนและหลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกทำหัตถการนี้ 

       

      ทำความรู้จักกับโบกระชับรูขุมขนกว้าง

      วิธีที่จะช่วยทำให้รูขุมขนเกิดความกระชับขึ้น ปรับผิวหน้าให้มีความเรียบเนียนได้ด้วยการฉีดสารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นสารที่สกัดมาจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม (Clostridium) ในปัจจุบันสารตัวนี้ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในวงการความงาม ใช้เพื่อการปรับรูปหน้า ลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า ปรับผิวให้อ่อนเยาว์ขึ้น โดยวิธีการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง จะฉีดเข้าไปยังบริเวณในจุดกล้ามเนื้อและต่อมไขมัน ทำให้ผิวส่วนนั้นมีความกระชับมากขึ้น ส่งผลให้รูขุมขนหดตัวและแคบลง

       

      สาเหตุของปัญหารูขุมขนกว้าง
      สาเหตุของปัญหารูขุมขนกว้าง

       

      สาเหตุของปัญหารูขุมขนกว้าง

      ปัญหารูขุมขนกว้าง เป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย สาเหตุของปัญหานี้มีหลากหลายปัจจัย เกิดได้จากปัจจัยภายในร่างกายและปัจจัยภายนอกที่เราสัมผัสในชีวิตประจำวัน ซึ่งสาเหตุหลักของปัญหารูขุมขนกว้าง ดังนี้

      • พันธุกรรม : การมีรูขุมขนกว้างจากพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากครอบครัวจะมีลักษณะรูขุมขนที่ใหญ่และชัดกว่าคนปกติทั่วไป เป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้
      • อายุที่เพิ่มมากขึ้น : เมื่ออายุของคนเราเพิ่มมากขึ้น ผิวหนังจะสูญเสียความยืดหยุ่น คอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้รูขุมขนบนผิวหน้าขยายตัวกว้างขึ้นได้
      • ระดับของฮอร์โมนที่มากเกินไป : ฮอร์โมนในร่างกายเป็นตัวการสำคัญในการกระตุ้นต่อมไขมันให้มากขึ้น ส่งผลให้เกิดการสร้างนำมันบนผิวที่มากกว่าปกติ ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนได้ง่ายกว่าปกติ
      • การผิวอักเสบของผิว : การเกิดสิวหรือการอักเสบของผิวที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จะทำให้รูขุมขนขยายตัวกว้างขึ้นและอาจเกิดรอยแผลเป็นจากสิวได้อีกด้วย
      • การดูแลผิวไม่ถูกวิธี : การล้างหน้าบ่อยจนเกินไป การใช้ผลิตภัณฑ์สครับใบหน้า หรือการขัดผิวหน้าแรงเกินไป อาจทำให้เกิดผิวระคายเคืองและรูขุมขนขยายตัว
      • แสงแดด : แสงแดดเป็นตัวการสำคัญที่ทำร้ายผิวให้ทรุดโทรมได้ง่าย นอกจากนี้เมื่อร่างกายโดนความร้อนจากแสงแดด จะทำให้เกิดการสร้างน้ำมันบนผิวหน้าที่มากขึ้น จนทำให้รูขุมขนกว้างและเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้
      • มลภาวะ : ในชีวิตประจำวัน ผิวต้องเผชิญกับมลภาวะต่าง ๆ เช่น ฝุ่นละออง PM2.5 ควัน และสิ่งสกปรก ที่ลอยอยู่ในอากาศ สิ่งสกปรกเหล่านี้จะสะสมและอุดตันอยู่ในรูขุมขน ส่งผลให้รูขุมขนขยายตัวกว้างมากขึ้น 
      • การใช้เครื่องสำอางไม่เหมาะสม : การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือสารเคมีที่รุนแรง อาจทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขนและทำให้รูขุมขนกว้างขึ้น
      • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน : ในช่วงวัยรุ่น หรือช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น การมีประจำเดือน หรือการตั้งครรภ์ อาจทำให้เกิดการผลิตน้ำมันบนผิวหน้าเพิ่มขึ้นและรูขุมขนกว้างขึ้น
      • พฤติกรรมการใช้ชีวิต : พฤติกรรมที่ทำในชีวิตประจำวัน เช่น การนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ ล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพผิวและทำให้เกิดปัญหารูขุมขนกว้างได้
      • โรคบางชนิด : โรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังอักเสบ อาจทำให้รูขุมขนขยายตัวได้ 

       

      ฉีดโบกระชับรูขุมขนทำงานอย่างไร
      ฉีดโบกระชับรูขุมขนทำงานอย่างไร

       

      โบกระชับรูขุมขนกว้าง ทำงานอย่างไร?

      หลักการทำงานของการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง คือการฉีดตัวยาที่เป็นสารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเข้าไปในบริเวณส่วนกล้ามเนื้อและต่อมไขมัน เพื่อให้ตัวยาถูกดูดซึมเข้าไปที่เซลล์ประสาท ทำให้บริเวณดังกล่าวทำงานได้ลดน้อยลงแบบชั่วคราว รูขุมขนจะค่อย ๆ หดตัวลง ส่งผลให้ช่วยลดความมันบนใบหน้าที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวได้

       

      ฉีดโบกระชับรูขุมขนฉีดบริเวณไหนได้บ้าง
      ฉีดโบกระชับรูขุมขนฉีดบริเวณไหนได้บ้าง

       

      บริเวณที่สามารถฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้างได้

      โดยปกติทั่วไปการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้างนั้น จะเน้นไปที่บริเวณที่มีปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้างที่สุด ซึ่งตำแหน่งที่มักพบปัญหารูขุมขนกว้างได้ มีดังนี้

      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง บริเวณแก้ม : เป็นบริเวณที่พบปัญหารูขุมขนกว้างบ่อยที่สุด
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง บริเวณจมูก : รูขุมขนบริเวณจมูกมักมีขนาดใหญ่กว่าบริเวณอื่น ๆ
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง บริเวณคาง : โดยเฉพาะบริเวณใต้คาง
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง บริเวณหน้าผาก : อาจฉีดเพื่อลดการผลิตน้ำมัน และช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น

       

      ฉีดโบกระชับรูขุมขนเหมาะกับใครบ้าง
      ฉีดโบกระชับรูขุมขนเหมาะกับใครบ้าง

      ใครบ้างที่เหมาะกับโบกระชับรูขุมขนกว้าง

      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวมัน
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง เหมาะกับคนที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง เหมาะกับคนที่ต้องการผิวเรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง เหมาะกับคนที่ต้องการลดการเกิดสิว
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง เหมาะกับคนที่ต้องการลดการทำงานของต่อมไขมัน
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว

       

      ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับโบกระชับรูขุมขนกว้าง

      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่เหมาะกับคนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่เหมาะกับสตรีตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่เหมาะกับคนที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง  โรคระบบประสาทบางชนิด
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่เหมาะกับคนที่มีแผลติดเชื้อ 
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่เหมาะกับคนที่แพ้สารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่เหมาะกับคนที่มีผิวหนังอักเสบ 
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่เหมาะกับคนที่มีแผลเปิดบริเวณที่ต้องการฉีด
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหากับการแข็งตัวของเลือด
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ถาวร

       

      ฉีดโบกระชับรูขุมขนมีข้อดีอะไรบ้าง
      ฉีดโบกระชับรูขุมขนมีข้อดีอะไรบ้าง

       

      ข้อดีของการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง

      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ช่วยทำให้รูขุมขนเล็กลง ผิวเนียนละเอียดขึ้น
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ลดการทำงานของต่อมไขมัน ลดโอกาสเกิดสิวอุดตัน
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ช่วยให้กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระชับ เต่งตึงขึ้น
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง สามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็กบนใบหน้าได้
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง เห็นผลลัพธ์รวดเร็ว ไม่ต้องรอนาน
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่ต้องพักฟื้น หลังฉีดสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง มีความปลอดภัยสูง โอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยมาก

       

      ข้อเสียของการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง

      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ผลลัพธ์ไม่สามารถอยู่ได้ถาวร
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ เช่น บวม แดง หรือมีรอยช้ำ
      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่สามารถแก้ไขทุกปัญหาผิวได้ 

       

      เลือกฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง ยี่ห้อไหนดี?

      โดยส่วนมากโบกระชับรูขุมขน มีทั้งของประเทศเกาหลี ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศอังกฤษ ซึ่งจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อ ซึ่งแพทย์จะเป็นคนประเมินว่าคนไข้ในแต่ละเคส เหมาะกับโบกระชับรูขุมขนชนิดไหน เพื่อความเหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด โดยยี่ห้อโบกระชับรูขุมขนกว้าง มีดังนี้

       

      • โบกระชับรูขุมขนกว้างยี่ห้อ Aestox (ประเทศเกาหลี) : เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ฮิตในประเทศไทย ส่งตรงจากแดนกิมจิ ที่โดดเด่นด้วยความบริสุทธิ์ 99.5% ส่งผลให้เห็นผลลัพธ์รวดเร็ว มีความเป็นธรรมชาติ ออกฤทธิ์ได้ไว ตัวยากระจายตัวแคบ ผลลัพธ์คงอยู่ได้สั้นกว่าโบกระชับรูขุมขนฝั่งยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา
      • โบกระชับรูขุมขนกว้างยี่ห้อ Nabota (ประเทศเกาหลี) : เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นในด้านการออกฤทธิ์เร็ว เห็นผลไวกว่าโบเกาหลีแบรนด์อื่น ๆ อีกทั้งยังมีความบริสุทธิ์สูงถึง 98.7% นอกจากนี้ Nabota ยังเป็นโบเกาหลีแบรนด์เดียว ที่ผ่านการรับรองจากงานวิจัยขององค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบเร่งด่วน และมั่นใจในคุณภาพระดับสากล
      • โบกระชับรูขุมขนกว้างยี่ห้อ Allergan (ประเทศสหรัฐอเมริกา) : เป็นโบแบรนด์แรกของโลกที่ได้รับความไว้วางใจ และความนิยมจากผู้ใช้ในหลายประเทศ จุดเด่นของแบรนด์นี้อยู่ที่ตัวยาที่มีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5% พร้อมด้วยการกระจายตัวแคบ ทำให้การรักษามีความแม่นยำและตรงจุดมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังให้ผลลัพธ์ที่คงอยู่นานหลายเดือน
      • โบกระชับรูขุมขนกว้างยี่ห้อ Dysport (ประเทศอังกฤษ) : เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้นานเทียบเท่ากับยี่ห้อ Allergan มีจุดเด่นในเรื่องมีขนาดโมเลกุลขนาดเล็ก ตัวยากระจายตัวได้กว้าง มีความเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
      • โบกระชับรูขุมขนกว้างยี่ห้อ Xeomin (ประเทศเยอรมัน) : เป็นแบรนด์ที่มีตัวยาบริสุทธิ์สูงมาก ทำให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นาน มีจุดเด่นคือการนำเอาข้อดีของยี่ห้อ Allergan กับ Dysport มารวมไว้ด้วยกัน เป็นแบรนด์ที่ได้รับผลลัพธ์ดีในเคสที่ดื้อยา

       

      เปรียบเทียบ โบกระชับรูขุมขนกว้าง VS วิธีรักษารูขุมขนกว้างอื่น ๆ

      ปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้าง ทำให้ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียนและอาจทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น การรักษาด้วยวิธีการทางการแพทย์ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยม เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดและรวดเร็ว

       

      วิธีทางการแพทย์นั้น มีหลากหลายวิธีในการรักษารูขุมขนกว้าง ในแต่ละวิธีจะมีข้อดี ข้อเสีย และความเหมาะสมแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความรุนแรงของปัญหา วิธีการรักษาที่ได้รับความนิยม มีดังนี้

       

      • การฉีดโบรักษารูขุมขนกว้าง

      การฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง  เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมในการรักษารูขุมขนกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณทีโซนที่มักมีปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้างและผิวมัน การฉีดโบจะเข้าไปช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อและต่อมไขมัน ทำให้รูขุมขนหดเล็กลง ผิวเรียบเนียนขึ้น

       

      • การเลเซอร์รักษารูขุมขนกว้าง

      เป็นหนึ่งในวิธีการรักษารูขุมขนกว้าง ที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด และรวดเร็ว โดยหลักการทำงานของเลเซอร์คือ การใช้พลังงานแสงความเข้มสูง ไปกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ทำให้ผิวกระชับขึ้น รูขุมขนเล็กลง และผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้น

       

      • การทำ HIFU กระชับรูขุมขนกว้าง

      เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการยกกระชับผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ซึ่งนอกจากจะช่วยยกกระชับผิวแล้ว ยังมีประสิทธิภาพในการช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลงอีกด้วย

       

      • การทำ RF กระชับรูขุมขนกว้าง

      เป็นเทคโนโลยีคลื่นวิทยุความถี่สูง ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการดูแลผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้าง เพราะ RF ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวกระชับ รูขุมขนเล็กลง ผิวเรียบเนียนขึ้น

       

      • การฉีดวิตามินผิว กระชับรูขุมขนกว้าง

      การฉีดวิตามินผิว เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่ได้รับความนิยมในการดูแลผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้าง

       

      • การฉีดฟิลเลอร์รักษารูขุมขนกว้าง

      การฉีดฟิลเลอร์รักษารูขุมขนกว้าง เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมในการรักษารูขุมขนกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่รูขุมขนกว้างมาก และเป็นปัญหาอย่างเห็นได้ชัด ฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มร่องลึกและรูขุมขน ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น

       

      เลเซอร์ที่นิยมใช้สำหรับรักษารูขุมขนกว้าง มีดังนี้

      • Fractional CO2 Laser : ทำงานโดยการปล่อยลำแสงเลเซอร์ขนาดเล็กจำนวนมากลงสู่ชั้นผิวหนังชั้นบน ซึ่งช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิว ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวที่ดูอ่อนเยาว์ เรียบเนียน และกระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
      • Picosecond Laser : เป็นเลเซอร์ที่มีพลังงานสูงมาก ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนรอยดำ รอยแดง และรูขุมขน
      • IPL (Intense Pulsed Light) : เป็นเทคโนโลยีที่ใช้แสงที่มีความเข้มข้นสูงในการรักษาปัญหาผิวหลายประเภท โดยมีหลักการทำงานที่สามารถช่วยลดรอยแดงและรอยดำ รวมถึงกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก ทำให้ผิวดูเรียบเนียน และมีสุขภาพดีขึ้น
      • Dual Yellow Laser : เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ทำงานโดยการรวมพลังงานแสงสีเหลืองจากสองความยาวคลื่นที่เหมาะสม เพื่อทำลายเม็ดสีเมลานินอย่างแม่นยำ ช่วยลดปัญหาผิวคล้ำและสีผิวไม่สม่ำเสมอ

       

      การเตรียมตัวก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง

      • ก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง ควรทำการศึกษาข้อมูลและปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ
      • ก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
      • ก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง หากมีโรคประจำตัว ยาที่ต้องทานยาเป็นประจำ หรือการแพ้ยา ควรแจ้งแพทย์ก่อนทำ
      • ก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดทานยา วิตามินอาหารเสริม เช่น วิตามินอี แอสไพริน ยาต้านการอักเสบ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
      • ก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดการทำเลเซอร์ผิวหน้า หรือทรีตเมนต์หน้า 1 เดือนก่อนทำ
      • ก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดทายากลุ่มผลัดเซลล์ผิว หรือครีมในกลุ่ม Anti-Aging อย่างน้อย 3 วัน
      • ก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดแวกซ์ผิว การสครับผิว การนวดหน้า 3 วันก่อนทำ
      • ก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อน
      • ก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดกิจกรรมที่ส่งผลให้มีการสูบฉีดไหลเวียนของเลือดมากขึ้น ในช่วง 24 ชั่วโมงก่อนทำ

       

      ขั้นตอนการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง

      1. ก่อนการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง แพทย์จะทำการประเมินสภาพผิว ตรวจสอบประวัติสุขภาพ และอธิบายถึงขั้นตอนการรักษา ผลลัพธ์ที่คาดหวัง และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
      2. ทำความสะอาดผิวหน้าของคุณให้สะอาดก่อนการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง
      3. หากกังวลรู้สึกกลัวเจ็บ แพทย์อาจทายาชาบริเวณที่จะฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้างก่อน
      4. แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็ก ฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้างเข้าไปในกล้ามเนื้อและต่อมไขมันบริเวณที่ต้องการฉีด ใช้ระยะเวลาในการทำเพียง 15-30 นาที
      5. หลังจากฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม
      6. แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังการฉีดโบกระชับรูขุมขน เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้คงอยู่นาน

       

      การดูแลตัวเองหลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง

      • หลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง ควรบริหารกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเป็นเวลา 1 ชั่วโมง เพื่อให้โบถูกปลายประสาทดูดซึมเข้าไปให้ได้มากที่สุด
      • หลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง ควรทำการประคบให้ถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์
      • หลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง ควรทำความสะอาดใบหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว
      • หลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง หากมีอาการปวด สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้
      • หลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
      • หลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดนอนราบ 3-4 ชั่วโมงแรกหลังทำ
      • หลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดการนวด กด บีบ คลึง ในบริเวณที่ฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง
      • หลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด 2 สัปดาห์หลังฉีด
      • หลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดแต่งหน้า งดการทาครีมบำรุง 24 ชั่วโมง
      • หลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดการออกกำลังกาย หรือกิจกรรมที่จะทำให้เหงื่อออกมาก 1 สัปดาห์

       

      คำถามที่พบบ่อยของการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง

       

      • ฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง ใช้กี่ยูนิต?

      โดยปกติการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง จะใช้ปริมาณโบกระชับรูขุมขนกว้างประมาณ 65 ยูนิต ซึ่งในแต่ละบุคคลอาจใช้ปริมาณมากน้อยแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับปัญหาของผิวหน้า ทั้งนี้แพทย์ที่มีประสบการณ์จะประเมินปัญหาและปริมาณตัวยาที่เหมาะสม

       

      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง เจ็บไหม?

      ระหว่างฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง อาจจะรู้สึกเจ็บจากเข็มเล็กน้อยในกรณีที่ใครกลัวเจ็บ สามารถแจ้งแพทย์ก่อนเริ่มฉีดได้ ซึ่งก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง แพทย์จะทายาชาบริเวณที่จะฉีด เพื่อลดความรู้สึกเจ็บให้เบาลง

       

      • ฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง กี่วันเห็นผล?

      การฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง โดยทั่วไปจะเริ่มรู้ว่าสึกผิวกระชับขึ้น หน้าไม่มัน รูขุมขนดูตื้นขึ้นเห็นและเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน หลังจากฉีดประมาณ 1-2 สัปดาห์

       

      • ฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง อยู่ได้นานไหม?

      ผลลัพธ์ของการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง โดยทั่วไปจะอยู่ได้นานประมาณ 3-4 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกใช้และการดูแลตัวเองหลังฉีด

       

      • ฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง ดีไหม?

      การฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น ลดปัญหาสิว และดูอ่อนเยาว์ ซึ่งเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ และสามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยจะเห็นผลได้นานประมาณ 3-4 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของโบกระชับรูขุมขนกว้างที่เลือกฉีด

       

      • ทำไมต้องฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง? 

      การฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง จะช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อและต่อมไขมัน ทำให้น้ำมันบนใบหน้าลดลง อีกทั้งยังช่วยทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดปัญหาสิวอุดตัน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ สดใส และเปล่งปลั่ง

       

      • ผลข้างเคียงของการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง?

      การฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง เป็นที่นิยมมากเนื่องจากเห็นผลเร็วและเห็นผลชัดเจน แต่การฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้างก็อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงและหายไปได้เอง โดยผลข้างเคียงทั่วไปที่พบได้บ่อย มีดังนี้

      • อาการบวม แดง รอยเขียวช้ำ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบได้ปกติทั่วไป มักเกิดขึ้นบริเวณที่ฉีด และสามารถหายไปเองภายใน 2-3 วัน
      • อาการปวดศีรษะ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้บ้างในบางราย เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้ามีการปรับตัว
      • อาการคลื่นไส้ ซึ่งโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก และมักหายไปเอง

       

      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ต้องฉีดซ้ำบ่อยแค่ไหน?

      การฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ไม่ถาวร โดยผลลัพธ์จะค่อย ๆ สลายไปตามธรรมชาติ ทั้งนี้ระยะเวลาของผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเอง และสภาพผิวของแต่ละคน เพื่อรักษาความเรียบเนียนของผิวและกระชับรูขุมขนให้คงอยู่ แนะนำให้ฉีดซ้ำทุก ๆ 4-6 เดือน ตามคำแนะนำของแพทย์

       

      • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ฉีดแล้วหน้าแข็งไหม?

      โดยปกติทั่วไปการฉีดโบโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์จะไม่ทำให้หน้าแข็ง แต่จะช่วยให้ใบหน้าดูผ่อนคลาย รูขุมขนเล็กลง และผิวเรียบเนียนขึ้น

       

      จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมในการรักษารูขุมขน เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดและรวดเร็ว ทั้งนี้ผลลัพธ์ของการรักษาขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัย เช่น ประเภทของผิวหนัง ปริมาณโบกระชับรูขุมขนที่ใช้ และเทคนิคการฉีดของแพทย์ นอกจากนี้ การฉีดโบกระชับรูขุมขนยังมีความจำเป็นต้องทำซ้ำอย่างต่อเนื่อง การตัดสินใจฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้างจึงควรปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อประเมินสภาพผิวและให้คำแนะนำที่เหมาะสม 

      ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ในการแสดงสีหน้า

      ฉีดโบระหว่างคิ้วลดรอยขมวดคิ้ว

      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




        วันที่สะดวกในการติดต่อ








        ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว เคล็ดลับใบหน้าอ่อนกว่าวัย

         

        ริ้วรอยระหว่างคิ้วที่เกิดขึ้นตามวัย ไม่เพียงแต่ทำให้ดูแก่กว่าวัย แต่ยังส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเองอีกด้วย และไม่มีใครอยากมีใบหน้าที่ดูขมวดคิ้วตลอดเวลา การฉีดโบระหว่างคิ้วจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับใครหลายๆ คน ที่ต้องการมีใบหน้าที่เรียบเนียนอ่อนเยาว์ บทความนี้จะไขข้อข้องใจทุกอย่างเกี่ยวกับการฉีดโบระหว่างคิ้ว ไม่ว่าจะเป็นหลักการทำงานของโบระหว่างคิ้ว ผลลัพธ์ที่ได้จากการฉีดโบระหว่างคิ้ว ผลข้างเคียงของโบระหว่างคิ้วที่อาจเกิดขึ้น และคำถามที่ทุกคนอยากรู้ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจก่อนฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว

         

        ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว แก้ปัญหารอยย่นตรงจุด ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ

         

        ฉีดโบระหว่างคิ้ว คืออะไร?

         

        การฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว คือ การฉีดสารที่ออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ เข้าไปใต้ชั้นผิวหนังในชั้นกล้ามเนื้อเพื่อลดริ้วรอยย่นบริเวณระหว่างคิ้ว ซึ่งกลไกการทำงานของโบระหว่างคิ้วจะออกฤทธิ์ในการยับยั้งสาร Acetycholine จากปลายประสาทบริเวณที่ฉีดเข้าไป สารตัวนี้จะทำให้กล้ามเนื้อบีบเกร็งตัว เมื่อฉีดโบระหว่างคิ้วเข้าไปยับยั้ง จะส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณระหว่างคิ้วคลายตัว ลดความแรงในการบีบตัวของกล้ามเนื้อ เนื่องจากการบีบรัดตัวจากการขมวดคิ้ว เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดริ้วรอยย่นตรงระหว่างคิ้วได้

         

        ริ้วรอยขมวดคิ้ว เกิดจากสาเหตุอะไร
        ริ้วรอยขมวดคิ้ว เกิดจากสาเหตุอะไร

         

        ริ้วรอยขมวดคิ้ว เกิดจากสาเหตุอะไร?

         

        ริ้วรอยระหว่างคิ้ว รอยย่นจากการขมวดคิ้ว เป็นปัญหาที่หลายคนกังวล เพราะทำให้ใบหน้าดูเคร่งเครียดและดูแก่กว่าวัย ซึ่งสาเหตุของการเกิดริ้วรอยขมวดคิ้ว มีดังนี้

        • การแสดงออกทางสีหน้า : คนที่ชอบขมวดคิ้วบ่อย ๆ หรือคนที่ชอบแสดงอารมณ์ทางสีหน้า เช่น การเครียด เป็นต้น ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณระหว่างคิ้วทำงานหนัก ส่งผลให้เกิดรอยพับขนเห็นเป็นริ้วรอยชัดเจน
        • อายุที่เพิ่มขึ้น : เมื่ออายุที่เพิ่มมากขึ้น ผิวหนังของคนเราจะสูญเสียความยืดหยุ่น ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินน้อยลง ทำให้ผิวหน้าบางลง จนเกิดรอยพับและริ้วรอยได้ง่าย
        • แสงแดด : รังสียูวีจากแสงแดดจะเข้าไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว ทำให้ผิวมีริ้วรอยและดูแก่เร็ว
        • มลภาวะ : ฝุ่นละอองและสารเคมีต่าง ๆ ทำให้ผิวอักเสบและเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าได้
        • การพักผ่อน : การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ผิวโทรม ไม่สดใส และเกิดริ้วรอยได้มากขึ้น 
        • พันธุกรรม : การเกิดพันธุกรรมสามารถเกิดริ้วรอยได้เหมือนกัน หากคนในครอบครัวมีคนที่มีริ้วรอยตั้งแต่อายุยังน้อย ก็ทำให้มีโอกาสเกิดริ้วรอยได้มากกว่าคนอื่น ๆ

         

        โบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้วได้อย่างไร?

        แพทย์จะฉีดสารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเข้าไปที่กล้ามเนื้อโปรเซอรัส (Procerus) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อรูปพีระมิดขนาดเล็กอยู่ระหว่างคิ้ว ที่คอยทำหน้าที่ขมวดคิ้ว และกล้ามเนื้อคอร์รูเกเตอร์ ซูเปอร์ซิลิไอ (Corrugator Supercilii) ที่อยู่บริเวณเหนือหัวคิ้ว ที่ทำหน้าที่ดึงหัวคิ้วลงและดึงเข้าหากึ่งกลาง เกิดเป็นเส้น Glabellar Frown Lines โดยการฉีดโบจะออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อทั้ง 2 มัดนี้ เวลาที่แสดงสีหน้า เช่น เครียด หรือโกรธ ก็จะไม่ทำให้เกิดริ้วรอยบริเวณระหว่างคิ้ว

         

        ฉีดโบระหว่างคิ้วมีข้อดีอย่างไร
        ฉีดโบระหว่างคิ้วมีข้อดีอย่างไร

         

        ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว มีข้อดีอย่างไร?

         

        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ช่วยลดเลือนริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ช่วยทำให้ใบหน้าดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ขึ้น
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ช่วยให้ใบหน้าดูผ่อนคลาย ไม่ดูตึงเครียดจนเกินไป
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ช่วยชะลอและป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ในอนาคต
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว 
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว มีขั้นตอนการทำที่ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องรอนาน
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว มีความปลอดภัยสูง ไม่เสี่ยงอันตราย
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ไม่ต้องพักฟื้นนาน สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

         

        ฉีดโบระหว่างคิ้วเหมาะกับใคร
        ฉีดโบระหว่างคิ้วเหมาะกับใคร

         

        ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว?

         

        การฉีดโบระหว่างคิ้ว เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับใครหลายคนที่ต้องการลดเลือนริ้วรอย และแก้ไขปัญหาใบหน้าให้กลับมาดูอ่อนเยาว์ขึ้น เพราะฉะนั้นการฉีดโบระหว่างคิ้วจึงเหมาะกับคนที่มีปัญหาดังต่อไปนี้

        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว เหมาะกับคนที่มีปัญหาริ้วรอยระหว่างคิ้ว จากการขมวดคิ้ว หรือแสดงสีหน้า
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว เหมาะกับคนที่มีปัญหาริ้วรอยระหว่างคิ้ว แม้ไม่แสดงสีหน้า
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว เหมาะกับคนที่ต้องการลดเลือนรอยย่นยับ
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว เหมาะกับคนที่ต้องการให้ใบหน้าดูผ่อนคลาย
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว เหมาะกับคนที่ต้องการป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว เหมาะกับคนที่ต้องการใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว เหมาะกับคนที่ต้องการลดริ้วรอยโดยไม่ต้องการผ่าตัดศัลยกรรม
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว เหมาะกับคนที่ต้องการลดริ้วรอยแบบเร่งด่วน

         

        ใครที่ไม่เหมาะกับการฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว?

         

        การฉีดโบระหว่างคิ้ว มีบุคคลบางกลุ่มที่ไม่เหมาะสมกับการทำหัตถการนี้ ดังนี้

        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ไม่เหมาะกับคนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ไม่เหมาะกับคนที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง 
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ไม่เหมาะกับคนที่แพ้สารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ไม่เหมาะกับคนที่มีแผลติดเชื้อบริเวณที่ต้องการฉีด ควรรักษาให้หายปกติก่อน
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ไม่เหมาะกับคนที่รับประทานยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันโลหิต 
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ไม่เหมาะกับคนที่มีโรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ถาวร

         

        ยี่ห้อโบระหว่างคิ้วที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

         

        ปัจจุบันมีโบระหว่างคิ้วหลายยี่ห้อ ที่ได้รับการรับรองจาก อย.ไทย เช่น Allergan, Dysport, Xeomin, Nabota, Aestox เป็นต้น ซึ่งแต่ละยี่ห้อจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ดังนี้

         

        โบระหว่างคิ้วยี่ห้อ Allergan จากประเทศสหรัฐอเมริกา 

        • จุดเด่นคือตัวยามีลักษณะการกระจายตัวแคบ 
        • มีความบริสุทธิ์มากถึง 99.5% ทำให้เกิดโอกาสดื้อโบน้อยที่สุด 
        • ให้ผลลัพธ์การรักษาที่แม่นยำและตรงจุด 
        • สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยเฉพาะจุดได้ดี 
        • การันตีด้วยงานวิจัยมากมาย เป็นหนึ่งในยี่ห้อที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

         

        โบระหว่างคิ้วยี่ห้อ Dysport จากประเทศอังกฤษ 

        • จุดเด่นคือมีขนาดของโมเลกุลที่เล็ก 
        • ตัวยามีลักษณะการกระจายตัวเป็นวงกว้าง
        • เหมาะสำหรับคนที่ต้องการแก้ไขปัญหาริ้วรอยย่น และคนที่ต้องการผลลัพธ์เร่งด่วน
        • หลังฉีดจะรู้สึกตึงประมาณ 50% ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ

         

        โบระหว่างคิ้วยี่ห้อ Xeomin จากประเทศเยอรมัน 

        • จุดเด่นคือการนำข้อดีของยี่ห้อ Allergan และ Dysport มารวมไว้ด้วยกัน 
        • มีความบริสุทธิ์สูงมาก ไม่กระจุกตัวแคบเกินไป
        •  สามารถป้องกันการเกิดโอกาสดื้อโบได้ 
        • มีงานวิจัยแสดงว่าโบระหว่างคิ้วยี่ห้อ Xeomin ได้ผลลัพธ์ดีในกรณีที่ดื้อยา

         

        โบระหว่างคิ้วยี่ห้อ Nabota จากประเทศเกาหลี 

        • จุดเด่นคือมีความบริสุทธิ์ถึง 98.7% 
        • เป็นโบเกาหลียี่ห้อเดียวที่ผ่านงานวิจัยรับรองจากอย.อเมริกา 
        • ออกฤทธิ์ไวกว่าโบเกาหลียี่ห้ออื่น 
        • ช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า 
        • เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์เร่งด่วน

         

        โบระหว่างคิ้วยี่ห้อ Aestox จากประเทศเกาหลี 

        • พัฒนาโครงสร้างโมเลกุลให้เทียบเท่ากับ Allergan แต่อยู่ได้สั้นกว่า
        • จุดเด่นคือมีตัวยาบริสุทธิ์ 99.5% สามารถออกฤทธิ์ได้ไว
        • ตัวยากระจายตัวแคบ ออกฤทธิ์แม่นยำและตรงจุด
        • นิยมใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาริ้วรอย ให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ

         

        เลือกยี่ห้อโบระหว่างคิ้ว
        เลือกยี่ห้อโบระหว่างคิ้ว

         

        วิธีการเลือกยี่ห้อโบระหว่างคิ้ว แบบไหนถึงดีที่สุด?

         

        • เลือกยี่ห้อที่ได้รับการรับรอง : ควรเลือกยี่ห้อโบระหว่างคิ้วที่ผ่านการรับรองจากอย.ไทยและการรับรองจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น FDA (องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา) เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลลัพธ์
        • ประสบการณ์ของแพทย์ : แพทย์ที่มีประสบการณ์จะสามารถเลือกใช้ยี่ห้อโบระหว่างคิ้วที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคลได้อย่างแม่นยำ รวมไปถึงแพทย์ควรมีความเข้าใจในสรีรวิทยาของใบหน้า เพื่อวางแผนการฉีดให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
        • ปัญหาที่ต้องการแก้ไข : โบระหว่างคิ้วแต่ละยี่ห้อจะมีประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอยที่แตกต่างกันออกไป เช่น บางยี่ห้ออาจเหมาะสำหรับริ้วรอยตื้น บางยี่ห้ออาจเหมาะสำหรับริ้วรอยลึก เป็นต้น
        • ความต้องการของแต่ละบุคคล : ในบางคนอาจต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ในขณะที่บางคนอาจต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและอยู่ได้นาน ซึ่งโบระหว่างคิ้วในแต่ละยี่ห้อมีระยะเวลาในการออกฤทธิ์และคงอยู่แตกต่างกันออกไป
        • ปริมาณโบระหว่างคิ้วที่ใช้ : แพทย์จะทำการคำนวณปริมาณของโบระหว่างคิ้วที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและปลอดภัย

         

        ข้อควรรู้ก่อนเลือกฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว

         

        ก่อนฉีดโบระหว่างคิ้ว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัย ควรเตรียมตัวดังนี้

         

        • ก่อนฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว งดดื่มแอลกอฮอล์
        • ก่อนฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว งดรับประทานยายาที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้า เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน 
        • ก่อนฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว งดอาหารเสริมบางชนิด เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา
        • ก่อนฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าก่อนมาทำหัตถการ
        • ก่อนฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว หากมีโรคประจำตัว หรือยาที่ต้องรับประทานประจำ ควรแจ้งให้แพทย์ก่อนทำเพื่อให้แพทย์ประเมินความเสี่ยง และวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
        • ก่อนฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเตรียมพร้อมก่อนทำหัตถการ

         

        ขั้นตอนการฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว

         

        • ก่อนฉีดโบระหว่างคิ้ว เริ่มต้นด้วยการปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ทำการประเมินสภาพผิวและปัญหาผิวก่อนทำ รวมไปถึงแพทย์จะทำการอธิบายถึงกระบวนการฉีดโบระหว่างคิ้วด้วย
        • ทำความสะอาดผิวบริเวณที่ฉีดโบระหว่างคิ้ว เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
        • แพทย์อาจทายาชาบริเวณที่ต้องการฉีดสำหรับคนที่กลัวเจ็บ เพื่อลดความเจ็บจากเข็ม
        • แพทย์จะเริ่มใช้เข็มขนาดเล็กฉีดโบระหว่างคิ้วเข้าไปในกล้ามเนื้อตรงช่วงระหว่างคิ้ว
        • หลังแพทย์ฉีดโบระหว่างคิ้วเสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะทำการประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเพื่อลดอาการบวม
        • ก่อนกลับบ้านแพทย์จะทำการแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตนเองหลังจากฉีดโบระหว่างคิ้ว เพื่อผลลัพธ์คงอยู่อย่างยาวนานแบบเป็นธรรมชาติ

         

        ข้อห้ามและการดูแลตัวเอง หลังฉีดโบระหว่างคิ้ว

         

        • หลังฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ควรรีบขยับเกร็งกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดทันที 1-2 ครั้ง
        • หลังฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ควรฉีดโบต่อเนื่องในระยะเวลาที่เหมาะสม แต่ควรเว้นช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม ไม่ฉีดถี่จนเกินไป
        • หลังฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
        • หลังฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด
        • หลังฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก
        • หลังฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง เช่น การออกกำลังกายหนัก ซาวน่า
        • หลังฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหน้า และการนอนราบ

         

        ฉีดโบระหว่างคิ้วที่ไหนดี
        ฉีดโบระหว่างคิ้วที่ไหนดี

         

        ฉีดโบระหว่างคิ้ว ที่ไหนดี?

         

        การเลือกคลินิกฉีดโบระหว่างคิ้วเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ได้ ดังนั้นก่อนตัดสินใจฉีดโบระหว่างคิ้ว ควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

        • คลินิกที่มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ

        ควรเลือกเข้ารับการฉีดโบระหว่างคิ้วจากคลินิกที่ได้มาตรฐานการรับรองตามกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งต้องมีใบอนุญาตอย่างถูกต้อง

        • มีแพทย์ที่มีประสบการณ์ประจำคลินิก

        การฉีดโบระหว่างคิ้วเป็นบริเวณที่ฉีดยาก ดังนั้นควรทำหัตถการโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ที่สามารถวิเคราะห์ใบหน้าได้เป็นอย่างดี และเลือกใช้เทคนิคเฉพาะตัวเพื่อให้คงผลลัพธ์ได้นาน และมีความปลอดภัยที่สุด

        • ใช้ผลิตภัณฑ์โบแท้ ตรวจสอบได้

        ควรเลือกคลินิกที่ยินยอมให้ตรวจสอบตัวยาว่าใช้โบแท้หรือไม่ และเลือกคลินิกที่แพทย์แกะกล่องผสมตัวยาให้ดูต่อหน้า เพื่อเพิ่มความมั่นใจก่อนฉีดโบระหว่างคิ้ว

         

        ฉีดโบระหว่างคิ้วกับรมย์รวินท์คลินิกดีอย่างไร?

         

        รมย์รวินท์คลินิกพร้อมให้บริการโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ โดยใช้ตัวยาที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีอย.เท่านั้น สามารถตรวจสอบผลิตภัณฑ์ได้ว่าเป็นของแท้ที่ผ่านการสั่งซื้อจากบริษัทที่เป็นผู้นำเข้าอย่างถูกกฎหมาย สำหรับคนไข้ที่เข้ารับบริการฉีดโบระหว่างคิ้วกับรมย์รวินท์คลินิก จะได้รับการประเมินใบหน้าโดยแพทย์ประจำคลินิก โดยพิจารณาขนาดกล้ามเนื้อ ประเมินปริมาณของโบระหว่างคิ้ว เพื่อผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ

         

        รวมคำถามพบบ่อยของการฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว

         

        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว กี่ยูนิต?

         

        การฉีดโบระหว่างคิ้ว เป็นจุดที่ใช้ปริมาณไม่เยอะ โดยส่วนมากการฉีดโบแก้ปัญหาริ้วรอยขมวดคิ้ว จะใช้โบระหว่างคิ้วประมาณ 25 ยูนิต ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาและความต้องการในแต่ละบุคคล ซึ่งแพทย์จะประเมินเป็นรายบุคคล เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีและคุ้มค่าที่สุด

         

        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว เจ็บไหม?

         

        ระหว่างฉีดโบระหว่างคิ้ว อาจจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย สำหรับใครที่กลัวเจ็บสามารถแจ้งแพทย์ก่อนเริ่มฉีดได้ ซึ่งแพทย์จะทายาชาบริเวณที่จะฉีด เพื่อลดความรู้สึกเจ็บลง

         

        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ดีจริงไหม?

         

        การฉีดโบระหว่างคิ้วทำให้กล้ามเนื้อบริเวณระหว่างคิ้วไม่ขยับ ไม่เกิดรอยพับ ส่งผลให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้ อีกทั้งการฉีดโบระหว่างคิ้ว มีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องพักฟื้น จึงได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน

         

        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว อันตรายไหม?

         

        อันตรายที่เกิดจากการฉีดโบระหว่างคิ้วที่พบส่วนใหญ่ จะเกิดจากการฉีดโบปลอม โบหิ้วกับหมอกระเป๋า ฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีรู้เรื่องกายวิภาค ทำให้มีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะฉีดพลาดไปโดนเส้นเลือด จนเกิดรอยเขียวช้ำ หรือเป็นอันตราย เพราะฉะนั้นควรฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการฉีด และมีความรู้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง ด้วยโบแท้ที่สามารถย่อยสลายเองได้ตามธรรมชาติ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี

        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว กี่วันเห็นผล?

         

        หลังฉีดโบระหว่างคิ้ว จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ใน 3-4 วัน โดยจะรู้สึกตึง ๆ ผิวบริเวณที่ฉีด และเห็นผลลัพธ์เต็มที่ใน 2 สัปดาห์

         

        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว จะทำให้คิ้วไม่เท่ากันไหม?

         

        การฉีดโบระหว่างคิ้วสามารถทำให้คิ้วไม่เท่ากันได้ ในกรณีนี้จะเกิดจากแพทย์ฉีดผิดตำแหน่ง หรือคำนวณปริมาณโบระหว่างคิ้วผิดพลาด ซึ่งถ้าใช้ปริมาณของโบเยอะเกินไป จะทำให้ยากระจายตัวไปยังจุดอื่น ๆ ที่ไม่ต้องการ จึงทำให้ตาตก คิ้วไม่เท่ากันได้ ดังนั้นการเลือกคลินิกฉีดโบระหว่างคิ้วจึงเป็นสิ่งสำคัญ ควรเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น จึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีและไม่เกิดผลข้างเคียง

         

        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว อยู่ได้นานแค่ไหน?

         

        การฉีดโบระหว่างคิ้ว จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์หลังจากที่ฉีดโบระหว่างคิ้วไปแล้ว โดยบริเวณระหว่างคิ้วจะเริ่มตึงขึ้น และริ้วรอยรอยย่นค่อย ๆ ลดลง ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 3 – 6 เดือนขึ้นอยู่กับยี่ห้อโบที่เลือกใช้ 

         

        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ช่วยลดริ้วรอยระหว่างคิ้วได้จริงไหม?

         

        การฉีดโบระหว่างคิ้ว แก้ปัญหาริ้วรอยขมวดคิ้ว สามารถช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยย่น ริ้วรอยขมวดคิ้วได้จริง และยังเป็นวิธีแก้ไขปัญหาที่รวดเร็ว ตรงจุด และเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน

         

        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว มีผลข้างเคียงไหม?

         

        หลังจากฉีดโบระหว่างคิ้ว อาจพบอาการบวมเข็ม หรือรอยช้ำจากจุดที่ฉีด ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้เป็นปกติ และหายได้เองในเวลาต่อมา ไม่ถือว่าเป็นผลข้างเคียง ส่วนผลข้างเคียงจากการฉีดโบระหว่างคิ้ว เกิดได้จาก 2 กรณี คือ

        • แพทย์ไม่มีประสบการณ์ในด้านการฉีดโบระหว่างคิ้ว ฉีดผิดตำแหน่ง ใช้ประมาณของโบไม่เหมาะสม อาจทำให้คิ้วไม่เท่ากันได้
        • ใช้โบปลอม ทำให้ฉีดโบระหว่างคิ้วแล้วไม่ได้ผล ทำให้ต้องฉีดบ่อยขึ้นจนเสี่ยงต่อการดื้อโบ หรือกรณีฉีดโบแล้วตัวยากระจายตัวไปโดนกล้ามเนื้อมัดอื่น ซึ่งสามารถทำให้หนังตาตกได้

         

        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว แก้ปัญหาใดได้อีกบ้าง?

         

        นอกจากการฉีดโบระหว่างคิ้วจะช่วยลดริ้วรอยระหว่างคิ้วแล้ว ยังสามารถช่วยยกคิ้วขึ้น แก้ปัญหาหนังตาตกได้อีกด้วย ทั้งนี้ต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง เนื่องจากเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก ต้องใช้ความละเอียดเป็นพิเศษ

         

        • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว แก้หนังตาตกได้จริงไหม?

         

        การฉีดโบระหว่างคิ้วสามารถช่วยแก้ไขปัญหาหนังตาตกได้จริง โดยแพทย์จะฉีดตัวยาเข้าสู่บริเวณหน้าผากเหนือบริเวณคิ้ว วิธีนี้จะช่วยทำให้คิ้วยกสูงขึ้น ส่งผลให้ดวงตาดูเฉี่ยวและกลมโตมากขึ้น เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาคิ้วตก หนังตาตกไม่มาก 

         

        • ทำไมต้องฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว?

         

        ในการฉีดโบระหว่างคิ้ว จะช่วยเข้าไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดริ้วรอย ทำให้ริ้วรอยระหว่างคิ้วจางลง ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งการฉีดโบระหว่างคิ้วจะทำให้ใบหน้าดูผ่อนคลาย ไม่เคร่งเครียด และดูอ่อนเยาว์ลง ส่งผลให้ใบหน้าดูดีขึ้น ช่วยเพิ่มความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นด้วย นอกจากนี้การฉีดโบระหว่างคิ้วเป็นหัตถการที่เห็นผลรวดเร็ว สามารถเริ่มเห็นผลใน 3-7 วัน ไม่ต้องพักฟื้น หลังฉีดโบระหว่างคิ้วสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ และมีความปลอดภัยเมื่อฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์

         

        สรุปการฉีดโบระหว่างคิ้ว เป็นวิธีการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ในการลดเลือนริ้วรอยและให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ประสบการณ์ของแพทย์ คุณภาพของโบ และการดูแลหลังการฉีด ดังนั้น ผู้ที่สนใจควรปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อประเมินสภาพผิวและให้คำแนะนำที่เหมาะสม 

        ไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) คืออะไร ? อันตรายแค่ไหน

        ไขมันในช่องท้อง (visceral fat) คืออะไร อันตรายยังไง

        ไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) คืออะไร ? รู้จักกับภัยเงียบที่ทำลายสุขภาพ

        หลาย ๆ คนได้ยินคำว่าไขมัน อาจจะนึกถึงสัดส่วนที่เกินมาตรฐาน หรือความอ้วน ซึ่ง ไขมัน ที่ร่างกายของเรามีนั้น ไม่ได้มีเพียงไขมันที่มองเห็นเท่านั้น แต่ยังมี ไขมันที่มองไม่เห็น อย่าง ไขมันในช่องท้อง ไขมันตัวร้าย ภัยเงียบที่ทำลายสุขภาพของใครหลาย ๆ คน มาทำความรู้จักกับ ไขมันในช่องท้อง พร้อมวิธีการดูแลตัวเองให้สุขภาพดี

         

        ไขมันในช่องท้อง (visceral fat) คืออะไร
        ไขมันในช่องท้อง (visceral fat) คืออะไร

         

        ไขมันในช่องท้อง (Visceral fat)  คืออะไร ?

        ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) เป็นไขมันที่มองไม่เห็น และแทรกอยู่ภายในร่างกาย โดยจะแทรกอยู่ตามบริเวณอวัยวะภายในช่องท้อง เช่น ตับ กระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็ก ซึ่งไขมันประเภทนี้เป็นไขมันที่มีความอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากสามารถแทรกซึมเข้าสู่หลอดเลือดแดงของเราได้ นอกจากนี้ไขมันในช่องท้องยังเป็นไขมันที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายโรค

         

        ไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) อันตรายแค่ไหน?

        หากมีคำถามว่าไขมันในช่องท้องอันตรายไหม? ต่างจากไขมันใต้ชั้นผิวอย่างไร โดยไขมันใต้ชั้นผิวนั้น หากร่างกายมีมากเกินไป จะทำให้เกิดไขมันส่วนตามสัดส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งอาจจะทำให้รูปร่างของเราดูอ้วนขึ้น แต่หากมีไขมันในช่องท้องเยอะ อาจจะเกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกายได้ เนื่องจากไขมันจะไปสะสมบริเวณอวัยวะภายใน และเป็นความเสี่ยงที่อาจจะก่อให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมา

        สัญญาณเตือน ไขมันในช่องท้องเกิน
        สัญญาณเตือน ไขมันในช่องท้องเกิน

         

        สัญญาณเตือนว่าคุณอาจมีไขมันในช่องท้องเกิน

        ไขมันในช่องท้อง เป็นไขมันที่ไม่สามารถมองเห็นได้ หรือสามารถสัมผัสได้เหมือนกับไขมันบริเวณผิวชั้นนอก เนื่องจากไขมันในช่องท้องนั้นจะเข้าไปแทรกและสะสมอยู่ตามอวัยวะสำคัญภายในช่องท้อง ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อโรค เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือโรคความดันโลหิตสูง แต่ก็มีวิธีสังเกตหรือมีสัญญาณเตือนที่จะบอกได้ว่าคุณอาจมีไขมันในช่องท้อง ดังนี้ 

         

        • เส้นรอบเอวเพิ่มขึ้น อาจเกิดจากไขมันในช่องท้องเยอะเกินไป

         

        ในผู้ที่มีไขมันในช่องท้องเยอะนั้น จะสังเกตได้ว่ามีไขมันสะสมรอบ ๆ ท้อง หรือเอวมากขึ้น โดยลักษณะหน้าท้องจะมีความตึงและแน่น ซึ่งคุณสามารถใช้สายวัดรอบเอวที่ระดับสะดือ โดยไม่ต้องกลั้นหายใจ โดยเกณฑ์มาตรฐานทั่วไป คือ

        ผู้ชาย: เส้นรอบเอวเกิน 90 ซม. (35 นิ้ว)

        ผู้หญิง: เส้นรอบเอวเกิน 80 ซม. (32 นิ้ว)

        หากมีเส้นรอบเอวเกินกว่าตัวเลข คุณอาจจะมีความเสี่ยงที่อาจมีไขมันในช่องท้องสะสมเยอะเกิน

         

        • น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะบริเวณกลางลำตัว อาจเกิดจากไขมันในช่องท้องเยอะเกินไป

        หลาย ๆ คนที่มีปัญหาน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเร็ว หรือมีไขมันสะสมบริเวณท้องส่วนกลางมากกว่าบริเวณอื่น เช่น คนที่มีรูปร่างแบบแอปเปิล (Apple Shape)  แม้จะมีน้ำหนักตัวที่ปกติ แต่มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น อาจจะเป็นสัญญาณว่าคุณมีไขมันในช่องท้องสะสมมากขึ้น

         

        • ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) และอัตราส่วนรอบเอวต่อสะโพก (WHR) สูง อาจเกิดจากไขมันในช่องท้องเยอะเกินไป

        การคำนวณค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ย่อมาจาก Body Mass Index เป็นค่าสากลที่ใช้เพื่อคำนวณเพื่อหาน้ำหนักตัวที่เป็นมาตรฐาน โดยจะคำนวณจากน้ำหนักตัว และส่วนสูง ซึ่งค่า BMI นั้นจะมีค่ามาตรฐานของน้ำหนักที่สมส่วน โดยคำนวณจากน้ำหนักและส่วนสูง หากค่า BMI เกิน 25 ถือว่าอาจมีน้ำหนักเกิน

        และการดูอัตราส่วนรอบเอวต่อสะโพก (WHR) ย่อมาจาก Waist-to-Hip Ratio จะคำนวณจากความยาวเส้นรอบเอว (หน่วยเป็นเซนติเมตร) และความยาวเส้นรอบสะโพก (หน่วยเป็นเซนติเมตร) ซึ่งค่าที่ได้จะเป็นจุดทศนิยม หากผู้ชายมีค่า WHR มากกว่า 0.9 และผู้หญิงมีค่า WHR มากกว่า 0.85 อาจจะแสดงให้เห็นว่าเริ่มมีความอ้วน และอาจมีไขมันในช่องท้อง

         

        • พลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ น้อยลง อาจเกิดจากไขมันในช่องท้องเยอะเกินไป

        การมีไขมันในช่องท้องที่มากเกินไป อาจจะส่งผลให้คุณรู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลียเรื้อรัง หรือไม่มีเรี่ยวแรงได้ เนื่องจากไขมันในช่องท้องนั้นไปรบกวนการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย และยังรบกวนระบบการสร้างพลังงานในร่างกายอีกด้วย

         

        • ความดันโลหิตสูง อาจเกิดจากไขมันในช่องท้องเยอะเกินไป

        ความดันโลหิตสูง เกิดได้จากหลายปัจจัยรวมถึง เกิดจากไขมันในช่องท้องที่มีมากเกินไป ซึ่งนอกจากความดันโลหิตสูงแล้ว ไขมันในช่องท้องยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดอีกด้วย เนื่องจากไขมันในช่องท้องนั้นสามารถส่งผลต่อระบบฮอร์โมน และกระบวนการอักเสบในร่างกาย 

         

        • ค่าคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือดผิดปกติ อาจเกิดจากไขมันในช่องท้องเยอะเกินไป

        สัญญาณที่เตือนว่าคุณอาจจะมีไขมันในช่องท้องสะสมอีกหนึ่งสัญญาณ คือ ระดับไขมันในเลือด และระดับน้ำตาลในเลือดที่เพิ่มขึ้น (คอเลสเตอรอล LDL สูง, HDL ต่ำ, ไตรกลีเซอไรด์สูง) เนื่องจากไขมันในช่องท้องมีบทบาทสำคัญในการผลิตสารที่ส่งผลกระทบต่อระบบเผาผลาญ เช่น สารอักเสบที่อาจกระตุ้นให้ระดับไขมันในเลือด และระดับน้ำตาลเพิ่มขึ้น

         

        • มีอาการกรนหรือหยุดหายใจขณะหลับ อาจเกิดจากไขมันในช่องท้องเยอะเกินไป

        ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีไขมันสะสมในช่องท้อง  เพราะไขมันในช่องท้องมีผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากไขมันในช่องท้องสามารถกดทับบริเวณช่องอกและระบบทางเดินหายใจ อาจจะทำให้ทางเดินหายใจตีบหรืออุดตันในขณะหลับ ส่งผลให้เกิดการกรนหรือหยุดหายใจชั่วคราว ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก

         

        • ระบบย่อยอาหารผิดปกติ อาจเกิดจากไขมันในช่องท้องเยอะเกินไป

        หากมีไขมันในช่องท้องที่มากเกินไป ไขมันอาจจะเข้าไปรบกวนการทำงานของลำไส้และกระเพาะอาหารได้ โดยอาจจะส่งผลทำให้ระบบย่อยอาหารมีความผิดปกติ เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่ายได้

         

        • ความเครียดสูงและมีอารมณ์แปรปรวน อาจเกิดจากไขมันในช่องท้องเยอะเกินไป

        ความเครียดสะสม ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญในการกระตุ้นการเกิดไขมันในช่องท้องมากเกินไป เนื่องจากเมื่อเกิดความเครียดสูงร่างกายจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่เพิ่มการสะสมไขมันในช่องท้อง จึงส่งผลให้เกิดอารมณ์ที่แปรปรวนและหงุดหงิดง่าย เรียกได้ว่าไขมันในช่องท้องส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต

         

        • ประวัติครอบครัวเกี่ยวกับโรคเรื้อรัง อาจเกิดจากไขมันในช่องท้องเยอะเกินไป

        หากครอบครัวมีประวัติเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ หรือโรคอ้วน อาจจะมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เป็นโรคเกี่ยวกับพันธุกรรม ซึ่งอาจจะเกิดไขมันในช่องท้องที่มากเกินไป 

         

        ไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) เกิดจากอะไร ?

        ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) เป็นไขมันที่สะสมอยู่ในช่องท้องลึก รอบอวัยวะสำคัญ เช่น ตับ ตับอ่อน และลำไส้ ไขมันในช่องท้องมีบทบาทสำคัญในระบบร่างกายเมื่ออยู่ในปริมาณที่เหมาะสม แต่เมื่อสะสมมากเกินไป อาจจะเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพได้ ซึ่งสาเหตุการเกิดไขมันในช่องท้องสะสมมากเกินไปนั้น เกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

         

        1. การรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล

         ไขมันในช่องท้อง เกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล หรือไม่ครบ 5 หมู่นั้น อาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร ซึ่งการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง ยิ่งเพิ่มปัจจัยในการสะสมไขมันในช่องท้อง เช่น

        • การรับประทานอาหารแปรรูป เช่น ขนมขบเคี้ยว ไส้กรอก เบเกอรี่
        • การรับประทานเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม ชานมไข่มุก
        • การรับประทานอาหารไขมันอิ่มตัว เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน ของทอด

        การเลือกรับประทานอาหารประเภทนี้มากเกินไป จะทำให้ร่างกายนั้นได้รับพลังงานมากเกินไป ทำให้เผาผลาญได้ไม่หมด และกลายเป็นการสะสมไขมันในช่องท้อง 

         

        1. การขาดการออกกำลังกาย

         ไขมันในช่องท้อง เกิดจากการขาดการออกกำลังกาย เมื่อเราเคลื่อนไหวน้อยลง ก็จะทำให้การเผาผลาญพลังงานน้อยลงเช่นกัน ยิ่งใครที่ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนั้น อาจจะทำให้พลังงานที่อยู่ภายในร่างกายถูกเผาผลาญได้ไม่เต็มที่ ทำให้เกิดไขมันในช่องท้องสะสมจำนวนมาก ดังนั้นจึงควรหากิจกรรมที่ได้เคลื่อนไหวระหว่างวันบ้าง เช่น การเดิน การวิ่ง

         

        1. ความเครียดและฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol)

         ไขมันในช่องท้อง เกิดจากความเครียด ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ร่างกายสะสมไขมันในช่องท้องมากกว่าปกติ ซึ่งเมื่อเราเกิดความเครียดนั้น ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนความเครียดในปริมาณสูง ซึ่งฮอร์โมนนี้จะเข้าไปกระตุ้นให้ตับสร้างน้ำตาลมากขึ้น เนื่องจากในภาวะเครียดร่างกายจะต้องการพลังงานมากกว่าปกติ โดยจะส่งผลให้หิวบ่อยขึ้น กินเยอะขึ้น และอาจจะทำให้เกิดไขมันในช่องท้องได้ 

         

        1. การนอนหลับไม่เพียงพอ

         ไขมันในช่องท้อง เกิดจากการนอนหลับไม่เพียงพอ หากร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือมีปัญหานอนหลับไม่เพียงพอ จะส่งผลต่อฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) และเลปติน (Leptin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมความหิวในร่างกาย ที่ทำให้กระตุ้นความอยากอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารประเภทของหวาน และของหวานที่มีไขมันสูง ซึ่งการรับประทานอาหารเหล่านี้มากเกินไป อาจจะทำให้เกิดการสะสมไขมันในช่องท้องที่มากขึ้น 

         

        1. การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก

         ไขมันในช่องท้อง เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดไขมันในช่องท้อง เนื่องจากแอลกอฮอล์นั้นมีแคลอรีที่สูง ทั้งยังทำให้ระบบเผาผลาญไขมันในร่างกายทำงานได้ช้าลง จึงเกิดเป็นไขมันส่วนเกินบริเวณรอบ ๆ เอว หรืออ้วนลงพุง

         

        1. พันธุกรรมและฮอร์โมนในร่างกาย

         ไขมันในช่องท้อง เกิดจากพันธุกรรมและฮอร์โมนในร่างกาย ในโรคบางโรคสามารถส่งต่อได้ทางพันธุกรรม โดยในบางคนนั้นอาจมีแนวโน้มที่จะสะสมไขมันในช่องท้อง นอกจากพันธุกรรมแล้ว ฮอร์โมนในร่างกาย ก็เป็นปัจจัยที่อาจส่งผลให้คุณมีไขมันในช่องท้อง เช่น การทำงานของอินซูลินที่ผิดปกติ หรือระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงในช่วงวัยหมดประจำเดือน ก็อาจทำให้เกิดไขมันในช่องท้องมากเกินไป

         

        โรคที่เกิดจากไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) 

         

        การมีไขมันในช่องท้องสะสมในปริมาณมาก ๆ อาจจะนำไปสู่โรคที่อันตรายต่อสุขภาพได้ ไขมันเหล่านี้จะไปแทรกและสะสมอยู่ตามอวัยวะภายในร่างกายบริเวณช่องท้อง ซึ่งโรคที่อาจเกิดขึ้นจากไขมันในช่องท้องที่มากเกินไป มีดังนี้

         

        • ไขมันในช่องท้องทำให้เกิด โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เนื่องจากไขมันเข้าไปกระตุ้นให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน
        • ไขมันในช่องท้องทำให้เกิด โรคไขมันในเลือดสูง เนื่องจากร่างกายจะกระตุ้นการสร้างไขมันเหลว หรือคอเลสเตอรอลมากกว่าไขมันดี
        • ไขมันในช่องท้องทำให้เกิด โรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากร่างกายมีระดับอินซูลินในเลือดสูง
        • ไขมันในช่องท้องทำให้เกิด โรคหัวใจ เนื่องจากไขมันเข้าไปเกาะอยู่ตามหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานหนัก และไขมันเข้าไปอุดตันในเส้นเลือด
        • ไขมันในช่องท้องทำให้เกิด โรคอัลไซเมอร์ เนื่องจากไขมันเข้าไปอุดตันตามหลอดเลือดแดง ทำให้มีเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ
        • ไขมันในช่องท้องทำให้เกิด ภาวะไขมันพอกตับ เนื่องจากไขมันจะเข้าไปขัดขวางกระบวนการเผาผลาญน้ำตาลของร่างกาย
        • ไขมันในช่องท้องทำให้เกิด ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) เนื่องจากไขมันเข้าไปขัดขวางการขยายตัวของปอด ทำให้หายใจไม่เป็นปกติ หรือร่างกายอาจหยุดหายใจขณะนอนหลับได้ ซึ่งอันตรายมาก
        • ไขมันในช่องท้องทำให้เกิด โรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือด เนื่องจากไขมันไปเกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตผิดปกติ 
        • ไขมันในช่องท้องทำให้เกิด โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เนื่องจากไขมันจะเข้าไปอุดตันเส้นเลือด ทำให้หลอดเลือดในสมองตีบ และนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง
        • ไขมันในช่องท้องทำให้เกิด ภาวะภูมิแพ้ เนื่องจากไขมันไปอุดตันอยู่ตามหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ

         

        สำหรับใครที่มีความกังวลว่าจะมีภาวะไขมันในช่องท้องสะสมมากเกินไปนั้น สามารถวัดไขมันในเลือด (วัด Total cholesterol, Triglycerides, HDL-c, LDL-c) เพื่อเช็กระดับไขมัน คอเลสเตอรอลชนิดดี คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีได้ จากนั้นควรปรึกษาแพทย์ เพื่อวางแผนการรักษาไขมันในช่องท้องต่อไป ซึ่งในแต่ละบุคคลนั้นก็จะมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันไป

         

        ไขมันในช่องท้อง (visceral fat) ต่างจากไขมันทั่วไปอย่างไร
        ไขมันในช่องท้อง (visceral fat) ต่างจากไขมันทั่วไปอย่างไร

         

        ไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) ต่างจากไขมันทั่วไป (Fat) อย่างไร?

        หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “ไขมันในช่องท้อง” หรือ Visceral Fat แต่ยังไม่เข้าใจว่าแตกต่างจากไขมันทั่วไปที่สะสมอยู่ตามร่างกายอย่างไร และเหตุใดการมีไขมันในช่องท้องชนิดนี้มากเกินไปจึงส่งผลต่อสุขภาพอย่างรุนแรง ในบทความนี้ เราจะพาคุณมาทำความรู้จักกับไขมันทั้งสองประเภท พร้อมเปรียบเทียบความแตกต่าง และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

         

        ไขมันในช่องท้อง คืออะไร ?

        ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) เป็นไขมันที่สะสมอยู่ภายในร่างกายบริเวณช่องท้อง โดยไขมันจะกระจายตัวรอบ ๆ อวัยวะสำคัญในช่องท้อง เช่น ตับ ตับอ่อน และลำไส้ ไขมันในช่องท้องชนิดนี้ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้จากภายนอก จำเป็นต้องตรวจเท่านั้น หากมีการสะสมไขมันในช่องท้องมากเกินไป อาจจะเกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคหัวใจ เบาหวานชนิดที่ 2 และโรคไขมันพอกตับ

         

        ไขมันทั่วไป คืออะไร ?

        นอกจาก ไขมันในช่องท้อง ร่างกายของเรายังมีไขมันอีกประเภท คือ ไขมันทั่วไป (Subcutaneous Fat) หรือไขมันที่อยู่บริเวณชั้นผิวหนัง จึงสามารถมองเห็นและสัมผัสได้ เกิดจากการที่ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความจำเป็น จากการที่รับประทานอาหารมากเกินไป และร่างกายไม่ได้เผาผลาญไขมันออกไป ทำให้เกิดไขมันส่วนเกินตามร่างกายได้ เช่น บริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา สะโพก ซึ่งไขมันประเภทนี้หากสะสมมากเกินไปอาจจะทำให้น้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลง และรูปลักษณ์เปลี่ยนไปได้

         

        ไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) มีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร ?

        ไขมันในช่องท้อง จัดว่าเป็นไขมันชนิดที่มีความอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากสามารถผลิตสารอักเสบและฮอร์โมนที่รบกวนระบบเผาผลาญของร่างกาย ไขมันในช่องท้อง เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลาย ๆ โรค ไม่ว่าจะเป็น 

        • ไขมันในช่องท้องเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากไขมันในช่องท้องจะเข้าไปเพิ่มความดันโลหิตให้สูงขึ้น และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ให้สูงขึ้น จนอาจจะเกิดอันตรายได้
        • ไขมันในช่องท้องเพิ่มโอกาสการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เนื่องจากเข้าไปรบกวนการทำงานของอินซูลิน ทำให้ร่างกายเกิดภาวะดื้ออินซูลีน
        • ไขมันในช่องท้องเพิ่มการกระตุ้นการสะสมไขมันพอกตับ เนื่องจากไขมันในช่องท้องที่มากเกินไป จะเข้าไปสะสมแทรกตัวบริเวณตับ ทำให้เกิดไขมันพอกตับ และอาจจะพัฒนาเป็นโรคร้ายได้

         

        พฤติกรรมที่ทำให้คุณมีไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) โดยไม่รู้ตัว

        • การรับประทานอาหารที่มีแคลอรีสูงและน้ำตาลมาก เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารแปรรูป หรือขนมหวาน
        • ขาดการออกกำลัง นั่ง หรือนอน ในเวลานาน
        • การนอนหลับไม่เพียงพอ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการนอน
        • ความเครียดสะสม หรือเครียดเรื้อรัง
        • การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
        • การดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้บรรจุกล่อง และเครื่องดื่มชูกำลัง
        • การรับประทานอาหารดึกบ่อย ๆ
        • การดื่มน้ำไม่เพียงพอ ดื่มน้ำน้อยเกินไป

         

        5 วิธีลดขมันในช่องท้อง (visceral fat)
        5 วิธีลดขมันในช่องท้อง (visceral fat)

         

        มัดรวม 5 วิธีลดไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) ด้วยตัวเอง

        • ทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อลดไขมันในช่องท้อง

        ควรทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็น ไขมันดี โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และผักที่มีกากใยสูง ที่จะช่วยทำให้ร่างกายสุขภาพดี และยังช่วยลดการเกิดไขมันในช่องท้อง

         

        • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

        การออกกำลังกาย ทั้งแบบคาร์ดิโอ และแบบเวทเทรนนิ่ง จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี ซึ่งกล้ามเนื้อนั้นจะช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงานจากน้ำตาลและไขมันในร่างกายได้ ซึ่งจะทำให้ไขมันในร่างกายลดลง ทั้งยังช่วยลดไขมันในช่องท้องได้ ซึ่งควรหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

         

        • พักผ่อนให้เพียงพอ

        อยากลดไขมันช่องท้องต้อง พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับให้เหมาะสมจะช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) และฮอร์โมนความหิวอย่างเกรลิน (Ghrelin) และเลปติน (Leptin) ทำให้ร่างกายลดความอยากอาหารมากเกินความจำเป็น และช่วยลดการสะสมไขมันในช่องท้อง ซึ่งเวลานอนที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 6-7 ชั่วโมงต่อวัน ที่จะช่วยลดไขมันในช่องท้อง และช่วยปรับสมดุลสุขภาพโดยรวม เช่น ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ เบาหวาน และปัญหาน้ำหนักเกิน

         

        • ควบคุมความเครียด

        ความเครียดไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต แต่ยังส่งผลกระทบต่อร่างกาย โดยเฉพาะการสะสมไขมันในช่องท้อง เนื่องจากหากเกิดความเครียดเรื้อรังร่างกายจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ฮอร์โมนความเครียด ที่ส่งผลให้ร่างกายสะสมไขมันในช่องท้องมากขึ้น ดังนั้นการควบคุมความเครียด หรือลดความเครียดจะช่วยลดการหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้ 

         

        • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

        การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำนั้น เป็นตัวการที่ทำให้เกิดภาวะน้ำหนักเกิน และเกิดการสะสมไขมันในช่องท้องที่มากเกินไป เพราะทำให้ประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงานลดลง นอกจากนี้ยังส่งผลต่อโรคอื่น ๆ อีกด้วย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

         

        ลดไขมัน กับลดน้ำหนัก ต่างกันอย่างไร
        ลดไขมัน กับลดน้ำหนัก ต่างกันอย่างไร

         

        ลดไขมัน กับ ลดน้ำหนัก ต่างกันอย่างไร ?

        การลดน้ำหนัก ไม่เท่ากับ การลดไขมัน หรือน้ำหนักที่น้อยไม่ได้แปลว่าหุ่นดี หรือมีสุขภาพที่ดี เพราะร่างกายของเรานั้นประกอบด้วยหลาย ๆ องค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น น้ำ ไขมัน หรืออวัยวะภายใน หากต้องการลดไขมันในช่องท้อง ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก และการลดไขมัน 

         

        ลดน้ำหนัก

        การลดน้ำหนัก หมายถึง การทำให้ตัวเลขบนตาชั่งลดลง ซึ่งสามารถทำได้ง่ายในระยะสั้น โดยวิธีนี้จะทำให้ร่างกายเกิดการสูญเสียน้ำ และสูญเสียกล้ามเนื้อ เช่น การอดอาหาร หรือการลดปริมาณอาหารแบบหักดิบทันที ซึ่งวิธีนี้อาจจะเห็นผลลัพธ์ได้ไวทันที แต่อาจจะส่งผลไม่ดีต่อสุขภาพ และไม่ช่วยลดไขมันในช่องท้องในระยะยาว ทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดโยโย่เอฟเฟกต์ และอาจจะทำให้สัดส่วนของร่างกายดูไม่กระชับ ไม่ดูสุขภาพดี

         

        ลดไขมัน

        การลดไขมัน จะมุ่งเน้นไปที่การลดปริมาณไขมันในร่างกายอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับการมีสุขภาพดีและรูปร่างที่กระชับ โดยไขมันที่ควรลด คือ ไขมันใต้ผิวหนัง และไขมันในช่องท้อง ที่ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น ไขมันที่สะสมอยู่บริเวณต้นแขน ต้นขา สะโพก และหน้าท้อง หรือไขมันในช่องท้องที่เกาะอยู่รอบอวัยวะสำคัญ เช่น ลำไส้ ตับ ไต การลดไขมันจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง ช่วยรักษากล้ามเนื้อไว้ และทำให้ระบบเผาผลาญยังทำงานได้ดี จึงทำให้สุขภาพดีในระยะยาว และยังทำให้รูปร่างกระชับและสัดส่วนเล็กลง

        อาหารที่ช่วยลดไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

        1. ผักใบเขียว

        อาหารที่มีส่วนช่วยลดการสะสมไขมันในช่องท้อง คือ ผักใบเขียว ที่เป็นแหล่งไฟเบอร์ที่สำคัญ นอกจากจะช่วยเพิ่มความอิ่ม ลดความอยากอาหาร และทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นแล้วนั้น ผักใบเขียวยังช่วยลดการสะสมไขมันในช่องท้องได้เป็นอย่างดี เช่น ผักโขม คะน้า บรอกโคลี หรือผักกาดหอม

         

        1. ธัญพืชเต็มเมล็ด 

        อาหารที่ช่วยลดไขมันในช่องท้อง คือ ธัญพืชเต็มเมล็ด (Whole Grains) ได้แก่ ข้าวกล้อง ควินัว ข้าวโอ๊ต และขนมปังโฮลวีต เป็นไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันในช่องท้อง ป้องกันการสะสมของไขมัน และยังช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ สามารถใช้แทนข้าวขาวได้

         

        1. ผลไม้ที่มีไฟเบอร์และน้ำตาลต่ำ

        อาหารที่ช่วยลดไขมันในช่องท้อง คือ ผลไม้ที่มีไฟเบอร์และน้ำตาลต่ำ การเลือกทานผลไม้ที่มีไฟเบอร์และน้ำตาลต่ำ เช่น แอปเปิล  เบอร์รี กีวี และเกรปฟรุต จะช่วยลดการสะสมไขมันในช่องท้อง และเนื่องจากผลไม้มีไฟเบอร์สูง มีน้ำตาลที่ต่ำ และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพ

         

        1. โปรตีนไขมันต่ำ

        อาหารที่ช่วยลดไขมันในช่องท้อง คือ โปรตีนไขมันต่ำ การเลือกทานโปรตีน จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน ลดการสะสมของไขมันในช่องท้อง และยังช่วยลดความหิวระหว่างวันได้ ทั้งนี้โปรตีนที่ดีต่อสุขภาพนั้น ควรเป็นโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อไก่ไม่ติดหนัง เนื้อปลา ไข่ขาว และถั่วชนิดต่างๆ และควรหลีกเลี่ยงโปรตีนที่มีแคลอรี่สูง และมีไขมัน

         

        1. ไขมันดี

        อาหารที่ช่วยลดไขมันในช่องท้อง คือ ไขมันดี (Healthy Fats) การเลือกทานไขมันดี จะช่วยลดการอักเสบและช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในช่องท้องได้เป็นอย่างดี เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบในปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน อะโวคาโด และถั่วอัลมอนด์ 

         

        1. น้ำเปล่า

        อาหารที่ช่วยลดไขมันในช่องท้อง คือ น้ำเปล่า การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ประมาณ 6- 8 แก้วต่อวัน จะช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญให้ทำงานดีขึ้น และยังช่วยลดการสะสมไขมันในช่องท้อง ทั้งยังช่วยขจัดสารพิษ และลดอาการบวมโซเดียมได้เป็นอย่างดี การดื่มน้ำเปล่านั้นจะช่วยทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

         

        อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) 

        • อาหารแปรรูป เช่น ขนมขบเคี้ยว ไส้กรอก หรืออาหารสำเร็จรูป
        • เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ชานมไข่มุก 
        • ไขมันทรานส์ เช่น ขนมอบ หรืออาหารทอด
        • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด 

         

        ไขมันในช่องท้อง เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่หลาย ๆ คนต่างพบเจอ โดยเฉพาะเหล่าวัยทำงานที่มีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ ไม่ว่าจะเป็น การทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ การเคลื่อนไหวร่างกายน้อย หรือนั่งนานเกินไป การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณที่เยอะ รวมถึงความเครียดสะสม ซึ่งการมีไขมันในช่องท้องที่เยอะนั้น จะส่งผลให้เกิดโรคหลาย ๆ โรคตามมาได้ ดังนั้นการดูแลตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีในระยะยาวแบบปลอดภัย และมีความสุข หากต้องการตัวช่วยในการลดไขมันในช่องท้องเพื่อสุขภาพสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ >>https://bit.ly/Romrawinclinic

        Ultherapy Prime ยกหน้าตึง ดึงผิวให้กระชับ ส่งท้ายปี 2024

        Ultherapy Prime ยกหน้า

        Ultherapy Prime ยกหน้าตึง ดึงผิวให้กระชับ ส่งท้ายปี 2024

         

        เดินทางมาถึงเดือนสุดท้ายของปี 2024 ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง บอกลาผิวหน้าที่เคยหย่อนคล้อย เหี่ยวย่น ดูแก่กว่าวัย เป็นผิวยกกระชับ เป๊ะปัง เหมือนได้หน้าใหม่ ผิวเนียนละเอียดกว่าเดิม วันนี้ รมย์รวินท์คลินิก มีตัวช่วยดี ๆ มาบอก! สำหรับใครที่อยากอัปเกรดผิวตัวเองส่งท้ายปี และกำลังมองหาตัวช่วยยกกระชับผิวหน้าอยู่ รมย์รวินท์ขอแนะนำให้รู้จักกับ Ultherapy Prime ขั้นสุดของเทคโนโลยียกระชับ ที่อัปเกรดใหม่ล่าสุดในรอบ 15 ปี ซึ่งมีความปลอดภัยสูง สามารถยกกระชับผิวได้ดีกว่าเดิม โดยไม่ต้องมีการผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น

         

        ส่งท้ายปี 2024 ด้วย Ultherapy Prime ปฏิวัติวงการยกกระชับ เก็บหมดทุกความหย่อนคล้อย 

        ผิวหย่อนคล้อย คืออะไร?

        ผิวหย่อนคล้อย คือ สภาพผิวที่สูญเสียความยืดหยุ่น และความกระชับ จนทำให้ผิวเต่งตึงน้อยลง และค่อย ๆ หย่อนคล้อยลงมาตามบริเวณต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก รอบดวงตา และลำคอ ซึ่งปัญหานี้ ถือเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้เมื่ออายุมากขึ้น แต่ก็มีปัจจัยอื่น ๆ ที่กระตุ้นให้ผิวหย่อนคล้อยก่อนวัยได้เช่นกัน ไม่ว่าเป็นการพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด หรือแม้แต่รังสี UV ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผิวหย่อนคล้อย ดูแก่กว่าวัยได้

         

        Ultherapy prime ยกกระชับแบบไม่ต้องผ่าตัด
        Ultherapy prime ยกกระชับแบบไม่ต้องผ่าตัด

         

        ผิวหย่อนคล้อย เกิดจากอะไร?

        • อายุที่มากขึ้น

        เมื่ออายุมากขึ้น การผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินในร่างกายจึงลดน้อยลง ส่งผลให้โครงสร้างผิวอ่อนแอ และผิวสูญเสียความยืดหยุ่น จนทำให้ผิวดูหย่อนคล้อย และไม่เต่งตึงเหมือนเดิม

        • พันธุกรรม

        พันธุกรรม ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวหย่อนคล้อยได้เช่นกัน หากเรามีพันธุกรรมที่ทำให้ผิวยืดหยุ่น หรือผลิตคอลลาเจนออกมาน้อยกว่าปกติ อาจส่งผลให้ผิวมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอย และความหย่อนคล้อยได้เร็วกว่าคนอื่น 

        • ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง

        การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ก็มีส่วนทำให้ผิวหย่อนคล้อยได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่กำลังเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เริ่มลดลง ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น และเกิดความหย่อนคล้อยได้ง่ายขึ้น

        • รังสี UV 

        รังสี UV ในแสงแดด เป็นตัวการสำคัญในการทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ให้แตกตัวและเสื่อมสภาพลง อีกทั้ง ยังทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสารที่ทำลายเซลล์ผิว และเร่งกระบวนการให้ผิวแก่ก่อนวัย ส่งผลให้เกิดริ้วรอย และความหย่อนคล้อยบนใบหน้าได้

        • ความเครียด

        เมื่อรู้สึกเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมา ซึ่งส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว โดยฮอร์โมนนี้ จะเข้าไปยับยั้งการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน เมื่อคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง ผิวจึงเริ่มสูญเสียความยืดหยุ่น และเกิดการหย่อนคล้อยตามมา

        • พักผ่อนไม่เพียงพอ

        การนอนหลับไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายไม่สามารถหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งส่งผลให้ผิวหนังเกิดความหย่อนคล้อย มีริ้วรอย และเหี่ยวย่นได้ง่าย

        • สูบบุหรี่

        สารพิษต่าง ๆ ในบุหรี่ สามารถเร่งให้ผิวหนังเสื่อมสภาพได้โดยตรง โดยการทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว รวมถึง ยังสร้างสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการที่ทำร้ายเซลล์ผิว ส่งผลให้ผิวยิ่งขาดความยืดหยุ่น จนใบหน้าหย่อนคล้อยเร็วมากขึ้น

        • ลดน้ำหนักรวดเร็ว

        เมื่อมีการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ผิวหนังที่เคยยืดออกเพื่อรองรับไขมันนั้น อาจไม่สามารถหดตัว หรือคืนสู่สภาพเดิมได้ทันที ทำให้ผิวบริเวณต่าง ๆ เกิดความหย่อนคล้อย ย้วย และไม่กระชับได้

         

        Ultherapy Prime ทางเลือกยกกระชับผิวเจนใหม่ โดยไม่ต้องผ่าตัด

        Ultherapy Prime คืออะไร?

        Ultherapy Prime คือ เทคโนโลยียกกระชับผิว ที่ถูกพัฒนาต่อยอดขึ้นมาจากเครื่อง Ulthera รุ่นก่อน โดยใช้พลังงาน Micro-Focused Ultrasound ที่มีความเข้มข้นสูง ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว สามารถทำการรักษาได้ที่หลายระดับความลึกของชั้นผิว ตั้งแต่ 1.5 มม. 3 มม. และ 4.5 มม. ลงลึกได้ถึงชั้น SMAS จึงยกกระชับผิวได้อย่างครอบคลุม และตรงจุดมากขึ้น

        อีกทั้ง Ultherapy Prime ยังมีฟังก์ชันในการสร้างภาพผ่านจอแบบเรียลไทม์ และมีหน้าจอแสดงผลใหญ่ขึ้นถึง 35% จึงทำให้แพทย์สามารถเห็นโครงสร้างผิวได้อย่างชัดเจนขณะทำ และสามารถทำการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ และเพิ่มความแม่นยำในการส่งพลังงานไปยังจุดที่เหมาะสม โดยมีการทำการรักษาไปแล้วกว่า 3 ล้านเคสทั่วโลก

         

        Ultherapy Prime มีข้อดีอะไรบ้าง?

        • Ultherapy Prime มีหน้าจอใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 35% ซึ่งมีความละเอียดสูง และมีความคมชัดระดับ Full HD
        • Ultherapy Prime มีการประมวลผลรวดเร็วขึ้น ทำงานไว ศักยภาพสูง ได้ผลลัพธ์เพิ่มขึ้นถึง 20%
        • Ultherapy Prime เพิ่มความแม่นยำในการรักษา ทำให้สามารถยิงพลังงานได้อย่างตรงจุดมากขึ้น
        • Ultherapy Prime มีความสะดวก และประหยัดเวลามากกว่าเดิม
        • Ultherapy Prime สามารถพิสูจน์ผลลัพธ์หลังทำการรักษามากกว่า 3 ล้านเคสทั่วโลก
        • Ultherapy Prime ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก US FDA หรือ อย. อเมริกา
        • Ultherapy Prime สามารถยกกระชับผิว ในทุกระดับชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
        • Ultherapy Prime สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
        • Ultherapy Prime ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องเจ็บตัว

         

        Ultherapy Prime เหมาะกับใคร?

        • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ
        • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ บนใบหน้า
        • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้า และลำคอ
        • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่ต้องการพักฟื้นนาน
        • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้กรอบหน้าชัด 
        • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป 
        • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมีผิวหน้าอ่อนกว่าวัย 
        • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวหน้า

         

        สัมผัสประสบการณ์ยกกระชับผิวด้วย Ultherapy Prime ก่อนใครที่ รมย์รวินท์ 

        สำหรับใครที่อยากยกกระชับผิวหน้าส่งท้ายปี Ultherapy Prime คือคำตอบ ทางเลือกใหม่ในการยกกระชับผิวที่มีความแม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูง สามารถยกกระชับผิวได้อย่างครอบคลุม ทั้งใบหน้า และลำคอ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์กับ รมย์รวินท์คลินิก ได้แล้ววันนี้ ทุกสาขา รีบมายกกระชับผิวหน้า ให้ดูอ่อนกว่าวัยก่อนสิ้นปีนี้กันนะคะ

         

        น้องโกโกวาแก้มเยอะ เหนียงชัด อยากลดแก้ม ลดเหนียงทำอย่างไรดี

        โกโกวา

        น้องโกโกวาแก้มเยอะ เหนียงชัด อยากลดแก้ม ลดเหนียงทำอย่างไรดี?

         

        มีใครเป็นแฟนคลับน้องโกโกวากันบ้าง? ล่าสุดน้องโกโกวา บุคแลนด์มาร์กใจกลางเมืองกรุงเทพ เล่นใหญ่สมการรอคอย กับการกลับมาของ Squid Game 2 ซึ่งจุดเด่นของน้องโกโกวาในครั้งนี้ คือ ขนาดตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มาพร้อมกับแก้มและเหนียงที่ดูเด่นชัดมาก แต่รู้หรือไม่ว่าปัญหาแก้มเยอะ แก้มห้อย เหนียงชัดนี่แหละที่ทำให้หลาย ๆ คนกังวลใจ จนขาดความมั่นใจได้เลยทีเดียว 

        สำหรับใครที่มีแก้มเยอะ เหนียงชัดแบบน้องโกโกวา ถึงเวลาต้องรีดไขมันออก! วันนี้ รมย์รวินท์คลินิก จะมาเปิดเผยเคล็ดลับที่ทำให้แก้ม และเหนียงหายไปจนหมดสิ้น เปลี่ยนจากสาวแก้มเยอะ เหนียงชัด ให้กลายเป็นสาวหน้าเรียวแบบง่าย ๆ แต่จะเป็นหัตถการอะไรนั้น บทความนี้เตรียมมาให้แล้วค่ะ

         

        โกโกวา
        ถึงเวลารีดไขมันออกด้วย Oligio

        แก้มเยอะ เหนียงชัดแบบน้องโกโกวา ถึงเวลารีดไขมันออก ฉบับรมย์รวินท์

        สาเหตุของไขมันแก้มเยอะ เหนียงชัด มีอะไรบ้าง?

        • ปัญหาไขมันแก้มเยอะ เหนียงชัดจาก พันธุกรรม

        ลักษณะโครงสร้างใบหน้า และการสะสมของไขมัน สามารถถูกส่งต่อทางพันธุกรรมได้ หากมีบุคคลในครอบครัวมีไขมันบริเวณแก้ม หรือเหนียงเยอะ อาจทำให้เรามีโอกาสสูงที่จะมีแก้ม หรือเหนียงเยอะตามไปด้วย

        • ปัญหาไขมันแก้มเยอะ เหนียงชัดจาก อายุ

        เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ผิวหนังจะเริ่มสูญเสียคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้เกิดความหย่อนคล้อย ซึ่งส่งผลให้ไขมันบริเวณแก้ม และเหนียงสามารถเห็นได้ชัดมากขึ้น

        • ปัญหาไขมันแก้มเยอะ เหนียงชัดจาก พฤติกรรมการกิน

        การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ของทอด ขนมหวาน และอาหารแปรรูป รวมถึง การดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง อาจทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความจำเป็น จนถูกสะสมเป็นไขมันส่วนเกิน โดยเฉพาะบริเวณแก้ม และเหนียง

        • ปัญหาไขมันแก้มเยอะ เหนียงชัดจาก ขาดการออกกำลังกาย

        การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ มีส่วนช่วยในการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน หากขาดการออกกำลังกาย หรือไม่ออกกำลังกายเลย อาจทำให้ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้อย่างเต็มที่ จนไขมันเข้าไปสะสมอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ รวมถึง บริเวณแก้ม และเหนียงอีกด้วย

        • ปัญหาไขมันแก้มเยอะ เหนียงชัดจาก น้ำหนักตัว

        การมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ไขมันส่วนเกินจะเข้าไปสะสมอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมถึง บริเวณแก้ม และเหนียง ทำให้ใบหน้าดูบาน แก้มเยอะ และเหนียงเด่นชัดมากขึ้น

        • ปัญหาไขมันแก้มเยอะ เหนียงชัดจาก ฮอร์โมน

        การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย มีผลกระทบต่อระบบเผาผลาญไขมัน ทำให้ไขมันสะสมได้ง่าย โดยเฉพาะในบริเวณแก้ม และเหนียง 

         

        Oligio เทคโนโลยีลดแก้ม หดเหนียง เก็บครบทุกไขมัน 

        ทำความรู้จัก Oligio คืออะไร?

        Oligo คือ เทคโนโลยียกกระชับ พร้อมสลายไขมันในเครื่องเดี่ยว โดยใช้คลื่นวิทยุ (Monopolar RF) ที่มีความถี่สูง 6.78 MHz สามารถปรับโหมดได้ถึง 3 โหมด ได้แก่ โหมดเดี่ยว โหมดคู่ และโหมดอัตโนมัติ โดยจะแทรกซึมเข้าสู่ผิวชั้นลึกได้อย่างตรงจุด เจาะลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Fat) ทำให้เกิดความร้อนอุณหภูมิ 40 – 60 องศา ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และจัดเรียงคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้โครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้น รวมทั้ง ยังสามารถสลายเซลล์ไขมันส่วนเกินใต้ผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณแก้ม และเหนียง ทำให้ไขมันค่อย ๆ สลายหายไป และถูกขับออกจากร่างกายตามธรรมชาติ

        นอกจากนี้ ยังมีระบบเซ็นเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิ ที่จะช่วยควบคุมอุณหภูมิขณะทำ หากมีความร้อนสูงเกินไป เครื่องจะหยุดการทำงานทันที และมีระบบปล่อยความเย็น Cooling System ที่จะช่วยลดความแสบร้อนขณะทำ ทำให้การรักษามีความปลอดภัย และลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดผิวไหม้ ผิวเบิร์น

         

        Oligio ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

        • Oligio ช่วยลดเลือนริ้วรอย และร่องลึกต่าง ๆ 
        • Oligio ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ผิวหนัง
        • Oligio ช่วยยกกระชับใบหน้าที่หย่อนคล้อย
        • Oligio ช่วยสลายไขมันส่วนเกิน บริเวณแก้ม และเหนียง
        • Oligio ช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กลง
        • Oligio ช่วยปรับกรอบหน้าให้คมชัด ดูมีมิติมากขึ้น
        • Oligio ช่วยให้ผิวเรียบเนียน รูขุมขนกระชับ
        • Oligio ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับผิว
        • Oligio ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิว ผิวดูสุขภาพดี

         

        ใครที่เหมาะกับการทำ Oligio?

        • Oligio เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีริ้วรอย มีร่องลึกต่าง ๆ 
        • Oligio เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับ ให้ผิวแน่นเฟิร์ม
        • Oligio เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีกรอบหน้าไม่คมชัด
        • Oligio เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีไขมันสะสม บริเวณแก้ม และเหนียง
        • Oligio เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย มีแก้มห้อย 
        • Oligio เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง
        • Oligio เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิว
        • Oligio เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เล็กลง
        • Oligio เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการชะลอความหย่อนคล้อยก่อนวัย

         

        Oligio ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับ พร้อมลดไขมันแก้ม และเหนียงในเครื่องเดียว ซึ่งมีความปลอดภัยสูง หลังทำเสร็จไม่ต้องมีการพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที สำหรับใครที่สนใจทำ Oligio รมย์รวินท์คลินิก ยินดีให้บริการ สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินผิวหน้า และวิเคราะห์ปัญหาได้ทุกสาขาค่ะ

        Switch Game เปลี่ยนหน้ายับ เป็นหน้ายกที่ รมย์รวินท์

        Switch Game

        Switch Game เปลี่ยนหน้ายับ เป็นหน้ายกที่ รมย์รวินท์

         

        เมื่อหน้ายับ ริ้วรอยเยอะ ผิวเหี่ยวย่น มีรอยพับเต็มไปหมด จะทนไปทำไมกับหน้ายับแบบเดิม ๆ ถึงเวลาแล้วที่จะพลิกเกม เตรียมล็อกหน้ายก บล็อกหน้ายับทุกด่าน เปิดศึกท้าชนทุกรอยพับ ปราบทุกปัญหาผิวหน้าให้อยู่หมัด ไม่ต้องทนหน้ายับอีกต่อไป ด้วยโปรแกรม FIXLIFT มิติใหม่แห่งการยกกระชับ อัปเลเวลความสวยไปอีกขั้น โดยไม่ต้องผ่าตัดจาก รมย์รวินท์คลินิก พร้อมเก็บทุกรอยยับ เย็บตึงทุกรอยพับให้หมดไป ยกได้ทั้งหน้าและคอไปพร้อมกัน ไม่ว่าเกมไหนก็พร้อมวินทุกมิชชั่น 

         

        ยกหน้ายับ อัปหน้าเด็กด้วย FIX LIFT
        ยกหน้ายับ อัปหน้าเด็กด้วย FIX LIFT

        ท้าชนทุกรอยยับ บอกลาทุกรอยพับกับ “Switch Game”

        หน้ายับ หน้าย่น คืออะไร?

        หน้ายับ หน้าย่น คือ ลักษณะของผิวหน้าที่มีความเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย ดูมีรอยพับอย่างชัดเจน ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิต และอายุที่มากขึ้น ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น และขาดความกระชับ จนเกิดเป็นรอยพับ ใบหน้ายับ ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียน โดยสามารถเห็นได้ชัดในบริเวณที่มีการแสดงสีหน้าบ่อย ๆ เช่น หน้าผาก ร่องแก้ม หรือรอบดวงตา 

        หน้ายับ หน้าย่น เกิดจากอะไร?

        อายุที่เพิ่มขึ้น 

        • เมื่ออายุมากขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายของเราจะเริ่มผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินน้อยลงทุก ๆ ปี ทำให้ผิวค่อย ๆ เสื่อมสภาพ ขาดความยืดหยุ่น จนเกิดเป็นริ้วรอย ใบหน้ายับ และเหี่ยวย่นได้ง่าย

        แสงแดด 

        • รังสี UV จากแสงแดด สามารถทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวได้ เมื่อคอลลาเจนและอีลาสตินเริ่มเสื่อมสภาพลง ผิวก็จะเริ่มขาดความชุ่มชื้น จนเกิดริ้วรอย รอยย่น ร่องลึก และดูหมองคล้ำได้ง่ายขึ้น

        การแสดงออกทางสีหน้า 

        • การแสดงออกทางสีหน้า ไม่ว่าจะเป็นการยิ้ม หัวเราะ ขมวดคิ้ว หรือเลิกคิ้ว ทำให้กล้ามเนื้อใต้ผิวหนังเกิดการหดตัวซ้ำ ๆ เมื่อมีการแสดงออกทางสีหน้าบ่อย ๆ ส่งผลให้เกิดรอยพับ หรือเกิดริ้วรอยได้อย่างชัดเจนบนผิวหน้า เช่น หน้าผาก รองดวงตา 

        การสูบบุหรี่ 

        • สารนิโคตินในบุหรี่ สามารถเข้าไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่ตึงกระชับ จนเกิดเป็นริ้วรอย หรือรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยได้ อีกทั้ง การสูบบุหรี่ยังเป็นการลดการไหลเวียนเลือด ทำให้เซลล์ผิวได้รับออกซิเจน และสารอาหารไม่เพียงพอ ผิวจึงดูหมองคล้ำ ไม่สดใส และแก่ก่อนวัยได้ง่าย

        การนอนหลับไม่เพียงพอ 

        • การนอนหลับ พักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมตัวเอง และฟื้นฟูเซลล์ผิวได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ผิวดูหมองคล้ำ เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ง่าย อีกทั้ง การนอนหลับไม่เพียงพอ ยังทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมาเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผิวเกิดการอักเสบ ขาดความยืดหยุ่น และเกิดรอยเหี่ยวย่นได้

        พันธุกรรม 

        • พันธุกรรมมีส่วนสำคัญในการกำหนดโครงสร้างผิวต่าง ๆ ในร่างกาย หากมีโครงสร้างผิวที่อ่อนแอ หรือบอบบาง อาจมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าปกติ

        สภาพแวดล้อม 

        • สภาพแวดล้อมที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน ทั้งมลภาวะ ฝุ่นละออง ควันพิษ และสารเคมีต่าง ๆ ล้วนส่งผลให้เซลล์ผิวเกิดกระบวนการออกซิเดชันเพิ่มขึ้น จนเกิดอนุมูลอิสระในผิวหนัง ซึ่งเป็นการเร่งให้ผิวแก่ก่อนวัย และทำให้ผิวอักเสบ ดูหมองคล้ำง่ายมากขึ้น

         

        ยกหน้ายับ อัปผิวเด็ก ด้วยโปรแกรม FIXLIFT 

        ทำความรู้จักโปรแกรม FIXLIFT คืออะไร ?

        โปรแกรม FIXLIFT คือ โปรแกรมยกกระชับที่ผสาน 2 เทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ได้แก่ เทคโนโลยีคลื่นวิทยุ RF (Radio Frequency) และไมโครนีดลิ่ง (Microneedling) โดยคลื่นวิทยุ RF จะส่งพลังงานความร้อนไปในชั้นผิวหนัง โดยเฉพาะชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว (Subcutaneous Fat) ทำให้เกิดการกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน พร้อมช่วยให้คอลลาเจนจัดเรียงตัวใหม่ โดยไม่ทำให้ผิวชั้นบนเกิดความเสียหาย หรือเกิดผิวไหม้ ผิวเบิร์นหลังทำ ซึ่งจะทำร่วมกับเทคโนโลยี Microneedling ที่ประกอบไปด้วย หัวทิปที่เป็นเข็มขนาดเล็กเคลือบทองคำ “Golden Micro Pins” จำนวน 24 เข็มสำหรับผิวหน้า และ 40 เข็มสำหรับลำตัว เจาะลงไปยังผิวหนังเพื่อสร้างบาดแผลในชั้นผิว ทำให้ร่างกายของเราเกิดการซ่อมแซมตัวเอง โดยการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ 

        ซึ่งการผสมผสานของ 2 เทคโนโลยีนี้ ทำให้โปรแกรม FIXLIFT สามารถยิงพลังงานโฟกัสได้ในทุกชั้นผิว ปรับระดับความลึกของพลังงานได้ ตั้งแต่ 0.5 ไปจนถึง 4 มิลลิเมตรสำหรับใบหน้า และสูงสุด 7 มิลลิเมตรสำหรับลำตัว ส่งผลให้ผิวที่เหี่ยวย่นกลับมาแน่นกระชับ เต่งตึง ดูอ่อนเยาว์ แก้ปัญหาหน้ายับ ผิวหย่อนคล้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งใบหน้า ลำคอ และลำตัว

         

        โปรแกรม FIXLIFT มีข้อดีอย่างไร ?

        • โปรแกรม FIXLIFT สามารถส่งพลังงานลงลึกได้ทุกระดับชั้นผิว
        • โปรแกรม FIXLIFT สามารถยกกระชับผิวให้เรียบเนียน จัดการรอยเหี่ยวย่นให้เรียบตึง ทั้งผิวหน้า และลำตัว
        • โปรแกรม FIXLIFT สามารถลดเลือนริ้วรอย และร่องลึกต่าง ๆ ให้ตื้นขึ้น ทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย
        • โปรแกรม FIXLIFT สามารถปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ แก้ปัญหาเม็ดสีใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวดูสว่าง กระจ่างใส
        • โปรแกรม FIXLIFT สามารถสลายไขมัน ลดแก้ม เหนียง และคางสองชั้นได้อย่างตรงจุด
        • โปรแกรม FIXLIFT สามารถรักษาได้ทุกโทนสีผิว โดยไม่ทำให้ผิวไหม้ ผิวเบิร์น
        • โปรแกรม FIXLIFT ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
        • โปรแกรม FIXLIFT มีความปลอดภัย ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก US FDA และ TH FDA

         

        หยุดผิวยับได้แล้ววันนี้ ที่ รมย์รวินท์คลินิก

        สำหรับใครที่มีปัญหาหน้ายับ ผิวเหี่ยวย่น ดูแก่กว่าวัย โปรแกรม FIXLIFT คือทางออก! ที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ไม่ตึงกระชับ สามารถจัดการได้หมดทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแบบไหนก็เรียบได้ ไม่ต้องทนอยู่กับหน้ายับแบบเดิม ๆ อีกต่อไป สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้แล้ววันนี้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา ด้วยทีมแพทย์ที่มีความรู้ความเข้าใจ ด้านโครงสร้างผิวหน้าโดยเฉพาะ สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด เพื่อให้ผิวกลับมากระชับ มั่นใจ ไม่มียับแน่นอน

        อวดผิวไบร์ท ทลายฝ้า ก่อนฉลองคริสต์มาส

        คริสต์มาส

        อวดผิวไบร์ท ทลายฝ้า ก่อนฉลองคริสต์มาส

        Ho Ho Ho! ใกล้เข้ามาแล้ว กับเทศกาลคริสต์มาสที่ทุกคนรอคอย ซึ่งเป็นเทศกาลแห่งความสุขที่ทุกคนล้วนเฉลิมฉลอง ออกมาปาร์ตี้ และออกมาทำคอนเทนต์ ถ่ายรูปสวย ๆ กันแบบจัดเต็ม แต่ไม่ว่าจะดูแลผิวหน้าแค่ไหน ผิวหน้าของเราก็ดูเหมือนจะยังไม่พร้อมอยู่ดี มีทั้งฝ้าแดด ฝ้าตื้น ฝ้าลึกเต็มไปหมด 

        ถึงเวลาแล้วที่จะทวงคืนผิวใส ปลุกความไบร์ทให้ผิวในทุกระดับ ไม่ต้องกลัวกล้องสด ไม่ต้องขอพรจากซานต้าอีกต่อไป เตรียมมีผิวใหม่ บอกลาฝ้ากวนใจ เปล่งประกาย จนใคร ๆ ต้องหันมามอง พร้อมออกไปเฉิดฉายในทุกปาร์ตี้ ทำคอนเทนต์ให้ทันก่อนคริสต์มาสนี้ ผิวสวยเหมือนรีทัชกริบทุกงานผิว แค่มาที่ รมย์รวินท์คลินิก

         

        กู้ผิวครบสูตรจบทุกปัญหาฝ้า ด้วย NUPICO BRIGHT
        กู้ผิวครบสูตรจบทุกปัญหาฝ้า ด้วย NUPICO BRIGHT

        ฝ้า คืออะไร?

        ฝ้า (Melasma) เป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยในผู้หญิง มักมีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อน ไปจนถึงน้ำตาลเข้มบนผิวหนัง ซึ่งเกิดจากเซลล์เม็ดสีเมลานินใต้ผิวหนังทำงานผิดปกติ ทำให้เม็ดสีผลิตออกมามากจนเกินไป จนสะสมรวมกันเป็นกลุ่ม ทำให้เกิดเป็นฝ้าบนผิวหนัง สามารถเห็นได้ชัดในบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อย เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก คาง เหนือริมฝีปาก หรือจมูก 

        ฝ้า มีกี่ประเภท?

        • ฝ้าตื้น

        ฝ้าตื้น (Epidermal melasma) เป็นฝ้าที่เกิดขึ้นในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเข้มถึงดำ สามารถเห็นขอบได้อย่างชัดเจน และรักษาได้ง่ายกว่าประเภทอื่น ๆ

        • ฝ้าลึก

        ฝ้าลึก (Dermal melasma) เป็นฝ้าที่เกิดขึ้นในชั้นหนังแท้ (Dermis) มีลักษณะเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน เห็นขอบไม่ชัดเจน มักกระจายตัวเป็นบริเวณกว้าง และรักษาได้ยากกว่าฝ้าตื้น

        • ฝ้าแดด

        ฝ้าแดด (Sunburn) เป็นฝ้าที่เกิดจากการที่ผิวหนังโดนแสงแดดเป็นเวลานาน ทำให้เซลล์เม็ดสีเมลานินผลิตออกมาปริมาณมากและสะสมกัน จนเกิดเป็นรอยด่างสีน้ำตาลเข้ม หรืออมเทาม่วงบนผิวหนัง

        • ฝ้าเลือด

        ฝ้าเลือด (Vascular melasma) เป็นฝ้าที่เกิดขึ้นในผู้ที่มีฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง ผิวบอบบาง ไวต่อแสงแดด ทำให้ผิวมีสีแดง หรือมีรอยแดงคล้ายเส้นเลือด มักพบร่วมกับฝ้าแดด

        ฝ้า เกิดจากอะไร?

        • แสงแดด 

        ฝ้าเกิดจากแสงแดด โดยเฉพาะรังสี UVA และ UVB เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เซลล์ผลิตเม็ดสีเมลานินทำงานมากขึ้น ส่งผลให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำได้ง่าย

        • ฮอร์โมน 

        ฝ้าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ระหว่างตั้งครรภ์ หรือการใช้ยาคุมกำเนิด ทำให้ร่างกายมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนสูงเกินไป อาจเป็นการกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้

        • พันธุกรรม

        ฝ้าเกิดจากพันธุกรรม สำหรับผู้ที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวเคยเป็นฝ้ามาก่อน ก็มีโอกาสที่จะเป็นฝ้าได้สูงขึ้น

        • สารเคมีในเครื่องสำอาง

        ฝ้าเกิดจากสารเคมีในเครื่องสำอาง ที่ส่งผลให้ผิวบางลง ทำให้ฝ้าที่เป็นอยู่รุนแรงขึ้น และกระตุ้นให้เกิดฝ้าใหม่เพิ่มขึ้น เช่น สารปรอท สารสเตียรอยด์

        • อายุ

        ฝ้าเกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากร่างกายเสื่อมสภาพลง ส่งผลให้ผิวหนังของเราบางลง มีความไวต่อแสงแดดมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าได้

        NU PICO BRIGHT กู้ผิวครบสูตร จบทุกปัญหาฝ้า

        NU PICO BRIGHT คืออะไร?

        NU PICO BRIGHT เทคโนโลยี Picosecond Laser รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ ที่มีพลังงานคลื่นแสงแบบเฉพาะเจาะจง มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 532 นาโนเมตร และ 1,064 นาโนเมตร มีความถี่ในระยะเวลา 750 พิโควินาที โดยจะปล่อยลำแสงเลเซอร์ เพื่อนกำจัดเม็ดสีเมลานินที่มีความผิดปกติ ให้แตกตัวออกเป็นเม็ดเล็ก ๆ และจางหายไปในที่สุด  มีความอ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการสะสมความร้อนใต้ชั้นผิว จึงมีความปลอดภัยสูง หลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องมีการพักฟื้น

        NU PICO BRIGHT มีข้อดีอะไรบ้าง?

        • NU PICO BRIGHT ช่วยลดปัญหาฝ้ากระ จุดด่างดำ
        • NU PICO BRIGHT ช่วยให้ผิวสว่าง กระจ่างใส ลดความหมองคล้ำ
        • NU PICO BRIGHT ช่วยให้รูขุมขนกระชับ ผิวมีความเรียบเนียนมากขึ้น
        • NU PICO BRIGHT ช่วยลดรอยแดง รอยดำจากสิว
        • NU PICO BRIGHT เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว
        • NU PICO BRIGHT ไม่เจ็บ ไม่แสบ ไม่ต้องมีการแปะยาชาใด ๆ
        • NU PICO BRIGHT ไม่ตกสะเก็ด ไม่ทิ้งรอยแผลไว้หลังทำ
        • NU PICO BRIGHT ไม่ทำให้เกิดการเลือดออกใต้ผิวหลังทำ

        อยากผิวใส ไม่ต้องรอซานต้าพิสูจน์ผลลัพธ์ที่ รมย์รวินท์คลินิก

        สำหรับใครที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำกวนใจ แต่ไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา ด้วยโปรแกรม NU PICO BRIGHT ที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการเคลียร์ฝ้า ใช้หน้าเร่งด่วน หลังทำ NU PICO BRIGHT เสร็จแล้ว หน้าไม่แดง ไม่เบิร์น ไม่ตกสะเก็ด สามารถออกไปฉลองคริสต์มาสต่อได้เลย ไม่ว่าเทศกาลไหนก็ไม่หวั่น พร้อมอวดหน้าใส แบบไม่ต้องขอพรจากซานต้า

        คุณฟรอยด์พาคุณแม่มาจัดการฝ้าฝังลึกด้วย NU PICO BRIGHT 

        NU PICO BRIGHT

        คุณฟรอยด์พาคุณแม่มาจัดการฝ้าฝังลึกด้วย NU PICO BRIGHT 

         

        จะหล่อดูดีคนเดียวไม่ได้ คนข้างกายต้องดูดีด้วย คุณฟรอยด์ ณัฏฐพงษ์ เลยถือโอกาสนี้พาคุณแม่บุษบา มาเสริมสวยที่รมย์รวินท์คลินิกแบบแพ็กคู่ ให้ดูดีไปด้วยกันเลยน่ารักจริงๆ เลยค่ะ

         

        ฝ้า ปัญหาหนักใจของคุณแม่บุษบา

        NU PICO
        ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับบุคคล

        ปัญหาที่หนักใจของแม่ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องฝ้าค่ะ เพราะอายุที่มากขึ้นทำให้ผิวเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ผิวหน้าเราก็บางลง ยิ่งมาเจอแดด ฝุ่น มลภาวะ ทำให้ผิวของเราบางลง เกิดเป็นริ้วรอย ฝ้า จุดด่างดำได้ง่ายขึ้นค่ะ ยิ่งแดดประเทศไทยร้อนแรงมาก ปัญหาฝ้าก็ยิ่งบานปลายมากค่ะ สำหรับแม่การทาครีมทาฝ้าก็คงจะไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่แล้วค่ะ ตอนที่ฟรอยด์บอกว่าจะพาแม่ไปทำสวย แม่ก็ดีใจค่ะ แม่อยากทำ เป็นผู้หญิงก็อยากสวยเป็นธรรมดาแหละค่ะ ถึงแม้อายุจะมากแล้วก็ยังอยากดูดี ดูมั่นใจมากขึ้นค่ะ และวันนี้ก็ได้คุณหมอแวว (พญ.ช่ออัญชัญ ปัญญาเอกะวิทู) ช่วยดูแลเรื่องผิวให้แม่ค่ะ 

         

        NU PICO
        ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับบุคคล

        จัดการปัญหาฝ้าให้คุณแม่บุษบาด้วย NU PICO BRIGHT

        สำหรับปัญหาผิวของคุณแม่จากที่หมอบีบีประเมินนะคะ คุณแม่บุษบามีปัญหาเรื่องฝ้าที่เกิดจากอายุที่มากขึ้น และยังมีกระแดด และกระกรรมพันธุ์ ซึ่งวันนี้หมอบีบีก็จะใช้เครื่อง NU PICO BRIGHT ช่วยรักษาปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ ซึ่ง NU PICO BRIGHT ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้ สำหรับการดูแลฝ้า กระ จุดด่างดำค่ะ และ NU PICO BRIGHT ยังช่วยทำให้คุณภาพผิวของคุณแม่บุษบาดีขึ้นได้อีกด้วยค่ะ เพราะ NU PICO BRIGHT ช่วยกระชับรูขุมขน กระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น และไม่ใช่แค่ฝ้า กระ ที่จางลง แต่ NU PICO BRIGHT ยังช่วยทำให้สีผิวสม่ำเสมอกันได้อีกด้วยค่ะ ไม่ทำให้เลือดสาด หรือเลือดออกใต้ผิวหนังเลยค่ะ ทำ NU PICO BRIGHT เสร็จสามารถใช้หน้าต่อได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้นค่ะ 

         

        NU PICO
        ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับบุคคล

        ผลลัพธ์หลังทำ NU PICO BRIGHT ของคุณแม่บุษบา

        หลังจากทำ NU PICO BRIGHT แม่รู้สึกว่าฝ้า กระ จางลงมาก สีผิวมันดูสม่ำเสมอ และผิวยังดูเนียนขึ้นกว่าก่อนทำด้วยค่ะ ตอนทำรู้สึกเจ็บน้อยกว่าที่คิด ไม่ต้องกังวลว่าจะมีเลือดออกเลยค่ะ เพราะคุณหมอบอกหลังทำหน้าจะแดงนิดๆ และก็จะค่อยๆ จางไปเองค่ะ ตอนนี้แม่รู้สึกว่าตัวเองสวยมากขึ้นกว่าเดิมค่ะ (ยิ้ม) ใครมีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำแบบแม่ต้องมาลองทำ NU PICO BRIGHT ที่รมย์รวินท์คลินิกกันนะคะ 

         

        ทำความรู้จักกับ NU PICO BRIGHT 

        โปรแกรม NU PICO BRIGHT รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ ด้วยพลังงานเลเซอร์คลื่นแสงที่มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 532 นาโนเมตร และ 1,064 นาโนเมตร และมีความเฉพาะเจาะจงไปที่เม็ดสีผิวเมลานินที่ผิดปกติให้เกิดการแตกตัวออกเป็นเม็ดเล็กๆ เพื่อให้ร่างกายกำจัดออกได้โดยง่าย โดย และไม่ต้องห่วงว่าเมื่อทำเสร็จจะทำให้เกิดเลือดออกใต้ผิวหนัง เพราะ NU PICO BRIGHT เป็นเลเซอร์ที่มีความอ่อนโยน โดยจะเลือกใช้พลังงานที่เหมาะสมกับสภาพของผิวหน้า สามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องแปะยาชา หลังทำ NU PICO BRIGHT อาจจะทำให้หน้าแดงระเรื่อ อมชมพูเล็กน้อย ไม่ต้องพักฟื้นใบหน้า สามารถแต่งหน้าได้ เหมาะสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องใช้หน้าทันที

         

        ทำไมถึงแนะนำให้ทำ NU PICO BRIGHT 

        • NU PICO BRIGHT ช่วยจัดการปัญหาเรื่องฝ้า กระ จุดด่างดำ 
        • NU PICO BRIGHT ช่วยให้ผิวเรียบเนียน รูขุมขนกระชับ
        • NU PICO BRIGHT ช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอกัน
        • NU PICO BRIGHT เลเซอร์ที่อ่อนโยนไม่ทำให้เลือดออกใต้ผิวหนัง 
        • NU PICO BRIGHT ก่อนทำการรักษาไม่ต้องแปะยาชาก่อนทำ
        • NU PICO BRIGHT ไม่ทิ้งรอยแผลเป็น และไม่ทำให้หน้าตกสะเก็ด 
        • NU PICO BRIGHT หลังทำไมต้องพักหน้า สามารถใช้หน้าต่อได้ทันที

         

        อย่าหาทำ! เครื่อง HIFU ปลอมเองที่บ้าน ถ้าไม่อยากหน้าพังตลอดชีวิต

        อันตรายทำเอง HIFU ที่บ้าน

        อย่าหาทำ! เครื่อง HIFU ปลอมเองที่บ้าน ถ้าไม่อยากหน้าพังตลอดชีวิต

         

        เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญในวงการความงาม ซึ่งกำลังกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกโซเชียล เมื่อมีหญิงสาวรายหนึ่ง ออกมาทำคอนเทนต์ โพสต์คลิปวิดีโอขณะทำการยกกระชับผิวหน้าด้วยเครื่อง HIFU เองที่บ้าน โดยไม่ได้ผ่านการดูแลจากแพทย์ ซึ่งสร้างความตกใจให้กับผู้คนในโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก ล่าสุดแพทย์หลายท่าน ได้ออกมาเตือนภัยถึงอันตรายจากการกระทำในครั้งนี้ และเปิดเผยว่า เครื่อง HIFU ที่อยู่ในคลิปวิดีโอนั้น เป็นเครื่องปลอม ไม่ได้มาตรฐาน และไม่ได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก อย. ซึ่งลักษณะเครื่องภายนอก มีการลอกเลียนแบบเครื่อง Ulthera ที่เป็นเครื่องยกกระชับที่ใช้ในคลินิกความงามชั้นนำทั่วไป 

        ทั้งนี้ นอกจากการใช้เครื่อง HIFU ปลอมจะเสี่ยงอันตรายสูงแล้ว การนำเครื่อง HIFU หรือเครื่องมือทางการแพทย์มาใช้งานเองที่บ้าน โดยไม่ได้รับการดูแลจากแพทย์ หรือไม่มีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับการใช้งานอย่างถูกต้อง ก็ส่งผลกระทบให้เกิดอันตรายต่อผิวหน้าอย่างร้ายแรงเช่นกัน ทั้งผิวไหม้ ผิวแดง เกิดรอยช้ำ และในกรณีที่รุนแรง อาจทำให้ผิวหน้าเหี่ยวกว่าเดิม เส้นประสาทเสียหาย หรือเกิดการติดเชื้อได้ ดังนั้น เหตุการณ์นี้ จึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การทำหัตถการความงาม ควรอยู่ภายใต้การดูแลจากแพทย์ที่มีความรู้ และประสบการณ์เท่านั้น เพื่อความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

         

        HIFU ปลอม อันตรายจริงไหม? ทำไมถึงไม่ควรทำ HIFU เองที่บ้าน? 

        อันตรายจาก HIFU ปลอม

        เครื่อง HIFU ปลอม อันตรายอย่างไร?

        เครื่อง HIFU ปลอม ส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงมากมายที่เป็นอันตรายต่อผิวหน้า ซึ่งผลข้างเคียงเหล่านี้เกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น พลังงานไม่สม่ำเสมอ ปล่อยความร้อนที่สูงเกินไป และเทคนิคการทำที่ไม่ถูกต้อง จนทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อผิวหน้า ดังนี้

        • ผิวไหม้ 

        การใช้เครื่อง HIFU ปลอมที่ไม่ได้มาตรฐาน และมีคุณภาพต่ำนั้น มักมาพร้อมกับระบบควบคุมพลังงานที่ไม่ดี ทำผลให้พลังงานที่ส่งไปยังผิวหนังของเราไม่เสถียร และไม่สม่ำเสมอ บางจุดอาจได้รับพลังงานความร้อนสูงเกินไป จนทำให้เกิดรอยแดง ผิวไหม้ ผิวเบิร์น หรือแผลพุพองบนผิวหนังได้

        • หน้าบวมช้ำ 

        การใช้เครื่อง HIFU ปลอม สามารถทำให้เกิดอาการหน้าบวมช้ำได้ เนื่องจากพลังงานที่ปล่อยออกมาไม่เสถียร และมีระดับความร้อนที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดการสะสมของพลังงานในชั้นผิวหนังมากเกินไป ส่งผลให้ผิวอักเสบ จนเกิดอาการบวม และช้ำใต้ผิวได้

        • หน้าเหี่ยวกว่าเดิม

        การใช้เครื่อง HIFU ปลอมนั้น อาจไม่สามารถปล่อยพลังงานได้อย่างเพียงพอ และไม่สามารถกระจายตัวได้อย่างทั่วถึง ส่งผลให้ไม่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ขาดความกระชับ และใบหน้าดูเหี่ยวมากกว่าเดิม

        • เส้นประสาทเสียหาย

        การใช้เครื่อง HIFU ปลอม มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เส้นประสาทเสียหาย เนื่องจากพลังงานที่ส่งออกไปยังผิวหนังไม่สม่ำเสมอ หากยิงพลังงานผิดจุด หรือยิงเข้าไปในบริเวณที่อยู่ใกล้เส้นประสาท อาจทำให้เส้นประสาทได้รับความเสียหาย จนให้เกิดอาการหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือรู้สึกชาในบางส่วนของใบหน้าได้

        • ติดเชื้อ

        เครื่อง HIFU ปลอม มักผลิตขึ้นมาในโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีการทำความสะอาด และฆ่าเชื้อที่ไม่เพียงพอ ทำให้อาจมีเชื้อโรคตกค้างอยู่บนเครื่องมือ และสามารถเข้าสู่ร่างกายขณะทำหัตถการได้ นอกจากนี้ การยิงพลังงานที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดบาดแผล หรือแผลเปิด ซึ่งเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายง่ายมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อบนผิวหนังได้

         

        อย่าหาทำ HIFU เองที่บ้าง
        อย่าหาทำ HIFU เองที่บ้าง

         

        ทำไมถึงไม่ควรทำ HIFU ปลอมเองที่บ้าน?

        • เกิดอันตรายจากเครื่องปลอม

        เครื่อง HIFU ปลอม มักมีคุณภาพต่ำ ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้พลังงานที่ใช้ไม่มีความไม่เสถียรมากพอ จึงไม่สามารถยิงพลังงานได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งหากยิงพลังงานไปยังจุดที่ไม่เหมาะสม หรือใช้พลังงานแรงจนเกินไป อาจทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดผิวไหม้ ผิวเบิร์น หรือเกิดแผลเป็นได้

        • ผลลัพธ์ไม่แน่นอน

        เครื่อง HIFU ปลอม ไม่สามารถให้ผลลัพธ์ในการยกกระชับผิวได้อย่างที่ต้องการ เนื่องจากพลังงานที่ใช้ไม่มีความเหมาะสม ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง และอาจเกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมาได้ ซึ่งแตกต่างจากการใช้เครื่องแท้ที่ให้ผลลัพธ์อย่างแม่นยำ และมีประสิทธิภาพ

        • ขาดความรู้ และประสบการณ์ 

        การทำ HIFU ต้องอาศัยความรู้ และประสบการณ์จากแพทย์ เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิว และปรับพลังงานให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล รวมถึง ใช้เทคนิคในการยิงได้อย่างตรงจุด ซึ่งการทำเองที่บ้าน โดยไม่มีความรู้ความชำนาญ อาจทำให้เกิดความผิดพลาด และเกิดอันตรายต่อใบหน้าได้ง่าย

        • ไม่มีมาตรฐานความปลอดภัย 

        เครื่อง HIFU ที่ใช้ในคลินิกชั้นนำทั่วไป จะต้องได้รับการรับรองจาก อย. เท่านั้น ซึ่งคลินิกความงามที่ได้มาตรฐาน จะมีการควบคุมคุณภาพ และมีมาตรการความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ทำให้มีความปลอดภัยสูง ซึ่งแตกต่างจากเครื่อง HIFU ปลอมที่ซื้อมาใช้งานเองที่บ้าน โดยไม่ทราบที่มา และไม่ได้ผ่านการรับรองใด ๆ

        5 เหตุผลที่ HIFU ควรทำโดยแพทย์เท่านั้น

        • แพทย์มีความเข้าใจในโครงสร้างผิวหนัง

        การทำ HIFU โดยแพทย์มีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับโครงสร้างของผิวหนังเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเครื่อง HIFU สามารถปล่อยพลังงานได้หลากหลายระดับชั้นผิว หากยิงผิดจุด หรือยิงผิดชั้นผิว อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้

        • แพทย์สามารถวางแผนการรักษาอย่างตรงจุด

        แพทย์สามารถวางแผนการรักษาให้เหมาะสม กับสภาพผิวและปัญหาของแต่ละบุคคล โดยเริ่มจากประเมินใบหน้า วิเคราะห์ปัญหา พร้อมปรับค่าพลังงานเครื่อง HIFU ให้เหมาะสม กับแต่ละชั้นผิวได้อย่างแม่นยำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

        • ลดความเสี่ยงการเกิดผลข้างเคียง

        การทำ HIFU โดยแพทย์ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวไหม้ ผิวแดง หรือแผลเป็นจากการยิงพลังงานผิดจุด ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ หากทำโดยผู้ที่ไม่ใช่แพทย์

        • หากเกิดปัญหาสามารถแก้ไขได้ทันที

        หากเกิดปัญหา หรือผลข้างเคียงหลังทำ HIFU แพทย์สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันที เนื่องจากแพทย์มีความรู้มีความเข้าใจ และมีประสบการณ์ในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น

        • มีความปลอดภัยสูง

        การทำ HIFU โดยแพทย์ ในคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ สามารถมั่นใจได้ว่า เครื่องมือที่ใช้มีความปลอดภัย และได้รับการรับรองจาก อย. ซึ่งเครื่อง HIFU แท้ที่ได้มาตรฐาน จะมีการจัดจำหน่ายให้เฉพาะคลินิกความงามเท่านั้น หากพบว่า มีการจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นเครื่องปลอม

        เครื่อง HIFU ปลอม แตกต่างจากเครื่อง HIFU แท้ อย่างไร?

        เครื่อง HIFU ปลอมและเครื่อง HIFU แท้ มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งส่งผลระทบโดยตรงต่อความปลอดภัย และประสิทธิภาพในการรักษา ดังนี้

        • เครื่อง HIFU แท้

        เครื่อง HIFU แท้ มีการผลิตที่ได้มาตรฐาน และมีการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด ทำให้มีความปลอดภัยสูงในการรักษา อีกทั้ง เครื่อง HIFU ยังใช้เทคโนโลยีคลื่นอัลตราซาวนด์ที่มีความถี่สูง (High Intensity Focused Ultrasound) ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. สามารถปล่อยพลังงานได้อย่างสม่ำเสมอ และปรับระดับพลังงานได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และยกกระชับผิวลงลึกถึงชั้น SMAS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

        • เครื่อง HIFU ปลอม

        เครื่อง HIFU ปลอม มักมีการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน ใช้วัสดุในการผลิตที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. รวมถึง เทคโนโลยีที่ใช้ในการรักษา อาจไม่ใช่เทคโนโลยี HIFU ที่ถูกต้อง มีการดัดแปลง หรืลอกเลียนแบบเทคโนโลยีอื่นมาใช้ ทำให้ไม่มีประสิทธิภาพในการยกกระชับที่เพียงพอ เนื่องจากพลังงานที่ปล่อยออกมาไม่เสถียร อาจได้รับพลังงานต่ำ หรือสูงเกินไป ทำให้มีความเสี่ยงสูงในการเกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวไหม้ รอยแดง รอยช้ำ เส้นประสาทเสียหาย และอาจเสียโฉมถาวรได้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้มักไม่มีความแน่นอน อาจไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ หรือผิวหน้าเสียหายกว่าเดิมได้

        HIFU คืออะไร ทำไมถึงได้รับความนิยม?

        HIFU เป็นเทคโนโลยีการยกกระชับผิวที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยการใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ความถี่สูง (High-Intensity Focused Ultrasound) ส่งพลังงานลงไปยังชั้นผิวหนังได้อย่างเฉพาะเจาะจง ลงลึกชั้น SMAS ชั้นเดียวกับที่แพทย์ใช้ในการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า ซึ่งสามารถปรับระดับพลังงาน และระดับความลึกของการรักษาได้อย่างหลากหลาย เพื่อครอบคลุมในทุกระดับชั้นผิว ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวเต่งตึง กระชับ และดูอ่อนเยาว์มากขึ้น นอกจากนี้ HIFU ยังสามารถใช้ได้กับหลายบริเวณ ทั้งใบหน้า และลำคอ โดยไม่ต้องใช้พักฟื้น ไม่ต้องผ่าตัด จึงมีความปลอดภัยสูง ไม่ต้องเสี่ยงผิวไหม้ ผิวเบิร์นขณะทำ

        เลือกทำ HIFU อย่างไรให้ปลอดภัย

        เลือกทำ HIFU อย่างไรให้ปลอดภัย ไม่ต้องเสี่ยงเจอเครื่องปลอม?

        • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน

        เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีการเปิดให้บริการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และมีใบอนุญาตประกอบกิจการ 11 หลัก จากกระทรวงสาธารณสุขอย่างชัดเจน ซึ่งภายในคลินิกต้องมีความสะอาด และถูกสุขอนามัย เครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ต้องมีความปลอดเชื้อ 

        • ใช้เครื่อง HIFU แท้

        เลือกคลินิกที่ใช้เครื่อง HIFU แท้ มีคุณภาพสูง สามารถตรวจสอบประวัติที่มาของเครื่องได้ และที่สำคัญ ต้องได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก อย.

        • ทำหัตถการโดยแพทย์เท่านั้น

        การทำ HIFU ควรทำแพทย์ที่มีความรู้ และมีประสบการณ์เท่านั้น ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาผิวหน้าของแต่ละบุคคล พร้อมวางแผนการรักษา และประเมินจำนวนไลน์ที่ใช้ได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง

        • ราคาไม่ถูกจนเกินไป

        การทำ HIFU ควรเปรียบเทียบราคา และโปรโมชันจากหลาย ๆ คลินิก หลีกเลี่ยงโปรโมชัน HIFU บุฟเฟต์ ไม่จำกัดช็อต เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงที่จะได้เครื่อง HIFU ที่ไม่มีคุณภาพ และไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงตามมา และผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

        • มีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง

        ก่อนตัดสินใจทำ HIFU ควรดูรีวิวจากผู้ใช้บริการจริงในคลินิกนั้น ๆ ก่อน ทั้งรูปภาพก่อน – หลัง และคลิปวิดีโอ เพื่อให้มั่นใจในผลลัพธ์ และสามารถตัดสินใจได้ง่ายมากขึ้น

        • มีการติดตามผลหลังการรักษา

        คลินิกที่ดี ควรมีการติดตามผลลัพธ์หลังการรักษา เพื่อประเมินผลลัพธ์ที่ได้ว่า เป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ และหากมีผลข้างเคียงเกิดขึ้น แพทย์สามารถให้คำแนะนำวิธีการดูแลตัวเอง และรักษาได้อย่างทันท่วงที

        จะเห็นได้ชัดเลยว่า การใช้เครื่อง HIFU ปลอม มีความเสี่ยงอันตรายสูง และไม่สามารถให้ผลลัพธ์ในการยกกระชับผิวได้อย่างที่คาดหวัง เนื่องจากพลังงานที่ปล่อยออกมาไม่มีความเสถียรมากพอ ทำให้เข้าไม่ถึงชั้นผิวที่จะทำการรักษา ส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงต่อผิวหน้าสารพัด ดังนั้น การทำ HIFU ควรเลือกทำในคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้เครื่อง HIFU แท้ที่มีคุณภาพ และอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ 

        สำหรับท่านใดที่อยากสวยแบบปลอดภัย ไม่ต้องเสี่ยงเจอเครื่องปลอม ต้องที่ รมย์รวินท์คลินิก เท่านั้น เราใช้ HIFU เครื่องแท้ และยังมีโปรแกรม SUPER HIFU ที่เป็นขั้นกว่าของ HIFU และยังได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. พร้อมด้วยทีมแพทย์ที่มีความรู้ และประสบการณ์คอยให้การดูแล ตั้งแต่ขั้นตอนการประเมินผิวหน้า ไปจนถึงการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้คุณมีใบหน้าสวย ดูดีอย่างมั่นใจ ผิวดูอ่อนกว่าวัยในทุกมุมอีกด้วย

        ฟิลเลอร์ปากยี่ห้อไหนดี ทรงสวย อวบอิ่มมากกว่ากัน

        ฟิลเลอร์ปากยี่ห้อไหนดี

        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




          วันที่สะดวกในการติดต่อ








          ฟิลเลอร์ปากคืออะไร ควรใช้ยี่ห้อไหน ฉีดครั้งแรกควรรู้อะไรบ้าง ฉบับอัปเดต

          ในยุคที่เทคโนโลยีความงามก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว การปรับรูปลักษณ์ให้สวยงามเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นกว่ายุคสมัยก่อน หนึ่งในเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ การฉีดฟิลเลอร์ปาก ซึ่งเป็นการใช้สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด เพื่อปรับรูปทรงของริมฝีปากให้ดูอิ่มฟูและสวยงามมากขึ้น 

           

          อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความนุ่มชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ทำให้การฉีดฟิลเลอร์ปากมีความปลอดภัยและเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว

           

          วันนี้เราจะมาอัปเดตข้อมูลน่าสนใจที่เกี่ยวกับฟิลเลอร์ปากว่า ควรใช้ฟิลเลอร์ปากยี่ห้อไหนดี ฉีดฟิลเลอร์ปากครั้งแรกต้องรู้อะไรบ้าง รวมไปถึงทุกคำถามที่หลายคนอยากรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก

           

          ฉีดฟิลเลอร์ปาก ปรับทรงสวยแบบธรรมชาติ ใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี

           

          ฉีดฟิลเลอร์ปาก คืออะไร?

           

          การฉีดฟิลเลอร์ปาก ปรับรูปทรง เพิ่มความอวบอิ่ม คือ การฉีดไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluromic Acid : HA) ที่มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องการอุ้มน้ำ ในการฉีดฟิลเลอร์ปากนั้นเป็นการฉีดเติมเต็มเข้าไปบริเวณริมฝีปากบนและล่าง เพื่อเพิ่มเนื้อริมฝีปาก ปรับรูปทรงปากให้สวยธรรมชาติ อีกทั้งยังสามารถแก้ปัญหาริมฝีปากบน-ล่างไม่เท่ากัน ปากแห้ง แตก เป็นร่อง 

           

          นอกจากนี้การฉีดฟิลเลอร์ปากสามารถแก้ปัญหารูปปากคว่ำ ให้กลับมาดูยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้น ด้วยเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ยกมุมปาก โดยจะฉีดเข้าไปบริเวณใบหน้าช่วงบนหรือช่วงแก้มให้ยกกระชับขึ้น

           

          เทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ปาก

           

          การฉีดปาก เพื่อรูปทรงสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ แพทย์จะต้องมีเทคนิคและประสบการณ์การฉีดฟิลเลอร์ปากได้อย่างเหมาะสม แบบไม่ลึกหรือตื้นจนเกินไป ในการฉีดฟิลเลอร์ปากจุดที่ต้องใส่ใจรายละเอียดเป็นพิเศษคือบริเวณขอบปาก (Vermilion border) และ ร่องบนริมฝีปาก (Philtrum) เนื่องจากอาจมีปัญหาขอบปากไม่ชัด ริมฝีปากไม่เป็นทรง ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ปากจะช่วยสร้างขอบปาก เติมเต็มบริเวณติ่งริมฝีปาก ทำให้ปากเป็นรูปทรงกระจับมากขึ้น

           

          รูปทรงปากที่เหมาะกับคนไทย อัปเดตทรงปากที่นิยม

           

          • ฉีดฟิลเลอร์ปากเชอร์รี่ (Cherry Lips)

          เป็นเทรนด์รูปทรงริมฝีปากที่มีความคล้ายกับลูกเชอร์รี่ มีลักษณะเป็นปากกระจับบน-ล่าง โดยปากบนมีติ่งเนื้อตรงกลาง ริมฝีปากล่างอวบอิ่ม เป็นอีกหนึ่งทรงที่คนส่วนใหญ่นิยมเลือกเสริมโหงวเฮ้งบนใบหน้าให้ดีขึ้น

           

          • ฉีดฟิลเลอร์ปากธรรมชาติ (Classy Lips)

          เป็นรูปทรงที่มีลักษณะริมฝีปากอวบอิ่ม โดยริมฝีปากบนจะบางกว่าริมฝีปากล่างในสัดส่วนที่พอดีกัน ช่วยทำให้ใบหน้าสมดุลมากขึ้น เป็นรูปทรงริมฝีปากที่เหมาะกับคนที่มีริมฝีปากบาง เนื้อน้อย ต้องการเพิ่มขนาดของริมฝีปากให้ดูอวบอิ่มมากขึ้น

           

          • ฉีดฟิลเลอร์ปากอวบอิ่ม (Sexy Lips)

          รูปทรงปากอวบอิ่ม เป็นรูปทรงที่เน้นขอบริมฝีปากชัดเจน เพิ่มปริมาณเนื้อริมฝีปากอวบอิ่มทั้งบนและล่าง แต่ไม่อวบหนาเท่ากับริมฝีปากทรงสายฝอ ซึ่งการฉีดริมฝีปากทรงนี้จะช่วยให้ริมฝีปากดูเซ็กซี่มากขึ้น

           

          • ฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ

          เป็นรูปทรงริมฝีปากที่มีลักษณะโค้งเรียวสวยคล้ายกับผลของกระจับ โดยริมฝีปากบน-ล่างมีความสมดุลกัน ช่วยเพิ่มความละมุนให้กับใบหน้า เป็นอีกหนึ่งรูปทรงริมฝีปากที่ได้รับความนิยมตลอดกาล และเป็นรูปทรงริมฝีปากที่เสริมโหงวเฮ้งที่ดีอีกด้วย

           

          • ฉีดฟิลเลอร์ปากปีกนก

          รูปทรงปากปีกนก เป็นรูปทรงที่เหมาะกับโครงหน้าของคนไทย โดยรูปทรงปากนี้มุมปากจะยกขึ้นคล้ายกับปีกนก เหมาะสำหรับคนที่มุมปากคว่ำ มุมปากตก รูปทรงปากนี้จะช่วยให้ใบหน้าอ่อนหวานมากขึ้น

           

          • ฉีดฟิลเลอร์ปากเกาหลี

          รูปทรงปากเกาหลี เป็นลักษณะรูปทรงที่มีความอวบอิ่มเล็กน้อย โดยริมฝีปากบนเป็นกระจับเล็กน้อย มุมปากยกขึ้น ซึ่งริมฝีปากทรงเกาหลีจะช่วยให้ใบหน้ามีความละมุน น่ารักแบบสาวเกาหลี 

           

          • ฉีดฟิลเลอร์ปากสายฝอ

          เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก รูปทรงปากวายฝอจะเน้นขอบปากคมชัด เนื้อริมฝีปากแน่นและอวบอิ่มทั้งริมฝีปากบน-ล่าง ทำให้ริมฝีปากมีความโดดเด่น ช่วยเพิ่มความเซ็กซี่ เหมาะสำหรับคนที่ชอบรูปมทรงริมฝีปากอวบหนา มีเนื้อริมฝีปากเยอะ 

           

          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก Heavy Upper Lips

          เป็นการฉีดฟิลเลอร์ปากโดยจะเน้นริมฝีปากบนจะหนาและมีขนาดใหญ่กว่าริมฝีปากล่าง เน้นช่วยให้ใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น ทำให้ริมฝีปากโดดเด่น ซึ่งรูปทรงริมฝีปากนี้สามารถใช้เทคนิคการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปในริมฝีปากบนมากกว่าปกติ ส่วนริมฝีปากล่างจะฉีดแบบพอดี ไม่ใหญ่จนเกินไป

           

          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก Heavy Lower Lips 

          เทรนด์การปั้นรูปทรงริมฝีปากที่เน้นให้ริมฝีปากล่างมีขนาดใหญ่และอวบอิ่มกว่าริมฝีปากบน โดยมีลักษณะคล้ายกับปากกระจับแต่มีความอวบอิ่มเต่งตึงกว่า โดยเป็นหนึ่งในทรงปากสายฝอที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

           

          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก Full Lips

          เป็นรูปทรงริมฝีปากที่มีลักษณะริมฝีปากบนและริมฝีปากล่างจะมีความอวบอิ่มมาก และมีสัดส่วนที่เท่ากัน ซึ่งการฉีดริมฝีปากรูปทรงนี้จะทำให้ริมฝีปากดูโดดเด่นมากขึ้น เหมาะกับคนที่มีโครงหน้าชัดอยู่แล้ว

           

           

          ฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับใครบ้าง?

          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับผู้ที่มีริมฝีปากไม่เท่ากัน
          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับผู้ที่มีริมฝีปากบางขึ้น
          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยบริเวณริมฝีปากและขอบปาก
          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริมฝีปากลอกและริมฝีปากแห้ง
          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริมฝีปากไม่เรียบเนียน ริมฝีปากตกร่อง
          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับผู้ที่มีรูปทรงปากคว่ำ มุมปากตก
          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปทรงริมฝีปากให้เข้ากับใบหน้า
          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับผู้ที่ต้องการให้ริมฝีปากชุ่มชื้น อิ่มฟูมากขึ้น
          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับผู้ที่เสริมโหงวเฮ้งให้กับใบหน้า

           

          ฟิลเลอร์ปากมีข้อดียังไง
          ฟิลเลอร์ปากมีข้อดียังไง

           

          ฉีดฟิลเลอร์ปาก มีข้อดีอย่างไร?

          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก เพิ่มความอวบอิ่ม ช่วยปรับรูปทรงปากกระจับ
          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก แก้ปัญหาริมฝีปากบาง ปากไม่เท่ากัน
          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก แก้ปัญหาริ้วรอยบริเวณริมฝีปากและมุมปาก
          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น อิ่มฟู ให้กับริมฝีปาก
          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้นนาน
          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ
          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก มีความปลอดภัยสูง ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ
          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก เป็นสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอน สามารถย่อยสลายเองได้ ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย
          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถปั้นรูปทรงริมฝีปากได้หลายทรง
          • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ผลลัพธ์อยู่ไม่ถาวร แต่สามารถเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ 

           

          ฟิลเลอร์ปากยี่ห้อไหนดี
          ฟิลเลอร์ปากยี่ห้อไหนดี

           

          ฉีดฟิลเลอร์ปาก ยี่ห้อไหน รุ่นไหนดี?

           

          ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะกับทรงปากเกาหลี ทรงปากกระจับ

          การเลือกฟิลเลอร์สำหรับทรงปากเกาหลี หรือทรงปากกระจับ ควรเลือกฟิลเลอร์ที่มีเนื้อเจลนิ่มและยืดหยุ่น เพื่อให้ริมฝีปากดูอิ่มฟูอย่างเป็นธรรมชาติ การฉีดฟิลเลอร์สำหรับทรงปากกระจับมักใช้ปริมาณฟิลเลอร์ประมาณ 1 CC แต่หากต้องการเพิ่มวอลลุ่มมากขึ้น อาจใช้ประมาณ 2 CC ต่อการฉีดในแต่ละครั้ง ฟิลเลอร์ที่เหมาะสมมีดังนี้

          • Restylane Refyne ฟิลเลอร์ปากจากสวีเดน ที่มีความยืดหยุ่นสูง ช่วยเติมเต็มริมฝีปากและมุมปากให้ดูเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้ถึง 12 เดือน
          • Restylane Volyme ฟิลเลอร์ปากจากสวีเดน มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มละมุน ช่วยเพิ่มความอิ่มฟูให้ริมฝีปากได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน
          • Juvederm Volift ฟิลเลอร์ปากจากสหรัฐอเมริกา เนื้อเจลนิ่มและเนียนละเอียด เหมาะสำหรับการเติมเต็มบริเวณร่องมุมปากที่ไม่ลึกมาก ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 12 เดือน
          • Definisse Touch ฟิลเลอร์ปากจากอิตาลี ที่มีเนื้อเจลนุ่มพิเศษ ช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้ริมฝีปากและปรับรูปให้สวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมแก้ปัญหาริมฝีปากแห้งแตกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน

           

          ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะกับทรงปากเซ็กซี่ อวบอิ่ม แบบสายฝอ

          เมื่อเลือกฟิลเลอร์สำหรับทรงปากสายฝอ ควรเลือกฟิลเลอร์ที่มีเนื้อฟูเพื่อสร้างขอบปากที่ชัดเจนและเพิ่มความอวบอิ่มให้กับริมฝีปาก โดยปริมาณฟิลเลอร์ที่แนะนำจะอยู่ที่ 1-2 CC สำหรับการเพิ่มความเต็มอิ่มธรรมชาติ หากต้องการเพิ่มความหนาให้ชัดเจน อาจต้องใช้ฟิลเลอร์ในปริมาณมากขึ้น ฟิลเลอร์ที่แนะนำ ดังนี้

          • Juvederm Ultra Plus ฟิลเลอร์ปากจากสหรัฐอเมริกา มีเนื้อสัมผัสนุ่มและฟู ช่วยเติมเต็มริมฝีปากให้ดูอิ่มเต็ม พร้อมปรับรูปทรงให้เป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานถึง 12 เดือน
          • Juvederm Voluma ฟิลเลอร์ปากจากสหรัฐอเมริกา เนื้อเจลเนียนละเอียดและยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับการเพิ่มวอลลุ่มและความหนาให้ริมฝีปาก ให้ดูเต็มอิ่มและมีมิติอย่างชัดเจน โดยผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานถึง 18 เดือน
          • Restylane Kysse ฟิลเลอร์ปากจากสวีเดน ด้วยเนื้อสัมผัสที่ละเอียดและคงตัวสูง ช่วยเสริมสร้างขอบริมฝีปากให้ชัดเจน พร้อมทั้งมอบความชุ่มชื้นและอวบอิ่มอย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 12 เดือน
          • Belotero Volume ฟิลเลอร์ปากจากสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีความยืดหยุ่นดีและเนียนละเอียด ช่วยเพิ่มวอลลุ่มและความหนาให้ริมฝีปาก ให้ดูเต็มและมีมิติ ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานถึง 18 เดือน
          • Belotero Lips ฟิลเลอร์ปากคุณภาพจากสวิตเซอร์แลนด์ ออกแบบมาเฉพาะเพื่อปรับแต่งริมฝีปากให้ดูอิ่มเอิบและมีมิติ ช่วยสร้างขอบปากที่ชัดเจน ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติและสามารถคงอยู่ได้นานถึง 12 เดือน

           

          ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากดูแลตัวเองยังไง
          ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากดูแลตัวเองยังไง

           

          ฉีดฟิลเลอร์ปาก ก่อนทำต้องเตรียมตัวอย่างไร?

          • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก งดยาหรืออาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด 1 สัปดาห์
          • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงก่อนทำ
          • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก งดการออกกำลังกายหนัก หรือ งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด 24 ชั่วโมง
          • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก งดแว็กซ์บริเวณรอบริมฝีปากก่อนทำ 1 สัปดาห์
          • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก งดทายาชนิดผลัดเซลล์ผิวทุกชนิด 1 สัปดาห์ก่อนทำ
          • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก หากมีโรคประจำตัว หรือมียาที่รับประทานเป็นประจำ ให้แจ้งกับแพทย์ก่อนฉีด

           

          ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ปาก

          1. ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก แพทย์จะทำการประเมินลักษณะของริมฝีปากของผู้ที่เข้ารับบริการ เพื่อเลือกทรงริมฝีปากปากที่เหมาะสมกับใบหน้า
          2. แพทย์จะแนะนำยี่ห้อ และรุ่นที่เหมาะสมของฟิลเลอร์ปาก ให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เข้ารับบริการ
          3. เริ่มทำความสะอาดบริเวณริมฝีปากก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก เพื่อความสะอาดและปลอดภัย
          4. แปะยาชาและประคบน้ำแข็งก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก เพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บจากเข็ม
          5. แพทย์จะเริ่มฉีดฟิลเลอร์ลงบนบริเวณริมฝีปาก
          6. หลังฉีดฟิลเลอร์ปากเสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลตนเองหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อผลลัพธ์ที่ยาวนานขึ้น

           

          ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากดูแลตัวเองยังไง
          ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากดูแลตัวเองยังไง

           

          ฉีดฟิลเลอร์ปาก หลังทำดูแลตัวเองอย่างไร?

          • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัส ดึง ลอก บริเวณริมฝีปาก
          • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก งดทาลิปสติก และการใช้หลอดดูดน้ำใน 12 ขั่วโมงแรก
          • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก งดรับประทานอาหารร้อน ๆ อาหารรสจัด หรืออาหารหมักดอง 
          • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก งดการออกกำลังกายหนัก อาจทำให้ปากเสียรูปทรงได้
          • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยการเพิ่มการอุ้มน้ำของฟิลเลอร์ ทำให้ฟิลเลอร์ฟูและอยู่ได้นานขึ้น

           

          ฟิลเลอร์ปาก กับ ศัลยกรรมปาก ทำอะไรดี
          ฟิลเลอร์ปาก กับ ศัลยกรรมปาก ทำอะไรดี

           

          ฉีดฟิลเลอร์ปาก vs ศัลยกรรมผ่าตัดปาก

          การฉีดฟิลเลอร์ปาก กับ การศัลยกรรมผ่าตัดปาก มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

           

          การฉีดฟิลเลอร์ปาก

          • การฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำได้ทันที
          • การฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้นนาน เนื่องจากไม่มีรอยแผล อาจมีแค่รอยจากเข็มเล็กน้อย
          • การฉีดฟิลเลอร์ปาก อาจมีอาการบวมช้ำประมาณ 7-14 วัน และสามารถหายได้เอง
          • การฉีดฟิลเลอร์ปาก ผลลัพธ์จะชัดเจนเต็มที่ ประมาณ 1-2 สัปดาห์
          • การฉีดฟิลเลอร์ปาก อยู่ได้นาน 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้

           

          การศัลยกรรมผ่าตัดปาก

          • การผ่าตัดปากจำเป็นต้องรอแผลสมานตัว ซึ่งใช้ระยะเวลานานกว่า 7-9 วัน และอาจใช้ระยะเวลามากกว่า 2 สัปดาห์ แผลถึงจะหายสนิท
          • การผ่าตัดปากใช้ระยะเวลาพักฟื้นนาน
          • การผ่าตัดปากอาจมีรอยแผลนูน หรือรอยแผลเป็นจากบริเวณแผลผ่าตัด
          • หลังการผ่าตัดปาก อาการบวมจะชัดเจนที่สุดในช่วง 3-4 วันแรก จากนั้นจะค่อย ๆ ลดลงตามลำดับ กระบวนการฟื้นตัวของอาการบวมทั้งหมด จะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน 
          • ผลลัพธ์ของการผ่าตัดปาก สามารถรักษารูปทรงปากได้อย่างถาวร

           

          ทั้งนี้การฉีดฟิลเลอร์ปากกับการศัลยกรรมผ่าตัดปาก มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป โดยการฉีดฟิลเลอร์ปากจะเน้นปรับรูปทรงริมฝีปากให้ดูอวบอิ่มขึ้น สามารถทำทรงปากกระจับได้ แต่ผลลัพธ์อยู่ไม่ได้ถาวร ส่วนการศัลยกรรมผ่าตัดปาก รักษารูปทรงปากได้อย่างถาวร แต่ก็ต้องรับความเสี่ยงจากการผ่าตัด และถ้าหากมีข้อผิดพลาดก็จะแก้ไขได้ยากมากกว่าการฉีดฟิลเลอร์ปากที่สามารถฉีดสลายได้

          รวมคำถาม Q&A ของฟิลเลอร์ปาก

           

          ฉีดฟิลเลอร์ปาก ใช้กี่ CC? 

          • โดยปกติทั่วไปการฉีดฟิลเลอร์ปากจะใช้ปริมาณเพียง 1 CC ก็สามารถเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน ส่วนกรณีที่มีริมฝีปากบางมาก ๆ ต้องการรูปทรงปากอวบอิ่มแบบสายฝอ ต้องการเพิ่มวอลลุ่ม อาจต้องใช้ปริมาณของฟิลเลอร์ 2 CC  

           

          ฉีดฟิลเลอร์ปาก เจ็บไหม?

          • ในระหว่างการฉีดฟิลเลอร์อาจจะมีความรู้สึกเจ็บ แต่เป็นความเจ็บอยู่ในระดับที่สามารถอดทนได้ เนื่องจากบริเวณริมฝีปากอ่อนและบางกว่าบริเวณอื่น ๆ ทำให้ไวต่อความรู้สึก ทั้งนี้ก่อนเริ่มฉีดฟิลเลอร์ปากจะมีการแปะยาชาก่อนเพื่อช่วยลดความเจ็บจากเข็ม

           

          ฉีดฟิลเลอร์ปาก กี่วันถึงจะเข้าที่ และอยู่ได้นานแค่ไหน? 

          • การฉีดฟิลเลอร์ปาก จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเข้าที่ อวบอิ่ม เป็นทรงสวย ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-18 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ปากที่เลือกใช้ รวมไปถึงการดูแลตัวเองหลังจากฉีดฟิลเลอร์ปาก

           

          ฉีดฟิลเลอร์ปาก อันตรายไหม? 

          • การฉีดฟิลเลอร์ปากไม่อันตราย หากฉีดโดยแพทย์ที่มากประสบการณ์ ใช้ฟิลเลอร์แท้ เพราะการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอน (HA) มีความปลอดภัยสูง และสามารถย่อยสลายเองได้ตามธรรมชาติ 100% ซึ่งการฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์เฉพาะด้านจะมีความรู้ในด้านของเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง เนื่องจากบริเวณริมฝีปากประกอบไปด้วยเส้นเลือดฝอยขนาดเล็กจำนวนมาก ต้องใช้ความระมัดระวังใจการฉีด เพื่อป้องกันการเกิดฟิลเลอร์อุดตันในเส้นเลือดหรือฉีดโดนเส้นที่อยู่ลึกลงไป เพราะฉะนั้นการฉีดฟิลเลอร์ปากกับแพทย์ที่มีประสบการณ์จะมีความปลอดภัยอย่างแน่นอน

           

          ฉีดฟิลเลอร์ปาก บวมกี่วัน? 

          • หลังจากฉีดฟิลเลอร์ปาก อาจมีอาการบวมประมาณ 2-3 วัน ในบางกรณีที่มีผิวบอบบาง บวมง่าย อาจพบอาการบวมประมาณ 5-7 วัน หลังจากนั้นจะค่อย ๆ หายได้เอง ซึ่งฟิลเลอร์จะเริ่มเข้าที่ประมาณ 7-14 วัน

           

          ฉีดฟิลเลอร์ปาก กี่วันถึงทาลิปได้?

          • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรงดทาลิปสติกในช่วง 12 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นสามารถทาลิปสติกได้ปกติ โดยหลังจากฉีดฟิลเลอร์อาจมีรอยเข็มอยู่ สามารถใช้ลิปสติกทากลบรอยเข็มได้

           

          ฉีดฟิลเลอร์ปาก มีอาการข้างเคียงอะไรบ้าง?

          การฉีดฟิลเลอร์ปาก เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมในการเพิ่มความอวบอิ่มของริมฝีปากและปรับรูปทรงริมฝีปากให้สวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ แม้จะเป็นหัตถการที่ปลอดภัยแต่อาจจะมีผลข้างเคียงที่ตามมาได้ ซึ่งผลข้างเคียงของการฉีดฟิลเลอร์มีดังนี้

          • รู้สึกเจ็บบริเวณที่ฉีด : เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ตามปกติ เพราะผิวบริเวณริมฝีปากค่อนข้างบางและไวต่อความรู้สึก และสามารถหายได้เองภายใน 2-3 วัน สามารถทานยาแก้ปวดได้ตามอาการ หากมีอาการรุนแรงขึ้น ควรรีบแจ้งแพทย์เพื่อทำการรักษาตามอาการ
          • อาการบวมหรือช้ำ : เป็นอาการที่สามารถพบได้ทั่วไป หลังจากฉีดฟิลเลอร์ปาก 3 วันแรก โดยจะมีรอยแดงจากเข็ม ในบางคนอาจมีรอยช้ำ รอยเขียวจากเข็ม หรืออาการบวมในบริเวณที่ฉีด หลังจาก 5-7 วัน จะไม่มีอาการบวม และค่อย ๆ หายได้เอง และฟิลเลอร์เข้าที่ใน 14 วัน สามารถประคบเย็นบริเวณที่ฉีด เพื่อช่วยลดอาการบวมได้
          • การติดเชื้อ : สามารถพบได้บ่อยในเคสที่ฉีดฟิลเลอร์ปากโดยหมอกระเป๋า หรือคลินิกเถื่อน มีขั้นตอนการฉีดที่ไม่สะอาด อุปกรณ์ที่ใช้ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ คลินิกไม่ได้มาตรฐาน ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์จริงที่มีใบรับรอง ฉีดฟิลเลอร์ปากกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือเท่านั้น
          • ปวดแสบ ปวดร้อน บริเวณที่ฉีด : อาจเกิดขึ้นได้ในบางกรณี ซึ่งเกิดจากแพทย์ฉีดฟิลเลอร์ปากผิดตำแหน่ง โดยการฉีดฟิลเลอร์เข้าหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดอุดตัน จนนำไปสู่อาการเนื้อตาย (necrosis) เพราะเลือดไม่ไหลเวียนไปเลี้ยงผิวหนัง เพราะฉะนั้นควรฉีดกับแพทย์ที่มีความชำนาญเท่านั้น

           

          ฉีดฟิลเลอร์ปาก แล้วเป็นก้อน เกิดจากอะไร?

          • ชนิดของฟิลเลอร์ไม่เหมาะสมกับบริเวณที่ฉีด

          หากนำฟิลเลอร์ที่มีความหนาแน่นสูง มาฉีดบริเวณผิวชั้นตื้น ทำให้ฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วเป็นก้อนได้ เช่น ใช้ฟิลเลอร์ที่มีความแข็งและเหนียวที่ค่อนข้างมากมาฉีดบริเวณปาก อาจจับตัวเป็นก้อนได้

          • เทคนิคและประสบการณ์การฉีดของแพทย์

          การฉีดฟิลเลอร์ปากต้องฉีดกับแพทย์ที่มีความรู้เกี่ยวกับฟิลเลอร์ โครงสร้างของสรีรวิทยาร่างกายมนุษย์ รวมไปถึงศิลปะด้านการปรับรูปหน้า เพื่อผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจที่สุด หากแพทย์ขาดความรู้และประสบการณ์ อาจมีความเสี่ยงที่จะฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วเป็นก้อนได้

          • ฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐาน และไม่ผ่าน อย.

          ฟิลเลอร์ที่ไม่ผ่านการรับรองจาก อย. เป็นฟิลเลอร์ปลอมที่ไม่สามารถสลายได้เองแบบธรรมชาติ มีราคาถูก ไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อเวลาผ่านไปฟิลเลอร์จะจับตัวกันเป็นก้อน ไหลย้อยไม่เป็นทรง ไม่สามารถฉีดสลายได้ ต้องผ่าตัดออกเท่านั้น

          • ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่มากจนเกินไป

          การเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ปาก ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ และตำแหน่งที่ฉีด ต้องพิจารณาให้มีความเหมาะสม เนื่องจากหากใช้เกินความจำเป็น ก็อาจทำให้ฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วเป็นก้อนได้

           

          ฉีดฟิลเลอร์ปาก แล้วเป็นก้อน มีวิธีแก้ไขอย่างไร?

          หลังฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วเป็นก้อน บวม ผิดปกติ การแก้ไขปัญหาจะมีอยู่ทั้งหมด 3 วิธีด้วยกัน โดยแพทย์จะเลือกวิธีที่เหมาะสมและปลอดภัยในแต่ละเคส ดังนี้

          • การฉีดสลายฟิลเลอร์ปาก : เป็นการใช้เอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (HYAL) เข้าไปลดคุณสมบัติการอุ้มน้ำของฟิลเลอร์ ทำลายการยึดเกาะของฟิลเลอร์ ปรับสมดุลบริเวณผิวที่ฉีดฟิลเลอร์ ให้กลับมาเหมือนเดิมให้ได้มากที่สุด ฟิลเลอร์จะค่อย ๆ ยุบตัวลง และสลายไปในที่สุด โดยสามารถสลายออกได้หมด 100%
          • การขูดฟิลเลอร์ปาก : ในกรณีที่ฉีดสารเติมเต็มประเภทซิลิโคน หรือ พาราฟิน นั้น สารเติมเต็มประเภทนี้ไม่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ และไม่มีสารตัวใดสลายฟิลเลอร์ชนิดนี้ได้ ต้องทำการขูดออกเท่านั้น
          • ผ่าตัดฟิลเลอร์ออก : กรณีนี้เป็นการแก้ไขในคนที่ฉีดฟิลเลอร์ประเภทซิลิโคนเหลวมา จนเกิดการอักเสบ ฟิลเลอร์เป็นก้อนขนาดใหญ่และแข็งมาก ซึ่งการผ่าตัดส่วนใหญ่จะไม่สามารถเอาฟิลเลอร์ออกได้ทั้งหมด เพราะต้องระวังทั้งเรื่องของเส้นประสาทและเส้นเลือดสำคัญต่าง ๆ 

           

          ศัลยกรรมผ่าตัดปากมาแล้วบางเกินไป ฉีดฟิลเลอร์ปากแก้ไขได้ไหม?

          • ในกรณีที่ผ่าตัดปากบางมาแต่ริมฝีปากบางเกินไป ในบางเคสสามารถใช้ฟิลเลอร์ปากแก้ไขให้ดีขึ้นได้ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพังผืดที่เกิดจากการผ่าตัด ถ้าพังผืดดึงรั้งมากก็จะเติมฟิลเลอร์ได้น้อย ดังนั้นก่อนที่จะผ่าตัดทำริมฝีปากควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน เพราะกรณีที่ผ่าตัดริมฝีปากมาบางเกินไปจนเนื้อน้อยมาก จะไม่สามารถเติมฟิลเลอร์แก้ไขได้

           

          บทสรุปของฟิลเลอร์ปาก ปรับทรงสวยแบบธรรมชาติ

           

          การฉีดฟิลเลอร์ปาก เป็นหนึ่งในหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในยุคปัจจุบัน เป็นการปรับรูปทรงปากให้สวยอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยแก้ปัญหาปากแห้งแตกเป็นร่อง และยังช่วยบำรุงริมฝีปากให้อวบอิ่ม เต่งตึง ริมฝีปากแลดูสุขภาพดี รวมไปถึงช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับสาว ๆ ทุกคนมากยิ่งขึ้นได้อีกด้วย

           

          ซึ่งการเลือกฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และมีเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม ปลอดภัยอย่างแน่นอน สำหรับใครที่สนใจอยากฉีดฟิลเลอร์ปากกับแพทย์ที่มากประสบการณ์ด้านการปรับรูปทรงปากให้เข้ากับใบหน้า สามารถเข้ารับคำแนะนำและปรึกษากับแพทย์ประจำรมย์รวินท์คลินิกได้ โดยแพทย์จะแนะนำฟิลเลอร์ที่เหมาะสมให้ตรงกับทุกความต้องการของทุกท่านอย่างแน่นอน 

          Glass Glow Skin โปรแกรมลับเพื่อผิวโกลว์ เงา ราวกับกระจก

          Glass Glow Skin

          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




            วันที่สะดวกในการติดต่อ








            Glass Glow Skin โปรแกรมลับเพื่อผิวโกลว์ เงา ราวกับกระจก

            ในยุคที่เทรนด์ความงามให้ความสำคัญกับผิวที่ดูเป็นธรรมชาติ การมีผิวโกลว์ เงา ฉ่ำเด้ง จึงเป็นเทรนด์ความสวยยอดฮิตที่หลาย ๆ คนต่างใฝ่ฝัน วันนี้รมย์รวินท์เลยจะพาไปรู้จักกับโปรแกรมที่จะช่วยให้ผิวโกลว์ เงา สวย ฉ่ำวาว ยอดนิยมอย่าง “Glass Glow Skin” พร้อมเผยเคล็ดลับการดูแลผิวโกลว์ เงา ราวกับกระจกให้ได้ผลลัพธ์หลังทำที่ยาวนาน 

             

            Glass Glow Skin คืออะไร
            Glass Glow Skin คืออะไร

             

            ผิวโกลว์ คืออะไร ?

            ผิวโกลว์ คือ ผิวที่ดูอิ่มน้ำ เงา สวย สุขภาพดี มีความชุ่มชื้นจากภายใน ทำให้ผิวดูสวยเปล่งประกายอย่างเป็นธรรมชาติ ในผู้ที่มีผิวโกลว์ จะทำให้ใบหน้าดูสดใส อ่อนเยาว์ บ่งบอกถึงการมีสุขภาพผิวที่ดี ช่วยเสริมความมั่นใจได้

             

            Glass Glow Skin คืออะไร ?

            Glass Glow Skin เป็นโปรแกรมการฉีดเพื่อฟื้นฟูผิว สวย เงาราวกับกระจก  มีความชุ่มชื้น ฉ่ำวาว ผิวโกลว์ โดยการใช้ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติเด่นในการกักเก็บความชุ่มชื้น ช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่น และปรับปรุงคุณภาพผิว ซึ่งกระบวนการใช้ Hyaluronic Acid (HA)  ที่ใช้ในโปรแกรม Glass Glow Skin มีโมเลกุลที่เล็กกว่า เนื้อละเอียด และน้ำหนักเบากว่า HA ในฟิลเลอร์ทั่วไป ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกหนักผิวหลังฉีด และให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน ไม่หลอกตา

            ซึ่งนอกจากการช่วยให้ผิวโกลว์ เงา สวย ฉ่ำวาว แล้วนั้นโปรแกรม Glass Glow Skin ยังสามารถช่วยเติมเต็มริ้วรอยเล็ก ๆ และลดร่องลึกบางส่วนได้อีกด้วย จึงถือเป็นทางเลือกใหม่ที่ดีมาก สำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูคุณภาพผิวอย่างล้ำลึก อยากมีหน้าอ่อนเยาว์ ผิวโกลว์ใส ฉ่ำวาว

             

            Glass Glow Skin ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำได้อย่างไร
            Glass Glow Skin ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำได้อย่างไร

             

            Glass Glow Skin ช่วยให้ผิวโกลว์ เงา สวย ได้อย่างไร ?

            Glass Glow Skin เป็นโปรแกรมที่ช่วยให้ผิวโกลว์ เงา สวย ฉ่ำวาว รวมถึงเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวดูสุขภาพดี อิ่มฟู จากภายในสู่ภายนอกได้ด้วยการผสมผสานเทคนิคพิเศษและสารสำคัญอย่าง Hyaluronic Acid (HA) ที่มีหน้าที่ในการช่วยเติมความชุ่มชื้นในผิวได้อย่างดี โดย Glass Glow Skin ช่วยให้ผิวโกลว์ อิ่มน้ำ ฉ่ำวาว ได้จากกระบวนการ ดังต่อไปนี้

            • Glass Glow Skin เติม Hyaluronic Acid (HA) สู่ผิวโดยตรง การทำ Glass Glow Skin ใช้การฉีด Hyaluronic Acid (HA) ลงในชั้นกลางของผิวหนัง ซึ่งการเติม Hyaluronic Acid (HA) ในบริเวณนี้มีผลโดยตรงต่อการกักเก็บน้ำในเซลล์ผิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวจากภายใน ทำให้ผิวโกลว์ เงา ฉ่ำวาว อิ่มน้ำ
            • Glass Glow Skin ใช้เทคนิคพิเศษเพื่อผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ การทำโปรแกรม Glass Glow Skin จะใช้เทคนิคพิเศษอย่างเทคนิค Hourglass Technique ในการเติมผิวชั้นกลาง ซึ่งการใช้เทคนิคนี้จะช่วย Hyaluronic Acid (HA) ให้แตกตัว ทำให้ผิวโกลว์  เงา ฉ่ำวาว อย่างเป็นธรรมชาติ
            • Glass Glow Skin ลดการสูญเสียน้ำในผิว อีกทั้งยังช่วยให้ผิวแข็งแรง สร้างเกราะป้องกันให้กับผิว ทำให้ผิวกักเก็บน้ำได้นาน ดูเงา สวย ฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ

             

            จุดเด่นของ Glass Glow Skin
            จุดเด่นของ Glass Glow Skin

             

            จุดเด่นของ Glass Glow Skin 

            Glass Glow Skin เป็นโปรแกรมที่มีจุดเด่นหลายอย่าง ที่ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่คนที่ชอบการดูแลผิว ที่ต้องการให้ผิวหน้าอิ่ม ผิวโกลว์ใส ฉ่ำวาว ราวกับผิวกระจก เพราะจุดเด่นที่สำคัญของโปรแกรม Glass Glow Skin คือการมุ่งเน้นในการฟื้นฟู และเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวโกลว์ เงา  ฉ่ำวาว สุขภาพดี นอกจากนี้ Glass Glow Skin ยังมีจุดเด่นอีกหลายอย่างที่น่าสนใจ ดังนี้

             

            • Glass Glow Skin มีจุดเด่นในเรื่องของการเติมความชุ่มชื้นที่ล้ำลึก 

            Glass Glow Skin ใช้การฉีดสารธรรมชาติที่มีคุณสมบัติในการกักเก็บน้ำได้ดีมากอย่าง Hyaluronic Acid (HA) ลงในชั้น Mid Dermis ทำให้ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ล้ำลึกถึงใต้ผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ผิวโกลว์ เงา ใส ฉ่ำวาว อย่างเป็นธรรมชาติ

            • Glass Glow Skin มีจุดเด่นในเรื่องของการช่วยให้ผิวโกลว์อย่างเป็นธรรมชาติ

            ขั้นตอนการฟื้นฟูเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยโปรแกรม Glass Glow Skin จะใช้เทคนิคการฉีดด้วยเทคนิค Hourglass Technique ที่จะช่วยให้ Hyaluronic Acid (HA)  กระจายตัวในชั้นผิว ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้หลังการทำ Glass Glow Skin  นั้นช่วยให้ผิวโกลว์ เงา ฉ่ำวาว อย่างเป็นธรรมชาติ

            • Glass Glow Skin มีจุดเด่นในเรื่องของการฟื้นฟูผิวในระยะยาว

            โปรแกรม Glass Glow Skin ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ ผิวโกลว์ใส แต่ยังมีช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินในผิว เพื่อปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรงขึ้น ช่วยในการฟื้นฟูในระยะยาว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ และกระชับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้อีกด้วย

            • Glass Glow Skin มีจุดเด่นในเรื่องของความปลอดภัย

            จุดเด่นที่สำคัญของโปรแกรม Glass Glow Skin ช่วยผิวโกลว์ คือ การใช้สารเติมเต็มความชุ่มชื้นที่มีความปลอดภัยสูง ทำให้ไม่เสี่ยงต่อการแพ้ และมีโอกาสการเกิดผลข้างเคียงที่น้อยมาก จึงสามารถทำได้แม้แต่ในผู้ที่มีผิวบอบบาง

            • Glass Glow Skin มีจุดเด่นในเรื่องของการใช้งานได้หลากหลายบริเวณ

            โปรแกรม Glass Glow Skin ช่วยผิวโกลว์สามารถทำได้หลายบริเวณ ทั้งบริเวณใบหน้า,ลำคอ และบริเวณมือ ซึ่งผิวหนังบริเวณนี้มักเป็นบริเวณที่ผิวเริ่มแห้งและมีริ้วรอยได้ง่าย การทำ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น อิ่มน้ำ ในผิวหนังบริเวณนี้จะช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน อิ่มน้ำ และมีความยืดหยุ่นมากขึ้นได้

             

            Glass Glow Skin เหมาะกับผิวแบบไหน ?

            Glass Glow Skin ช่วยผิวโกลว์เหมาะกับทุกสภาพผิว เพราะมีความปลอดภัยสูงจากการใช้สารธรรมชาติจึงมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงต่ำ อีกทั้งยังเหมาะเป็นอย่างยิ่งในผู้ที่ต้องการเติมความชุ่มชื้น ฟื้นฟูผิว อยากมีผิวโกลว์ ฉ่ำวาว และโปรแกรม Glass Glow Skin จะเหมาะเป็นอย่างยิ่งกับผู้ที่มีสภาพผิวดังต่อไปนี้ 

             

            • Glass Glow Skin เหมาะกับผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น และลอกง่าย
            • Glass Glow Skin เหมาะกับผิวมันที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป แต่ยังคงขาดน้ำในชั้นผิวลึก
            • Glass Glow Skin เหมาะกับผิวที่มีริ้วรอยหรือร่องตื้น ๆ จากการขาดคอลลาเจนและความชุ่มชื้น
            • Glass Glow Skin เหมาะกับผิวบอบบาง มีแนวโน้มเกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ง่าย
            • Glass Glow Skin เหมาะกับผิวที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง เพราะผิวขาดความชุ่มชื้นและยืดหยุ่น
            • Glass Glow Skin เหมาะกับผิวหมองคล้ำที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้น และความเปล่งปลั่ง

             

            Glass Glow Skin เหมาะกับใคร
            Glass Glow Skin เหมาะกับใคร

             

            Glass Glow Skin เหมาะกับใคร 

            โปรแกรม Glass Glow Skin ช่วยผิวโกลว์เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิว เติมความชุ่มชื้น ทำให้ ดูอิ่มน้ำ ผิวโกลว์ และเหมาะเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ผิวหมองคล้ำ หรือผิวที่เริ่มมีริ้วรอย และร่องรอยตื้น ๆ นอกจากนี้ Glass Glow Skin  ยังเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวอีกหลายแบบ ดังนี้

            • Glass Glow Skin เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งและขาดความชุ่มชื้น
            • Glass Glow Skin เหมาะกับผู้ที่มีผิวหมองคล้ำ
            • Glass Glow Skin เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอย และร่องลึก
            • Glass Glow Skin เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
            • Glass Glow Skin เหมาะกับผู้ที่ต้องการการฟื้นฟูผิวในระยะยาว
            • Glass Glow Skin เหมาะกับผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย
            • Glass Glow Skin เหมาะกับผู้ที่ต้องการให้ผิวโกลว์ เงา สวย ฉ่ำวาว
            • Glass Glow Skin เหมาะกับทุกสภาพผิว
            • Glass Glow Skin เหมาะกับผู้ที่ต้องการให้หน้าดูอ่อนเยาว์
            • Glass Glow Skin เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับสีผิวให้กระจ่างใส

             

            Glass Glow Skin ไม่เหมาะกับใคร 

            แม้ Glass Glow Skin ช่วยผิวโกลว์จะเหมาะกับทุกสภาพผิว และมีความปลอดภัยสูง แต่การทำโปรแกรม Glass Glow Skin อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ปัญหาผิว หรือมีข้อควรระมัดระวังเป็นพิเศษในบางบุคคล โดยผู้ที่อาจไม่เหมาะกับการทำ Glass Glow Skin มีดังนี้

            • Glass Glow Skin ไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้ Hyaluronic Acid  
            • Glass Glow Skin ไม่เหมาะกับผู้ที่มีการติดเชื้อหรือปัญหาผิวหนังบริเวณที่ฉีด เช่น เริม แผลเปิด หรือผื่นแพ้ เพราะอาจทำให้อาการแย่ลง หรือเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
            • Glass Glow Skin ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคภูมิแพ้ตนเอง , โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ หรือโรคที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน
            • Glass Glow Skin ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร 
            • Glass Glow Skin ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหนังในระดับรุนแรง เช่น โรคสะเก็ดเงิน , โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง หรือสิวรุนแรง เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองและทำให้ปัญหาผิวแย่ลงได้

            ถึงแม้ Glass Glow Skin จะเป็นโปรแกรมที่มีความปลอดภัยและผลข้างเคียงต่ำ แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการตัดสินใจทำ Glass Glow Skin เพื่อความปลอดภัย 

             

            Glass Glow Skin ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
            Glass Glow Skin ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

             

            Glass Glow Skin ช่วยเรื่องอะไรบ้าง 

            Glass Glow Skin ช่วยผิวโกลว์มีจุดมุ่งหมายหลักในการช่วยฟื้นฟู และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ผิวโกลว์ และผิวดูสุขภาพดี นอกจากนี้การทำ Glass Glow Skin ยังสามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวได้หลายด้าน ดังนี้

            • Glass Glow Skin ช่วยในการปรับโทนสีผิวให้กระจ่างใส เนื่องจากการฉีด Hyaluronic Acid ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นจึงส่งผลลัพธ์ที่ได้ต่อมาคือ ผิวสม่ำเสมอ ดูกระจ่างใสมากขึ้น โดยเฉพาะกับผู้ที่มีผิวหมองจากการขาดน้ำหรือความเครียด
            • Glass Glow Skin ช่วยให้ผิวดูโกลว์เป็นธรรมชาติ ด้วยเทคนิคพิเศษอย่างการฉีด Hourglass Technique จะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวดูมีมิติมากขึ้น ดูผิวโกลว์อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะ Hyaluronic Acid มีการกระจายตัวจากเทคนิคการฉีดเฉพาะในโปรแกรม  Glass Glow Skin ทำให้ผิวไม่วาวเกินไป ผิวดูโกลว์จากภายใน ไม่หลอกตา
            • Glass Glow Skin ช่วยในการเติมเต็มริ้วรอยเล็ก ๆ และร่องลึกได้ หากร่องลึกหรือริ้วรอยเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและความชุ่มชื้น การทำ Glass Glow Skin จะช่วยให้ผิวได้รับความชุ่มชื้นจาก Hyaluronic Acid จนสามารถช่วยเติมเต็มร่องลึก และริ้วรอยตื้น ๆ เหล่านี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้หน้าดูอ่อนเยาว์และเรียบเนียน
            • Glass Glow Skin ช่วยให้ผิวกระชับและยืดหยุ่น การเติม Hyaluronic Acid ในโปรแกรม Glass Glow Skin ช่วยปรับสภาพความยืดหยุ่นของผิว และกระชับผิวให้ดูตึงขึ้นได้ จากการกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน ที่เป็นโปรตีนสำคัญในการยกกระชับ และทำให้ผิวยืดหยุ่น
            • Glass Glow Skin ช่วยลดความหมองคล้ำ เมื่อผิวมีความชุ่มชื้นแล้วนั้นจะมีส่วนช่วยในการลดความหมองคล้ำ ทำให้ผิวดูสดใส สม่ำเสมอ ช่วยปรับสภาพผิวให้ดูมีชีวิตชีวาได้อีกด้วย
            • Glass Glow Skin ช่วยในการเติมความชุ่มชื้นให้ผิว Glass Glow Skin มีส่วนช่วยโดยตรงในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ผิวโกลว์ ฉ่ำวาว จากการฉีด Hyaluronic Acid ที่มีส่วนช่วยในการดูดซับน้ำ ช่วยเก็บความชุ่มชื้นในและดูแลบำรุงผิวอย่างล้ำลึก

             

            การทำ Glass Glow Skin ช่วยผิวโกลว์ไม่ได้ช่วยเพียงการเติมความชุ่มชื้น และทำให้ผิวโกลว์อิ่มน้ำเพียงเท่านั้น แต่ยังช่วยในปัญหาผิวได้อีกหลายด้าน ซึ่งผลลัพธ์หลังงานรักษาสามารถอยู่ได้ยาวนานหลายเดือนตามการดูแลหลังการทำเลยค่ะ

             

            Glass Glow Skin เจ็บไหม ?

            การทำ Glass Glow Skin จะใช้การฉีด Hyaluronic Acid ด้วยเทคนิคพิเศษเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ผิวโกลว์ ฉ่ำวาว อิ่มน้ำอย่างเป็นธรรมชาติ จึงอาจเกิดความรู้สึกเจ็บได้มากเล็กน้อย เมื่อมีการแทงเข็มเข้าสู่ผิวหนัง แต่โดยปกติแล้วจะมีการเจ็บเพียงเล็กน้อยถึงปานกลางเท่านั้นระหว่างการทำ Glass Glow Skin 

             

            Glass Glow Skin อันตรายไหม มีผลข้างเคียงหรือเปล่า ?

            การทำ Glass Glow Skin ช่วยผิวโกลว์ เป็นโปรแกรมการทำที่มีความปลอดภัย และมีโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงหลังการทำที่ต่ำมาก หากทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ เนื่องจากเป็นการใช้สารเติมความชุ่มชื้น ที่ช่วยให้ผิวโกลว์ อิ่มน้ำ ด้วยสารที่ได้รับรองความปลอดภัย  แต่อย่างไรก็ตามการฉีด Hyaluronic Acid อาจเกิดผลข้างเคียงได้บ้างในบางบุคคล ซึ่งผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการทำ Glass Glow Skin มีดังนี้

             

            • หลังการทำ Glass Glow Skin อาจเกิดบวมและแดงได้ ซึ่งการเกิดผลข้างเคียงนี้หลังการทำ Glass Glow Skin ถือเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้จากการที่ร่างกายตอบสนองต่อเข็มหรือสารที่ฉีด แต่ไม่เป็นอันตราย และสามารถหายได้เองภายใน 1-2 วัน
            • หลังการทำ Glass Glow Skin อาจเจ็บหรือระคายเคืองได้  โดยหลังการทำมีโอกาสที่จะเจ็บหรือตึงในบริเวณที่ฉีดได้ กแต่จะหายได้เองในระยะเวลาไม่นาน
            • หลังการทำ Glass Glow Skin อาจเกิดรอยฟกช้ำ ซึ่งรอยฟกช้ำเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้จากการที่เข็มไปกระทบหลอดเลือดใต้ผิวหนัง แต่รอยฟกช้ำที่เกิดหลังการทำ จะสามารถหายได้เองภายใน 3-7 วัน

             

            อาการข้างเคียงต่าง ๆ เหล่านี้ อาจเกิดขึ้นได้ในบางบุคคล แต่มักเป็นอาการที่ไม่รุนแรง สามารถหายได้เองในระยะเวลาไม่นาน ซึ่งสามารถลดการเกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ เหล่านี้ได้จากการเตรียมตัวให้พร้อม และปฏิบัติตามคำแนะนำหลังการทำ Glass Glow Skin อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน และลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงได้

             

            Glass Glow Skin อยู่ได้นานแค่ไหน ต้องทำกี่ครั้ง ?

            ผลลัพธ์หลังการทำ Glass Glow Skin ช่วยผิวโกลว์ นอกจากจะช่วยให้ผิวโกลว์ ดูอิ่มน้ำ แล้วนั้นยังสามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวอื่น ๆ ได้ โดยเห็นผลความเปลี่ยนแปลงได้ตามระยะเวลาที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้

             

            • ผลลัพธ์ในการเพิ่มความชุ่มชื้น ผิวโกลว์ หลังการทำ Glass Glow Skin จะเริ่มเห็นได้หลังการทำทันที และจะเริ่มเห็นผลได้ชัดขึ้น 7-14 วันหลังการทำ
            • ผลลัพธ์ในการกระชับผิว เต่งตึง หลังการทำ Glass Glow Skin ผิวจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงในความยืดหยุ่นและกระชับมากขึ้น ภายใน 14 วัน
            • ผลลัพธ์ในการลดเลือนริ้วรอยและร่องลึก หลังการทำ Glass Glow Skin จะเห็นผลลัพธ์มากขึ้น เนื่องจากต้องกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวหนัง โดยเฉลี่ยจะเห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 14-30 วัน

             

            สรุปแล้วหลังการทำ Glass Glow Skin ช่วยผิวโกลว์ ผิวจะค่อย ๆ เริ่มเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ โดยผลลัพธ์สามารถอยู่ได้ยาวนาน 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาผิวหลังการทำและปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ซึ่งการทำ Glass Glow Skin ในผิวปกติควรทำ 1-2 ครั้ง/ปี และในผู้ที่มีผิวแห้งควรทำ 3 ครั้ง/ปีค่ะ

             

            การเตรียมตัวก่อนทำ Glass Glow Skin

            การเตรียมตัวให้พร้อมเป็นขั้นตอนสำคัญก่อนการทำ Glass Glow Skin ช่วยผิวโกลว์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในการทำที่มีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดได้หลังการทำ Glass Glow Skin อีกด้วย ดังนั้นก่อนทำ Glass Glow Skin ควรเตรียมตัวให้พร้อม ดังนี้ 

             

            • ก่อนการทำ Glass Glow Skin ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินสภาพผิว และให้คำแนะนำที่เหมาะสมในแต่ละบุคคลก่อนการทำ
            • ก่อนการทำ Glass Glow Skin ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิว
            • ก่อนการทำ Glass Glow Skin ควรหยุดใช้ยาบางชนิด ที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ก่อนการทำ 5-7 วันภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพื่อป้องกันการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำหลังจากการฉีด
            • ก่อนการทำ Glass Glow Skin ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากแอลกอฮอล์อาจทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำหลังการฉีดได้ จึงควรงดอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการทำ Glass Glow Skin 
            • ก่อนการทำ Glass Glow Skin ควรเตรียมสภาพผิวให้สะอาด หากมีเครื่องสำอางบนใบหน้าควรทำความสะอาดออกให้เรียบร้อย 
            • ก่อนการทำ Glass Glow Skin ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟู
            • ก่อนการทำ Glass Glow Skin ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับประวัติสุขภาพ ควรแจ้งแพทย์ให้ละเอียดเกี่ยวกับประวัติการแพ้ยา หรือโรคประจำตัวต่าง ๆ เพื่อให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม

             

            และทั้งหมดนี้คือการเตรียมตัวเบื้องต้นก่อนการทำ Glass Glow Skin ช่วยผิวโกลว์ ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญนอกจากการเตรียมตัวให้พร้อมตามคำแนะนำแล้วนั้น ก่อนการทำ Glass Glow Skin ควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหาและประเมินผิวเบื้องต้น สำหรับการวางแผนการรักษา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ และลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ หลังจากการทำ Glass Glow Skin ช่วยผิวโกลว์ได้

             

            วิธีการดูแลตัวเองหลังทำ Glass Glow Skin

            หากต้องการให้ผลลัพธ์ผิวโกลว์ อิ่มน้ำ ฉ่ำวาวอย่างยาวนาน โดยไม่มีผลข้างเคียงต่าง ๆ ตามมาการดูแลตัวเองหลังการทำ Glass Glow Skin เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้การดูแลตัวเองก่อนทำ Glass Glow Skin เลย ดังนั้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์หลังการทำที่มีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง ควรดูแลตัวเองหลังการทำ Glass Glow Skin ดังนี้

             

            • หลังการทำ Glass Glow Skin ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัส หรือกดทับบริเวณที่ฉีด เพื่อไม่ให้ Hyaluronic Acid เลื่อนผิดตำแหน่ง
            • หลังการทำ Glass Glow Skin ไม่ควรบีบ หรือนวดแรง ๆ ในบริเวณที่ฉีด ในช่วง 7-14 วันแรกหลังการทำ
            • หลังการทำ Glass Glow Skin ควรหลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนต์หน้า และควรหลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่น ๆ ที่อาจกระทบกับการทำ Glass Glow Skin ก่อน ในช่วง 7-14 วันแรกหลังการทำ
            • หลังการทำ Glass Glow Skin ควรหลีกเลี่ยงหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เพราะอาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ 
            • หลังการทำ Glass Glow Skin ควรติดตามผลและปรึกษาแพทย์ หากมีอาการที่ผิดปกติมากกว่าปกติ หลังการทำ Glass Glow Skin เช่น ปวด , บวม หรือแดง ควรรีบปรึกษาแพทย
            • หลังการทำ Glass Glow Skin ควรดื่มน้ำให้มาก เพื่อให้ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ให้ผลลัพธ์ผิวโกลว์ อิ่มน้ำ ยาวนาน

             

            การดูแลตัวเองหลังการทำ Glass Glow Skin เป็นสิ่งที่จำเป็นเป็นอย่างมาก เพราะส่งผลถึงผลลัพธ์ ความปลอดภัย และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งถ้าผู้เข้ารับการรักษามีข้อกังวลใจ หรือพบอาการที่ผิดปกติหลังจากการทำ Glass Glow Skin ควรรีบแจ้งเพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง

             

            Glass Glow Skin ช่วยผิวโกลว์ เป็นโปรแกรมการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวผ่านการฉีด Hyaluronic Acid  ที่จะทำให้ผิวโกลว์ใส เงา สวย ฉ่ำวาว อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่หลอกตา อีกทั้งยังสามารถช่วยลดร่องลึกหรือริ้วรอย ที่เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและความชุ่มชื้นได้อีกด้วย โดยผลลัพธ์หลังการทำ Glass Glow Skin สามารถอยู่ได้ 4-6 เดือนขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังการทำของแต่ละบุคคล 

            ฟิลเลอร์งานผิวตัวช่วยผิวสวย ใส ฉ่ำ วาว

            ฟิลเลอร์งานผิวยอดฮิต

            ฟิลเลอร์งานผิวคืออะไร ? ดียังไง ตอบคำถาม หมดเปลือก

            ผิวสวยกระจ่างใส เป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝัน แต่ปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่นและผิวขาดความชุ่มชื้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่ออายุมากขึ้น ฟิลเลอร์งานผิว จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ซึ่งฟิลเลอร์งานผิวช่วยให้ผิวกลับมาอ่อนเยาว์ สดใส และเปล่งปลั่งอีกครั้ง แม้ว่าฟิลเลอร์งานผิวจะไม่ใช่เรื่องใหม่ในยุคสมัยนี้ แต่เทคโนโลยีในการผลิตฟิลเลอร์และเทคนิคการฉีดพัฒนาก้าวหน้าไปมาก ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและปลอดภัยยิ่งขึ้น 

             

            บทความนี้จะอธิบายถึงฟิลเลอร์งานผิวคืออะไร ฟิลเลอร์งานผิวทำงานอย่างไร ยี่ห้อของฟิลเลอร์งานผิวที่นิยมใช้ เพื่อให้คุณเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตัวเอง รวมไปถึงเจาะลึกเรื่องของของฟิลเลอร์งานผิว เทคนิคการฉีด และผลลัพธ์จากการฉีดฟิลเลอร์งานผิว

             

            เจาะลึกฟิลเลอร์งานผิว เลือกฟิลเลอร์เพื่อปรับสภาพผิวยี่ห้อไหนดี

             

            ฟิลเลอร์งานผิวคืออะไร
            ฟิลเลอร์งานผิวคืออะไร

             

            ฟิลเลอร์งานผิว คืออะไร?

            ฟิลเลอร์งานผิว คือ การฉีดสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบหลักเป็น ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกาย และมีคุณสมบัติสำคัญในการช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้แก่ผิว การใช้ฟิลเลอร์ชนิดนี้มีจุดประสงค์เพื่อฟื้นฟู และปรับสภาพผิวให้ดูสดใสอย่างมีชีวิตชีวามากขึ้น โดยเนื้อสัมผัสของฟิลเลอร์จะบางเบา เหมาะสำหรับการเติมเต็มในระดับผิวหนัง ไม่ได้เน้นการปรับรูปหน้า แต่จะช่วยให้ผิวดูชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง ผิวแลดูมีสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น

             

            การฉีดฟิลเลอร์งานผิวเหมาะสำหรับคนที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้น ฟื้นฟูผิวที่แห้งกร้าน หรือปรับให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น โดยเฉพาะคนที่เผชิญปัญหาผิวขาดน้ำจากมลภาวะหรืออายุที่เพิ่มขึ้น ฟิลเลอร์งานผิวจะช่วยคืนความสมดุลของผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ สดใส และดูมีชีวิตชีวามากขึ้น เหมาะสำหรับคนที่มองหาวิธีดูแลผิวแบบง่าย ๆ แต่ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน

             

            ฟิลเลอร์งานผิวช่วยอะไรบ้าง
            ฟิลเลอร์งานผิวช่วยอะไรบ้าง

             

            ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยอะไรบ้าง?

            • ฟิลเลอร์งานผิว เพิ่มความชุ่มชื้น อิ่มน้ำให้กับผิวหน้า
            • ฟิลเลอร์งานผิว ลดเลือนริ้วรอยร่องลึก เผยผิวเรียบเนียน
            • ฟิลเลอร์งานผิว ฟื้นฟูโครงสร้างผิวเพื่อผิวแลดูสุขภาพดี
            • ฟิลเลอร์งานผิว เพิ่มคุณภาพผิวให้ผิวยืดหยุ่น แข็งแรงขึ้น
            • ฟิลเลอร์งานผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน

             

            ฟิลเลอร์งานผิวเติมส่วนไหนได้บ้าง
            ฟิลเลอร์งานผิวเติมส่วนไหนได้บ้าง

             

            ฟิลเลอร์งานผิว เติมเต็มส่วนไหนได้บ้าง?

            ฟิลเลอร์งานผิวเพื่อการปรับสภาพผิว สามารถฉีดได้ทั่วใบหน้า หรือหากมีตำแหน่งที่ต้องการเน้นเป็นพิเศษก็สามารถฉีดได้ ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและการประเมินของแพทย์ของแต่ละบุคคล โดยบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์งานผิวได้ มีดังนี้

            • ฟิลเลอร์งานผิวทั่วใบหน้า เติมเต็มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวเรียบเนียน
            • ฟิลเลอร์งานผิวบริเวณหน้าผาก ช่วยเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ 
            • ฟิลเลอร์งานผิวบริเวณรอบดวงตา แก้ปัญหารอบดวงตาหมองคล้ำ ลดริ้วรอยหางตา และลดริ้วรอยรอบดวงตา
            • ฟิลเลอร์งานผิวบริเวณรอบริมฝีปาก ลดเลือนริ้วรอยบริเวณมุมปากและรอบริมฝีปาก
            • ฟิลเลอร์งานผิวที่เป็นหลุมสิว แก้ปัญหาผิวขรุขระ เติมเต็มหลุมสิว

             

            ฟิลเลอร์งานผิวเหมาะกับใคร
            ฟิลเลอร์งานผิวเหมาะกับใคร

             

            ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะกับใครบ้าง?

            • ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะกับคนที่ผิวขาดความชุ่มชื้น ผิวแห้งขาดความยืดหยุ่น
            • ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะกับคนที่มีผิวไม่กระชับ หย่อนคล้อย
            • ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะกับคนที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ และริ้วรอยร่องตื้นบริเวณใบหน้า
            • ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะกับคนที่มีใบหน้าดูโทรม ไม่สดใส
            • ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะกับคนที่ต้องการเติมน้ำให้ผิว ฟื้นฟูผิวให้กลับมากระจ่างใส
            • ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะกับคนที่มีรอยดำ รอยแดง จากสิว
            • ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะกับคนที่ต้องการให้ผิวดูอ่อนเยาว์และเปล่งปลั่ง
            • ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะกับคนที่ต้องการป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

             

            ฟิลเลอร์งานผิว ไม่เหมาะกับใครบ้าง?

            • ฟิลเลอร์งานผิว ไม่เหมาะกับคนที่มีประวัติแพ้สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอน
            • ฟิลเลอร์งานผิว ไม่เหมาะกับคนที่มีภาวะผิวหนังอักเสบ
            • ฟิลเลอร์งานผิว ไม่เหมาะกับคนที่มีประวัติแพ้ยาชา
            • ฟิลเลอร์งานผิว ไม่เหมาะกับสตรีที่ตั้งครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
            • ฟิลเลอร์งานผิว ไม่เหมาะกับคนที่มีแผลฟกช้ำง่าย มีภาวะเลือดออกแล้วหยุดยาก
            • ฟิลเลอร์งานผิว ไม่เหมาะกับคนที่ป่วยเป็นโรคงูสวัด หรือโรคเริม ควรรักษาให้หายก่อน

             

            ฟิลเลอร์งานผิวมีข้อดีอะไรบ้าง
            ฟิลเลอร์งานผิวมีข้อดีอะไรบ้าง

             

            ฟิลเลอร์งานผิว มีข้อดีอย่างไร?

            • ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยแก้ไขริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ ได้ทั่วบริเวณใบหน้า
            • ฟิลเลอร์งานผิว ลดรอยคล้ำบริเวณใต้ดวงตา
            • ฟิลเลอร์งานผิว แก้ปัญหาผิวแห้ง ขาดน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้น ฉ่ำวาวให้ผิวหน้า
            • ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยทำให้ผิวเด้ง ผิวดูอิ่มฟู
            • ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยรักษาคุณภาพผิว ให้ผิวสดใส ดูอ่อนวัย
            • ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้ริ้วรอยตื้นบนใบหน้าเรียบเนียนขึ้น
            • ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก เน้นเพิ่ม Skin Quality ให้ผิวแข็งแรงมากขึ้น
            • ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยกระตุ้นการเกิดคอลลาเจน ให้มีการจัดเรียงคอลลาเจนใหม่ และผิวเรียบเนียนมากขึ้น
            • ฟิลเลอร์งานผิว สามารถช่วยปรับโครงสร้างผิวหน้าให้ดูมีมิติมากขึ้น 
            • ฟิลเลอร์งานผิว เห็นผลลัพธ์รวดเร็ว เห็นผลลัพธ์หลังทำทันที
            • ฟิลเลอร์งานผิว ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวัน
            • ฟิลเลอร์งานผิว มีความปลอดภัยสูง เมื่อทำโดยแพทย์ที่มีความรู้ และเลือกใช้ฟิลเลอร์งานผิวแท้

             

            ฟิลเลอร์งานผิว ข้อควรระวังมีอะไรบ้าง?

            การฉีดฟิลเลอร์งานผิวเพื่อปรับสภาพผิว ต้องระมัดระวังเรื่องฟิลเลอร์ปลอมที่ไม่ได้มาตรฐาน หากฉีดฟิลเลอร์ปลอมนอกจากจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ เนื้อฟิลเลอร์จะไม่สามารถย่อยสลายเองได้ ทำให้เกิดการอักเสบและทิ้งสารตกค้างในร่างกายได้ ดังนั้นก่อนฉีดฟิลเลอร์งานผิว ต้องคำนึงดังนี้

            • เลือกคลินิกที่ได้รับมาตรฐาน ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข
            • แพทย์มีใบรับรอง สามารถตรวจสอบได้ และมีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์
            • ใช้ฟิลเลอร์แท้ สามารถตรวจสอบกับบริษัทนำเข้าได้
            • มีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ที่น่าเชื่อถือได้

             

            ฟิลเลอร์งานผิว เลือกยี่ห้อไหนดี?

             

            • ฟิลเลอร์งานผิว BELOTERO REVIVE

            ฟิลเลอร์งานผิวกระจก มีส่วนผสมทั้งไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) และ กลีเซอรอล (Glycerol) อยู่ในตัวเดียวกัน เป็นฟิลเลอร์เนื้ออ่อนที่สุด สามารถแนบเนียนไปกับผิวได้ ดูดีแบบธรรมชาติ ช่วยเติมเต็มผิวให้อิ่มฟู ฉ่ำวาว รูขุมขนกระชับ ผิวเรียบเนียนละเอียดขึ้น ซึ่งการฉีด BELOTERO REVIVE 1 ครั้ง ครั้งละ 2 CC จะช่วยให้ผิวฉ่ำวาวมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นฟิลเลอร์ตัวเดียวที่ช่วยในการเติมเต็มหลุมสิว ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 9 เดือน นิยมใช้ฉีดบำรุงผิว เน้นการฟื้นฟูผิว เพื่อความแข็งแรงให้ผิว

             

            • ฟิลเลอร์งานผิว NEAUVIA HYDRO DELUXE

            ฟิลเลอร์ประเภทสารเติมเต็มไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid :HA) จากประเทศอิตาลีที่ผลิตขึ้นมาในปี 2012 เป็นเทคโนโลยีใหม่ทางการแพทย์ที่ได้รับการพัฒนามาล่าสุด ซึ่งจุดเด่นของฟิลเลอร์คือการเลือกใช้สาร Polyyethylene Glycol (PEG) มาเป็นสาร Cross link กับ Hyaluronic Acid ทำให้เนื้อฟิลเลอร์สามารถทนต่อความร้อนได้ดี หลังฉีดไม่ค่อยเกิดอาการบวม ไม่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยแก้ปัญหาผิวเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ ปรับผิวให้มีความเรียบเนียนและชุ่มชื้นขึ้น

             

            • ฟิลเลอร์งานผิว SKINVIVE

            สกินบูสเตอร์เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากบริษัท Allergan ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูรอนิก ไมโครดรอปเล็ท (Microdroplets of Hyaluronic Acid) ที่มีความพิเศษกว่า HA ทั่วไป เพราะโมเลกุลที่มีขนาดเล็กละเอียดกว่า กระจายตัวได้ดี กลืนไปกับผิวได้ง่าย ช่วยอุ้มน้ำได้ดีกว่า ทำให้ผิวมีความฉ่ำวาว ชุ่มชื้นขึ้นกว่าเดิม ลดปัญหาผิวแห้งขาดน้ำ รวมไปถึงช่วยกระชับรูขุมขน เผยผิวเรียบเนียนอย่างยาวนาน ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 9 เดือน

             

            • ฟิลเลอร์งานผิว Restylane Vital Light

            เป็นฟิลเลอร์สำหรับเหมาะกับการเก็บรายละเอียดบนใบหน้า เนื่องจากมีโมเลกุลขนาดเล็ก เนื้อฟิลเลอร์ละเอียด สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ใบหน้ามีความชุ่มชื้น ปรับผิวให้กระจ่างใส เหมาะสำหรับการฉีดบริเวณผิวหนังชั้นตื้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

             

            • ฟิลเลอร์งานผิว Juvederm Volite

            เป็นฟิลเลอร์ที่ผลิตขึ้นมาจากบริษัทชั้นนำในประเทศสหรัฐอเมริกา มีลักษณะเนื้อฟิลเลอร์นิ่ม มีเนื้อบางเบาละเอียด เมื่อเทียบกับฟิลเลอร์รุ่นอื่น ๆ เหมาะกับคนที่ผิวบาง เป็นตัวช่วยในการฟื้นฟูผิว สามารถกักเก็บน้ำ และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวได้ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อีกด้วย ช่วยให้ผิวฉ่ำวาวสุขภาพดี ผิวแน่นกระชับ อิ่มฟูมากขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานถึง 9 เดือน

             

            ฟิลเลอร์งานผิว กับ ฟิลเลอร์ทั่วไป แตกต่างกันอย่างไร?

            ฟิลเลอร์งานผิวและฟิลเลอร์ทั่วไป เป็นสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบหลักเป็นไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA) เหมือนกันทั้งคู่ แต่มีผลลัพธ์และหลักการทำงานที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

            • ฟิลเลอร์งานผิว :มุ่งเน้นการปรับคุณภาพผิวให้ดีขึ้น (Skin Quality) โดยมีคุณสมบัติหลักในการเติมเต็มความชุ่มชื้นและทำให้ผิวอิ่มน้ำมากขึ้น ฟิลเลอร์ประเภทนี้ช่วยให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน กระจ่างใส และลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณใบหน้า ซึ่งฟิลเลอร์งานผิวมีโมเลกุลขนาดเล็ก ซึ่งช่วยให้สารเติมเต็มสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ มีริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา หรือผิวหมองคล้ำที่ไม่สดใส เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับสภาพผิวให้อ่อนเยาว์ขึ้น
            • ฟิลเลอร์ทั่วไป เน้นการเติมเต็มร่องลึก แก้ปัญหาริ้วรอย ปรับรูปหน้าให้อิ่มฟูมากขึ้น ปรับโครงสร้างใบหน้าให้มีความสมดุล ซึ่งฟิลเลอร์ประเภทนี้จะมีโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่ ช่วยให้คงรูปได้ดี เหมาะกับการเติมเต็มร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า การฉีดฟิลเลอร์ทั่วไปนั้นเหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาใบหน้าตอบ ร่องแก้มลึก ริมฝีปากบาง และต้องการปรับรูปหน้าให้สมดุลและอ่อนเยาว์

             

            การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์งานผิว

            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์งานผิว งดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง
            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์งานผิว งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน แอโรบิก 24 ชั่วโมง
            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์งานผิว ควรงดยาแอสไพริน งดอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด 1 สัปดาห์
            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์งานผิว งดแว็กซ์หรือสครับบริเวณใบหน้า 1 สัปดาห์
            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์งานผิว ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์งานผิว
            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์งานผิว หากมีโรคประจำตัว หรือรับประทานยาเป็นประจำ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้บริการ
            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์งานผิว ควรเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์งานผิวที่ได้รับมาตรฐานและปลอดภัย

             

            ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์งานผิว

            1. ปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินสภาพผิว และปัญหาที่ต้องการแก้ไขก่อนฉีดฟิลเลอร์งานผิว
            2. แพทย์จะทำการแนะนำยี่ห้อฟิลเลอร์งานผิว และปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวในแต่ละบุคคล
            3. ทำความสะอาดใบหน้า กรณีผู้รับบริการแต่งหน้ามา จะมีเช็ดเครื่องสำอางออกก่อนฉีดฟิลเลอร์งานผิว
            4. ก่อนฉีดฟิลเลอร์งานผิว แพทย์จะต้องแกะกล่องฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า เพื่อตรวจสอบได้ว่าเป็นฟิลเลอร์แท้
            5. เริ่มประคบน้ำแข็ง เพื่อลดความเจ็บจากเข็ม ซึ่งในเนื้อฟิลเลอร์ส่วนใหญ่จะมียาชาผสมอยู่
            6. เมื่อฉีดฟิลเลอร์งานผิวเสร็จแล้ว แพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์งานผิวอย่างใกล้ชิด
            7. แพทย์ทำการนัดหมาย เพื่อติดตามผลของการฉีดฟิลเลอร์งานผิวหลังทำทุกเคส

             

            การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์งานผิว

            • หลังฉีดฟิลเลอร์งานผิว อาจมีรอยแดงและรอยเข็ม ในบริเวณจุดที่ฉีด และค่อย ๆ หายได้เองใน 2-3 วัน
            • หลังฉีดฟิลเลอร์งานผิว หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
            • หลังฉีดฟิลเลอร์งานผิว ควรลดเลเซอร์ร้อนลงชั้นผิว 1 เดือน
            • หลังฉีดฟิลเลอร์งานผิว ควรดื่มน้ำมาก ๆ ให้เพียงพอต่อร่างกาย เพื่อคงสภาพฟิลเลอร์ให้อยู่ได้นานขึ้น
            • หลังฉีดฟิลเลอร์งานผิว หลีกเลี่ยงการตากแดดกลางแจ้ง
            • หลังฉีดฟิลเลอร์งานผิว งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่
            • หลังฉีดฟิลเลอร์งานผิว ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF50 PA+++ ก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง
            • หลังฉีดฟิลเลอร์งานผิว ควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อรักษาสภาพผิวให้แข็งแรง
            • หลังฉีดฟิลเลอร์งานผิว งดนวด คลึง กด หรือสัมผัสแรง ๆ ในบริเวณที่ฉีด
            • หลังฉีดฟิลเลอร์งานผิว หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารร้อน  อาหารรสจัด และอาหารหมักดอง

             

            ฉีดฟิลเลอร์งานผิว ที่ไหนดี?

            1. คลินิกได้รับการรับรองมาตรฐาน มีใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข
            2. แพทย์ที่มีประสบการณ์ ในการฉีดฟิลเลอร์งานผิวเป็นหัตถการที่ใช้ความชำนาญในการฉีดสูง เพราะฉะนั้นแพทย์ต้องมีประสบการณ์ เพื่อประเมินปัญหาผิวและสภาพผิวอย่างเหมาะสม เพื่อผลลัพธ์ที่ดีอย่างเป็นธรรมชาติ
            3.  เลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ มีความปลอดภัย สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ 100% แบบไม่มีสารตกค้าง ไม่มีผลข้างเคียง และไม่มีผลกระทบใด ๆ
            4. มีรีวิวจากการใช้บริการจริง เพื่อความปลอดภัยควรตรวจสอบรีวิว และพิจารณาจากผลของการรักษาจากแหล่งที่เป็นกลางเชื่อถือได้ 

            คำถามพบบ่อยของฟิลเลอร์งานผิว

             

            • ฟิลเลอร์งานผิว ควรใช้กี่ cc?

            ปริมาณฟิลเลอร์งานผิวที่แต่ละคนควรใช้จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพผิว ตำแหน่งที่ต้องการฉีด และปัญหาผิวเฉพาะของแต่ละบุคคล ก่อนการรักษา แพทย์จะทำการประเมินและวิเคราะห์สภาพผิวของผู้เข้ารับบริการอย่างละเอียด เพื่อกำหนดปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสม

             

            โดยทั่วไปแล้ว ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้มักจะอยู่ที่ประมาณ 1 CC ซึ่งสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้การตัดสินใจเกี่ยวกับปริมาณฟิลเลอร์ควรทำโดยแพทย์ที่มีความรู้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์และปลอดภัยที่ดีที่สุด

             

            • ผลข้างเคียงหลังฉีดฟิลเลอร์งานผิว มีอะไรบ้าง?

            หลังฉีดฟิลเลอร์งานผิวเพื่อปรับสภาพผิว อาจมีรอยแดงจากเข็ม ซึ่งสามารถหายได้เองใน 2-3 วัน และอาจมีอาการบวมหลังฉีด นับเป็นอาการปกติที่พบได้หลังฉีดฟิลเลอร์งานผิว

             

            • หลังฉีดฟิลเลอร์งานผิว กี่วันเห็นผล?

            หลังฉีดฟิลเลอร์งานผิวจะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ในบางกรณีอาจจะมีรอยเข็มหรืออาการบวมเกิดขึ้นหลังฉีด ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้เป็นปกติ และจะค่อย ๆ หายได้เอง เห็นผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ในระยะเวลา 1 เดือน

             

            • ฟิลเลอร์งานผิว อยู่ได้นานไหม?

            หลังจากการฉีดฟิลเลอร์งานผิว จะสังเกตเห็นว่าผิวดูอิ่มน้ำและเรียบเนียนขึ้นทันที ผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างเต็มที่ ภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ผลลัพธ์จากการฉีดฟิลเลอร์งานผิวจะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ที่ใช้ รวมถึงการดูแลตัวเองหลังการฉีด 

             

            • ฉีดฟิลเลอร์งานผิว เจ็บไหม?

            การฉีดฟิลเลอร์งานผิว เป็นหัตถการที่ต้องใช้เข็มฉีดตัวยาเข้าสู่ผิว ซึ่งอาจมีความรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่โดยทั่วไปแล้ว ความเจ็บจะอยู่ในระดับที่สามารถทนได้ ซึ่งแพทย์จะทำการแปะยาชาก่อนการฉีดเพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวดลง นอกจากนี้ ฟิลเลอร์บางชนิดยังมีส่วนผสมของยาชาอยู่ ทำให้ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้มากขึ้น

             

            • ฟิลเลอร์งานผิว อันตรายไหม?

            ฟิลเลอร์งานผิว ไม่เป็นอันตราย หากฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ รู้ตำแหน่ง และเทคนิคการฉีด ที่สำคัญคือต้องใช้ฟิลเลอร์แท้ ยี่ห้อได้รับมาตรฐานการรับรอง ผ่าน อย. สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ปลอดภัย 

             

            • ฉีดฟิลเลอร์งานผิว กี่วันหายบวม?

            หลังจากการฉีดฟิลเลอร์งานผิว อาการบวมมักเกิดขึ้นจากการใช้เข็ม ซึ่งเป็นเรื่องปกติของร่างกาย โดยอาการบวมและรอยแดงเล็กน้อยที่อาจเกิดขึ้นบริเวณที่ฉีด มักจะลดลงและหายไปเองภายใน 7-14 วัน ทั้งนี้ระยะเวลาที่อาการบวมจะหายสนิท อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล เทคนิคของแพทย์ และการดูแลตัวเองหลังการฉีด

             

            • หลังฉีดฟิลเลอร์งานผิว สามารถแต่งหน้าได้ไหม?

            หลังฉีดฟิลเลอร์งานผิว 24 ชั่วโมง แนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าไปก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมจากเครื่องสำอาง สัมผัสกับรอยเข็มตรงบริเวณที่ฉีด เมื่อครบ 24 ชั่วโมงแล้วสามารถกลับมาแต่งหน้าได้ตามปกติ

             

            • ฟิลเลอร์งานผิว สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม?

            การฉีดฟิลเลอร์งานผิว สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ เพียงแต่ต้องพิจารณาหลายปัจจัย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุด เช่น การฉีดโบลดริ้วรอย การร้อยไหม รวมถึงการทำเครื่องมือยกกระชับ Hifu, Ulthera SPT และ Thermage FLX สามารถทำร่วมกันได้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น โดยแพทย์จะประเมินปัญหาผิวของแต่ละคน และเลือกวิธีที่เหมาะสม เพื่อผลลัพธ์ที่ดี ดูเป็นธรรมชาติ และตรงกับความต้องการของผู้เข้ารับบริการ

             

            ฟิลเลอร์งานผิว ทำร่วมกับหัตถการอะไรได้บ้าง? 

            • ฟิลเลอร์งานผิว ทำร่วมกับฉีดโบลดริ้วรอย : เพื่อช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าทำให้ใบหน้าดูเรียบเนียนมากขึ้น
            • ฟิลเลอร์งานผิว ทำร่วมกับการเลเซอร์ : เพื่อช่วยรักษาปัญหาผิวอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น รอยดำ รอยแดง ฝ้า กระ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
            • ฟิลเลอร์งานผิว ทำร่วมกับเครื่องยกกระชับต่าง ๆ : เพื่อช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยให้กลับมากระชับขึ้น กระตุ้นการสร้างของคอลลาเจนและอีลาสติน อีกทั้งใบหน้าชุ่มชื้น อิ่มน้ำ สุขภาพดีร่วมด้วย

             

            • ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์งานผิว กับการทำหัตถการอื่น ๆ ร่วมกัน มีอะไรบ้าง?

            การฉีดฟิลเลอร์งานผิวร่วมกับการทำหัตถการอื่น ๆ ร่วมด้วย จะช่วยประหยัดเวลา สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้หลายอย่างในครั้งเดียว ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะเห็นได้ชัดเจนและยาวนานขึ้น เพื่อผิวอ่อนเยาว์ สุขภาพดี เปล่งปลั่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่การพิจารณาของแพทย์ เพื่อวางแผนการทำหัตถการก่อนและหลังเพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุด

             

            เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการดูแลผิวที่ได้รับความนิยม เนื่องจากช่วยแก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลาย เช่น ผิวแห้งขาดน้ำ ริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า และแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวดูอิ่มฟู อิ่มน้ำมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การฉีดฟิลเลอร์งานผิวควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่เหมาะสม รวมถึงการดูแลผิวหลังทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ยาวนานและปลอดภัย สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่https://bit.ly/RomrawinLINE

             Profhilo ฟื้นฟูผิว คืออะไร ดียังไง ต่างจากฟิลเลอร์ปกติยังไง

            Proflio

            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




              วันที่สะดวกในการติดต่อ








               Profhilo ฟื้นฟูผิว คืออะไร ดียังไง ต่างจากฟิลเลอร์ปกติยังไง

               

              ผิวเสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา เหมือนร่างกายที่เริ่มมีสุขภาพที่แย่ลงเมื่อถึงวัย ในเมื่อเราต้องออกกำลังกายให้สุขภาพดี กินอาหารเสริมหรือของที่มีประโยชน์เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้วฉันใด เราก็ต้องดูแลผิวเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นฉันนั้น คอลลาเจน และอิลาสตินที่อยู่ใต้ชั้นผิวนั้น ลดลงตามกาลเวลาเนื่องจากร่างกายของคนเราจะลดการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวลงปีละ 1.5% ซึ่งเมื่ออายุของเราครบ 40 ปีโดยประมาณร่างกายจะผลิตคอลลาเจนได้ช้าลงอีกถึง 30% ดังนั้นเมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วเราจะเห็นได้ชัดว่าผิวของเราเสื่อมสภาพ เนื่องจากเสื่อมสภาพสะสมมาระยะหนึ่งแล้วนั่นเอง

               

              แต่จะดีกว่าไหม หากเราไม่ต้องรอให้ผิวเกิดการเสื่อมสภาพค่อยดูแล ในเมื่อเราสามารถดูแลผิวได้เลย เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวเกิดการเสื่อมสภาพ หรือหากผิวเสื่อมสภาพไปแล้ว ก็ไม่สายเกินไปที่จะย้อนเวลาผิว ให้ผิวที่เรารักกลับไปสู่วัยเด็กอีกครั้ง Profhilo 

               

               Profhilo ผลติภัณฑ์ฟื้นฟูสภาพผิว ช่วยสร้างผิวที่มีคุณภาพ และยังช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพให้กลับมาดีได้อีกครั้ง โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอาการข้างเคียง

               

               Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิวคืออะไร ?

               

               Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว คือสารที่มีองค์ประกอบด้วย ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) ที่สังเคราะห์บริสุทธิ์ถึง 100% เนื่องจากปราศจากสารเติมแต่งใดๆ จึงไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย 

               

               Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว  เป็นผลิตภัณฑ์มีความเข้มข้นสูงอีกทั้งยังผลิตด้วย กระบวนการผลิตด้วยความร้อนอันเป็นเอกลักษณ์และเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรโดย IBSA ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เรียกว่า NAHYCO®  นั่นเอง Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว 2 มล. จะมีไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) ประกอบอยู่เป็นปริมาณมากถึง 64 มก. 

               

              จึงทำให้ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว มีเนื้อผลิตภัณฑ์ที่ไปทางลักษณะเหลว เพื่อให้กระจายตัวในชั้นผิวหนังได้เป็นอย่างดี และยังช่วยให้เข้าไปฟื้นฟูใต้ผิวหนังได้เป็นอย่างดีเช่นกัน

               

               Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว จะทำงานโดยการเข้าไปกระจายตัวอยู่ในบริเวณใต้ชั้นผิวหนังเพื่อให้เกิดการให้ใต้ผิวหนังกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ใต้ผิวหนังของเรานั้นเกิดการฟื้นฟูได้เองตามธรรมชาติ อีกทั้งคอลลาเจน และอิลาสตินที่ถูกสร้างขึ้นมาแล้วนั้นจะยังคงสามารถคงอยู่ที่ใต้ชั้นผิวได้ต่อไป ถึงแม้ว่า Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว ที่ฉีดเข้าไปจะสลายไปตามกาลเวลาแล้วก็ตาม

               

               Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว ใช้เพื่อการฉีดลดริ้วรอย ความหย่อนคล้อยและรอยเหี่ยวย่น และยังช่วยในเรื่องของการเพิ่มความชุ่มชื้น คืนความสาว และเด็กให้กับผิวหนังที่เกิดการเสื่อมสภาพอีกด้วย ทั้งยังช่วยในการลดริ้วรอยเล็กๆ ซ่อมแซมผิวที่เกิดการเสียหายจากการเกิดสิวหรือรอยแผลเป็นอีกด้วย

               

               Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิวได้ยังไง

               

              • Profhilo เพิ่มความชุ่มชื้นได้ลึก และกักเก็บน้ำได้

              ไฮยาลูรอนิก แอซิตที่อยู่ใน Profhilo เป็นสารที่สามารถอุ้มน้ำได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน หลังจากฉีด Profhilo ไปแล้ว ผิวจึงสามารถกักเก็บน้ำเอาไว้ได้ ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น ฉ่ำวาว และหยาบกร้านน้อยลง ทั้งยังช่วยลดริ้วรอยบนผิวหนังที่มีขนาดเล็กอีกด้วย

               

              • Profhilo สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินที่ใต้ชั้นผิวได้

              โดยคอลลาเจนและอีลาสตินนั้น นับเป็นโปรตีนที่สำคัญเป็นอย่างมากที่ช่วยให้ความยืดหยุ่นแต่ผิว นอกจากนั้นยังเป็นส่วนทำให้ผิวมีความแข็งแรง แน่น ฟู กระชับ เมื่อผลลัพธ์ส่งผลสู่ภายนอกก็จะทำให้ผิวภาพรวมดูอ่อนเยาว์

               

              • Profhilo ช่วยในการปรับโครงสร้างผิว

              ไฮยาลูรอนิกใน Profhilo มีความสามารถในการปรับโครงสร้างผิว และยังช่วยในการฟื้นฟูผิวให้มีความแข็งแรง ยืดหยุ่นและมีคุณภาพผิวที่ดี ผิวดูสวยสดชื่นไม่โทรมและเรียบเนียน

               

              • Profhilo สามารถกระจายตัวยาเมื่อเข้าสู่ใต้ผิวได้เป็นอย่างดี

              Profhilo เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความหนืดในตัวต่ำ รวมทั้งสามารถกระจายตัวยาได้เป็นอย่างดี เมื่อฉีดลงสู่ใต้ชั้นผิว สามารถฟื้นฟูและบำรุงได้เป็นบริเวณที่กว้าง และสามารถฉีดในบริเวณที่กว้างได้เป็นอย่างดี

               

              • Profhilo ปรับสมดุล และซ่อมแซมผิวได้ในระดับโครงสร้าง

              Profhilo ทำให้ผิวแข็งแรง ลดการเสื่อมสภาพ และสามารถเผชิญกับปัญจัยภายนอกได้เป็นอย่างดี ลดการเกิดปัญหาผิว เช่นริ้วรอย ความหมองคล้ำ หย่อนคล้อย ให้กลับมาเรียบเนียนและสวยได้เหมือนตอนยังเยาว์วัย

               

              Profhilo ปลอดภัยหรือไม่

               

              Profhilo ได้รับการรับรองมาตรฐาน ความปลอดภัยจาก องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา หรือ US FDA สถาบันรองรับมาตรฐานในระดับสากล โดย Profhilo เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยในด้านการใช้ในการฟื้นฟูผิว ทั้งยังมีรางวัลการันตีจากสหราชอาณาจักร คือรางวัล Asthatic Awards ซึ่งได้รับต่อเนื่องกันถึง 4 ปีติดต่อกันคือ ปี 2016-2019 จึงทำให้เชื่อถือได้ว่ามีความปลอดภัยต่อร่างกาย ไม่ทำอันตรายต่อใบหน้าและผิวเมื่อฉีดเข้าไป ทั้งยังสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติโดยไม่ก่อให้เกิดการตกค้าง

               

              Profhilo เหมาะกับฉีดบริเวณใด
              Profhilo เหมาะกับฉีดบริเวณใด

               

               Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับการฉีดบริเวณใด ?

               

              •  Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับการฉีด แก้ม

               ที่มีผิวหนังที่หย่อนคล้อย ห้อย ย้อย และเหี่ยวย่น จากการสลายของคอลลาเจนรวมทั้งอิลาสติน

               

              •  Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับการฉีด แนวกราม

              ที่ไม่ชัด ไม่คม ห้อย ย้อย

               

              •  Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับการฉีด ลำคอ

              ที่มีความแห้งและผิวบางลงเนื่องจากอายุที่มากขึ้น

               

              •  Profhilo  ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับการฉีด มือ

              ที่มีความเหี่ยวย่นตามกาลเวลา จนเห็นเส้นเลือดเด่นชัด ไม่สวยงามเหมือนตอนวัยสาว

               

              •  Profhilo  ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับการฉีด เข่า

              หัวเข่าที่เหี่ยวจนดูไม่น่ามอง และทำให้ไม่กล้าใส่กางเกงหรือกระโปรงสั้น

               

              •  Profhilo  ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับการฉีด แขน

              ที่เหี่ยวย้อย หรือหย่อนคล้อยตามวัย

               

              •  Profhilo  ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับการฉีด ริ้วรอยรอบดวงตาและริ้วรอยใต้ตา

              อันเป็นสิ่งที่ทำให้เห็นว่าเริ่มมีอายุ

               

              •  Profhilo  ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับการฉีด ริ้วรอยรอบปาก

              เกิดจากอายุที่มากขึ้น และการสูบบุหรี่บ่อยครั้ง

               

              •  Profhilo  เหมาะกับการฉีด หน้าอก 

              เนินอกที่มีความหย่อนคล้อย ไม่ตึงกระชับ และเหี่ยวย่น

               

              Profhilo เหมาะกับใคร
              Profhilo เหมาะกับใคร

               

               Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับใคร ?

               

              •  Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับผู้ที่ ต้องการมีผิวหน้าเรียบเนียนกระชับ
              •  Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับผู้ที่ ต้องการมีสุขภาพผิวที่ดีอย่างเป็นธรรมชาติ จากภายใน
              •  Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับผู้ที่ ต้องการมีผิวหน้าที่เต่งตึง
              •  Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับผู้ที่ ต้องการฟื้นฟูคุณภาพผิวให้ผิวดูเด็กลง
              •  Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับผู้ที่ มีผิวบอบบางหรือผิวแพ้ง่าย
              •  Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับผู้ที่ มีผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น
              •  Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับผู้ที่ มีผิวเสื่อมโทรมเป็นแผล
              •  Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับผู้ที่ ต้องการเพิ่มความหนาแน่นของชั้นผิว
              •  Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับผู้ที่ มีผิวเหี่ยวย่น
              •  Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับผู้ที่ มีผิวหย่อนคล้อย
              •  Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับผู้ที่ แต่งหน้าไม่ติด
              •  Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับผู้ที่ ทาครีมไม่ลงผิว
              •  Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับผู้ที่ ผิวขาดความยืดหยุ่น

               

              อายุเท่าไหร่ถึงจะทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว ได้ ?

               Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว  สามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 20 ซึ่งเป็นวัยที่คอลลาเจนในร่างกายเริ่มลดลงนั่นเอง

               

              การเตรียมตัวก่อนการทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว

              • ก่อนการทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว ควรงดรับประทานวิตามิน ยาแอสไพริน และวิตามินอี รวมทั้งอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของแปะก๊วย ก่อนการทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว 1-2 วันเนื่องจากยาดังกล่าวมีส่วนในการทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือด และทำให้เกิดความบวมช้ำได้
              • ก่อนการทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว ควรงดการดื่มแอลกอฮอล์ และ กิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด 1-2 วัน
              • ก่อนการทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว ควรงดสูบบุหรี่ 1-2 วัน
              • ก่อนการทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว ควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวหลังฉีดได้เร็วขึ้นและดีขึ้น
              • ก่อนการทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว และยาที่ใช้อยู่อย่างละเอียด

               

              ขั้นตอนการทำการรักษาโดย Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว 

              1. ประเมินปัญหา และบริเวณที่ต้องการทำการรักษา
              2. ทำความสะอาดใบหน้าเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
              3. ทายาชาบริเวณเฉพาะที่ต้องการทำการรักษา 20-40 นาทีก่อนการรักษาเพื่อบรรเทาความเจ็บและลดความกลัว
              4. แพทย์ลงมือทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว ด้วยความชำนาญด้วยเทคนิคเฉพาะตัวของรมย์รวินท์คลินิก
              5. ทำความสะอาดใบหน้าอีกครั้ง

               

              การดูแลตัวเองหลังการทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว

              • หลังการทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือทาเครื่องสำอางบริเวณที่ทำการรักษาเป็นเวลา 6 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
              • หลังการทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว  บริเวณที่ทำการรักษาอาจมีลักษณะเป็นหลุมเป็นบ่อเล็กน้อยและนูนขึ้นหลังการรักษา นี้จะลดลงในวันถัดไป
              • หลังการทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว  ไม่ควรเอามือไปสัมผัสบริเวณรอยเข็ม ไม่แคะ แกะ เกาหรือถู เพราะนอกจากจะป้องกันการติดเชื้อที่แผลแล้วยังอาจทำให้ตัวยาเกิดการกระจายตัว เคลื่อนที่ไปผิดตำแหน่งและทำให้ประสิทธิภาพของตัวยาลดน้อยลงได้
              • หลังการทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว  ควรงดการดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันการอักเสบ บวมช้ำ ของแผล และทำให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วกว่า

               

              คำถามเกี่ยวกับ Profhilo
              คำถามเกี่ยวกับ Profhilo

               

              Profhilo ต้องฉีดกี่ครั้ง

              • เบื้องต้นควรฉีด 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 4 สัปดาห์ก่อนเพื่อให้ผิวฟื้นฟู จากนั้นสามารถทิ้งระยะในการฉีดได้โดยฉีดทุกๆ 6 เดือน

               

               Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว ต้องทำบ่อยแค่ไหน ?

              • ครั้งแรก ให้ทำติดกัน 2 ครั้งใน 1 เดือน จากนั้น  Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว ควรทำทุกๆ 6 เดือนอย่างต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ของการรักษาที่ดีที่สุด

               

               Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว ใช้เวลานานเท่าใดจึงจะเริ่มเห็นผล ?

               Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว เป็นโปรแกรมที่เห็นผลลัพธ์หลังการรักษาว่าผิวบริเวณที่ทำการรักษานั้นจะดีขึ้นตั้งแต่ 1 เดือนแรก และจะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆอย่างต่อเนื่องอย่างเห็นได้ชัด

               

              • การฉีด Phofhilo ในครั้งแรก  หากไม่เคยฉีดมาก่อนเลย จะทำให้ผิวได้รับการฟื้นฟูก่อนเบื้องต้นโดยผิวจะเริ่มชุ่มชื้น อิ่มฟูขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ หลังฉีดจะเห็นได้ว่าผิวจะค่อยๆ เปล่งปลั่ง มีความกระจ่างใส และมีความเรียบเนียนขึ้น ความหยาบกร้านน้อยลง ควรฉีดอีกหนึ่งครั้งหลังฉีดครั้งแรกไป 4 สัปดาห์

               

              • เมื่อฉีด Phofhilo ในครั้งที่สอง ผิวจะเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผิวจะเริ่มมีความแน่น เต่งตึง ริ้วรอยเล็กๆ บนใบหน้าที่เคยมีกลับลดลง เพิ่มความยืดหยุ่นมากขึ้น ผิวดูไบร์ท กระจ่างใส และมีความกระชับมากขึ้น
              Proflio
              ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับบุคคล

               

              หลังทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว จะมีผลข้างเคียงใดหรือไม่ ?

              • หลังทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว อาจมีอาการบวม แดง ภายในระยะเวลา 2-3 ชั่วโมงหลังทำการรักษา แต่อาการดังกล่าวจะค่อยๆดีขึ้น โดยจัดเป็นอาการปกติของการทำ Profhilo

               

               Profhilo คงผลลัพธ์ได้นานเท่าไหร่

              •  Profhilo สามารถคงผลลัพธ์ หลังจากฉีดครบ 2 ครั้ง ได้นาน 6-9 เดือนโดยประมาณ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลรักษาของคนไข้ผู้เข้ารับบริการ

               

               Profhilo ต้องฉีดบ่อยแค่ไหน

              • หากต้องการผลลัพธ์หลังฉีดที่ดีและยาวนาน แนะนำให้ฉีด Profhilo ทุกๆ 6-12 เดือน อย่างต่อเนื่อง จึงจะเป็นการคงสภาพผลลัพธ์ได้อย่างต่อเนื่อง

               

              ใครที่ไม่สามารถทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว ได้ ?

              • ผู้ที่ไม่สามารถทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว ได้คือผู้ที่สงสัยว่ามีการแพ้สารในกลุ่มไฮยารูลอนิก แอซิด
              • ผู้ที่ไม่สามารถทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิวได้คืออยู่ในระหว่างการรับประทานยาห้ามเลือดแข็งตัว
              • ผู้ที่ไม่สามารถทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิวได้คือหญิงตั้งครรภ์ และให้นมบุตร
              • ผู้ที่ไม่สามารถทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิวผู้ที่มีผิวหนังอักเสบหรือติดเชื้อ เช่นโรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังต่างๆ
              • ผู้ที่ไม่สามารถทำ Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิวผู้ป่วยโรคมะเร็ง SLE

               

              Profhilo
              ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับบุคคล

               

              Profhilo ต่างจากฟิลเลอร์หรือไม่ อย่างไร

              Profhilo  และฟิลเลอร์ มีส่วนประกอบที่เป็นส่วนที่เหมือนกันคือ HA หรือ ไฮยาลูลอริก แอซิด แต่ตัวผลิตภัณฑ์นั้นมีวัตถุประสงค์ในการใช้ที่แตกต่างกันกับฟิลเลอร์อย่างชัดเจน สามารถเปรียบเทียบกันได้ดังนี้ คือ

               

              • Profhilo เป็น HA บริสุทธิ์ 100% ที่สามารถเข้ากับผิวได้ดี และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ไม่เปลี่ยนแปลงรูปหน้าหรือโครงสร้างใบหน้า 
              • ฟิลเลอร์ มีการผสมสารบางชนิดเพื่อการคงตัวของผลิตภัณฑ์ จึงสามารถใช้เพื่อปรับโครงสร้างและรูปทรงได้เป็นอย่างดี ใช้ในการปรับ และเปลี่ยนแปลงรูปทรงใบหน้าได้
              • Profhilo เป็นผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวและฟื้นฟู และยกกระชับผิว โดยการสร้างคอลลาเจนด้วยสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้ผิวได้รับการฟื้นฟูจากภายใน ส่งผลลัพธ์ความอ่อนเยาว์ และสุขภาพดีสู่ภายนอก
              • ฟิลเลอร์ เป็นผลิตภัณฑ์สารเติมเต็ม สามารถใช้เติมเต็มได้ตั้งแต่โครงสร้างใบหน้า หรือใช้ในการปรับรูปหน้า ในจุดที่บกพร่องและต้องการแก้ไข สามารถใช้เพื่อเติมจุดที่สูญเสียปริมาตรไป หรือใช้เพื่อเพิ่ม รวมทั้งปรับรูปทรงเฉพาะส่วนได้ เช่น ปาก ร่องแก้ม ขมับ โหนกแก้ม เพื่อให้ใบหน้ามีมิติมากขึ้น
              • Profhilo มีความคงทน เนื่องจากเป็นการเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ที่เป็นของตัวเราเองในระยะยาว แต่ตัวผลิตภัณฑ์สามารถคงอยู่ใต้ชั้นผิวได้ประมาณ 6-9 เดือน  และจะสลายไปได้เองตามธรรมชาติโดยไม่อันตราย
              • ฟิลเลอร์ แต่ละชนิด ยี่ห้อ และรุ่นจะมีความแตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไปแล้วจะสามารถคงสภาพได้ประมาณ 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำการฉีดด้วย

               

              Proflio
              ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับบุคคล

               

              Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว จึงเป็นโปรแกรมที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่เข้าสู่วัยที่คอลลาเจนและอิลาสตินที่อยู่ใต้ผิวหนัง ลดปริมาณการสร้างและค่อยๆ ลดตัวลงตามกาลเวลา ผู้ที่มีปัญหาผิว ริ้วรอย และความชุ่มชื่น โดยที่ไม่เพียงแต่จะฟื้นฟูได้ในบริเวณใบหน้า Profhilo ฟื้นฟูสภาพผิว ยังสามารถใช้ในการฉีดเพื่อฟื้นฟูผิวหนังในบริเวณอื่นๆ ในร่างกายได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้หากมีความกังวล เกี่ยวกับผิว ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใด ใบหน้า หรือร่างกาย สามารถเข้ามาปรึกษา หรือปรึกษาผ่านช่องทางออนไลน์ของ Romrawin Clinic ได้เช่นกัน เพื่อทำการแก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด และถูกต้องที่สุด ทั้งนี้ Romrawin Clinic ยังมีแพทย์ที่เชี่ยวชาญ และชำนาญการในการใช้ผลิตภัณฑ์ และการรักษา มีคลินิกที่มีผลิตภัณฑ์ในการเสริมความงามแบบครบวงจร และยังมีผลิตภัณฑ์ดีดี ที่เหมาะกับการแก้ปัญหาในทุกส่วน ที่เหมาะกับผู้เข้ารับบริการทุกท่านไว้บริการเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้ใช้บริการในการรักษา

              Slim & Slender ทางเลือกหุ่นสวย ช่วยลดน้ำหนัก

              Slim & Slender

              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                วันที่สะดวกในการติดต่อ








                Slim & Slender คืออะไร ทางเลือกหุ่นสวย ช่วยลดน้ำหนัก

                “โรคอ้วน” เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคเรื้อรังหลายชนิด ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ นอกจากนี้ยังทำให้หลาย ๆ คนขาดความมั่นใจในตัวเอง การดูแลสุขภาพเป็นทางออกที่จะช่วยทำให้ร่างกายของเรานั้นห่างไกลจากโรคอ้วน แต่สำหรับบางคนที่ลดน้ำหนักลดยาก น้ำหนักลงช้าไม่เป็นไปตามเป้าสักทีนั้น การใช้ตัวช่วยอย่าง Slim & Slender ลดน้ำหนัก ก็เป็นทางเลือกที่จะทำให้ได้หุ่นเป๊ะในแบบที่ต้องการ

                 

                โรคอ้วน ภาวะอ้วน ต้นเหตุของปัญหาสุขภาพ

                โรคอ้วน หรือภาวะที่ร่างกายมีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น กรรมพันธุ์ โรคประจำตัวบางชนิด การเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมัน และน้ำตาลสูง รวมถึงการเคลื่อนไหวน้อย มักเกิดจากการที่ร่างกายมีไขมันสะสมมากเกินไป ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และการทำงานที่ผิดปกติของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย ซึ่งในปัจจุบันคนเราเป็นโรคอ้วนกันง่ายมากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ทั้งการเลือกรับประทานอาหาร การทำกิจกรรมต่าง ๆ อาจจะส่งผลตัวให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เมื่อน้ำหนักตัวของเราเกินเกณฑ์ ไม่ได้ส่งผลแต่เพียงรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป ทำให้ขาดความมั่นใจ ทั้งยังส่งผลถึงสุขภาพกาย และระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติ ซึ่งอาจจะเกิดโรคร้ายตามมาได้

                 

                โรคอ้วน ภาวะอ้วน ต้นเหตุของปัญหาสุขภาพ
                โรคอ้วน ภาวะอ้วน ต้นเหตุของปัญหาสุขภาพ

                 

                ซึ่งเราสามารถสังเกตตัวเองว่าเรานั้นใกล้น้ำหนักเกินเกณฑ์ หรือมีภาวะโรคอ้วนหรือไม่ได้ง่าย ๆ ด้วยการหาค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI ดังนี้

                สูตรการคำนวณค่า BMI (body mass index) = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ÷ ส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง 

                สามารถแปลผลคำควณได้ ดังนี้

                • < 18.5 < 18.5 น้ำหนักน้อยกว่ามาตรฐาน
                • 18.5-24.9 18.5-22.9 ปกติ
                • 25-29.9 23-24.9 อ้วนระดับ 1
                • 30-34.9 25-29.9 อ้วนระดับ 2
                • 35-39.9 มากกว่าหรือเท่ากับ 30 อ้วนระดับ 3
                • มากกว่าหรือเท่ากับ 40 อ้วนระดับ 4

                Slim & Slender คืออะไร 

                Slim & Slender หรือที่เรียกกันติดปากว่า “เปปไทด์คุมหิว” นั้น  คือ โปรแกรมควบคุมน้ำหนักชนิดหนึ่ง ที่มีส่วนประกอบเป็นตัวยาสำคัญที่เลียนแบบการทำงานของฮอร์โมน GLP-1 (Glucagon-Like Peptide-1) ซึ่งเป็นฮอร์โมนธรรมชาติที่ร่างกายปล่อยออกมาเมื่อเราทานอาหาร มีส่วนช่วยควบคุมความอยากอาหารและการเผาผลาญ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน และลดการหลั่งของกลูคากอน (ตัวเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด) ซึ่ง Slim & Slender จะช่วยลดน้ำหนัก ให้รู้สึกอิ่มเร็วและลดความอยากอาหาร ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วขึ้นและอยากอาหารน้อยลง

                Slim & Slender ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
                Slim & Slender ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

                Slim & Slender ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

                Slim & Slender เป็นหนึ่งในตัวช่วยเรื่องลดน้ำหนัก ช่วยลดความอยากอาหาร เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักเยอะ มีไขมันส่วนเกิน ไม่มั่นใจ ซึ่ง Slim & Slender ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? มาดูกัน

                1. Slim & Slender ช่วยคุมความอยากอาหาร เนื่องจากภายใน Slim & Slender มีเปปไทด์ที่ช่วยลดความอยากอาหาร ช่วยทำให้ควบคุมปริมาณการทานอาหารให้พอเหมาะ
                2. Slim & Slender ช่วยปรับสมดุลระบบทางเดินอาหาร  ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงาน ลดน้ำหนักได้ดีขึ้น
                3. Slim & Slender ช่วยลดน้ำหนักและลดการสะสมของไขมันส่วนต่าง ๆ ในร่างกายได้ เนื่องจากเมื่อทานอาหารได้น้อยลง ร่างกายก็จะนำไขมันสะสมมาใช้มากขึ้น
                4. Slim & Slender ช่วยปรับพฤติกรรมการกิน ช่วยลดปัญหาการกินจุบจิบ รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา ปรับพฤติกรรมการกินให้ดีขึ้น
                5. Slim & Slender ช่วยทำให้อิ่มเร็วและอิ่มได้นานขึ้น ส่งผลให้รับประทานอาหารได้น้อยลง ปริมาณอาหารลดลง ลดความโหยระหว่างวัน
                6. Slim & Slender ลดน้ำหนัก ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะอ้วนเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ที่เป็นปัญหาสุขภาพระยะยาว

                การลดน้ำหนักและปรับรูปร่าง เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม การใช้ Slim & Slender ลดน้ำหนักควบคู่กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามเป้าหมาย

                Slim & Slender คืออะไร
                Slim & Slender คืออะไร

                Slim & Slender ลดน้ำหนัก ทำงานอย่างไร?

                • Slim & Slender เป็นการเลียนแบบฮอร์โมนอิ่ม GLP-1 (Glucagon Like Peptide 1)  โดยตัวยานั้นมีความใกล้เคียงกับ GLP-1 ที่มีอยู่ในร่างกายสูงถึง 97%
                • Slim & Slender จะเข้าไปช่วยลดการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้มีการย่อยอาหารที่ช้าลง ทำให้อาหารอยู่ในกระเพาะนานขึ้น อิ่มนานขึ้น จึงทำให้ทานได้น้อยลง
                • Slim & Slender นั้นมีการออกฤทธิ์ต่อสมอง ทำให้ความรู้สึกหิวลดลง ความอยากอาหารน้อยลง และทำให้ควบคุมการกินได้ดียิ่งขึ้น 
                • Slim & Slender จะช่วยเข้าไปกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อน ให้ช่วยปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งมีส่วนช่วยไม่ทำให้เกิดอาการวูบ หรืออาการน้ำตาลตก Slim & Slender จะออกฤทธิ์เมื่อทานอาหารเข้าไปแล้วเท่านั้น

                 

                GLP-1 (Glucagon Like Peptide 1) คืออะไร 

                ทำความรู้จักกับ Slim & Slender เปปไทด์คุมหิวที่เลียนแบบการทำงานของ ฮอร์โมน Glucagon-Like Peptide-1 หรือ GLP-1 ซึ่งเป็นฮอร์โมนตามธรรมชาติที่อยู่ภายในร่างกาย สร้างจากเยื่อบุลำไส้เล็กส่วนปลาย โดยจะหลั่งออกมาเมื่อรับประทานอาหารเข้าไปแล้ว และจะออกฤทธิ์ต่อระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย เช่น การควบคุมความอยากอาหาร การจัดการระดับน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ช่วยยับยั้งการหลั่งกลูคากอนจากตับอ่อนในภาวะที่ร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูง และชะลอการเคลื่อนไหว การบีบตัวของกระเพาะอาหาร โดย GLP-1 จะเข้าไปทำงานกับสมองส่วนไฮโปธาลามัส  ส่งผลให้เราเกิดความอิ่มนั่นเอง ทั้งนี้ GLP-1 สามารถทำงานได้เต็มที่เพียงแค่ 2 นาที หลังจากที่ร่างกายรับสารอาหาร

                ปัจจุบันจึงได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงบางโมเลกุลของ GLP-1 มาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของ GLP-1 ให้ทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน ทั้งยังช่วยส่งผลให้ร่างกายอิ่มไวขึ้น อิ่มนานขึ้น และยังทำให้น้ำหนักตัวลดลง อย่าง Slim & Slender เปปไทด์คุมหิวที่ช่วยลดความอยากอาหาร 

                GLP-1 ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?

                1. กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน : ช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน โดยเฉพาะในช่วงที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหาร
                2. ยับยั้งการหลั่งกลูคากอน : GLP-1 ยับยั้งการหลั่งกลูคากอน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการปล่อยน้ำตาลจากตับเข้าสู่กระแสเลือด ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
                3. ยับยั้งการบีบตัวของกระเพาะอาหาร : GLP-1 ชะลอการบีบตัวของกระเพาะอาหาร ทำให้กระเพาะย่อยอาหารช้าลง ส่งผลให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มนานขึ้น
                4. ลดการบริโภคอาหาร : เนื่องจากความรู้สึกอิ่มที่เพิ่มขึ้น GLP-1 ช่วยลดความอยากอาหารและการบริโภคอาหารในแต่ละมื้อ ส่งผลต่อการลดน้ำหนัก
                5. ลดน้ำหนักตัว : ควบคุมความอยากอาหารและลดปริมาณการบริโภคอาหาร GLP-1 เป็นอีกวิธีที่ช่วยในการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกิน

                รู้จักฮอร์โมนความหิวในร่างกาย

                จริง ๆ ร่างกายของเรามีฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ภายในกระเพาะอาหารของเรา นั่นคือ “ฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin hormone)” ซึ่งฮอร์โมนนี้เป็นฮอร์โมนต้นกำเนิดของความหิว โดยจะหลั่งออกมาจากเซลล์กระเพาะอาหาร และส่งสัญญาณไปที่สมอง เพื่อกระตุ้นความหิว ทำให้ร่างกายต้องการอาหาร ในบางครั้งอาจจะแสดงออกเป็นอาการต่าง ๆ เช่น ท้องร้อง โดยฮอร์โมนเกรลินจะค่อย ๆ สูงขึ้นก่อนมื้ออาหาร และจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อรับประทานอาหารเข้าไปแล้ว โดยเฉลี่ยประมาณ 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นฮอร์โมน GLP-1 จะเริ่มทำงานให้ร่างกายเราอิ่ม ซึ่งการใช้ Slim & Slender นั้นจะช่วยคุมหิว ลดความอยากอาหารได้

                 

                การทำงานของ Slim & Slender ในการลดน้ำหนัก

                1. Slim & Slender ช่วยควบคุมความอยากอาหาร : โดย Slim & Slender จะส่งสัญญาณไปยังสมองส่วนไฮโปธาลามัสซึ่งควบคุมความอยากอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ลดความหิว และช่วยควบคุมการบริโภคอาหารได้ดีขึ้น
                2. Slim & Slender ช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน : เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นหลังมื้ออาหาร Slim & Slender จะช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ซึ่งทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดค่อย ๆ ลดลง โดยไม่ทำให้ระดับน้ำตาลต่ำเกินไป
                3. Slim & Slender ช่วยลดฮอร์โมนกลูคากอน : Slim & Slender ช่วยลดการหลั่งฮอร์โมนกลูคากอน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เพิ่มระดับน้ำตาลและกรดไขมัน เมื่อกลูคากอนลดลงจะทำให้การเพิ่มของระดับน้ำตาลในเลือดลดลงตามไปด้วย
                4. Slim & Slender ช่วยลดการบีบตัวของกระเพาะอาหาร : Slim & Slender ทำให้กระเพาะอาหารย่อยอาหารช้าลง ส่งผลให้อาหารค้างอยู่ในกระเพาะนานขึ้น ทำให้รู้สึกอิ่มและทานน้อยลง สามารถช่วยลดน้ำหนักได้

                **การทดลองจาก Astrup และคณะ (2010) ยังพบว่าอาสาสมัครที่ได้รับ Slim & Slender สามารถลดน้ำหนักได้มาก แสดงให้เห็นว่า Slim & Slender มีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักและช่วยควบคุมการอยากอาหารได้ดี**

                 

                ข้อควรรู้ก่อนใช้ Slim & Slender 

                การใช้ Slim & Slender ลดน้ำหนักนั้น เป็นการลดน้ำหนักที่มีความปลอดภัย และดูแลโดยแพทย์อย่างใกล้ชิด แต่อย่างไรก็ตามการใช้ Slim & Slender ก็มีข้อควรรู้ และข้อควรระวังที่ผู้ใช้ควรให้ความสำคัญ และควรสังเกตตัวเองระหว่างการใช้ Slim & Slender ดังนี้

                • ควรระมัดระวังการใช้ Slim & Slender ลดน้ำหนัก ในปริมาณมากเกินไป หากน้ำหนักลดลงเร็วกว่าปกติ ควรปรึกษาแพทย์ โดยปกติการใช้ครั้งแรกภายใน 1 สัปดาห์ ไม่ควรลดเกิน 5% ของน้ำหนัก 
                • โดยปกติแล้วแพทย์จะทำการวางแผนการรักษา Slim & Slender ตามความต้องการของผู้ใช้บริการ เช่น สัดส่วนที่ต้องการ น้ำหนักที่ต้องการ หากต้องการรักษาโดย Slim & Slender ให้ได้ผลควรทำอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
                • เพื่อผลลัพธ์ของการลดน้ำหนักที่ดี และยาวนานขึ้น ควรใช้ Slim & Slender ร่วมกับการควบคุมอาหาร และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการปรับพฤติกรรมต่าง ๆ ร่วมด้วย

                Slim & Slender เหมาะกับใคร

                  Slim & Slender เหมาะกับใคร

                Slim & Slender ลดน้ำหนัก เหมาะกับใคร ?

                การลดน้ำหนักโดยใช้ Slim & Slender นั้น เป็นวิธีการลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยม และสามารถทำควบคู่กับการลดน้ำหนักวิธีอื่น ๆ ได้อย่างปลอดภัย ซึ่ง Slim & Slender เหมาะกับกลุ่มคน ดังนี้

                • Slim & Slender เหมาะกับผู้ที่มีค่า BMI มากกว่า 30 และสุขภาพปกติ

                ผู้ที่มีค่า BMI สูงกว่า 30 ถือว่าเข้าข่ายน้ำหนักเกินเกณฑ์ หรือภาวะอ้วน Slim & Slender เป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย

                • Slim & Slender เหมาะกับผู้ที่มีค่า BMI มากกว่า 27 และมีปัญหาสุขภาพ

                สำหรับผู้ที่มีค่า BMI มากกว่า 27 และอาจจะมีปัญหาสุขภาพในระยะยาว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคความดันโลหิตสูง การลดน้ำหนัก Slim & Slender จะช่วยทำให้ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคดังกล่าว

                • Slim & Slender เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ภายใต้การดูแลของแพทย์

                ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพนั้น การใช้ Slim & Slender ควรดูแลโดยแพทย์ จะช่วยลดความเสี่ยงของการลดน้ำหนักแบบผิดวิธีได้

                • Slim & Slender เหมาะกับผู้ที่เคยลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นแต่ไม่ได้ผล

                Slim & Slender ยังเหมาะสำหรับผู้ที่เคยลองลดน้ำหนักมาหลายวิธีแล้ว แต่ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน Slim & Slender นี้จะช่วยทำให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพมากขึ้น

                • Slim & Slender เหมาะกับผู้ที่มีนิสัยกินจุบจิบ และรู้สึกอิ่มยากจากโรคอ้วนเรื้อรัง

                Slim & Slender ช่วยลดความโหย ความอยากลง ทำให้ช่วยลดนิสัยกินจุบจิบ จากผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนเรื้อรังได้

                ทั้งนี้การลดน้ำหนักด้วย Slim & Slender จำเป็นที่จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อให้ลดน้ำหนักได้มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยมากที่สุด

                 

                ใครบ้างที่ห้ามใช้ Slim & Slender ลดน้ำหนัก

                การใช้ Slim & Slender นั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อผู้คนในบางกลุ่ม หากต้องการใช้ Slim & Slender ควรเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์โดยตรง ซึ่งกลุ่มที่ควรระวังในการใช้ Slim & Slender มีดังนี้

                • Slim & Slender ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นเนื้องอกต่อมไร้ท่อชนิดที่ 2 การใช้ Slim & Slender อาจเข้าไปเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติในร่างกายได้
                • Slim & Slender ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคไทรอยด์ หรือมะเร็งไทรอยด์ การใช้ Slim & Slender อาจจะทำให้เกิดปัญหากับผู้ที่มีความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ เพราะ Slim & Slender อาจจะมีผลกระทบต่อฮอร์โมนได้
                • Slim & Slender ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะตับอักเสบ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับตับ ตับอ่อน หรือไตการใช้ Slim & Slender ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
                • Slim & Slender ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เนื่องจากการลดน้ำหนัก อาจจะเกิดอันตรายต่อทั้งตัวแม่ และตัวเด็กได้ ควรใช้ Slim & Slender หลังจากหยุดการให้นมบุตร
                • Slim & Slender ไม่เหมาะกับผู้ที่ใช้ยารักษาโรคเบาหวานบางชนิด การใช้ Slim & Slender นั้นมีสารที่ช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ทำให้ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ที่มีภาวะดื้ออินซูลิน อาจจะเกิดอันตรายหลังจากตัวยาออกฤทธิ์ได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ
                • Slim & Slender ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหารุนแรงเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เพื่อป้องกันการเกิดอาการแทรกซ้อนในระบบย่อยอาหารในผู้ป่วย หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ
                • Slim & Slender ลดน้ำหนัก ไม่เหมาะกับผู้ที่มีนิสัยกินน้อยอยู่แล้ว เพราะจะออกฤทธิ์ลดความอยากอาหาร ซึ่งอาจจะส่งผลให้ไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ หากต้องการลดน้ำหนักควรเน้นไปที่ระบบเผาผลาญแทน
                • Slim & Slender ไม่เหมาะกับผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี และผู้ที่อายุมากกว่า 75 ปี หากจำเป็นต้องใช้ ควรอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

                ทั้งนี้การลดน้ำหนักด้วย Slim & Slender จำเป็นที่จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อให้ลดน้ำหนักได้มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยมากที่สุด

                 

                ผลข้างเคียงจากการใช้งาน Slim & Slender

                เนื่องจาก Slim & Slender นั้นมีผลต่อระบบทางเดินอาหาร และระดับน้ำตาลในเลือดโดยตรง ในระหว่างที่มีการใช้ Slim & Slender  อาจจะเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนี้ 

                • Slim & Slender ช่วยลดน้ำหนัก อาจทำให้คลื่นไส้ พะอืดพะอม อาเจียน เมื่อรับประทานอาหารในปริมาณที่มากเกินไป
                • Slim & Slender อาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง อาหารไม่ย่อย 
                • Slim & Slender อาจทำให้ท้องเสีย ท้องผูก เนื่องจาก Slim & Slender จะลดอัตราการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ อาจจะทำให้เกิดอาการท้องเสีย ท้องผูกได้
                • Slim & Slender อาจทำให้มีอาการปวดศีรษะร่วมด้วยในบางครั้ง
                • การใช้ Slim & Slender ที่ปริมาณมากเกินไป อาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำระดับอันตราย
                • Slim & Slender ช่วยลดน้ำหนัก อาจทำให้เกิดอาการแพ้ในบางคน ซึ่งทำให้เกิดอาการผื่นคัน หัวใจเต้นผิดปกติ อาการบวม ชา บริเวณใบหน้า และลำตัวได้ หากเกิดอาการแพ้ Slim & Slender ควรรีบเข้าปรึกษาแพทย์
                • นอกจากนี้การใช้ Slim & Slender ช่วยลดน้ำหนัก อาจจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค และปัญหาสุขภาพหลายอย่าง เช่น ตับอ่อนอักเสบ เนื้องอกไทรอยด์ หรือมะเร็งไทรอยด์ ได้ในอนาคต

                 

                Slim & Slender มีข้อควรระวังอะไรบ้างที่ควรรู้ไว้ 

                • ก่อนเริ่มใช้ Slim & Slender ลดน้ำหนัก ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินและวางแผนการรักษาก่อนเสมอ
                • หากต้องการใช้ตัวช่วย Slim & Slender ลดน้ำหนัก ควรศึกษาข้อมูล วิธีการใช้งาน Slim & Slender ข้อควรระวัง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นอย่างละเอียดก่อน
                • การใช้ Slim & Slender อาจเกิดผลข้างเคียงในช่วงเริ่มแรงของการใช้ได้ เช่น อาเจียน ปวดศีรษะ ปวดท้อง ผู้ใช้ควรสังเกตอาการตัวเอง หากมีอาการข้างเคียงจากการใช้ Slim & Slender ที่รุนแรง ควรรีบเข้าพบแพทย์ 
                • ควรใช้ Slim & Slender ควบคู่กับการลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้น้ำหนักลดลงอย่างสุขภาพดี
                • ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ ในแต่ละวัน ระหว่างการใช้ Slim & Slender เพื่อช่วยประสิทธิภาพในการลดน้ำหนัก
                • หลังจากเปิดใช้ Slim & Slender ลดน้ำหนัก จะมีอายุการใช้งานอยู่ได้ 1 เดือน และควรเก็บรักษา Slim & Slender ให้ดีทุกครั้ง เมื่อไม่ได้ใช้งานแล้ว

                 

                Slim & Slender ช่วยให้น้ำหนักลดลงได้จริงหรือไม่? 

                การใช้ Slim & Slender จะช่วยในเรื่องการลดน้ำหนัก เนื่องจากตัวยาจะเข้าไปลดความอยากอาหาร รวมถึงช่วยลดไขมันสะสมในร่างกาย ทั้งนี้ควรเลือกใช้ Slim & Slender ที่มีมาตรฐานผ่านการรับรองความปลอดภัย และควรอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์

                ยาลดน้ำหนัก กับ Slim & Slender ต่างกันอย่างไร?

                การลดน้ำหนักนั้นในปัจจุบันมีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมถึงการใช้ตัวช่วยอย่าง ยาลดน้ำหนัก หรือ Slim & Slender ถึงแม้ว่าทั้ง 2 รูปแบบนั้นจะมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก แต่สิ่งที่ยาลดน้ำหนัก กับ Slim & Slender ต่างกัน คือ เรื่องความปลอดภัย เนื่องจากการลดน้ำหนักด้วย Slim & Slender นั้นเป็นการลดน้ำหนักที่มีความปลอดภัยสูง เพราะดูแลโดยแพทย์อย่างใกล้ชิด ทั้งยังผ่านการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้

                 

                ความอ้วน เสี่ยงต่อโรคร้ายจริงเหรอ ?

                ความอ้วนนั้น อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายได้ โดยผู้ที่มีภาวะอ้วนเกิน นั้นจะมีเนื้อเยื่อไขมันแทรกตามกล้ามเนื้อ และตามอวัยวะภายในร่างกาย ทำให้การทำงานของระบบต่าง ๆ ผิดปกติ ซึ่งจะทำให้เกิดโรคอันตรายได้ เช่น

                • โรคเบาหวานประเภทที่ 2 (Type 2 Diabetes)

                มักเกิดจากเซลล์ไขมันส่วนเกินที่สะสมมาก โดยเฉพาะไขมันในช่องท้อง โดยเกิดจากร่างกายมีภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลินเหมือนอย่างเคย อินซูลิน ถือเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยทำหน้าที่นำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน แต่เมื่อเกิดภาวะดื้ออินซูลิน ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ตับอ่อนต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อผลิตอินซูลินเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม เมื่อเซลล์ยังไม่สามารถใช้น้ำตาลได้อย่างเต็มที่ ระดับน้ำตาลในเลือดก็ยังคงสูงอยู่ ทำให้กลายเป็นภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง และเกิดอันตรายต่อร่างกายได้

                • โรคไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia) 

                เป็นอีกหนึ่งโรคที่มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากโรคอ้วน เป็นภาวะที่ระดับไขมันในเลือดผิดปกติ จึงทำให้เกิดการสะสมของไขมันในเลือดระดับสูง โดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) กรดไขมันอิสระ (Free Fatty Acid) และไลโปโปรตีนชนิดบี (ApoB) ซึ่งที่เป็นสาเหตุของหลอดเลือดอักเสบอย่างต่อเนื่อง ภาวะอักเสบในหลอดเลือดเป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในระยะยาว ทั้งยังเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด (Heart Attack) และหลอดเลือดในสมองตีบหรือแตก (Stroke) ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

                • ภาวะโรคอ้วนเรื้อรัง

                เกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีการสะสมของเซลล์ไขมันมากเกินไป โดยจะกระตุ้นให้ร่างกายผลิตสาร C-Reactive Protein (C-RP) เป็นโปรตีนที่ตับสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการอักเสบในร่างกาย ซึ่งสาร C-RP นี้จะไปจับกับฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ฮอร์โมนที่มีหน้าที่ส่งสัญญาณให้สมองรับรู้ว่าอิ่มแล้ว แต่เมื่อ C-RP จับกับเลปติน เกิดเป็น “C-RP Leptin Complex” ทำให้สมองไม่สามารถรับรู้สัญญาณอิ่มได้ จึงเกิดเป็นภาวะดื้อต่อเลปติน (Leptin Resistance) หากเกิดในระยะยาวจะส่งผลให้การสะสมไขมันในร่างกายมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและภาวะโรคอ้วนได้

                • โรคมะเร็ง 

                เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยส่วนมากนั้นเกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น กรรมพันธุ์ โรคประจำตัวอื่น ๆ รวมถึงโรคอ้วน ที่อาจจะก่อให้เกิดโรคมะเร็งตามได้ 

                จะเห็นได้ว่าโรคอ้วนนั้น ถือเป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหลาย ๆ โรคตามมา ไม่ว่าจะเป็น โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง ภาวะหยุดหายใจในขณะนอนหลับ หรือโรคมะเร็ง ซึ่งการดูแลน้ำหนักให้ไม่เกิดมาตรฐาน ก็จะช่วยลดปัญหาความเสี่ยงของโรคได้หลายโรค 

                ซึ่งการดูแลตัวเอง หรือการลดน้ำหนักนั้น สามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่ดี การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องการคุมอาหาร อยากลดน้ำหนักให้ได้ประสิทธิภาพ Slim & Slender ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ 

                ถ้าหยุดใช้ Slim & Slender แล้วโยโย่ไหม ?

                หลาย ๆ คนอาจจะมีความสงสัยว่า แล้วถ้าใช้ Slim & Slender แล้วน้ำหนักลดลงจนพอใจแล้ว หากต้องการหยุดใช้ Slim & Slender แล้วจะกลับมาโยโย่ไหม ต้องบอกเลยว่า การใช้ Slim & Slender นั้นเป็นการใช้ตัวยาเพื่อช่วยลดความอยากอาหาร หากหยุดใช้จะไม่กลับมาโย่โย่ หรือส่งผลเสียต่อร่างกาย อย่างไรก็ตามควรปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการใช้ชีวิต เพื่อที่จะได้ลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพดี และสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

                 

                Slim & Slender สามารถลดไขมันส่วนใดบ้าง ?

                Slim & Slender เป็นตัวช่วยลดน้ำหนักที่อยู่ในรูปแบบของเปปไทด์คุมหิว โดยจะช่วยลดน้ำหนักทั่วร่างกาย ทั้งยังช่วยปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารได้ เนื่องจาก Slim & Slender ช่วยลดความอยากอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มนาน รับประทานอาหารได้น้อยลง แต่ Slim & Slender นั้นจะไม่สามารถเลือกลดเฉพาะส่วนได้ 

                การลดน้ำหนักด้วย Slim & Slender เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่มีปัญหาน้ำหนักเกิน ควบคุมพฤติกรรมการกินไม่ได้ หรือมีภาวะเสี่ยงโรคอ้วนเรื้อรัง ซึ่ง Slim & Slender จะเข้าไปช่วยลดความอยากอาหาร ลดอาการกินจุบจิบ  กินเยอะ ปรับให้ร่างกายรับประทานอาหารแบบพอดี ทั้งนี้การรักษาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น สำหรับใครที่มีปัญหา หรือมีความกังวลใจเกี่ยวกับรูปร่าง ต้องการหาตัวช่วยอย่าง Slim & Slender ลดน้ำหนัก นั้น แนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา

                CaHA สารกระตุ้นคอลลาเจน คืออะไร ดียังไง

                CaHA คืออะไร

                CaHA สารกระตุ้นคอลลาเจน ตัวช่วยหน้าเด็ก โกงอายุผิว

                เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังจะเริ่มเสื่อมสภาพจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผิวอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากการสูญเสียคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ไม่สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ หากไม่มีการทดแทนหรือเติมเต็ม ผิวของเราก็จะเกิดปัญหาตามมาสารพัด เช่น ผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ร่องลึก ขาดความยืดหยุ่น และขาดความชุ่มชื้น ซึ่งส่งผลใบหน้าดูแก่กว่าวัย จนหมดความมั่นใจในที่สุด ปัจจุบันมีการพัฒนาสาร CaHA ที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และชะลอความเสื่อมของผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวหน้ากลับมาอ่อนเยาว์ได้อีกครั้ง

                บทความนี้ จะพาไปทำความรู้จักกับ CaHA สารกระตุ้นคอลลาเจนว่า CaHA คืออะไร? ทำไม CaHA ถึงสำคัญต่อผิว? และ CaHA มีกลไกการทำงานอย่างไร? บทความนี้พร้อมตอบทุกประเด็นเกี่ยวกับ CaHA

                CaHA สารกระตุ้นคอลลาเจนใน Radiesse คืออะไร? เหมาะกับใคร?

                 

                CaHA คืออะไร
                CaHA คืออะไร

                CaHA สารกระตุ้นคอลลาเจน คืออะไร?

                แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Calcium Hydroxylapatite – CaHA) คือ สารที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในร่างกาย (Biostimulator) มักถูกใช้ในผลิตภัณฑ์ความงามอย่าง Radiesse สารเติมเต็มชนิดหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูผิว ซึ่ง CaHA เป็นสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกายของเรา โดยเฉพาะกระดูกและฟัน CaHA มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแรงและความทนทาน ให้กับกระดูกและฟัน ดังนั้น CaHA จึงเป็นสารที่สามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกาย ทำให้มีความปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกัน

                 

                CaHA มีหลักการทำงานอย่างไร?

                CaHA มีลักษณะเป็นไมโครสเฟียร์ (Microsphere) ที่มีขนาดอนุภาคสม่ำเสมอ ขนาด 25 – 45 ไมครอน เมื่อฉีด CaHA เข้าสู่ชั้นผิวแล้ว CaHA จะจับตัวกันเป็นโครงสร้างที่แข็งแรง ในการสร้างเส้นใยตาข่าย 3 มิติ (3D Matrix) และกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ที่เป็นเซลล์ต้นกำเนิดของคอลลาเจน ให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มขึ้น โดยสามารถกระจายตัวได้อย่างสม่ำเสมอในบริเวณที่ฉีด ทำให้เกิดการกระตุ้นคอลลาเจนได้อย่างทั่วถึง ส่งผลให้ผิวแข็งแรง มีความหนาแน่น และยืดหยุ่น นอกจากนี้ CaHA ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวและเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวสุขภาพดีขึ้นในระยะยาว โดยผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ในร่างกาย

                 

                CaHA สำคัญต่อผิวอย่างไร
                CaHA สำคัญต่อผิวอย่างไร

                ทำไม CaHA ถึงมีความสำคัญต่อผิว?

                CaHA มีความสำคัญในด้านการดูแลผิวอย่างมาก ถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์อย่างยาวนานกว่า 25 ปี มีงานวิจัยยืนยันถึง ความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้ CaHA เพื่อฟื้นฟูผิว ซึ่งสามารถกระตุ้นการสร้างเส้นใยตาข่ายตรึงผิวใหม่ถึง 5 ประการ ได้แก่

                1. CaHA กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนประเภทที่ 1 (Type I) เพิ่มขึ้น 150% ช่วยให้ผิวมีความแข็งแรง เฟิร์ม กระชับ
                2. CaHA กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนประเภทที่ 3 (Type III) เพิ่มขึ้น 130% ช่วยให้ผิวแน่น เต่งตึง เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเรียงตัวของคอลลาเจนประเภทที่ 1
                3. CaHA กระตุ้นการสร้างอีลาสติน (Elastin) เพิ่มขึ้น 260% ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และลดเลือนริ้วรอย
                4. CaHA กระตุ้นการสร้าง Proteoglycan ช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและเปล่งปลั่ง
                5. CaHA กระตุ้นการสร้าง Angiogenesis หรือกระตุ้นการสร้างหลอดเลือดใหม่ ทำให้ผิวได้รับสารอาหารและออกซิเจนมากขึ้น ส่งผลให้ผิวมีสุขภาพดี ดูอมชมพู มีเลือดฝาด

                 

                3 ผลลัพธ์ของ CaHA ในระยะยาว มีอะไรบ้าง?

                CaHA นอกจากจะให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ทันทีหลังการฉีดแล้ว CaHA ยังมี 3 ผลลัพธ์ในระยะยาวที่โดดเด่น จากการที่ร่างกายค่อย ๆ เพิ่มจำนวนคอลลาเจนขึ้นมาใหม่หลังฉีด CaHA  ได้แก่

                1. ผลลัพธ์ของ CaHA ในระยะยาว คือ Healthier เสริมสร้างโครงสร้างผิวให้แข็งแรงขึ้น ทำให้ผิวเฟิร์มกระชับ อิ่มฟู และดูสุขภาพดีมากขึ้น
                2. ผลลัพธ์ของ CaHA ในระยะยาว คือ Younger ทำให้ริ้วรอย ร่องลึก และความหย่อนคล้อยลดลง ผิวดูอ่อนเยาว์มากขึ้น
                3. ผลลัพธ์ของ CaHA ในระยะยาว คือ Longer ยืดอายุผิวที่มีคุณภาพดีให้ยาวนานมากขึ้น สามารถคงผลลัพธ์ได้ถึง 2 ปี

                 

                CaHA มีความพิเศษกว่า HA ทั่วไปอย่างไร?

                CaHA (Calcium Hydroxylapatite) และ HA (Hyaluronic Acid) เป็นสารเติมเต็มที่นิยมใช้ในการเติมเต็มผิว และปรับรูปหน้า ซึ่งทั้งสองชนิดนี้ มีหลักการทำงานและผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ได้แก่

                • CaHA เป็นส่วนประกอบหลักของ Radiesse ซึ่งเป็นสารธรรมชาติ ที่สามารถพบได้ในร่างกายของเรา เช่น กระดูกและฟัน CaHA มีความโดดเด่นตรงที่ไม่เพียงแต่การเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และปรับรูปหน้า แต่ CaHA ยังกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาใหม่ เน้นการฟื้นฟูผิวแบบองค์รวม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวในระยะยาว และต้องการมีผิวหน้าที่แข็งแรง อ่อนกว่าวัย โดยผลลัพธ์ของ CaHA จะคงอยู่ได้ยาวนานกว่า HA ทั่วไปถึง 2 ปี
                • HA เป็นส่วนประกอบหลักของฟิลเลอร์ ซึ่งเป็นสารธรรมชาติ ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบสารในร่างกายของเรา HA มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ กักเก็บความชุ่มชื้นให้แก่ผิว เมื่อนำมาใช้ในรูปแบบของฟิลเลอร์ จะช่วยเพิ่มวอลุ่มและเติมเต็มช่องว่างใต้ผิวหนัง เพื่อทดแทนเนื้อเยื่อหรือกระดูกที่ทรุดตัวลงจากอายุที่เพิ่มขึ้น อีกทั้ง ยังสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ ดูตื้นขึ้น ผิวอิ่มน้ำ ดูเรียบเนียน เหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาผิว ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว

                คอลลาเจนมีกี่ประเภท?

                คอลลาเจน (Collagen) มีหลายประเภท สามารถได้ตามคุณสมบัติและการทำงานในร่างกาย โดยทั่วไปแล้วมีการจำแนกคอลลาเจนออกเป็น 5 ประเภทหลัก ได้แก่

                1. คอลลาเจนประเภทที่ 1 (Type I) พบมากที่สุดในร่างกาย ประมาณ 90% ของคอลลาเจนทั้งหมด ทำหน้าที่เสริมสร้างความแข็งแรง และความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง กระดูก เอ็น และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน 
                2. คอลลาเจนประเภทที่ 2 (Type II) พบในกระดูกอ่อน เช่น หู จมูก และกระดูกซี่โครง ทำหน้าที่รักษาความยืดหยุ่น และลดการเสื่อมของกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อ
                3. คอลลาเจนประเภทที่ 3 (Type III) มักพบร่วมกับคอลลาเจนประเภทที่ 1 ในผิวหนัง กล้ามเนื้อ และหลอดเลือด มีหน้าที่ในการเสริมสร้างโครงสร้างของผิว
                4. คอลลาเจนประเภทที่ 4 (Type IV) พบในชั้นเยื่อบุผิว และชั้นเนื้อประสานที่รองรับเนื้อผิว มีลักษณะเฉพาะตัว ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและเส้นเลือด
                5. คอลลาเจนประเภทที่ 5 (Type V) พบในเซลล์ผิว รก และเส้นผม ทำหน้าที่ในการเสริมสร้างโครงสร้างของเนื้อเยื่อ เพิ่มความแข็งแรงให้แก่เส้นผมและเล็บ

                จะเห็นได้เลยว่า คอลลาเจนแต่ละชนิดมีบทบาทที่สำคัญต่อร่างกายแตกต่างกันไป แต่คอลลาเจนที่จำเป็นสำหรับผิวหนังนั้น คือ คอลลาเจนประเภทที่ 1 และ คอลลาเจนประเภทที่ 3 ดังนั้น การเสริมคอลลาเจนประเภทที่ 1 และ 3 จึงเป็นอีกหนึ่งวิธี ในการช่วยชะลอความเสื่อมของผิวหนัง และคงความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้า

                 

                ความเสื่อมของคอลลาเจนในผิวหนัง แต่ละช่วงวัย?

                ความเสื่อมของคอลลาเจนในผิวหนังเกิดขึ้นตามช่วงอายุ โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ตั้งแต่อายุ 25 ปี ขึ้นไป เนื่องจากร่างกายจะเริ่มผลิตคอลลาเจนลดลงประมาณ 1 – 1.5% ต่อปี ซึ่งส่งผลให้ผิวของเรา เริ่มมีริ้วรอยและความหย่อนคล้อยได้

                • อายุ 25 – 30 ปี เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของคอลลาเจนที่ลดลง ทำให้ผิวเริ่มมีริ้วรอยบาง ๆ และเริ่มสูญเสียน้ำ รูขุมขนกว้าง ผิวแห้งตึง
                • อายุ 30 – 40 ปี การผลิตคอลลาเจนลดลงมากขึ้น ส่งผลให้เห็นริ้วรอยต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน เช่น ริ้วรอยรอบดวงตา ร่องแก้ม และริ้วรอยหน้าผาก อีกทั้ง ผิวเริ่มสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้เกิดความหย่อนคล้อย ผิวหมองคล้ำ ดูไม่สดใส
                • อายุ 40 – 60 ปี คอลลาเจนจะลดลงเรื่อย ๆ ส่งผลให้เห็นริ้วรอย ร่องลึกชัดเจนกว่าเดิม ผิวหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้ง ผิวจะบางลงและบอบบางง่าย ทำให้เกิดปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง ซึ่งส่งผลต่อการผลิตคอลลาเจน
                • อายุ 65 ปีขึ้นไป คอลลาเจนเสื่อมสภาพอย่างมาก ทำให้ผิวหนังบาง แห้งกร้าน เห็นริ้วรอยอย่างชัดเจน และเกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อยขั้นรุนแรง เช่น บริเวณรอบดวงตา บริเวณแก้ม และบริเวณลำคอ อีกทั้งยังส่งผลต่อมวลกระดูกที่เสื่อมสภาพลงอีกด้วย

                 

                พฤติกรรมทำลายคอลลาเจน
                พฤติกรรมทำลายคอลลาเจน

                พฤติกรรมที่ทำลายคอลลาเจนในชั้นผิว?

                • การสูบบุหรี่ สารพิษในบุหรี่จะทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง ทำให้เกิดริ้วรอยและผิวหย่อนคล้อยเร็วกว่าปกติ
                • การดื่มแอลกอฮอล์ ส่งผลให้คอลลาเจนถูกทำลาย ผิวจึงสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้ผิวขาดน้ำ ขาดความชุ่มชื้น และเกิดความเหี่ยวย่นได้ง่าย
                • การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป น้ำตาลทำให้เกิดกระบวนการไกลเคชั่น (Glycation) ซึ่งจะเข้าไปทำลายโปรตีนในผิวหนังอย่าง คอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวเหี่ยวย่นและมีริ้วรอย
                • ได้รับแสงแดดมากเกินไป รังสี UV จากแสงแดดเป็นตัวการสำคัญ ที่ทำลายคอลลาเจนในผิวหนัง ทำให้เกิดความเสื่อมสภาพของผิวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผิวขาดความยืดหยุ่น เกิดริ้วรอยได้ง่าย
                • ความเครียด เมื่อมีความเครียด ร่างกายจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งมีส่วนในการทำลายคอลลาเจนในผิว ทำให้ผิวแห้งและหมองคล้ำ
                • พักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนหลับไม่เพียงพอ จะทำให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้ไม่เต็มที่ ซึ่งส่งผลต่อการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิว

                 

                เมื่อคอลลาเจนลดลงจะส่งผลต่อผิวหนังอย่างไร?

                • ผิวหย่อนคล้อยและมีริ้วรอย เนื่องจากการสูญเสียคอลลาเจน ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น และความกระชับ ส่งผลให้เกิดริ้วรอย ร่องลึก และความหย่อนคล้อยได้ง่าย
                • ผิวแห้งและหมองคล้ำ เนื่องจากคอลลาเจน มีบทบาทในการรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว เมื่อระดับคอลลาเจนลดลง ผิวจะเริ่มแห้งกร้าน ดูไม่สดใส
                • ผิวแพ้ง่ายและไม่แข็งแรง เนื่องจากการลดลงของคอลลาเจน ทำให้โครงสร้างของผิวหนังอ่อนแอลง ส่งผลให้ผิวแพ้ง่าย บอบบาง มีโอกาสเกิดสิว ผด และผื่นได้ง่ายขึ้น
                • การเกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำ เมื่อผิวหนังบอบบางลงจากการขาดคอลลาเจน ผิวจึงมีแนวโน้มที่จะเกิดการอักเสบได้ง่าย ซึ่งเป็นการยิ่งกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ส่งผลให้เกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำ อีกทั้ง เมื่อคอลลาเจนลดลง กระบวนการฟื้นฟูตัวเองจึงช้าลงตามไปด้วย
                • การสร้างเซลล์ผิวใหม่ลดลง เนื่องจากคอลลาเจนมีความสำคัญในกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ เมื่อคอลลาเจนลดลง อาจทำให้กระบวนการนี้ชะลอลง ส่งผลให้ผิวขาดน้ำ ขาดความชุ่มชื้น

                 

                Radiesse คืออะไร
                Radiesse คืออะไร

                 

                Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA คืออะไร?

                Radiesse (เรเดียสซ์) เป็นสารเติมเต็ม Regenerative Biostimulator ที่มีส่วนประกอบหลัก คือ Calcium Hydroxylapatite หรือ CaHA ซึ่งถูกพัฒนาโดยบริษัท Merz Aesthetics บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายเทคโนโลยีความงามระดับโลก และได้รับ FDA Approved จากอย. อเมริกา (US FDA) ในปี 2006 ซึ่ง Radiesse ถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์ความงามอย่างกว้างขวาง จึงมียอดใช้งานกว่า 15 ล้านไซริงค์ทั่วโลก ถือเป็นสารเติมเต็มที่มีความปลอดภัยสูง ไม่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ โดยมีคอนเซปต์ คือ The One of a Kind Regenerative Biostimulator

                 

                ด้วยส่วนประกอบของ CaHA ใน Radiesse จึงทำให้ Radiesse มีคุณสมบัติเด่นในการฟื้นฟูผิวแบบองค์รวม พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนประเภทที่ 1 และคอลลาเจนประเภทที่ 3 เสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรงจากภายใน และยังสามารถใช้ในการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ ทำให้ผิวอิ่มฟู ปรับรูปหน้าให้ดูมีมิติ มีความคมชัดมากขึ้น

                 

                อีกทั้ง ใน Radiesse มีปริมาณของ CaHA สูงถึง 30% ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสมในการออกฤทธิ์เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้จริงหลังฉีด และอีก 70% คือ CarboxyMethyl Cellulose (CMC gel) ที่เป็นตัวนำพาอนุภาค CaHA เข้าสู่ผิวหนัง ช่วยให้ CaHA กระจายตัวอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

                 

                Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA มีลักษณะเด่นเฉพาะอย่างไร?

                • ลักษณะเด่นเฉพาะของ Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA คือ Strong Structural Skin เสริมสร้างโครงสร้างผิวให้แข็งแรง ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและเต่งตึง
                • ลักษณะเด่นเฉพาะของ Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA คือ Profound Rejuvenation ฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก พร้อมปรับปรุงคุณภาพผิว ทำให้ผิวเรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์
                • ลักษณะเด่นเฉพาะของ Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA คือ Cell Regenerative Stimulation กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ เพิ่มความหนาแน่นของผิว เพื่อทดแทนส่วนที่เสื่อมสภาพไป 

                 

                Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA สามารถฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?

                Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA สามารถฉีดได้หลายบริเวณ ทั้งใบหน้าและลำคอ แต่ไม่แนะนำให้ฉีดในบริเวณที่ผิวบอบบาง เช่น รอบดวงตา และริมฝีปาก

                • ฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA บริเวณหน้าแก้ม เพื่อยกกระชับและเพิ่มวอลุ่ม ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
                • ฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA บริเวณขมับ เพื่อเติมเต็มขมับที่ยุบตัว ทำให้โครงหน้ามีความสมดุลมากขึ้น โหนกแก้มลดลง
                • ฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA บริเวณร่องแก้ม เพื่อเติมเต็มร่องลึกข้างแก้มที่เกิดขึ้นตามอายุ ทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย
                • ฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA บริเวณร่องน้ำหมาก เพื่อเติมเต็มเส้นร่องมุมปาก ให้ดูตื้นขึ้น ใบหน้าดูเด็กลง
                • ฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA บริเวณกรอบหน้า เพื่อเพิ่มความคมชัด เพิ่มมิติให้กรอบหน้า
                • ฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA บริเวณหลังมือ เพื่อแก้ปัญหาหลังมือแห้งกร้าน เหี่ยวย่น ทำให้หลังมือมีความเต่งตึง และชุ่มชื้น
                • ฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA บริเวณลำคอ เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น เพิ่มความเต่งตึงให้ผิวบริเวณคอ

                 

                Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA มีข้อดีอะไรบ้าง?

                • การฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA มีความปลอดภัยสูง เนื่องจาก CaHA ไม่ใช่สารแปลกปลอม จึงไม่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดโอกาสในการเกิดอาการแพ้
                • การฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA มีความสะดวกและประหยัดเวลา ฉีดเพียงครั้งเดียว สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 2 ปี ทั้งนี้ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
                • การฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในร่างกาย
                • การฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ทั้งจาก US FDA (อย.อเมริกา) และ TH FDA (อย.ไทย)
                • การฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA มีการใช้ในวงการแพทย์ทั่วโลกกว่า 25 ปี และมีงานวิจัยรองรับกว่า 250 ฉบับ
                • การฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA มียอดใช้งานกว่า 15 ล้านไซริงค์ทั่วโลก

                 

                Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA เหมาะกับใคร?

                • Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอายุ 25 ปี ขึ้นไป คอลลาเจนค่อย ๆ เสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ
                • Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีริ้วรอยหรือร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า
                • Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ใบหน้าไม่กระชับ
                • Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเพิ่มวอลุ่มให้ผิว
                • Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA เหมาะสำหรับ ผู้ที่ผิวหน้าสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน ผิวขาดวอลุ่ม
                • Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA เหมาะสำหรับ ผู้ที่ผิวหน้าไม่แข็งแรง ขาดความยืดหยุ่น
                • Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA เหมาะสำหรับ ผู้ที่ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้น แห้งกร้าน
                • Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า กรอบหน้าไม่คมชัด
                • Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีรอยเหี่ยวย่นบริเวณหลังมือ และลำคอ
                • Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าในระยะยาว

                 

                Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA ไม่เหมาะกับใคร?

                • Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์
                • Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังให้นมบุตร
                • Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีแผลเปิด หรือสิวอักเสบบริเวณที่จะฉีด
                • Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ เลือดออกง่าย
                • Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประวัติการแพ้ขั้นรุนแรง
                • Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบใน Radiesse
                • Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีความเสี่ยงในการเกิดคีลอยด์ หรือรอยแผลเป็นนูน

                 

                การเตรียมตัวก่อนฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA

                • ก่อนฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA ควรแจ้งประวัติการแพ้ยา และประวัติโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบ
                • ก่อนฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA งดรับประทานยา หรืออาหารเสริมที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
                • ก่อนฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
                • ก่อนฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
                • ก่อนฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA งดสครับผิว หรือใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวในบริเวณที่ีฉีด
                • ก่อนฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA นอนหลับให้เพียงพอ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

                 

                การดูแลตัวเองหลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA

                • หลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA หลีกเลี่ยงการนอนตะแคง หรือนอนคว่ำ 
                • หลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA งดแต่งหน้า 12 ชั่วโมงแรก 
                • หลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เช่น ออกกำลังกายหนัก นอนอาบแดด หรือเข้าซาวน่า
                • หลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA งดสัมผัส นวด หรือกดในบริเวณที่ฉีด
                • หลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA สามารถประคบเย็นเบา ๆ ในบริเวณที่ฉีด เพื่อลดอาการบวมช้ำได้
                • หลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด 
                • หลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
                • หลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด หรือความร้อนทุกรูปแบบ
                • หลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA หากพบอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที

                 

                ผลลัพธ์ 3 ระยะที่เกิดขึ้นหลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA

                • หลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA เห็นผลลัพธ์ทันที 

                หลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA สามารถเข้าไปเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และเพิ่มวอลุ่มให้กับผิว ทำให้เห็นผลลัพธ์ในการยกกระชับและปรับรูปหน้าได้ทันที

                • หลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA เห็นผลลัพธ์ใน 1 เดือน

                หลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA ใน 1 เดือน สาร CaHA ใน Radiesse จะเริ่มออกฤทธิ์ในการกระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวมีความแข็งแรง มีความหนาแน่น เด้งฟู และยืดหยุ่นมากขึ้น

                • หลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA เห็นผลลัพธ์ใน 6 – 24 เดือน

                หลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA ใน 6 – 24 เดือน เส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว จะถูกสร้างขึ้นอย่างเต็มที่ ทำให้ผิวแข็งแรง เฟิร์มกระชับ (Healthier) ผิวดูอ่อนเยาว์ (Younger) และยืดอายุผิวคุณภาพดีให้ยาวนาน (Longer) 

                 

                ผลข้างเคียงของ Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA

                แม้ว่า Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA จะเป็นสารเติมเต็มที่ได้รับความนิยม และมีความปลอดภัยสูง แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่หลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA มักพบผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรง และหายได้เองภายในระยะเวลาอันสั้น

                • หลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA อาจเกิดรอยแดง บวมช้ำขึ้นได้ในบริเวณที่ฉีด ซึ่งมักจะหายได้เองภายใน 1 – 2 วัน
                • หลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA อาจเกิดอาการคันในบริเวณที่ฉีด ซึ่งสามารถหายได้เอง
                • หลังฉีด Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA หากพบว่ามีอาการผิดปกติ เช่น ผิวเปลี่ยนสี หรือเกิดเป็นก้อนขึ้นมา ควรรีบพบแพทย์ทันที

                วิธีเช็ค Radiesse ของแท้
                วิธีเช็ค Radiesse ของแท้

                Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA มีวิธีตรวจสอบของแท้อย่างไร?

                • ตัวกล่อง Radiesse ต้องสมบูรณ์ ไม่ชำรุด บุบ หรือถูกเปิดใช้งานมาก่อน
                • มีเลขทะเบียนอย. และเอกสารกำกับภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง
                • ตรวจสอบ QR Code สติ๊กเกอร์ Merz Check หน้ากล่อง และลองสแกนดูว่า เป็นของแท้หรือไม่
                • มีเลข Lot. วันที่ผลิต และวันหมดอายุที่ชัดเจน ซึ่งเลข Lot. ที่กล่องและเลข Lot. ที่ซองต้องตรงกัน
                • ได้รับใบรับประกัน Skin Rejuvenation Card หรือ Radiesse Club Card หลังใช้บริการฉีด Radiesse
                • ตรวจสอบรายชื่อคลินิกที่มีการสั่งซื้อ Radiesse อย่างถูกต้องในเว็บไซต์ www.merzaesthetics.co.th

                 

                จะเห็นได้ว่า สาร CaHA ใน Radiesse ถือเป็นสารที่สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม และมีประสิทธิภาพ ซึ่งต่างจากสารเติมเต็มทั่วไป ที่เน้นแค่การเติมเต็มและเพิ่มปริมาตรให้ผิวในชั่วคราว แต่สาร CaHA ใน Radiesse จะให้ผลลัพธ์ในการกระตุ้นคอลลาเจน และเสริมโครงสร้างผิวในระยะยาว ทำให้ผิวแข็งแรง และสุขภาพดีจากภายใน 

                สำหรับใครที่สนใจ Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA รีบจองคิวเข้ามาปรึกษาแพทย์กับ รมย์รวินท์คลินิก ได้ทุกสาขา อย่าปล่อยให้ผิวหน้าดูแก่กว่าวัยมากไปกว่านี้ เตรียมบอกลาริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ค้นพบผิวใหม่ที่สวยกว่าเดิม รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน

                 

                Fractional Laser ลาขาดหลุมสิว เผยผิวเรียบเนียน

                Fractional Laser

                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                  วันที่สะดวกในการติดต่อ








                  Fractional Laser ลาขาดหลุมสิว เผยผิวเรียบเนียน

                  ปัญหาหลุมสิว ผิวไม่เรียบเนียน ปัญหากวนใจที่แก้ได้ยาก และอาจเกิดผลกระทบหลายด้าน หากรักษาไม่ถูกวิธี ปัจจุบันจึงมีเทคโนโลยีและวิธีการรักษาหลุมสิวเกิดขึ้นมากมาย หนึ่งในวิธีการรักษาหลุมสิวยอดฮิต  “Fractional Laser” เทคโนโลยีเลเซอร์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น จากการช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้น พร้อมกับการแก้ไขปัญหาผิวหลายด้านอย่างมีประสิทธิภาพ

                  หลุมสิวเกิดจากอะไร ?

                  หลุมสิว คือ รอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นหลังจากสิวหาย โดยเฉพาะในสิวอักเสบรุนแรงที่มีการอักเสบมาก สิวหัวช้าง หรือการบีบสิวโดยไม่ถูกวิธี ทำให้เกิดการอักเสบ จนชั้นใต้ผิวหนังเกิดการเสียหาย ทำให้เนื้อเยื่อถูกทำลาย จนเกิดเป็นหลุมสิวได้ แต่หลุมสิวก็สามารถเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ ได้เช่นกัน เช่น จากพันธุกรรม หรือโรคบางชนิด ที่ทำให้ผิวหนังซ่อมแซมตัวเองได้ช้าจนเกิดหลุมสิวได้

                   

                  ประเภทของหลุมสิว 

                  หลุมสิวนอกจากจะเกิดได้จากหลายปัจจัยแล้ว ยังมีหลายประเภทอีกด้วย เพื่อการรักษาหลุมสิวได้ดี การรู้จักหลุมสิวนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เพื่อการเลือกวิธีการรักษาที่ได้ประสิทธิภาพ โดยหลุมสิวแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

                   

                  • หลุมสิวแบบ Boxcar Scar หลุมสิวแบบนี้เป็นหลุมสิวที่มีขอบและขนาดค่อนข้างชัดเจน จากการที่ชั้นผิวถูกทำลาย ทำให้เกิดแผลลึกลงไปในผิว


                  • หลุมสิวแบบ Ice Pick Scar  มีลักษณะเป็นหลุมลึก แคบ เป็นหลุมที่ค่อนข้างลึก ทำให้การรักษายากกว่าหลุมสิวประเภทอื่น ๆ 


                  • หลุมสิวแบบ Rolling Scar  เป็นหลุมสิวแบบกว้าง ลาดเอียง ขอบหลุมไม่ชัดเจน ลักษณะเหมือนคลื่นพังผืดที่ดึงผิวหนังอยู่ใต้หลุม ทำให้ผิวไม่เรียบ เป็นคลื่น รักษาค่อนข้างยาก จากการที่ต้องจัดการพังผืดลึกใต้ผิว

                   

                  หลุมสิวหายได้เองไหม ?

                  หลุมสิวส่วนใหญ่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มักไม่หายไปเอง หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา ยิ่งจะทำให้หลุมสิวเห็นได้ชัดขึ้น โดยเฉพาะหลุมสิวที่ลึก และมีขนาดใหญ่ ซึ่งหลุมสิวที่เกิดจากการที่สิวอักเสบรุนแรง ผิวหนังชั้นในจะถูกทำลาย  และถ้าหากร่างกายไม่สามารถสร้างคอลลาเจนในการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ได้เพียงพอ หลุมสิวก็จะไม่สามารถตื้นขึ้นได้ 

                  Fractional Laser คืออะไร
                  Fractional Laser คืออะไร

                  Fractional Laser คืออะไร ? 

                  Fractional Laser เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่มีจุดเด่นในเรื่องของการรักษาหลุมสิว และการแก้ไขปัญหาผิวที่หลากหลาย ทำงานผ่านการปล่อยเลเซอร์ที่มีขนาดเล็กลงไปบนผิวหนัง ช่วยให้กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้น ผิวเรียบเนียนขึ้น และยังช่วยลดรอยแดง รอยดำจากสิวได้อีกด้วย ทำให้ Fractional Laser จึงเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน

                   

                  หลักหารทำงาน Fractional Laser
                  หลักหารทำงาน Fractional Laser

                  หลักการทำงานของ Fractional Laser

                  หลักการทำงานของ Fractional Laser หลุมสิวจะทำงานผ่านการปล่อยพลังงานเลเซอร์ที่เป็นลำแสงขนาดเล็ก ๆ หลายพันจุดลงไปบนผิวหนัง โดย Fractional Laser จะสร้างจุดความร้อน และสร้างบาดแผลเล็ก ๆ บนชั้นผิวที่ต้องการแก้ไข ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดการซ่อมแซม และสามารถฟื้นฟูตัวเองในบริเวณที่ถูก Fractional Laser กระตุ้น 

                  โดยขั้นตอนการทำงานหลักของ Fractional Laser แบ่งออกได้ ดังนี้

                  • ขั้นตอนการสร้างความร้อน  ขั้นตอนนี้เลเซอร์ในเครื่อง Fractional จะยิงลำแสงลงบนผิวหนังในระดับที่เหมาะสมกับการรักษาปัญหาผิว 
                  • ขั้นตอนกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และซ่อมแซม ในขั้นตอนนี้หลังจากผิวถูกกระตุ้นด้วยความร้อนในจุดต่าง ๆ แล้วร่างกายจะเกิดการซ่อมแซม โดยเซลล์ผิวใหม่จะถูกสร้างขึ้นใหม่ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวเรียบเนียน 
                  • ขั้นตอนการฟื้นฟู  Fractional Laser ยิงเลเซอร์ออกเป็นจุดเล็ก ๆ โดยผิวที่ไม่ได้รับเลเซอร์จะไม่ได้รับผลอะไร ทำให้ผิวคงสภาพสมบรูณ์ จึงช่วยในการฟื้นฟูผิวเร็วขึ้น 

                   

                  Fractional Laser เหมาะกับใคร
                  Fractional Laser เหมาะกับใคร

                  Fractional Laser เหมาะกับใคร ?

                  Fractional Laser นอกจากจะรักษาหลุมสิวได้ดีแล้วนั้น ยังเป็นเทคโนโลยีทันสมัยที่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าที่หลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีปัญหาเหล่านี้ 

                   

                  • Fractional Laser เหมาะกับผู้ที่เป็นหลุมสิวทุกประเภท เลเซอร์นี้เหมาะมากกับผู้ที่ต้องการรักษาหลุมสิวเพราะสามารถรักษาได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นหลุมสิวแบบตื้น หรือหลุมสิวแบบลึก ก็สามารถทำ Fractional Laser เพื่อทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นได้
                  • Fractional Laser เหมาะกับผู้ที่เป็นรอยแผลเป็น ผู้ที่มีปัญหากังวลใจเกี่ยวกับรอยแผลเป็น ทายาก็ไม่หายสามารถทำ Fractional Laser เพื่อช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นให้จางลงได้
                  • Fractional Laser เหมาะกับผู้ที่เป็นรอยแดง รอยดำจากสิว หากต้องการให้รอยดำรอยแดงจากสิวจางลงอย่างรวดเร็ว สีผิวสม่ำเสมอ สามารถทำ Fractional Laser เพื่อให้รอยต่าง ๆ เหล่านี้จางลงได้
                  • Fractional Laser เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอย เพราะสามารถลดเลือนริ้วรอยตื้น ๆ ได้
                  • Fractional Laser เหมาะกับผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง เลเซอร์จะช่วยให้รูขุมขนเล็กลงได้ จากการกระตุ้นคอลลาเจนและผลัดเซลล์ผิว

                   

                  Fractional Laserไม่เหมาะกับใคร ? 

                  Fractional Laser เป็นเทคโนโลยียอดนิยมที่ใช้ในการแก้ไขผิวหน้าที่หลากหลาย โดยเฉพาะปัญหาหลุมสิว เหมาะกับทุกผิวหน้า แต่อาจจะมีข้อยกเว้นในบางบุคคล ดังต่อไปนี้ 

                  • Fractional Laser ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวหนังอักเสบ หรือติดเชื้อ

                  หากมีปัญหาผิวหนังอักเสบ หรือติดเชื้อบริเวณที่ต้องการทำ ควรหลีกเลี่ยงการทำ Fractional Laser หลุมสิวก่อน เพราะหากทำ Fractional Laser ในขณะช่วงที่มีปัญหาผิวอักเสบ หรือติดเชื้อ อาจจะทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดการอักเสบมากขึ้น หรือไปกระตุ้นการติดเชื้อให้แพร่กระจายลุกลามได้ ดังนั้นควรรอให้ผิวหนังหายดี และกลับมาเป็นปกติก่อนค่อยทำ Fractional Laser

                   

                  • Fractional Laser ไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้แสงแดด

                  ในผู้ที่มีภาวะไวต่อแสงแดด (Photosensitivity) ควรหลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์   Fractional Laser หลุมสิว เพราะอาจเสี่ยงต่อผิว ทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น ส่งผลให้เกิดปัญหาผิวเสียจากแดด หรืออาจเกิดรอยด่างดำหลังการทำเลเซอร์ได้ง่ายขึ้น

                   

                  • Fractional Laser ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด

                  ในผู้ที่เป็นโรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคภูมิแพ้ หรือโรคที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด อาจจะหลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจทำ  Fractional Laser หลุมสิวเนื่องจากหลังการทำเลเซอร์ผิวอาจจะต้องซ่อมแซมนาน หรืออาจเกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น

                   

                  • Fractional Laser ไม่เหมาะกับผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร

                  ผู้หญิงที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร อาจทำให้ผิวตอบสนองต่อการทำเลเซอร์ที่ต่างกันออกไปจากปกติ จากที่ฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนแปลง หากต้องการทำ  Fractional Laser หลุมสิวควรรอให้ฮอร์โมนกลับสู่ปกติก่อนจึงทำ  Fractional Laser หลุมสิวได้

                   

                  • Fractional Laser ไม่เหมาะกับผู้ที่เคยมีประวัติการใช้ยาบางชนิด

                  ในการทำ  Fractional Laser หลุมสิว อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคือง หรือทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น หากทานยาบางชนิดร่วมด้วย เช่น ยาปฏิชีวนะ หรือยารักษาสิวที่มีกรดเรติโนอิก ดังนั้นควรหยุดทานยาเหล่านี้ตามคำสั่งของแพทย์ก่อนการทำ Fractional Laser

                   

                  ดังนั้นก่อนการทำ Fractional Laser หลุมสิว ควรเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำ และการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

                  Fractional Laser ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?

                  เทคโนโลยี Fractional Laser เป็นการรักษาผิวผ่านการยิงเลเซอร์ลงในชั้นผิว นอกจากจะรักษาหลุมสิวได้ดีแล้ว ยังสามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวได้อีกหลายด้าน ดังนี้ 

                   

                  • Fractional Laser ช่วยในการรักษาหลุมสิว 

                  ความสามารถในการทำงานหลักที่โดดเด่นของ Fractional Laser คือการรักษาหลุมสิวได้ทุกประเภท ช่วยให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น จากการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น หลังการทำ Fractional Laser

                   

                  • Fractional Laser ช่วยในการรักษารอยแผลเป็น 

                  ในผู้ที่เป็นรอยแผลเป็น การทำ Fractional Laser ถือเป็นตัวช่วยที่ดี เพราะสามารถช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นได้ ไม่ว่าจะรอยแผลเป็นจากรอยสิว การผ่าตัด หรืออุบัติเหตุ จากการทำ Fractional Laser ช่วยสร้างเซลล์ผิวใหม่บริเวณแผลเป็น ทำให้รอยแผลจางลง ผิวเรียบเนียนมากขึ้น

                   

                  • Fractional Laser ช่วยในการรักษารอยแดง รอยดำ

                  ผู้ที่มีปัญหารอยหลังจากการเกิดสิว  เช่น ปัญหารอยดำ ปัญหารอยแดง สามารถทำ Fractional Laser เพื่อให้รอยจางลงได้ จากการช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ทำให้ผิวกลับมาสม่ำเสมอได้มากยิ่งขึ้น หลังการทำ Fractional Laser

                   

                  • Fractional Laser ช่วยในการปรับผิวเรียบเนียน

                  หลังการทำ Fractional Laser ช่วยปรับผิวทำให้ผิวเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น ช่วยลดความขรุขระ และทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นได้

                   

                  • Fractional Laser ช่วยในการกระชับรูขุมขน

                  เลเซอร์นี้ช่วยทำให้รูขุมขนกระชับให้รูขุมขนเล็กลง ผ่านการกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวกระชับ ทำให้รูขุมขนเล็กลงผิวละเอียด เรียบเนียนมากยิ่งขึ้น

                   

                  • Fractional Laser ช่วยในการลดริ้วรอยตื้น ๆ 

                  การทำ Fractional Laser สามารถลดเลือนริ้วรอยให้จางลงได้

                   

                  • Fractional Laser ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน

                  ทำให้ผิวแข็งแรง ให้มีความยืดหยุ่น ลดโอกาสการเกิดริ้วรอย หรือปัญหาผิวต่าง ๆ รวมถึงช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ในอนาคต

                   

                  • Fractional Laser ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

                  ในผู้ที่มีปัญหาจุดด่างดำบนใบหน้า สีผิวไม่เท่ากัน สามารถทำ Fractional Laser เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าออก ทำให้ผิวดูกระจ่างใส สม่ำเสมอได้ หลังการทำเลเซอร์นี้

                   

                  ข้อดีของ Fractional Laser
                  ข้อดีของ Fractional Laser

                  ข้อดีของ Fractional Laser

                  การทำเลเซอร์ Fractional Laser ได้รับความนิยมจากการที่มีข้อดีหลายประการ ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด และมีประสิทธิภาพ ดังนี้

                   

                  • Fractional Laser มีข้อดีในการแก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลาย 

                  ในผู้ที่มีปัญหาผิวหลากหลายรูปแบบ สามารถทำ Fractional Laser เพื่อรักษาปัญหาผิวต่าง ๆ พร้อมกันได้ เพราะFractional Laser มีความสามารถในการรักษาปัญหาผิวที่หลากหลาย สามารถแก้ปัญหาผิวได้ทั้งปัญหาหลุมสิว รอยแผลเป็น รอยต่าง ๆ จึงเหมาะมากกับผู้ที่ต้องการแก้ไขฟื้นฟูผิวในหลายด้านพร้อมกัน

                   

                  • Fractional Laser มีข้อดีในการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน 

                  หากต้องการทำเลเซอร์ที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจน Fractional Laser ถือเป็นตัวเลือกที่ดีมาก เพราะหลังการทำการรักษาด้วย Fractional Laser ไม่นาน ปัญหาผิวต่าง ๆ จะถูกแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลลัพธ์จะค่อย ๆ ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน หลุมสิวจะตื้นขึ้น ผิวสม่ำเสมอ เรียบเนียน รอยต่าง ๆ จะจางลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ทั้งนี้ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลด้วย  ในบางคนหลังการทำ Fractional Laser ครั้งแรกก็สามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้เลย 

                   

                  • Fractional Laser มีข้อดีในการรักษาด้วยระยะเวลาสั้น ในการทำการรักษาใช้เวลาในการทำไม่นาน โดยทั่วไปจะใช้เวลาเพียง 30 นาที – 1 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับในบริเวณที่ทำ ทำให้สะดวกกับผู้ที่มีเวลาจำกัด และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้หลังการทำ Fractional Laser


                  • Fractional Laser มีข้อดีในการทำร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ได้ 

                  หากต้องการทำเลเซอร์หลุมสิวที่สามารถทำร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ได้ ถือเป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ เพราะมีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงน้อย หลังการทำสามารถทำหัตถการ หรือการรักษาอื่น ๆ ร่วมกันได้เลย แต่ควรอยู่ในคำแนะนำและการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วย

                   

                  เทคโนโลยี Fractional Laser เป็นเทคโนโลยีรักษาผิวที่มีประสิทธิภาพเหมาะกับคนทุกกลุ่ม สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย ปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงน้อย

                   

                  Fractional Laser เจ็บหรือเปล่า ? 

                  ในการทำ Fractional Laser อาจจะมีความรู้สึกเจ็บหรือไม่สบายตัวบริเวณที่ทำได้เล็กน้อย ไม่รุนแรง ไม่เจ็บมาก อยู่ในขั้นที่ควบคุมได้ผ่านการปรับพลังงานของเลเซอร์ในเครื่อง Fractional Laser  โดยความเจ็บปวดขึ้นอยู่กับสภาพผิว ของการตอบสนองของแต่ละบุคคล ในบางบุคคลอาจจะไม่รู้สึกเจ็บเลยก็เป็นไปได้ค่ะ

                   

                  Fractional Laser อันตรายไหม ?

                  การทำงานของ  Fractional Laser ไม่เป็นอันตราย อีกทั้งยังมีความปลอดภัยสูงมาก ผ่านกระบวนการทำงานของเลเซอร์ที่เจาะลงสู่ชั้นผิวหนัง ในบริเวณที่ต้องการรักษาเท่านั้น ไม่ทำลายผิวหนังโดยรอบ ทำให้เทคโนโลยี  Fractional Laser มีความปลอดภัย และ Fractional Laser เป็นเครื่องที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอีกด้วย 

                   

                  หากทำการรักษาโดยแพทย์ผู้ชำนาญการในการใช้เครื่องแล้วนั้น จะทำให้การทำงานของ  Fractional Laser มีความปลอดภัยมากขึ้นไปอีก หากมีความกังวลในเรื่องของผิวหรือความปลอดภัย สามารถปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อขอคำแนะนำก่อนและหลังการทำเลเซอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงหลังการทำได้

                   

                  Fractional Laser เห็นผลลัพธ์ภายในกี่วัน ?

                  ผลลัพธ์หลังการทำ Fractional Laser ส่วนมากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงภายใน 7-14 วันหลังการทำครั้งแรก แต่จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ชัดเจนมากขึ้น หลังการทำ Fractional Laser ประมาณ 30-45 วัน แต่ทั้งนี้การแสดงผลลัพธ์ในแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัญหาผิวของแต่ละบุคคล 

                   

                  หากต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แพทย์อาจจะแนะนำให้ทำซ้ำทุก 4-6 สัปดาห์ เพื่อเสริมผิวให้ฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจนต่อเนื่อง ทำให้ผลลัพธ์คงอยู่ระยะยาว

                   

                  Fractional Laser ต้องทำกี่ครั้ง ?

                  ในผู้ที่มีปัญหาผิวทั่วไป เช่น ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนไม่กระชับ ผู้ที่มีรอยดำรอยแดง อาจจะต้องทำ Fractional Laser 2 – 3 ครั้ง ในขณะที่ผู้ที่มีปัญหาผิวมาก เช่น ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวลึก หรือต้องการรักษารอยแผลเป็น อาจจำเป็นต้องทำ Fractional Laser  4 – 5 ครั้ง หรือมากกว่านั้นตามระดับความรุนแรงและคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน มีประสิทธิภาพ แต่โดยเฉลี่ยแล้วนั้นส่วนมาก แพทย์จะแนะนำให้ทำ 3 – 5 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างในการทำครั้งละ  4 – 6 สัปดาห์ เพื่อให้ผิวได้มีเวลาฟื้นฟูตัวเอง และมีเวลาในการสร้างคอลลาเจนระหว่างรักษาด้วย Fractional Laser

                   

                  ทั้งนี้จำนวนครั้งของการทำของแต่ละบุคคล จะแตกต่างกันออกไปตามสภาพผิว ปัญหาผิว และความรุนแรง ดังนั้นก่อนการทำควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อวางแผนการรักษาร่วมกัน

                   

                  การเตรียมตัวก่อนทำ Fractional Laser
                  การเตรียมตัวก่อนทำ Fractional Laser

                  การเตรียมตัวก่อนทำ Fractional Laser

                  การเตรียมตัวก่อนการทำเลเซอร์ Fractional เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การรักษาได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง โดยก่อนการทำ Fractional Laser สามารถเตรียมตัว ได้ดังนี้

                   

                  • ก่อนการทำ Fractional Laser ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ในการทำเลเซอร์การแจ้งประวัติ โรคประจำตัว และยาที่กินประจำ ให้แพทย์รู้ก่อนทำการรักษาเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก เพราะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยโดยตรง ดังนั้นก่อนการทำเลเซอร์ควรแจ้งรายละเอียดให้ครบถ้วน เพื่อการทำที่ปลอดภัย และลดความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายจากผลข้างเคียง 


                  • ก่อนการทำ Fractional Laser ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด ก่อนการทำเลเซอร์ 14 วัน ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง และทาครีมกันแดด SPF สูงเป็นประจำ


                  • ก่อนการทำ Fractional Laser ควรหยุดใช้ยาบางชนิด หากกินยาอะไรประจำก่อนหน้าการมาทำ Fractional Laser ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อประเมินการรักษา และหยุดทานยาบางชนิดระหว่างการทำ Fractional Laser เพราะในยาบางชนิดมีผลข้างเคียงที่ทำให้ผิวบาง ไวต่อแสง หรือส่งผลโดยตรงกับการแข็งตัวของเลือด แต่ทั้งนี้ไม่ควรหยุดกินยาเอง ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ 


                  • ก่อนการทำ Fractional Laser ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์บางชนิด ในผลิตภัณฑ์บางชนิดมีสารที่ทำให้ผิวระคายเคืองได้ ดังนั้นก่อนการทำเลเซอร์ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจจะทำให้ผิวอักเสบ หรือระคายเคือง อย่างน้อยประมาณ 7-14 วันก่อนการทำ Fractional Laser


                  • ก่อนการทำ Fractional Laser ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจทำให้ผิวแห้ง และไวต่อการระคายเคือง


                  • ก่อนการทำ Fractional Laser ควรเตรียมผิวให้สะอาด การเตรียมผิวก่อนการทำ Fractional Laser เป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพราะในผิวอาจจะมีน้ำมัน เครื่องสำอาง หรือสิ่งสกปรกต่าง ๆ บนผิวหน้า ดังนั้นก่อนการทำ Fractional Laser ควรล้างหน้าให้สะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่ทำให้ผิวระคายเคือง จะช่วยให้เลเซอร์ทำงานได้อย่างดี และช่วยลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการทำเลเซอร์ได้ 

                   

                  การดูแลตัวเองหลังทำ Fractional Laser

                  การดูแลผิวหลังทำ Fractional Laser อย่างถูกวิธี เพื่อผลลัพธ์ที่ดี สามารถทำได้ ดังนี้

                   

                  • หลังการทำ Fractional Laser แนะนำให้รักษาความสะอาดของผิว โดยหลังการทำเลเซอร์ ควรใช้การทำความสะอาดที่อ่อนโยน ใช้น้ำเปล่าหรือน้ำเกลือล้างเบา ๆ  ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวระคายเคือง  ไม่สัมผัสหน้าโดยตรงหรือขัดผิวแรง ๆ เพื่อเลี่ยงการติดเชื้อ
                  • หลังการทำ Fractional Laser แนะนำให้ทาครีมบำรุงผิว โดยหลังการ Fractional Laser ผิวอาจจะเกิดอาการแห้งได้ ดังนั้นหลังการทำแนะนำให้ทาครีม หรือมอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่มีสารสกัดที่ทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคืองเพิ่ม เพื่อทำให้ผิวหนังหลังทำมีความชุ่มชื้น 
                  • หลังการทำ Fractional Laser แนะนำให้หลีกเลี่ยงแดดจัด หลังการทำผิวจะไวต่อแสงมากยิ่งขึ้น ควรเลี่ยงแสงแดดจัดหรือทาครีมที่มี SPF สูง ๆ เพื่อป้องกันการไหม้แดด หรือการระคายเคือง
                  • หลังการทำ Fractional Laser แนะนำให้หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า 1-2 วันแรกควรงดใช้เครื่องสำอางบนใบหน้า หลังการทำ Fractional Laser เนื่องจากหลังทำผิวจะบอบบางขึ้น ในเครื่องสำอางบางอันอาจจะมีสารที่ทำให้เกิดการระคายเคือง หรือทำให้ผิวอักเสบได้ 
                  • หลังการทำ Fractional Laser แนะนำให้หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน หรือการอบซาวน่า ในช่วง 7-14 วันแรกหลังการทำเลเซอร์ เพราะอาจจะทำให้ผิวร้อนเกินไป เพิ่มความเสี่ยงในการระคายเคือง หรือเกิดการบวมได้ 

                  ผลข้างเคียงหลังการทำ Fractional Laser

                  หลังการทำ Fractional Laser เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ที่จะเกิดผลข้างเคียงในบางบุคคล โดยส่วนใหญ่จะเป็นผลข้างเคียงที่เกิดได้เล็กน้อย และหายไปได้เองในระยะเวลาไม่นาน ซึ่งผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยหลังการทำ Fractional Laser  ได้แก่

                   

                  • หลังการทำ Fractional Laser อาจผิวแห้ง หากรู้สึกว่าผิวแห้ง สามารถใช้ครีมบำรุงผิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้เร็วขึ้น
                  • หลังการทำ Fractional Laser อาจเกิดการคัน อาการเช่นนี้สามารถพบได้บ่อยหลังการทำเลเซอร์ เป็นผลข้างเคียงที่ไม่อันตราย สามารถบรรเทาได้ด้วยการทาครีมตามคำแนะนำของแพทย์
                  • หลังการทำ Fractional Laser อาจเกิดอาการแสบร้อน ในบริเวณที่ทำเลเซอร์อาจรู้สึกแสบร้อนได้ ซึ่งสามารถบรรเทาอาการนี้ได้ ด้วยการประคบเย็น
                  • หลังการทำ Fractional Laser อาจเกิดรอยแดง เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้หลังการทำ Fractional Laser  แต่จะยุบและหายไปได้เองภายใน 24-48 ชั่วโมง
                  • หลังการทำ Fractional Laser อาจเกิดการติดเชื้อในบางกรณี หากไม่ดูแลตัวเองหลังการทำ  Fractional Laser อาจจะเกิดการติดเชื้อได้ แต่เกิดได้น้อยมาก ๆ ดังนั้นหลังการทำ Fractional Laser การดูแลตัวเองจึงเป็นเรื่องจำเป็น และสำคัญมาก

                   

                  Fractional Laser เทคโนโลยีรักษาหลุมสิวยอดฮิตที่ได้รับความนิยม จากการที่รักษาหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหาผิวอื่น ๆ ได้อย่างหลากหลาย โดย Fractional Laser ทำงานผ่านการปล่อยพลังงานที่เฉพาะเจาะจง ไม่ทำลายผิวรอบข้าง แถมยังมีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงน้อยมาก ผิวฟื้นฟูได้ดีจากการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน เหมาะมากสำหรับผู้ที่มีหลุมสิวทุกชนิด และผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวหลายอย่างพร้อมกัน ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/RomrawinLINEhttps://bit.ly/RomrawinLINE

                  Ondamed คืออะไร ทางเลือกใหม่ฟื้นฟูสุขภาพได้ถึงระดับเซลล์

                  Ondamed ทางเลือกใหม่ทำงานได้ถึงระดับเซลล์

                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                    วันที่สะดวกในการติดต่อ








                    Ondamed คืออะไร ทางเลือกใหม่ฟื้นฟูสุขภาพได้ถึงระดับเซลล์

                    ปัจจุบันปัญหาสุขภาพเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนอาจจะมองข้ามไป เช่น อาการปวด อาการป่วยเล็กน้อย ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว การดูแลตัวเองสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกาย การทานอาหารที่มีประโยชน์ หรือการพักผ่อนให้เพียงพอ สำหรับใครที่รู้สึกว่าแค่นี้ ยังไม่เพียงพอในการดูแลเรื่องสุขภาพ ตัวช่วยฟื้นฟูสุขภาพ แก้ปัญหาโรคเรื้อรังที่น่าสนใจอย่าง Ondamed คืออะไร ทางเลือกใหม่ฟื้นฟูสุขภาพได้ถึงระดับเซลล์ ก็เป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจอย่างมาก

                    Ondamed และเวชศาสตร์ชะลอวัย เกี่ยวข้องกันไหม?

                    การฟื้นฟูสุขภาพนั้น เรียกได้อีกหนึ่งอย่างว่า เวชศาสตร์ชะลอวัย คือ การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมโดยเน้นไปที่สาเหตุของปัญหาสุขภาพ และป้องกันการเกิดโรค ซึ่งเวชศาสตร์ชะลอวัย จะมีการตรวจที่ลึกมากกว่าการตรวจสุขภาพแบบทั่วไป เพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหาที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น อาการอ่อนเพลีย ปวดหัว เวียนหัว เครียด นอนไม่หลับ หรืออาการสมองล้า
                    ซึ่งเวชศาสตร์ชะลอวัยนั้นเกี่ยวข้องกับ Ondamed เพราะเครื่อง Ondamed นั้นถือเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่ช่วยในการฟื้นฟูสุขภาพ หาสาเหตุของอาการเจ็บป่วยได้ลึกถึงระดับเซลล์ และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ให้ซ่อมแซมและรักษาตัวเองได้ดีขึ้น ทำให้ร่างกายมีสุขภาพดีได้แบบองค์รวม ทั้งยังช่วยป้องกันโรคที่อาจจะเกิดขึ้นได้

                     

                    Ondamed คืออะไร
                    Ondamed คืออะไร

                     

                    Ondamed คืออะไร

                    สำหรับใครที่ไม่คุ้นหูกับชื่อเครื่อง Ondamed และไม่รู้ว่าเครื่องนี้สามารถช่วยเรื่องอะไรได้นั้น รมย์รวินท์คลินิกของเราจะมาให้คำตอบทุกคน Ondamed คือ เทคโนโลยีฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย โดยการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงานต่ำ (Ultra Low Power) หรือคลื่นไฟฟ้าระดับอ่อน สแกนทั่วร่างกาย เพื่อค้นหาบริเวณที่เซลล์ในร่างกายมีการทำงานที่ผิดปกติ หรือเซลล์เกิดการเสียสมดุล หากพบเซลล์ที่ผิดปกติเซลล์นั้นจะตอบสนองต่อพลังงานในเครื่อง จากนั้นตัวเครื่อง Ondamed จะทำการส่งพลังงานออกไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ให้ฟื้นฟู และซ่อมแซมตัวเองได้ดีขึ้น ช่วยลดอาการปวดเรื้อรัง เสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ทำงานดีขึ้น เรียกได้ว่า Ondamed ฟื้นฟูสุขภาพ สามารถวินิจฉัย และรักษาได้ในเครื่องเดียว

                    เทคนิคการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงานต่ำ Ultra Low Power ของ Ondamed จะใช้หลักการที่ว่าเซลล์ภายในร่างกายนั้นประกอบด้วยประจุไฟฟ้า การส่งคลื่นไฟฟ้าไปทั่วร่างกายจะทำให้เกิดการรับรู้การตอบสนองของร่างกาย (BiofeedbackMethod) โดย Ondamed จะสามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกหลังทำ และจะเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนมากขึ้นในครั้งที่ 3 โดยทั่วไปแล้วควรทำ Ondamed 5-10 ครั้ง หรือรับการฟื้นฟูสุขภาพสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะทำให้ได้ผลดีในระยะยาว ทั้งนี้ผลลัพธ์นั้นจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                    Ondamed ฟื้นฟูสุขภาพ นั้นนับเป็นเครื่อง EMP therapy ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีการใช้หลักการคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามาใช้ในการวินิจฉัยและรักษา โดยแต่ละเนื้อเยื่อ หรือเซลล์แต่ละเซลล์นั้นจะมีค่าความถี่จําเพาะเจาะจง การใช้ Ondamed คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าระดับอ่อน จะช่วยให้สามารถแปลค่าความถี่ออกมา เพื่อหาความผิดปกติของเซลล์ในแต่ละที่ได้ ทั้งนี้ในขณะเดียวกัน Ondamed ก็จะส่งคลื่นที่มีความเหมาะสม เพื่อเข้าไปรักษาและซ่อมแซมเซลล์ที่มีความผิดปกติ และ Ondamed ยังช่วยฟื้นฟูสุขภาพ กระตุ้นให้พลังงานภายในร่างกายกลับมาสมดุลอีกครั้ง

                    EMP therapy คืออะไร

                    Ondamed เทคโนโลยีฟื้นฟูสุขภาพเป็น คือ เครื่อง EMP therapy (Electro Magnetic Pulse Therapy) ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ (energy medicine) ที่มีการใช้หลักการทางควอนตัมฟิสิกส์ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic) มาใช้ในการคำนวณค่าต่าง ๆ โดยผลิตจากประเทศเยอรมนี นอกจากเครื่อง Ondamed ฟื้นฟูสุขภาพ แล้วยังมีอีกหลายเครื่องที่ใช้หลักการทางด้านชีวฟิสิกส์ หรือไฟฟ้ามาใช้ในการรักษาโรค เช่น EKG การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ, EEG การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง และ Pace Maker เครื่องกระตุ้นการทำงานของหัวใจด้วยไฟฟ้า ที่มักใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจ

                    การเลือกใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าใน Ondamed ฟื้นฟูสุขภาพ เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจัดเป็นคลื่นที่มีการไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเรา เพื่อให้เกิดสมดุลของพลังงาน และมีความถี่เฉพาะตัว หากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในร่างกายถูกรบกวนไม่ว่าจุดใดจุดหนึ่ง อาจจะทำให้ร่างกายขาดสมดุลและร่างกายเกิดความผิดปกติได้ เช่น ภาวะเจ็บป่วย การอักเสบ ความเครียด สารพิษ จะส่งผลถึงการสะดุด นอกจากนี้อาจจะทำให้เซลล์หรือการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายผิดปก และเกิดความเสื่อมได้ ทำให้ Ondamed เป็นเครื่องที่จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพได้

                    โรคเรื้อรังกำลังคุกคามสุขภาพหรือไม่
                    โรคเรื้อรังกำลังคุกคามสุขภาพหรือไม่

                    โรคเรื้อรัง กำลังคุกคามสุขภาพหรือไม่?

                    อาการป่วยที่หลายคนมักเป็น และหาสาเหตุไม่ได้ มีหลายโรคที่มักเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับผู้ที่มีสุขภาพอ่อนแอ ผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน ที่มักจะละเลยปัญหาสุขภาพทำให้เกิดเป็นโรคเรื้อรัง รักษายาก หรือหาสาเหตุไม่ได้ ซึ่งโรคเหล่านี้เป็นโรคที่อาจจะไม่ได้มีความร้ายแรงต่อชีวิต แต่ก็กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคน โดยกลุ่มอาการที่มักพบ มีดังนี้

                    อาการปวดเรื้อรัง

                    อาการปวดเรื้อรัง หรือ Fibromyalgia (ไฟโบรมัยอัลเจีย) เป็นโรคที่เกิดอาการปวดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ และมีความเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง อาการปวดจะค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเมื่อทำกิจกรรมที่หนัก หรือมีความเครียดสะสม ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นอาการที่มีมายาวนาน หรืออาการเรื้อรัง ที่หาสาเหตุได้ยาก และมักจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยอย่างมาก

                    ภูมิแพ้

                    ภูมิแพ้ คือ ภาวะที่ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารที่ปกติไม่ก่อให้เกิดอันตราย ไม่ว่าจะเป็น การสัมผัส การรับประทาน หรือการสูดดม เช่น ไรฝุ่น ละอองเกสร อาหาร หรือขนสัตว์ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายหลั่งสารฮิสตามีนออกมา จนเกิดอาการคัดจมูก จาม คันจมูก คันตา ผื่น ลมพิษ ท้องเสีย อาเจียน เป็นต้น โดยอาการของโรคภูมิแพ้สามารถเกิดขึ้นได้กับหลายอวัยวะในร่างกาย เช่น ระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง และระบบทางเดินอาหาร เป็นอีกหนึ่งโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในประจำวัน

                    ปลายประสาทอักเสบ

                    อาการปลายประสาทอักเสบ (Peripheral Neuropathy) คือ โรคที่เกี่ยวกับระบบประสาทส่วนปลาย ที่อยู่นอกสมองและไขสันหลังเกิดความเสียหายหรือผิดปกติ ส่งผลให้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทำงานผิดปกติ เช่น มือ เท้า หรืออวัยวะภายใน โดยอาการของปลายประสาทอักเสบของแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันไป เช่น อาการเหน็บชา ความรู้สึกไวต่อการสัมผัสมากขึ้น ปวดแสบปวดร้อน อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เดินเซ หรือปัสสาวะเล็ด

                    ปัญหาการนอนหลับ

                    ปัญหาการนอนหลับ เกิดได้จากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็น สุขภาพกาย สุขภาพใจ หรือปัจจัยสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาการนอนไม่หลับ หลับยาก ตื่นกลางดึก หรือตื่นเช้าแต่รู้สึกไม่สดชื่น จะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก เพราะอาจทำให้เกิดอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียว ขาดสมาธิ หรือร่างกายอ่อนล้า ระหว่างวันได้

                    ซึ่งเหล่าอาการโรคเรื้อรังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น โดยส่วนมากแล้วหากเข้ารับการรักษากับแพทย์อาจจะเป็นการรักษาตามอาการ ไม่สามารถหาสาเหตุได้ แต่การฟื้นฟูสุขภาพกับเวชศาสตร์ชะลอวัยนั้น จะมีการใช้เครื่องมือทางการแพทย์ในการช่วยหาสาเหตุ และรักษาได้อย่างถูกจุด อย่าง Ondamed ที่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพได้ลึกถึงระดับเซลล์

                     

                    Ondamed ทำงานอย่างไร
                    Ondamed ทำงานอย่างไร

                    Ondamed ทำงานอย่างไร?

                    หลักการทำงานของเครื่อง Ondamed ฟื้นฟูสุขภาพ นั้นจะใช้หลักการเดียวกันกับเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG), การตรวจคลื่นไฟฟ้าของสมอง (EEG) หรือการใส่เครื่อง pace maker โดย Ondamed จะใช้หลักการทางควอนตัมฟิสิกส์ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic) ด้านไฟฟ้า พลังงาน หรือชีวฟิสิกส์ มาใช้วินิจฉัยโรค และใช้ในการรักษา

                    โดยเครื่อง Ondamed จะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงานต่ำ Ultra Low Power สแกนร่างกายเพื่อหาความผิดปกติของเซลล์ในร่างกาย โดยเซลล์ที่ทำงานผิดปกติจะส่งคลื่นสัญญาณออกมา และตัวเครื่อง Ondamed จะทำการฟื้นฟูสุขภาพโดยส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอ่อน ๆ ในคลื่นความถี่หนึ่งเข้าไปยังเซลล์ที่ทำงานผิดปกติ เพื่อช่วยให้กระตุ้นให้เซลล์นั้นเกิดการซ่อมแซมและรักษาตัวเอง ซึ่งคลื่นความถี่ที่ใช้ในการฟื้นฟูสุขภาพแต่ละบริเวณนั้นจะใช้คลื่นที่มีความถี่เฉพาะแตกต่างกันไป แพทย์จะดูการตอบสนองผลการรักษาจากชีพจรที่มือของคนไข้ (Pulse biofeedback) ว่าคนไข้นั้นจะตอบสนองต่อความถี่ค่าใดมากที่สุด

                    Ondamed ฟื้นฟูสุขภาพ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ให้ซ่อมแซมตัวเองได้แล้วนั้น ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ทำงานดีขึ้น นอกจากนี้ Ondamed ยังสามารถช่วยหาภาวะการติดเชื้อที่ซ่อนตัวอยู่ภายในร่างกายได้อีกด้วย เช่น การติดเชื้อจากแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา หรือพยาธิ

                    ประโยชน์ของการฟื้นฟูสุขภาพด้วย Ondamed

                    • Ondamed ช่วยเข้าไปเร่งกระบวนการสร้างเซลล์กระดูกใหม่ในร่างกาย และช่วยลดอาการปวดในผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุน กระดูกหัก หรือมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกได้
                    • Ondamed ช่วยปรับสมดุลของการทำงานภายในเซลล์ให้เป็นปกติ ในผู้ที่มีภาวะหมดประจําเดือน มีอาการอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ ทำให้ร่างกายอ่อนล้า
                    • Ondamed ช่วยลดอาการปวดในบริเวณกล้ามเนื้อ เอ็นอักเสบ เส้นประสาท และอาการปวดเรื้อรังไฟโบรมัยอัลเจีย หรืออาการปวดตามตัวเรื้อรัง โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า ไหล่ หัว และหลัง
                    • Ondamed ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และเสริมความแข็งแรงในร่างกายจากภาวะเรื้อรังของ Long Covid ทำให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้น
                    • Ondamed ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ Ondamed ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาทางการแพทย์ให้ดีมากขึ้น ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้ดีขึ้น
                    • Ondamed ช่วยลดภาวะการอักเสบของร่างกายจากสารอนุมูลอิสระ และมลภาวะที่เป็นพิษที่มากเกินไป และ Ondamed ช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย ทำให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้ดีขึ้น
                    • Ondamed ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคมะเร็ง หรือมีร่างกายที่อ่อนแอ

                    Ondamed ฟื้นฟูสุขภาพ เหมาะกับใคร

                    การฟื้นฟูสุขภาพด้วย Ondamed สามารถทำได้กับทุกคน ทั้งผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ดังนี้

                    • Ondamed เหมาะกับ ผู้ที่ป่วยเกี่ยวกับโรคระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
                    • Ondamed เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง ผมไม่แข็งแรง
                    • Ondamed เหมาะกับ ผู้ที่ป่วยเป็นลมพิษเรื้อรัง
                    • Ondamed เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับ จากความเครียด หรือโรคเรื้อรัง
                    • Ondamed เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาโรคออฟฟิศซินโดรม มีอาการบริเวณปวดคอ บ่า ไหล่ และหลัง
                    • Ondamed เหมาะกับ ผู้ที่ป่วยโรคไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) หรืออาการปวดเรื้อรังที่หาสาเหตุไม่ได้
                    • Ondamed เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือดและน้ำเหลืองที่ไหลเวียนได้ไม่ดี
                    • Ondamed เหมาะกับ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ภูมิแพ้ ปลายประสาทอักเสบ
                    • Ondamed เหมาะกับ ผู้ที่กำลังพักฟื้นจากการผ่าตัด ต้องการให้ร่างกายฟื้นตัวได้ไวขึ้น
                    • Ondamed เหมาะกับ ผู้ที่ได้รับการฉายแสงและให้เคมีบำบัด
                    • Ondamed เหมาะกับ ผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาสุขภาพ แต่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพ กระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันในร่างกาย
                    • Ondamed เหมาะกับ ผู้ที่มีความเหนื่อยล้าสะสม มีความเครียด ต้องการเพิ่มพลังให้ร่างกายสดชื่นขึ้น
                    • Ondamed เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับภาวะเรื้อรังของ Long Covid ช่วยฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแรง
                    • Ondamed เหมาะกับ ผู้ที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน มีอารมณ์แปรปรวน ร่างกายอ่อนล้า

                    Ondamed ไม่เหมาะกับใคร?

                    ถึงแม้ว่า Ondamed จะเป็นการฟื้นฟูสุขภาพที่มีความปลอดภัยสูง แต่อย่างไรก็ตามก็อาจจะมีข้อควรระวังสำหรับบางกลุ่มที่อาจจะเกิดความเสี่ยงในการฟื้นฟูสุขภาพด้วย Ondamed ได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะ ดังต่อไปนี้

                    • Ondamed ไม่เหมาะกับ ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ Pace Maker ไม่ควรทำ Ondamed เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อาจรบกวนการทำงานของเครื่องกระตุ้นหัวใจได้
                    • Ondamed ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีโลหะฝังในร่างกาย เช่น เฝือกโลหะ แผ่นเหล็ก หรือคลิปหนีบหลอดเลือด อาจได้รับผลกระทบจากคลื่นพลังงานแม่เหล็กของ Ondamed ได้
                    • Ondamed ไม่เหมาะกับ หญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตร การใช้เครื่อง Ondamed อาจจะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้ หากต้องการที่จะทำ Ondamed ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ
                    • Ondamed ไม่เหมาะกับ ผู้ป่วยมะเร็งบางชนิด อาจจะมีความไวต่อพลังงานแม่เหล็กมากกว่าคนทั่วไป การทำ Ondamed อาจจะเสี่ยงอันตรายได้
                    • Ondamed ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคตับ หรือโรคมะเร็ง
                    • Ondamed ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีแผลเปิดหรืออักเสบบริเวณที่ต้องการทำ Ondamed ซึ่งอาจจะทำให้แผลเกิดการอักเสบได้

                    ทั้งนี้สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวัง หากต้องการทำ Ondamed ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพร่างกาย ประเมินความเสี่ยง ก่อนที่จะเข้ารับบริการ Ondamed

                     

                    Ondamed ทำงานอย่างไร
                    Ondamed ทำงานอย่างไร

                     

                    Ondamed ฟื้นฟูสุขภาพ ช่วยบรรเทาอาการใดได้บ้าง

                    • Ondamed ช่วยบรรเทาโรคไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) หรืออาการปวดเรื้อรังที่หาสาเหตุไม่ได้
                    • Ondamed ช่วยบรรเทาโรคภูมิแพ้
                    • Ondamed ช่วยบรรเทาโรคปลายประสาทอักเสบ (Neuropathy)
                    • Ondamed ช่วยบรรเทาโรคกระดูกพรุน หรือคนที่มีปัญหากระดูกหัก
                    • Ondamed ช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับสมอง เช่น หลอดเลือดในสมองตีบ โรคพาร์กินสัน หรืออาการบาดเจ็บของสมองอื่น ๆ
                    • Ondamed ช่วยบรรเทาโรคข้อเสื่อมและข้ออักเสบ เช่น ข้อเข่าเสื่อม รูมาตอยด์
                    • Ondamed ช่วยบรรเทาภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ที่ทำให้เกิดการปวดเรื้อรัง
                    • Ondamed ช่วยบรรเทาภาวะนอนไม่หลับ ที่เกิดจากการเครียด ช่วยปรับคลื่นสมองให้มีความผ่อนคลาย หลับสบายขึ้น
                    • Ondamed ช่วยบรรเทาภาวะการอักเสบในร่างกาย เช่น กล้ามเนื้ออักเสบ เอ็นอักเสบ เส้นประสาทอักเสบ
                    • Ondamed ช่วยบรรเทาผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง Ondamed จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และช่วยฟื้นฟูร่างกายได้
                    • Ondamed ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาทางการแพทย์ Ondamed ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์และระบบของร่างกาย ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น
                    • Ondamed ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย ขจัดสารพิษ (detoxification) และลดภาวะการอักเสบที่ร่างกายได้รับสารอนุมูลอิสระมากเกินไป
                    • Ondamed ช่วยบรรเทากลุ่มผู้ที่มีอาการด้านจิตใจและอารมณ์ เช่น อาการซึมเศร้า เครียด สมาธิสั้น อารมณ์ฉุนเฉียว

                    ขั้นตอนการเข้ารับการฟื้นฟูสุขภาพด้วย Ondamed

                    การฟื้นฟูสุขภาพด้วย Ondamed เป็นกระบวนการที่สะดวกสบาย สามารถทำได้ในระยะเวลาที่สั้น เป็นการฟื้นฟูสุขภาพผ่านพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บตัว จึงทำให้มีความปลอดภัยสูง ไม่ต้องมีการเตรียมตัวที่ยุ่งยาก โดยการฟื้นฟูสุขภาพด้วย Ondamed มีขั้นตอนดังนี้

                    • ก่อนเข้ารับการฟื้นฟูสุขภาพ Ondamed ปรึกษาแพทย์ แจ้งประวัติสุขภาพ อาการป่วยที่เป็นอยู่ และเป้าหมายในการฟื้นฟูสุขภาพกับแพทย์ให้ละเอียด จากนั้นแพทย์จะทำการตรวจร่างกายเบื้องต้น เพื่อทำการประเมินสภาพร่างกายก่อนเริ่มทำการสแกน
                    • เข้ารับการฟื้นฟูสุขภาพด้วยเครื่อง Ondamed โดยแพทย์จะทำการจะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่เฉพาะเข้าสู่ร่างกายและวิเคราะห์ เพื่อหาเซลล์ที่ทำงานผิดปกติ และกระตุ้นให้เซลล์นั้นซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเอง โดยการฟื้นฟูสุขภาพด้วยเครื่อง Ondamed จะใช้ระยะเวลาประมาณ 30-45 นาที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาสุขภาพของแต่ละบุคคล
                    • ผลลัพธ์ในการทำ Ondamed นั้นจะขึ้นอยู่กับปัญหาสุขภาพ ระยะเวลาในการทำอย่างต่อเนื่อง การฟื้นฟูสุขภาพด้วย Ondamed นั้นเป็นการฟื้นฟูสุขภาพที่ครอบคลุมและตรงจุด Ondamed ใช้เวลาน้อย ไม่ต้องผ่าตัด ทั้งยังมีความสะดวกสบาย ทำให้เวลาพักฟื้นน้อย และสามารถเริ่มเห็นผลได้เลยตั้งแต่ครั้งแรก ระหว่างการฟื้นฟูสุขภาพด้วย Ondamed ไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือ เนื่องจากคลื่นอาจจะไปรบกวนกันได้

                    ผลข้างเคียงของ Ondamed

                    โดยทั่วไปแล้ว การฟื้นฟูสุขภาพด้วย Ondamed ถือว่ามีความปลอดภัยสูงและมีผลข้างเคียงน้อย เนื่องจาก Ondamed เป็นการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงานต่ำ เพื่อกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ ทำให้ Ondamed เกิดผลข้างเคียงหลังทำที่น้อย เช่น

                    • หลังทำ Ondamed ในบางคนอาจจะเกิดอาการง่วงซึม เนื่องจากร่างกายกำลังปรับตัวกับการฟื้นฟูสุขภาพ
                    • หลังทำ Ondamed อาจจะเกิดอาการคลื่นไส้ หรืออาเจียนได้ในบางคน
                    • หลังทำ Ondamed อาจจะเกิดการปวดศีรษะเล็กน้อย จากคลื่นพลังงานแม่เหล็ก

                    อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะเกิดหลังจากการทำ Ondamed ในระยะเวลาสั้น ๆ และหายไปได้เอง หากใครที่มีอาการดังกล่าวเป็นเวลานาน อาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย ควรเข้าพบแพทย์ทันที

                     

                    Ondamed ทำบ่อยแค่ไหนถึงจะเห็นผล
                    Ondamed ทำบ่อยแค่ไหนถึงจะเห็นผล

                     

                    ต้องทำ Ondamed บ่อยแค่ไหนถึงเห็นผล?

                    • ต้องทำ Ondamed บ่อยแค่ไหนถึงเห็นผล? เป็นคำถามที่หลายคนอาจจะกำลังสงสัย ซึ่งการทำ Ondamed ฟื้นฟูสุขภาพ ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีนั้น โดยส่วนมากจะทำประมาณ 15-20 ครั้ง จะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงหลังจากทำต่อเนื่องประมาณ 3-5 ครั้ง
                    • ซึ่ง Ondamed สามารถทำได้ทุกสัปดาห์เนื่องจากเป็นพลังงานคลื่นต่ำ ทั้งนี้ควรทำการฟื้นฟูสุขภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและยาวนาน ในส่วนของจำนวนครั้งและความถี่ในการฟื้นฟูสุขภาพด้วย Ondamed ของแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับปัญหาสุขภาพ สภาพร่างกาย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการฟื้นฟูสุขภาพได้อย่างตรงจุด

                    Ondamed สามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่นได้ไหม ?

                    • การฟื้นฟูสุขภาพด้วย ondamed เป็นการรักษาถึงต้นเหตุของปัญหาสุขภาพ คือ ระดับเซลล์ โดยใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคลื่นต่ำ กระตุ้นการทำงาน และซ่อมแซมเซลล์ ทำให้มีความปลอดภัย ไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ ไม่มีการใช้สารเคมี หรือยา ทำให้สามารถทำ Ondamed ร่วมกับการรักษาวิธีอื่น ๆ โดยไม่มีผลข้างเคียงที่อันตราย ทั้งนี้หากมีปัญหาสุขภาพที่ต้องการรักษาร่วมกับวิธีอื่น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษา

                    พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของ Ondamed ช่วยรักษาและฟื้นฟูสุขภาพ ได้อย่างไร?

                    • ทำความรู้จักกับ Ondamed เครื่องที่จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพด้วยพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ Pulsed Electromagnetic Field Therapy นั้นมีส่วนช่วยในการรักษา หรือฟื้นฟูสุขภาพกายและสุขภาพใจอย่างไร มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการทำงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าใน Ondamed เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจการทำงานของ Ondamed กับร่างกายได้มากขึ้น

                    พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า PEMF หรือ Pulsed Electromagnetic Field Therapy สามารถแบ่งออกไปเป็น 2 ประเภท ดังนี้

                    • คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบพลังงานสูง (High Power) เป็นพลังงานหนึ่งรูปแบบ มีพลังงานที่สูง นิยมใช้ในทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็น การรักษาทางกายภาพบำบัด ช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อ กระตุ้นการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อ หรือในด้านจิตเวชศาสตร์ ช่วยรักษาภาวะซึมเศร้า กระตุ้นสมอง เช่น เครื่อง Peripheral Magnetic Stimulation (PMS), เครื่อง Transcranial Magnetic Stimulation (TMS)
                    • คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบคลื่นพลังงานต่ำ (Ultra Low Power) เป็นคลื่นพลังงานที่มีความอ่อนมาก อยู่ในระดับที่สามารถทำงานร่วมกับเซลล์ได้ ทำให้มีความแม่นยำในการวินิจฉัย วิเคราะห์ความผิดปกติของเซลล์ เนื่องจากคลื่นมีค่าความถี่จำเพาะของแต่ละอวัยวะ ซึ่งคลื่นประเภทนี้จะแตกต่างจากคลื่นที่มีพลังงานสูง ที่ใช้ในการรักษาทางกายภาพ หรือรักษาภาวะซึมเศร้า โดยเครื่อง Ondamed ฟื้นฟูสุขภาพ นั้นจัดอยู่ในเครื่องที่ใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบคลื่นพลังงานต่ำ หรือ Ultra Low Power ที่สามารถช่วยหาเซลล์ที่มีการทำงานผิดปกติ และรักษาฟื้นฟูสุขภาพได้อย่างตรงจุด

                    การฟื้นฟูร่างกายด้วย ondamed เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าระดับอ่อน ในการวินิจฉัย หาสาเหตุของปัญหาสุขภาพลึกถึงระดับเซลล์ และยังส่งคลื่นพลังงานเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ให้ซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเองได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่ง ondamed นั้นสามารถแก้ปัญหาได้หลายโรคเรื้อรัง เช่น อาการปวดเรื้อรัง อาการนอนไม่หลับ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องพักฟื้น ทำให้สะดวกสบายขึ้น สำหรับท่านใดที่สนใจฟื้นฟูสุขภาพด้วย ondamed สามารถเข้ามาสอบถามปรึกษาได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา

                    หมูเด้งผิวแห้ง ไม่อยากผิวแห้งแตกลาย เหมือนน้องหมูเด้ง ทำอย่างไร

                    หมูเด้งผิวแห้ง เลิกผิวแห้ง แบบหมูเด้ง กู้ผิวฉ่ำ

                    หนาวนี้ ไม่อยากผิวแห้งแตกลาย เหมือนน้องหมูเด้ง ทำอย่างไรดี?

                     

                    เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ ซึ่งอากาศที่หนาวเย็นนั้น มักมาพร้อมกับปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ แต่ไม่ใช่แค่เราที่ต้องเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ ล่าสุดน้องหมูเด้ง ฮิปโปแคระตัวน้อย ประจำสวนสัตว์เปิดเขาเขียว สร้างตำนานไม่หยุด เมื่อทางเพจ ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง ได้ออกมาเผยแพร่ภาพ น้องหมูเด้งลุคใหม่ ที่กำลังประสบปัญหาผิวแห้ง แตกลายไปทั้งตัว จากที่เคยผิวฉ่ำวาว อิ่มน้ำ กลาสสกิน กลับกลายเป็นผิวแห้งตึงอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาแฟนคลับต่างพากันคอมเมนต์ และเอ็นดูน้องหมูเด้งไม่ไหว จนเป็นไวรัลไปทั่วโซเชียล 

                    วันนี้ รมย์รวินท์ ขอนำเสนอ 2 โปรแกรมกู้ผิวฉ่ำเด้งเร่งด่วน บอกลาปัญหาผิวแห้งแตกลาย พร้อมทวงผิวสวยให้ดูออร่าพุ่งแบบ น้องหมูเด้ง อีกครั้ง แต่จะมีหัตถการอะไรบ้างนั้น บทความนี้ มัดรวมคำตอบมาให้แล้วค่ะ

                    หมูเด้งผิวแห้ง เลิกผิวแห้งแบบหมูเด้ง 

                     

                    เลิกผิวแห้ง แบบหมูเด้ง กู้ผิวฉ่ำ
                    เลิกผิวแห้งแบบหมูเด้ง ทางลัดกู้ผิวฉ่ำ

                    ทางลัดกู้ผิวฉ่ำ จบปัญหาผิวแห้งแตกลาย แบบน้องหมูเด้ง

                     

                    ผิวแห้ง คืออะไร?

                    ผิวแห้ง (Dry Skin) คือ สภาพผิวที่ขาดความสมดุล มีน้ำมันผลิตออกมาน้อยกว่าปกติ ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น เกิดอาการแห้งตึง ลอกเป็นขุย หรือแตกเป็นร่อง ซึ่งโดยปกติแล้ว ผิวของเราจะมีการผลิตน้ำมันออกมา เพื่อรักษาความชุ่มชื้นใต้ชั้นผิว แต่เมื่อน้ำมันผลิตออกมาไม่เพียงพอ หรือลดน้อยลง ผิวจึงเริ่มสูญเสียน้ำ จนเกิดปัญหาผิวแห้งกร้านได้

                     

                    ปัจจัยที่ทำให้ผิวแห้ง

                    ผิวแห้งกร้าน สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ได้แก่

                    อายุมากขึ้น

                    • เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายของเราจึงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง และเสื่อมสภาพลง ทำให้ต่อมไขมันที่ผลิตน้ำมันหล่อเลี้ยงผิว ทำงานลดลง ส่งผลให้ผิวสูญเสียความสมดุล จนขาดความชุ่มชื้น แห้ง ตึงในที่สุด

                    พันธุกรรม

                    • พันธุกรรมมีส่วนสำคัญในการกำหนดสภาพผิวของเรา ผู้ที่เป็นโรคบางชนิดที่ส่งผลให้ผิวแห้งจากพันธุกรรม  เช่น โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) หรือ ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis)

                    ฮอร์โมน

                    • การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย สามารถทำให้ผิวแห้งกร้านได้ โดยเฉพาะในช่วงวัยหมดประจำเดือน ช่วงตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง ส่งผลให้ผิวสูญเสียน้ำ และขาดความชุ่มชื้น

                    ขาดวิตามิน และแร่ธาตุ

                    • วิตามิน และแร่ธาตุ มีบทบาทสำคัญในการรักษาความชุ่มชื้น และซ่อมแซมเซลล์ผิว หากร่างกายได้รับวิตามิน และแร่ธาตุไม่เพียงพอ โดยเฉพาะวิตามิน A, C, E และซิงค์ อาจทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น และแห้งกร้านได้ง่าย

                    สภาพอากาศ

                    • สภาพอากาศส่งผลกระทบต่อสภาพผิวอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศหนาว และอากาศแห้ง อุณหภูมิมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย ยิ่งทำให้ผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ และระคายเคืองได้ง่ายมากขึ้น

                    ทำความสะอาดผิวบ่อย

                    • การทำความสะอาดผิวบ่อย หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารเคมีที่รุนแรง อาจทำให้ผิวแห้ง และระคายเคืองได้

                    2 โปรแกรมฮิต เปลี่ยนผิวแห้ง ให้กลับมาฉ่ำเด้งที่ รมย์รวินท์

                    Rejuran

                    • Rejuran คือ Skin Booster ที่จัดอยู่ในกลุ่มฉีดหน้าใส มีส่วนประกอบของ โพลีนิวคลีโอไทด์ (Polynucleotide) ที่สกัดจาก DNA ของปลาแซลมอนในทะเลธรรมชาติ ซึ่งมีความใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์ถึง 98% ผ่านเทคโนโลยีที่จดสิทธิบัตรเฉพาะของ Rejuran ที่มีชื่อเรียกว่า DOT™ โดยสามารถนำมาฉีดเข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) ได้โดยตรง เพื่อฟื้นฟู และซ่อมแซมผิวที่เสื่อมสภาพ ให้กลับมาแข็งแรงจากภายใน พร้อมกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว รวมถึง ปรับปรุงคุณภาพผิว ให้ผิวฉ่ำวาว อิ่มน้ำแบบเร่งด่วน
                    • Rejuran เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ ผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส และผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง มีหลุมสิว ผิวไม่เรียบเนียน ต้องการฟื้นฟูผิวแบบเร่งด่วน
                    • ผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด Rejuran คือ ผิวชุ่มชื้น ฉ่ำวาว กระจ่างใส พร้อมลดการอักเสบของผิว และลดเลือนรอยแดง ให้สีผิวดูสม่ำเสมอ ผิวเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

                    Revive

                    • Revive คือ Skin Booster ที่จัดอยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์งานผิว มีส่วนประกอบหลักของ Hyaluronic Acid (HA) และ Glycerol ผ่านเทคโนโลยีการผลิตลิขสิทธิ์เฉพาะของ Belotero ที่มีชื่อเรียกว่า CPM (Cohesive Polydensified Matrix) ทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีลักษณะเป็นเนื้อเจลละเอียด เรียบเนียน สามารถกลมกลืนกับผิวของเราได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ไหลไม่เป็นก้อนง่าย โดยสามารถนำมาฉีดเข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) เพื่อฟื้นฟู และปรับปรุงคุณภาพผิวจากภายใน สามารถกักเก็บน้ำได้มากถึง 1,000 เท่า ทำให้ผิวชุ่มชื้น ฉ่ำเด้ง พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวมีความกระชับ ยืดหยุ่นอย่างมีประสิทธิภาพ
                    • Revive เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น มีริ้วรอยร่องตื้น ผิวหน้าขาดความยืดหยุ่น และมีปัญหาผิวโทรม ไม่สดใส แต่งหน้าไม่ติด
                    • ผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด Revive คือ ฟื้นฟูผิวได้ถึง 4 มิติ ได้แก่ Skin Firmness ผิวมีความยืดหยุ่น เฟิร์มกระชับ, Skin Hydration ผิวมีความชุ่มชื้น, Skin Glow ผิวมีความฉ่ำวาว อิ่มน้ำ และ Skin Tone Evenness สีผิวสม่ำเสมอ มีความกระจ่างใส

                     

                    สัมผัสงานผิวฉ่ำเด้งได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา

                    สำหรับใครที่มีผิวไม่ชุ่มชื้น แห้งลอก อย่าปล่อยให้ผิวแห้งแตกลาย แบบน้องหมูเด้งไปมากกว่านี้ ต้องรีบดูแลผิวด่วนที่ รมย์รวินท์คลินิก เรามีทีมแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญ สามารถประเมินสภาพผิวหน้า และออกแบบการรักษาให้ตรงกับปัญหาได้อย่างเหมาะสม ตอบโจทย์สำหรับทุกปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวโทรม ผิวแห้ง หรือผิวขาดน้ำ ให้ผิวของคุณกลับมาชุ่มชื้น ผิวฉ่ำวาว ดูเปล่งปลั่งอีกครั้ง ไม่ต้องกังวลเรื่องผิวแห้งแตกลายอีกต่อไป

                    Belotero Filler รู้ลึกก่อนฉีด แต่ละสีต่างกันอย่างไร?

                    BELOTERO FILLER

                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                      วันที่สะดวกในการติดต่อ








                      Belotero Filler รู้ลึกก่อนฉีด แต่ละสีต่างกันอย่างไร?

                      เคยสังเกตตัวเองกันไหมว่า พออายุเริ่มมากขึ้น มักมาพร้อมกับปัญหาผิวหน้าสารพัด เช่น มีริ้วรอย ร่องลึก ใบหน้าดูโทรม ไม่อวบอิ่ม มีปัญหาผิวแห้งกร้าน และกระดูกเริ่มทรุดตัวลง ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้หน้าเราดูแก่กว่าวัย แต่ยังส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ ในการใช้ชีวิตประจำวันอีกด้วย

                      แน่นอนว่าปัญหาเหล่านี้คงไม่สามารถหมดไปง่าย ๆ การใช้แค่ครีมบำรุงทั่วไปอาจไม่เพียงพอ ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์ ถือเป็นทางออก! ที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาริ้วรอย ร่องลึก ผิวขาดน้ำ ต้องการปรับรูปหน้า และยกกระชับผิว

                      วันนี้ รมย์รวินท์ ขอพาไปทำความรู้จักกับBelotero Filler ซึ่งเป็นแบรนด์ฟิลเลอร์คุณภาพสูง ที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในขณะนี้ หลาย ๆ คนคงเคยเห็นและได้ยินชื่อฟิลเลอร์ยี่ห้อนี้กันมาบ้างแล้ว แต่อาจยังไม่รู้แบบเจาะลึกว่า Belotero Filler ดีอย่างไร? ทำไมถึงต่างจากยี่ห้ออื่น? มีจุดเด่นและข้อดีอย่างไร? สามารถอ่านบทความนี้ได้เลยค่ะ

                      Belotero Filler ดีอย่างไร? มีกี่รุ่น? แต่ละรุ่นเหมาะกับใคร?

                      Belotero Filler คืออะไร?

                      Belotero Filler เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์ชั้นนำจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถูกนำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการโดยบริษัท Merz Aesthetic Thailand รวมถึง ผ่านการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องจาก อย. ไทย และ อเมริกา ซึ่งBelotero Filler มีความโดดเด่นแตกต่างจากยี่ห้ออื่น ๆ ตรงที่กล่องของฟิลเลอร์แต่ละรุ่น จะมีสีสันที่สดใส มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้Belotero Filler มีชื่อเรียกอีกหนึ่งชื่อว่า Colorful Filler

                      อีกทั้ง Belotero Filler ยังเป็นฟิลเลอร์ที่ผลิตจากสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA) เหมือนกับฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ ซึ่งสาร HA เป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกายของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผิวหนัง มีหน้าที่หลักในการดูดซึมและอุ้มน้ำไว้ในผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น ดูอิ่มฟู มีความยืดหยุ่น พร้อมเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีหลากหลายรุ่นให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมในแต่ละบริเวณ

                       

                      BELOTERO FILLER
                      จุดเด่นของ BELOTERO FILLER

                      Belotero Filler มีจุดเด่นอย่างไร?

                      Belotero Filler มีจุดเด่น คือ เทคโนโลยีการผลิตอย่าง CPM Technology (Cohesive Polydensified Matrix) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จดสิทธิบัตรเฉพาะของBelotero Filler เท่านั้น โดยเทคโนโลยีนี้ช่วยให้โครงสร้างโมเลกุลของ HA มีความยืดหยุ่นสูง แต่ยังคงรูปได้ดี ทำให้ฟิลเลอร์ยึดเกาะแนบแน่นกันเป็นเนื้อเดียว เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวหน้าแล้ว จะให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เรียบเนียนไปกับผิว ไม่ไหล ไม่จับตัวเป็นก้อนได้ง่าย โดยมี 3 คุณสมบัติเด่น ดังนี้

                      1. Cohesivity มีความสามารถ ทำให้เนื้อฟิลเลอร์ยึดเกาะกันอย่างแน่นหนา คงรูปได้ดี ไม่กระจายตัวและไม่เคลื่อนที่ไปในบริเวณอื่นได้ง่าย ช่วยให้ผลลัพธ์หลังฉีด มีความแม่นยำและคงรูปได้ตามที่แพทย์ออกแบบไว้
                      2. Elasticity มีความสามารถ ทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่น เคลื่อนไหวใบหน้าได้อย่างอิสระ แสดงสีหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่แข็งทื่อ ไม่ไหลไปยังบริเวณอื่น
                      3. Plasticity มีความสามารถ ทำให้เนื้อฟิลเลอร์ปรับรูปทรงได้ตามความต้องการ ปั้นทรงได้ง่าย เข้ากับบริเวณที่ฉีดได้ดี 

                       

                      BELOTERO FILLER
                      ผลลัพธ์ของ BELOTERO FILLER

                      Belotero Filler มีกี่รุ่น? แต่ละรุ่นต่างกันอย่างไร?

                      ปัจจุบันBelotero Filler มีทั้งหมด 6 รุ่น ซึ่งแต่ละรุ่นถูกออกแบบมา เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน โดยสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับสภาพผิว และความต้องการของแต่ละบุคคล

                      Belotero Soft

                      • Belotero Soft เป็นฟิลเลอร์รุ่นกล่องสีเหลือง เนื้อฟิลเลอร์มีความนิ่มมากที่สุด มีโมเลกุลขนาดเล็กและมีความละเอียดสูง สามารถกลมกลืนกับผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ
                      • Belotero Soft เหมาะสำหรับ การเติมเต็มและเก็บรายละเอียดริ้วรอยตื้น ๆ พร้อมกระชับรูขุมขน และปรับผิวให้เรียบเนียนในบริเวณต่าง ๆ เช่น รอบดวงตา หน้าผาก
                      • Belotero Soft สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 6 – 12 เดือน

                      Belotero Balance

                      • Belotero Balance เป็นฟิลเลอร์รุ่นกล่องสีส้ม เนื้อฟิลเลอร์มีความนิ่มปานกลาง หนากว่า Belotero Soft เล็กน้อย
                      • Belotero Balance เหมาะสำหรับ การเติมเต็มร่องลึกปานกลาง เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม หรือแก้ไขปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า รวมถึง หลุมสิวตื้น ๆ ทำให้ใบหน้าดูอิ่มฟูอย่างเป็นธรรมชาติ
                      • Belotero Balance สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 12 – 18 เดือน

                      Belotero Intense

                      • Belotero Intense เป็นฟิลเลอร์รุ่นกล่องสีชมพู เนื้อฟิลเลอร์มีความหนาแน่นและยืดหยุ่นสูงกว่า Belotero Volume เล็กน้อย สามารถคงรูปได้ดี ปั้นขึ้นทรงได้ง่าย นิยมใช้ในบริเวณที่มีการขยับบ่อย ๆ
                      • Belotero Intense เหมาะสำหรับ การเติมเต็มร่องลึก เพิ่มวอลุ่มให้กับใบหน้า พร้อมปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วนมากขึ้น เช่น ร่องแก้ม ขมับ แก้มตอบ และคาง
                      • Belotero Intense สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 18 เดือน

                      Belotero Volume

                      • Belotero Volume เป็นฟิลเลอร์รุ่นกล่องสีม่วง เนื้อฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นและคงตัวสูง รองลงมาจาก Belotero Intense สามารถยึดเกาะผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ ลดโอกาสในการเกิดเป็นก้อน
                      • Belotero Volume เหมาะสำหรับ การเติมเต็มร่องลึก เพิ่มวอลุ่ม เพิ่มมิติให้ใบหน้า แก้ไขใบหน้าตอบ ใช้ฉีดเสริมชั้นกระดูก ที่เกิดจากการทรุดตัวลงเมื่ออายุมากขึ้น เช่น ร่องแก้มลึก ขมับ คาง
                      • Belotero Volume สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 18 เดือน

                      Belotero Revive

                      • Belotero Revive เป็นฟิลเลอร์รุ่นกล่องสีเขียว ใหม่ล่าสุดจากแบรนด์ Belotero เนื้อฟิลเลอร์มีความละเอียด บางเบา และเรียบเนียนไปกับผิว ซึ่งเป็นฟิลเลอร์งานผิวตัวแรกของโลก ที่มีการผสมผสานระหว่าง HA และ Glycerol เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถปรับปรุงคุณภาพผิว พร้อมฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดดและมลภาวะต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                      • Belotero Revive เหมาะสำหรับ ผิวแห้ง เน้นฉีดงานผิว เติมเต็มความชุ่มชื้น สร้างผิวกระจก พร้อมปรับผิวเรียบเนียน และลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ เช่น รอบดวงตา คอ หลังมือ หรือฉีดทั่วใบหน้า
                      • Belotero Revive สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 6 – 9 เดือน

                      Belotero Lips

                      • Belotero Lips เป็นฟิลเลอร์รุ่นกล่องสีแดง ถูกออกแบบมาเพื่อฉีดริมฝีปากโดยเฉพาะ ซึ่งใน 1 เซ็ตจะประกอบไปด้วย 2 รุ่น ได้แก่ Belotero Lips – Shape และ Belotero Lips – Contour ซึ่งทั้ง 2 รุ่น มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการแก้ไขปัญหาริมฝีปากที่หลากหลาย
                      • Belotero Lips – Shape เหมาะสำหรับ เติมเต็มและเพิ่มวอลุ่มให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม ช่วยยกมุมปาก แก้ไขปัญหามุมปากตก ทำให้ใบหน้าดูละมุนมากขึ้น
                      • Belotero Lips – Contour เหมาะสำหรับ ปรับรูปทรงริมฝีปากให้คมชัด ทำให้ขอบปากชัดเจนขึ้น ริมฝีปากดูมีมิติ ได้รูปทรงปากตามที่ต้องการ
                      • Belotero Lips สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 9 – 12 เดือน

                       

                      Belotero Filler สามารถฉีดได้กี่จุด?

                      ฟิลเลอร์ใต้ตา

                      • Belotero Filler สามารถฉีดบริเวณใต้ตา เพื่อแก้ไขปัญหาใต้ตาคล้ำ เบ้าตาลึก ถุงใต้ตา หรือริ้วรอยรอบดวงตา โดยจะเติมเต็มร่องใต้ตา ทำให้ใต้ตาดูอิ่มฟูขึ้น ลดเลือนความหมองคล้ำใต้ตา และทำให้ใบหน้าดูสดใส ไม่โทรม

                      ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                      • Belotero Filler สามารถฉีดบริเวณร่องแก้ม เพื่อแก้ไขปัญหาร่องลึก ร่องแก้มชัด โดยจะเติมเต็มร่องแก้ม ทำให้ใบหน้าอิ่มฟู เรียบเนียน และดูอ่อนกว่าวัย

                      ฟิลเลอร์ริมฝีปาก

                      • Belotero Filler สามารถฉีดบริเวณริมฝีปาก เพื่อแก้ไขปัญหาริมฝีปากบาง ริมฝีปากแห้ง ริมฝีปากไม่เป็นทรง และมุมปากตก โดยจะเพิ่มวอลุ่มให้ริมฝีปาก ทำให้ริมฝีปากอวบอิ่ม มุมปากยกขึ้น ริมฝีปากเป็นทรงสวยงาม

                      ฟิลเลอร์ขมับ

                      • Belotero Filler สามารถฉีดบริเวณขมับ เพื่อแก้ไขปัญหาขมับตอบ ขมับยุบ โหนกแก้มชัด ใบหน้าดูแก่กว่าวัย โดยจะเติมเต็มขมับที่ยุบ ทำให้ขมับอิ่มฟู ปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนที่สมดุล

                      ฟิลเลอร์หน้าผาก

                      • Belotero Filler สามารถฉีดบริเวณหน้าผาก เพื่อแก้ไขปัญหาหน้าผากยุบ หน้าผากบุ๋ม หน้าผากนูน หน้าผากเป็นแอ่ง โดยจะเติมเต็มให้หน้าผากนูนสวย ดูมีมิติ ตามหลักโหงวเฮ้ง 

                      ฟิลเลอร์แก้มตอบ

                      • Belotero Filler สามารถฉีดบริเวณแก้มตอบ เพื่อแก้ไขปัญหาแก้มตอบ แก้มยุบ โหนกแก้มชัด ทำให้ใบหน้าดูดุ ดูโทรม และดูมีอายุ โดยจะเติมเต็มแก้มที่ยุบหายไปให้ดูอิ่มฟูขึ้น ปรับรูปหน้าให้สมส่วน มีความละมุนมากขึ้น

                      ฟิลเลอร์แก้มส้ม

                      • Belotero Filler สามารถฉีดบริเวณพวงแก้ม หรือตรงกึ่งกลางของใบหน้า (Midface Filler) เพื่อแก้ไขปัญหาร่องแก้ม หน้าแก้มแบน ร่องใต้ตาลึก โหนกแก้มสูง โดยจะเติมเต็มและยกกระชับให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ หน้าแก้มดูเต็ม ใบหน้าดูเด็กลง

                      ฟิลเลอร์คาง

                      • Belotero Filler สามารถฉีดบริเวณคาง เพื่อแก้ไขปัญหาคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม คางผิดรูป โดยจะเติมเต็มและปรับรูปทรงคางให้ยาวขึ้น คางได้รูปสวย ใบหน้าดูเรียว มีความสมดุลมากขึ้น

                      ฟิลเลอร์กรอบหน้า

                      • Belotero Filler สามารถฉีดบริเวณกรอบหน้า เพื่อแก้ไขปัญหาใบหน้าบาน ใบหน้ากลม สันกรามไม่ชัด หน้าไม่มีมิติ โดยจะปรับกรอบหน้าให้คมชัด ใบหน้ามีความวีเชฟ (V-Shape) มีมิติมากขึ้น

                      ฟิลเลอร์ทั่วหน้า

                      • Belotero Filler สามารถฉีดทั่วหน้า เพื่อปรับสภาพผิว (Skin Booster) แก้ไขปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ ลอกเป็นขุย มีรูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบเนียน รวมถึง มีปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ โดยจะเติมเต็มให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำ ฉ่ำวาว ทำให้ผิวดูสุขภาพดี รูขุมขนกระชับมากขึ้น 

                       

                      Belotero Filler เหมาะกับใครบ้าง?

                      • Belotero Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีริ้วรอยตื้น ๆ ไปจนถึงริ้วรอยร่องลึก 
                      • Belotero Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีรูปหน้าไม่ได้สัดส่วน ไม่มีความสมดุล 
                      • Belotero Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวหน้าไม่กระชับ
                      • Belotero Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหากระดูกทรุดตัวลงจากอายุที่มากขึ้น
                      • Belotero Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่อายุ 25 ปีขึ้นไป คอลลาเจนเริ่มเสื่อมสภาพลง 
                      • Belotero Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวแห้งกร้าน ผิวไม่ชุ่มชื้น แต่งหน้าไม่ติด
                      • Belotero Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเพิ่มวอลุ่ม เพิ่มความอวบอิ่มให้ผิว
                      • Belotero Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบเนียน
                      • Belotero Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่ใบหน้าดูโทรม ดูมีอายุ แก่กว่าวัย
                      • Belotero Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพผิว

                       

                      Belotero Filler ไม่เหมาะกับใครบ้าง?

                      • Belotero Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีการติดเชื้อในบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์ เช่น มีสิวอักเสบ ผื่น ลมพิษ หรือแผลเปิด
                      • Belotero Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังให้นมบุตรหรือกำลังตั้งครรภ์อยู่
                      • Belotero Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบในฟิลเลอร์ หรือแพ้สาร HA ในฟิลเลอร์
                      • Belotero Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย เลือดหยุดไหลยาก
                      • Belotero Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่รับประทานยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือดเป็นประจำ

                       

                      Belotero Filler มีข้อดีอย่างไร?

                      • Belotero Filler มีความปลอดภัยสูง ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก US FDA (อย.อเมริกา) และ TH FDA (อย.ไทย)
                      • Belotero Filler มีให้เลือกหลากหลายรุ่น เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกันได้อย่างตรงจุด
                      • Belotero Filler ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานถึง 18 เดือน เมื่อเทียบกับฟิลเลอร์บางยี่ห้อ จึงไม่ต้องมีการฉีดซ้ำบ่อย ๆ
                      • Belotero Filler สามารถสลายตัวได้ตามธรรมชาติ ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง หรืออาการแพ้ใด ๆ
                      • Belotero Filler สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังฉีด โดยไม่ต้องพักฟื้น
                      • Belotero Filler สามารถกระจายตัวได้ดี ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็ง ไม่เป็นก้อนง่าย

                       

                      ก่อนฉีด Belotero Filler ควรเตรียมตัวอย่างไร?

                      • ก่อนฉีดBelotero Filler งดรับประทานยากลุ่มต้านการอักเสบ หรือกลุ่มยาแอสไพริน อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                      • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Beloter งดรับประทานยาหรืออาหารเสริม ที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                      • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Beloter งดการสครับ ผลัดเซลล์ผิว หรือเลเซอร์ในบริเวณที่จะทำการฉีดฟิลเลอร์ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                      • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Beloter หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง 

                       

                      หลังฉีด Belotero Filler ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?

                      • หลังฉีดBelotero Filler หากมีอาการบวมช้ำ สามารถประคบเย็นเบา ๆ ในบริเวณที่ฉีด เพื่อลดอาการบวมช้ำได้
                      • หลังฉีดBelotero Filler หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า อย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
                      • หลังฉีดBelotero Filler หลีกเลี่ยงการนวด กด หรือสัมผัสในบริเวณที่ฉีด
                      • หลังฉีดBelotero Filler แนะนำให้นอนหนุนหมอนสูง ไม่ควรนอนตะแคง เพื่อลดอาการบวมช้ำ
                      • หลังฉีดBelotero Filler งดการออกกำลังกายหนัก หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก
                      • หลังฉีดBelotero Filler งดความร้อน หรืออยู่ท่ามกลางแสงแดดจัดเป็นเวลานาน เช่น ซาวน่า หรือการทำเลเซอร์
                      • หลังฉีดBelotero Filler ดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อลดอาการบวมช้ำ และเพิ่มประสิทธิภาพของเนื้อฟิลเลอร์ให้ฟูขึ้น
                      • หลังฉีดBelotero Filler หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันอาการบวมช้ำ และการอักเสบ
                      • หลังฉีดBelotero Filler หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นอาหารหวานจัด เค็มจัด หรือเผ็ดจัด เพื่อป้องกันการอักเสบ

                       

                      BELOTERO FILLER
                      ผลลัพธ์ของ BELOTERO FILLER

                      หลังฉีด Belotero Filler ผลลัพธ์เป็นอย่างไร?

                      • Belotero Filler ช่วยให้ริ้วรอย และร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้าดูตื้นขึ้น
                      • Belotero Filler ช่วยให้ใบหน้าได้สัดส่วน มีความสมดุลตามที่ต้องการ 
                      • Belotero Filler ช่วยให้ใบหน้ากระชับ ลดความหย่อนคล้อย ดูอ่อนกว่าวัย
                      • Belotero Filler ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำ ฉ่ำวาว แต่งหน้าติดทนมากขึ้น
                      • Belotero Filler ช่วยให้ผิวมีความเรียบเนียน รูขุมขนกระชับ
                      • Belotero Filler ช่วยให้ผิวมีวอลุ่ม ดูอิ่มฟู มีมิติมากขึ้น
                      • Belotero Filler  ช่วยให้ใบหน้าดูสดใส เปล่งปลั่ง ดูไม่โทรม
                      • Belotero Filler ช่วยให้ผิวยืดหยุ่น มีความแข็งแรง

                       

                      BELOTERO FILLER
                      วิธีเช็ค BELOTERO FILLER ของแท้

                      Belotero Filler แท้ มีวิธีตรวจสอบได้อย่างไร?

                      • กล่องBelotero Filler มีความสมบูรณ์ ไม่บุบสลาย และไม่มีรอยเปิดมาก่อน
                      • ภายในกล่อง มีเอกสารกำกับเป็นภาษาไทย และมีเลขที่ อย. ไทยรับรอง
                      • ตรวจสอบเลข Lot 3 จุด ได้แก่ เลข Lot ที่กล่อง, เลข Lot ที่สติกเกอร์ และเลข Lot ที่หลอดฟิลเลอร์ ซึ่งทั้ง 3 จุดต้องมีเลข Lot ที่ตรงกัน
                      • สามารถโทรตรวจสอบกับบริษัท Merz Aesthetics เพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเลข Lot และความถูกต้องของฟิลเลอร์

                       

                      เทียบความแตกต่างระหว่าง Belotero Filler กับ ฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น

                      ปัจจุบัน ฟิลเลอร์มีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็มีเทคโนโลยีการผลิตเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป ทำให้เนื้อฟิลเลอร์ที่ได้ แตกต่างกันในเรื่องของความหนาแน่น ความยืดหยุ่น และระยะเวลาในการคงอยู่ ซึ่งส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีดฟิลเลอร์โดยตรง  

                      Belotero Filler

                      • Belotero Filler เป็นฟิลเลอร์สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีจุดเด่น คือ ใช้เทคโนโลยี CPM (Cohesive Polydensified Matrix) ในการผลิต มีคุณสมบัติทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเกาะกันเป็นเนื้อเดียวได้อย่างแนบแน่น กลมกลืนกับผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ และปั้นทรงได้ตามความต้องการ ให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งทื่อ
                      • Belotero Filler สามารถคงผลลัพธ์ได้นานสูงสุด 18 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นของฟิลเลอร์และบริเวณที่ฉีด

                      ฟิลเลอร์ Juvederm

                      • ฟิลเลอร์ Juvederm เป็นฟิลเลอร์สัญชาติอเมริกา ที่มีจุดเด่น คือ ใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต ได้แก่ เทคโนโลยี Hylacross ที่มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดี เนื้อฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นสูง สามารถทนต่อแรงขยับได้ โดยจะเน้นเติมเต็มและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว นอกจากนี้ ยังใช้เทคโนโลยี Vycross ในการผลิต ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุด ที่มีคุณสมบัติทำให้โครงสร้างของเนื้อฟิลเลอร์ มีความแข็งแรงกว่า Hylacross โมเลกุลยึดเกาะกันอย่างหนาแน่น จึงสามารถคงรูปได้ดี เน้นยกกระชับผิวและปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนตามต้องการ โดยไม่ก่อให้เกิดอาการบวม และไม่เป็นก้อนได้ง่าย
                      • ฟิลเลอร์ Juvederm สามารถคงผลลัพธ์ได้นานสูงสุด 24 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นของฟิลเลอร์และบริเวณที่ฉีด

                      ฟิลเลอร์ Restylane

                      • ฟิลเลอร์ Restylane เป็นฟิลเลอร์สัญชาติสวีเดน ที่มีจุดเด่น คือ ใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต ได้แก่ เทคโนโลยี NASHA ที่มีคุณสมบัติในการดึงโมเลกุลน้ำเข้ามาเก็บในเนื้อฟิลเลอร์ ซึ่งมีขนาดโมเลกุลที่หลากหลาย ทั้งเล็ก กลาง และใหญ่ ทำให้สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล นอกจากนี้ ยังใช้เทคโนโลยี OBT ในการผลิต ที่มีคุณสมบัติทำให้เนื้อฟิลเลอร์ มีความสมดุลระหว่างความหนาแน่นและความยืดหยุ่น สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเคลื่อนไหวของใบหน้าได้ดี ไม่จับตัวเป็นก้อนได้ง่าย
                      • ฟิลเลอร์ Restylane สามารถคงผลลัพธ์ได้นานสูงสุด 18 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นของฟิลเลอร์และบริเวณที่ฉีด

                      BELOTERO FILLER
                      รวมคำถามของ BELOTERO FILLER

                      รวมคำถามเกี่ยวกับ Belotero Filler

                       

                      Belotero Filler มียาชาไหม?

                      • Belotero Filler มียาชาผสมอยู่ในบางรุ่น โดยเฉพาะรุ่นที่เนื้อฟิลเลอร์มีความหนาแน่นสูง เช่น Belotero Intense หรือ Belotero Balance เนื่องจากอาจมีความยากในการฉีดมากกว่ารุ่นเนื้อละเอียด จึงมีส่วนผสมยาชาเข้ามา เพื่อช่วยลดความเจ็บปวดขณะฉีดได้

                      Belotero Filler ปลอดภัยไหม?

                      • Belotero Filler เป็นฟิลเลอร์ที่มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากใช้เทคโนโลยี CPM ในการผลิต ซึ่งทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความเรียบเนียน กลมกลืนกับผิวได้ดี ลดความเสี่ยงในการจับตัวเป็นก้อน หรือเกิดอาการแพ้ได้ง่าย อีกทั้ง ยังได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยจาก อย. ทั้งในประเทศไทย และสหรัฐอเมริกา อีกด้วย

                       

                      Belotero Filler มีผลข้างเคียงไหม?

                      • หลังฉีดBelotero Filler อาจมีอาการบวม แดง หรือช้ำในบริเวณที่ฉีด ซึ่งถือเป็นอาการปกติที่พบได้บ่อย และจะค่อย ๆ หายไปเอง ภายใน 2 – 3 วัน แนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงรุนแรง

                       

                      Belotero Filler ฉีดกี่วันเห็นผล?

                      • หลังฉีดฟิลลอร์ Belotero สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันที ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด แต่จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุด หลังจากอาการบวมค่อย ๆ ยุบลง ประมาณ 2 สัปดาห์ สำหรับBelotero Filler Revive จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่สุด ประมาณ 3 เดือน 

                       

                      Belotero Filler ถือเป็นฟิลเลอร์อีกหนึ่งยี่ห้อที่ได้รับความนิยม ไม่แพ้ฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่มีความโดดเด่นและปลอดภัยสูง มีให้เลือกหลากหลายรุ่น ซึ่งแต่ละรุ่นถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาผิวหน้าที่ต่างกันโดยเฉพาะ สำหรับใครที่สนใจฉีด Belotero Filler สามารถเข้ามาปรึกษากับทีมแพทย์ผู้ชำนาญการของ รมย์รวินท์คลินิก ได้ทุกสาขา เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิวหน้า และเลือกรุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะสม ตอบโจทย์กับปัญหามากที่สุด 

                      เปลี่ยนคุณพ่อพุงใหญ่ เป็นหุ่นใหม่ ไร้ไขมันช่องท้อง อยากลดพุง ต้องทำอย่างไร?

                      แดดดี้พุงใหญ่เพราะไขมันช่องท้อง

                      แดดดี้พุงใหญ่ เพราะไขมันช่องท้อง อยากพุงยุบ ทำอย่างไรดี?

                       

                      เมื่อคุณพ่อพุงใหญ่ พุงหนา ไม่มีเวลาออกกำลังกาย อาจเป็นเพราะไขมันตัวร้ายที่มีชื่อว่า “ไขมันช่องท้อง” กำลังสะสมอยู่ ซึ่งไขมันชนิดนี้ไม่ได้ทำให้พุงป่องเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นสาเหตุของโรคร้ายต่าง ๆ ตามมามากมาย ทั้งโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ โดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง หรือการขาดการออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้น้อยลง ไขมันจึงสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นปัญหาสุขภาพได้ในที่สุด

                      บทความนี้ ขอพาไปทำความรู้จักกับไขมันช่องท้องว่า คืออะไร? เกิดจากสาเหตุอะไร? แล้วมีวิธีไหนที่จะช่วยลดไขมันช่องท้องได้บ้าง? สามารถอ่านบทความนี้ได้เลย

                       

                      เปลี่ยนคุณพ่อพุงใหญ่ เป็นหุ่นใหม่ ไร้ไขมันช่องท้อง อยากลดพุง ต้องทำอย่างไร?

                       

                      ไขมันช่องท้อง
                      ไขมันช่องท้อง

                       

                      ไขมันช่องท้อง คืออะไร?

                      ไขมันช่องท้อง หรือ Visceral Fat คือ ไขมันที่สะสมอยู่ในภายในช่องท้อง ล้อมรอบอวัยวะสำคัญภายในอย่าง ตับ ลำไส้เล็ก และกระเพาะอาหาร ซึ่งไขมันช่องท้องเป็นไขมันที่อยู่ลึกกว่าชั้นกล้ามเนื้อและชั้นผิวหนัง เกิดจากการที่ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ไม่หมด เมื่อร่างกายมีไขมันในช่องท้องปริมาณมากจนเกินไป ร่างกายจะพยายามนำไขมันส่วนเกินนี้ ไปเก็บสะสมไว้ในอวัยวะต่าง ๆ รวมถึงตับ ซึ่งตับเป็นอวัยวะที่อยู่ใกล้ไขมันชนิดนี้มากที่สุด ทำให้ไขมันช่องท้องเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่โรคไขมันพอกตับได้อีกด้วย

                       

                      ไขมันช่องท้องเกิดจากอะไร
                      ไขมันช่องท้องเกิดจากอะไร

                       

                      ไขมันช่องท้อง มีสาเหตุมาจากอะไร?

                      • พฤติกรรมการรับประทานอาหาร

                      การรับประทานอาหารที่มีไขมัน คาร์โบไฮเดรต และน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม อาหารทอด อาหารมัน ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความจำเป็น จนไม่สามารถเผาผลาญได้หมด ซึ่งนำไปสู่การสะสมของไขมันช่องท้องได้

                      • การขาดการออกกำลังกาย

                      การไม่ออกกำลังกาย หรือขยับร่างกายน้อยเกินไป ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้น้อยลง ส่งผลให้ไขมันเข้าไปสะสมในร่างกายมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณช่องท้อง ทำให้เกิดไขมันช่องท้องได้

                      • ฮอร์โมน

                      การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย มีส่วนเกี่ยวข้องทำให้เกิดไขมันช่องท้องได้ เช่น ช่วงวัยหมดประจำเดือนของผู้หญิง ทำให้ระดับเอสโตรเจนลดลง อาจทำให้เกิดไขมันสะสมในช่องท้องได้ 

                      • ความเครียด

                      ความเครียดเรื้อรัง ส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมามากขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดการสะสมไขมันช่องท้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อร่างกายตอบสนองต่อความเครียด จะกระตุ้นให้รู้สึกมีความอยากอาหารมากขึ้น จนเกิดการสะสมไขมันได้มากกว่าปกติ

                      • พันธุกรรม

                      พันธุกรรม เป็นตัวกำหนดอัตราการเผาผลาญในร่างกายของแต่ละบุคคล หากมีอัตราการเผาผลาญต่ำ ก็อาจมีแนวโน้มที่จะสะสมไขมันช่องท้องง่ายกว่าปกติ

                       

                      ไขมันช่องท้องเสี่ยงโรคอะไรบ้าง
                      ไขมันช่องท้องเสี่ยงโรคอะไรบ้าง

                       

                      ไขมันช่องท้อง เสี่ยงต่อการเกิดโรคอะไรบ้าง?

                      ไขมันช่องท้อง ถือเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของเราอย่างมาก เนื่องจากเป็นไขมันที่ลดยาก และสามารถเข้าสู่กระแสเลือดไปสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือดแดง ทำให้หลอดเลือดตีบได้ อีกทั้ง ยังส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ อีกมากมาย ดังนี้

                      • โรคหัวใจ ไขมันช่องท้องส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เนื่องจากไขมันเข้าไปเกาะและสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดเกิดการอุดตัน จึงเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้
                      • โรคเบาหวาน ประเภท 2 เนื่องจากไขมันในช่องท้องมีผลต่อการทำงานของอินซูลิน ทำให้ร่างกายเกิดภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น และกระตุ้นความเสี่ยงให้เกิดโรคเบาหวาน ประเภทที่ 2 ได้
                      • ความดันโลหิตสูง ขมันในช่องท้อง สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดความดันโลหิตสูง เนื่องจากไขมันส่งผลกระทบต่อระบบไหลเวียนเลือด ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอ จนทำให้เกิดความดันโลหิตสูงได้
                      • ไขมันพอกตับ การสะสมของไขมันในช่องท้องมากเกินไป ทำให้ตับได้รับผลกระทบไปด้วย  เนื่องจากตับได้ปริมาณน้ำตาลเกินความจำเป็น ทำให้น้ำตาลถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมัน ส่งผลให้เกิดไขมันพอกตับได้ 
                      • ไขมันในเลือดสูง เนื่องจากไขมันช่องท้องมีปริมาณมากเกินไป ทำให้เกิดการสะสมของไขมันในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอล (Cholesterol) และไตรกลีเซอไรด์ (Trigleceride) สูงขึ้นเช่นกัน
                      • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เนื่องจากไขมันที่สะสมในช่องท้อง อาจกดทับหรือขัดขวางทางเดินหายใจ ทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการนอน และสุขภาพโดยรวมได้

                       

                      FIT SHAPE BODY รีดหุ่นใหม่ พุงหายเกลี้ยง
                      FIT SHAPE BODY รีดหุ่นใหม่ พุงหายเกลี้ยง

                       

                      Fit Shape Body โปรแกรมรีดหุ่นใหม่ พุงหายเกลี้ยง

                      Fit Shape Body คืออะไร?

                      Fit Shape Body คือ เทคโนโลยีรีดไขมันสะสม ลงลึกถึงไขมันช่องท้อง โดยใช้พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง Capacitive Resistive Monopolar Radiofrequency (CRMRF) ที่มีความถี่ 448 kHz ซึ่งเป็นความถี่ที่เหมาะสมกับการทำงานในระดับเซลล์ของร่างกาย ถูกใช้ในวงการแพทย์มาอย่างยาวนานกว่า 35 ปี ซึ่งมีความปลอดภัยสูง ได้รับการรับรองจาก US FDA (อย. อเมริกา) แล TH FDA (อย. ไทย) โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น

                      โดยจะส่งพลังงานจากคลื่นวิทยุ เข้าไปกระตุ้นให้เซลล์ไขมันเกิดความร้อน ส่งผลเซลล์ไขมันหดตัว และแตกตัวออกจากกัน จึงสามารถลดปริมาณไขมันช่องท้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึง ยังสามารถกระตุ้นระบบเผาผลาญในร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้มากกว่าเดิม พร้อมเพิ่มการไหลเวียนเลือด ทำให้เซลล์ได้รับสารอาหารและออกซิเจนมากขึ้น จึงช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย อีกทั้ง ยังกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) เซลล์ต้นกำเนิดคอลลาเจน ให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวกระชับ และลดเซลลูไลต์ได้อีกด้วย

                       

                      Fit Shape Body ช่วยเรื่องอะไร?

                      • Fit Shape Body ช่วยลดไขมันสะสมตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ลงลึกถึงไขมันที่สะสมในช่องท้อง (Visceral Fat) ได้ถึง 11%
                      • Fit Shape Body ช่วยกระชับสัดส่วน แก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย ห้อยย้อย ให้กลับมาเฟิร์มกระชับ
                      • Fit Shape Body ช่วยลดเซลลูไลต์สะสมในทุกชั้นผิว โดยขับออกผ่านทางเหงื่อ ปัสสาวะ หรืออุจจาระ ทำให้ผิวเรียบเนียนมากขึ้น
                      • Fit Shape Body ช่วยให้สัดส่วนเล็กลง ผิวหนังมีความยืดหยุ่นมากขึ้น 
                      • Fit Shape Body ช่วยเพิ่มการเผาผลาญถึงระดับเซลล์ ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น
                      • Fit Shape Body ช่วยฟื้นฟูผิวจากการดูดไขมัน และช่วยสมานแผล ลดเลือนรอยแผลเป็น

                       

                      Fit Shape Body ถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่สามารถลดไขมันช่องท้องได้อย่างตรงจุด พร้อมกระชับสัดส่วน และกำจัดเซลลูไลต์ในเครื่องเดียว อย่าปล่อยให้ไขมันสะสมในช่องท้อง จนทำลายความมั่นใจ นอกจากจะทำให้พุงใหญ่ พุงย้อยแล้ว  ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาสารพัด ดังนั้น สำหรับใครที่สนใจลดไขมันช่องท้อง สามารถเข้ามาปรึกษากับ รมย์รวินท์คลินิก ได้ทุกสาขา เพื่อทวงคืนหุ่นใหม่ คุณพ่อมั่นใจ ไม่ต้องเก็บพุงอีกต่อไป สามารถสอบถามได้ทาง รมย์รวินท์คลินิก ทางลิ้งค์นี้ > https://bit.ly/Romrawinclinic

                       

                      PLURYAL เทคโนโลยีใหม่ เพื่อผิวสวยขั้นสุด

                      PLURYAL

                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                        วันที่สะดวกในการติดต่อ








                        PLURYAL เทคโนโลยีใหม่ เพื่อผิวสวยขั้นสุด

                        ในยุคที่หลากหลายแบรนด์พัฒนาสินค้าขึ้นมาให้ดีที่สุดเพื่อให้ตอบโจทย์ผู้เข้ารับบริการ ให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเห็นผลลัพธ์ที่ดี การมีผลลัพธ์ที่ช่วยได้อย่างหลากหลาย รวมไปจนถึงการป้องกันอาการแพ้ต่างๆ เพื่อความปลอดภัยอย่างมากที่สุดสำหรับผู้เข้ารับบริการ

                        Pluryal จึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้นมาเพื่อให้ตอบโจทย์ข้อนี้ให้มากที่สุด โดยเน้นผลิตผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมทางด้านเวชศาสตร์ความงามให้มีคุณภาพสูง ในทุกๆด้าน มีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และยังต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ในด้านความต้องการด้านการฟื้นฟูและดูแลผิว

                         

                        PLURYAL ประกอบด้วยกัน 4 รุ่น ที่มีความแตกต่างกัน ทั้งด้านผลลัพธ์และทางด้านการผลิต

                        • Pluryal Biosculpture  ปรับรูปหน้า ลดความหย่อนคล้อย เพิ่มโครงสร้าง
                        • Pluryal Densify  เพิ่มความชุ่มชื้น ปรับปรุงความยืดหยุ่นและ ช่วยเรื่องความกระชับของผิว 
                        • Pluryal Silk  เพิ่มความยืดหยุ่น ชุ่มชื้น กระชับ ลดรอยแแผลเป็น
                        • Pluryal Hair Density  ฟื้นฟูเส้นผมและหนังศีรษะ เพิ่มความหนาแน่นของเส้นผม

                         

                        ทำความรู้จักกับผลิตภัณฑ์  Pluryal ในแต่ละรุ่น

                        Pluryal Biosculpture  
                        Pluryal Biosculpture

                        Pluryal Biosculpture  

                        • ผลิตภัณฑ์ Pluryal รุ่น Pluryal Biosculpture  นั้นเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทสารเติมเต็มที่ใช้สำหรับเติมเต็มและแก้ไขความหย่อนคล้อยของใบหน้าที่เกิดขึ้นตามวัยและต้องการจะที่จะได้รับการแก้ไข นอกจากนี้ Pluryal รุ่น Pluryal Biosculpture ยังสามารถปรับรูปทรงของริมฝีปาก มีส่วนประกอบหลัก คือ กรดไฮยาลูรอนิกแบบ Cross-Linked 
                        • มีจุดเด่นโดยการผลิตด้วยเทคโนโลยี MATRICYAL 3D ทำให้ Pluryal Biosculpture สามารถรักษา เติมเต็มและแก้ไขปัญหาร่องลึกของใบหน้าในส่วนต่างๆได้อย่างเป็นธรรมชาติบนพื้นฐานของความปลอดภัย ไร้สารต่างๆ ตกค้าง

                         

                        ส่วนประกอบของ Pluryal Biosculpture 

                        Pluryal Biosculpture  มีส่วนประกอบจาก Hyaluronic Acid (Cross-Linked HA)

                        • กรดไฮยาลูรอนิกแอซิตที่มีขนาดของ โมเลกุลที่มีความแตกต่างกันถึง 3 ประเภท และยังเป็นไฮยาลูรอนิกแอซิตที่มีความบริสุทธ์เป็นอย่างมาก ที่ผสานกันขึ้นมาเป็นโครงข่าย เพื่อให้สามารถซึมเข้าผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ

                         

                        Pluryal Biosculpture มีส่วนประกอบจาก Phosphate Buffer (บัฟเฟอร์ฟอสเฟต)

                        • Phosphate Buffer (บัฟเฟอร์ฟอสเฟต) เป็นสารละลาย ที่ช่วยในการรักษาความเข้มข้นของสารไฮโดรเจนไอออน (pH) ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้โปรตีนใน Hyaluronic Acid นั้นสามารถทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

                         

                        คุณสมบัติของสารเติมเต็มแบบ Cross-Linked ใน Pluryal Biosculpture นั้นมีคุณสมบัติ

                        สารเติมเต็มแบบ Cross-Linked ใน Pluryal Biosculpture นั้นมีคุณสมบัตินี้

                        • ด้านความคงทน

                        เนื่องจากการ Cross-Linking ของสารเติมเต็มเป็นการเพิ่มความเสถียรของผลิตภัณฑ์ เมื่อถูกฉีดเข้าสู่ร่างกาย ทำให้สามารถคงสภาพอยู่ใต้ผิวได้นานกว่า สารเติมเต็มแบบธรรมชาติ 

                        • ด้านความหนาแน่น

                        สารเติมเต็มแบบ Cross-Linked นั้นจะมีโครงสร้างของผลิตภัณฑ์ที่หนาแน่นกว่าสารเติมเต็ม แบบธรรมชาติทั่วไป จึงเหมาะแก่การให้เติมเต็มใบหน้า

                         

                        Pluryal Biosculpture เหมาะกับใคร

                        • Pluryal Biosculpture เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวไม่กระชับหรือหย่อนคล้อย
                        • Pluryal Biosculpture เหมาะกับผู้ที่ต้องการให้ผิวเรียบเนียนและอิ่มน้ำ
                        • Pluryal Biosculpture เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลผิวด้วยวิธีธรรมชาติ
                        • Pluryal Biosculpture เหมาะกับผู้ที่ต้องการเตรียมผิวสำหรับการทำหัตถการอื่นๆ

                         

                        Pluryal Biosculpture เหมาะกับการฉีดบริเวณใดบนใบหน้า

                        • Pluryal Biosculpture เหมาะกับการฉีดบริเวณรอยพับบริเวณใต้จมูก
                        • Pluryal Biosculpture เหมาะกับการฉีดบริเวณรอยแผลเป็นและรอยสิว
                        • Pluryal Biosculpture เหมาะกับการฉีดบริเวณริ้วรอยรอบปาก
                        • Pluryal Biosculpture เหมาะกับการฉีดบริเวณริ้วรอยบริเวณหว่างคิ้ว
                        • Pluryal Biosculpture เหมาะกับการฉีดบริเวณริ้วรอยบนหน้าผาก
                        • Pluryal Biosculpture เหมาะกับการฉีดเติมเต็มบริเวณบริเวณร่องแก้ม 
                        • Pluryal Biosculpture เหมาะกับการฉีดเติมเต็มบริเวณบริเวณคาง 
                        • Pluryal Biosculpture เหมาะกับการฉีดเติมเต็มบริเวณบริเวณโหนกแก้ม

                        หลังการใช้ Pluryal Biosculpture คงผลลัพธ์ได้นานเท่าไร 

                        • หลังการใช้ Pluryal Biosculpture จะเห็นผลลัพธ์หลังทำประมาณ 5 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับ สภาพผิว อายุ และปัจจัยต่างๆ

                        หลังการใช้ Pluryal Biosculpture ควรฉีดซ้ำทุกกี่เดือน

                        • Pluryal Biosculpture ควรฉีดกระตุ้นซ้ำทุก ๆ 5 – 6 เดือน อย่างเป็นประจำ

                        Pluryal Biosculpture สามารถใช้ได้กับทุกคนหรือไม่ 

                        • Pluryal Biosculpture เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย Pluryal Biosculpture จึงเป็นโปรแกรมที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ไขจุดบกพร่องผิวที่เกิดขึ้นตามใบหน้าและเรือนร่าง  

                         

                         

                        PLURYAL DENSIFY
                        PLURYAL DENSIFY

                        PLURYAL DENSIFY

                        PLURYAL รุ่น PLURYAL DENSIFY เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมาเพื่อให้มีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้นของผิว และยังช่วยเสริมไฟโบรบลาสต์ อันเป็นตัวปรับความยืดหยุ่นและเพิ่มความกระชับของผิว ด้วยโพลินิวคลิโอไทด์ (Polynucleotide) สารจากธรรมชาติที่สกัด DNA จากปลาแซลม่อน ที่มีโครงสร้างคล้ายกับ DNA ของมนุษย์และกรดไฮยาลูโรนิกแอซิต ช่วยในการเติมเต็ม สร้างความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นให้ผิว

                         

                        จุดเด่น ของ PLURYAL DENSIFY คือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ ทำงานร่วมกันระหว่าง PN + HA จึงช่วยในการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินให้กับผิว  ผลิตโดย HPN TECHNOLOGY จึงทำให้ Polynucleotide ที่ได้มีความบริสุทธิ์สูงมาก ที่สำคัญยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับมาตรฐานในระดับสากล เหมาะแก่การใช้เพื่อเตรียมผิวก่อนทำโปรแกรมอื่นๆ เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว

                         

                        ส่วนประกอบของ Pluryal DENSIFY

                         

                        Pluryal DENSIFY มีส่วนประกอบจาก Hyaluronic Acid (Cross-Linked HA)

                        • สารที่นิยมใช้ในการผลิตสารเติมเต็ม ช่วยในการเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ช่วยใช้ผิวเสื่อมสภาพช้าลง  ลดริ้วรอยบนใบหน้าและยังทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์กว่าวัย

                        Pluryal DENSIFY มีส่วนประกอบจาก Polynucleotide (PN)

                        • Polynucleotide (PN) เป็นสารที่ถูกสกัดขึ้นมาจาก DNA ของปลาแซลมอน ที่ดข้าสู่กระบวนการต่างๆ จนเกิดเป็น  Polynucleotide ที่มีความบริสุทธิ์ในตัวสูง ทั้งยังเป็นสารที่ช่วยในการช่วยในการปรับปรุงความยืดหยุ่นและเพิ่มความกระชับให้กับผิว

                        Pluryal DENSIFY มีส่วนประกอบจาก Mannitol

                        • เป็นสารที่มีคุณสมบัติในด้านเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวทั้งยังมีฤทธิ์ที่ช่วยในการต้านสารอนุมูลอิสระ ทำให้เมื่อทำงานร่วมกับสารเติมเต็มประเภท HA จะสามารถทำให้ผลิตภัณฑ์สามารถคงสภาพผลลัพธ์ได้นานมากขึ้น

                         

                        Pluryal Densify กับบริเวณใดได้บ้าง ?

                        1. Pluryal Densify ฉีดบริเวณใบหน้า

                        Pluryal Densify เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถปรับปรุงสภาพผิวที่โดนทำร้ายจากแสงแดด ผิวที่อ่อนล้า การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ หรือผิวที่ขาดความชุ่มชื้นจนมีริ้วรอย รอยดำ หรือรอยแดงบนใบหน้า ร่องแก้ม รอยพับจมูก ไม่ควรใช้กับบริเวณรอบดวงตา

                        1. Pluryal Densify ฉีดบริเวณหลังมือ

                         Pluryal Densify ฉีดหลังมือจะช่วยปรับริ้วรอย และร่องลึกที่บริเวณหลังมือให้หลังมือดูเรียบเนียน พร้อมเติมความชุ่มชื้นไปในเวลาเดียวกัน

                        1. Pluryal Densify ฉีดบริเวณลำคอและเนินอก

                        Pluryal Densify สามารถใช้รักษาได้ ทั้งริ้วรอยในส่วนอื่น ๆ ในบริเวณร่างกาย อาทิรอยพับที่คอ ริ้วรอยบริเวณเนินอก เนื่องจากสามารถแก้ไขให้ริ้วรอยเหล่านั้นให้ดีขึ้นและจางลง

                        Pluryal DENSIFY ช่วยเรื่องอะไร

                        • Pluryal DENSIFY ช่วยเรื่องลดเลือนริ้วรอย
                        • Pluryal DENSIFY ช่วยเรื่องเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
                        • Pluryal DENSIFY ช่วยเรื่องเพิ่มคอลลาเจนให้ผิว
                        • Pluryal DENSIFY ช่วยเรื่องเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
                        • Pluryal DENSIFY ช่วยเรื่องต้านสารอนุมูลอิสระ

                         

                        Pluryal DENSIFY เหมาะกับใคร

                        • Pluryal DENSIFY เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลปัญหาผิว
                        • Pluryal DENSIFY เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิว
                        • Pluryal DENSIFY เหมาะกับผู้ที่ต้องการเสริมความแข็งแรงให้กับผิว
                        • Pluryal DENSIFY เหมาะกับผู้ที่ต้องการเตรียมผิวสำหรับการทำหัตถการอื่นๆ
                        • Pluryal DENSIFY เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอย
                        • Pluryal DENSIFY เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิว

                         

                        Pluryal Densify ควรฉีดต่อเนื่องในระยะเวลาเท่าไร

                        • Pluryal Densify ควรฉีดต่อเนื่องติดกันสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เป็นเวลาทุกๆ 3 สัปดาห์ และเติมเพื่อความสม่ำเสมอ  1 กล่อง ในทุก ๆ 3 เดือน

                        Pluryal Densify ควรฉีดปริมาณเท่าไหร่

                        • Pluryal Densify 1 กล่อง มีปริมาณ 2 cc ในการฉีดครั้งแรกควรฉีด 1 กล่อง ทั้งนี้การฉีดในแต่ละครั้งควรปรึกษาแพทย์ผู้ทำการรักษาและผ่านการอบรมผลิตภัณฑ์มาเป็นอย่างดี

                        Pluryal Densify สามารถคงผลลัพธ์ได้นานเท่าไร

                        • Pluryal Densify จะสามารถคงผลลัพธ์ได้นานเท่าไร ขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของแต่ละบุคคลรวมทั้งการดูแลตัวเอง และการใช้ชีวิตประจำวัน โดยควรฉีดซ้ำทุก ๆ 3 เดือนเพื่อคงสภาพผลลัพธ์อย่างยาวนาน

                         

                        PLURYAL SILK
                        PLURYAL SILK

                        PLURYAL SILK

                        ผลิตภัณฑ์ PLURYAL รุ่น PLURYAL SILK เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากโพลินิวคลีโอไทด์ ช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้น และสร้างไฟโบรบลาสต์ ซึ่งเป็นตัวช่วยในการเพิ่มความยืดหยุ่น และเพิ่มความกระชับของผิวและยังช่วยลดเลือนรอยแตกลาย รอยแผลเป็นในบริเวณที่ฉีดได้ด้วย นอกจากนี้ PLURYAL รุ่น PLURYAL SILK  ยังช่วยลดรอยคล้ำ บริเวณรอบดวงตาได้เป็นอย่างดี

                         

                        จุดเด่นของ PLURYAL SILK  คือการเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับการใช้ในการดูแลผิวที่มีความบอบบาง เนื่องจากมีส่วนประกอบที่เป็นสารธรรมชาติที่สกัดจากปลา มีความบริสุทธิ์ ปลอดเชื้อ และยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีสารก่อไข้

                         

                        PLURYAL SILK ช่วยอะไร

                        • PLURYAL SILK ช่วยในการเติมความชุ่มชื้นให้ผิว
                        • PLURYAL SILK ช่วยในการเพิ่มความยืดหยุ่นในชั้นผิว
                        • PLURYAL SILK ช่วยในการลดริ้วรอยและความหมองคล้ำ
                        • PLURYAL SILK ช่วยในการลดรอยแตกลายและแผลเป็น

                         

                        PLURYAL SILK เหมาะกับใคร

                        • PLURYAL SILK เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว
                        • PLURYAL SILK เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว
                        • PLURYAL SILK เหมาะกับผู้ที่ผิวแห้ง ต้องการความชุ่มชื้น
                        • PLURYAL SILK เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยแตกลาย รอยแผลเป็น
                        • PLURYAL SILK เหมาะกับผู้ที่มีความหมองคล้ำ

                         

                        ารดูแลตัวเองก่อนทำ Pluryal

                        1. ก่อนทำ Pluryal ควรหยุดการใช้ยาหรืออาหารเสริม เช่น วิตามินอี (Vitamin E) , น้ำมันปลา (Fish Oil) แปะก๊วย, (Ginkgo Biloba) เนื่องจากมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด  7–10 วันก่อนทำก่อนทำ Pluryal  
                        2. ก่อนทำ Pluryal ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24–48 ชั่วโมงก่อนทำ Plurya เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำและมีความบวมหลังฉีด
                        3. ก่อนทำ Pluryal ควรงดทำกิจกรรมที่มีการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต เช่นออกกำลังกาย การ ซาวน่า อย่างน้อย 24–48 ชั่วโมง
                        4. ก่อนทำ Pluryal ควรดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อให้ผิวเตรียมพร้อมสำหรับให้กรดไฮยาลูโรนิกได้ดูดซึมน้ำได้ดียิ่งขึ้น
                        5. ก่อนทำ Pluryal  ควรงดการรักษาอื่นๆ เช่นการทำ เลเซอร์ การทำทรีตเมนต์ผิวหน้าที่รุนแรง หรือการแว็กซ์ในบริเวณที่จะฉีด 1 สัปดาห์ ก่อนทำ
                        6. ก่อนทำ Pluryal ควรพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อลดอาการบวม หรืออักเสบหลังการรักษา

                         

                        PLURYAL HAIR DENSITY

                        PLURYAL รุ่น PLURYAL HAIR DENSITY สารสกัดจากแซลมอน DNA ที่ออกแบบมาเพื่อให้สามารถฉีดเพื่อฟื้นฟูศีรษะ หรือบริเวณที่มีขน เช่น หน้าผาก คิ้ว หนวดเคราได้ รวมทั้งบริเวณอื่นที่มีรากผม เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยในการกระตุ้นไฟโบรพลาสต์ เสริมความมั่นคงแข็งแรงรวมทั้งยังสร้างความยืดหยุ่นได้ด้วย 

                        ส่วนประกอบของ PLURYAL HAIR DENSITY

                         

                        PLURYAL HAIR DENSITY มีส่วนประกอบจาก Polynucleotides (PN)

                         

                        • สารจากธรรมชาติที่สกัดจากปลาแซลมอนบริสุทธิ ที่สามารถดูดซึมลงสู่ผิวได้ดี มี DNA คล้าคลึงกับ DNA ของคน ทำให้ปลอดภัย และไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ 

                         

                        PLURYAL HAIR DENSITY มีส่วนประกอบจาก Hyaluronic Acid (HA)

                         

                        • กรดไฮยาลูโรนิกเป็นสารที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและกระตุ้นการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ

                         

                        PLURYAL HAIR DENSITYใช้เทคโนโลยี 

                         

                        HPN (Highly Pure Polynucleotides) ซึ่งเป็นกระบวนการผลิตที่ใช้ในการสกัด Polynucleotides ที่มีความบริสุทธิ์มีคุณสมบัติเฉพาะในการกระตุ้นการสร้าง Fibroblast

                        PLURYAL HAIR DENSITY ช่วยอะไรบ้าง

                        • PLURYAL HAIR DENSITY ช่วยดูแลหนังศีรษะ
                        • PLURYAL HAIR DENSITY ช่วยดูแลรากผม
                        • PLURYAL HAIR DENSITY ช่วยเพิ่มการเติบโตของเส้นผม
                        • PLURYAL HAIR DENSITY ช่วยเสริมความแข็งแรง ลดการหลุดร่วง
                        • PLURYAL HAIR DENSITY ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่หนังศีรษะ

                         

                        Pluryal Hair Density รักษาอะไรได้บ้าง

                        • สามารถใช้เพื่อดูแลพร้อมแก้ไขปัญหาเส้นผมได้อย่างหลากหลาย อาทิ ผมขาด ผมร่วง ผมบาง เส้นผม ผมเส้นเล็ก ผมไม่แข็งแรง อ่อนแอ ขาดง่าย โดยสามารถรักษาได้ทุกบริเวณที่มีรากขน 

                         

                        Pluryal Hair Density ควรทำบ่อยแค่ไหน

                        Pluryal Hair Density ควรทำตามความถี่ที่แพทย์แนะนำ ในแต่ละคนอาจแตกต่างกันออกไปตามสภาพเส้นขนของแต่ละบุคคล โดยสามารถจำแนกได้คร่าวๆดังนี้

                         

                        1.Pluryal Hair Density ใช้ในการรักษาปัญหาผมร่วงที่เกิดจากฮอร์โมน

                        ควรเข้ารับบริการ Pluryal Hair Density ใน 1 – 2 สัปดาห์ ติดต่อกันนาน 4 สัปดาห์ หลังจากนั้น ควรรักษา Pluryal Hair Density 1 ครั้ง ภายใน 3 – 4 สัปดาห์ ติดต่อกัน 4 ครั้ง

                         

                        2.Pluryal Hair Density ใช้ในการรักษาผู้ที่มีปัญหาผมบาง ผมร่วง อันเนื่องมาจากการเผชิญมลพิษทางอากาศ การติดโควิด-19 ในคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และคุณแม่หลังคลอด

                        ควรทำการรักษา 1 ครั้ง ทุก ๆ 3 สัปดาห์ ในระยะเวลาติดต่อกัน 4 ครั้ง

                         

                        3.Pluryal Hair Density ใช้การรักษาผู้ใช้บริการหลังจากการปลูกผม หรือรักษาควบคู่กับการฉายแสง LED และปลูกผม 

                        ควรทำการรักษา 1 ครั้ง ทุก ๆ 3 สัปดาห์ ในระยะเวลาติดต่อกัน 3 ครั้ง

                         

                        ขั้นตอนการรักษาด้วย Pluryal 

                        -ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวการใช้ยา อาหารเสริม หรือโรคประจำตัว เพื่อให้แพทย์วางแผนการรักษาด้วย Pluryal อย่างเหมาะสมและปลอดภัย

                        -แพทย์ประเมินปัญหาผิว และใบหน้า และการแก้ไข รวมทั้งเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม อาทิ  

                        • Pluryal Biosculpture: สำหรับการปรับรูปหน้า
                        • Pluryal Silk: สำหรับลดริ้วรอยเล็กๆ
                        • Pluryal Silk  เพิ่มความยืดหยุ่น ชุ่มชื้น ลดรอยแแผลเป็น

                        -ทำความสะอาดใบหน้า บริเวณที่จะรักษาด้วย Pluryal 

                        -ทายาชาเพื่อบรรเทาความเจ็บ

                        -แพทย์ทำการรักษาในบริเวณที่คนไข้กังวลจนเสร็จ

                        -ทำหาทำการห้ามเลือด

                         

                        การดูแลตัวเองหลังทำ Pluryal

                        • หลังทำ Pluryal หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือกดนวดบริเวณที่ฉีด Pluryal ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
                        • หลังทำ Pluryal หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก 
                        • หลังทำ Pluryal หลีกเลี่ยวการสัมผัสความร้อนจัด ซาวน์น่า โดนแดดจัด หรือความเย็นจัดเป็นเวลา 2–3 วัน

                        ข้อควรระวังของ Pluryal

                        • การใช้ผลิตภัณฑ์ควรใช้โดยแพทย์ที่ผ่านการอบรมมาแล้วเท่านั้น
                        • ห้ามใช้ในบริเวณที่มีผิวหนังอักเสบ
                        • ห้ามใช้กับผู้ป่วยที่มีประวัติอาหารทะเล

                        ข้อควรระวังหลังทำ Pluryal

                        • หลังทำ Pluryal ในบางคนอาจมีรอยช้ำหรือบวมเล็กน้อย ซึ่งอาการดังกล่าวจะค่อยๆ หายไปได้เองภายใน3–7 วัน
                        • การทำ Pluryal จะต้องทำโดยแพทย์ที่ผ่านการฝึกอบรมมาแล้วเท่านั้น

                         

                        Pluryal ที่โดดเด่นในด้านสารเติมเต็มและผลิตภัณฑ์ฟื้นฟูผิว มีหลากหลายสูตรให้เลือกตามปัญหาของแต่ละบุคล เป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นทางด้านความปลอดภัย ให้ผลลัพธ์ที่แลดูเป็นธรรมชาติ แต่ควรทำการรักษาโดยผลิตภัณฑ์ที่เป็นของแท้จากบริษัทผู้จัดจำหน่ายเท่านั้น ที่สำคัญควรทำการรักษาโดยแพทย์ที่ผ่านจากอบรมผลิตภัณฑ์จากแพทย์ของบริษัทเท่านั้นหรือสอบถามได้ที่รมย์รวินท์คลินิก

                        ไขความลับ ให้วิตามินผิว เคล็ดลับผิวสวย ดีจริงไหม ?

                        ไขความลับการให้วิตามินผิว

                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                          วันที่สะดวกในการติดต่อ








                          ให้วิตามินผิว เคล็ดลับผิวสวย สว่างใสออร่าจับแบบดารา

                          อยากมีผิวใส ออร่า เหมือนมีสปอร์ตไลท์ส่วนตัว การดูแลผิวด้วย การให้วิตามินผิว เป็นอีกหนึ่งตัวช่วย ที่จะทำให้ผิวพรรณของเรามีความกระจ่างใส เรียบเนียน เติมความชุ่มชื้นให้ผิวแล้ว ทั้งยังช่วยดูแลสุขภาพ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย มาทำความรู้จักกับการดูแลผิวสุดล้ำลึก ไขความลับ ให้วิตามินผิว เคล็ดลับผิวสวย ดีจริงไหม ? ก่อนตัดสินใจดูแลผิวให้ออร่า

                           

                          วิตามินผิวคืออะไร
                          วิตามินผิวคืออะไร

                           

                          การให้วิตามินผิว คืออะไร

                          การให้วิตามินผิว หรือ Intravenous Vitamin Therapy : IV Therapy เป็นการเติมวิตามินและแร่ธาตุเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งการให้วิตามินผิวนั้น จะมีด้วยกันหลากหลายสูตร ข้อดีของการให้วิตามินผิว จะทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารได้มากถึง 90-100% ซึ่งไม่เหมือนกับการกินร่างกายจะสามารถดูดซึมวิตามินไปใช้ได้ประมาณ 30% เท่านั้น ทำให้การให้วิตามินผิว 1 ครั้งจะใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจน ควรให้วิตามินผิว อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ

                           

                          การให้วิตามินผิว มีกี่แบบ ?

                          • การให้วิตามินผิว หรือ IV infusion 

                          เป็นการให้อาหารผิว วิตามิน เกลือแร่ ในรูปแบบสารน้ำ ผ่านทางหลอดเลือดดำเข้าสู่ร่างกาย โดยการให้วิตามินผิว จะมีการผสมในน้ำเกลือนอร์มอลซาไลน์ (Normal saline solution/NSS) จากนั้นจะใช้วิธีการค่อย ๆ หยดช้า ๆ ในอัตราความเข้มข้นที่สม่ำเสมอ โดยจะใช้เวลาในการให้วิตามินผิวประมาณ 45-60 นาที วิธีให้วิตามินผิวนี้จะเหมาะสำหรับคนที่ต้องการดูแลตัวเอง ฟื้นฟูร่างกายอย่างต่อเนื่อง

                          • IV Bolus หรือ IV Push

                          คือ การฉีดยาผ่านทางหลอดเลือดดำโดยตรงและรวดเร็ว โดยไม่ผสมน้ำเกลือ ทำให้สารอาหารผิว วิตามิน และเกลือแร่นั้นเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 30 นาที จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบเร่งด่วน หรือต้องการฟื้นฟูร่างกายจากการอ่อนเพลีย การขาดน้ำอย่างรุนแรง ทั้งนี้วิธีพุชมีข้อควรระวังสำหรับคนที่มีหลอดเลือดเล็ก เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการบวม ช้ำได้

                           

                          วิตามินสำหรับผิวมีอะไรบ้าง?

                          • วิตามินซี (Vitamin C) : วิตามินบำรุงร่างกายที่หลาย ๆ คนต่างรู้จัก เป็นสารที่มีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวกระจ่างใส และช่วยลดเลือนจุดด่างดำ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง
                          • วิตามินบีรวม (Vitamin B Complex) : ช่วยบำรุงเส้นผม เล็บ ให้สุขภาพดี บำรุงร่างกาย พร้อมช่วยลดความเครียด และช่วยลดอาการเหนื่อยล้า
                          • กรดอะมิโน (Amino Acids) : เป็นส่วนประกอบหลักของเซลล์ มีส่วนช่วยในเรื่องการสร้างโปรตีนในร่างกาย ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และมีความชุ่มชื้นขึ้น
                          • N-Acetyl Cysteine (NAC) : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยดีท็อกซ์สารพิษออกจากร่างกาย และยังช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวดูอิ่มน้ำ สุขภาพดี
                          • แร่ธาตุอื่น ๆ ในแต่ละสูตรนั้นจะมีการเติมสารอาหารผิว วิตามิน หรือเกลือแร่ที่แตกต่างกันไป เช่น คอลลาเจน (Collagen) ซิงค์ (Zinc) คาร์นิทีน (Carnitine) และแมกนีเซียม (Magnesium) ที่เป็นส่วนช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดี

                           

                          การให้วิตามินผิว ช่วยอะไรได้บ้าง ?

                          การดูแลผิวพรรณให้มีความไบร์ท อิ่มน้ำ เรียบเนียน และมีผิวที่สม่ำเสมอ ถือเป็นเสน่ห์อีกหนึ่งอย่าง ที่จะช่วยดึงดูดสายตาคนรอบข้างให้มองมาที่เรา ซึ่งการให้วิตามินผิว นั้นก็เป็นตัวช่วยสร้างผิวสวยจากภายในสู่ภายนอก ทั้งยังมีหลากหลายสูตรให้ได้เลือก ทำให้ปัจจุบันการให้วิตามินผิว สามารถดูแลสุขภาพร่างกายได้หลายอย่าง เช่น 

                          • การให้วิตามินผิว ช่วยเสริมสร้างกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ให้ผิวดูอ่อนเยาว์ เต่งตึงขึ้น
                          • การให้วิตามินผิว ช่วยบำรุงผิว ฟื้นฟูผิวคล้ำเสีย ให้กระจ่างใสขึ้น ผิวดูไบร์ท ไม่หมองคล้ำ
                          • การให้วิตามินผิว ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด มลภาวะ ที่ทำร้ายผิวให้ผิวเสีย และแห้งกร้าน
                          • การให้วิตามินผิว ช่วยเติมความชุ่มชื้นอิ่มน้ำ ให้ผิวดูสุขภาพดี นุ่มชุ่มชื้นขึ้น 
                          • การให้วิตามินผิว ช่วยเสริมสร้างการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ให้ผิวไม่ดูแก่ก่อนวัย
                          • การให้วิตามินผิว ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ทำงานได้ดีขึ้น ป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ 
                          • การให้วิตามินผิว ช่วยลดอาการอ่อนเพลียสะสมของร่างกาย ให้ร่างกายดูสดชื่น และตื่นตัวขึ้น
                          • การให้วิตามินผิว ช่วยฟื้นฟูร่างกายจากการทำงานหนัก และยังช่วยดีท็อกซ์สารพิษที่ตกค้างสะสมอยู่ภายในร่างกาย 

                          ทั้งนี้ผลลัพธ์ของการให้วิตามินผิวนั้น จะสามารถอยู่ได้นานถึง 2-3 เดือน ซึ่งในแต่ละคนก็จะเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป โดยจะขึ้นอยู่กับสภาพผิว ปัญหาผิวของแต่ละบุคคล รวมถึงการดูแลตัวเองหลังทำอีกด้วย

                           

                          รวมสูตรวิตามินผิว
                          รวมสูตรวิตามินผิว

                           

                          ให้วิตามินผิวสูตรไหน ช่วยอะไร?

                          รมย์รวินท์คลินิก ของเราเข้าใจในปัญหาผิวที่มีความหลากหลาย ทางคลินิกจึงได้คิดสูตรให้วิตามินผิว ที่มีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับความต้องการและสภาพผิวของแต่ละบุคคล เช่น

                          • IV White Skin & Detox

                          วิตามินบูสต์ผิว ให้วิตามินผิว สูตรเฉพาะของรมย์รวินท์คลินิก ประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ สารอาหาร และวิตามินบำรุงผิว เพื่อผิวขาว สว่าง กระจ่างใส มีสุขภาพดี พร้อมไปกับการช่วยขับสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย ให้ออกทางปัสาวะ เพื่อช่วยในการชะลอวัยให้ดูอ่อนกว่าวัยอย่างมีประสิทธิภาพ

                          • IV White & Fresh

                          ประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินเพื่อสร้างผิวสวย เป็นการให้วิตามินผิว ที่บำรุงผิวจากภายใน เพื่อผิว ขาวสว่าง กระจ่างใส ดูผิวดีอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยังช่วยให้ความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า

                          • IV Super Hydrate

                          กรดอะมิโนและเปปไทด์ การให้วิตามินผิว ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดกระบวนการทางธรรมชาติของผิว เสริมสร้าง Collagen ช่วยฟื้นฟูผิว เก็บกักความชุ่มชื้นให้ผิว ลดความแห้งกร้าน เพื่อผิวที่เนียนนุ่ม กระจ่างใส ฉ่ำน้ำ

                          • IV Detox

                          มีส่วนช่วยทำให้ตับได้ทำการขับสารพิษและเพิ่มประสิทธิภาพให้ทำงานได้ดีมากขึ้น การให้วิตามินผิวเพื่อปรับสมดุลให้กับร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้ผิวพรรณสดใส พื้นฟูสุขภาพ และฟื้นฟูระบบต่าง ๆ ของร่างกาย

                          • IV Immune

                          ให้วิตามินผิวประกอบด้วยวิตามินและสารอาหาร เพื่อเสริมสร้างและกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง พร้อมปรับสมดุลร่างกายให้ดีขึ้นเพื่อลดภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ ภูมิแพ้ และลดภาวะอ่อนล้าเรื้อรัง

                          • IV Immune Plus

                          ให้วิตามินผิวประกอบด้วยวิตามินและสารอาหาร เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยปรับสมดุลร่างกาย ลดอาการภูมิแพ้ ช่วยให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรง

                          • IV Energy Plus 

                          ช่วยในการเร่งระบบเผาผลาญ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และให้วิตามินผิว ยังช่วยชะลอความเสื่อมให้กับเซลล์ที่เกิดจากการทำลายของสารอนุมูลอิสระ

                          • IV Blink

                          ประกอบด้วยวิตามินเเละสารอาหารที่ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวภายใน ช่วยให้ผิวขาวสว่างกระจ่างใส เป็นธรรมชาติ

                          ทั้งนี้การให้วิตามินผิว แต่ละสูตรจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ฟื้นฟูผิว บูสต์ความกระจ่างใส เพิ่มพลังงาน หรือบำรุงร่างกาย หากต้องการให้วิตามินผิว ให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการให้วิตามินผิว เพื่อวางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุด

                           

                          ขั้นตอนการให้วิตามินผิว

                          • หากต้องการให้วิตามินผิว ควรเข้ามาปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับความกังวล หรือปัญหาของร่างกาย ที่ต้องการจะดูแล เพื่อให้แพทย์ให้คำแนะนำได้ตรงจุด
                          • จากนั้นทำการชั่ง วัดส่วนสูง และวัดความดันโลหิต เพื่อให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาคำนวณปริมาณตัวยา สำหรับการให้วิตามินผิว
                          • ก่อนเข้ารับการให้วิตามินผิว ผู้ช่วยจะทำความสะอาดผิวบริเวณที่ต้องใช้ เช่น ข้อพับแขน
                          • การให้วิตามินผิว โดยผ่านสายน้ำเกลือ ผู้เชี่ยวชาญจะทำการเจาะสายน้ำเกลือบริเวณที่ทำควรสะอาด เพื่อให้ตัวสารน้ำเข้าสู่ร่างกาย โดยคนไข้สามารถนั่งพักได้ การให้วิตามินผิว จะใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที หรือจนกว่าสารน้ำจะหมด  
                          • หลังการให้วิตามินผิว สามารถกลับบ้านได้ โดยไม่ต้องพักฟื้น และสามารถทำกิจกรรมได้ตามปกติ

                           

                          ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังการให้วิตามินผิว

                          ถึงแม้ว่าการให้วิตามินผิว นั้นจะมีความปลอดภัยต่อร่างกายค่อนข้างสูง แต่ในบางกรณีผู้รับบริการก็อาจจะมีผลข้างเคียงหลังทำที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อาการแดง บวม หรือช้ำเล็ก ๆ ที่เกิดจากรอยเข็ม หรืออาการเวียนหัวหลังการให้วิตามินผิว ที่สามารถหายไปได้เอง แต่หากเกิดอาการแพ้ คลื่นไส้อาเจียนอย่างหนัก หรือมีผื่นลมพิษที่ผิวนั้น ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษาเบื้องต้น

                           

                          การดูแลตัวเองหลังการให้วิตามินผิว
                          การดูแลตัวเองหลังการให้วิตามินผิว

                           

                           

                          การดูแลตัวเองหลังการให้วิตามินผิว

                          1. หลังการให้วิตามินผิว หลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรง

                          หลังการให้วิตามินผิว ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรง เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวนั้นเกิดการระคายเคือง หรือเกิดความหมองคล้ำ แต่หากมีเหตุจำเป็นให้ต้องโดดแสงแดด หรืออยู่กลางที่แจ้งเป็นเวลานาน ควรหมั่นทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 หรือมากกว่านั้น เพื่อช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB หรือควรมีร่มและสวมเสื้อผ้าที่ป้องกันแสงแดด

                          1. หลังการให้วิตามินผิว หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นและน้ำร้อน

                          หลังจากการให้วิตามินผิว เพื่อหลีกเลี่ยงผิวขาดน้ำ หรือผิวแห้ง ระคายเคือง ไม่แนะนำให้อาบน้ำอุ่น หรือน้ำร้อน ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน

                          1. หลังการให้วิตามินผิว ควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์บำรุงผิว

                          หลังการให้วิตามินผิว คววรหมั่นทามอยเจอร์ไรเซอร์ที่จะช่วยล็อคความชุ่มชื้นของผิว ให้ผิวดูอิ่มน้ำ และมีความเต่งตึง การเลือกสกินแคร์ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีความชุ่มชื้น หรือมีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิกหรือวิตามินอี จะช่วยดูแผลผิวให้มีความสดใส เติมน้ำให้ผิวดูสุขภาพดี

                          1. หลังการให้วิตามินผิว งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่

                          การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือการสูบบุหรี่ จะทำให้ผิวเกิดการอักเสบ ผิวดูโทรม หมองคล้ำ และสำหรับคนที่ให้วิตามินผิว แอลกอฮอล์และบุหรี่จะเข้าไปลดประสิทธิภาพของวิตามินที่ได้รับให้ทำงานได้ไม่เต็มที่

                          1. หลังการให้วิตามินผิว ควรพักผ่อนให้เพียงพอ

                          หลังการให้วิตามินผิว ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้วิตามินที่เข้ามาได้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และร่างกายจะได้มีเวลาในการฟื้นฟู ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้อย่างเต็มที่

                           

                          การให้วิตามินผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหลายประเภท โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้กระจ่างใสและสุขภาพดีขึ้นอย่างเร่งด่วน นี่คือรายละเอียดเกี่ยวกับความเหมาะสมในการให้วิตามินผิว

                           

                          ผู้ที่เหมาะกับการให้วิตามินผิว

                          • การให้วิตามินผิว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ การให้วิตามินผิว จะช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น ทั้งยังช่วยลดเลือนจุดด่างดำ
                          • การให้วิตามินผิว  เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งกร้านการให้วิตามินผิว บางสูตรจะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำ ชุ่มชื้น สุขภาพดี
                          • การให้วิตามินผิว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสิว ในบางสูตรการให้วิตามินผิว สามารถช่วยลดการเกิดสิว ลดการอักเสบของสิว ทั้งยังช่วยควบคุมความมันบนใบหน้าได้ 
                          • การให้วิตามินผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการป้องกันริ้วรอย การให้วิตามินผิว สามารถช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนังได้ ช่วยป้องกันปัญหาริ้วรอย ผิวเหี่ยวก่อนวัย
                          • การให้วิตามินผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหลังจากทำเลเซอร์ หรือทรีตเมนต์ต่าง ๆ การให้วิตามินผิว จะช่วยฟื้นฟูผิวที่บอบบางให้กลับมาแข็งแรงได้ไวขึ้น
                          • การให้วิตามินผิว เหมาะกับผู้ที่ทำงานหนัก อ่อนเพลียจากการพักผ่อนน้อย การให้วิตามินผิว จะช่วยฟื้นฟูพลังงานในร่างกาย ลดความอ่อนล้า เติมความสดชื่น และรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น
                          • การให้วิตามินผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพโดยรวม ในวิตามินบางชนิดของสูตร การให้วิตามินผิว นั้น มีส่วนช่วยในการช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น ช่วยป้องกันโรคได้
                          • การให้วิตามินผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการผิวสวยใสอย่างเร่งด่วน สำหรับใครที่มีปัญหาผิว ต้องการดูแลผิวอย่างเร่งด่วน การทำการให้วิตามินผิว ในบางสูตร สามารถฟื้นฟูผิวให้กลับมาสุขภาพดี มีออร่าขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
                          • การให้วิตามินผิว เหมาะกับผู้ที่ขาดวิตามิน การให้วิตามินผิวจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างรวดเร็ว และดูดซึมได้ดีกว่าการทาน สำหรับคนที่ร่างกายมีปัญหาเกี่ยวกับการดูดซึมวิตามินบางชนิด 

                           

                          ใครบ้างไม่เหมาะกับการให้วิตามินผิว

                          • การให้วิตามินผิว ไม่เหมาะกับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร การให้วิตามินผิว วิตามินอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ หรือทารกแรกเกิดได้
                          • การให้วิตามินผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต หรือโรคเลือดออกง่าย
                          • การให้วิตามินผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้ยาหรือวิตามิน เนื่องจากการให้วิตามินผิว อาจทำให้เกิดอาการแพ้ขณะทำได้ เช่น ผื่นคันตามตัว หรือเริ่มหายใจลำบาก
                          • การให้วิตามินผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีไข้สูงหรือติดเชื้อ การให้วิตามินในขณะที่ร่างกายอ่อนแอ อาจทำให้ร่างกายมีภาวะที่แย่ลงได้
                          • การให้วิตามินผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังทานยาบางชนิด ในยาบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับวิตามินที่ฉีดเข้าไปได้ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้
                          • การให้วิตามินผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ภูมิแพ้โรคหืด โรคภูมิต้านทานเนื้อเยื่อตนเอง หรือโรคเอดส์ (AIDS) เป็นต้น
                          • การให้วิตามินผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับภาวะพร่องเอนไซม์ ซึ่งเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ร่างกายมีระดับเอนไซม์ต่ำ หลังการให้วิตามินผิวอาจจะทำให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนได้

                           

                          การให้วิตามินผิว ต้องทำบ่อยแค่ไหน?

                          การให้วิตามินผิว เป็นอีกหนึ่งการดูแลผิวจากภายในสู่ภายนอก ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาโดยปกติแล้วการให้วิตามินผิวนั้นจะค่อย ๆ เริ่มเห็นผลเมื่อทำการรักษาไป 3-4 ครั้งอย่างต่อเนื่อง และควรทำห่างกันประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อความต่อเนื่อง จากนั้นจึงค่อย ๆ ลดความถี่เหลือ 2-3 สัปดาห์ต่อครั้ง หรือเดือนละครั้งได้ โดยหลังการให้วิตามินผิว ผิวจะค่อย ๆ เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง ผิวชุ่มชื้นขึ้น ดูกระจ่างใส และสดใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสูตรของการให้วิตามินผิวสภาพผิวพื้นฐานของแต่ละคน และการดูแลตัวเองหลังให้วิตามินผิว

                           

                          เลือกให้วิตามินผิว ที่ไหนดี 

                          การให้วิตามินผิว เรียกได้ว่าเป็นโปรแกรมทำสวยที่มีอยู่ทุกคลินิกในปัจจุบัน แล้วอย่างนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ควรเลือกคลินิกไหน ที่ปลอดภัย และได้ผลจริง? การเลือกให้วิตามินผิว ที่ไหนดี? นั้น จำเป็นที่จะต้องมองหลาย ๆ ปัจจัยร่วมกัน ดังนี้

                          • เลือกสถานพยาบาลหรือคลินิกที่เปิดบริการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับการใบรับรอง และมีใบประกอบสถานพยาบาลอย่างถูกต้อง
                          • เลือกคลินิกที่มีแพทย์เฉพาะทาง ผู้ชำนาญการ ที่คอยดูแลให้คำปรึกษา และทำหัตถการเอง โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อแพทย์ได้ที่ เว็บไซต์แพทยสภา
                          • เลือกคลินิกที่มีการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีความสะอาด ปลอดภัย และมีสูตรให้วิตามินผิว ตัวยา สารอาหารผิวที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) เพื่อลดผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นหลังทำ และความอันตราย
                          • เลือกคลินิกที่สามารถเดินทางสะดวก เข้าถึงได้ง่าย มีที่ตั้งที่ปลอดภัย เนื่องจากการทำ IV Drip นั้นจะต้องใช้ความสม่ำเสมอเผื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ การเลือกคลินิกที่เดินทางสะดวกจะช่วยทำให้เราสามารถเข้าไปให้วิตามินผิวได้สะดวก
                          • เลือกคลินิกที่มีการแสดงช่องทางติดต่อที่ชัดเจน ติดต่อได้จริง เพื่อที่จะสามารถสอบถามรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการให้วิตามินผิวได้อย่างมั่นใจ และมีความน่าเชื่อถือ
                          • เลือกคลินิกที่มีรีวิวการให้วิตามินผิว และความน่าเชื่อถือ หรือความคิดเห็นจากผู้ที่ใช้งานจริง ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ วิดีโอ หรือข้อความ ซึ่งสามารถดูได้จากโซเชียลมีเดียหรือเว็บไซต์ของคลินิก ก่อนตัดสินใจ

                           

                          ข้อดีของการให้วิตามินผิว
                          ข้อดีของการให้วิตามินผิว

                           

                          ข้อดีของการให้วิตามินผิว

                          • การให้วิตามินผิว สามารถดูดซึมได้รวดเร็วกว่าการทานวิตามิน : เพราะการให้วิตามินผิว เป็นการฉีดเข้าหลอดเลือดดำโดยตรง จึงทำให้วิตามินที่ได้รับจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทันที และนำไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เห็นผลได้ไวกว่าการรับประทานวิตามินทั่วไป
                          • การให้วิตามินผิว สามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด : เนื่องจากการให้วิตามินผิว นั้นสามารถเลือกสูตรวิตามินที่ตรงกับปัญหา และความต้องการของแต่ละบุคคลได้
                          • การให้วิตามินผิวช่วยฟื้นฟูร่างกายได้ถึงภายใน : การให้วิตามินผิว ช่วยให้ร่างกายสดชื่น มีความกระปรี้กระเปร่า ช่วยลดความเหนื่อยล้า ทั้งยังช่วยฟื้นฟูร่างกายได้
                          • การให้วิตามินผิวช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส : การให้วิตามินผิว ช่วยให้บำรุงผิวพรรณให้ดูสดใส เปล่งปลั่ง มีออร่าขึ้น ทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอย ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
                          • การให้วิตามินผิวช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย : การให้วิตามินผิว บางสูตร มีสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ป้องกันโรคได้ดียิ่งขึ้น

                           

                          ข้อควรระวังในการให้วิตามินผิว

                          • ผลข้างเคียง : หลังการให้วิตามินผิว อาจมีอาการข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป แต่ไม่เป็นอันตราย เช่น ผื่นคัน คลื่นไส้ หรืออาเจียน
                          • ความเข้มข้นของวิตามิน : การให้วิตามินผิว ควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากหากได้รับวิตามินในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
                          • การติดเชื้อ : เนื่องจากการให้วิตามินผิวนั้น เป็นการทำหัตถการโดยใช้เข็ม มีการเปิดเส้นเลือด ควรเลือกคลินิกที่มีความสะอาด เพราะหากเครื่องมือหรือสถานที่ที่ทำไม่สะอาด มีการปนเปื้อนของเชื้อโรค อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
                          • ค่าใช้จ่าย : การให้วิตามินผิว ให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการนั้น ต้องใช้ความสม่ำเสมอ และความต่อเนื่องในการทำหลายครั้งติดต่อกัน ซึ่งอาจเกิดปัญหาค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง
                          • ไม่ใช่การรักษาโรค : การให้วิตามินผิวเป็นการดูแลร่างกาย โดยการเสริมวิตามินให้เพียงพอต่อร่างกาย แต่ไม่สามารถรักษาโรคได้ 

                           

                          Q&A ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับ การให้วิตามินผิว

                          การให้วิตามินผิว ทำให้ผิวขาวได้จริงหรือ ?

                          • เรียกได้ว่าเป็นคำถามยอดฮิตที่ใคร ๆ ก็ต้องอยากรู้ก่อนทำว่า การให้วิตามินผิว ทำให้ผิวขาวได้จริงไหม? สามารถเปลี่ยนสีผิวได้ไหม ซึ่งการให้วิตามินผิว นั้น เป็นการเติมวิตามินเข้าสู่ร่างกาย ในแต่ละคลินิกก็จะมีสูตรให้วิตามินผิวที่หลากหลาย โดยส่วนมากแล้วส่วนประกอบของการให้วิตามินผิว จะประกอบไปด้วย วิตามินซี วิตามินบี  (N-Acetyl Cysteine) กรดอะมิโน Antioxidant หรือ Collagen ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ ซึ่งตัว NAC (N-Acetyl Cysteine) ในการให้วิตามินผิวเป็นสารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเกิดริ้วรอย และช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสามารถสังเคราะห์ Glutathione ได้เองตามธรรมชาติ ซึ่งอาจจะทำให้ผิวนั้นมีความกระจ่างใสมากขึ้น มีความชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง มีออร่า แต่ การให้วิตามินผิว ไม่สามารถเปลี่ยนเฉดสีผิวได้อย่างฉับพลัน

                           

                          หยุดให้วิตามินผิวแล้วจะกลับมาคล้ำไหม
                          หยุดให้วิตามินผิวแล้วจะกลับมาคล้ำไหม

                           

                          หยุดให้วิตามินผิว แล้วผิวจะกลับมาคล้ำไหม?

                          • การให้วิตามินผิว ช่วยฟื้นฟูผิวที่คล้ำเสียจากแสงแดด และมลภาวะ ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว และยังช่วยทำให้ผิวมีความแข็งแรงขึ้น ดังนั้นเมื่อหยุดให้วิตามินผิวแล้ว ผิวจะไม่กลับมาคล้ำเสีย หรือผิวจะไม่บางลง อย่างแน่นอน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวหลังทำด้วย เช่น ควรทาบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของวิตามินซี วิตามินบี วิตามินดี หมั่นทากันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน และไม่ควรออกไปสัมผัสกับแดดโดยตรงเป็นเวลานาน

                           

                          การให้วิตามินผิว แตกต่างกับวิตามินแบบทานอย่างไร ?

                          แม้ว่าการให้วิตามินผิว หรือการรับประทานวิตามิน จะเป็นการนำวิตามิน สารอาหารต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกายเหมือนกัน แล้วทั้ง 2 แบบมีความแตกต่างกันไหม ไปดูกันเลย

                          • วิตามินแบบทาน

                          วิตามินในรูปแบบทาน มีหลายแบบในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ยาอม เยลลี่ วิตามินอมใต้ลิ้น หรือรูปแบบเม็ด/แคปซูลที่เราคุ้นชินกัน ซึ่งข้อดีของวิตามินประเภทนี้ คือ หาซื้อง่าย สะดวก ทานง่าย และไม่ต้องเจ็บตัว แต่วิตามินรูปแบบทานนั้นอาจจะทำให้เห็นผลได้ช้ากว่า เนื่องจากต้องผ่านการย่อยหลายขั้นตอน กว่าที่ร่างกายจะดูดซึม และไม่สามารถดูดซึมได้เต็มที่ โดยเฉลี่ยแล้วการดูดซึมจะอยู่ที่ 50% 

                          • การให้วิตามินผิว

                          วิตามินในรูปแบบการให้วิตามินผิวนั้น จะมีอยู่ 2 แบบ คือ การให้วิตามินผิวแบบพุช กับการให้วิตามินผิวแบบผสมน้ำเกลือ การให้วิตามินผิวซึ่งทั้ง 2 วิธีร่างกายจะสามารถดูดซึมสารอาหารและรับวิตามินเข้าไปใช้ได้ถึง 90% เพราะไม่ต้องผ่านกระบวนการการย่อยหลายครั้ง ทำให้เห็นผลได้เร็วกว่า 

                           

                          ส่วนการรับวิตามินในรูปแบบการฉีดหรือ การให้วิตามินผิว มีข้อดีคือร่างกายสามารถดูดซึมวิตามิน และสารอาหารได้ทันที ไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อย ไม่ต้องผ่านการกรอง ทำให้เห็นผลได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ หากมีวิตามินส่วนเกินร่างกายก็ขับออกมาทางของเสียแทน ทำให้การให้วิตามินผิว ไม่มีสารตกค้างในร่างกาย

                           

                          การให้วิตามินผิว คืออะไร ดีจริงไหม ? การดูแลผิวพรรณ เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนต่างให้ความสนใจ เพราะนอกจากจะช่วยเรื่องความสวยงามแล้ว ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจอีกด้วย ซึ่งการดูแลผิวนั้นสามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัย สำหรับใครที่อยากจะปรนนิบัติผิว เติมเต็มความชุ่มชื้น และออร่าให้ผิว รมย์รวินท์คลินิก เราพร้อมให้บริการ ให้วิตามินผิว แล้ววันนี้ทุกสาขา ให้คุณได้สวยในแบบที่เป็นตัวคุณ

                           

                          เสือน้อยเอวา หน้าเด็ก หน้าแบ๊ว ซุปตาร์ตัวใหม่

                          เสือน้อยเอวา หน้าแบ๊ว หน้าเด็ก แบบเสือน้อยเอวา

                          เสือน้อยเอวา ซุปตาร์ตัวใหม่ อยากหน้าเด็ก หน้าแบ๊วแบบน้องเอวา ต้องทำยังไงนะ

                          ขึ้นแท่นดาวดวงใหม่! ใครจะไปคิดว่าเสือโคร่งจะน่ารักได้ขนาดนี้ เมื่อทางเพจเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี โพสต์ภาพความน่ารักของ “น้องเอวา” ลูกเสือโคร่งสตรอว์เบอร์รีสุดน่ารัก ที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี กลายขวัญใจของชาวโซเชียลไปแล้ว ด้วยใบหน้าที่ดูเหมือนลูกแมวเหมียว ทำให้ใคร ๆ ต่างก็หลงรัก จนลืมไปเลยว่านี่คือ เสือโคร่ง ซึ่งความน่ารักของน้องเอวาไม่ใช่แค่หน้าตาเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงนิสัยที่ขี้อ้อน ซุกซน ทำให้ทาสแมวทั้งหลายใจละลาย โดนตกกันแบบเต็ม ๆ ซึ่งหลายคนต่างก็พากันเข้ามาคอมเมนต์ และแชร์ภาพของน้องเอวากันอย่างล้นหลาม จนกลายเป็นไวรัลไปทั่วโลกออนไลน์

                          นอกจากนี้ อีกหนึ่งจุดเด่นของน้องเอวาที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ คือ ความหน้าเด็ก หน้าแบ๊วที่ดูติดแกลม จนหลาย ๆ คนอิจฉา บวกกับความน่ารักของท่าทาง และผิวพรรณลูกคุณหนูที่เหมือนอาบน้ำวันละ 10 รอบ ทำเอาหลาย ๆ คนหลงรักกันไปตาม ๆ กัน แล้วอยากรู้กันไหมว่า เคล็ดลับหน้าเด็กแบบน้องเอวาคืออะไร? ทำอย่างไรให้หน้าเด็ก หน้าอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ วันนี้ รมย์รวินท์คลินิก มีคำตอบมาให้ทุกคนแล้ว อย่าปล่อยให้น้องเอวาหน้าเด็กอยู่คนเดียว!!

                          ไขความลับ หน้าเด็ก หน้าแบ๊วแบบน้องเอวา มีโปรแกรมอะไรบ้าง

                          เสือน้อยเอวา
                          หน้าแบ๊ว หน้าเด็ก แบบเสือน้อยเอวา

                          ทำความรู้จักกับ “เสือน้อยเอวา”

                          “น้องเอวา” เสือโคร่งสีทองสุดหายาก หรือ เสือโคร่งสตรอว์เบอร์รี เพศเมีย อายุ 3 ขวบ ซึ่งมีพี่สาวชื่อ พี่ลูน่า โดยความพิเศษของน้องเอวา คือ ขนสีส้มเข้มสดใส หน้าตาน่ารัก หน้าแบ๊ว ท่าทางซุกซน ขี้เล่นที่ไม่เหมือนเสือตัวไหน ๆ ซึ่งถือเป็นเสือโคร่งสีทองที่หาได้ยากมากในเสือโคร่งทั่วไป โดยสีขนนี้เกิดจากยีนด้อย ที่ทำหน้าที่ควบคุมสีขนบนร่างกาย คล้ายกับเสือโคร่งสีขาว แต่โอกาสที่จะเกิดเสือโคร่งสีทองในลักษณะแบบนี้ จะมีโอกาสเกิดได้ยากมาก มีเพียง 50 – 100 ตัวบนโลกเท่านั้น

                          ซึ่งความโด่งดังของน้องเอวานั้น กลายเป็นขวัญใจของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมชมที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีกันอย่างหนาแน่น เพื่อมาชมความน่ารักของน้องเอวาด้วยตาตัวเอง สำหรับใครที่อยากเห็น ความน่ารักสดใสของน้องเอวาแบบใกล้ชิดตัวจริงเสียงจริง สามารถแวะมาพบน้องได้ที่ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี โซนอาณาจักรเสือ (Tiger World) รับรองว่าจะไม่ผิดหวังกับความน่ารัก หน้าเด็กของน้องเอวาอย่างแน่นอน

                          4 โปรแกรม หน้าเด็ก หน้าแบ๊ว แบบน้องเอวา

                          Radiesse

                          • Radiesse สารเติมเต็ม Biostimulator ที่ผลิตจากสาร CaHA (Calcium Hydroxylapatite) ซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ สร้างโครงตาข่ายสามมิติ (3D Matrix) ในชั้นผิวหนังแท้ ผ่านกระบวนการทางธรรมชาติของร่างกาย ส่งผลให้ผิวแข็งแรงขึ้นจากภายใน พร้อมเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสาร CaHA ใน Radiesse นั้น เป็นสารที่สามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกาย จึงมีความปลอดภัยสูง ไม่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย หลังฉีดสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ
                          • ข้อดีของ Radiesse คือ ช่วยให้ผิวมีโครงสร้างที่แข็งแรง กระชับ แน่น เด้ง อิ่มฟู และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น อีกทั้ง ยังช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ดูสุขภาพดี อมชมพู มีเลือดฝาด
                          • Radiesse เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องปรับรูปหน้า มีปัญหาริ้วรอย ร่องลึก และมีผิวหน้าหย่อนคล้อย โครงหน้ายุบจากชั้นกระดูก
                          • หลังฉีด Radiesse สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 2 ปี

                          Sculptra

                          • Sculptra เป็นหัตถการที่อยู่ในกลุ่ม Biostimulator ซึ่งผลิตจากสาร PLLA (Poly-L-Lactic Acid) สารกระตุ้นคอลลาเจนตัวแรกของโลก ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) ตั้งแต่ปี 1999 โดยสาร PLLA นั้น มีอนุภาคขนาดเล็กมาก เมื่อฉีดเข้าสู่ผิว สารนี้จะเข้าไปกระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ผลิตคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ เพื่อทดแทนคอลลาเจนที่เสียไปตามอายุ ทำให้ผิวที่เคยหลวมกลับมาหนาแน่น อิ่มฟู และยืดหยุ่นมากขึ้น โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย
                          • ข้อดีของ Sculptra คือ กระตุ้นคอลลาเจนได้มากถึง 66% ทำให้ผิวแน่น กระชับ อิ่มฟู และช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นในระยะยาว
                          • Sculptra เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความยืดหยุ่น และผู้ที่มีริ้วรอยอย่างเห็นได้ชัด
                          • หลังฉีด Sculptra สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 2 ปี

                          Oligio

                          • Oligio เทคโนโลยียกกระชับ พร้อมลดไขมันส่วนเกิน โดยใช้คลื่น Monopolar RF (Radio Frequency) ความถี่ 6.78 MHz ซึ่งสามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นผิวหนังแท้  และชั้นไขมัน ทำให้เกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และจัดเรียงคอลลาเจนใหม่ รวมถึง ฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรง ชะลอความเสื่อมของผิวให้ดีขึ้น อีกทั้ง ยังมีระบบตรวจสอบอุณหภูมิผิว ในระหว่างทำได้อย่างแม่นยำ และระบบทำความเย็นอัจฉริยะ ที่ช่วยป้องกันผิวไหม้ ผิวเบิร์น หรือเกิดการระคายเคือง จึงมีความปลอดภัยสูง หลังทำเสร็จไม่ต้องมีการพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
                          • ข้อดีของ Oligio คือ ช่วยให้ผิวแน่น ตึงกระชับ ใบหน้าเรียวเล็ก ริ้วรอยลดเลือนลง และกรอบหน้าชัดเจนมากขึ้น
                          • Oligio เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีใบหน้าหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ไม่กระชับ และผู้ที่มีไขมันส่วนเกิน มีปัญหาคาง 2 ชั้น ต้องการมีรูปหน้าวีเชฟ 
                          • หลังทำ Oligio สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 6 – 12 เดือน

                          Ultherapy Prime

                          • Ultherapy Prime เทคโนโลยียกกระชับผิว ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก เครื่อง Ulthera รุ่นก่อนหน้านี้ โดยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาที่สูงขึ้นและรวดเร็วขึ้นถึง 20% มีหน้าจอคมชัดและใหญ่ขึ้นถึง 35% ทำให้มีความแม่นยำสูง ในการส่งพลังงานไปยังจุดที่ต้องทำการรักษา รวมถึง สามารถแสดงผลได้ดีกว่าเดิม ทำให้แพทย์เห็นโครงสร้างผิวได้อย่างชัดเจนขณะทำ โดย Ultherapy Prime ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์แบบ Micro-Focused Ultrasound (MFUS) ที่มีความเข้มข้นสูงในการยกกระชับผิว ลงลึกถึงชั้น SMAS จึงทำให้เกิดความร้อนขึ้นแบบเฉพาะจุด สามารถยกกระชับผิวหน้าได้เป็นอย่างดี พร้อมกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น
                          • ข้อดีของ Ultherapy Prime คือ ช่วยให้ผิวเฟิร์มกระชับ เต่งตึง ริ้วรอยลดเลือนลง ใบหน้าเรียวเล็ก ผิวแข็งแรงขึ้น หน้าเด็กลง
                          • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าและลำคอ มีปัญหาริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อยมาก
                          • หลังทำ Ultherapy Prime สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 1 ปี หรือมากกว่านั้น 

                          สำหรับใครที่อยากมีหน้าเด็กแบบน้องเอวา ต้องห้ามพลาดกับ 4 โปรแกรมนี้ ทั้ง Radiesse Plus, Sculptra, Oligio และ Ultherapy Prime ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็มีข้อดีที่แตกต่างกันออกไป แนะนำให้เข้ามาปรึกษาได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ได้ทุกสาขา ใกล้ที่ไหนไปที่นั่น โดยแพทย์จะเป็นผู้วิเคราะห์สภาพผิวหน้าของคุณ เพื่อเลือกโปรแกรมการรักษาที่เหมาะสมที่สุด ในการแก้ไขปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด หรือมีไขมันสะสม รับรองว่า ทำแล้วเตรียมมีหน้าเด็กแข่งกับน้องเอวาได้เลย

                          รวมคำถามที่ต้องรู้เกี่ยวกับฉีดฟิลเลอร์

                          คำถามที่ต้องรู้เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์

                          คำถามที่ต้องรู้เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ 

                          ฟิลเลอร์ อีกหนึ่งตัวช่วยเพิ่มความมั่นใจ สร้างมิติให้ใบหน้า พร้อมเติมเต็มร่องลึกต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังฉีด ถือเป็นตัวช่วยที่สาว ๆ มักจะนึกถึงเป็นอันดับแรก ๆ เมื่อต้องการมีผิวหน้าที่อ่อนเยาว์ อิ่มฟู และดูสุขภาพดี แต่ก่อนจะตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ หลายคนอาจเกิดคำถามในใจว่า ฟิลเลอร์สามารถฉีดจุดไหนได้บ้าง? แต่ละจุดควรฉีดกี่ CC? ฉีดแล้วอยู่ได้นานแค่ไหน? ฉีดกี่วันถึงจะเข้าที่? แล้วมีผลข้างเคียงไหม? วันนี้ รมย์รวินท์คลินิก จะมาไขข้อสงสัยทุกประเด็นเกี่ยวกับ การฉีดฟิลเลอร์ รวบรวมมาให้แล้วในบทความเดียว

                           

                          ถาม-ตอบ ทุกข้อสงสัย คำถามที่ต้องรู้เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์

                           

                          คำถามที่ต้องรู้เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์
                          ฟิลเลอร์คืออะไร

                           

                          ฟิลเลอร์ คืออะไร?

                          สารเติมเต็ม ไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid – HA) เป็นสารธรรมชาติที่ผลิตขึ้นมาเพื่อเลียนแบบสารในร่างกายของเรา มีคุณสมบัติในการกักเก็บความชุ่มชื้น คืนความยืดหยุ่นให้ผิวดูอิ่มฟู ทดแทนคอลลาเจนที่สูญเสียไป เมื่ออายุมากขึ้นปริมาณไฮยาลูรอนิกในร่างกายก็จะลดลง ทำให้เกิดริ้วรอยและผิวหย่อนคล้อยตามมา ซึ่งฟิลเลอร์มีความพิเศษ คือ สามารถทำงานได้กับทุกชั้นผิว จึงช่วยปรับโครงสร้างใบหน้า เติมเต็มริ้วรอยและร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้าได้เป็นอย่างดี เช่น ร่องแก้ม คาง ขมับ ใต้ตา หรือริมฝีปาก นอกจากนี้ ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพผิว ทำให้ผิวฉ่ำวาว เรียบเนียน และดูชุ่มชื้น ที่สำคัญ ฟิลเลอร์สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ ไม่ตกค้างในชั้นผิว จึงมีความปลอดภัยสูง

                           

                          ฟิลเลอร์มีกี่ประเภท?

                          • ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว (Temporary Filler) หรือที่เรารู้กันดีว่า ฟิลเลอร์ประเภท ไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) เป็นสารเติมเต็มที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง สามารถสลายได้เอง และให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
                          • ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร (Semi Permanent Filler) เป็นสารเติมเต็มที่ได้รับความนิยมรองลงมาจาก ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว สามารถสลายตัวได้ตามธรรมชาติ แต่ไม่สามารถสลายได้ทั้งหมด เมื่อฉีดไปนาน ๆ อาจก่อให้เกิดปัญหาฟิลเลอร์เป็นก้อนหรืออักเสบตามมาได้ ซึ่งฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวรให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่าฟิลเลอร์แบบชั่วคราว สามารถอยู่ได้นานถึง 2 – 5 ปี ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีดและชนิดของสาร เช่น CaHA (Calcium Hydroxyapatite), PLLA (Poly-L-lactic acid) หรือ Polyalkylimide
                          • ฟิลเลอร์แบบถาวร (Permanent Filler) เป็นสารเติมเต็มที่ออกแบบมาให้คงอยู่ในร่างกายเป็นระยะเวลานานหรืออาจตลอดชีวิต ไม่สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ ทำให้เกิดการตกค้างอยู่ในชั้นผิว เช่น ซิลิโคนเหลว พาราฟิน ซึ่งในปัจจุบัน ฟิลเลอร์ประเภทนี้ ไม่ได้รับการรับรองจาก อย. ไทย  เนื่องจากมีความเสี่ยงและอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงในระยะยาวได้

                           

                          ฉีดฟิลเลอร์ สามารถฉีดจุดไหนได้บ้าง?

                          การฉีดฟิลเลอร์ สามารถฉีดได้หลายจุดบนใบหน้า ซึ่งขึ้นอยู่ว่า ต้องการแก้ไขปัญหาผิวหน้าแบบไหน เช่น ริ้วรอยร่องตื้น ริ้วรอยร่องลึก ปรับรูปหน้า หรือฉีดงานผิว แต่สำหรับจุดที่นิยมฉีดฟิลเลอร์บ่อย ๆ มีดังนี้

                          • ฟิลเลอร์ปาก
                          • ฟิลเลอร์คาง
                          • ฟิลเลอร์ใต้ตา
                          • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม
                          • ฟิลเลอร์ขมับ
                          • ฟิลเลอร์แก้มส้ม
                          • ฟิลเลอร์แก้มตอบ
                          • ฟิลเลอร์กรอบหน้า
                          • ฟิลเลอร์หน้าผาก
                          • ฟิลเลอร์งานผิว ฉีดทั่วใบหน้า

                           

                          ฟิลเลอร์แต่ละจุดใช้กี่ cc
                          ฟิลเลอร์แต่ละจุดใช้กี่ cc

                           

                          แต่ละจุดควรฉีดฟิลเลอร์กี่ CC?

                          การฉีดฟิลเลอร์ในแต่ละจุดของใบหน้าจะใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่แตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับปัญหาผิวหน้า ความลึกของริ้วรอย และความต้องการของแต่ละคน โดยแพทย์จะเป็นผู้แนะนำปริมาณในการฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับแต่ละจุดที่ต้องการแก้ไข เช่น

                          • ริมฝีปาก ใช้ฟิลเลอร์ 1 – 2 CC
                          • คาง ใช้ฟิลเลอร์ 1 – 2 CC
                          • หน้าผาก ใช้ฟิลเลอร์ 3 – 5 CC
                          • แก้มส้ม ใช้ฟิลเลอร์ 2 – 4 CC
                          • ใต้ตา ใช้ฟิลเลอร์ 1 – 3 CC
                          • ร่องแก้ม ใช้ฟิลเลอร์ 2 – 4 CC
                          • ขมับ ใช้ฟิลเลอร์ 2 – 4 CC

                            

                          ฉีดฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนผ่านอย. ไทย?

                          ปัจจุบัน ฟิลเลอร์ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก อย. มีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อก็มีหลายรุ่น แต่ละรุ่นก็เหมาะกับปัญหาผิวและบริเวณที่ฉีดแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการเติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้าให้คมชัด หรือฉีดงานผิวเติมความชุ่มชื้น ดังนั้น การเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสมจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงความต้องการและดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด

                          • Restylane ฟิลเลอร์นำเข้า สัญชาติประเทศสวีเดน
                          • Juvederm ฟิลเลอร์นำเข้า สัญชาติประเทศสหรัฐอเมริกา
                          • Belotero ฟิลเลอร์นำเข้า สัญชาติประเทศสวิตเซอร์แลนด์
                          • Neauvia ฟิลเลอร์นำเข้า สัญชาติประเทศอิตาลี
                          • Definisse ฟิลเลอร์นำเข้า สัญชาติประเทศอิตาลี
                          • Art Filler ฟิลเลอร์นำเข้า สัญชาติประเทศฝรั่งเศส
                          • Volifil ฟิลเลอร์นำเข้า สัญชาติประเทศเกาหลี

                           

                          ฉีดฟิลเลอร์ กี่วันเห็นผล?

                          การฉีดฟิลเลอร์สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ ซึ่งหลังจากนั้นอาจมีอาการบวมเล็กน้อย โดยอาการบวมหลังจากฉีดฟิลเลอร์จะค่อย ๆ หายไป ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลและปริมาณฟิลเลอร์ที่ฉีด ทั้งนี้ สามารถเห็นผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์แบบเต็มที่ ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ ในช่วงแรกแนะนำให้หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีด เนื่องจากฟิลเลอร์ยังไม่เซตตัว อาจทำให้เกิดการเคลื่อนที่ได้ รวมถึงดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อให้ฟิลเลอร์ดูอิ่มฟู ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ

                           

                          ฉีดฟิลเลอร์ อันตรายไหม?

                          การฉีดฟิลเลอร์ไม่เป็นอันตราย เนื่องจากฟิลเลอร์สามารถย่อยสลายเองได้ หากฉีดฟิลเลอร์แท้ เลือกยี่ห้อที่ได้รับความนิยมและปลอดภัย ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก อย. ทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ การเลือกฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์โดยเฉพาะก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิวและคำนวณปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสมสำหรับการฉีดในแต่ละจุด รวมถึง เลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย และมีความน่าเชื่อถือ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงขั้นรุนแรงได้

                           

                          ฉีดฟิลเลอร์ เจ็บไหม?

                          ก่อนเริ่มการฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะทำการแปะยาชาในบริเวณที่ฉีดก่อน ซึ่งยาชาจะออกฤทธิ์ทำให้บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ชาและลดความรู้สึกเจ็บลง โดยทั่วไป ยาชาจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 15 – 20 นาที เมื่อยาชาออกฤทธิ์เต็มที่แล้ว แพทย์จึงจะเริ่มทำการฉีดฟิลเลอร์ตามจุดที่ต้องการ โดยจะรู้สึกเพียงแค่เจ็บจี๊ดเล็กน้อย ซึ่งเป็นความรู้สึกที่สามารถทนได้ และจะหายไปเองหลังจากการฉีดเสร็จสิ้น 

                           

                          ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน
                          ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน

                           

                          ฉีดฟิลเลอร์ อยู่ได้นานแค่ไหน?

                          การฉีดฟิลเลอร์โดยทั่วไปเฉลี่ย สามารถอยู่ได้นานประมาณ 6 – 24 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ ยี่ห้อของฟิลเลอร์ รุ่นที่ใช้ และบริเวณที่ต้องการฉีด เช่น บริเวณริมฝีปาก ฟิลเลอร์อาจสลายตัวได้เร็วกว่าบริเวณอื่น ๆ เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวบ่อย

                           

                          ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ต้องเตรียมตัวอย่างไร?

                          • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ แนะนำให้ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์เบื้องต้น เช่น ฟิลเลอร์มีกี่ยี่ห้อ มีกี่รุ่น, ฟิลเลอร์ช่วยเรื่องไร, ฟิลเลอร์เหมาะกับใคร และสามารถฉีดฟิลเลอร์บริเวณไหนได้บ้าง
                          • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ มีใบอนุญาตถูกต้อง มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์โดยเฉพาะ
                          • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง โดยแพทย์จะเป็นผู้วิเคราะห์และประเมินสภาพผิวหน้า เพื่อวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
                          • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรแจ้งประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา ยาที่รับประทานเป็นประจำ รวมถึง การตั้งครรภ์ให้แพทย์ทราบก่อนฉีดฟิลเลอร์ เพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน
                          • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรแจ้งประวัติการทำหัตถการ ฉีดหน้าต่าง ๆ รวมถึงการทำศัลยกรรม ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
                          • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดยากลุ่มต้านการอักเสบ รวมถึงอาหารเสริมบางชนิดที่ทำให้เลือดแข็งตัว ประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนฉีด เพื่อป้องกันการเกิดรอยช้ำ
                          • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดการดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 – 2 วัน เพื่อลดอาการบวมช้ำและลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง
                          • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดทายาหรือครีมกลุ่มผลัดเซลล์ผิว รวมถึง ดึงหรือโกนขนบริเวณที่ต้องการฉีด

                           

                          หลังฉีดฟิลเลอร์ ต้องดูแลตัวเองอย่างไร?

                          • หลังฉีดฟิลเลอร์ สามารถประคบเย็นได้ เพื่อลดอาการบวมช้ำในบริเวณที่ฉีด โดยประคบอย่างเบามือ ไม่กดแรง
                          • หลังฉีดฟิลเลอร์ งดการนวด กด หรือบีบในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากฟิลเลอร์ยังไม่เข้าที่ดี อาจทำให้ฟิลเลอร์เกิดการเคลื่อนตัวได้
                          • หลังฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ กิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เนื่องจากจะทำให้ร่างกายร้อน เลือดสูบฉีดเร็วขึ้น ส่งผลให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่และเกิดการบวมช้ำได้ง่าย
                          • หลังฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า ในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ อย่างน้อย 1 วัน
                          • หลังฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงความร้อน อากาศร้อนจัด หรือเจอแสงแดดโดยตรง เช่น ซาวน่า ห้องอบไอน้ำ เพื่อป้องกันอาการบวมช้ำและทำให้ฟิลเลอร์เซตตัวได้ดีขึ้น
                          • หลังฉีดฟิลเลอร์ ดื่มน้ำให้มาก ๆ เนื่องจากการดื่มน้ำให้เพียงพอจะยิ่งทำให้ฟิลเลอร์ดูดซับน้ำได้มากขึ้น ทำให้ผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์ดูอิ่มฟูและเป็นธรรมชาติ
                          • หลังฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะทำให้บริเวณที่ฉีดฟื้นตัวช้าและอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้

                           

                          อาหารที่ต้องหลีกเลี่ยงหลังฉีดฟิลเลอร์
                          อาหารที่ต้องหลีกเลี่ยงหลังฉีดฟิลเลอร์

                           

                          หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงอาหารอะไร?

                          หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด เพื่อไม่ให้กระทบต่อผลลัพธ์หลังฉีดและไม่ทำให้ฟิลเลอร์เกิดการอักเสบ โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์แรก ได้แก่

                          • ปิ้งย่าง ชาบู หมูกระทะ ที่ต้องนั่งหน้าเตานาน ๆ เนื่องจากอาจทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่ช้าและสลายตัวเร็วได้
                          • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการบวมแดงหลังฉีดฟิลเลอร์ได้
                          • อาหารรสจัด ทั้งรสหวานจัด เค็มจัด หรือโซเดียมสูง เนื่องจากจะทำให้เกิดอาการบวมและกระตุ้นการอักเสบได้ง่าย
                          • อาหารหมักดอง เช่น ปลาร้า หน่อไม้ดอง เนื่องจากอาจมีแบคทีเรียที่ทำให้แผลเกิดการติดเชื้อได้
                          • อาหารดิบ เนื่องจากอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค ทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อได้

                           

                          ฉีดฟิลเลอร์ 1 กล่อง มีกี่ CC?

                          โดยทั่วไปแล้ว การฉีดฟิลเลอร์ 1 กล่อง จะมีปริมาณ 1 CC เมื่อฉีดออกมาจะมีขนาดเทียบเท่าประมาณ 1 เหรียญบาท ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสมสำหรับ บริเวณที่ต้องการเติมเต็มริ้วรอย ร่องตื้น หรือปรับรูปทรง เช่น ร่องแก้มตื้น ริมฝีปากบาง หรือคาง หากต้องการเติมเต็มในบริเวณที่มีพื้นที่กว้าง พื้นที่ที่มีความลึก หรือมีปัญหาหลายจุด อาจต้องใช้ฟิลเลอร์มากกว่า 1 กล่อง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์

                           

                          ฉีดฟิลเลอร์ มีผลข้างเคียงไหม?

                          ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยหลังฉีดฟิลเลอร์ คือ รอยแดง รอยช้ำ ที่เกิดจากรอยเข็มบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งอาจทำให้เกิดการระบม ฟกช้ำ เล็กน้อย แต่สามารถหายได้เอง ภายใน 2 – 3 วัน หากเกิดผลข้างเคียงที่ผิดปกติหรือรุนแรง เช่น แพ้ฟิลเลอร์ หน้าเบี้ยว หน้าผิดรูป ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้ หลังจากฉีดฟิลเลอร์ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้

                           

                          ฉีดฟิลเลอร์แล้วบวม อันตรายไหม?

                          การฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมถือเป็นเรื่องปกติ โดยทั่วไปอาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ จะค่อย ๆ ยุบลงและหายไปเอง ภายใน 7 – 14 วัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น บริเวณที่ฉีด หากฉีดในบริเวณที่ผิวบอบบาง อาจทำให้มีอาการบวมมากกว่าบริเวณอื่น รวมถึง ปริมาณฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไป หากฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณมากก็อาจมีโอกาสบวมมากกว่าฉีดฟิลเลอร์ปริมาณน้อย ซึ่งการประคบเย็นเบา ๆ จะสามารถลดอาการบวมและอาการปวดลงได้

                           

                          ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน เกิดจากอะไร

                          ฟิลเลอร์เป็นก้อน เป็นอาการที่พบได้บ่อย สังเกตได้จากการสัมผัสในบริเวณที่ฉีด เวลาลูบแล้วเกิดผิวนูน ๆ ดูเป็นก้อนใต้ผิวหนัง เห็นได้ชัดเวลาแสดงสีหน้า เช่น ยิ้ม หัวเราะ หรือพูดคุย ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่

                          • ฉีดฟิลเลอร์ปริมาณมากเกินไป อาจทำให้ฟิลเลอร์กระจายตัวไม่เท่ากัน เกิดการจับตัวเป็นก้อน ดูไม่เป็นธรรมชาติได้
                          • แพทย์ไม่มีความเชี่ยวชาญ หากฉีดฟิลเลอร์โดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ ใช้เทคนิคในการฉีดไม่ถูกต้อง อาจทำให้ฉีดฟิลเลอร์ผิดชั้นผิว จนส่งผลให้ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อนได้
                          • เลือกเนื้อฟิลเลอร์ไม่เหมาะสม เนื่องจากฟิลเลอร์แต่ละรุ่นเหมาะกับปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ดังนั้น หากเลือกฉีดฟิลเลอร์เนื้อแข็งที่มีความหนาแน่นสูงในจุดที่ผิวบอบบาง อาจทำให้เกิดการจับตัวเป็นก้อนได้ง่ายกว่าฟิลเลอร์เนื้ออื่น ๆ
                          • ฉีดฟิลเลอร์ปลอม ไม่ใช่ฟิลเลอร์แท้ที่ใช้สารไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) เมื่อฉีดเข้าไปแล้วไม่สามารถสลายเองได้ ทำให้เวลาผ่านไปเกิดการจับตัวเป็นก้อน ส่งผลให้ใบหน้าผิดรูปได้
                          • มีอาการแพ้ฟิลเลอร์ ร่างกายเกิดปฏิกิริยาต่อต้านฟิลเลอร์ ทำให้เกิดการอักเสบและก้อนขึ้นมา

                           

                          อาการแพ้ฟิลเลอร์ เกิดจากอะไร?

                          อาการแพ้ฟิลเลอร์ เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่มีโอกาสพบน้อยมาก โดยเกิดจากปฏิกิริยาต่อต้านฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปหรือเกิดการติดเชื้อในบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาจมาจากเทคนิคในการฉีดที่ไม่สะอาด เครื่องมือไม่ปลอดเชื้อ แพทย์ไม่มีความชำนาญ ทำให้เกิดการอักเสบ แดง บวม มีตุ่มนูน หรือมีอาการแพ้ต่าง ๆ ตามมา ซึ่งสามารถรักษาได้โดยการฉีดสลาย แต่ในกรณีที่ใช้ฟิลเลอร์แท้จาก ไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) เท่านั้น ซึ่งอาการแพ้ที่เกิดขึ้นจะมีตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง เช่น หายใจลำบาก หายใจไม่ออก หรือหน้าบวม แนะนำให้หมั่นสังเกตอาการในช่วงแรก ๆ ไปจนถึงช่วง 1 เดือนหลังฉีด หากเกิดอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษาให้เร็วที่สุด

                           

                          ฉีดสลายฟิลเลอร์ คืออะไร?

                          การฉีดสลายฟิลเลอร์ เป็นการแก้ไขปัญหาการฉีดฟิลเลอร์แล้ว ให้ผลลัพธ์ไม่ตรงตามความต้องการ เช่น ฉีดแล้วเป็นก้อน ฉีดแล้วดูไม่เป็นธรรมชาติ หรือฉีดแล้วเกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ซึ่งการฉีดสลายฟิลเลอร์ จะใช้สารที่เรียกว่า ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) ในการสลายฟิลเลอร์ประเภท ไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) โดยจะฉีดเข้าไปในบริเวณที่เคยฉีดฟิลเลอร์มาก่อน เพื่อทำลายโครงสร้างและลดการยึดเกาะของฟิลเลอร์ ทำให้ฟิลเลอร์ค่อย ๆ สลายตัวและถูกดูดซึมออกจากร่างกายไปในที่สุด

                           

                          ฉีดฟิลเลอร์ กับ ฉีดโบ สามารถทำพร้อมกันได้ไหม?

                          การฉีดฟิลเลอร์และฉีดโบ สามารถทำควบคู่กันได้ ไม่ก่อให้เกิดอันตราย เนื่องจากฟิลเลอร์และโบ ฉีดคนละชั้นผิวและมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ซึ่งการฉีดโบจะฉีดบริเวณชั้นกล้ามเนื้อ เพื่อออกฤทธิ์ให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว ทำให้ลดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้าและลดขนาดกรามได้อย่างตรงจุด ส่วนฟิลเลอร์ สามารถฉีดได้ทั้ง ผิวหนังชั้นตื้น ผิวหนังชั้นใน หรือแม้แต่ชั้นกระดูก ซึ่งเป็นการเติมเต็มผิวหน้า ทดแทนคอลลาเจนที่เสื่อมสภาพ และแก้ไขโครงสร้างกระดูกที่เกิดการยุบตัว เมื่ออายุมากขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                           

                          ฉีดฟิลเลอร์ กับ Ulthera สามารถทำพร้อมกันได้ไหม?

                          การฉีดฟิลเลอร์ และ Ultherapy สามารถทำควบคู่กันได้ แต่เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แนะนำให้ทำ Ultherapy ก่อน แล้วค่อยฉีดฟิลเลอร์ทีหลัง เนื่องจาก Ultherapyใช้คลื่นพลังงานอัลตราซาวนด์ (Focused Ultrasound) ในการปล่อยความร้อน เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและยกกระชับผิวลงลึกถึงชั้น SMAS ส่วนฟิลเลอร์ เป็นสารเติมเต็มที่ใช้ในการปรับรูปหน้า เติมเต็มริ้วรอยและร่องลึกต่าง ๆ ซึ่งไม่ควรโดนความร้อนทันทีหลังฉีด หากฉีดฟิลเลอร์ก่อน พลังงานจาก Ultherapy อาจไปรบกวนฟิลเลอร์ได้ ทำให้ฟิลเลอร์สลายตัวเร็ว ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่ควร

                           

                          เลือกฟิลเลอร์ยังไงให้ปลอดภัย
                          เลือกฟิลเลอร์ยังไงให้ปลอดภัย

                           

                          เลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์อย่างไรให้ปลอดภัย?

                          • เลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ มีเลขที่ใบอนุญาตประกอบกิจการ 11 หลัก อย่างถูกต้องตามกฎหมายจากกระทรวงสาธารณสุข
                          • แพทย์มีความเชี่ยวชาญ มีใบประกอบวิชาชีพที่ถูกต้อง และมีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์โดยเฉพาะ รวมถึง มีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างผิวหนังเป็นอย่างดี
                          • ใช้ฟิลเลอร์แท้ได้มาตรฐาน ฟิลเลอร์ทุกยี่ห้อได้รับการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นของแท้ โดยให้แพทย์แกะกล่องฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า
                          • มีการนัดติดตามผลหลังฉีดฟิลเลอร์ เพื่อตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้ว่า เป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ หากมีปัญหาหรือเกิดผลข้างเคียงจุดไหน สามารถแก้ไขได้ทันที รวมถึง แพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำวิธีการในการดูแลตัวเองที่ถูกต้องหลังฉีดฟิลเลอร์
                          • ราคาสมเหตุสมผล แนะนำให้เปรียบเทียบราคาหลาย ๆ คลินิก แต่ไม่ควรเลือกคลินิกที่มีราคาถูกจนเกินไป เพราะอาจมีความเสี่ยงที่ฟิลเลอร์จะเป็นของปลอมได้
                          • รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ทั้งรูปภาพ วิดีโอ และอ่านความคิดเห็น จะทำให้สามารถตัดสินใจได้ง่ายและได้เห็นผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีดว่า ตอบโจทย์ความต้องการหรือไม่

                           

                          จะเห็นได้ว่า การฉีดฟิลเลอร์ เป็นหัตถการที่มีความละเอียดอ่อน และมีความซับซ้อนมากกว่าที่คิด ดังนั้น ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ ควรศึกษาหาข้อมูลเบื้องต้นก่อน จากนั้นปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมเกี่ยวกับการ ฉีดฟิลเลอร์ โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินสภาพผิวและออกแบบรูปหน้าที่ตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด สำหรับใครที่มีข้อสงสัยหรือยังเลือกไม่ได้ว่าควรฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหน รุ่นอะไรดี สามารถเข้ามาปรึกษากับทาง รมย์รวินท์คลินิก ได้ทุกสาขา ยินดีให้บริการและพร้อมดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อเติมเต็มผิว ปรับรูปหน้า ให้คุณดูดีทุกมิติ

                          ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน อันตรายไหม แก้ไขได้อย่างไร

                          ฟิลเลอร์เป็นก้อน

                          อุทาหรณ์! ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน มีวิธีแก้อย่างไร?

                          กระแสความนิยมในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อแก้ไขปัญหาริ้วรอยใต้ตา เบ้าตาลึก หรือถุงใต้ตาหย่อนคล้อย ทำให้ใบหน้าทรุดโทรม ไม่สดใส กำลังมาแรงมาก โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น แต่กลับกลายเป็นประเด็นที่กำลังถูกพูดถึงในช่วงนี้ เนื่องจากมีหลายคนไปฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามาแล้วเป็นก้อน เจอฟิลเลอร์ไม่ได้คุณภาพ ราคาถูก แพทย์ไม่มีความเชี่ยวชาญ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาผิดตำแหน่ง จนทำให้เกิดเป็นก้อนบวมบริเวณใต้ตา หากปล่อยไว้นาน อาจเสี่ยงติดเชื้อและก่อให้เกิดอันตรายได้ ต้องรีบแก้ไขโดยด่วน

                           

                          ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน คืออะไร?

                          ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน มีลักษณะเป็นก้อนนูน ๆ ขึ้นมาบริเวณใต้ตา สามารถเห็นได้ชัดเวลาที่แสดงสีหน้า เช่น ยิ้ม พูดคุย หรือหัวเราะ ซึ่งอาจเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาในปริมาณมากเกินไป เทคนิคในการฉีดที่ไม่ถูกต้อง หรือฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับแพทย์ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ ทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาดูไม่เป็นธรรมชาติหรือเกิดการอักเสบได้ ซึ่งนอกจาก ก้อนนูนบริเวณใต้ตาแล้ว หากมีอาการแดง รู้สึกเจ็บ หรือก้อนเริ่มขยายใหญ่ ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการแก้ไขทันที

                           

                          ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนเกิดจากอะไร
                          ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนเกิดจากอะไร

                          ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน เกิดจากอะไร

                          • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาปริมาณมากเกินไป การฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณมากเกินความพอดี อาจทำให้ฟิลเลอร์ไม่สามารถกระจายตัวอย่างทั่วถึง จนเกิดการจับตัวเป็นก้อนได้
                          • เลือกเนื้อฟิลเลอร์ไม่เหมาะสมกับบริเวณที่ฉีด เนื่องจากฟิลเลอร์มีให้เลือกหลายยี่ห้อและหลายรุ่น ซึ่งแต่ละรุ่นก็เหมาะกับบริเวณที่ฉีดแตกต่างกัน หากเลือกรุ่นฟิลเลอร์ที่มีเนื้อแข็ง มีความหนาแน่นและคงตัวสูง แล้วนำมาฉีดบริเวณที่ผิวบอบบางอย่าง ใต้ตา อาจทำให้ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนได้
                          • เทคนิคในการฉีดไม่ถูกต้อง ฉีดฟิลเลอร์ไม่ตรงชั้นผิว เช่น ฉีดเข้าไปที่ชั้นกล้ามเนื้อ ฉีดเข้าไปที่ชั้นตื้น อาจทำให้ฟิลเลอร์บริเวณใต้ตา เคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งอื่นและกลายเป็นก้อนใต้ตาได้
                          • ฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ผ่านการรองรับความปลอดภัยจาก อย. อาจเป็นฟิลเลอร์ปลอม มีส่วนประกอบที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ไม่สามารถสลายตัวได้ตามธรรมชาติ เมื่อฉีดเข้าไปแล้วก่อให้เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ และเกิดเป็นก้อนบริเวณใต้ตาได้
                          • สภาพผิวหน้าไม่เหมาะสม เนื่องจากสภาพผิวของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน หากมีผิวใต้ตาบางมาก อาจทำให้เห็นฟิลเลอร์ได้ชัดเจนและจับตัวเป็นก้อนได้ง่าย รวมถึง หากมีกล้ามเนื้อบริเวณหัวตาแข็งแรง จนทำให้ฟิลเลอร์ใต้ตาที่ฉีดเข้าไปถูกดันและเคลื่อนที่ จนเกิดเป็นก้อนได้ แม้ว่าจะใช้เทคนิคในการฉีดที่ถูกต้องก็ตาม
                          • แพทย์ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความเชี่ยวชาญ หรือไม่มีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างผิว ทำให้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไม่ตรงจุด รวมถึง เลือกเนื้อฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับปัญหาที่ต้องการแก้ไข ทำให้ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนอย่างเห็นได้ชัด

                           

                          อุทาหรณ์ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน
                          อุทาหรณ์ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน

                          ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน มีวิธีแก้อย่างไร

                          • ฉีดสลายฟิลเลอร์

                          เบื้องต้นหากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน ต้องพิจารณาก่อนว่า ฟิลเลอร์ที่ฉีดเป็นของแท้หรือไม่ หากเป็นฟิลเลอร์ประเภท ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) สามารถให้แพทย์ฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ ซึ่งการฉีดสลายฟิลเลอร์จะช่วยแก้ไขปัญหาฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วบวม หรือฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วผิวไม่เรียบเนียน โดยใช้สารไฮยาลูรอนิเดส (Hyaluronidase) ฉีดเข้าไปบริเวณที่เป็นก้อน เพื่อทำปฏิกิริยากับโมเลกุลของฟิลเลอร์ ทำให้เกิดการสลายตัว

                          •  ขูดฟิลเลอร์

                          เป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์ปลอมหรือฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ เมื่อฉีดเข้าไปในใต้ตาแล้วเกิดปัญหาฟิลเลอร์อักเสบ ฟิลเลอร์เป็นก้อน ซึ่ง แพทย์จะทำการขูดฟิลเลอร์ออก แต่ไม่สามารถขูดได้หมด 100% อาจทำให้ฟิลเลอร์ยังคงตกค้างอยู่ในผิว

                          • ผ่าตัด

                          การผ่าตัดเพื่อนำฟิลเลอร์ออก เป็นหนึ่งในวิธีการแก้ไขปัญหาการฉีดฟิลเลอร์ ประเภทซิลิโคนเหลว เช่น ฟิลเลอร์เป็นก้อนขนาดใหญ่และแข็ง รวมถึง ฟิลเลอร์เกาะติดกับเนื้อเยื่อ จนเกิดเป็นพังผืด ไม่สามารถขูดฟิลเลอร์ออกได้ ซึ่งการผ่าตัดมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อหรือความเสี่ยงเกี่ยวกับเส้นประสาท จึงควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจผ่าตัด

                           

                          วิธีป้องกันไม่ให้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน

                          • เลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือและได้มาตรฐานเท่านั้น ห้ามฉีดกับคลินิกเถื่อนเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดปัญหาฟิลเลอร์ไหล ฟิลเลอร์เป็นก้อน หรือใบหน้าผิดรูปได้
                          • เลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการฉีดฟิลเลอร์โดยเฉพาะ เนื่องจากไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาได้ แพทย์ต้องมีประสบการณ์และมีความเข้าใจโครงสร้างชั้นผิวเป็นอย่างดี
                          • ศึกษาข้อมูลและปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา รวมถึง แจ้งประวัติการแพ้ยา สภาพผิว และความต้องการให้แพทย์ทราบ เพื่อให้แพทย์วางแผนการรักษาที่เหมาะสม ลดความเสี่ยงในการเกิดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน
                          • เลือกเนื้อฟิลเลอร์ให้เหมาะสม โดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ จะเป็นผู้วิเคราะห์สภาพผิวหน้าและเลือกเนื้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับบริเวณใต้ตา ลดความเสี่ยงการเกิดปัญหาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน
                          • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ โดยหลีกเลี่ยงการนวดหรือกดในบริเวณที่ฉีด งดแต่งหน้าในวันแรก รวมถึง หลีกเลี่ยงความร้อนและงดกิจกรรมที่ต้องเจอแสงแดดแรง ๆ  
                          • สังเกตอาการหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หากมีอาการผิดปกติ เช่น บวม แดง อักเสบ หรือฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

                           

                          การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ถือเป็นหัตถการที่ค่อนข้างยาก ต้องอาศัยเทคนิคให้การฉีดและประสบการณ์ของแพทย์เป็นหลัก เพื่อให้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นไปได้อย่างราบรื่น ลดความเสี่ยงในการเกิดก้อนนูนบริเวณใต้ตา แต่สำหรับใครที่ยังไม่มั่นใจว่า จะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี แนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์กับทาง รมย์รวินท์คลินิก  เราพร้อมให้บริการ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการอบรมเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์โดยตรง จากบริษัทที่นำเข้าฟิลเลอร์โดยเฉพาะ ทำให้มั่นใจได้เลยว่า จะได้รับการดูแลอย่างดีและผลลัพธ์ที่ได้ตรงตามความต้องการ หมดต้องกังวลเรื่องฉีดฟิลเลอร์แล้วจะเกิดก้อนนูนบริเวณใต้ตาได้เลย

                           

                          อันตรายจากของหวาน รู้หรือไม่ … กินของหวานมื้อเช้า เสี่ยงอ้วนง่ายกว่าที่คิด

                          อันตรายจากของหวาน

                          กินของหวานมื้อเช้า เสี่ยงอ้วนง่ายกว่าที่คิด

                          ปัจจุบันในยุคที่ทุกคนหันมาใส่ใจสุขภาพและรูปร่าง การเลือกกินอาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการกินของหวานที่มักมีส่วนประกอบของไขมัน แป้ง และน้ำตาลสูง ซึ่งของหวานถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของร่างกายเลยก็ว่าได้ หากเลือกกินของหวานไม่ถูกที่ไม่ถูกเวลา เลือกกินในตอนเช้า หรือตอนที่ท้องยังว่างอยู่ อาจส่งผลเสียต่อระดับน้ำตาลในเลือด และยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย บทความนี้ รวบรวมเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ การกินของหวานในตอนเช้ามาให้แล้วว่า การกินของหวานตอนเช้าส่งผลเสียอย่างไร? อาหารแบบไหนบ้างที่ไม่ควรกิน? เมื่อกินไปแล้วจะมีวิธีดูแลรูปร่างอย่างไรบ้าง? สามารถอ่านบทความนี้ได้เลย

                           

                          กินของหวานมื้อเช้า อ้วนจริงไหม? ทำไมถึงไม่ควรกิน?

                           

                          อันตรายจากของหวาน กินหวานมื้อเช้า ส่งผลต่อร่างกายอย่างไร

                          อันตรายจากของหวาน กินของหวานมื้อเช้าส่งผลต่อร่างกายอย่างไร?

                          น้ำตาลพุ่งสูง (Glucose Spike) 

                          • เมื่อกินของหวานตอนท้องว่างเข้าไป น้ำตาลจะเกิดการแตกตัวกลายเป็นโมเลกุลกลูโคส โดยจะถูกย่อยอย่างรวดเร็วและดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดอาการ Glucose Spike หรือภาวะน้ำตาลพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลมาจากการกินน้ำตาลและแป้งสูงเกินไป โดยสิ่งนี้จะทำให้เรารู้สึกดีและมีพลังงานในระยะเวลาอันสั้น ประมาณ 1 – 2 ชั่วโมงแต่หลังจากนั้นไม่นาน ระดับน้ำตาลก็จะตกลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลลดต่ำกว่าปกติ (Glucose Crash) ส่งผลให้ร่างกายรู้สึกหิว และต้องการความหวานเพิ่มขึ้นอีก

                          ดื้ออินซูลิน 

                          • เมื่อกินของหวานในตอนเช้า ร่างกายต้องเผชิญกับภาวะน้ำตาลสูง ทำให้ตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ออกมาในปริมาณมาก เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แต่หากเกิดภาวะน้ำตาลสูงขึ้นบ่อย ๆ ตับอ่อนก็จะทำงานหนักขึ้นกว่าเดิมจนเกิดความเสื่อม ส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่โรคเบาหวานได้

                          น้ำหนักเพิ่มขึ้น

                          • เมื่อกินของหวานในตอนเช้า น้ำตาลส่วนเกินจะไม่สามารถถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ ทำให้ไขมันที่มีอยู่ในร่างกายไม่ได้ถูกดึงไปใช้ ดังนั้น น้ำตาลส่วนเกินที่ร่างกายนำเข้ามา จึงถูกสะสมไว้ในรูปแบบไขมันส่วนเกิน ซึ่งส่งผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นนั่นเอง

                          อารมณ์แปรปรวน

                          • เมื่อน้ำตาลในเลือดขึ้นสูงและลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์และสมอง รู้สึกหงุดหงิด กระสับกระส่าย หรืออ่อนล้าได้ง่าย รวมถึง ยังส่งผลต่อสมาธิและความสามารถในการเรียนรู้ อีกด้วย

                          เสี่ยงโรคเรื้อรัง

                          • การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอ้วน

                           

                          อาหารแบบไหนไม่ควรกินมื้อเช้า
                          อาหารแบบไหนไม่ควรกินมื้อเช้า

                           

                          อาหารแบบไหนที่ไม่ควรกินมื้อเช้า?

                          ของหวาน 

                          • เนื่องจาก ของหวานทุกประเภท เช่น โดนัท เค้ก คุกกี้ หรือไอศกรีม เป็นอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลสูง ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง และตกลงอย่างรวดเร็ว ทำให้รู้สึกหิวบ่อย จนอาจนำไปสู่โรคอ้วน หรือโรคเบาหวานในอนาคตได้

                          ซีเรียล

                          • เนื่องจาก ซีเรียลสำเร็จรูป เป็นอาหารเช้าที่มีน้ำตาลสูงและใยอาหารต่ำ ซึ่งการกินซีเรียลเพียงอย่างเดียว อาจทำให้รู้สึกหิวเร็ว หิวบ่อย รวมถึง เสี่ยงระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นได้ ดังนั้น การกินซีเรียลในมื้อเช้าจึงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี

                          น้ำผลไม้สำเร็จรูป 

                          • เนื่องจาก น้ำผลไม้สำเร็จรูปหลายชนิด มักมีน้ำตาลสูง ซึ่งอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และตกลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้หิวบ่อย หิวเร็ว นอกจากนี้ การดื่มน้ำผลไม้สำเร็จรูป ยังทำให้เราขาดใยอาหารที่ได้จากการกินผลไม้สด ซึ่งใยอาหารมีบทบาทสำคัญ ที่จะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มนาน และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย

                          ชานมไข่มุก

                          • เนื่องจาก ชานมไข่มุกมักมีปริมาณน้ำตาลและไขมันที่สูงมาก ซึ่งหากดื่มในตอนเช้า อาจทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนส่งผลให้รู้สึกหิวบ่อยในระหว่างวัน นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วน และโรคเบาหวานได้อีกด้วย

                          น้ำอัดลม

                          • เนื่องจาก น้ำอัดลมมีปริมาณน้ำตาลที่สูงมาก การดื่มในตอนเช้าจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นจะตกลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ 

                          อาหารแปรรูป 

                          • เนื่องจาก อาหารแปรรูปบางชนิด เช่น ไส้กรอก เบคอน แฮม หรืออาหารกระป๋อง มักมีสารกันบูด โซเดียม และน้ำตาลสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย

                          อาหารทอด 

                          • เนื่องจาก อาหารที่ผ่านกระบวนการทอด เช่น ไก่ทอด เฟรนช์ฟราย มักมีปริมาณไขมันและแคลอรี่สูง ซึ่งการรับประทานอาหารทอดที่มากเกินไป อาจนำไปสู่โรคหัวใจ และหลอดเลือดได้ นอกจากนี้ การใช้น้ำมันทอดอาหารซ้ำ ๆ อาจก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งได้อีกด้วย

                          3 โปรแกรม ปิดจบความหวาน กู้คืนหุ่นสวย 

                           

                          3 โปรแกรม จบความหวาน กู้หุ่นสวย
                          3 โปรแกรม จบความหวาน กู้หุ่นสวย

                           

                          Slim & Slander โปรแกรมคุมหิว ปรับการกิน

                          • Slim & Slender หรือ เปปไทด์คุมหิว เป็นเทคโนโลยีลดน้ำหนักทางเลือกใหม่ โดยมีสารสำคัญอย่าง “เปปไทด์” ซึ่งจะออกฤทธิ์เลียนแบบการทำงานของฮอร์โมน GLP-1 (Glucagon-Like Peptide 1) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายผลิตขึ้นเองตามธรรมชาติ ถูกปล่อยออกมาหลังจากรับประทานอาหาร โดยเปปไทด์จะเข้าไปควบคุมความอยากอาหาร ลดการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ส่งผลให้อาหารอยู่ในกระเพาะนานขึ้น ย่อยช้าลง ทำให้รู้สึกอิ่มนาน
                          • Slim & Slender เหมาะสำหรับผู้ที่หิวบ่อย รู้สึกหิวตลอดเวลา ชอบกินของหวาน ของทอด รวมถึง ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักและควบคุมอาหาร แต่ยังไม่มีเวลาออกกำลังกาย
                          • ผลลัพธ์หลังใช้ Slim & Slender คือ ช่วยควบคุมอาหาร ปรับสมดุลลำไส้ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว อิ่มนาน ลดความอยากอาหาร และลดการกินจุกจิกระหว่างวัน นอกจากนี้ ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน หรือโรคอ้วนได้อีกด้วย

                           

                          IV Energy Plus โปรแกรมบูสต์ระบบเผาผลาญเร่งด่วน

                          • IV Energy Plus เป็นการให้วิตามิน และสารอาหารผ่านทางหลอดเลือดดำ สามารถเข้าสู่ร่างกายโดยตรง ดูดซึมได้ถึง 100% โดยประกอบไปด้วยสารสำคัญหลายชนิดอย่าง L-Carnitine ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้เองจากตับและไต โดยจะเข้าไปช่วยให้ร่างกายนำไขมันที่สะสมมาใช้เป็นพลังงาน เร่งอัตราการเผาผลาญไขมันลึกถึงระดับเซลล์ ทำให้ไขมันส่วนเกินลดลง ถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพ
                          • IV Energy Plus เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบเผาผลาญ ชอบกินของหวาน อาหารที่มีไขมันสูง รวมถึง ผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก และออกกำลังกายเป็นประจำ ซึ่งการให้ IV Energy Plus จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการออกกำลังกายให้ดียิ่งขึ้น
                          • ผลลัพธ์หลังให้ IV Energy Plus คือ ช่วยเร่งระบบเผาผลาญ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด พร้อมเสริมสร้างกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ ยังช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ที่เกิดจากการทำลายของสารอนุมูลอิสระอีกด้วย

                           

                          Fit Shape Body โปรแกรมรีดไขมัน กระชับสัดส่วน

                          • Fit Shape Body เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุความถี่เฉพาะ 448 kHz ซึ่งมีความปลอดภัย ในการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในร่างกาย สามารถสลายไขมันในช่องท้อง และเซลลูไลต์ได้อย่างตรงจุด โดยไม่ทำลายเซลล์อื่น ๆ รวมถึง ยังต่อต้านการสร้างใหม่ของเซลล์ไขมัน พร้อมกระตุ้นการไหลเวียนเลือด เพิ่มออกซิเจนให้กับเซลล์ใต้ชั้นผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ สามารถกระชับผิวในบริเวณที่หย่อนคล้อยได้เป็นอย่างดี
                          • Fit Shape Body เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเซลลูไลต์ ผิวขรุขระ ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ มีไขมันสะสมตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย รวมถึง ผู้ที่ต้องการลดสัดส่วนแบบเร่งด่วน 
                          • ผลลัพธ์หลังทำ Fit Shape Body คือ ช่วยกำจัดเซลล์ไขมันส่วนเกิน ทั้งในชั้นผิวหนังและในช่องท้อง (Visceral Fat) อีกทั้ง ยังช่วยกำจัดเซลลูไลต์ และผิวเปลือกส้มในทุกระดับชั้นผิว พร้อมลดการอักเสบและลดอาการบวมน้ำ ทำให้ผิวเรียบเนียน รูปร่างเฟิร์มกระชับ ไม่ห้อยย้อย 

                           

                          สัมผัสประสบการณ์ดูแลรูปร่างได้ ที่ รมย์รวินท์ ทุกสาขา

                          สำหรับใครที่สนใจดูแลรูปร่าง อยากมีหุ่นสวยแบบเร่งด่วน สามารถเข้ามาปรึกษากับ รมย์รวินท์คลินิก ได้ทุกสาขา เราพร้อมดูแลคุณอย่างใกล้ชิด ด้วยโปรแกรมดูแลรูปร่างที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการลดน้ำหนัก ปรับการกิน กำจัดไขมัน หรือกระชับสัดส่วน โดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ ที่สามารถวิเคราะห์รูปร่างได้อย่างแม่นยำ เพื่อวางแผนการรักษาที่ตรงจุด ให้คุณมีหุ่นสวยกลับบ้านได้อย่างมั่นใจ

                           

                          ทางลัดกู้หุ่นพัง สู่หุ่นปังระดับจักรวาล ฉบับ รมย์รวินท์

                          ทางลัดกู้หุ่นพัง

                          ยินดีกับสาวงามประเทศไทย ในการประกวด Miss Universe 2024 ที่ประเทศเม็กซิโก ที่คว้ารางวัล รองอันดับ 3 มาครอง แน่นอนว่า เรื่องความเป๊ะ ความปังนั้น เราไม่น้อยหน้าใคร นอกจากความสวย ความฉลาดแล้ว หุ่นของเราก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก ถึงแม้ภารกิจระดับจักรวาลจะไม่สำเร็จ แต่ต้องยอมรับจริง ๆ ว่า สาวไทยของเราเรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย กับการประกวดในรอบไฟนอลนี้ 

                           

                          ใครที่เห็นหุ่นสาวไทย ในรอบประกวดไฟนอล เป็นต้องร้องฮือฮากันทั้งทั้ง เพราะสาวโอปอล์ทั้งรูปร่าง หุ่นแซ่บสะพรึง ทรวดทรงดีไม่มีใครเกิน

                           

                          ใครที่อยากมีหุ่นสวยแบบสาวโอปอล์ หรืออยากรักษาหุ่นเพราะอยากเข้าประกวดบ้างในปีถัดไปแบบไม่ต้องออกกำลังกาย  แค่มา รมย์รวินท์คลินิก พร้อมด้วย 4 โปรแกรมลับกระชับหุ่นสวย สัดส่วนจึ้งจับใจจักรวาล ไม่แพ้นางงาม แม้หุ่นพังแค่ไหนก็ลดได้ ฉีกทุกกฎของการดูแลรูปร่างไว้ในที่นี่ที่เดียว บทความนี้รวบรวมมาให้แล้วแบบม้วนเดียวจบ

                          รวมโปรแกรมปั้นหุ่นนางงาม ทางลัดกู้หุ่นพัง แบบสวยเร่งด่วน

                          ทางลัดกู้หุ่นพัง
                          ทางลัดกู้หุ่นพัง

                          TOP 4 โปรแกรมหุ่นสับ แบบนางงามจักรวาล

                          Coolsculpting 

                          • Coolsculpting เทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็นระดับจุดเยือกแข็ง โดยใช้อุณหภูมิอยู่ที่ -11 ถึง -13 °C ซึ่งเป็นระดับความเย็นที่มีงานวิจัยรองรับกว่า 120 ฉบับว่า สามารถลดเซลล์ไขมันที่สะสมอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างถาวร โดยการฟรีซเซลล์ไขมันให้แข็งตัวและตายไปในที่สุด จากนั้นเซลล์ไขมันที่ตายแล้วจะค่อย ๆ สลายตัว และถูกขับออกจากร่างกายตามกระบวนการธรรมชาติ ผ่านทางระบบขับถ่ายในรูปแบบของเสีย เช่น ปัสสาวะ หรืออุจจาระ โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงอันตรายต่อร่างกาย สามารถเลือกทำเฉพาะจุดได้ เช่น ต้นขา ต้นแขน หน้าท้อง เอว หรือสะโพก ใช้เวลาเพียงแค่ 35 นาที หลังทำเสร็จไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
                          • Coolsculpting เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด ลดไขมันยาก พยายามอดอาหารและออกกำลังกายแต่ไม่เห็นผล ต้องการลดไขมันเร่งด่วน รวมถึง ผู้ที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ไม่มีเวลาจ้างเทรนเนอร์
                          • ผลลัพธ์หลังทำ Coolsculpting คือ สามารถกำจัดเซลล์ไขมันได้มากถึง 27 – 31% ทำให้สัดส่วนลดลง รูปร่างสมส่วนมากขึ้น หุ่นสวยขึ้นกว่าเดิม

                           

                          Emsculpt 

                          • Emsculpt เทคโนโลยีสร้างกล้ามเนื้อ ที่ให้มากกว่าการออกกำลังกาย ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความเข้มข้นและความถี่สูง HIFEM (High Intensity Focused Electromagnetic) สามารถสร้างกล้ามเนื้อ พร้อมสลายไขมันได้ในขั้นตอนเดียว โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อให้เกิดการหดตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งการหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่องซ้ำ ๆ จะสามารถสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาใหม่ และเพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อที่มีอยู่เดิมได้อย่างตรงจุด ในขณะเดียวกันนั้น การเผาผลาญของร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้ไขมันสะสมตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายลดลง โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย ใช้เวลาเพียง 30 นาที ก็เทียบกับการซิทอัพถึง 20,000 ครั้ง สามารถเลือกทำได้หลากหลายบริเวณ เช่น ต้นแขน หน้าท้อง สะโพก หรือต้นขา
                          • Emsculpt เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ ปั้น Six Pack ให้ชัด ปั้นสะโพกให้กลมสวย และผู้ที่ไม่มีเวลาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ต้องการสร้างกล้ามเนื้อแบบเร่งด่วน รวมถึง คุณแม่หลังคลอด ต้องการแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อหน้าท้องแยกให้กลับมาชิดกัน
                          • ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ Emsculpt คือ สามารถเพิ่มมวลกล้ามเนื้อได้ถึง 16% พร้อมลดไขมันได้ถึง 19% และลดการแยกของกล้ามเนื้อหน้าท้องได้ถึง 11% ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง สัดส่วนดูดี หุ่นสวยมากขึ้น

                           

                          Oligio Body

                          • Oligio Body เทคโนโลยียกกระชับรูปร่าง ด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง Monopolar RF (6.78 MHz) สามารถยิงเข้าสู่ชั้นผิวหนัง 4.3 มิลลิเมตร ลงลึกได้ถึงชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ปล่อยพลังงานได้อย่างต่อเนื่อง และกระจายพลังงานได้ดี มีความแม่นยำสูง ด้วยเทคนิค Fast Moving Technique เป็นเทคนิคเฉพาะที่ถูกออกแบบมา เพื่อยกกระชับสำหรับเครื่อง Oligio เท่านั้น สามารถปรับพลังงานได้ 3 โหมด ทั้งโหมดเดี่ยว โหมดคู่ และโหมดอัตโนมัติ เพื่อตอบโจทย์ปัญหาที่แตกต่างได้อย่างตรงจุด โดยจะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสติน ทำให้ผิวเต่งตึง กระชับ ลดความหย่อนคล้อย รวมถึง ยังทำให้เซลล์ไขมันใต้ผิวหนังแตกตัว และสลายไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีระบบตรวจจับอุณหภูมิอัจฉริยะ แบบ Real Time สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดผิวไหม้ ผิวเบิร์นหลังทำ หากมีความร้อนสูงเกิน 43 °C ตัวเครื่องจะหยุดทำงานทันที จึงมีความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย
                          • Oligio Body เหมาะสำหรับผู้ที่อายุมาก มีปัญหารูปร่างหย่อนคล้อย ผิวเหี่ยวย่น ห้อยย้อย ไม่เฟิร์มกระชับ รวมถึง ผู้ที่มีไขมันสะสมตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย
                          • ผลลัพธ์หลังทำ Oligio Body สามารถกระชับสัดส่วน ลดความหย่อนคล้อยได้ถึง 20 – 30% พร้อมลดไขมันส่วนเกิน และชะลอความหย่อนคล้อยของผิว ทำให้รูปร่างเฟิร์มกระชับ หุ่นสวย ดูอ่อนกว่าวัย

                           

                          Fit Shape Body

                          • Fit Shape Body โปรแกรมสลายไขมันในช่องท้อง พร้อมกำจัดเซลลูไลต์ ด้วยเทคโนโลยี CRMRF (Capacitive Resistive Monopolar Radiofrequency) ที่ใช้คลื่นวิทยุความถี่เฉพาะ 448 kHz โดยเข้าไปขจัดไขมันที่สะสม ทำให้ไขมันเกิดการหดตัวและแตกตัว หลังจากนั้นร่างกายจะขับไขมันออกมาอัตโนมัติผ่านทางระบบขับถ่าย สามารถกำจัดเซลลูไลต์ได้ในทุกระดับชั้นผิว และเพิ่มอัตราการเผาผลาญภายในร่างกายให้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีระบบโปรไอออนิก (Proionic) สามารถควบคุมอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย ซึ่งจะทำงานร่วมกับคลื่นวิทยุ ลงลึกไปถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับเซลล์ เพิ่มการไหลเวียนเลือด ลดอาการบวม รวมถึง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว โดยไม่ทำลายเซลล์อื่น ๆ ในร่ากงาย
                          • Fit Shape Body เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมัน เซลลูไลต์ และผิวเปลือกส้ม ชอบรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง รวมถึง ผู้ที่ไม่ชอบออกกำลังกาย ระบบเผาผลาญทำงานช้า
                          • ผลลัพธ์หลังทำ Fit Shape Body สามารถลดไขมันสะสม ทั้งในชั้นผิวหนังและช่องท้อง (Visceral Fat) ได้ถึง 11% ลดเซลลูไลต์และผิวเปลือกส้มได้อย่างตรงจุด ทำให้สัดส่วนกระชับ เต่งตึง ผิวไม่หย่อนคล้อย หุ่นสวยมากขึ้น

                           

                          สัมผัสความสวยที่จักรวาลเลือกแล้วที่ Romrawin Clinic ทุกสาขา

                          สำหรับใครที่อยากปรับลุคใหม่ ทวงคืนความมั่นใจให้รูปร่างอีกครั้ง 4 โปรแกรมนี้ถือเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ ตั้งแต่การสลายไขมัน สร้างกล้ามเนื้อ ยกกระชับผิว ไปจนถึงการกำจัดเซลลูไลต์อย่างมีประสิทธิภาพ หากใครที่สนใจดูแลรูปร่าง สามารถเข้ามาปรึกษากับทาง รมย์รวินท์คลินิก ได้ทุกสาขา เรามีทีมแพทย์และทีม Specialist ที่มีความรู้ ความชำนาญด้านรูปร่างโดยเฉพาะ สามารถวิเคราะห์และออกแบบรูปร่างได้อย่างตรงจุด เพื่อให้คุณมีหุ่นสวยสับ สุขภาพดี ลืมหุ่นพังไปได้เลย

                          รมย์รวินท์ เปิดตำราหน้าใส ไร้สิว รับลอยกระทง 2024

                          ลอยกระทง ลอยหน้าสิว

                          AviClearลอยกระทงปีนี้ ขอลอยหน้าสิว ผิวเสียให้หายไป

                          จันทร์เอ๋ย จันทร์เจ้า … ลอยกระทงปีนี้ ขอปล่อยความทุกข์และปัญหากวนใจทิ้งไป ลอยหน้าสิว ผิวไม่ใสให้หายเกลี้ยง แล้วขอพรให้ได้ผิวใหม่ หน้าใส ไร้สิวจงอยู่กับเราตลอดไป ไม่กลับมาเป็นสิวซ้ำด้วยเทอญ 

                          ปัญหาสิว เป็นปัญหาโลกแตกที่ตามหลอกหลอนใครหลายคนอยู่ ไม่ว่าจะพยายามดูแลหรือรักษาเท่าไหร่ สิวตัวร้ายก็ยังคงขึ้นมากวนใจอยู่เสมอ หากปล่อยไว้ ไม่รีบรักษาอย่างถูกวิธี อาจทำให้สิวลุกลาม กลายเป็นปัญหาใหญ่ตามมาได้  

                          ใกล้จะถึงวันลอยกระทงแล้ว เตรียมพร้อมบอกลาหน้าสิว ผิวไม่ใสแล้วหรือยัง? วันนี้ รมย์รวินท์ จะมาแนะนำสุดยอดเทคโนโลยี ที่จะช่วยสยบปัญหาสิวทุกรูปแบบ จัดการสิวได้ตั้งแต่ต้นตอ พร้อมป้องกันการเกิดสิวซ้ำในระยะยาว จะเป็นหัตถการอะไรนั้น บทความนี้มีคำตอบให้แล้ว

                          สิว คืออะไร?

                          สิว (Acne) เป็นปัญหาผิวที่เกิดจากการอุดตันในรูขุมขน ส่งผลให้เกิดการสะสมของน้ำมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรกมากมาย จนกลายเป็นแหล่งให้แบคทีเรีย Cutibacterium Acnes (C. Acnes) เกิดการเจริญเติบโต ทำให้ผิวอักเสบ ติดเชื้อ จนกลายเป็นสิวที่มีลักษณะเหมือนตุ่มนูนเล็ก ๆ บนผิวหนัง ซึ่งอาจมีอาการบวมแดง หรือมีหนองร่วมด้วย โดยสามารถพบได้บ่อยในบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น อย่างบริเวณใบหน้า หน้าอก และหลัง นอกจากนี้ สิวยังมีหลากหลายประเภท ทั้งสิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวหัวช้าง หรือแม้แต่สิวฮอร์โมน ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีลักษณะเฉพาะตัว และวิธีการดูแลรักษาที่แตกต่างกันออกไป 

                           

                          ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว มีอะไรบ้าง?

                          ฮอร์โมน 

                          • เกิดจากฮอร์โมนเพศชาย หรือ ฮอร์โมนแอนโดรเจน ที่กระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น ฮอร์โมนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดสิวได้ง่าย รวมถึง ช่วงก่อนมีประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนจะลดลง ทำให้ร่างกายผลิตน้ำมันมากขึ้น รูขุมขนอุดตัน และเกิดสิวตามมา

                          แบคทีเรีย 

                          • เกิดจากแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P. acnes) หรือปัจจุบันที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Cutibacterium acnes (C.acnes) ที่อาศัยอยู่ในรูขุมขนของเรา เมื่อรูขุมขนอุดตันจากน้ำมันส่วนเกินและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว แบคทีเรียชนิดนี้จะเจริญเติบโต และปล่อยสารเคมีที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ส่งผลให้เกิดสิวอักเสบได้

                          การผลิตน้ำมันส่วนเกิน

                          • เมื่อต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป น้ำมันส่วนเกินนี้ จะเข้าไปอุดตันในรูขุมขนร่วมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน และเกิดเป็นสิวอุดตันขึ้นในที่สุด เช่น สิวหัวดำ สิวหัวขาว

                          พันธุกรรม 

                          • พันธุกรรม มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของร่างกายหลายอย่าง รวมถึง การทำงานของต่อมไขมัน การสร้างเซลล์ผิว และการตอบสนองต่อการอักเสบ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ล้วนมีผลต่อการเกิดสิวทั้งสิ้น หากพบว่า มีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นสิวมาก่อน ก็จะส่งผลให้เรามีความเสี่ยงที่จะเป็นสิวมากกว่าคนทั่วไปนั่นเอง

                          อาหาร 

                          • การรับประทานอาหารบางประเภท อาจเป็นการกระตุ้นให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น เช่น อาหารที่มีน้ำตาลสูง อาหารมัน อาหารแปรรูป หรือผลิตภัณฑ์จากนม ล้วนส่งผลให้เกิดสิวได้ทั้งสิ้น

                          ยาบางชนิด

                          • การรับประทานยาบางชนิดเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดสิว หรือทำให้สิวที่เป็นอยู่รุนแรงขึ้นได้ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากยาชนิดนั้น เช่น ยาคุมกำเนิด หรือยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ 

                          ความเครียด 

                          • เมื่อรู้สึกเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้จะไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาเพิ่มขึ้น ทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตันและเกิดสิวได้ อีกทั้ง ความเครียดยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ร่างกายเกิดการอักเสบได้ง่าย และทำให้สิวรุนแรงขึ้นได้

                          สภาพแวดล้อม 

                          • หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี อาจส่งผลกระทบต่อการเกิดสิวได้ เช่น มลภาวะ ฝุ่นละออง ควันรถยนต์ และสิ่งสกปรกในอากาศ โดยสิ่งเหล่านี้ จะเข้าไปอุดตันในรูขุมขน ทำให้เกิดสิวอุดตัน และยังกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้อีกด้วย

                          เครื่องสำอาง 

                          • เครื่องสำอางบางประเภท มักมีส่วนผสมที่ทำให้เกิดอาการแพ้ อาการระคายเคือง และทำให้ผิวเกิดการอักเสบได้ง่าย เช่น น้ำหอม แอลกอฮอล์ ซิลิโคน หรือพาราเบน อีกทั้ง เครื่องสำอางที่มีน้ำมัน มีส่วนผสมที่หนักหน้า อาจทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน จนเกิดสิวอุดตันขึ้นได้ นอกจากนี้ การไม่ทำสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้าเป็นประจำ อาจเกิดการสะสมของแบคทีเรีย ทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโต จนเกิดสิวอักเสบได้เช่นกัน

                           

                          Aviclear Laser ตัดจบวงจรสิวซ้ำซาก ตั้งแต่ต้นตอ

                          AviClear Laser คืออะไร?

                          AviClear Laser คือ เทคโนโลยีเลเซอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อรักษาสิวโดยเฉพาะ โดยมีความยาวคลื่นในระดับ 1726 นาโนเมตร สามารถดูดซับน้ำมัน (Sebum) ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะทำงานโดยตรงกับต่อมไขมันบริเวณรูขุมขน (Sebaceous glands) ที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว อยู่ใต้ผิวประมาณ 0.5 – 1.5 มิลลิเมตร ทำให้เซลล์ผลิตน้ำมันถูกทำลาย ส่งผลให้รูขุมขนไม่เกิดการอุดตัน และลดโอกาสการเกิดสิวทุกประเภท สามารถรักษาสิวได้ทุกระยะ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ปานกลาง ไปจนถึงระยะรุนแรง ซึ่งทำการรักษาสิวเพียง 3 ครั้ง สามารถยับยั้งการเกิดสิวในระยะยาวได้ถึง 2 ปี

                          นอกจากนี้ ยังมีระบบทำความเย็น หรือ AviCool ซึ่งเป็นระบบทำความเย็นที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของเครื่อง AviClear เท่านั้น โดยก่อนทำเลเซอร์ ระบบ AviCool จะปล่อยความเย็นลงบนผิวหน้า ทำให้ผิวเย็นลงประมาณ 2 – 4 องศาเซลเซียส ช่วยลดความรู้สึกแสบร้อนระหว่างการทำ และช่วยให้ผิวหนังผ่อนคลาย ซึ่งในขณะที่เลเซอร์เริ่มปล่อยพลังงาน ระบบ AviCool จะทำงานควบคู่กันไป เพื่อลดความร้อนจากการยิงเลเซอร์ ทำให้ผิวไม่ไหม้ ไม่เบิร์น และไม่เกิดความเสียหายบริเวณเนื้อเยื่อรอบข้าง

                           

                          AviClear Laser มีข้อดีอะไรบ้าง?

                          • AviClear Laser สามารถรักษาสิวได้ทุกประเภทในทุกระดับความรุนแรง
                          • AviClear Laser สามารถลดการเกิดสิวระยะยาวได้ถึง 2 ปี
                          • AviClear Laser สามารถลดความมันและลดขนาดรูขุมขนได้
                          • AviClear Laser ไม่ทำร้ายผิว ไม่ทำให้ผิวไหม้ ผิวเบิร์นหลังทำ
                          • AviClear Laser สามารถทำได้แม้ในบริเวณที่ผิวบอบบาง 
                          • AviClear Laser มีระบบทำความเย็น หรือ AviCool ในตัวเครื่อง
                          • AviClear Laser ได้รับการรับรองจาก US FDA (อย. อเมริกา) และ TH FDA (อย. ไทย)

                           

                          ปฏิวัติวงการรักษาสิวได้แล้ววันนี้ที่ Romrawin Clinic

                          สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาสิวอยู่ AviClear Laser ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ที่ตอบโจทย์ในการรักษาปัญหาสิวได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าคุณมีปัญหาสิวอุดตัน สิวอักเสบ หรือสิวหัวหนอง AviClear Laser สามารถจบปัญหาสิวได้ตั้งแต่ต้นตอ ทำให้สิวลดลงอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง และไม่ทำร้ายผิวรองข้าง พร้อมดูแลอย่างใกล้ชิด โดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการจาก รมย์รวินท์คลินิก ที่เข้าใจปัญหาสิวอย่างลึกซึ้ง สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ปราบสิว ผิวไม่เป๊ะให้อยู่หมัด คืนความมั่นใจ ผิวใสในทุกมุม

                          ไม่อยากเข้าวัยเหี่ยว หน้าเหี่ยว ต้องทำยังไง

                          วัยเหี่ยว

                          วัยหนุ่ม ไม่น่ากลัวเท่า “วัยเหี่ยว” ไม่อยากหน้าเหี่ยวก่อนวัย ทำอย่างไรดี?

                           

                          เรื่องราวของชีวิตที่ก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยน เมื่อวัยหนุ่ม วัยสาวไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป กลับกลายเป็นวัยเหี่ยว วัยแก่ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ กระจกที่เคยสะท้อนใบหน้าที่สดใส กลับกลายเป็นภาพสะท้อนของกาลเวลา ริ้วรอยเลือนลางเริ่มปรากฏขึ้น ผิวที่เคยเต่งตึงเริ่มหย่อนคล้อย รอบดวงตาเริ่มปรากฏร่องรอยของความเหนื่อยล้า ใบหน้าที่เคยชุ่มชื้นกลับแห้งกร้าน และริมฝีปากที่เคยอวบอิ่มก็เริ่มบางลงทุกที อย่าปล่อยให้กาลเวลาทำร้ายผิวหน้าของเราไปมากกว่านี้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะหันมาดูแลตัวเอง บอกลาหน้าเหี่ยว หน้าแก่ก่อนวัย เตรียมทวงคืนวัยหนุ่ม วัยสาว เพื่อผิวหน้าที่สวยใส เปล่งปลั่ง และอ่อนเยาว์อีกครั้ง

                           

                          เคยสงสัยกันไหมว่า? ทำไมบางคนถึงหน้าเด็ก ดูอ่อนกว่าวัยตลอดเวลา วันนี้ รมย์รวินท์ จะพาไปทำความรู้จักกับโปรแกรมหน้าเด็ก หน้าเด้ง จะมีโปรแกรมอะไรบ้างนั้น ต้องห้ามพลาดบทความนี้เลยค่ะ

                           

                          เฉลยเคล็ดลับหน้าเด็ก บอกลาวัยเหี่ยว หน้าเหี่ยวก่อนวัย

                           

                          หน้าเหี่ยว เกิดจากอะไร

                          หน้าเหี่ยว เป็นปัญหาที่หลายคนมักกังวล เนื่องจากเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ และทำให้หน้าดูแก่กว่าวัยอย่างเห็นได้ชัด โดยสาเหตุหลักของปัญหาหน้าเหี่ยวนั้นมีหลายปัจจัย ได้แก่

                          อายุที่เพิ่มขึ้น 

                          • เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายของเราจะเริ่มผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินได้น้อยลง ซึ่งคอลลาเจนและอีลาสตินมีบทบาทสำคัญที่ทำให้ผิวเต่งตึงและมีความยืดหยุ่น หากคอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพลง ผิวจะเริ่มเกิดการหย่อนคล้อย เกิดริ้วรอยได้ง่าย ส่งผลให้หน้าเหี่ยว หน้าแก่อีกด้วย

                          แสงแดด 

                          • รังสี UV จากแสงแดด ถือเป็นตัวการสำคัญที่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวเริ่มสูญเสียความยืดหยุ่น ขาดความชุ่มชื้น เกิดริ้วรอยก่อนวัย และหน้าเหี่ยวในที่สุด อีกทั้ง แสงแดดยังส่งผลให้ผิวคล้ำเสีย เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำได้ง่ายอีกด้วย

                          การแสดงออกทางสีหน้า 

                          • เมื่อมีการแสดงสีหน้า กล้ามเนื้อใต้ผิวหนังจะเกิดการหดตัว ทำให้เกิดรอยพับบนผิวหนังซ้ำ ๆ จนกลายเป็นรอยเหี่ยวย่น ซึ่งมาจากการยิ้ม การหัวเราะ หรือการขมวดคิ้วบ่อย ๆ ทำให้เกิดรอยเส้น และริ้วรอยขึ้นได้

                          พฤติกรรมการใช้ชีวิต 

                          • พฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่างที่เราทำเป็นประจำ อาจเป็นการเร่งให้ผิวหน้าของเราเสื่อมสภาพ และเกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้นกว่าปกติ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การพักผ่อนไม่เพียงพอ การรับประทานอาหารไม่สมดุล และความเครียดเรื้อรัง ล้วนส่งผลให้ผิวแก่ก่อนวัยได้ทั้งสิ้น

                          มลภาวะ 

                          • มลภาวะ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เร่งให้ผิวแก่ก่อนวัย และเกิดความเหี่ยวย่นได้ง่าย เช่น ฝุ่นละออง ควันบุหรี่ ควันรถยนต์ หรือมลพิษในอากาศ โดยมลภาวะเหล่านี้ จะปล่อยอนุมูลอิสระออกมา ซึ่งจะเข้าไปทำลายเซลล์ผิว ทำให้ผิวอ่อนแอ และเกิดการอักเสบ รวมถึง ทำให้หน้าเหี่ยว หน้าแก่ก่อนวัยได้อีกด้วย

                           

                          เคล็ดลับล็อกหน้าเด็กชะลอหน้าเหี่ยว
                          เคล็ดลับล็อกหน้าเด็กชะลอหน้าเหี่ยว

                           

                          4 เคล็ดลับ ล็อกหน้าเด็ก ชะลอหน้าเหี่ยว

                          ฟิลเลอร์

                          • ฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบของสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) เป็นหลัก ซึ่งเป็นสารที่ผลิตขึ้นมา เพื่อเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกายของเรา ใช้ทดแทนส่วนสำคัญของโครงสร้างผิว ซึ่งมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ และกักเก็บความชุ่มชื้น สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในร่างกาย ปัจจุบันฟิลเลอร์มีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องจาก อย. ของไทย อย่างเช่น ฟิลเลอร์  Belotero, ฟิลเลอร์ Restylane, ฟิลเลอร์ Juvederm หรือ ฟิลเลอร์ Neauvia เป็นต้น
                          • เมื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าสู่ผิวแล้ว ฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มช่องว่างในบริเวณที่มีริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ และเพิ่มวอลุ่มให้กับบริเวณที่ฉีด เช่น ขมับ แก้ม หรือริมฝีปาก นอกจากนี้ ยังสามารถปรับรูปหน้า แก้ไขใบหน้าที่ไม่ได้สัดส่วนได้เป็นอย่างดี 
                          • ฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอย ร่องลึก ผู้ที่มีปัญหาใบหน้าไม่สมส่วน มีปัญหากระดูกเริ่มทรุดตัวลงเมื่ออายุมากขึ้น และผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง ผิวหน้าไม่เรียบเนียน รวมถึง ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ 
                          • ผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีดฟิลเลอร์ คือ ช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ ให้ดูตื้นขึ้น ผิวหน้าดูอิ่มฟู มีความยืดหยุ่น ผิวดูชุ่มชื้น ดูอ่อนกว่าวัย รูปหน้ามีสัดส่วนเข้ารูป ดูมีมิติมากขึ้น สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 6 – 24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์และบริเวณที่ฉีด

                           

                          Radiesse 

                          • Radiesse หรือ เรเดียส คือ สารเติมเต็มกระตุ้นคอลลาเจน Biostimulator ที่มีความแตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปตรงที่ Radiesse มีส่วนประกอบหลักของ แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Calcium Hydroxylapatite หรือ CaHA) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกายของเรา เช่น ในกระดูกและฟัน จึงมีความปลอดภัยสูง สามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกาย จุดเด่นของ Radiesse คือ กระตุ้นการสร้างเส้นใยตาข่ายตรึงผิวใหม่ถึง 5 ประการ ได้แก่  Collagen Type 1, Collagen Type 3, Elastin,  Angiogenesis และ Proteoglycan 
                          • เมื่อฉีด Rediesse เข้าสู่ผิวแล้ว สาร CaHA จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรลาสต์ (Fibroblast) ให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ เสริมความแข็งแรงของโครงสร้างผิว และฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพจากอายุที่มากขึ้น
                          • Radiesse เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอย ร่องลึก มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ กรอบหน้าไม่ชัด ผิวขาดวอลุ่ม ดูแก่กว่าวัย รวมถึง ผู้ที่มีผิวแห้งกร้าน รูขุมขนกว้าง ขาดความยืดหยุ่น 
                          • ผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด Radiesse คือ ช่วยเพิ่มวอลุ่มให้ผิว ทำให้ผิวอิ่มฟู มีความยืดหยุ่น กรอบหน้าชัด ดูมีมิติ ที่สำคัญยังช่วยมอบ 3 ผลลัพธ์ที่เหนือกว่าในระยะยาว ได้แก่ Healthier ผิวเฟิร์ม แน่นกระชับ ดูสุขภาพดี, Younger ริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ ดูตื้นขึ้น ผิวมีความอ่อนเยาว์ ดูเด็กลง และ Longer ยืดอายุผิวให้ยาวนาน สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 2 ปี

                           

                          Sculptra

                          • Sculptra คือ สารกระตุ้นคอลลาเจน Biostimulator ตัวแรกของโลก ที่ได้รับการอนุมัติในการใช้เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนจาก US FDA (อย. อเมริกา) โดย Sculptra มีส่วนประกอบหลักของ PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติสังเคราะห์จากพืช จึงมีความปลอดภัยสูง ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย จุดเด่นของ Sculptra คือ กระตุ้นการสร้าง Collagen Type 1 ได้ถึง 66.5% พร้อมฟื้นฟูผิวลึกถึงโครงสร้าง 
                          • เมื่อฉีด Sculptra เข้าสู่ผิวหนังแล้ว PPLA จะกระจายอย่างทั่วถึงในบริเวณที่ฉีด โดยจะเข้าไปกระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ทำงานอย่างแข็งขัน ทำให้เกิดการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน  ปรับโครงสร้างผิวจากภายใน สามารถยกกระชับผิวหน้าที่หย่อนคล้อย เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ
                          • Sculptra เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ ไม่เต่งตึง ผิวหน้าขาดความยืดหยุ่น รวมถึง ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตามวัย
                          • ผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด Sculptra คือ ช่วยให้ผิวมีความแข็งแรง แน่นกระชับ ดูอิ่มฟู ริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ ดูตื้นขึ้น ผิวมีความชุ่มชื้น ดูกระจ่างใส สุขภาพดีจากภายใน สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 2 ปี

                           

                          Ultherapy

                          • Ultherapy คือ เทคโนโลยียกกระชับ ด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง (Focused Ultrasound) โดยใช้ความร้อนพลังงาน 60 – 70°C ในการยกกระชับผิวหน้า ลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งมีจุดเด่น ที่สามารถมองเห็นหน้าจอสแกนชั้นผิวได้แบบ Real Time ด้วยเทคโนโลยี MFU-V, Plan วิเคราะห์และออกแบบการรักษาแบบเฉพาะบุคคล เพื่อแก้ไขปัญหาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และ Treat มีความแม่นยำในการรักษาโดยแพทย์ผู้ชำนาญการ สามารถปรับระดับคลื่นได้ตามความเหมาะสม กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล ทำให้ลดอาการเจ็บ และลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ 
                          • เมื่อ Ultherapy ส่งพลังงานความร้อนไปยังชั้นผิว จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้เกิดการสร้างปฏิกิริยาหดตัวของเนื้อเยื่อ ทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยกระชับขึ้นทันที นอกจากนี้ ยังกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ขึ้นใหม่ ทดแทนคอลลาเจนเก่าที่เสื่อมสภาพตามอายุ
                          • Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาผิวมีความหย่อนคล้อย ใบหน้าเริ่มเหี่ยวย่น ไม่ตึงกระชับเหมือนเดิม มีกระเปาะแก้ม แก้มห้อย มีปัญหาคางสองชั้น มีเหนียง และมีรอยเหี่ยวย่นบริเวณลำคอ 
                          • ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ Ultherapy คือ ช่วยให้ผิวหน้ามีความกระชับ หน้าเรียวเล็ก กรอบหน้าคมชัด ริ้วรอยต่าง ๆ ดูจางลง ผิวมีความละเอียด และดูเรียบเนียนมากขึ้น โดยสามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 1 ปี

                           

                          จะเห็นได้ว่าทั้ง 4 โปรแกรมหน้าเด็กอย่าง ฟิลเลอร์, Radiesse, Sculptra และ Ultherapy นั้น ถือเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ปัญหาหน้าเหี่ยว หน้าแก่ก่อนวัยได้อย่างครอบคลุม สามารถจัดการกับปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด ทั้งเรื่องความหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ มีปัญหาริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ เมื่อทำการรักษาร่วมกันแล้ว จะช่วยเสริมประสิทธิภาพของผลลัพธ์ให้ดียิ่งขึ้น ผิวหน้าจะดูอ่อนเยาว์ กระชับ เต่งตึง ริ้วรอยลดเลือน และหน้าเด็กลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ทั้งนั้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการก่อนตัดสินใจทำหัตถการ เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิวหน้า พร้อมวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หน้าเด็กลงกว่าอายุจริงไปหลายปีเลย

                          Coolsculpting ลดไขมัน ฟรีซไขมัน คืออะไร ทำงานอย่างไร

                          Coolsculpting ลดขมัน กระชับหุ่น

                          Coolsculpting ลดไขมัน กระชับหุ่นสวย ด้วยความเย็น ดีจริงเหรอ?

                          นอกจากใบหน้าที่ต้องสวยออร่าแล้ว ต้องยอมรับเลยว่า การมีรูปร่างที่ดี จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เราได้มากขึ้น ยิ่งในปัจจุบันที่หลายคนต่างให้ความสำคัญกับการดูแลรูปร่างของตัวเอง ไม่ว่าจะเพื่อสุขภาพ หรือความสวยงาม ซึ่งเทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นก็สามารถเป็นตัวช่วยในการลดไขมัน กระชับสัดส่วนเฉพาะจุดได้ อย่าง Coolsculpting ทางลัดหุ่นสวย สลายไขมันด้วยความเย็นได้แบบไม่ต้องผ่าตัด 

                          ไขมันส่วนเกินคืออะไร
                          ไขมันส่วนเกินคืออะไร

                          ไขมันส่วนเกิน คืออะไร ?

                          ไขมันส่วนเกิน เรียกได้ว่าเป็นปัญหาของหลาย ๆ คนที่อยากดูแลสุขภาพและดูแลรูปร่าง ไขมันส่วนเกินนั้น มักจะเกิดจากการบริโภคอาหารที่มากเกินต่อความต้องการของร่างกาย และระบบเผาผลาญทำงานได้ไม่เต็มที่ ซึ่งไขมันส่วนเกินในร่างกาย นั้นก็มีหลายประเภท ดังนี้

                          • ไขมันส่วนเกิน (Subcutaneous Fat) คือ ไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังและกล้ามเนื้อ โดยพบได้ตามบริเวณต่าง ๆ เช่น ต้นขา ต้นแขน สะโพก หน้าท้อง หรือใบหน้า ซึ่งไขมันส่วนนี้มีวิธีการลดที่สามารถทำได้หลายวิธี
                          • ไขมันช่องท้อง (Visceral Fat) เป็นไขมันที่มีการสะสมอยู่ในอวัยวะภายใน เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ลำไส้ ไขมันประเภทนี้ถือเป็นไขมันที่มีความอันตรายต่อสุขภาพระยะยาว เพราะสามารถนำไปสู่โรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และความดันโลหิตสูงได้  ทั้งยังลดได้ยากกว่าแบบแรก

                          ไขมันส่วนเกินมาจากไหน?

                          ไขมันส่วนเกิน นั้นเกิดจากอะไร ถึงแม้หลายคนจะรู้อยู่แล้วว่าการทานอาหารที่มากเกินไป หรือรับพลังงานที่เกินกว่าร่างกายควรได้รับต่อวันนั้น จะทำให้เกิดไขมันส่วนเกินได้ ซึ่งสารอาหารที่ร่างกายไม่ควรรับมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดไขมันส่วนเกินหรืออ้วนได้ คือ สารอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล และไขมัน ที่ร่างกายนั้นจะเปลี่ยนสารอาหารเป็นพลังงานที่ใช้ต่อวัน หากใช้พลังงานไม่หมดนั้น ร่างกายจะเปลี่ยนสารอาหารเป็นพลังงานสำรองที่อยู่ในรูปแบบไขมัน ซึ่งเมื่อสะสมนานเรื่อย ๆ ก็จะกลายเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกาย

                          การทำให้เกิดไขมันส่วนเกินในร่างกายนั้น เกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น พฤติกรรมการกิน การไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกาย ไม่ออกกำลังกาย เพศ อายุที่เพิ่มขึ้น ระดับฮอร์โมนบางชนิด และพันธุกรรม เป็นต้น แม้อาจจะไม่ใช่ปัจจัยทางตรง แต่ปัจจัยเหล่านี้ก็สามารถส่งผลให้ระบบเผาผลาญในร่างกาย หรือระบบอื่น ๆ ทำงานได้ไม่เต็มที่ และอาจจะส่งผลให้เกิดการสร้างไขมันได้

                          วิธีลดไขมันส่วนเกิน มีอะไรบ้าง?

                          การลดไขมัน นั้นสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การดูแลสุขภาพ 

                          • การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีไขมัน น้ำตาลสูง จะช่วยลดไขมันได้
                          • การออกกำลังกายทุกวัน การเคลื่อนไหวจะช่วยทำให้ร่างกายนั้นเผาผลาญพลังงานได้เยอะ ทั้งยังช่วยเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อมาแทนไขมันได้มากขึ้น 
                          • การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อช่วยทำให้ร่างกายนั้นได้ซ่อมแซมตัวเอง และระบบต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น 
                          • ควรหลีกเลี่ยงความเครียด เนื่องจากฮอร์โมน Cortisol จะสูงมากขึ้น ทำให้เกิดความอยากอาหาร และรับประทานเยอะขึ้นได้
                          • การใช้ตัวช่วยในการลดไขมัน พร้อมกระชับสัดส่วน อย่างเทคโนโลยี Coolsculpting ตัวช่วยลดไขมันด้วยความเย็นที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้เข็ม

                          Coolsculpting คืออะไร
                          Coolsculpting คืออะไร

                          Coolsculpting คืออะไร ? 

                          ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่จะช่วยทำให้การลดไขมันส่วนเกินนั้นทำได้สะดวกมากขึ้น อย่าง  Coolsculpting เครื่องลดไขมันกระชับสัดส่วนด้วยความเย็น โดย Coolsculpting จะใช้ความเย็นนั้นแทรกซึมเข้าสู่ชั้นผิวเข้าไปแทนที่ความร้อนของร่างกาย เพื่อให้เกิดการแปรสภาพของเซลล์ไขมันที่อยู่ในชั้นผิวกลายเป็นผลึกน้ำแข็ง จากนั้นไขมันที่ถูกฟรีซจะค่อย ๆ สลายออกตามระบบกลไกของร่างกาย ซึ่งตัวเครื่องนั้นมีจุดเยือกแข็งเย็นถึง -11 ถึง -13 °C มาพร้อม Applicator ที่ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด มีระบบ Freeze detect ที่เครื่องจะหยุดทำงานทันทีที่ตรวจเจอความเย็นในผิวชั้นบนที่มากเกินไป ทำให้ Coolsculpting เป็นโปรแกรมที่มีความปลอดภัย ได้การรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ทั้งยังมีการทำวิจัยระดับโลกจากผู้ใช้บริการจริง

                          ทำความรู้จัก Coolsculpting ลดไขมัน ทำงานอย่างไร?

                          การทำงานของ Coolsculpting ลดไขมันด้วยความเย็นนั้น จะทำงานผ่านหัวแอปพลิเคเตอร์ (Applicator) โดยแพทย์จะกำหนดสัดส่วนที่จะทำการลดไขมัน จากนั้นจะนำหัว Applicator นั้นหนีบเข้าไปที่ชั้นไขมัน และปล่อยความเย็นที่อุณหภูมิ -11 ถึง -13 °C โดยใช้เวลาประมาณ 35 นาที เพื่อทำให้เซลล์ไขมันนั้นถูกฟรีซกลายเป็นน้ำแข็ง จากนั้นจึงนวดก้อนไขมันให้แตกละเอียด ซึ่งเซลล์ไขมันจะตายไปอย่างเป็นธรรมชาติ (Cellapoptosis) ทำให้สามารถกำจัดไขมันได้อย่างถาวร Coolsculpting ยังช่วยทำให้ผิวมีความกระชับ ไม่ย้วยหลังทำ ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการลดไขมันโดยไม่ต้องผ่าตัด ทำให้ไม่ต้องพักฟื้น ทั้งยังปลอดภัย สะดวกสบายอีกด้วย 

                          Coolsculpting มีกี่หัว แต่ละหัวแตกต่างกันไหม?

                          เครื่องลดไขมัน พร้อมยกกระชับ Coolsculpting เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยสลายไขมันด้วยความเย็น ในรุ่นนี้จะมีทั้งหมด 5 หัว โดยหัว Applicator จะมีลักษณะเป็นสุญญากาศ ทำให้สามารถดูผิวบริเวณที่มีไขมันสะสมได้ดี และทำให้เจ็บน้อยกว่า ใช้เวลาน้อย ทั้งยังเห็นผลลัพธ์ที่ยาวนาน ทั้งนี้ Coolsculpting นั้นสามารถลดไขมันได้หลายตำแหน่งทั่วร่างกาย โดย Coolsculpting แต่ละหัวก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป ดังนี้

                          • CoolAdvantage เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมระดับปานกลาง สามารถทำได้ทั้งหมด 7 จุด ได้แก่ ท้อง เอว แขน หน้าอกผู้ชาย ปีกหลัง ขาด้านใน และใต้ก้น เป็นหัวที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด 
                          • CoolAdvantage Petite เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมน้อย อย่าง คนตัวเล็ก หรือคนที่เคยทำหัว CoolAdvantage มาก่อน ซึ่งหัวนี้จะใช้ลดไขมันได้ทั้งหมด 7 จุด คือ ท้อง เอว แขน หน้าอกผู้ชาย ปีกหลัง ขาด้านใน และใต้ก้น 
                          • CoolAdvantage Plus เป็นหัวที่มีขนาดใหญ่ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมที่เยอะ โดยจะใช้ลดไขมันบริเวณกว้าง คือ เอว ท้อง
                          • CoolMini เป็นหัว Applicator ที่มีขนาดเล็กที่สุด จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันมันบริเวณเฉพาะจุด เช่น เหนียง เนื้อใต้รักแร้ หรือนมน้อย รวมถึงเนื้อย้วยที่อยู่บริเวณเหนือเข่า
                          • CoolSmooth Pro เป็นหัวเฉพาะที่ใช้สำหรับสลายไขมันบริเวณขาด้านนอก และบริเวณใต้สะโพกลงมา ซึ่งในบางคลินิกนั้นจะใช้ในการทำซิกแพคได้ด้วย

                          Coolsculpting ลดไขมันส่วนไหนได้บ้าง
                          Coolsculpting ลดไขมันส่วนไหนได้บ้าง

                          Coolsculpting ลดไขมันส่วนไหนได้บ้าง ? 

                          Coolsculpting จะช่วยลดไขมันสะสมใต้ผิวหนังเฉพาะจุด ช่วยลดไขมัน พร้อมกระชับรูปร่าง ให้มีความสมส่วนมากขึ้น โดย Coolsculpting นั้นสามารถกำจัดไขมันส่วนเกินได้ในหลายตำแหน่งบนร่างกาย ดังนี้ 

                          • Coolsculpting ช่วยลดไขมันบริเวณใบหน้า แก้ม เหนียง คางสองชั้น หรือบริเวณกรอบหน้า
                          • Coolsculpting ช่วยลดไขมันบริเวณหน้าท้อง ช่วยลดไขมันหน้าท้อง สำหรับคนที่มีปัญหาอ้วนลงพุง
                          • Coolsculpting ช่วยลดไขมันบริเวณเอว ไม่ว่าจะเป็น ไขมันรอบเอวหรือห่วงยาง และบริเวณหน้าท้องล่าง
                          • Coolsculpting ช่วยลดไขมันบริเวณนมน้อย ที่อยู่ใกล้กับรักแร้ หรือ หน้าอกผู้ชาย
                          • Coolsculpting ช่วยลดไขมันบริเวณต้นแขน ช่วยลดต้นใหญ่ กระชับต้นแขนที่ย้วย หรือถุงกาแฟ
                          • Coolsculpting ช่วยลดไขมันบริเวณต้นขา แก้ปัญหาต้นขาใหญ่ และปัญหาขาเบียด ทำให้ขาดความมั่นใจ
                          • Coolsculpting ช่วยลดไขมันบริเวณสะโพก ช่วยลดไขมันสะโพก ลดไขมันใต้ก้น ทำให้สะโพกและก้นกระชับได้รูปร่างที่สวยขึ้น
                          • Coolsculpting ช่วยลดไขมันบริเวณปีกหลัง หรือ Fat Bra แก้ปัญหาปีกหลังหนาเป็นชั้น

                          Coolsculpting เหมาะกับใคร ?

                          การลดไขมันด้วย Coolsculpting เป็นการลดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด ที่สามารถทำได้ทั่วร่างกาย เป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัย เหมาะสำหรับใครบ้าง มาดูกัน

                          • Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ทำให้ออกแรงเยอะ หรือออกกำลังกายไม่สะดวก
                          • Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่มีไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดระดับปานกลาง (BMI < 35) ต้องการลดไขมันส่วนเกิน บริเวณต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง ใบหน้า หรือบริเวณสะโพก แต่ไม่ได้มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่พยายามลดน้ำหนัก และควบคุมอาหาร แต่ยังมีไขมันสะสมเฉพาะส่วนอยู่ 
                          • Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่ต้องการรูปร่างที่กระชับขึ้นและมีสัดส่วนที่สวยงาม 
                          • Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดดูดไขมัน ไม่ต้องการพักฟื้น หรือมีเวลาน้อย
                          • Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่มี BMI  ไม่เกิน 35 จะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ดีกว่า

                          Coolsculpting ไม่เหมาะกับใคร ?

                          ถึงแม้ว่าการลดไขมันด้วยความเย็นด้วย Coolsculpting จะเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัย มีผลข้างเคียงที่น้อย แต่อย่างไรก็ตามก็อาจจะมีข้อระวัง และข้อจำกัด สำหรับคนบางกลุ่ม ดังนี้

                          • Coolsculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์เยอะ หรือมีค่า BMI สูงกว่า 35 เพราะอาจจะทำให้เห็นผลลัพธ์ได้ไม่ชัดเจน
                          • Coolsculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เพราะอาจเสี่ยงต่อปัญหาเกี่ยวกับการไหลเวียนของเลือด
                          • Coolsculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคแพ้ความเย็น เนื่องจาก Coolsculpting จะเป็นการใช้ความเย็นในการลดไขมัน อาจจะทำให้เกิดปัญหาขณะทำการรักษาได้
                          • Coolsculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคแพ้ความเย็น ลมพิษจากความเย็น โรคกลัวความเย็น โรคเลือดแข็งตัวผิดปกติ หรือผู้ที่กำลังเป็นไส้เลื่อน 
                          • Coolsculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่เพิ่งผ่านการผ่าตัด ควรรอให้ร่างกายฟื้นตัวเต็มที่ก่อนแล้วจึงค่อยทำ Coolsculpting
                          • Coolsculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีแผลเปิดหรือผิวหนังอักเสบ ควรรักษาให้หายก่อน เพราะอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้
                          • Coolsculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ หรือมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในร่างกาย อาจมีความเสี่ยงในการใช้ Coolsculpting ได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษา
                          • Coolsculpting ไม่เหมาะสำหรับผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างให้นมบุตร
                          • Coolsculpting ไม่เหมาะสำหรับผู้หญิงที่กำลังมีประจำเดือน หากกำลังเป็นประจำเดือนควรหลีกเลี่ยงการรักษาในช่วงนี้

                          ข้อควรรู้ก่อนทำ Coolsculpting ลดไขมันด้วยความเย็น

                          • ข้อดีของการทำ Coolsculpting

                           Coolsculpting เป็นหัตถการที่ไม่ต้องเตรียมตัวเยอะ ไม่จำเป็นต้องงดอาหาร เนื่องจากไม่ใช่การผ่าตัด ทำให้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ทั้งยังเป็นหัตถการที่ใช้เวลาไม่นานเพียง 35 นาที จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว 

                          • ข้อเสียของการทำ Coolsculpting

                          การทำ Coolsculpting ลดไขมัน และกระชับสัดส่วนนั้นเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ความเย็นในการช่วยลดไขมันสะสมเฉพาะจุด ซึ่งอาจจะไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไป หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ที่ติดอุปกรณ์ภายในร่างกาย รวมถึงผู้ที่ตั้งครรภ์ และให้นมบุตร

                          CoolSculpting ใช้อย่างไร มีกี่ขั้นตอน

                          1. ก่อนที่จะเข้ารับการรักษา ควรเข้ามาปรึกษาแพทย์ เพื่อแจ้งปัญหาและความกังวลใจ รวมถึงแจ้งบริเวณที่ต้องการทำ CoolSculpting แพทย์จะทำการประเมินปัญหา ชั่งน้ำหนัก วัดสัดส่วน และถ่ายภาพก่อนทำ จากนั้นจะวางแผนการรักษาให้เหมาะกับแต่ละบุคคล
                          2. เตรียมตัวก่อนทำการรักษา Coolsculpting โดยทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะทำการรักษา ทำเครื่องหมายบริเวณที่ติดหัว Applicator เพื่อให้การรักษามีความแม่นยำ
                          3. แพทย์จะเริ่มทำการรักษาด้วย CoolSculpting ความเย็นจะถูกปล่อยเข้าสู่ชั้นไขมัน เพื่อทำให้เซลล์ไขมันสลายไป แพทย์จะเลือกทำแต่ละบริเวณที่กำหนดไว้ โดย CoolSculpting จะใช้เวลาในการรักษาประมาณ 35 นาที 
                          4. หลังจากทำการรักษา Coolsculpting เสร็จ แพทย์จะทำการนวดก้อนไขมันประมาณ 2 นาที เพื่อช่วยให้ไขมันแตกละเอียดและเพิ่มประสิทธิภาพของผลลัพธ์
                          5. หลังการรักษาแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังการรักษา Coolsculpting อย่างใกล้ชิด และอาจมีการนัดหมายเพื่อติดตามผลอย่างต่อเนื่อง

                          ลดไขมันด้วย CoolSculpting หรือ โปรแกรมลดไขมันเลือกวิธีไหนดี?

                          CoolSculpting 

                          CoolSculpting เป็นการสลายไขมัน กระชับสัดส่วน ด้วยเทคโนโลยีที่ใช้ความเย็นจัดในการทำลายเซลล์ไขมันโดยตรง ซึ่งเซลล์ไขมันที่ถูกทำให้เย็นจัดจะตายและถูกขับออกจากร่างกายตามกระบวนการทางธรรมชาติ วิธีนี้ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ใช้เข็ม โดยจะทำการสลายไขมันผ่าน Applicator ที่ช่วยกระจายความเย็นได้อย่างแม่นยำตรงจุด ทั้ง Coolsculpting ยังมาพร้อมนวัตกรรมตรวจจับอุณหภูมิความเย็นอัจฉริยะ ที่ทำให้ปลอดภัยต่อร่างกาย Coolsculpting จึงเหมาะสำหรับคนที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด บริเวณใบหน้า และบริเวณลำตัว

                          ข้อดี และข้อจำกัดของ CoolSculpting

                          • Coolsculpting ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้เข็ม เหมาะกับคนที่กลัวเข็ม
                          • Coolsculpting สามารถทำได้หลายบริเวณ เช่น กรอบหน้า เหนียง หน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน
                          • Coolsculpting ให้ผลลัพธ์ค่อนข้างถาวร เนื่องจากเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะไม่กลับมาอีก
                          • Coolsculpting ฟื้นตัวเร็ว ไม่ต้องพักฟื้นนาน สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
                          • Coolsculpting จะทำให้ไขมันจะค่อย ๆ สลายไป จึงอาจจะเห็นผลลัพธ์ได้ช้า
                          • Coolsculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีไขมันมากเกินไป
                          • Coolsculpting ต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น

                          โปรแกรมลดไขมัน

                          เป็นการนำตัวยาลงไปที่ชั้นไขมัน เพื่อสลายไขมันเฉพาะจุด และลดเซลลูไลท์เข้าไปในชั้นไขมัน โดยโปรแกรมลดไขมันนั้นเป็นสกัดจากธรรมชาติที่มีความหลากหลาย เช่น Artichoke Extract, L-carnitine, Mesostabyl ซึ่งการฉีดเมโสแฟตก็เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมสูง เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาไขมันสะสมเฉพาะจุด นิยมใช้กับบริเวณใบหน้า

                          ข้อดี และข้อจำกัดของโปรแกรมลดไขมัน

                          • การทำโปรแกรมลดไขมัน จะสามารถเห็นผลเร็วกว่า CoolSculpting 
                          • การทำโปรแกรมลดไขมันนั้นสามารถทำได้กับหลายบริเวณ
                          • โปรแกรมลดไขมันเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเซลลูไลท์ และมีไขมันสะสมเฉพาะจุดไม่เยอะมาก
                          • โปรแกรมลดไขมันอาจจะต้องทำหลายครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
                          • อาจมีอาการข้างเคียง เช่น บวม แดง หรืออาการปวดได้
                          • ให้ผลลัพธ์ที่ไม่ถาวรเท่ากับ CoolSculpting เนื่องจากเป็นการสลายไขมันไม่ได้กำจัดเซลล์ไขมัน
                          • ต้องทำโดยแพทย์เฉพาะทาง

                          CoolSculpting ช่วยลดไขมันต้นขาได้อย่างไร ?

                          • CoolSculpting จะช่วยลดจำนวนเซลล์ไขมันบริเวณต้นขาได้อย่างถาวร ทำให้ต้นขานั้นมีความกระชับมากยิ่งขึ้น
                          • CoolSculpting จะเข้าไปเร่งกระบวนการกำจัดไขมัน โดยการทำ CoolSculpting 1 ครั้ง สามารถช่วยลดไขมันได้ในปริมาณ 60-70 CC หรือราว ๆ 25% ของเซลล์ไขมันในบริเวณที่ทำ
                          • CoolSculpting จะใช้เวลาในการทำน้อย โดยส่วนมากจะใช้เวลาประมาณ 35 นาที 
                          • CoolSculpting มีความปลอดภัย เพราะมีเทคโนโลยี Freeze Detect ที่ช่วยตรวจจับอุณหภูมิอัจฉริยะ โดยจะตรวจจับความเย็นบนชั้นผิว เมื่อพบว่ามีความเย็นที่มากเกินไป ระบบจะหยุดทำงานทันที ทำให้ไม่มีความเสี่ยงต่อการเบิร์นหรือไหม้ของผิว

                          CoolSculpting ใช้เวลานานไหม?

                          สำหรับใครที่มีเวลาไม่มาก และต้องการลดไขมันแบบเร่งด่วน การรักษาด้วย CoolSculpting เรียกได้ว่าตอบโจทย์อย่างมาก โดยปกติแล้วนั้นจะใช้เวลาในการทำประมาณ 35 นาที ต่อ 1 บริเวณ ซึ่งจะเรียกหน่วยจำนวนยิงพลังงานว่า ไซเคิล (Cycle) โดยการยิง CoolSculpting 1 ไซเคิล จะใช้เวลาประมาณ 35 นาทีจึงจะฟรีซและสลายไขมันได้ และค่อยเปลี่ยนเป็นบริเวณอื่น ๆ ตามที่ต้องการ

                          ต้องทำ CoolSculpting กี่ครั้งจึงจะเห็นผล ?

                          คำถามที่หลายคนต่างสงสัย คือ ต้องทำ CoolSculpting กี่ครั้งจึงจะเห็นผล? การลดไขมันกระชับสัดส่วนด้วย CoolSculpting 1 ครั้ง สัดส่วนจะค่อย ๆ ลดลงภายใน 3-4 สัปดาห์ จะเห็นผลชัดเจนในระยะเวลาประมาณ 3 เดือน หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและได้ผลที่ดี ควรจะทำติดต่อกัน 4 ครั้งต่อ 1 เดือนอย่างต่อเนื่อง จากนั้นสามารถทำ Coolsculpting ครั้งละ 2 สัปดาห์ เพื่อความต่อเนื่องและความคงทนของผลลัพธ์ 

                          ทำ CoolSculpting เจ็บไหม?

                          การลดไขมันด้วย CoolSculpting เป็นการใช้ความเย็นในการสลายไขมัน ซึ่งเป็นความเย็นที่ได้รับการควบคุมอุณหภูมิ จึงทำให้ความรู้สึกระหว่างทำนั้นมีความสบาย ไม่เจ็บมาก ทั้งผิวหนังในส่วนที่หัว Applicator นั้นถูกดูดเข้าไป จะไม่ทำให้เจ็บ หรือปวดมาก ทำให้เวลาทำการรักษานั้นสามารถผ่อนคลาย และมีความสบายได้ หลังทำ Coolsculpting ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และร่างกายจะค่อย ๆ เริ่มกำจัดเซลล์ไขมันออกไป

                          ผลข้างเคียงที่อาจเกิดเมื่อทำ CoolSculpting

                          หลังทำ CoolSculpting ยกกระชับ สลายไขมัน อาจจะมีผลข้างเคียงที่เกิดหลังทำได้ โดยส่วนมากผลข้างเคียงเหล่านี้จะค่อย ๆ หายไปเองภายใน 2-3 ชั่วโมง ได้แก่

                          • หลังทำ Coolsculpting ผิวอาจเกิดอาการบวม ช้ำ แดง
                          • หลังทำ Coolsculpting จะมีความรู้สึกเสียวแปลบที่ผิว บริเวณที่ทำ CoolSculpting
                          • หลังทำ Coolsculpting ผิวบริเวณที่ทำจะมีอาการซีดชั่วขณะ
                          • หลังทำ Coolsculpting อาจมีก้อนแข็งอยู่ภายในผิวบริเวณที่ทำ
                          • หลังทำ Coolsculpting จะมีอาการกดเจ็บที่ผิวหนัง
                          • หลังทำ Coolsculpting อาจมีอาการตะคริวบริเวณผิวรอบ ๆ ที่ทำ
                          • หลังทำ Coolsculpting จะมีความรู้สึกคัน หรือแสบบริเวณผิว
                          • หลังทำ Coolsculpting จะมีความรู้สึกตึงบริเวณผิวที่ทำ

                          Coolsculpting อันตรายไหม ?

                          การลดไขมันด้วย Coolsculpting เป็นการรักษาที่มีความปลอดภัย เนื่องจากตัวเครื่องนั้นได้ผ่านการทดสอบและรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)  ทั้งยังมีงานวิจัยรองรับหลายฉบับ Coolsculpting สามารถตรวจสอบของแท้ได้ ทำให้มั่นใจได้เลยว่ามีความปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

                          ทำ Coolsculpting แล้วเห็นผลจริงไหม ?

                          การทำ Coolsculpting สามารถเห็นผลได้จริง สามารถลดจำนวนเซลล์ไขมันส่วนเกินได้อย่างถาวร ซึ่งการสลายไขมัน พร้อมยกกระชับด้วยเทคโนโลยีนี้ได้รับความนิยมสูงในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งยังมีงานวิจัยที่สามารถตรวจสอบได้ และยังสามารถดูได้จากรีวิว Coolsculpting จากผู้ใช้บริการมากมาย ทั้งนี้ผลลัพธ์ของการรักษาด้วย Coolsculpting นั้นจะขึ้นอยู่กับการปัญหา อายุ หรือการดูแลตัวเองหลังทำด้วย

                          Coolsculpting เลือกทำที่ไหนดี
                          Coolsculpting เลือกทำที่ไหนดี

                          เลือกทำ Coolsculpting ที่ไหนดี? 

                          ก่อนที่จะตัดสินใจเลือก Coolsculpting ที่ไหนดี? นั้น ควรเลือกคลินิกที่มีความปลอดภัย การเลือกสถานพยาบาลหรือคลินิกก่อนทำ Coolsculpting นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก และมีหลายปัจจัยด้วยกัน ดังนี้ 

                          • เลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ และมีมาตรฐานของคลินิก มีใบรับรองที่ถูกต้อง มีความสะอาด เลือกใช้อุปกรณ์การแพทย์ และเลือกใช้เครื่องลดไขมัน Coolsculpting ที่เป็นของแท้ และสามารถตรวจสอบได้
                          • เลือกคลินิกที่ดูแลโดยแพทย์ผู้มีความชำนาญการ และมีประสบการณ์ในการใช้เครื่อง Coolsculpting โดยเฉพาะ ทั้งนี้สามารถตรวจสอบชื่อของแพทย์ได้ทางเว็บไซต์แพทยสภา
                          • เลือกคลินิกที่มี Review รูปภาพหรือรีวิวการทำ Coolsculpting จากผู้ใช้บริการจริง มีความน่าเชื่อถือ จากทั้งในเว็บไซต์ หรือโซเชียลมีเดีย
                          • เลือกคลินิกที่มีราคา Coolsculpting ที่สมเหตุสมผล ไม่ถูกมากจนเกินไป เนื่องจากอาจจะเจอกับเครื่องปลอม หรือเครื่องเลียนแบบได้ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้

                          ปัจจุบันการดูแลรูปร่าง ถือเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนต่างให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ผู้หญิง หรือผู้ชาย ซึ่งนอกจากการออกกำลังกายแล้ว เทคโนโลยีก็สามารถเป็นตัวช่วยลดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดได้เป็นอย่างดี อย่าง Coolsculpting  เครื่องลดไขมัน ยกกระชับสัดส่วน ที่ช่วยแก้ปัญหารูปร่างได้อย่างตรงจุด ซึ่งทาง รมย์รวินท์คลินิก ก็พร้อมให้บริการแล้วทุกสาขา สามารถเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับ CoolSculpting ได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ได้ทุกสาขา หรือผ่านช่องทางออนไลน์ได้เลย

                          รวมวิธีรักษาฝ้า เพื่อผิวหน้าใสไร้จุดด่างดำ

                          รวมวิธีรักษาฝ้า

                          รวมวิธีรักษาฝ้า เพื่อผิวหน้าใสไร้จุดด่างดำ

                           

                          ฝ้าเป็นปัญหาผิวที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนและสามารถเกิดได้หลายจุดทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบนใบหน้า ซึ่งการเกิดฝ้านั้นทำให้หลายคนเสียความมั่นใจจึงมีการพยายามหาวิธีการในการรักษาฝ้าและการป้องกันการเกิดฝ้าซ้ำที่หลากหลาย เพื่อช่วยปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอขึ้น วันนี้รมย์รวินท์จึงได้รวบรวมวิธีการรักษาฝ้าที่ได้ผลดีเพื่อให้ผิวสวยกระจ่างใส ไร้ฝ้า กลับมามั่นใจอีกครั้ง 

                          ฝ้าคืออะไร ?

                          ฝ้า หรือ Melasma คือภาวะที่เม็ดสีเมลานินในชั้นผิวที่มีมากเกินไป ทำให้เกิดเป็นรอยจุดด่างดำหรือรอยสีน้ำตาลอมเทาบนใบหน้า ซึ่งฝ้าส่วนใหญ่จะมีลักษณะรูปร่างและสีในแต่ละคนที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของฝ้าที่เป็น เกิดได้หลายจุดบนร่างกาย โดยเฉพาะจุดที่สัมผัสแดดร้อนจัดบ่อย และฝ้าสามารถพบได้ทั้งชายและหญิง

                          สาเหตุของการเกิดฝ้า

                          ฝ้าสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุที่ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการกระตุ้นการทำงานของเม็ดสีเมลานินในผิวหนังมากเกินไป ทำให้เกิดจุดด่างดำหรือรอยคล้ำบนใบหน้า โดยปัจจัยส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดฝ้าคือแสงแดด เนื่องจากรังสี UVA และ UVB ในแสงแดดจะเข้าไปกระตุ้นให้เมลานินในผิวหนังทำงานเพิ่มขึ้น ทำให้มีเม็ดสีสะสมมากขึ้น ซึ่งการเกิดฝ้าสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัยที่กระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานินและฝ้ามีหลายระดับ 

                          ดังนั้นในการรักษาฝ้าจึงมีทั้งวิธีการรักษาฝ้าในแบบตื้นและรุนแรง ตามระดับและชนิดของฝ้า อีกทั้งการรักษาฝ้านั้นควรทำควบคู่ไปกับการป้องกันการรักษาฝ้าร่วมด้วยเพราะฝ้าสามารถเกิดขึ้นได้ใหม่เรื่อย ๆ เสมอหากไม่ป้องกันการเกิดฝ้า

                           

                          ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสเกิดฝ้า
                          ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสเกิดฝ้า

                           

                          ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสการเกิดฝ้า

                          การเกิดฝ้าสามารถถูกกระตุ้นได้ด้วยปัจจัยต่าง ๆ มากมาย ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่จะกระตุ้นการเกิดฝ้ามีได้ ดังนี้

                          • ฝ้าถูกกระตุ้นจากการสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน 

                          ปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เมลานินผลิตเม็ดสีมากขึ้นในผิวหนัง มักเกิดจากแสงแดดเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าจากรังสี UV โดยเฉพาะ UVA และ UVB ส่งผลให้สีผิวไม่สม่ำเสมอและทำให้เกิดฝ้าได้ง่าย ฝ้าจึงมักจะพบได้บ่อยในบริเวณที่สัมผัสแสงแดดบ่อยๆ 

                          • ฝ้าถูกกระตุ้นจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย

                          ฝ้าสามารถถูกกระตุ้นได้จากฮอร์โมนในร่างกายที่มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์ หรือการใช้ยาคุมกำเนิด

                          • ฝ้าถูกกระตุ้นจากการที่ผิวระคายเคือง 

                          การที่ทำให้ผิวระคายเคืองไม่ว่าจะเป็นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรง หรือการขัดถูผิวแรงเกินไป เพราะอาจจะกระตุ้นให้ผิวอักเสบ จนต้องทำให้ผิวสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้น จนเกิดการสะสมเม็ดสีที่มากเกินไปจนเกิดเป็นฝ้า

                          • ฝ้าถูกกระตุ้นจากมลภาวะในอากาศ

                          การเกิดฝ้านั้นสามารถถูกกระตุ้นได้จากมลภาวะในอากาศที่เจอได้ เช่น ฝุ่น ควัน หรือสารเคมีต่างๆ ทำให้ผิวอักเสบและระคายเคืองได้ 

                          • ฝ้าถูกกระตุ้นจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น

                          คนเราเมื่ออายุมากขึ้นกระบวนการฟื้นฟูผิวช้าลง ส่งผลให้ผิวไวต่อแสงและปัจจัยการกระตุ้นต่าง ๆ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดฝ้าได้มากขึ้น

                          • ฝ้าถูกกระตุ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวบอบบาง

                          หากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ทำให้ผิวบอบบางเป็นประจำบ่อยๆ อาจจะทำให้ผิวบอบบางและไวต่อแสงเสี่ยงต่อการทำให้ระคายเคืองจนเกิดฝ้าได้

                           

                          ฝ้าเกิดจุดใดได้บ้าง
                          ฝ้าเกิดจุดใดได้บ้าง

                           

                          ฝ้าเกิดที่จุดไหนได้บ้าง ?

                          ก่อนการรักษาฝ้าควรรู้ก่อนว่าฝ้าสามารถขึ้นบริเวณใดได้บ้าง โดยการเกิดฝ้านั้นสามารถเกิดได้หลายบริเวณบนร่างกาย โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการโดนแดดร้อนจัดบ่อยๆ เนื่องจากผิวหนังบริเวณนั้นจะถูกกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินจนเกิดการสะสมที่มากเกินไปจากรังสี UV และจุดที่พบฝ้าได้บ่อยมีดังนี้

                          • ฝ้าบนใบหน้า ฝ้าบริเวณนี้สามารถพบได้บ่อยมากที่สุด เนื่องจากเป็นบริเวณที่โดนแดดบ่อย โดยเฉพาะที่แก้ม หน้าผาก และเหนือริมฝีปาก
                          • ฝ้าบริเวณลำคอ ฝ้านี้พบได้ไม่บ่อยแต่ในบางคนอาจจะเกิดฝ้าบริเวณลำคอได้
                          • ฝ้าบริเวณแขน การเกิดฝ้าบริเวณแขนมักพบได้ในผู้ที่ออกแดดบ่อย ๆ หรือผู้ที่ต้องทำงานกลางแจ่ง โดนฝ้านี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งบนแขนและหลังมือ
                          • ฝ้าบริเวณอกและบ่า ฝ้าบริเวณนี้แม้ไม่ได้พบมากเท่าบริเวณอื่น ๆ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน จากการที่ถูกแสงแดดโดยตรง เช่น การใส่เสื้อเกาะอกและการใส่เสื้อแขนกุด

                           

                          ฝ้ามีกี่ชนิด ต่างกันยังไง ?

                          การรักษาฝ้าจะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นหากรู้จักชนิดของฝ้า เนื่องจากฝ้าแต่ละชนิดมีลักษณะและวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน ซึ่งการเกิดฝ้านั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดตามความลึกของการสะสมเม็ดสีเมลานินในชั้นผิวหนัง ดังนี้

                          • ฝ้าแบบตื้น 

                          Epidermal Melasma หรือฝ้าแบบตื้นเกิดในชั้นกำพร้า มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อน ขอบเขตชัดเจน และมีสีเข้มกว่าฝ้าชนิดอื่น มักเป็นแค่ผิวชั้นนอก ในการรักษาฝ้าแบบตื้นมักรักษาด้วยการทาครีม,การทำเลเซอร์ IPL หรือการทำฟีลลิ่ง

                          • ฝ้าแบบลึก 

                          Dermal Melasma หรือ ฝ้าแบบลึกเกิดในหนังชั้นแท้ มีลักษณะฝ้าสีเทาหรือสีน้ำตาลอมเทา ขอบเขตไม่ชัดเจน กระจายเป็นวงกว้าง 

                          โดยการรักษาของฝ้าแบบลึกจะใช้เวลาการรักษาที่นานมากกว่าและเห็นผลช้า การทาครีมรักษาฝ้าอาจจะไม่เห็นผลดีมากนัก ส่วนใหญ่จึงจะนิยมรักษาฝ้าแบบนี้ด้วยการใช้เลเซอร์หรือการฉีดสารลดเม็ดสีที่ทำให้เกิดฝ้าเพื่อให้รักษาถึงชั้นหนังแท้ 

                          • ฝ้าแบบผสม 

                          Mixed Melasma หรือ ฝ้าแบบผสมพบได้มากที่สุด โดยฝ้าแบบผสมเป็นฝ้าที่มีทั้งฝ้าแบบตื้นและฝ้าแบบลึกผสมกัน ลักษณะของฝ้าแบบผสมจะมีสีเป็นสีน้ำตาลและเทา มีขอบเขตทั้งชัดเจนและไม่ชัดเจน กระจายอยู่หลาย ๆ ตำแหน่ง โดยการรักษาฝ้าชนิดนี้ต้องใช้วิธีการรักษาหลายแบบร่วมกัน เพื่อการรักษาที่ล้ำลึก

                          ทำไมต้องรักษาฝ้า ?

                          การรักษาฝ้านั้นไม่ใช่รักษาเพียงเพื่อแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญหลายอย่าง เนื่องจากการเกิดฝ้านั้นมีผลต่อสุขภาพผิวอื่นๆอีกด้วย ดังนั้นเหตุผลในการรักษาฝ้ามี ดังนี้

                          • รักษาฝ้าเพื่อเพิ่มความมั่นใจ การเกิดฝ้านั้นส่งผลต่อความสวยงามของฝ้าโดยตรงทำให้หลายคนอาจทำให้ผู้ที่เกิดฝ้ารู้สึกไม่มั่นใจ ดังนั้นการรักษาฝ้าจะช่วยให้ผิวเรียบเนียนและดูกระจ่างใสทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น
                          • รักษาฝ้าเพื่อป้องกันไม่ให้เข้มขึ้นหรือลุกลาม หากไม่รักษาฝ้าหรือปล่อยทิ้งไว้นานๆ ฝ้าจะเข้มขึ้นและสามารถขยายวงกว้างได้ โดยเฉพาะเมื่อโดนแสงแดดหรือโดนปัจจัยที่ทำให้กระตุ้นการเกิดฝ้าเข้มขึ้นหรือทำให้เกิดฝ้าลุกลามได้
                          • รักษาฝ้าเพื่อคงสุขภาพผิวและลดความหมองคล้ำ ฝ้ามักทำให้ผิวดูหมองคล้ำและผิวไม่สดใส การรักษาฝ้าจะช่วยปรับสีผิวไม่สม่ำเสมอ ทำให้ผิวดูกระจ่างใส สุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
                          • รักษาฝ้าเพื่อลดการสะสมเม็ดสีที่อาจส่งผลต่อผิวในระยะยาว  เมื่อเป็นฝ้าแล้วนั้นผิวจะอ่อนแอและไวต่อแสงแดดมากขึ้น จากการที่มีการสะสมเม็ดสีที่มากเกินไป แล้วเมื่อสะสมเป็นเวลานานการรักษาฝ้าจะยากมากยิ่งขึ้นอีก ดังนั้นหากเป็นฝ้าแล้วควรรีบดูแลและรักษาตั้งแต่เริ่มเป็นจะดีที่สุด
                          • รักษาฝ้าเพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอย

                          การป้องกันผิวจากแสงแดดและการรักษาฝ้าเมื่อเป็นทันทีจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดริ้วรอยในอนาคตและรังสี UV ที่จะส่งผลต่อสุขภาพผิวและความอ่อนเยาว์ในระยะยาวได้

                           

                          10 วิธีรักษาฝ้า
                          10 วิธีรักษาฝ้า

                          10 วิธีการรักษาฝ้า

                          การรักษาฝ้านั้นมีหลายวิธีมากในปัจจุบัน ซึ่งการเลือกวิธีการรักษาฝ้าที่เหมาะสมกับชนิดและความรุนแรงฝ้าที่ตัวเองเป็นนั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะฝ้าแต่ละชนิดต้องการการรักษาที่แตกต่างกันจึงมีวิธีการรักษาที่มากมาย ดังนี้

                          • รักษาฝ้าด้วยการทาครีมรักษาฝ้า

                          การรักษาฝ้าด้วยการทาครีมที่มีคุณสมบัติในการลดเม็ดสีเมลานิน ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี และมีวิตามินที่ช่วยฟื้นฟูผิวลดความเข้มของฝ้า เป็นวิธีที่มีความนิยม จากการที่สามารถรักษาได้เองที่บ้าน มีความสะดวกและสามารถรักษาได้ในฝ้าแบบตื้น แต่ในบางบุคคลอาจจะมีความเสี่ยงที่จะทำให้ผิวระคายเคืองได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบอบบาง หากใช้สารที่มีความเข้มข้นสูงหรือใช้ต่อเนื่องนานเกินไป ดังนั้นเพื่อป้องกันการเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์

                          • รักษาฝ้าด้วยการเลเซอร์รักษาฝ้า

                          การรักษาฝ้าด้วยการใช้เลเซอร์ เช่น Pico Laser มีความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถรักษาได้ลงลึก เน้นการทำงานไปยังที่เม็ดสีเมลานินในผิว และเห็นผลเร็ว โดยการรักษาฝ้าช่วยลดฝ้าได้อย่างชัดเจนในระยะเวลาไม่นาน สามารถทำลายเม็ดสีได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผิวบริเวณอื่น 

                          ดังนั้นการทำเลเซอร์เพื่อรักษาฝ้าเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาฝ้าฝังลึกหรือเม็ดสีที่เข้ม และในการทำเลเซอร์รักษาฝ้าควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและดูแลผิวให้ดีหลังการทำเลเซอร์

                          • รักษาฝ้าด้วยการฉีดสารลดเม็ดสีเมลานิน

                          การฉีดสารที่ช่วยลดเม็ดสีเมลานินเป็นวิธีการที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการลดฝ้าและเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิว และวิธีนี้ต้องทำกับแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้นโดยการฉีดสารเข้าสู่ผิวช่วยให้ฝ้าจางลงและเห็นผลลัพธ์ได้เร็วขึ้นเมื่อเทียบกับการทาครีมหรือวิธีการรักษาฝ้าทางธรรมชาติ อีกทั้งวิธีการนี้ยังลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่ได้อีกด้วย แต่วิธีนี้อาจจะทำให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองได้ในบางบุคคล โดยเฉพาะคนที่แพ้ง่ายและผิวบอบบาง 

                          • รักษาฝ้าด้วยการทำ IPL 

                          การรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้จะใช้คลื่นแสงที่มีความยาวคลื่นเฉพาะ ซึ่งสามารถเลือกช่วงคลื่นที่เหมาะสมกับปัญหาเม็ดสีต่าง ๆ ได้ โดยฝ้าที่เกิดจากการสะสมเม็ดสีในชั้นผิวตื้น ๆ จะถูกดูดซึมและจางลงได้หลังจากการได้รับพลังงานจากคลื่นแสง IPL แต่การรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้ต้องทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญการและต้องทำการรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้หายขาดและไม่ให้เกิดซ้ำอีก

                          • รักษาฝ้าด้วยการใช้กรดผลไม้

                          การรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้จะใช้กรดผลไม้ในรูปแบบของสกินแคร์ ได้แก่ กรด AHA และ BHA เพื่อผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก โดยกรด AHA จะช่วยให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วหลุดลอกออกไปได้ง่ายขึ้น และกรด BHA จะช่วยในการลดการอุดตันและป้องกันการเกิดสิวในอนาคต อีกทั้งการใช้กรดทั้งสองนี้จะช่วยให้ผิวที่มีปัญหาฝ้ามีผิวสม่ำเสมอขึ้น เหมาะสำหรับการใช้ในระยะยาว ช่วยค่อยๆทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นทีละนิด และช่วยลดฝ้าและจุดด่างดำในระยะเบื้องต้น 

                          แต่ถ้าหากใช้ความเข้มข้นที่สูงเกินไปอาจทำให้ผิวบางลง ทำให้ผิวไวต่อแสงและเกิดการระคายเคืองได้ง่ายมากขึ้นได้เช่นกัน ดังนั้นหากต้องการรักษาฝ้าด้วยกรดผลไม้ควรปรึกษาผู้ชำนาญการเพื่อให้ได้รับคำแนะนำและปริมาณการใช้ที่เหมาะสมในแต่ละบุคคล เพื่อป้องกันการระคายเคืองหรือผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้

                           

                          10 วิธีรักษาฝ้า
                          10 วิธีรักษาฝ้า

                          • รักษาฝ้าด้วยการ Chemical Peeling

                          การรักษาฝ้าด้วยการใช้สารเคมีหรือ Chemical Peeling เป็นการใช้สารเคมีที่มีความเข้มข้นสูงกว่ากรดผลไม้ในการกระตุ้นให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวชั้นบน ซึ่งสารเคมีที่ใช้มีหลายชนิด ในบางชนิดอาจเข้มข้นถึงระดับที่ทำให้เกิดการผลัดผิวชั้นลึกขึ้น เหมาะสำหรับการรักษาฝ้าและรอยดำที่ลึกและชัดเจน โดยการรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้ควรทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำให้การรักษาปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และลดความเสี่ยงในการเกิดอาการข้างเคียง เช่น ผิวลอกมากเกินไป ได้

                          • รักษาฝ้าด้วยการยาทารักษาฝ้า

                          การทายารักษาฝ้าเป็นวิธีที่นิยมและมีประสิทธิภาพสูงในการผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ช่วยลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำได้ดี รวมถึงยังช่วยปรับสมดุลสีผิว ทำให้ผิวดูกระจ่างใส เรียบเนียนมากยิ่งขึ้น แต่การใช้ยารักษาฝ้าควรอยู่ใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากยารักษาฝ้าบางชนิดมีฤทธิ์แรงและอาจมีผลข้างเคียงได้ หากใช้ยาอย่างไม่ถูกต้อง

                          • รักษาฝ้าด้วยการใช้ครีมกันแดด

                          การใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูง ที่ช่วยป้องกันแสง UV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่กระตุ้นการเกิดฝ้า เป็นอีกวิธีที่ช่วยลดการเกิดฝ้าใหม่และป้องกันไม่ให้ฝ้าเข้มขึ้น เนื่องจาก เมื่อผิวได้รับแสง UV มากๆ ผิวจะพยายามปกป้องตัวเองด้วยการผลิตเมลานินมากขึ้นทำให้เกิดฝ้าได้ โดยการใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูงอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สีผิวความสม่ำเสมอ ลดความเสี่ยงในการเกิดฝ้า และยังช่วยรักษาผิวให้อ่อนเยาว์ได้ยาวนานขึ้นอีกด้วย

                          • รักษาฝ้าด้วยการทำ Phonophoresis

                          การรักษาฝ้าด้วย Phonophoresis เป็นการผลักสารบำรุงผิวด้วยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง ช่วยให้สารบำรุงที่ใช้การลดฝ้าสามารถซึมลึกเข้าไปถึงผิวชั้นในได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าการทาทั่วไป ซึ่งจะช่วยให้ฝ้าจางลงและสีผิวสม่ำเสมอมากขึ้น เนื่องจากสารบำรุงที่ล้ำลึกช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีสามารถเข้าถึงชั้นผิวได้โดยตรง แต่การรักษาด้วย Phonophoresis ควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยและการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิว

                           

                               10.รักษาฝ้าด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

                          วิธีนี้เป็นวิธีที่ช่วยลดเลือนฝ้าและทำให้ผิวดูสม่ำเสมอขึ้น โดยใช้สารบำรุงที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเมลานิน ทำให้ฝ้าค่อย ๆ จางลงได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาฝ้า ดูแลผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ และสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้โดยไม่ต้องพักฟื้น แต่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตัวเอง โดยเฉพาะในผู้ที่ผิวบอบบาง แพ้ง่าย ควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์

                          ทำไมรักษาฝ้าแล้วไม่หายสักที ?

                          ปัญหาการรักษาฝ้าแล้วไม่หายอาจจะเป็นปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้ในบางบุคคล ซึ่งการรักษาฝ้าแล้วไม่หายขาดนี้อาจจะเกิดได้จากหลายปัจจัย ดังนี้

                          • รักษาฝ้าแล้วไม่หายจากสาเหตุของการเกิดฝ้า

                          การเกิดฝ้าสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น แสงแดด ยาคุมกำเนิด หรือพันธุกรรม หากปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้าเหล่านี้ยังกระตุ้นการเกิดฝ้าอยู่ ก็สามารถทำให้เกิดฝ้าซ้ำหรือไม่สามารถรักษาฝ้าให้หายขาดได้

                          • รักษาฝ้าแล้วไม่หายจากการที่ไม่ปกป้องผิวจากแดด

                          รังสี UV จากแสงแดดนั้นเป็นปัจจัยหลักที่มักกระตุ้นให้เกิดฝ้า หากรักษาฝ้าแล้วไม่ทาครีมกันแดดที่มี SPF สูง หรือตากแดดบ่อยๆ ก็สามารถกระตุ้นให้ฝ้ากลับมาเกิดซ้ำได้อีก

                          • รักษาฝ้าแล้วไม่หายจากการเลือกวิธีที่รักษาไม่ถูกกับชนิดของฝ้า 

                          ในปัจจุบันการรักษาฝ้ามีหลายวิธีมาก ไม่ว่าจะเป็นการทาครีม การทำเลเซอร์ หรือการทำ IPL เป็นต้น โดยวิธีการรักษาที่เหมาะกับชนิดของฝ้าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากเลือกการรักษาที่ไม่ถูกกับชนิดของฝ้าอาจทำให้การบำรุงรักษาไม่เพียงพอ หรือไม่ลึกถึงชั้นปัญหาที่เป็น ทำให้การรักษาฝ้านั้นไม่หายขาด

                          • รักษาฝ้าแล้วไม่หายจากฮอร์โมนในร่างกาย

                          หากเกิดฝ้าจากฮอร์โมนในร่างกาย มักจะหายขาดยากกว่าฝ้าแบบอื่น เนื่องจากจะมีฮอร์โมนเป็นตัวกระตุ้นในเกิดฝ้าได้เสมอ หากไม่ลดหรือควบคุมฮอร์โมนที่ทำให้เกิดฝ้า

                          • รักษาฝ้าแล้วไม่หายจากการไม่ดูแลผิวต่อเนื่อง

                          ในการรักษาฝ้านั้นส่วนใหญ่ต้องใช้เวลา หากการรักษาฝ้ายังไม่สิ้นสุดแล้วหยุดรักษาไปก่อน ไม่รักษาต่อเนื่อง อาจจะทำให้ฝ้ากลับมาเร็วขึ้น

                           

                          ฝ้าสามารถหายขาดได้ไหม ?

                          การรักษาฝ้าสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่อาจจะเป็นเรื่องที่ยากเพราะมีหลายปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดฝ้า แต่ในการรักษาที่ถูกต้องและต่อเนื่องจะทำให้ฝ้าลดเลือนจางลง และทำให้ผิวกลับมากระจ่างใสมีสุขภาพดีได้

                          วิธีการป้องกันการเกิดฝ้า
                          วิธีการป้องกันการเกิดฝ้า

                          วิธีการป้องกันการเกิดฝ้า 

                          การป้องกันการเกิดฝ้าเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าอยากให้การรักษาฝ้ามีประสิทธิภาพควรทำควบคู่ไปกับการป้องกันการเกิดฝ้าด้วย เพื่อลดโอกาสการเกิดฝ้าซ้ำ โดยสามารถป้องกันการเกิดฝ้าได้ดังนี้

                          • ทาครีมกันแดด ควรทาครีมกันแดดสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวันแม้ในวันที่มีอากาศครึ้ม และควรทาซ้ำเรื่อย ๆ ทุก 2-3 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแดด และควรเลือกครีมกันแดดที่มี SPF สูงเพื่อป้องกันรังสียูวีอย่างมีประสิทธิภาพ


                          • รักษาความชุ่มชื้น ในการรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวเป็นหนึ่งในวิธีสำคัญในการป้องกันการเกิดฝ้า เนื่องจากความชุ่มชื้นในผิวจะทำให้ผิวสุขภาพดีและแข็งแรง ลดโอกาสการเกิดฝ้าได้ โดยวิธีการในการรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวมีมากมายหลายวิธี เช่น การทามอยเจอไรเซอร์ การใช้มาสก์ หรือเซรั่มบำรุงผิว เป็นต้น


                          • เลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิว อีกวิธีที่สำคัญในการป้องกันการเกิดฝ้าคือการหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวระคายเคือง เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีเข้มข้น เพราะการที่ผิวระคายเคืองมากๆจะไปกระตุ้นการผลิตเม็ดสีในผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นฝ้าขึ้นมาได้ 


                          • หลีกเลี่ยงแสงแดด วิธีการที่ดีในการป้องกันฝ้าอีกวิธี คือ การหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งในวันที่อากาศร้อนจัด แดดจ้า โดยเฉพาะแสงแดดกลางแจ้งในช่วง 10.00 – 16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่รังสี UV สูงที่สุด หากต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งในแดดที่ร้อนจัดควรเลือกทำในที่มีร่มเงา หรือสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกาย เพื่อลดการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง


                          • ทาครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมช่วยป้องกันฝ้า เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพดีในการดูแลผิวและลดโอกาสการเกิดฝ้า เนื่องจากส่วนผสมในครีมบำรุงสามารถช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดการสร้างเม็ดสีเมลานินได้ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวและใช้เป็นประจำควบคู่กับการดูแลผิว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี

                          การรักษาฝ้านั้นสามารถทำได้หลายวิธี และสามารถรักษาให้ขาดได้ หากทำอย่างต่อเนื่อง และเลือกวิธีที่เหมาะสมกับความรุนแรงและชนิดของฝ้า ในบางคนการรักษาฝ้าอาจจะต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน แต่สิ่งที่สำคัญในการรักษาฝ้าคือควรทำควบคู่ไปกับการป้องกันการเกิดฝ้าใหม่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และควรรักษาภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง และให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัย

                          ฉีดโบปลอม เสี่ยงหน้าพัง เสียโฉมตลอดชีวิต

                          ฉีดโบปลอม

                          ฉีดโบปลอม เสี่ยงหน้าพัง เสียโฉมตลอดชีวิต

                          อันตราย! เมื่อภัยร้ายมักซ่อนอยู่ในขวดโบปลอม สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายจำนวนมาก ตกเป็นเหยื่อของคลินิกเถื่อน ที่นำเข้าโบปลอมแบบผิดกฎหมาย แล้วนำมาฉีดให้แก่ผู้รับบริการ ส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงต่อใบหน้า ไม่ว่าจะเป็น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ใบหน้าเบี้ยว เกิดการติดเชื้อ และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งจะเห็นได้เลยว่า ในปัจจุบันมีเหตุการณ์ในลักษณะนี้ ออกมาให้เห็นอยู่เป็นประจำ สะท้อนให้เห็นถึง ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความสวยของใครหลาย ๆ คน ดังนั้น การเลือกใช้บริการในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจนำมาซึ่งอันตรายร้ายแรงไม่รู้จบ ผู้รับบริการควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด

                           

                          ระวัง! พิษจากโบปลอม อันตรายกว่าที่คิด

                          ฉีดโบปลอม

                          ทำไมการฉีดโบถึงได้รับความนิยม

                          การฉีดโบ เป็นสารสกัดที่ได้จากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง เมื่อนำมาใช้ทางการแพทย์ จะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อ ในบริเวณที่ฉีดเข้าไป ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว ลดขนาดกล้ามเนื้อกรามได้อย่างตรงจุด ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าลดเลือนลง เช่น ริ้วรอยระหว่างคิ้ว ริ้วรอยหางตา และริ้วรอยบริเวณหน้าผาก พร้อมปรับรูปหน้า ทำให้ใบหน้าเรียวเล็ก มีความเรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์อีกด้วย ซึ่งการฉีดโบจะให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ มีความปลอดภัย และสามารถคงอยู่ได้นานหลายเดือน 

                           

                          ฉีดโบปลอม คืออะไร?

                          โบปลอม คือ ผลิตภัณฑ์ที่ถูกออกแบบขึ้นมา เพื่อเลียนแบบโบแท้ โดยใช้ตัวยาที่ไม่มีคุณภาพ ไม่เป็นไปตามมาตรฐานตามที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนด อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคหรือสารอื่น ๆ ซึ่งส่งผลกระทบให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงต่อใบหน้า เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ใบหน้าเบี้ยว หรือเกิดอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ โดยโบปลอมส่วนมาก มักจะพบได้ในคลินิกเถื่อน คลินิกที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ หรือบางรายอาจเห็นแก่ราคาถูก เลือกฉีดโบกับหมอกระเป๋า ซึ่งผู้ที่ฉีดมักไม่ใช่แพทย์ที่มีความชำนาญโดยตรง ดังนั้น จึงไม่สามารถทราบได้เลยว่า สารที่นำมาฉีดคืออะไร มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นโบปลอมหรือโบหิ้วที่ไม่ได้มาตรฐาน

                          ผลกระทบจากการฉีดโบปลอม

                          การฉีดโบปลอม มีความอันตรายอย่างมาก เนื่องจากโบปลอม ใช้ตัวยาที่ไม่บริสุทธิ์ มีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งอาจนำไปสู่ผลข้างเคียงที่ร้ายแรงได้มากมาย เช่น

                          • ฉีดโบปลอมแล้วไม่เห็นผล เนื่องจากโบปลอมไม่มีประสิทธิภาพพอ ในการลดเลือนริ้วรอย หรือลดขนาดกล้ามเนื้อกราม ทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
                          • หนังตาตก ใบหน้าเบี้ยว เนื่องจากตัวยาของโบปลอม กระจายไปโดนกล้ามเนื้อมัดอื่น ๆ ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หนังตาตก หรือใบหน้าบิดเบี้ยวได้
                          • เกิดการติดเชื้อ เนื่องจากตัวยาของโบปลอม ไม่มีความบริสุทธิ์เพียงพอ เป็นสารที่ไม่ได้รับการรองรับทางการแพทย์ อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค ส่งผลให้เกิดอาการแพ้หรือติดเชื้อ ทำให้ผิวหนังแดง บวม คัน หรือหายใจลำบากได้
                          • เสี่ยงภาวะดื้อโบ เนื่องจากตัวยาของโบปลอม อาจมีสิ่งแปลกปลอมหรือสารปนเปื้อนผสมอยู่ เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวหน้า ร่างกายจึงสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้าน ทำให้การฉีดโบในครั้งต่อ ๆ ไปไม่เห็นผล แม้จะฉีดหลายครั้งก็ตาม

                          วิธีป้องกัน ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ จากการฉีดโบปลอม

                          • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ภายในคลินิกมีความสะอาด อุปกรณ์ปลอดเชื้อ และมีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง เพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถือของคลินิก
                          • แพทย์ที่มีความรู้และความชำนาญ มีใบประกอบวิชาชีพอย่างถูกต้อง โดยสามารถนำชื่อและนามสกุลของแพทย์ เข้าไปตรวจสอบในเว็บไซต์ของแพทยสภาได้ เพื่อตรวจเช็กว่า แพทย์ที่ทำการฉีดโบเป็นแพทย์จริงหรือไม่
                          • เลือกโบแท้ ยี่ห้อที่ได้รับการรับรองจาก อย. เท่านั้น สามารถขอตรวจสอบโบก่อนฉีดได้ โดยให้แพทย์แกะกล่อง เปิดขวด และผสมตัวยาให้ดูต่อหน้า หากเป็นคลินิกที่ใช้โบแท้ จะยินดีให้ผู้รับบริการตรวจสอบได้อย่างแน่นอน
                          • ราคาไม่ถูกจนเกินไป เนื่องจากหากมีราคาถูกเกินจริงจนน่าสงสัย อาจเป็นสัญญาณได้ว่า โบที่ใช้คือโบปลอม ที่ไม่ได้มาตรฐาน มีการผสมสารปนเปื้อนที่อันตรายต่อร่างกาย
                          • หมั่นสังเกตอาการหลังฉีดโบ เมื่อฉีดโบไปแล้ว ควรสังเกตอาการผิดปกติของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เช่น บวม แดง ปวด หรือกล้ามเนื้อเริ่มอ่อนแรง หากพบอาการผิดปกติเมื่อไหร่ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

                           

                          เลือกฉีดโบทั้งที เลือก รมย์รวินท์คลินิก

                          เพื่อให้การฉีดโบเป็นไปอย่างปลอดภัย มั่นใจในผลลัพธ์ ไม่ต้องเสี่ยงเจอโบปลอม สามารถเข้ามาปรึกษากับแพทย์ผู้ชำนาญการได้แล้ววันนี้ ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา เราใส่ใจทุกรายละเอียดและขั้นตอนในการรักษา ด้วยทีมแพทย์ที่มีความชำนาญการ สามารถประเมินผิวหน้า พร้อมวางแผนการรักษาที่เหมาะสม มีโปรแกรมฉีดโบให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งทุกยี่ห้อได้รับการรับรองจาก อย. ไทย ทั้งสิ้น อย่าไปหลงเชื่อกับโปรโมชันราคาถูก ในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ที่ รมย์รวินท์คลินิก เราพร้อมให้คำแนะนำในการเลือกยี่ห้อและปริมาณโบที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของแต่ละบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและน่าพึงพอใจ  บอกลาริ้วรอย กรามใหญ่ หน้าไม่เรียวเล็กได้ทันที

                          ช็อก! IPL เลเซอร์หน้าใส ทำผิวไหม้เกรียมทั้งหน้า

                          IPL Laser

                          ช็อก! IPL เลเซอร์หน้าใส ทำผิวไหม้เกรียมทั้งหน้า

                          เกิดเหตุการณ์สุดสะเทือนใจขึ้น เมื่อผู้เสียหายรายหนึ่ง ออกมาเปิดใจเล่าว่า หลังไปทำ IPL เลเซอร์หน้าใสที่คลินิกแห่งหนึ่ง ผิวหน้าเริ่มมีอาการแดงและบวมอย่างรุนแรง จนกลายเป็นรอยแผลไหม้ เหมือนเอาเตารีดมานาบหน้า โดยผู้เสียหายเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ผู้ที่ทำหัตถการ IPL เลเซอร์หน้าใสให้ เป็นเพียงพนักงานทั่วไป ไม่ใช่แพทย์ผู้ชำนาญการแต่อย่างใด ในขณะที่ทำ IPL เลเซอร์หน้าใสอยู่ รู้สึกแสบร้อนไปทั่วใบหน้า เมื่อทำเสร็จความร้อนก็ยังไม่หาย ส่งผลให้ใบหน้าที่เคยดูดี กลายเป็นแผลไหม้ จนรู้สึกทรมานในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก จะออกไปทำงานหรือออกไปไหนก็รู้สึกไม่มั่นใจ 

                          ดังนั้น อยากให้เหตุการณ์นี้ เป็นเหตุการณ์ตัวอย่างที่เตือนภัยสำหรับสาว ๆ ที่กำลังใช้บริการคลินิกเสริมความงามอยู่ ควรศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจ เลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ สอบถามคลินิกก่อนเข้ารับบริการว่า ใครเป็นผู้ทำหัตถการให้ หากเป็นพนักงานทั่วไป ที่ไม่ใช่แพทย์ผู้ชำนาญการ ควรหลีกเลี่ยงทันที เพื่อป้องกันเหตุการณ์ในลักษณะนี้ซ้ำรอย

                           

                          บทเรียนราคาแพง! ผิวไหม้เกรียม หลังทำ IPL เลเซอร์หน้าใส กับผู้ที่ไม่ใช่แพทย์

                          IPL Laser

                          IPL เลเซอร์คืออะไร?

                          IPL เลเซอร์ หรือ Intense Pulse Light เป็นเทคโนโลยีคลื่นแสงที่มีความเข้มข้นสูง ซึ่ง IPL เลเซอร์ จะปล่อยแสงที่มีความยาวคลื่นที่หลากหลายออกมา มีความยาวคลื่นตั้งแต่ 420 – 1,200 nm (นาโนเมตร) ทำให้คลื่นแสงเหล่านี้ ไปทำปฏิกิริยากับเม็ดสีเมลานินในชั้นผิว ส่งผลให้เม็ดสีเมลานินแตกตัวและสลายไป โดยสามารถปรับเปลี่ยนความยาวคลื่นได้ตามปัญหาผิวที่ต้องการรักษา ทำให้ IPL เลเซอร์สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย ตั้งแต่การลดเลือนรอยดำ รอยแดง ฝ้า กระ ไปจนถึงการกระชับรูขุมขน และลดริ้วรอย นอกจากนี้ IPL เลเซอร์ ยังสามารถใช้ในการกำจัดขนในบริเวณต่าง ๆ ได้อีกด้วย ทำให้ IPL เลเซอร์ เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในวงการความงาม

                           

                          IPL เลเซอร์ ช่วยเรื่องอะไร?

                          เนื่องจาก IPL เลเซอร์ มีความยาวคลื่นที่หลากหลาย ทำให้สามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม ดังนี้

                          • IPL เลเซอร์ ช่วยลดเลือนรอยดำ รอยแดง จากสิว 
                          • IPL เลเซอร์ ช่วยลดเลือนฝ้า กระ หรือจุดด่างดำต่าง ๆ
                          • IPL เลเซอร์ ช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้ผิวเรียบเนียน
                          • IPL เลเซอร์ ช่วยลดริ้วรอยตื้น ๆ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์
                          • IPL เลเซอร์ ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ทำให้ผิวดูขาวกระจ่างใสขึ้น
                          • IPL เลเซอร์ ช่วยลดการอักเสบของผิว ช่วยลดปัญหาสิวและผิวแพ้ง่าย
                          • IPL เลเซอร์ ช่วยกำจัดขน สามารถใช้กำจัดขนได้หลายบริเวณ เช่น ขนรักแร้ ขนขา หรือขนแขน

                           

                          อาการที่พบบ่อยหลังทำ IPL เลเซอร์ 

                          • ผิวแดง เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด หลังทำ IPL เลเซอร์ โดยในบริเวณที่ทำอาจมีอาการแดงเกิดขึ้น ซึ่งจะค่อย ๆ จางหายไป ภายใน 1 – 2 วัน
                          • รู้สึกแสบร้อน หลังทำ IPL อาจเกิดอาการแสบร้อนเล็กน้อยบริเวณในบริเวณที่ทำ และซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมง
                          • บวม ในบางเคสอาจมีอาการบวมเล็กน้อยบริเวณที่ทำ ซึ่งจะหายไปเองภายใน 1 – 2 วัน
                          • คัน อาการคันหลังทำ IPL สามารถอาจเกิดขึ้นได้บ้าง โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบอบบาง
                          • ผิวแห้ง หลังทำ IPL ผิวอาจรู้สึกแห้งตึงในบริเวณที่ทำ แนะนำให้ทาครีมบำรุงผิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น

                           

                          ผลข้างเคียงอันตรายจากการทำ IPL เลเซอร์

                          อาการที่เกิดขึ้นจากการทำ IPL เลเซอร์ ส่วนใหญ่จะไม่รุนแรงและหายไปเองได้ภายในระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้เช่นกัน หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง หรือทำ IPL เลเซอร์ในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ได้แก่

                          • การติดเชื้อ หากเครื่องมือที่ใช้ไม่มีความสะอาด หรือการทำความสะอาดผิวไม่ดีพอ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
                          • รอยแผลไหม้ หากใช้พลังงานความยาวคลื่นสูงเกินไป อาจทำให้รอยแผลไหม้ เกิดแผลพุพอง และต้องใช้เวลานานกว่าจะรักษาให้หาย
                          • รอยแผลเป็น ในบางเคสอาจเกิดรอยแผลเป็นนูน หรือรอยแผลเป็นบุ๋ม จนไม่สามารถรักษาให้หายได้
                          • ผิวเปลี่ยนสี ในบริเวณที่ทำ ผิวอาจเปลี่ยนสีเป็นเข้มขึ้นหรือซีดลงอย่างถาวร
                          • เกิดตุ่มน้ำใส ในบางเคสอาจเกิดตุ่มน้ำใสขึ้น ในบริเวณที่ทำการรักษา
                          • เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ผิวหนังอักเสบอย่างรุนแรง 

                           

                          ปัจจัยที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงอันตราย จากการทำ IPL เลเซอร์

                          • คลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน มีเครื่องมือที่ไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี หรือไม่มีการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
                          • ผู้ที่ทำหัตถการไม่ใช่แพทย์ เนื่องจากผู้ที่ทำหัตถการต้องมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับเครื่อง IPL เลเซอร์ และสภาพผิวของผู้รับบริการเป็นอย่างดี หากผู้ที่ทำไม่ใช่แพทย์ อาจมีการตั้งค่าพลังงานที่ไม่เหมาะสมหรือเทคนิคในการทำไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงได้
                          • ตั้งค่าพลังงานสูงเกินไป เนื่องจากการตั้งค่าพลังงานที่ไม่เหมาะสมกับปัญหา หรือบริเวณที่ทำการรักษา เช่น ตั้งค่าพลังงานสูงในบริเวณที่มีผิวบาง อาจทำให้เซลล์ผิวถูกทำลาย และเกิดการอักเสบอย่างรุนแรง จนส่งผลให้เกิด รอยไหม้ แผลพุพอง และรอยแผลเป็นได้
                          • เทคนิคการทำไม่ถูกต้อง เช่น การยิงเลเซอร์ซ้ำซ้อนในบริเวณเดียวกัน อาจทำให้เกิดความร้อนสะสม และทำลายผิวได้ 
                          • เครื่องมือไม่ได้รับการบำรุงรักษา หรือมีอายุการใช้งานนาน ปล่อยพลังงานคลื่นแสงออกมาไม่สม่ำเสมอ อาจทำให้เกิดแสงเลเซอร์ที่ไม่เสถียรและก่อให้เกิดอันตรายได้

                          เลเซอร์หน้าใสอย่างปลอดภัย ที่ รมย์รวินท์คลินิก

                          • รมย์รวินท์คลินิก เป็นคลินิกความงามชั้นนำ ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาอย่างยาวนาน ด้วยประสบการณ์และความชำนาญในด้านการดูแลผิวพรรณ ทำให้รมย์รวินท์คลินิกเป็นที่รู้จักในด้านการให้บริการ เครื่องมือและอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ให้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ
                          • ที่รมย์รวินท์คลินิก เรามีทีมแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญ ด้านการเลเซอร์ผิวหนังโดยเฉพาะ สามารถให้การดูแลอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ขั้นตอนการปรึกษา ให้คำแนะนำ พร้อมวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิว ไปจนถึง ทำหัตถการเลเซอร์โดยแพทย์ผู้ชำนาญ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
                          • ที่รมย์รวินท์คลินิก มีเทคโนโลยีเลเซอร์ที่หลากหลาย มีความทันสมัย มีการอัปเดตเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา จึงสามารถตอบโจทย์ทุกปัญหาผิวของแต่ละบุคคล ได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็น สิว ฝ้า กระ หรือจุดด่างดำต่าง ๆ  
                          • ที่รมย์รวินท์คลินิก มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้รับบริการเป็นอันดับหนึ่ง มีการควบคุมคุณภาพในการให้บริการ พร้อมฆ่าเชื้อและทำความสะอาดอุปกรณ์อย่างเข้มงวด เพื่อให้ผู้บริการมั่นใจในความปลอดภัย
                          • ที่รมย์รวินท์คลินิก มีรีวิว Feedback จากผู้ใช้บริการจริงในด้านที่ดี โดยมีการบอกเล่าถึงความพึงพอใจและความประทับใจหลังจากเข้ารับบริการ อีกทั้ง ยังมีภาพ Before & After ผลการรักษาจริงจากผู้ใช้บริการให้ชมอีกด้วย

                           

                          สำหรับใครที่สนใจอยากเลเซอร์หน้าใสแบบปลอดภัย ไม่ต้องกลัวเป็นรอยแผลไหม้ทั่วหน้า สามารถเข้ามาสัมผัสประสบการณ์การดูแลผิวหน้าได้แล้ววันนี้ ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา เราพร้อมดูแลคุณ ด้วยการให้บริการที่ครอบคลุมทุกปัญหาผิว เพื่อให้คุณมีผิวสวยใส มั่นใจในทุก ๆ วัน 

                          APT.3 โปรแกรมลับ ฉบับ รมย์รวินท์คลินิก

                          APT.

                          APT. 3 โปรแกรมลับ ฉบับ รมย์รวินท์คลินิก

                           

                          อาพาทึ อาพาทึ อาพาทึ … นาทีนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จักเพลง “APT.” เพลงสุดฮิตที่ทำลายสถิติระดับโลกของ โรเซ่ (ROSE) และบรูโน่ มาส์ (Bruno Mars) ซึ่งกลายเป็นกระแสไวรัล ดังพลุแตกไปทั่วโลก เชื่อว่ามีหลายคนไม่น้อย ที่เกิดความสงสัยว่า คำว่า APT. แปลว่าอะไร? มีที่มาจากไหน? ซึ่งคำว่า APT,  ในภาษาเกาหลี แปลว่า อะพาร์ตเมนต์ มาจากเกมยอดนิยมของคนในเกาหลีใต้ ที่มักเล่นกันในวงปาร์ตี้ พร้อมด้วยเนื้อร้องและทำนองที่สุดแสนจะติดหู จนหลายคนอดใจไม่ไหว ต้องลุกออกมาโชว์สเตปแดนซ์กันสนั่นโซเชียล ไม่ว่าใครก็ต้องโยกตาม กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกที่น่าจับตามองสุด ๆ 

                           

                          นอกจาก MV และทำนองของ APT. ที่ติดหูแล้ว ความสวย ผิวดี ออร่าจับของโรเซ่ก็สร้างเรื่องสุด ๆ เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ขโมยซีนไปเต็ม ๆ ทำให้ MV เพลงนี้ปังยิ่งกว่าปัง! รวมถึง ยังจุดกระแสให้สาว ๆ หันมาให้ความสนใจในการดูแลผิวหน้ามากขึ้นอีกด้วย

                           

                          วันนี้ เราขอแนะนำให้รู้จักกับ 3 โปรแกรมลับ APT. ฉบับ รมย์รวินท์คลินิก ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน รวบรวมมาให้แล้วที่นี่ที่แรก เพื่อตอบโจทย์ทุกปัญหาผิวอย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือผิวหย่อนคล้อย โปรแกรมนี้มีทางออก! สำหรับใครที่อยากรู้ว่าโปรแกรมลับนี้คืออะไร? มีหัตถการอะไรบ้าง? บทความนี้ จะพาคุณไปเจาะลึกกับ APT. โปรแกรม เพื่อเตรียมผิวสวย ก่อนออกไปปาร์ตี้อย่างมั่นใจแบบไม่มีสะดุด

                           

                          เผยเคล็ดลับ โปรแกรม APT. เฉพาะที่ รมย์รวินท์คลินิก

                          APT

                          APT. โปรแกรมลับ อัพหน้าสวย มีหัตถการอะไรบ้าง?

                          A : AviClear โปรแกรมเคลียร์สิว ผิวสวย

                          • AviClear เทคโนโลยีเลเซอร์รักษาสิวตัวใหม่ ที่มีความยาวคลื่นระดับ 1726 nm (นาโนเมตร) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาสิวโดยเฉพาะ มีความแม่นยำสูง รักษาสิวได้ทุกระยะ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ระยะปานกลาง ไปจนถึงระยะรุนแรง สามารถเล็งเป้าหมายไปยังต่อมไขมันใต้ชั้นผิว (Sebaceous glands) ที่ผลิตน้ำมันส่วนเกินได้โดยตรง ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดสิว ทำให้ลดการอุดตันในรูขุมขน ส่งผลให้สิวลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีระบบทำความเย็น หรือ AviCool ที่ช่วยปกป้องผิวชั้นนอก ไม่ให้เกิดอาการผิวไหม้ ผิวเบิร์นขณะทำ ลบภาพจำวิธีการรักษาสิวแบบเดิม ๆ ให้หมดไปได้เลย
                          • เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสิวอุดตัน สิวอักเสบ หรือสิวหัวหนอง รวมถึง ผู้ที่ผ่านการรักษาสิวมาหลายวิธีแต่ไม่เห็นผล
                          • ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ AviClear คือ ช่วยลดการเกิดสิวระยะยาวถึง 2 – 3 ปี พร้อมหยุดสาเหตุการเกิดสิวซ้ำซากตั้งแต่ต้นตอ ทำให้ผิวเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

                          P : Pico Majesty Laser โปรแกรมเคลียร์ฝ้า หน้าใส

                          • Pico Majesty Laser เทคโนโลยีเลเซอร์ตัวแรกของโลก ที่สามารถปล่อยพลังงานความเร็วสูงถึง 250 Picosecond ถือเป็นหน่วยที่สั้นเมื่อเทียบกับ Pico Laser ทั่วไป มีจุดเด่นเรื่องความยาวคลื่นที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคลื่น 1064, 532, 595 และ 660 nm (นาโนเมตร) พร้อมด้วยหัวเลเซอร์ 7 แบบ ที่ตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกันได้อย่างตรงจุด โดยจะปล่อยพลังงานเลเซอร์ไปยังบริเวณที่ต้องการแก้ไข สามารถกำจัดเม็ดสีผิวที่ผิดปกติได้โดยตรง ไม่ทำให้ผิวบริเวณรอบ ๆ เสียหายและถูกทำลาย 
                          • เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ มีปัญหารอยแดง รอยดำที่เกิดจากสิว รวมถึง ผู้ที่ต้องการลบรอยสักทุกโทนสี
                          • ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ Pico Majesty Laser คือ ช่วยลดฝ้า กระ จุดด่างดำ และช่วยกระชับรูขุมขน แก้ไขปัญหาหลุมสิว ผิวไม่เรียบเนียนได้เป็นอย่างดี พร้อมลบรอยปาน ขี้แมลงวัน รวมถึงรอยสักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                          T : Thermage FLX โปรแกรมยกหน้า บอกลาเหนียง

                          • Thermage FLX เทคโนโลยียกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน โดยใช้พลังงานความร้อน คลื่นวิทยุที่มีความถี่สูงแบบขั้วเดียว (Monopolar RF) ซึ่งพลังงาน RF จะถูกยิงลงไปตั้งแต่ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ผ่านชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ลงลึกไปจนถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) สามารถแก้ไขปัญหาผิวในแต่ละชั้นได้อย่างตรงจุด ซึ่งความร้อนที่ถูกส่งเข้าไปจะแยกโมเลกุลน้ำออกจากเส้นใยคอลลาเจน ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเดิมที่เสื่อมสภาพเกิดการหดตัว พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยี AccuREP สามารถปรับพลังงานได้ตามความเหมาะสมกับสภาพผิว มีความแม่นยำแบบ Real Time รวมถึง มีระบบทำความเย็น Cooling Effect ที่ช่วยลดความร้อน ป้องกันผิวไหม้ ผิวเบิร์นขณะทำอีกด้วย 
                          • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับ ปรับรูปหน้า มีปัญหาริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับที่เกิดขึ้นตามอายุ รวมถึง ผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณแก้ม คาง และเหนียง
                          • ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ Thermage FLX คือ ช่วยให้ผิวเฟิร์มกระชับ ลดริ้วรอย และความหย่อนคล้อย ทำให้ผิวแน่นฟู รูขุมขนกระชับ พร้อมลดไขมันสะสม ทำให้ใบหน้าเรียวเล็ก กรอบหน้าชัดอีกด้วย

                           

                          จะเห็นได้ชัดเลยว่า ไม่ว่าคุณจะมีปัญหาผิวแบบไหน 3 โปรแกรม APT : AviClear, Pico Majesty Laser และ Thermage FLX สามารถแก้ไขปัญหาผิวของคุณได้อย่างครอบคลุม ตั้งแต่สิว ฝ้า ไปจนถึงยกกระชับผิวหน้า ด้วยเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยและประสบการณ์ของทีมแพทย์ของ รมย์รวินท์คลินิก ที่จะช่วยยกระดับใบหน้าของคุณให้ดูดีแบบไร้ที่ติ ผิวสวยใสในทุกมุมมอง

                          อย่านอนกรน หยุดเสียงลี้ลับ มิติใหม่ที่ตามหลอกหลอนทุกครั้งที่หลับตา 

                          อย่านอนกรน

                          อย่านอนกรน เสียงลี้ลับมิติใหม่ที่ตามหลอกหลอนทุกครั้งที่หลับตา 

                           

                          มิติใหม่แห่งความลึกลับ ที่มาพร้อมกับเสียงกรนสนั่นในยามค่ำคืน บ้านอาจไม่ใช่สถานที่ที่ควรกลับอีกต่อไป เมื่อสามีกรนหนัก เสียงดังกึกก้องราวกับรถไฟ คืนแล้วคืนเล่าเสียงกรนก็ยังคงดังก้องกังวานไปทั่วบ้าน จนกลายเป็นปริศนาที่ค่อย ๆ ขยายวงกว้างในครอบครัว ภรรยาและลูกต่างพากันหวาดผวา ที่ต้องเผชิญกับเสียงกรนสุดแสนประหลาด ที่หาคำอธิบายไม่ได้ในบ้านหลังนี้ เชื่อว่า เสียงกรนที่เกิดขึ้นต้องมีความลึกลับซ่อนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน ซึ่งภรรยาก็พยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อสยบเสียงกรนของสามี แต่เสียงกรนเหล่านี้ยังคงทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เปลี่ยนแปลง ความผิดปกติของเสียงกรนที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่รบกวนการนอนหลับของคนรอบข้าง แต่ยังนำพาความวิตกกังวลและความหวาดกลัว มาสู่ทุกคนในครอบครัวอีกด้วย

                          เสียงกรน จึงได้กลายเป็นปมปริศนาสุดท้าทายที่ยากจะคลี่คลาย ทำให้ทุกคนในบ้านต้องร่วมกันไขปริศนาสุดลึกลับนี้ให้ได้! เพื่อหยุดเสียงกรนอันน่าสะพรึงกลัว โดยทุกคนต่างพากันตั้งคำถามว่า อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงของเสียงกรนนี้? จะทำอย่างไรดีให้คืนนี้หลับอย่างสงบสุข? แล้วมีวิธีไหนที่จะช่วยหยุดยั้งเสียงกรนนี้ได้บ้าง? บทความนี้ไขข้อสงสัยมาให้แล้วค่ะ

                           

                          เปิดเบาะแสลี้ลับกับ “อย่านอนกรน” ได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก

                          อย่านอนกรน

                          นอนกรน คืออะไร?

                          อาการนอนกรน คือ ภาวะที่มีเสียงดังเกิดขึ้นขณะนอนหลับ เกิดจากการที่กล้ามเนื้อบริเวณคอและเพดานอ่อนหย่อนตัวลงขณะหลับ ทำให้ทางเดินหายใจตีบแคบลง จนลมหายใจที่ผ่านเข้าออก ไปกระทบกับเนื้อเยื่อบริเวณคอ เช่น ลิ้นไก่ และเพดานอ่อน ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนและส่งเสียงดังขึ้น โดยอาการนอนกรนสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ซึ่งผู้ชายมีแนวโน้มที่จะนอนกรนมากกว่าผู้หญิง ทั้งนี้ นอกจากอาการนอนกรน จะเป็นอาการที่รบกวนการนอนหลับของตัวเราเองและคนรอบข้างแล้ว อาการนอนกรนยังเป็นสัญญาณเตือน บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ หากปล่อยปะละเลย อาการนอนกรนอาจนำไปสู่ภาวะที่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

                          นอนกรน มีสาเหตุมาจากอะไร?

                          อาการนอนกรน สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งแต่ละคนก็มีสาเหตุที่แตกต่างกัน โดยสาเหตุส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น มีดังนี้

                          • ทางเดินหายใจแคบ เมื่อกล้ามเนื้อบริเวณคอและเพดานอ่อน หย่อนตัวลงขณะนอนหลับ ทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนแคบลง ลมหายใจที่ผ่านจึงเกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดเสียงกรนรบกวน
                          • โครงสร้างใบหน้าผิดรูป เช่น คางสั้น คางเล็ก ลิ้นไก่ใหญ่ หรือเพดานอ่อนยาว ส่งผลให้ทางเดินหายใจแคบลง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะนอนกรนมากกว่าคนทั่วไป
                          • น้ำหนักเกิน เนื่องจากผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน มีไขมันส่วนเกินบริเวณคอ ซึ่งอาจไปกดทับทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการอุดตันและเกิดเสียงกรนได้
                          • อายุมากขึ้น เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น กล้ามเนื้อบริเวณคอจะหย่อนตัวลง ทำให้ทางเดินหายใจแคบ ส่งผลให้เกิดอาการนอนกรนได้
                          • ภูมิแพ้ การอักเสบในโพรงจมูกจากภูมิแพ้ ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง ลมหายใจเสียดสีกับทางเดินหายใจส่วนบน จนเกิดอาการนอนกรนได้
                          • ดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหย่อนตัว ส่งผลให้ทางเดินหายใจแคบลง จนนอนกรนได้
                          • ท่าทางการนอน อาการนอนกรน มักพบได้บ่อยเมื่อนอนหงาย ซึ่งการนอนหงาย จะทำให้น้ำหนักของลิ้นและเพดานอ่อน ไปกดทับทางเดินหายใจได้ง่ายมากที่สุด
                          • พันธุกรรม ผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวมีประวัตินอนกรน หรือมีภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการนอนกรนได้มากกว่าคนทั่วไป
                          • เป็นร่วมกับโรคอื่น ๆ เช่น โรคไทรอยด์เป็นพิษ โรคหัวใจล้มเหลว หรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ก็อาจทำให้เกิดอาการนอนกรนได้เช่นกัน

                           

                          หยุดกรนด้วย Snore Laser เลเซอร์แก้นอนกรน

                          Snore Laser หรือ เลเซอร์แก้นอนกรน เป็นการรักษาอาการนอนกรนด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ชนิดเออร์เบี่ยม (Erbium: YAG Laser) ซึ่งมีความยาวคลื่น 2940 nm (นาโนเมตร) โดยเลเซอร์จะถูกยิงไปยังบริเวณที่ทำให้เกิดเสียงกรน เช่น เพดานอ่อน ลิ้นไก่ หรือกระพุ้งแก้ม เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นตึงตัวมากขึ้น ขยายทางเดินหายใจให้เปิดกว้างมากขึ้น เมื่อทางเดินหายใจเปิดกว้าง ลมหายใจจะผ่านได้อย่างสะดวก ทำให้ลดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อ และแก้ปัญหาอาการนอนกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                          Snore Laser มีข้อดีอะไรบ้าง?

                          • Snore Laser ลดอาการนอนกรนได้ถึง 80% เมื่อมีการนอนหลับที่ดี สุขภาพโดยรวมก็ดีขึ้นตามไปด้วย ทั้งตัวคุณเองและคนรอบข้าง สามารถนอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่
                          • Snore Laser ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น หลังเลเซอร์สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องกังวลเรื่องบาดแผล
                          • Snore Laser ใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาที ในการทำเลเซอร์ จึงประหยัดเวลา เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด 
                          • Snore Laser เห็นผลเร็ว ซึ่งอาการนอนกรนจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่สำหรับผู้ที่มีอาการกรนมาก แนะนำให้ทำการเลเซอร์อย่างต่อเนื่อง 3 – 4 ครั้ง
                          • Snore Laser มีความปลอดภัยสูง เนื่องจาก Snore Laser เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจาก US FDA (อย.อเมริกา) และ TH FDA (อย. ไทย)
                          • Snore Laser มีผลข้างเคียงน้อย หลังทำเลเซอร์แก้นอนกรน อาจมีอาการระคายเคืองในช่องปากเล็กน้อย แต่อาการเหล่านี้ จะค่อย ๆ หายไปเองภายในไม่กี่วัน
                          • Snore Laser ไม่ต้องใส่อุปกรณ์ขณะหลับ ไม่ต้องเสียเวลาดูแลรักษาอุปกรณ์ สามารถนอนหลับได้อย่างอิสระ ไม่รู้สึกอึดอัด หรือรำคาญใจ
                          • Snore Laser ลดความเสี่ยงโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ จากการนอนกรน เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
                          •  

                          เตรียมสยบเสียงกรน ได้แล้ววันนี้ ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา

                          สำหรับท่านใดที่กำลังประสบปัญหานอนกรนอยู่ อย่าเพิ่งหวาดกลัวไป สามารถเข้ามาปรึกษากับทีมแพทย์ของ รมย์รวินท์คลินิก ได้ทุกสาขา ด้วยเทคโนโลยี Snore Laser เลเซอร์รักษาอาการนอนกรนที่มีความทันสมัย มีความปลอดภัย สามารถแก้ปัญหาอาการนอนกรนของคุณได้อย่างตรงจุด พร้อมที่จะช่วยให้คุณหลับสนิท ตื่นเช้ามาอย่างสดใส บอกลาเสียงกรนกวนใจไปได้เลย

                          6 เทคโนโลยียกกระชับใบหน้า แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย เห็นผลลัพธ์ที่สุด

                          lifting ยกกระชับใบหน้า

                          6 เทคโนโลยียกกระชับใบหน้า แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย เห็นผลลัพธ์ที่สุด ฉบับอัปเดต 2024

                           

                          การหย่อนคล้อยของใบหน้า เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะวัย 35 ปีขึ้นไป ด้วยปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุ การสูบบุหรี่ แสงแดด รวมไปถึงการที่ผิวสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้เกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวขาดความยืดหยุ่น นอกจากนี้ยังมีปัญหาริ้วรอยที่ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย ทำให้การยกกระชับใบหน้าจึงเป็นเทคโนโลยีทางเลือกของคนในยุคปัจจุบันนี้

                           

                          ซึ่งในยุคนี้มีเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับใบหน้าด้วยหัตถการทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น Ulthera SPT, Volnewmer, Oligio, Ultraformer MPT 4D Lift, Thermage FLX, EMFACE และ Fix Lift ซึ่งในแต่ละเทคโนโลยีนั้นมีความแตกต่างกัน บทความนี้จะมาแนะนำวิธีเทคโนโลยียกกระชับของรมย์รวินท์คลินิก พร้อมนำเสนอวิธีการรักษาและป้องกันปัญหาผิวหย่อนคล้อยอย่างครอบคลุม

                           

                          6 เทคโนโลยียกกระชับใบหน้า แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย เห็นผลลัพธ์ครอบคลุมที่สุด ฉบับอัปเดต 2024

                          เครื่องยกกระชับใบหน้าด้วยเทคโนโลยี มีกี่แบบ?

                           

                          เทคโนโลยีพลังงานของเครื่องยกกระชับใบหน้า มีทั้งหมด 2 ประเภทด้วยกัน ดังนี้

                           

                          พลังงานยกกระชับใบหน้า HIFU

                           

                          เป็นเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับใบหน้า หลักการทำงานด้วยคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ ที่มีความเข้มข้นสูง ส่งพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นผิวได้ถึง 3 ระดับ คือ ชั้นหนังแท้ส่วนบน ชั้นหนังแท้ส่วนลึก และชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน หรือที่เรียกว่า SMAS โดยชั้น SMAS เป็นชั้นผิวหนังเดียวกับที่แพทย์ศัลยกรรมใช้สำหรับผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าเพื่อการยกกระชับใบหน้า

                           

                          หลักการทำงานของ HIFU คือ เป็นการยิงคลื่นพลังงานเสียงลงไปสู่ผิวหนังชั้นลึก เพื่อให้เนื้อเยื่อเกิดการหดตัว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ ช่วยให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น  รูขุมขนกระชับขึ้น เพราะคอลลาเจนในชั้นผิวถูกกระตุ้นเพื่อทำให้คุณภาพผิวดีขึ้น

                           

                          พลังงานเครื่องยกกระชับใบหน้า RF (Radio-Frequency)

                           

                          เทคโนโลยี RF เป็นการยกกระชับใบหน้าที่ใช้แผ่นหรือโลหะขนาด 3.0 mm นวดลงบนผิวหน้า พร้อมกับปล่อยคลื่นวิทยุความถี่สูงลงไปสู่เนื้อเยื่อใต้ชั้นผิวหนังกำพร้า ชั้นหนังแท้ และชั้นไขมัน โดยใช้พลังงานความร้อนอุณหภูมิสะสมที่ 40-42°C เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่อยู่ในชั้นผิว ให้เกิดการหดตัวและสร้างการเรียงใหม่ของคอลลาเจน ทำให้ผิวหน้ากระชับเต่งตึงขึ้น ช่วยสลายไขมันสะสมบนใบหน้า อีกทั้งยังช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้นอีกด้วย

                           

                          เครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย 6 เทคโนโลยี มีหัตถการไหนบ้าง?

                          ulthera ยกกระชับ

                          เครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime


                          Ultherapy Prime เป็นเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับใบหน้าที่ถูกพัฒนาการรักษาที่แม่นยำกว่าเดิม ด้วยพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) โดยจะทำการยิงพลังงานความร้อนเป็นจุดขนาด 1 mm ลงลึกได้ถึงชั้นผิว SMAS หรือ Superficial Musculoaponeurotic System ที่ระดับความลึก 4.5 mm ซึ่งเป็นชั้นผิวที่ใช้สำหรับการผ่าตัดดึงหน้า พลังงานความร้อนจะช่วยทำให้ผิวหดตัว และยกกระชับใบหน้าขึ้นได้โดยไม่ต้องผ่าตัด สามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำประมาณ 30% และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 2-3 เดือน คงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1 ปี

                           

                          เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime เหมาะกับใคร?

                           

                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime เหมาะกับ คนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยของผิว 
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime เหมาะกับ คนที่ต้องการปรับรูปหน้า กรอบหน้าคมชัดขึ้น 
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime เหมาะกับ คนที่ต้องลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime เหมาะกับ คนที่ต้องการกระตุ้นการสร้างของคอลลาเจนในชั้นผิว
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime เหมาะกับ คนที่ต้องการฟื้นฟูใบหน้าและลำคอ

                           

                          ข้อดีของเครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime

                           

                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime ออกแบบการรักษาเฉพาะตัวบุคคล ทำให้การรักษาปัญหาเป็นไปอย่างตรงจุด
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime มีหน้าจอช่วยแสดงผลแบบเรียลไทม์ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและแสดงผลได้ชัดเจนกว่าเดิม
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime สามารถส่งพลังงานได้ถึงผิวหนังชั้น SMAS ซึ่งเป็นผิวชั้นเดียวกับที่ทำศัลยกรรมดึงหน้า
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime ช่วยยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime สามารถเห็นผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ 20%
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime คงผลลัพธ์ของการยกกระชับได้นานถึง 1 ปีตามสภาพผิวของแต่ละบุคคล
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime ใช้ระยะเวลาในการรักษาเร็วกว่าเดิมถึง 20%

                           

                          Ultraformer ยกกระชับ

                          เครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย Ultraformer MPT 4D Lift

                           

                          Ultraformer MPT 4D Lift เป็นเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับใบหน้า ลดริ้วรอย สลายไขมันส่วนเกิน ที่ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ลงไปในสู่ชั้นผิวหนัง ด้วยพลังงาน 2 รูปแบบ คือ Micro Focused Ultrasound และ Macro Focused Ultrasound เป็นการยิงพลังงานให้ครอบคลุมทั้งการยกกระชับใบหน้า กระชับรูขุมขน ลดริ้วรอย และสลายไขมันส่วนเกิน สามารถปล่อยพลังงานได้ทั้งแบบ Normal Mode ที่มีลักษณะพลังงานเป็นจุดไข่ปลาเรียงกัน ส่วน Micro Pulse Mode ลักษณะพลังงานเป็นเส้น ช่วยให้สามารถสะสมพลังงานความร้อนได้อย่างต่อเนื่อง และช่วยลดความเจ็บระหว่างทำได้อีกด้วย

                           

                          เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift เหมาะกับใคร?

                           

                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift เหมาะกับ คนที่มีปัญหาผิวหนังใบหน้า และลําคอหย่อนคล้อยลง 
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift เหมาะกับ คนที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่น บริเวณใบหน้าและลําคอ
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift เหมาะกับ คนที่มีปัญหาคิ้วตก หางตาตก และหนังตาตก
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift เหมาะกับ คนที่มีปัญหากรอบหน้าไม่คมชัด
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift เหมาะกับ คนที่มีไขมันสะสมตรงบริเวณแก้มและใต้คาง 
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift เหมาะกับ คนที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift เหมาะกับ คนที่มีผิวหมองคล้ำ ดูโทรม ไม่สดใส
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift เหมาะกับ คนที่มีไขมันส่วนเกินที่ใบหน้าและร่างกาย 

                           

                          ข้อดีของเครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย Ultraformer MPT 4D Lift

                           

                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift มีความปลอดภัยสูง และเป็นที่ยอมรับถึงประสิทธิภาพในการรักษาของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามจากสถาบันชั้นนํา
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift สามารถปล่อยพลังงานคลื่นลงลึกได้ทุกชั้นผิว โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อผิว
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift ไม่เป็นอันตรายต่อผิว ไม่มีรอยแผลหลังการรักษา
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift สามารถเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการรักษา
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Liftแพทย์สามารถกําหนดรูปแบบการปล่อยพลังงานคลื่น และกําหนดตําแหน่งความลึกที่ต้องการรักษาได้อย่างแม่นยําขึ้น 
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift สามารถแก้ไขปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยได้หลายจุด เช่น ใบหน้า ลำคอ และร่างกาย

                          thermage ยกกระชับ

                          เครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย Thermage FLX

                           

                          Thermage FLX เป็นเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับใบหน้า พลังงานความร้อนจากคลื่นวิทยุความถี่สูงแบบขั้วเดียว (Monopolar RF) สามารถยิงพลังงานก้อนขนาดใหญ่ลงสู่ชั้นผิวหนัง โดยพลังงานลงลึกได้ถึงชั้นผิวหนังแท้ รวมไปถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง โดยใช้พลังงานความร้อนถึง 40-50°C ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อผิวแน่นเฟิร์มกระชับมากขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งประเทศไทย

                           

                          เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX เหมาะกับใคร?

                           

                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX เหมาะกับ คนที่ต้องการยกกระชับผิวหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กขึ้น
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX เหมาะกับ คนที่ต้องการกรอบหน้าให้คมชัด ทำให้ใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX เหมาะกับ คนที่ต้องการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณใบหน้าและร่างกาย
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX เหมาะกับ คนที่ต้องการแก้ปัญหาเซลลูไลท์บริเวณต้นขา และบริเวณก้น
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX เหมาะกับ คนที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าให้ผิวกระชับ แลดูอ่อนเยาว์มากขึ้น
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX  เหมาะกับ คนที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX เหมาะกับ คนที่ต้องการลดขนาดรอบเอว รอบขา และรอบแขน

                           

                          ข้อดีของการเครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย Thermage FLX

                           

                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX เห็นผลลัพธ์หลังทำทันที  20% และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 2-3 เดือน
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวหน้าในแต่ละบุคคล
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX ทำได้หลายตำแหน่งที่ต้องการยกกระชับ และลดไขมันส่วนเกิน เช่น ใบหน้า รอบดวงตา และลำตัว 
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ พร้อมทั้งสลายไขมันสะสมส่วนเกิน ทำให้ผิวแน่น และกระชับมากขึ้น
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX  ไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีแผล หลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX ใช้ระยะเวลาในการทำไม่นาน เพียง 40 -90 นาที
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX พลังงานลงลึกครอบคลุมทุกชั้นผิวและชั้นไขมัน
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX เป็นเครื่องยกกระชับผิวที่ผ่านการรับรองจาก อย. ประเทศสหรัฐอเมริกา และ อย. ไทย มีความปลอดภัยสูง ไม่ทำร้ายชั้นผิว อีกทั้งยังได้รับความนิยมจากทั่วโลก

                          emface ยกกระชับ

                          เครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย EMFACE

                           

                          EMFACE เครื่องยกกระชับใบหน้า เป็นเครื่องยกกระชับกล้ามเนื้อเครื่องแรกของโลกที่ทำงานกับกล้ามเนื้อของใบหน้าได้ดีกว่า ลึกกว่า จึงรักษาผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำและตรงจุดที่สุด ช่วยฟื้นฟูชั้นผิวหนังให้แข็งแรง เก็บเหนียง และลดริ้วรอยได้ในเครื่องเดียว ทำให้ EMFACE เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์เฉพาะของ EMFACE ที่ผสมผสานระหว่าง 2 เทคโนโลยี HIFES และ Sync RF เข้าด้วยกัน อีกทั้งเทคโนโลยีนี้ยังได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) และแห่งประเทศไทย

                           

                          เครื่องยกกระชับใบหน้า EMFACE เหมาะกับใคร?

                           

                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า EMFACE เหมาะกับ คนที่ต้องการยกกระชับใบหน้า ลดเหนียง
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า EMFACE เหมาะกับ คนที่ต้องการแก้ปัญหาผิวที่หย่อนคล้อยลง
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า EMFACE เหมาะกับ คนที่ต้องการกระตุ้นการเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสติน
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า EMFACE เหมาะกับ คนที่ต้องการลดเลือนริ้วรอย กระชับรูขุมขน
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า EMFACE เหมาะกับ คนที่ไม่อยากเจ็บตัว ไม่อยากพักฟื้น

                           

                          ข้อดีของเครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย EMFACE

                           

                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า EMFACE ช่วยกระตุ้นให้ผิวมีการสร้างคอลลาเจนมากขึ้น รวมถึงอีลาสติน ที่จะช่วยให้ผิวยืดหยุ่นกว่าเดิม เพื่อผิวเรียบเนียนอย่างเห็นได้ชัด
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า EMFACE กระตุ้นกล้ามเนื้อให้มีความแข็งแรงกว่าเดิม เป็นการฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้กลับมามีความกระชับอีกครั้ง
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า EMFACE ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย และชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ในอนาคตได้ดี 
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า EMFACE สามารถแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้ดี ผิวดูกระชับขึ้นตั้งแต่หลังทำครั้งแรก 

                          oligio ยกกระชับ

                          เครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย Oligio

                           

                          Oligio เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุชนิด Monopalar RF ความถี่ 6.78 MHz ซึ่งเป็นขนาดความถี่ที่สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวชั้นลึกได้ โดยคลื่นวิทยุจะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และจัดเรียงคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวมีความแข็งแรง เรียบเนียน กระชับขึ้น และดูสุขภาพดีมากขึ้น รวมทั้งยังช่วยสลายไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิว ส่งผลให้กรอบหน้าเรียวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

                           

                          เครื่องยกกระชับใบหน้า Oligio เหมาะกับใครบ้าง?

                           

                          • เครื่องยกกระชับ Oligio เหมาะกับ คนที่ปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย 
                          • เครื่องยกกระชับ Oligio เหมาะกับ คนต้องการกระชับผิวให้กระชับมากขึ้น
                          • เครื่องยกกระชับ Oligio เหมาะกับ คนที่ต้องการลดปัญหาริ้วรอย กระชับรูขุนขน ปรับร่องแก้มให้ตื้นขึ้น
                          • เครื่องยกกระชับ Oligio เหมาะกับ คนที่ต้องการแก้ปัญหาหนังตาตก เปลือกตาตก คิ้วตก หรือมุมปากตก
                          • เครื่องยกกระชับ Oligio เหมาะกับ คนที่ต้องการปรับกรอบหน้าให้ชัด รูปหน้าเล็กลง
                          • เครื่องยกกระชับ Oligio เหมาะกับ คนที่ปัญหาเหนียง หรือไขมันใต้คางเยอะ
                          • เครื่องยกกระชับ Oligio เหมาะกับ คนที่ต้องการชะลอการเกิดปัญหาหย่อนคล้อยตามวัย

                           

                          ข้อดีของการยกกระชับใบหน้าด้วย Oligio

                           

                          • เครื่องยกกระชับ Oligio ช่วยกระตุ้นการสร้าง และจัดเรียงคอลลาเจนใหม่ 
                          • เครื่องยกกระชับ Oligio ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อย ปรับรูปหน้า
                          • เครื่องยกกระชับ Oligio ลดไขมันส่วนเกินใต้ผิว ทำให้ใบหน้าดูเล็กลง
                          • เครื่องยกกระชับ Oligio เพิ่มคุณภาพของคอลลาเจนในผิวชั้นตื้น 
                          • เครื่องยกกระชับ Oligio ทำให้ texture ของผิวเรียบเนียน ลดริ้วรอย กระชับรูขุมขน
                          • เครื่องยกกระชับ Oligio ชะลอการเกิดความหย่อนคล้อยในอนาคต
                          • เครื่องยกกระชับ Oligio เป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัย ได้รับการรับรองมาตรฐาน 
                          • เครื่องยกกระชับ Oligio ใช้เวลาประมาณ 20–30 นาที ประหยัดเวลาในการทำ
                          • เครื่องยกกระชับ Oligio เห็นผลลัพธ์หลังทำทันทีประมาณ 20% 

                           fixlift ยกกระชับ

                          เครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย Fix Lift 

                           

                          Fix Lift เป็นเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับใบหน้า Morpheus8 (Subdermal Fractional microneedling Radio Frequency (RF) technology) ด้วยเทคโนโลยีพลังงาน RF หรือการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงแบบขั้วเดียว เมื่อส่งพลังงานลงสู่ชั้นผิวหนังลงไป จะเปลี่ยนกลายเป็นพลังงานความร้อน โดยความร้อนจะเข้าไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ถึงโครงสร้างของผิวหนังชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เพื่อให้เกิดการหดตัวของชั้นไขมันใต้ผิวหนัง และเกิดการจัดเรียงตัวของโครงสร้างผิวใหม่ในชั้นหนังแท้ตามมา

                           

                          เครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย Fix Lift เหมาะกับใคร?

                           

                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft เหมาะกับ คนที่มีปัญหาริ้วรอยตามวัย 
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft เหมาะกับ คนที่โครงสร้างผิวเสื่อมสภาพ
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft เหมาะกับ คนที่ต้องการกระชับรูขุมขนให้เล็กลง 
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft เหมาะกับ คนที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft เหมาะกับ คนที่ต้องการเพิ่มความแข็งแรงของผิวตั้งแต่ภายในสู่ภายนอก
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft เหมาะกับ คนที่ที่มีปัญหาผิวเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft เหมาะกับ คนที่ที่มีปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ เป็นรอยสิว กระ และจุดด่างดำ
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft เหมาะกับ คนที่ต้องการลบเลือนรอยแผลเป็น รอยแผลผ่าตัด

                           

                          ข้อดีของการยกกระชับใบหน้าด้วย Fix Lift

                           

                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft สามารถปรับความลึกของเข็ม และพลังงานที่ใช้ในแต่ละบริเวณ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพผิวในแต่ละบุคคลได้
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft หัวทิปที่เป็นเข็มจะเป็นแบบปลอดเชื้อ single used ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ไม่มีการใช้ซ้ำ มั่นใจได้ในความสะอาด และปลอดภัย
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft ช่วยลดเม็ดสีใต้ผิวหนัง ทำให้จุดด่างดำจางลง ปรับสีผิวให้ดูกระจ่างใสขึ้น
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft ช่วยให้ผิวดูเฟิร์ม กระชับมากขึ้น
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
                          • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft ใช้ได้กับทุกสภาพผิว

                           

                          ใบหน้าหย่อนคล้อย เกิดจากสาเหตุอะไร?

                           

                          ปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อยสามารถเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุด้วยกัน ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวเสื่อมสภาพลง รวมไปถึงทำให้ไขมันใต้ผิวหนังลดน้อยลง จนทำให้ใบหน้าหย่อนคล้อย ซึ่งสาเหตุของใบหน้าหย่อนคล้อย มีดังนี้ 

                          • อายุที่เพิ่มมากขึ้น

                          นับเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ใบหน้าของเรามีความหย่อนคล้อย เนื่องจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้การสร้างคอลลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิวหนังลดน้อยลงตามไปด้วย รวมไปถึงใบหน้าขาดความยืดหยุ่น จนเกิดปัญหาริ้วรอยและใบหน้าหย่อนคล้อย

                          • กรรมพันธุ์

                          ในบางกรณีอาจจะมีสภาพผิวที่ขาดความยืดหยุ่นย้อยกว่าปกติ โครงสร้างของใบหน้าไม่แข็งแรง เนื่องจากกรรมพันธุ์ที่ได้รับมาทำให้เกิดโอกาสใบหน้าหย่อนคล้อยมากกว่าคนอื่น 

                          • ความเครียด

                          เมื่อคนเราเกิดความเครียดตลอดเวลา จะทำให้มีใบหน้าที่หย่อนคล้อยมีริ้วรอยบนใบหน้า นอกจากนี้ร่างกายของเราจะมีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เข้าไปทำลายคอลลาเจนใต้ชั้นผิว การผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติลดน้อยลง รวมไปถึงรบกวนการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีส่วนทำให้ผิวกระชับ อ่อนเยาว์ เรียบเนียน จนทำให้ผิวหนังไม่แข็งแรงจนเกิดปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย

                          • แสงแดด รังสี UV

                          เป็นที่รู้กันว่ารังสียูวีในแสงแดดนั้นเป็นอันตรายต่อผิวเป็นอย่างมาก เนื่องจากรังสียูวีเข้าไปกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ เข้าไปทำลายเซลล์ผิวหนัง รวมไปถึงทำลายเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่นจนเกิดใบหน้าหย่อนคล้อย

                          • กิจวัตรประจำวัน

                          ปัจจัยภายนอกที่ทำให้ทำร้ายผิวโดยไม่รู้ตัว อาจจะมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตในแต่ละวัน เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น ล้วนเป็นปัจจัยหลักที่เร่งทำให้ผิวหนังเสื่อมสภาพและเกิดปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย 

                          • กระดูกบนใบหน้า

                          เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้กระดูกเริ่มทรุดตัวลงและกระดูกใบหน้าเล็กลง ทำให้เอ็นยึดหน้าที่ยึดผิวหนังกับกระดูกนั้น ยิ่งมีความหย่อนยานมากขึ้น จนเกิดการยุบตัวลงจนใบหน้าไม่กระชับและหย่อนคล้อยในที่สุด

                          ยกกระชับใบหน้า ที่ไหนดี?

                           

                          • ยกกระชับใบหน้าที่ รมย์รวินท์คลินิก มีหัตถการและเทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมแพทย์ที่มีประสบการณ์ประจำคลินิกที่จะวิเคราะห์สภาพผิวและปัญหาผิวที่แตกต่างกันออกไป เพื่อให้การยกกระชับใบหน้าได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทั้งนี้สามารถเข้ารับบริการหรือปรึกษาแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขาที่ใกล้บ้าน

                           

                          คำถามพบบ่อยเรื่องยกกระชับใบหน้า

                           

                          ยกกระชับใบหน้า เลือกเครื่องไหนดี?

                           

                          • การยกกระชับใบหน้ามีหลายหัตถการที่ได้ผลลัพธ์ดี ขึ้นอยู่กับปัญหา สภาพผิว และความต้องการของแต่ละบุคคล เนื่องจากหัตถการยกกระชับใบหน้านั้นมีความแตกต่างกันในเรื่องของ พลังงานที่ใช้ ระดับการลงลึกในแต่ละชั้นผิว เช่น Thermage FLX ใช้พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง ส่วน Ulthera SPT ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ เป็นต้น ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ประจำคลินิกหรือสถานพยาบาลเพื่อเลือกหัตถการที่เหมาะสมกับใบหน้าของเรามากที่สุด

                           

                          ยกกระชับใบหน้า ได้ผลดีจริงไหม?

                           

                          • หัตถการยกกระชับใบหน้าได้ผลลัพธ์ดีจริง เนื่องจากช่วยปรับสภาพผิวให้กลับมาเรียบเนียนขึ้น ยกกระชับใบหน้า กรอบหน้าคมชัดขึ้น สลายไขมันสะสมบริเวณแก้มและเหนียง สามารถเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นในช่วง 2-3 เดือน

                           

                          ยกกระชับใบหน้า ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?

                           

                          • การยกกระชับใบหน้าด้วยเทคโนโลยียกกระชับใบหน้า จะมีผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตัวเองหลังการรักษาในแต่ละบุคคล 

                           

                          ทำไมต้องยกกระชับใบหน้า?

                           

                          • การยกกระชับใบหน้าจะช่วยทำให้ผิวอ่อนเยาว์มากขึ้น ลดเลือนริ้วรอย ร่องลึกบนใบหน้า นอกจากนี้ยังช่วยยกกระชับใบหน้าให้เรียวและกระชับมากขึ้น ทำให้ผิวพรรณดูสดใส มีความยืดหยุ่นมากกว่าเดิม ทั้งนี้ใบหน้าโดยรวมก็จะกลับมาสดใส ดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง 

                           

                          ทั้งหมดนี้คือวิธีการยกกระชับใบหน้าด้วยเทคโนโลยียกกระชับ และการยกกระชับใบหน้าด้วยวิธีอื่น ๆ ที่จะช่วยมอบผลลัพธ์ใบหน้าเรียวเล็ก ยกกระชับมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า สลายไขมันสะสมบริเวณแก้มและเหนียง รวมไปถึงช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้อีกด้วย หากใครที่กำลังมองหาโปรแกรมยกกระชับใบหน้า ควรศึกษาข้อมูลและพิจารณาวิธีการยกกระชับต่าง ๆ พร้อมปรึกษากับแพทย์ที่มีประสบการณ์ให้ช่วยวิเคราะห์ใบหน้าโดยรวมและสภาพผิว เพื่อผลลัพธ์ของการยกกระชับใบหน้าที่ดีที่สุด 

                          Biostimulator สารกระตุ้นคอลลาเจน ทางลัดสู่ความอ่อนเยาว์ขั้นสุด

                          กระตุ้นคอลลาเจน

                          Biostimulator ทางลัดสู่ความอ่อนเยาว์ กระตุ้นคอลลาเจนขั้นสุด

                          เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายของเราเริ่มเสื่อมสภาพลง ผิวพรรณเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง คอลลาเจนที่เคยมีอยู่ค่อย ๆ สูญเสียไปตามอายุ โดยเฉพาะเมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป ร่างกายจะสูญเสียคอลลาเจนถึง 1.5% ต่อปี จากนั้นเมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป ร่างกายจะสร้างคอลลาเจนลดลง เหลือเพียง 20 – 30% เมื่อคอลลาเจนในชั้นผิวลดลงแล้ว ผิวหนังก็จะขาดการพยุงและขาดความยืดหยุ่น เนื่องจากคอลลาเจนเป็นโครงสร้างสำคัญ ที่ช่วยพยุงชั้นผิวให้มีความแข็งแรงและเรียบเนียน จึงทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาสารพัด ไม่ว่าจะเป็นผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ร่องลึก ขาดความชุ่มชื้น ดูหมองคล้ำ รวมถึงผิวหน้าดูแก่กว่าวัยอีกด้วย 

                          นอกจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น จะทำให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนน้อยลงแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ส่งผลต่อคอลลาเจนในร่างกายเช่นกัน ได้แก่ การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ พักผ่อนน้อย เจอแสงแดด และมลภาวะต่าง ๆ เป็นระยะเวลานาน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ล้วนเป็นผลกระทบให้คอลลาเจนในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็วได้ทั้งสิ้น

                          ปัจจุบัน เทรนด์ความงามยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการคิดค้นสารกระตุ้นคอลลาเจน หรือ Biostimulator ที่มีความสำคัญต่อผิวของเราขึ้นมา ซึ่ง Biostimulator เป็นทางเลือกใหม่ในการฟื้นฟูผิว ทำให้ร่างกายสามารถผลิตคอลลาเจนขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผิวแน่น กระชับ และเรียบเนียน จึงถือเป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์สำหรับใครหลาย ๆ คนอย่างมาก แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า Biostimulator คืออะไร? ช่วยเรื่องอะไร? แล้วหัตถการอะไรบ้าง? บทความนี้รวบรวมทุกคำตอบของ Biostimulator มาให้แล้ว

                           

                          Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน คืออะไร? มีหัตถการอะไรบ้าง?

                           

                          ทำไมคอลลาเจนถึงจำเป็นต่อผิว?

                          คอลลาเจน (Collagen) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีมากที่สุดในร่างกาย สามารถสร้างขึ้นได้เองตามธรรมชาติ เปรียบเสมือนโครงสร้างหลัก ที่ทำให้ผิวหนัง กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และอวัยวะต่าง ๆ สามารถประสานและเชื่อมโยงเข้าด้วยกันได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ คอลลาเจน ถือเป็นกุญแจสำคัญ ที่มีบทบาททำให้ผิวหนัง มีโครงสร้างที่แข็งแรงและกระชับ โดยเป็นโครงสร้างหลักของผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) หรือ ชั้นผิวที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังบนสุด (Epidermis) ทำหน้าที่เป็นเหมือนเส้นใยตาข่าย ที่ช่วยให้ผิวหนังมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น ทำให้ผิวเต่งตึง เรียบเนียน ไม่ดูแก่ก่อนวัย ซึ่งนอกจาก จะช่วยรักษาโครงสร้างผิวให้แข็งแรงแล้ว คอลลาเจนยังมีส่วนช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวอีกด้วย โดยคอลลาเจนจะทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำที่ช่วยกักเก็บน้ำไว้ในผิวหนัง ทำให้ผิวดูฉ่ำวาว อิ่มน้ำ และมีความชุ่มชื้น ดังนั้น การเติมคอลลาเจนให้กับผิว จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว และคงความอ่อนเยาว์ให้กับผิวของเราได้ดียิ่งขึ้น

                           

                          คอลลาเจนที่จำเป็นต่อผิว มีกี่ประเภท?

                          คอลลาเจนในร่างกายของเรามีอยู่หลายประเภท แต่คอลลาเจนที่จำเป็นต่อผิวของเราและพบได้บ่อยที่สุด มีอยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

                          • คอลลาเจน ชนิดที่ 1 (Collagen Type I) 

                          คอลลาเจน ชนิดที่ 1 ถือเป็นคอลลาเจนที่พบมากที่สุดในร่างกาย คิดเป็นประมาณ 90% ของคอลลาเจนทั้งหมด มีบทบาทสำคัญในการสร้างโครงสร้างของผิวหนัง เส้นเอ็น กระดูก และผนังหลอดเลือด ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อไม่ให้ถูกฉีกขาด ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและแข็งแรง ส่งผลให้ผิวหนังมีความเต่งตึง ลดเลือนริ้วรอย และดูอ่อนเยาว์

                          • คอลลาเจน ชนิดที่ 3 (Collagen Type III) 

                          คอลลาเจน ชนิดที่ 3 เป็นอีกหนึ่งคอลลาเจนที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะผิวหนัง มักจะทำงานร่วมกับคอลลาเจน ชนิดที่ 1 พบได้ในผิวหนัง กล้ามเนื้อ อวัยวะภายใน และผนังหลอดเลือด ช่วยให้ผิวหนังมีความกระชับ ยืดหยุ่น และยังช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในผิว ทำให้ผิวอิ่มน้ำ ไม่แห้งกร้าน

                          สัณญาณเตือนคอลลาเจนใต้ผิว

                          สัญญาณเตือน! บ่งบอกว่า ผิวของเรากำลังขาดคอลลาเจน

                          • มีปัญหาริ้วรอยและร่องลึก

                          ปัญหาริ้วรอยและร่องลึก เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน เมื่ออายุมากขึ้น หรืออาจเกิดขึ้นก่อนวัย สามารถเห็นได้ชัดเจนในบริเวณที่มีการแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ เช่น หางตา ระหว่างคิ้ว หรือหน้าผาก สาเหตุหลักมาจากการที่ผิวหนังสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น เมื่อปริมาณของคอลลาเจนลดลง ผิวจึงขาดความกระชับและเกิดเป็นริ้วรอยขึ้นมา

                          • มีปัญหาผิวไม่ความชุ่มชื้น

                          ปัญหาผิวขาดความชุ่มชื้น ลอกเป็นขุย เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย เนื่องจากคอลลาเจนที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในผิวหนังเริ่มผลิตได้น้อยลง เมื่อคอลลาเจนลดลง ผิวหนังยิ่งสูญเสียน้ำ ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน หมองคล้ำ และไม่สดใสได้

                          • มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย

                          ปัญหาผิวหย่อนคล้อย เป็นปัญหาที่หลายคนกังวล โดยเฉพาะเมื่อมีอายุที่มากขึ้น คอลลาเจนที่คอยพยุงผิวของเราก็ค่อย ๆ น้อยลงตามไปด้วย ส่งให้ผิวที่เคยมีความยืดหยุ่น แน่น กระชับ กลายเป็นผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย และดูแก่กว่าวัยอีกด้วย

                          • มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ

                          ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ เกิดจากคอลลาเจนในร่างกายลดลง โครงสร้างผิวจึงถูกทำลายได้ง่าย ส่งผลให้ผิวบอบบางและไวต่อแสงแดดมากขึ้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำได้เช่นกัน

                          • มีปัญหารูขุมขนกว้าง

                          ปัญหารูขุมขนกว้าง เกิดจากผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่น ซึ่งเป็นผลมาจากคอลลาเจนที่ลดลง รูขุมขนจึงขยายกว้างขึ้นได้ง่าย ทำให้ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียน

                           

                          คอลลาเจน สามารถนำไปใช้ในรูปแบบใดได้บ้าง?

                          ปัจจุบัน คอลลาเจน สามารถนำไปใช้ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบกิน แบบทา และแบบฉีดเข้าสู่ผิวหน้าโดยตรง ซึ่งแต่ละแบบมีความแตกต่างกัน ดังนี้

                          • คอลลาเจนแบบกิน

                          คอลลาเจนแบบกิน เป็นรูปแบบที่นิยมมากที่สุด พบได้ในอาหารเสริม เช่น แคปซูล ผง หรือชงดื่ม โดยคอลลาเจนชนิดนี้ มีความสะดวกในการรับประทาน สามารถเห็นผลลัพธ์ได้เมื่อรับประทานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานกว่าจะเห็นผล เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงผิวจากภายใน ต้องการเห็นผลในระยะยาว

                          • คอลลาเจนแบบทา

                          คอลลาเจนแบบทา พบได้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ ที่มีส่วนประกอบของคอลลาเจน เช่น ครีม โลชั่น หรือเซรั่ม ซึ่งคอลลาเจนชนิดนี้ มีโมเลกุลขนาดใหญ่ เมื่อทาลงไปบนผิวแล้ว อาจดูดซึมเข้าสู่ผิวได้ยาก เน้นเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวเป็นหลัก เหมาะสำหรับการบำรุงผิวชั้นนอกมากกว่า

                          • คอลลาเจนแบบฉีด

                          คอลลาเจนแบบฉีด เป็นการฉีดคอลลาเจน หรือสารกระตุ้นคอลลาเจนเข้าสู่ผิวโดยตรง เพื่อฟื้นฟู ปรับปรุง และบำรุงผิวแบบเร่งด่วน สามารถเห็นผลลัพธ์ได้เร็วกว่าวิธีอื่น ๆ พบได้ในหัตถการต่าง ๆ เช่น หัตถการกลุ่มกระตุ้นคอลลาเจน หรือ Biostimulator อย่าง Radiesse, Sculptra หรือ Gouri เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และต้องการแก้ไขปัญหาผิวเฉพาะจุด

                          Biostimulator มีกี่ประเภท

                          Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน คืออะไร

                          Biostimulator คือ สารกระตุ้นคอลลาเจน ที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายของเรา ผลิตคอลลาเจนขึ้นมาเองตามธรรมชาติ เมื่อฉีด Biostimulator เข้าสู่ผิวหนังแล้ว Biostimulator จะทำหน้าที่ในการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ที่มีความสำคัญต่อโครงสร้างผิวขึ้นมาใหม่ จึงทำให้ผิวหนังเกิดการฟื้นฟูตัวเองจากภายใน ส่งผลให้ผิวแน่นกระชับ เต่งตึง และมีความแข็งแรง โดยในปัจจุบันมี Biostimulator ให้เลือกหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น CaHA, PDO หรือ PLLA 

                           

                          Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน มีกลไกการทำงานอย่างไร?

                          กลไกการทำงานของ Biostimulator หรือ สารกระตุ้นคอลลาเจน จะทำงานโดยตรงที่ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ซึ่ง Biostimulator จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) เซลล์ต้นกำเนิดในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง เมื่อเซลล์ไฟโบรบลาสต์ได้รับการกระตุ้น ก็จะเริ่มผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ตามกระบวนการธรรมชาติ ทดแทนส่วนที่เสื่อมสภาพไป ซึ่งคอลลาเจนใหม่ที่สร้างขึ้นจากการฉีด Biostimulator จะเข้าไปเติมเต็มช่องว่างใต้ชั้นผิว พร้อมเสริมสร้างโครงสร้างผิวหนัง ทำให้ผิวกลับมาแข็งแรง มีความเรียบเนียน ริ้วรอยดูตื้นขึ้น และผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

                          Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน มีทั้งหมดกี่ประเภท?

                          ปัจจุบัน Biostimulator หรือสารกระตุ้นคอลลาเจน มีหลากหลายประเภท โดย Biostimulator แต่ละประเภท ก็จะมีคุณสมบัติและเหมาะสมกับปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ได้แก่

                           

                          • Biostimulator ประเภท PLLA (Poly-L-Lactic Acid) 

                          PLLA (Poly-L-Lactic Acid) เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ที่สกัดมาจากธรรมชาติตัวแรกของโลก เป็นวัสดุประเภทพอลิเมอร์ ที่มาในรูปแบบผง โดย PLLA ได้รับการรับรองว่า ปลอดภัยต่อร่างกายของเรา และถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์อย่างกว้างขวาง มีลักษณะเป็นอนุภาคขนาดเล็ก เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวจะค่อย ๆ กระจายตัว และกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ ให้เกิดการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1 เป็นหลัก ฟื้นฟูโครงสร้างผิวเดิม ทำให้ผิวมีโครงสร้างที่แข็งแรงและเรียบเนียนมากขึ้น ซึ่ง PLLA สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในร่างกาย

                          • Biostimulator ประเภท CaHA (Calcium Hydroxylapatite)

                          CaHA (Calcium Hydroxylapatite) เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ที่ผลิตขึ้นเองตามธรรมชาติ พบได้ในร่างกายของเรา โดยเฉพาะกระดูกและฟัน จึงสามารถเข้ากันได้ดีกับผิวหนัง มีลักษณะเป็นอนุภาคขนาดเล็ก ทำให้สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก ทำหน้าที่ในการกระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ ผลิตคอลลาเจน ชนิดที่ 1 และ คอลลาเจน ชนิดที่ 3 ขึ้นมาใหม่ โดยผ่านกระบวนการธรรมชาติของร่างกาย ไม่ได้ผ่านกระบวนการอักเสบใด ๆ ช่วยเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ให้ผิวดูอิ่มฟู และปรับรูปหน้าให้คมชัด โดยไม่เกิดการระคายเคืองผิว เหมาะสำหรับผิวบอบบาง แพ้ง่าย

                          • Biostimulator ประเภท PDO (Polydioxanone) 

                          PDO (Polydioxanone) เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ซึ่งเป็นวัสดุประเภทพอลิเมอร์ที่สังเคราะห์ขึ้นมา ในรูปแบบผลึก ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น โดยพัฒนาต่อยอดมาจากไหม PDO แบบเส้นดั้งเดิม ที่ถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์อย่างแพร่หลาย ผ่านการกระบวนการ Nano Technology ทำให้ PDO มีโมเลกุลเป็นทรงกลม และมีขนาดเล็กระดับนาโน หรือที่เรียกว่า PDO Microsphere ซึ่งมีความปลอดภัยสูง และสามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ เมื่อฉีด PDO เข้าสู่ผิว สามารถกระจายตัวได้อย่างทั่วถึง ทำหน้าที่ในการกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ ให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ชนิดที่ 1 และ คอลลาเจน ชนิดที่ 3 โดยไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บและไม่เกิดการบวมหลังฉีด

                          • Biostimulator ประเภท PCL (Polycaprolactone)

                          PCL (Polycaprolactone) เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ในรูปแบบของเหลว (Fully Liquid) ซึ่งพัฒนามาจากเส้นไหมละลายที่ใช้ในทางการแพทย์ เป็นวัสดุประเภทพอลิเมอร์กึ่งผลึกที่สังเคราะห์ขึ้นมา มีความบริสุทธิ์สูง สามารถย่อยสลายได้ตามกระบวนการ Hydrolysis เมื่อฉีดสาร PCL เข้าสู่ผิว อนุภาค PCL สามารถกระจายตัวได้ดี และสม่ำเสมอทั่วใบหน้า ทำหน้าที่ในการกระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ทดแทนส่วนที่เสื่อมโทรมไป ทำให้ผิวแน่นกระชับ ลดเลือนริ้วรอย และฟื้นฟูสภาพผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทิ้งสารตกค้าง ตัวยาไม่ต้องละลายก่อนใช้ ทำให้ปลอดภัยต่อร่างกาย ลดโอกาสในการเกิดการปนเปื้อนได้เป็นอย่างดี

                          • Biostimulator ประเภท PDLLA (Poly-D, L-Lactic Acid)

                          PDLLA (Poly-D, L-Lactic Acid) เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ที่มีโมเลกุลแบบเดียวกับ Poly Lactic Acid (PLA) แต่มีลักษณะพื้นผิวที่แตกต่างกัน โดย PDLLA เป็นไบโอพอลิเมอร์ชีวภาพ มีลักษณะเป็นวงกลมคล้ายฟองสบู่ เมื่อฉีด PDLLA เข้าสู่ผิวหนัง อนุภาคเล็ก ๆ ของ PDLLA จะเข้าไปกระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ทำงานอย่างแข็งขัน ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ชนิดที่ 1 ขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวกระชับ เต่งตึง ลดเลือนริ้วรอยได้เป็นอย่างดี โดยไม่เกิดการตกค้างในร่างกาย ไม่เกิดเป็นก้อนได้ง่าย และสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรชาติ

                          กระตุ้นคอลลาเจน

                          Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน มีหัตถการอะไรบ้าง?

                          Sculptra 

                          • Sculptra มีส่วนประกอบหลัก คือ สาร PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ตัวแรกของโลก ถูกพัฒนาโดยบริษัท Galderma Laboratories, L.P. โดยช้กระบวนการผลิตที่จดสิทธิบัตรเฉพาะของบริษัท กัลเดอร์มา เท่านั้น มีงานวิจัยรองรับมากกว่า 50 ฉบับ และได้รับการรับรองจาก US FDA (อย. อเมริกา) และ TH FDA (อย. ไทย)
                          • Sculptra มาในรูปแบบผง บรรจุอยู่ในขวด ซึ่งจะต้องถูกผสมด้วย Sterile water ก่อนนำไปฉีดเข้าสู่ผิว 
                          • มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ชนิดที่ 1 ตามกระบวนการธรรมชาติ ได้ถึง 66.5% เสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรงจากภายใน ทำให้ผิวยืดหยุ่น แน่นกระชับ และเรียบเนียน 
                          • หลังฉีด Sculptra สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ถึง 2 ปี

                          Radiesse 

                          • Radiesse มีส่วนประกอบหลัก คือ สาร CaHA (Calcium Hydroxylapatite) ซึ่งเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ถูกพัฒนาโดยบริษัท Merz Aesthetics มีงานวิจัยรองรับกว่า 250 ฉบับ และได้รับการรับรองจาก US FDA (อย. อเมริกา) และ TH FDA (อย. ไทย) 
                          • Radiesse มาในรูปแบบเจล บรรจุอยู่ในไซริงค์ ที่อยู่ในสภาพพร้อมฉีด 
                          • มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูผิวแบบองค์รวม กระตุ้นการสร้างเส้นใยตาข่ายตรึงผิวใหม่ ถึง 5 ประการ ได้แก่ คอลลาเจน ชนิดที่ 1, คอลลาเจน ชนิดที่ 3, อีลาสติน, Angiogenesis และ Proteoglycan ที่สำคัญยังมอบ 3 ผลลัพธ์ที่เหนือกว่าในระยะยาว ได้แก่ Healthier ทำให้ผิวแน่น กระชับ, Younger ลดเลือนริ้วรอย ทำให้ผิวดูเด็กลง และ Longer ยืดอายุผิวให้ยาวนานขึ้น 
                          • หลังฉีด Radiesse สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ถึง 2 ปี

                          Gouri

                          • Gouri มีส่วนประกอบหลัก คือ สาร PCL (Polycaprolactone) ซึ่งเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) โดยสามารถกระจายตัวได้ดี ไม่จำเป็นต้องฉีดหลายจุด จึงมีความปลอดภัยสูง สามารถย่อยสลายได้เอง ไม่มีสารตกค้างในร่างกาย และได้รับการรับรองจาก TH FDA (อย. ไทย)
                          • Gouri ใช้เทคโนโลยี CESABP เทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของ Gouri ที่ทำให้สาร PCL อยู่ในรูปแบบของเหลว (Fully Liquid) บรรจุอยู่ในไซริงค์ ไม่มีส่วนของ Microparticle จึงไม่ต้องละลายน้ำก่อนใช้
                          • มีคุณสมบัติในการกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ ให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการธรรมชาติ ไม่ทำให้ผิวเกิดการบาดเจ็บ ส่งผลให้ผิวแน่นกระชับ เรียบเนียน และปรับปรุงคุณภาพผิวได้อีกด้วย
                          • หลังฉีด Gouri สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ถึง 1 ปี

                          Ultracol 

                          • Ultracol มีส่วนประกอบหลัก คือ สาร PDO (Polydioxanone) ซึ่งเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ถูกพัฒนาโดยบริษัท Ultra V ร่วมกับ Seoul University Hospital (มหาวิทยาลัยทางการแพทย์ชื่อดังของประเทศเกาหลีใต้) และ Chung-Ang University Hospital ซึ่งมีความปลอดภัยสูง ได้รับการรับรองจาก TH FDA (อย. ไทย) และอีก 13 ประเทศทั่วโลก
                          • Ultracol มาในรูปแบบผงละลาย บรรจุอยู่ในขวด ซึ่งจะต้องถูกผสมด้วย Sterile water ก่อนนำไปฉีดเข้าสู่ผิว 
                          • มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ชนิดที่ 1 และ คอลลาเจน ชนิดที่ 3 โดยไม่เสี่ยงอาการบวมจากเข็ม ซึ่งใน Ultracol ปริมาณ 1 ขวด จะเท่ากับการร้อยไหม PDO ปกติจำนวนถึง 1,427 เส้น ส่งผลให้เพิ่มความหนาแน่นให้กับผิว ถึง 34.36% ริ้วรอยดูตื้นขึ้น ถึง 13.33% และเพิ่มความกระจ่างใส ถึง 9.15%
                          • หลังฉีด Ultracol สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ถึง 6 – 8 เดือน

                          Juvelook

                          • Juvelook มีส่วนประกอบหลัก คือ สาร PDLLA (Poly-D, L-Lactic Acid) ซึ่งเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ผสมผสานร่วมกับ กรดไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid – HA) อย่างลงตัว มีขนาดอนุภาค ตั้งแต่ 10 ถึง 40 ไมโครเมตร จัดเป็น Hybrid Biostimulator ที่มีความปลอดภัยสูง ได้รับการรับรองจาก TH FDA (อย. ไทย)
                          • Juvelook มาในรูปแบบผง บรรจุอยู่ในขวด ซึ่งจะต้องถูกผสมด้วย Sterile water ก่อนนำไปฉีดเข้าสู่ผิว 
                          • มีคุณสมบัติในการสร้างกระตุ้นคอลลาเจน ชนิดที่ 1 เสริมความยืดหยุ่นให้กับผิว และเติมเต็มริ้วรอยได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน พร้อมปรับปรุงคุณภาพผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น ฉ่ำวาว กระชับรูขุมขนได้อีกด้วย
                          • หลังฉีด Juvelook สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ถึง 2 ปี

                           

                          Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน สามารถฉีดบริเวณใดได้บ้าง?

                          Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน สามารถฉีดได้หลากหลายบริเวณ ทั้งใบหน้า ลำคอ และหลังมือ เพื่อแก้ไขปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ แต่ละหัตถการก็เหมาะสมกับบริเวณที่ฉีดแตกต่างกัน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ ก่อนตัดสินใจฉีด Biostimulator โดยตำแหน่งที่ฉีดกระตุ้นคอลลาเจน มีดังนี้

                          • Biostimulator สามารถฉีดกระตุ้นคอลลาเจนได้ บริเวณหน้าแก้ม
                          • Biostimulator สามารถฉีดกระตุ้นคอลลาเจนได้ บริเวณกรอบหน้า
                          • Biostimulator สามารถฉีดกระตุ้นคอลลาเจนได้ บริเวณหน้าผาก
                          • Biostimulator สามารถฉีดกระตุ้นคอลลาเจนได้ บริเวณขมับ
                          • Biostimulator สามารถฉีดกระตุ้นคอลลาเจนได้ บริเวณร่องแก้ม
                          • Biostimulator สามารถฉีดกระตุ้นคอลลาเจนได้ บริเวณรอบดวงตา
                          • Biostimulator สามารถฉีดกระตุ้นคอลลาเจนได้ บริเวณมุมปาก
                          • Biostimulator สามารถฉีดกระตุ้นคอลลาเจนได้ บริเวณคาง
                          • Biostimulator สามารถฉีดกระตุ้นคอลลาเจนได้ บริเวณลำคอ
                          • Biostimulator สามารถฉีดกระตุ้นคอลลาเจนได้ บริเวณหลังมือ

                          Biostimulator ช่วยเรื่องอะไร

                          Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

                          • Biostimulator ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ชนิดที่ 1 และ คอลลาเจน ชนิดที่ 3 ตามกระบวนการธรรมชาติ 
                          • Biostimulator ช่วยฟื้นฟูผิวลึกถึงโครงสร้าง ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงในระยะยาว
                          • Biostimulator ช่วยเติมเต็มผิว และลดเลือนริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า
                          • Biostimulator ช่วยให้เพิ่มความหนาแน่นให้ผิว ทำให้ผิวแน่นกระชับ 
                          • Biostimulator ช่วยยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อยจากการอายุที่มากขึ้น
                          • Biostimulator ช่วยกระชับรูขุมขน แก้ปัญหารูขุมขนกว้าง ทำให้ผิวเรียบเนียน
                          • Biostimulator ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น ดูอิ่มน้ำ
                          • Biostimulator ช่วยปรับผิวสว่างกระจ่างใส ลดความหมองคล้ำของผิว
                          • Biostimulator ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ ดูสุขภาพดี
                          • Biostimulator ช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้
                          • Biostimulator ช่วยเพิ่มความอิ่มฟูให้กับผิว ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง 
                          • Biostimulator ช่วยให้รูปหน้าดูมีมิติ กรอบหน้าคมชัด

                           

                          Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน เหมาะกับใคร?

                          • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป คอลลาเจนค่อย ๆ หายไปตามอายุ
                          • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ
                          • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีริ้วรอยตามจุดต่าง ๆ ของใบหน้า
                          • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้น มีปัญหาผิวแห้งกร้าน
                          • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง รูขุมขนไม่กระชับ 
                          • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีสีผิวไม่สม่ำเสมอ ผิวหมองคล้ำ มีจุดด่างดำต่าง ๆ 
                          • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพผิว
                          • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีกรอบหน้าไม่ชัด ต้องการเพิ่มความคมชัดให้ใบหน้า
                          • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวไม่เรียบเนียน มีหลุมสิวตื้น ๆ 
                          • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวโทรม ผิวหน้าไม่สดใส  
                          • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเสริมความแข็งแรงให้กับผิว
                          • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูและซ่อมแซมผิวที่ถูกทำลาย จากแสงแดดและมลภาวะต่าง ๆ 
                          • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการป้องกันริ้วรอยก่อนวัย 

                           

                          Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน ไม่เหมาะกับใคร?

                          • Biostimulator ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เป็นโรคเลือดออกง่าย
                          • Biostimulator ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้
                          • Biostimulator ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังให้นมบุตร เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อทารกแรกเกิดได้
                          • Biostimulator ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีแผลเปิด หรือผิวหนังอักเสบในบริเวณที่ต้องการฉีด Biostimulator 
                          • Biostimulator ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประวัติแพ้สารประกอบในตัวยา Biostimulator 
                          • Biostimulator ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องรับประทานกลุ่มยาแอสไพริน หรือยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
                          • Biostimulator ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ต้องการเห็นผลลัพธ์ทันที เนื่องจาก Biostimulator เป็นการกระตุ้นคอลลาเจนตามกระบวนการธรรมชาติ จึงต้องใช้เวลาค่อยเป็นค่อยไป

                           

                          ก่อนฉีด Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน ควรเตรียมตัวอย่างไร?

                          • ก่อนฉีด Biostimulator แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิวหน้า และเลือกหัตถการที่เหมาะสมกับปัญหาของเรามากที่สุด
                          • ก่อนฉีด Biostimulator ควรแจ้งประวัติสุขภาพ ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
                          • ก่อนฉีด Biostimulator งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพื่อป้องกันผิวอักเสบ
                          • ก่อนฉีด Biostimulator งดสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันการอักเสบและอาการบวมช้ำ
                          • ก่อนฉีด Biostimulator งดรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เพื่อป้องกันเลือดออกมากเกินไป
                          • ก่อนฉีด Biostimulator งดผลัดเซลล์ผิว หรือสครับผิว ในบริเวณที่ฉีด Biostimulator เพื่อป้องกันผิวอักเสบ
                          • ก่อนฉีด Biostimulator ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายมีความพร้อมที่จะทำการฉีด Biostimulator ทำให้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้น

                           

                          หลังฉีด Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน ควรดูแลตัวเองอย่างไร?

                          • หลังฉีด Biostimulator งดแต่งหน้าหรือใช้เครื่องสำอาง ในบริเวณที่ฉีด 12 ชั่วโมงแรก
                          • หลังฉีด Biostimulator งดการโดนแสงแดดโดยตรง เพื่อป้องกันการอักเสบ
                          • หลังฉีด Biostimulator งดกิจกรรมที่โดนความร้อนมาก ๆ เช่น ซาวน่า
                          • หลังฉีด Biostimulator งดสัมผัส นวด แกะ เกา ในบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
                          • หลังฉีด Biostimulator หากมีอาการบวมช้ำ สามารถประคบเจลเย็น เพื่อบรรเทาอาการบวมช้ำได้
                          • หลังฉีด Biostimulator หลีกเสี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ เพื่อป้องกันการระคายเคือง และป้องกันการติดเชื้อ

                          คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับ Biostimulator

                          รวมคำถามยอดฮิต เกี่ยวกับการฉีด Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน

                          ผลข้างเคียงหลังฉีด Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน

                          • หลังฉีด Biostimulator อาจเกิดรอยแดง บวมช้ำได้ ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยและมักหายไปเองภายใน 2 – 3 วัน
                          • หลังฉีด Biostimulator อาจเกิดอาการคันเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด Biostimulator ซึ่งอาการคันที่เกิดขึ้น สามารถหายได้เอง
                          • หลังฉีด Biostimulator อาจเกิดอาการปวดหรือเจ็บในบริเวณที่ฉีด Biostimulator ซึ่งสามารถบรรเทาอาการปวดได้ด้วยการประคบเย็น
                          • หลังฉีด Biostimulator อาจเกิดรอยแดง รอยดำเล็กน้อย ซึ่งจะค่อย ๆ จางหายไปได้เอง

                           

                          Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน ปลอดภัยไหม?

                          • การฉีด Biostimulator เป็นการกระตุ้นคอลลาเจนที่มีความปลอดภัย มีหัตถการให้เลือกหลากหลาย เช่น Radiesse, Sculptra หรือ Ultracol ซึ่งแต่ละหัตถการ ก็ผ่านการรับรองจาก TH FDA หรือ อย.ไทย ทั้งสิ้น ดังนั้น Biostimulator จึงมีความปลอดภัยสูง สามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกายของเรา แต่อย่างไรก็ตาม ควรฉีด Biostimulator กับแพทย์ผู้ชำนาญการ ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน เท่านั้น เนื่องจากการฉีด Biostimulator ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในโครงสร้างผิวหน้า และเทคนิคในการฉีดที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและปลอดภัยที่สุด หากเลือกฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ คลินิกที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงได้ เช่น เกิดการติดเชื้อ หรือผิวหนังอักเสบได้

                           

                          Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน กับ ฟิลเลอร์ ต่างกันอย่างไร?

                          • การฉีดฟิลเลอร์ เป็นสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบของ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) เป็นหลัก ซึ่งจะเน้นการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และปรับรูปหน้า ทำให้ผิวหน้าดูอิ่มฟู เรียบเนียน และดูมีมิติ สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังฉีด โดยฟิลเลอร์ จะเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาใบหน้าไม่สมส่วน เช่น ขมับตอบ แก้มตอบ คางบุ๋ม หรือมีปัญหาร่องลึก เช่น ร่องแก้ม เบ้าตาลึก ทำให้ดูแก่กว่าวัย
                          • ส่วน Biostimulator เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนจากภายใน ตามกระบวนการธรรมชาติ ซึ่งมีหลากหลายประเภท ทั้ง CaHA, PLLA หรือ PDO โดยจะเน้นกระตุ้นคอลลาเจน เสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรงเป็นหลัก ทำให้ผิวแน่นกระชับ เต่งตึง และลดเลือนริ้วรอย สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานมากกว่าการฉีดฟิลเลอร์ ซึ่ง Biostimulator เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอยแห่งวัย ผิวขาดความกระชับ ต้องการปรับปรุงโครงสร้างผิวให้แข็งแรง

                           

                          ดังนั้น การฉีด Biostimulator หรือ สารกระตุ้นคอลลาเจน จึงถือเป็นทางเลือกที่น่าจับตามองอย่างมาก เนื่องจากสามารถกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนขึ้นมาเองตามธรรมชาติ ฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน ทำให้สามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็น ผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย หรือขาดความชุ่มชื้น ซึ่งการฉีด Biostimulator มีให้เลือกหลากหลายหัตถการที่ได้รับความนิยมทั่วโลก อย่าง Sculptra, Radiesse หรือ Utracol โดยแต่ละหัตถการก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันอยู่ แนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการก่อนตัดสินใจฉีด Biostimulator ได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา เพื่อให้แพทย์วิเคราะห์และประเมินปัญหาผิวหน้าอย่างละเอียด พร้อมเลือกหัตถการที่เหมาะสมที่สุด ตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริง 

                          ฉีดหน้าใสอันตราย สุดท้ายติดเชื้อทั้งหน้า !!

                          ฉีดหน้าใส

                          สายฉีดหน้าระวัง! ฉีดหน้าใส สุดท้ายติดเชื้อทั้งหน้า

                          ระทึกโซเชียล! กลายเป็นประเด็นร้อนแรง เมื่อมีแพทย์ผู้ชำนาญการด้านภูมิคุ้มกันผิวหนังท่านหนึ่ง ออกมาเตือนภัยสาว ๆ สายฉีดหน้าหลาย ๆ คน ให้ระวังอันตราย จากการเลือกคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่มีความน่าเชื่อถือ หลังพบผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก ฉีดหน้าใสแล้วเกิดติดเชื้ออย่างรุนแรง มีอาการตุ่มแดง ๆ ขึ้นทั่วใบหน้า เนื่องจากยาที่ฉีดเป็นตัวยาที่ผลิตในประเทศไทย ขึ้นทะเบียนเป็นเครื่องสำอางชนิดทา แต่แพทย์กลับนำมาฉีดให้แก่ผู้รับบริการ ซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรงและอันตรายอย่างมาก โดยจากการตัดชิ้นเนื้อไปพิสูจน์แล้วพบว่า ผู้เสียหายบางรายเป็น Mycobacterium avium และผู้เสียหายบางรายก็เป็น Mycobacterium abcessus ซึ่งการติดเชื้อโรคนี้ ไม่สามารถหายเองได้ รักษาก็ไม่ง่าย ต้องใช้เวลาในการรับประทานยาอยู่หลายเดือน

                          เหตุการณ์นี้ สร้างความฮือฮาและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในโลกโซเชียล โดยแพทย์ผู้ชำนาญการเน้นย้ำให้ผู้รับบริการทุกท่าน ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจทำหัตถการใด ๆ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันในลักษณะนี้อีก หากไม่มีการตรวจสอบก่อนการทำหัตถการให้ดี อาจโชคร้ายเหมือนเคสนี้ได้ นอกจากนี้ แพทย์ยังได้เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งเข้ามาตรวจสอบและดำเนินการกับคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐานอย่างจริงจัง เพื่อปกป้องสิทธิของผู้รับบริการ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ที่ต้องการเข้ารับบริการคลินิกเสริมความงามอีกด้วย

                           

                          ภัยร้าย! ฉีดหน้าใส แต่กลับติดเชื้อ หน้าพังทั้งหน้า

                           

                          ฉีดหน้าใส คืออะไร?

                          การฉีดหน้าใส คือ การฉีดวิตามินหรือสารสกัดที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนและโคเอนไซม์ ในการบำรุงผิวหน้า เข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) โดยตรง การฉีดหน้าใสจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น มีความชุ่มชื้น และดูกระจ่างใส นอกจากนี้ ยังช่วยแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ ฝ้า กระ และรูขุมขนกว้างได้อีกด้วย

                           

                          ผลิตภัณฑ์หน้าใส มีกี่รูปแบบ?

                          ผลิตภัณฑ์หน้าใส สามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่

                          • ผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบทา

                            ผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบทา เป็นเหมือนการทาครีมหรือเซรั่มที่มีส่วนผสมของสารบำรุงผิวเข้มข้น เพื่อให้ผิวดูดซึมสารอาหาร ซึ่งจะซึมเข้าสู่ผิวไม่ลึกเท่ากับการฉีดหน้าใส และต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล แต่มีผลข้างเคียงน้อยและมีราคาที่ประหยัดกว่าเมื่อเทียบกับการฉีดหน้าใส เหมาะสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด

                          • ผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบฉีด

                            ผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบฉีด เป็นการฉีดสารบำรุงผิวเข้มข้น เข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้โดยตรง ทำให้สารอาหารสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก เห็นผลได้เร็วกว่าผลิตภัณฑ์หน้าใสทา สามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นรอยสิว ฝ้า กระ หรือรูขุมขน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว

                           

                          ฉีดหน้าใส อันตรายไหม?

                          • การฉีดหน้าใส ถือว่ามีความปลอดภัยสูง เนื่องจากสารที่ใช้ฉีดหน้าใสส่วนใหญ่เป็นวิตามิน แร่ธาตุ และสารสกัดจากธรรมชาติ ที่มีประโยชน์ต่อผิวหนังของเรา เช่น วิตามินซี กรดไฮยาลูรอนิก และคอลลาเจน เป็นต้น ซึ่งสารเหล่านี้ จะช่วยบำรุงผิวให้แข็งแรง ชุ่มชื้น และกระจ่างใสขึ้น ที่สำคัญควรฉีดหน้าใสกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ คลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ตัวยาแท้ เนื่องจากอันตรายที่พบจากการฉีดหน้าใสส่วนใหญ่ เกิดจากการฉีดหน้าใสของปลอม ที่มีการลักลอบขายในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน

                          ฉีดเมโสหน้าใส

                          ผลข้างเคียง! เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบทาฉีดเข้าผิวหน้า

                          การใช้ผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบทาฉีดเข้าสู่ผิวหน้านั้น ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและเป็นอันตรายต่อผู้รับบริการอย่างร้ายแรง เนื่องจากผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบทาและแบบฉีด มีส่วนผสมและวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน การนำมาใช้ผิดประเภท อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิดและส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ ดังนี้

                          • เกิดการติดเชื้อ เนื่องจากการใช้ผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบทาที่ไม่ได้รับการฆ่าเชื้อมาฉีดเข้าสู่ผิว อาจทำให้เกิดการปนเปื้อนของแบคทีเรียหรือเชื้อโรค จนนำไปสู่การติดเชื้อได้
                          • เกิดอาการแพ้ เนื่องจากสารเคมีในผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบทา อาจก่อให้เกิดอาการแพ้รุนแรง เช่น ผื่นคัน บวม หรือมีตุ่มแดงได้
                          • ผิวหนังอักเสบ เนื่องจากการใช้ผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบทาฉีดเข้าผิวหน้า อาจทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง จนอักเสบเรื้อรังได้
                          • เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ เนื่องจากการใช้ผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบทาฉีดเข้าผิวหน้า อาจไปกระตุ้นให้เกิดการผลิตเม็ดสีเมลานินมากขึ้น จนเกิดปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำได้
                          • ผลข้างเคียงร้ายแรง ในกรณีที่รุนแรง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น หลอดเลือดอักเสบ เกิดแผลเป็น หรือแม้แต่การเกิดมะเร็งผิวหนัง

                           

                          เลือกฉีดหน้าใส ต้อง รมย์รวินท์คลินิก

                          ที่ รมย์รวินท์คลินิก เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้รับบริการเป็นอันดับหนึ่ง เราจึงเลือกใช้ตัวยาที่ฉีดหน้าใสที่มีคุณภาพสูง ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และมีการสั่งซื้อตัวยาจากบริษัทที่นำเข้าอย่างถูกกฎหมาย ไปจนถึงการให้บริการโดยแพทย์ผู้ชำนาญการอย่างเป็นมืออาชีพ ซึ่งก่อนทำการฉีดหน้าใส แพทย์จะเป็นผู้ประเมินและวิเคราะห์ปัญหาผิวหน้าอย่างละเอียด เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด ทำให้มั่นใจในผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

                          ดังนั้น สำหรับใครที่อยากหน้าใสแบบไม่ต้องเสี่ยง สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการของ รมย์รวินท์คลินิก ได้ทุกสาขา เราพร้อมดูแลปัญหาผิวของคุณในทุก ๆ รูปแบบ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ตอบโจทย์ทุกปัญหาของผิวหน้าแบบเฉพาะบุคคล รับรองว่า จะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและเป็นส่วนตัวอย่างแน่นอน

                          พังยับเยิน! หน้าไหม้ หน้าเบิร์น เพราะ Ulthera ปลอม

                          ulthera ปลอม

                          ผิวไหม้เกรียม! อุทาหรณ์ Ulthera ปลอมทำพิษ

                          อยากสวย อยากหน้ายก หน้าเรียว ต้องระวังให้ดี! เพราะล่าสุดมีข่าวสุดช็อก เมื่อมีหญิงสาวรายหนึ่ง ได้ตัดสินใจยกกระชับผิวหน้า ด้วยเครื่อง Ulthera ที่คลินิกแห่งหนึ่ง ซึ่งมีราคาต่ำกว่าปกติ แต่โชคร้ายที่ดันไปเจอ Ulthera ปลอมเข้าให้ ผลที่ได้คือ หน้าไหม้ หน้าเบิร์น และมีรอยแดงเป็นวงกว้าง ผิวเสียหายอย่างรุนแรง แทนที่จะสวย แต่กลับต้องมานั่งเสียใจ กับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น นอกจากจะเสียเงินฟรีแล้ว ยังเสี่ยงหน้าพังอีกด้วย ซึ่งเหตุการณ์สะเทือนขวัญนี้ ถือเป็นบทเรียนราคาแพงที่เตือนให้เราเห็นถึง อันตรายของการเลือกคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐานและเครื่องมือที่ไม่ได้รับการรับรอง

                          ดังนั้น การเลือกคลินิกความงามในการทำหัตถการ จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบ อย่าหลงเชื่อแค่คำโฆษณา ไม่ใช่แค่ดูราคาที่ถูกที่สุด แต่ควรพิจารณาจากความน่าเชื่อถือของคลินิก ประสบการณ์ของแพทย์ และเครื่องมือที่ใช้ในการทำหัตถการด้วย เพราะหากเลือกผิดพลาด อาจส่งผลกระทบต่อใบหน้า ทำให้เสียโฉมตลอดชีวิตได้

                          Ulthera คืออะไร ?

                          Ulthera คือ เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า ที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง (Focused Ultrasound) ถูกออกแบบมาให้ส่งพลังงานความร้อน 60 – 70°C ไปยังชั้นผิว SMAS ได้อย่างตรงจุด ซึ่งเป็นชั้นผิวที่อยู่ลึกที่สุด ชั้นเดียวกับที่ทำการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า โดยไม่ต้องมีการผ่าตัดหรือพักฟื้น ซึ่งความร้อนระดับนี้ มีความปลอดภัยต่อผิวหนัง มีระบบควบคุมพลังงานที่แม่นยำ จึงลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง เช่น หน้าไหม้ หน้าเบิร์น หรือรอยแดงได้ สามารถแก้ไขปัญหาครอบคลุมทุกชั้นผิว โดยปรับระดับความลึกในการส่งพลังงานได้หลายระดับ ทำให้สามารถเข้าถึงชั้นผิวที่แตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                          เมื่อเครื่อง Ulthera ส่งพลังงานความร้อนลงไปยังชั้นผิว SMAS จะเกิดการกระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ ในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ตื่นตัวขึ้น เมื่อเซลล์ไฟโบรบลาสต์ได้รับการกระตุ้น จะเริ่มผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ทดแทนส่วนที่เสื่อมสภาพไปตามอายุ ทำให้ผิวเกิดการยกกระชับ กลับมาเต่งตึงและเรียบเนียน รวมถึง แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้เป็นอย่างดี

                          Ulthera ถือเป็นเครื่องยกกระชับที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ด้วยความต้องการในการทำที่สูงขึ้น ทำให้มีเครื่องปลอมออกมาหลอกลวงผู้รับบริการมากมาย หากไม่ระวัง อาจตกเป็นเหยื่อของเครื่องปลอม ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียต่อผิวหน้าของเราได้ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่า Ulthera เครื่องไหนคือเครื่องแท้ มีวิธีตรวจสอบอย่างไร บทความนี้มีคำตอบมาให้แล้วค่ะ

                          ulthera ปลอม

                          เครื่อง Ulthera ปลอม อันตรายแค่ไหน?

                          แม้ว่าเครื่อง Ulthera จะได้รับการยอมรับว่าเป็นเทคโนโลยียกกระชับผิว ที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ แต่ในปัจจุบันก็ยังมีปัญหาเครื่อง Ulthera ปลอมระบาดอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อผิวหน้าอย่างร้ายแรง เนื่องจากเครื่องเหล่านี้ ไม่มีระบบความปลอดภัยที่เพียงพอ ทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายต่อชั้นผิวขณะทำหัตถการ อาจนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ได้ ดังนี้

                          • หน้าไหม้ หน้าเบิร์น เนื่องจากเครื่อง Ulthera ปลอม ปล่อยพลังงานความร้อนออกมาไม่เหมาะสม ทำให้เกิดความร้อนสูงเกินไปในบางจุด จนทำให้หน้าไหม้ ผิวหนังอักเสบ มีรอยแดง มีอาการบวมช้ำ จนกระทั่งเกิดแผลเป็นได้
                          • ใบหน้าเบี้ยว ในกรณีที่รุนแรง การใช้เครื่อง Ulthera ปลอม อาจทำให้เส้นประสาทบนใบหน้าเกิดความเสียหาย ได้รับการบาดเจ็บ ส่งผลให้ใบหน้าเบี้ยว อ่อนแรง หรือเกิดความผิดปกติในการเคลื่อนไหวใบหน้าได้
                          • ผิวหย่อนคล้อยกว่าเดิม เนื่องจาก Ulthera เครื่องปลอม มักจะปล่อยพลังงานความร้อนออกมาไม่สม่ำเสมอ หรือมีพลังงานต่ำกว่ามาตรฐาน ทำให้ไม่สามารถกระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ผิวไม่เกิดการยกกระชับ หรืออาจหย่อนคล้อยมากกว่าเดิม
                          • ผลลัพธ์ไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจาก Ulthera เครื่องปลอม ไม่มีประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวหน้าที่ดีพอ ทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ หรือได้ผลลัพธ์ที่ไม่สม่ำเสมอ

                           

                          Ulthera  เครื่องแท้ มีวิธีตรวจสอบอย่างไร?

                          • ตรวจสอบรายชื่อคลินิกในประเทศไทยที่ให้บริการ Ulthera ครื่องแท้ ได้ในเว็บไซต์ Merz Aesthetics บริษัทผู้จัดจำหน่ายเครื่อง Ulthera อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เว็บไซต์ :  www.merzaesthetics.co.th 
                          • ภายในคลินิก มีโล่คริสตัลเพชรและใบ Certificate of Authenticity รับรองว่าคลินิกนี้ ใช้เครื่องแท้จากบริษัท Merz Aesthetics อย่างชัดเจน ชื่อคลินิกที่ปรากฏในใบรับรองตรงกับชื่อคลินิกที่กำลังเข้ารับบริการ
                          • ตรวจสอบสติกเกอร์ที่ติดอยู่บนตัวเครื่อง Ulthera ได้แก่ สติกเกอร์สีทอง รับรองจากบริษัทนำเข้า Merz Aesthetics และสติกเกอร์สีส้ม รับรอง Ulthera เครื่องแท้  
                          • สแกน QR Code หน้าเครื่อง Ulthera  สามารถสแกนเพื่อตรวจสอบได้ว่า Ulthera เครื่องที่ใช้บริการ เป็นเครื่องแท้หรือไม่
                          • เมื่อเปิดเครื่อง Ulthera ใช้งาน จะมีโลโก้ Ulthera ปรากฏขึ้นบนหน้าจอและมีหน้าจอแสดงผลแบบ Real Time
                          • เมื่อใช้บริการเครื่อง Ulthera เสร็จสิ้น จะได้รับใบรับรอง Certificate ว่าทำ Ulthera เครื่องแท้

                           

                          การเลือกทำ Ulthera กับคลินิกที่ใช้เครื่องแท้จึงเป็นสิ่งสำคัญ อย่าไปหลงกลกับราคาถูก หรือโฆษณาที่เกินจริง เพราะการทำ Ulthera เครื่องปลอม เท่ากับการสูญเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ และอาจนำมาสู่ผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ เช่น หน้าไหม้ หน้าเบิร์น ผิวแดง หรือแผลเป็น ดังนั้น ตรวจสอบคลินิกให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ อยากสวยแบบไม่ต้องเสี่ยง ควรเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน ใช้ Ulthera  เครื่องแท้อย่าง รมย์รวินท์คลินิก ที่การันตีความปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ใช้เครื่องแท้ทุกหัตถการ และทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลอย่างใกล้ชิด ให้คุณสวยแบบมั่นใจ ไม่ต้องเสี่ยงหน้าไหม้ หน้าเบิร์นอีกต่อไปค่ะ

                          ฝันสลาย! หน้าเบี้ยว เพราะฉีดฟิลเลอร์เกินขนาด 

                          หน้าเบี้ยว

                          ฝันสลาย! หน้าเบี้ยว เพราะฉีดฟิลเลอร์เกินขนาด 

                          เกิดเหตุการณ์สลดใจ สะเทือนวงการความงาม สืบเนื่องมาจาก มีผู้เสียหายรายหนึ่ง ได้พาครอบครัวไปทำสวยที่คลินิกชื่อดัง ย่านใจกลางเมือง แต่กลับต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่น่าตกใจ เมื่อหลังจากฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว ทั้งตนเอง แม่ และพี่สาวกลับมีอาการหน้าเบี้ยว หน้าผิดรูปอย่างรุนแรง โดยผู้เสียหายเปิดเผยว่า แพทย์ผู้ทำการรักษา ได้ฉีดฟิลเลอร์ให้ในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น ตนเองฉีดไป 18 CC พี่สาว 22 CC และแม่ 37 CC ซึ่งเป็นปริมาณที่มากเกินมาตรฐาน และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน สูญเสียเงินไปกว่า 1 ล้านบาท ขณะนี้ มีผู้เสียหายออกมาร้องทุกข์มากกว่า 10 รายแล้ว จากการตรวจสอบพบว่า นายแพทย์เจ้าของคลินิกเสริมความงามชื่อดัง เป็นเพียงแพทย์ทั่วไป มีการแอบอ้างตนเองว่า เป็นอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเวชศาสตร์ฟื้นฟู ซึ่งมีการจ้างดาราและอินฟลูเอนเซอร์ มาโปรโมทคลินิกเป็นจำนวนมาก ทำให้มีผู้คนหลงเชื่อเข้ารับบริการร ผลลัพธ์ที่ได้กลับตรงกันข้าม ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งร่างกายและจิตใจอีกด้วย

                          เหตุการณ์นี้ แสดงให้เห็นถึงความละเลยของผู้ประกอบการที่ยอมเสี่ยงเพื่อผลกำไร โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้รับบริการ ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในวงการคลินิกความงาม ดังนั้น การเลือกใช้บริการคลินิกความงาม ควรมีการศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครเป็นเหยื่อลักษณะนี้อีก

                          ระวัง! ฉีดฟิลเลอร์มากไป เสี่ยงหน้าเบี้ยว หน้าผิดรูป

                          ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร?

                          การฉีดฟิลเลอร์ คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภท กรดไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA) ซึ่งมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและดูอิ่มฟู โดยการฉีดฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มชั้นผิวที่เสื่อมสภาพและมีการยุบตัวลง ทดแทนคอลลาเจนที่สูญเสียไปเมื่ออายุมากขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถฉีดงานผิว Skin Booster เพื่อปรับปรุงคุณภาพผิวและเติมเต็มความชุ่มชื้นได้อีกด้วย ซึ่ง การฉีดฟิลเลอร์สามารถเลือกฉีดได้หลากหลายบริเวณ เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา หน้าแก้ม หน้าผาก ขมับ คาง หรือริมฝีปาก เป็นการแก้ไขปัญหาผิว ริ้วรอยและร่องลึกต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                           

                          ฉีดฟิลเลอร์แต่ละจุดควรใช้กี่ CC ?

                          ปริมาณในการเลือกฉีดฟิลเลอร์แต่ละจุด ในแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งสภาพผิวหน้า ปัญหาที่ต้องการแก้ไข บริเวณที่ต้องการฉีด รวมถึงความต้องการของแต่ละคน โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินสภาพผิวหน้า พร้อมแนะนำปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสมว่า แต่ละจุดควรเลือกฉีดฟิลเลอร์กี่ CC  เพื่อลดโอกาสในการฉีดฟิลเลอร์มากเกินความจำเป็น จนอาจทำให้เสี่ยงหน้าเบี้ยวได้ ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่เหมาะสม จะทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งทื่อจนเกินไป

                           

                          ภาวะฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป คืออะไร?

                          Facial Overfilled Syndrome หรือที่เรียกกันว่า “ภาวะฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป คือ ภาวะฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่มากเกินความพอดี ซึ่งอาจเป็นการเติมเต็มฟิลเลอร์ในทุกพื้นที่ของใบหน้า หรือเติมเต็มเฉพาะจุดในปริมาณที่มากเกินความต้องการ จนใบหน้าดูล้นและไม่ธรรมชาติ ส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงอันตรายตามมาสารพัด ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าผิดรูป ใบหน้าไม่สมส่วน และใบหน้าเบี้ยวได้

                           

                          ฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป เกิดจากอะไร?

                          • แพทย์ไม่มีความเชี่ยวชาญ เกิดจากแพทย์ประเมินปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ในแต่ละจุดไม่พอดีกับปัญหาผิวหน้า มีการคำนวณปริมาณฟิลเลอร์ที่ผิดพลาด ทำให้เกิดการฉีดฟิลเลอร์มากเกินความพอดี จนใบหน้าเบี้ยวและผิดรูปได้
                          • ความต้องการของผู้รับบริการ เกิดจากผู้รับบริการบางราย ต้องการเห็นผลการเปลี่ยนแปลงหลังฉีดฟิลเลอร์แบบชัดเจน ทำให้ยอมรับที่จะฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น
                          • โฆษณาเกินจริง คลินิกบางแห่งมีการโฆษณาที่เกินจริง เกี่ยวกับปริมาณในการฉีดฟิลเลอร์ เป็นที่มาของคำว่า ยิ่งเติมยิ่งเต็ม ยิ่งเต็มยิ่งสวย ทำให้ผู้รับบริการเกิดความเข้าใจผิดและหลงเชื่อ หากฉีดฟิลเลอร์มากเกินความพอดี อาจทำให้ใบหน้าเบี้ยวได้ไม่รู้ตัว

                          หน้าเบี้ยว

                          ฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป อันตรายไหม?

                          การฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป ถือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง อาจทำให้เกิดอันตรายในบริเวณที่ฉีดหรือลุกลามไปยังบริเวณอื่น ๆ ได้ เช่น

                          • ใบหน้าแข็งทื่อ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป ทำให้ใบหน้าแข็งทื่อ ดูไม่เป็นธรรมชาติ และแสดงออกทางสีหน้าได้ยากขึ้น
                          • ใบหน้าไม่สมส่วน การฉีดฟิลเลอร์ในบางจุดมากเกินความพอดี อาจทำให้ใบหน้าไม่สมส่วน ดูบวม แหลม และแปลกไปจากเดิมได้ เช่น หน้าผากนูน ริมฝีปากดูหนาใหญ่ หรือคางแหลมเหมือนแม่มด
                          • ฟิลเลอร์เป็นก้อน เนื่องจากฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไป เกิดการจับตัวเป็นก้อนอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวไม่เรียบเนียนและมองเห็นเป็นก้อนได้อย่างชัดเจน
                          • ใบหน้าเบี้ยว ในกรณีรุนแรง มีความเสี่ยงสูงที่ฟิลเลอร์จะไปอุดตันในหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะขาดเลือด ส่งผลให้ใบหน้าเบี้ยวได้

                           

                          ฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป มีวิธีแก้ไขอย่างไร?

                          • ฉีดสลายฟิลเลอร์ เป็นทางเลือกแรกที่แพทย์จะพิจารณา ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์มาแล้วเกิดปัญหา ซึ่งแพทย์จะทำการฉีดสลายฟิลเลอร์เข้าไปในยังผิวหนัง โดยใช้เอนไซม์ไฮยาลูรอนิเดส (Hyaluronidase หรือ HYAL) สามารถย่อยสลายฟิลเลอร์ประเภท ไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) ได้ ซึ่งเอนไซม์ตัวนี้จะเข้าไปทำลายการยึดเกาะของเนื้อฟิลเลอร์ ทำให้ฟิลเลอร์เกิดการสลายตัว ส่งผลให้ผิวกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิมหรือใกล้เคียงเดิมมากที่สุด ซึ่งก่อนฉีดสลายฟิลเลอร์ ต้องแจ้งข้อมูลการฉีดฟิลเลอร์ก่อนหน้า ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด เพื่อให้แพทย์คำนวณปริมาณการใช้ยาสลายฟิลเลอร์ที่เหมาะสม ไม่กระทบเนื้อเยื่อส่วนอื่น ๆ
                          • ขูดฟิลเลอร์ สามารถใช้กับฟิลเลอร์ที่ไม่ใช่ประเภท ไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) ซึ่งใช้ในกรณีที่ฟิลเลอร์ไม่สามารถใช้การฉีดสลายได้ เมื่อขูดแล้ว ไม่สามารถนำฟิลเลอร์ออกได้หมด อาจนำออกได้เพียง 60 – 70%
                          • ผ่าตัด สามารถใช้กับฟิลเลอร์ประเภท ซิลิโคนเหลว ที่เป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์มานานจนเป็นพังผืดเกาะ ซึ่งการผ่าตัดไม่สามารถนำฟิลเลอร์ออกได้หมด เนื่องจากต้องระมัดระวังเส้นประสาทหรือเส้นเลือดสำคัญต่าง ๆ ในร่างกาย แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ

                          ฉีดฟิลเลอร์ที่ รมย์รวินท์คลินิก ดีกว่าอย่างไร?

                          • ทีมแพทย์มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญด้านการฉีดฟิลเลอร์โดยเฉพาะ สามารถคำนวณปริมาณในการฉีดฟิลเลอร์แต่ละจุดได้อย่างแม่นยำ
                          • วิเคราะห์รูปหน้าอย่างละเอียดด้วยเทคนิค Lifting Select เฉพาะที่ รมย์รวินท์คลินิก ได้แก่ Fame Selection ปรับโครงหน้าให้ดูอ่อนเยาว์, Light & Shadow Me เพิ่มมิติ เสริมจุดเด่นให้ใบหน้า และ Conceal Selection เผยงานผิว ปรับผิวฉ่ำวาว
                          • ใช้ฟิลเลอร์แท้ มีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ ที่นำเข้ามาจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกอย่างถูกต้อง สามารถตรวจสอบฟิลเลอร์ได้ทุกกล่องก่อนฉีด
                          • เลือกใช้ฟิลเลอร์ ที่ผ่านการรองรับมาตรฐานความปลอดภัยจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทั้งจากประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา
                          • รีวิวการฉีดฟิลเลอร์จากผู้ใช้บริการจริง สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน หลังฉีดให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ

                          ฉีดฟิลเลอร์แล้วหน้าเบี้ยว ฉีดฟิลเลอร์แล้วหน้าผิดรูป ซึ่งวิธีป้องกันปัญหาเหล่านี้ที่ดีที่สุด คือ การเลือกฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีประสบการณ์และคลินิกที่ได้มาตรฐาน รวมถึง เลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ได้รับการรับรองจาก อย. ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาเป็นอันดับแรก ก่อนจะตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ เพื่อลดโอกาสในการฉีดฟิลเลอร์เกินขนาด มากเกินความพอดี จนทำให้เสี่ยงหน้าเบี้ยวได้ สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยหรือสนใจฉีดฟิลเลอร์ สามารถเข้ามาปรึกษากับ รมย์รวินท์คลินิกได้เลย เพื่อให้แพทย์ประเมินผิวหน้าเบื้องต้น พร้อมเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะกับเรามากที่สุด ให้ผลลัพธ์ออกมาอย่างปลอดภัย และลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง

                          รู้ลึกทุกปัญหาสิว จัดการถึงต้นตอ

                          สิว คืออะไร

                          “สิว” เกิดจากอะไร ? รู้ลึกทุกปัญหาสิว จัดการถึงต้นตอ

                          ปัญหาสิวเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในหลายช่วงอายุ โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นที่มีฮอร์โมนพลุ่งพล่าน และสิ่งที่หลายคนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเกิดสิว คือ การเกิดสิวนั้นเกิดได้จากต่อมฮอร์โมนเพียงอย่างเดียว แต่ความเป็นจริงแล้วการเกิดสิว สามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย และสิวก็มีหลายประเภท ดังนั้นการแยกแยะสิวแต่ละประเภท จะช่วยให้เราเลือกวิธีการดูแล และการรักษาสิวได้อย่างเหมาะสม

                          วันนี้รวมย์รวินท์คลินิก เลยจะพาทุกคนไปเจาะลึกถึงต้นตอการเกิดสิว และตอบทุกปัญหาเกี่ยวกับสิวกันสิว คืออะไร

                          สิวคืออะไร ?

                          สิวเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยจากการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งเป็นผลมาจากการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันที่มากเกินไป รวมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้วและสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่บนผิว เมื่อรูขุมขนถูกอุดตัน จะกลายเป็นแหล่งที่แบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Cutibacterium Acnes (C. Acnes)เจริญเติบโต ส่งผลให้เกิดการอักเสบและเกิดสิวขึ้นมาในที่สุด และสิวส่วนมากมักจะเกิดบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น เช่น ใบหน้า หลัง หน้าอก และไหล่ ซึ่งเป็นบริเวณที่ผลิตน้ำมันออกมามากกว่าส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย รูปแบบของสิวนั้นสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะการเกิด

                          สิว เกิดจากอะไร

                          สิวเกิดจากอะไร ?

                          การเกิดสิวสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัยที่ทำให้รูขุมขนอุดตัน และเกิดการอักเสบ ซึ่งปัจจัยหลักของการเกิดสิว มีได้ดังนี้

                          การเกิดสิวจากการผลิตน้ำมันมากเกินไป (Sebum)

                          • เมื่อฮอร์โมนกระตุ้นการผลิตน้ำมันมากเกินไป จะทำให้เกิดปริมาณน้ำมันส่วนเกินที่ผิวไม่สามารถจัดการได้ และเมื่อผสานกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว จะทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิว

                          การเกิดสิวจากการอุดตันของรูขุมขน

                          • รูขุมขนเป็นช่องเปิดเล็ก ๆ ที่อยู่ในผิวหนัง ทำหน้าที่เป็นทางออกสำหรับน้ำมันและเหงื่อ เมื่อน้ำมันเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หรือสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่ไปอุดตันรูขุมขน ผิวจะไม่สามารถหายใจได้ ทำให้รูขุมขนอักเสบทำให้เกิดสิวได้

                          การเกิดสิวจากแบคทีเรีย (Propionibacterium acnes)

                          • เมื่อรูขุมขนอุดตัน แบคทีเรียจะสามารถเจริญเติบโตได้ในสภาพที่ไม่มีออกซิเจนภายในรูขุมขนที่อุดตัน โดยแบคทีเรียนี้สามารถปล่อยสารเคมีที่กระตุ้นการอักเสบ ทำให้เกิดสิวอักเสบได้

                          การเกิดสิวจากฮอร์โมน

                          • การเกิดสิวจากฮอร์โมนแอนโดรเจนโดยเฉพาะในวัยรุ่น และผู้หญิงในช่วงก่อนประจำเดือน มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ต่อมไขมัน ผลิตน้ำมันเยอะขึ้นทำให้เกิดการอุดตันและเกิดสิวได้ และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลต่อสิวไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในวัยรุ่นเท่านั้น แต่ยังเกิดได้ในวัยผู้ใหญ่ เช่น การตั้งครรภ์ หรือในช่วงวัยทอง ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกันการ

                          เกิดสิวจากปัจจัยทางพันธุกรรม

                          • การเกิดสิวจากพันธุกรรม เกิดได้หากคนในครอบครัวโดยเฉพาะพ่อแม่มีปัญหาสิวตั้งแต่วัยรุ่น ทำให้โอกาสที่รุ่นลูกจะมีปัญหาสิวก็สูงขึ้นตาม โดยพันธุกรรมอาจส่งผลต่อการทำงานของต่อมไขมัน และการตอบสนองของผิวต่อปัจจัยต่าง ๆ

                          การเกิดสิวจากการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสม

                          • บางครั้งการเกิดสิวก็สามารถเกิดขึ้นได้จากการใช้ผลิตภัณฑ์บางชนิด เพราะในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอางบางชนิดอาจมีส่วนผสมที่ทำให้รูขุมขนอุดตัน เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันเยอะๆ หรือสารซิลิโคน ที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อคนที่มีผิวมัน หรือผิวแพ้ง่ายอาจทำให้สิวกำเริบได้

                          การเกิดสิวจากความเครียด

                          • การเกิดสิวสามารถเกิดจากความเครียดได้ เนื่องจากความเครียดสามารถกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนที่สามารถกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้นได้ นอกจากนี้ความเครียดยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ส่งผลให้ผิวหนังมีความไวต่อการอักเสบและแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว และความเครียดระยะยาวยังอาจทำให้สิวเกิดขึ้นบ่อยและหายได้ช้าลง

                          การเกิดสิวจากการระคายเคืองจากสิ่งแวดล้อม

                          • การเกิดสิวสามารถเกิดจากการระคายเคืองจากสิ่งแวดล้อมได้ เช่น มลภาวะ ฝุ่น ควัน และสิ่งสกปรกในอากาศ สิ่งเหล่านี้สามารถสะสมบนผิวหนังก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขนได้ และการใส่หน้ากากอนามัยนาน ๆ โดยไม่มีการเปลี่ยนหรือทำความสะอาด อาจทำให้ผิวระคายเคืองและเพิ่มโอกาสการเกิดสิวในบริเวณที่สัมผัสได้ เช่น สิวบริเวณคางและกรอบหน้า เป็นต้น

                          สิว มีกี่ประเภท

                          สิวมีกี่ประเภท ?

                          การเกิดสิวบนใบหน้า หรือลำตัวเป็นปัญหาที่ทำให้หลายคนรู้สึกกังวลใจ ซึ่งสิวก็สามารถเกิดได้ในหลายช่วงวัยและเกิดได้ในหลายจุดบนร่างกาย สิวแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะและความต้องการในการดูแลรักษาที่แตกต่างกัน โดยสิวสามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท ดังนี้

                          สิวอุดตัน หรือสิวไม่อักเสบ (Comedone)

                          สิวอุดตันเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนที่ไม่ได้เกิดการอักเสบ ซึ่งมักเป็นผลมาจากการผลิตน้ำมันมากเกินไป และเซลล์ผิวที่ตายแล้วซึ่งสิวอุดตันแบ่งออกเป็น

                          • สิวหัวขาว (Closed Comedone) เป็นตุ่มที่เกิดจากการอุดตันในรูขุมขนที่ปิดอยู่ เมื่อสิ่งที่อุดตันอยู่ใต้ผิวหนัง จะปรากฏเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีขาว ส่วนนี้มักจะไม่เจ็บปวดและมีความเสี่ยงน้อยต่อการเกิดการอักเสบ
                          • สิวหัวดำ (Open Comedone) เป็นสิวที่รูขุมขนเปิดออก ทำให้อากาศทำปฏิกิริยากับน้ำมันและเซลล์ที่อุดตัน ทำให้มีสีดำสิวหัวดำมักเป็นสิวที่ดูมีลักษณะเด่นชัด และสามารถกำจัดได้ง่ายด้วยการทำความสะอาดผิว

                          สิวอักเสบ (Inflammatory Acne)

                          การเกิดสิวประเภทนี้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน ทำให้เกิดการอักเสบ โดยสิวอักเสบแบ่งออกเป็น

                          • สิวตุ่มนูนแดง (Papules) เป็นตุ่มเล็ก ๆ สีแดงที่มีอาการบวม แต่ยังไม่มีหนอง สิวตุ่มแดงมักมีอาการปวดและเป็นสัญญาณว่าเกิดการอักเสบ
                          • สิวหัวหนอง (Pustules) มีลักษณะเป็นตุ่มแดงที่มีหัวหนองสีขาวหรือเหลืองด้านบน สิวหัวหนองเป็นผลจากการอักเสบรุนแรงขึ้น ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด

                          สิวหัวช้าง (Nodules)

                          • สิวหัวช้างเกิดจากการอักเสบที่ลึกในชั้นผิวหนัง ซึ่งเริ่มจากการอุดตันของรูขุมขนที่เกิดจากการสะสมของน้ำมันส่วนเกินและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว มีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดใหญ่ แข็ง และเจ็บปวด อาการอักเสบที่ลึกและรุนแรงทำให้สิวชนิดนี้แตกต่างจากสิวชนิดอื่น และมักทำให้เกิดรอยแผลเป็น หรือหลุมสิวถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง

                          สิวซีสต์ (Cystic Acne)

                          • สิวซีสต์เป็นสิวที่รุนแรงที่สุด ปรากฏในรูปแบบของตุ่มใหญ่ที่ลึกลงไปในผิวหนังและเต็มไปด้วยหนอง มักมีอาการเจ็บปวดและมีแนวโน้มที่จะทิ้งรอยแผลเป็นถาวรมากกว่าสิวประเภทอื่น การรักษาอาจต้องใช้ยาต้านการอักเสบหรือการรักษาทางการแพทย์เพื่อจัดการกับปัญหานี้

                          สิวผด (Acne Mechanica)

                          • การเกิดสิวผดมักเกิดจากการเสียดสี หรือการระคายเคืองที่เกิดขึ้นบนผิวหนัง เช่น การใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น การใส่หมวก หรือการสัมผัสหน้าบ่อย ๆ มักมีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ ที่ไม่รุนแรงและอาจมีอาการคัน แต่หากไม่ดูแล อาจกลายเป็นสิวอักเสบได้

                          สิวจากฮอร์โมน (Hormonal Acne)

                          • การเกิดสิวจากฮอร์โมนมักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ในช่วงวัยรุ่น, การมีประจำเดือน, การตั้งครรภ์ หรือวัยหมดประจำเดือน มักเกิดบริเวณคางและกราม โดยมีทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบ สิวประเภทนี้อาจได้รับการดูแลด้วยการใช้ยาที่มีผลต่อฮอร์โมน

                          การแบ่งประเภทของสิวนั้น ช่วยให้เข้าใจถึงลักษณะและความรุนแรงของสิวแต่ละชนิด ซึ่งจะทำให้ผู้ที่เป็นสิว สามารถเลือกใช้วิธีการดูแลรักษาได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการรักษาและป้องกันการเกิดสิวในอนาคต

                           

                          การเกิดสิวในแต่ละช่วงอายุ

                          การเกิดสิวสามารถเกิดได้ในทุกช่วงอายุ ลักษณะของสิวในแต่ละช่วงวัยมักแตกต่างกันไปตามปัจจัยทางกายภาพและฮอร์โมน โดยสิวแต่ในแต่ละช่วงอายุมักเกิดได้มีดังนี้

                          • การเกิดสิวในวัยรุ่น (Teenage Acne) อายุ 12-20 ปี

                          สิวในวัยรุ่นเป็นสิวที่พบบ่อยที่สุด และมักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งเพิ่มขึ้นในช่วงวัยรุ่น จากการกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น เมื่อรูขุมขนถูกอุดตันด้วยน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้เกิดสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ โดยลักษณะสิวที่มักพบมากในวัยรุ่นจะเป็นสิวหัวขาว สิวหัวดำ สิวอักเสบและสิวหนอง มักพบมากบนใบหน้า หน้าอก และหลัง

                          • การเกิดสิวในวัยผู้ใหญ่ช่วงต้น (Early Adulthood Acne) อายุ 20-30 ปี

                          ในวัยนี้สิวยังคงเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจากรอบเดือน หรือการตั้งครรภ์ นอกจากนี้การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เหมาะสมหรือเครื่องสำอางที่อุดตันรูขุมขนก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดสิวในวัยนี้ได้เช่นเดียวกัน โดยลักษณะสิวที่มักพบมากในวัยนี้คือ สิวหัวดำ สิวอุดตัน สิวอักเสบ บางครั้งสิวในวัยนี้มักจะลึกลงไปในชั้นผิว และใช้เวลารักษานาน

                          • การเกิดสิวในวัยผู้ใหญ่ (Adult Acne) อายุ 30-40 ปี

                          สิวในวัยนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การทำงานของฮอร์โมนที่ไม่สมดุล, ความเครียดสะสม, การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว โดยวัยนี้สิวอาจไม่เกิดมากเท่าวัยรุ่น แต่ปัญหาสิวที่เกิดขึ้นมักใช้เวลารักษานานกว่า และอาจทิ้งรอยดำหรือรอยแผลเป็นได้ ลักษณะสิวที่มักพบในวัยนี้มักเป็นสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ และมักพบที่คางหรือกรอบหน้าเป็นส่วนใหญ่

                          • การเกิดสิวในวัย 40 ปีขึ้นไป (Mature Acne)

                          แม้ว่าคนอายุ 40 ปีขึ้นไปจะเริ่มมีปัญหาผิวจากการเสื่อมสภาพตามวัย แต่สิวยังสามารถเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะในผู้หญิงจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนลดลง ทำให้การผลิตน้ำมันในผิวที่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เหมาะสมยังอาจกระตุ้นให้เกิดสิวได้ โดยลักษณะสิวที่พบมักจะเป็นสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ มักเกิดบริเวณคาง และกรอบหน้า

                          ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว
                          5 ปัจจัยที่กระตุ้นการเกิดสิวซ้ำ

                          สิวสามารถเกิดขึ้นซ้ำได้ โดยสิวสามารถเกิดขึ้นซ้ำได้หลายครั้งจากการกระตุ้นผ่านปัจจัยต่างๆ และปัจจัยที่กระตุ้นการเกิดสิวมีหลายปัจจัย แบ่งออกได้หลักๆดังนี้

                          • สิวถูกกระตุ้นจากการกินอาหาร

                          การกินอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน เค้ก น้ำอัดลม หรืออาหารจานด่วน สามารถกระตุ้นการผลิตอินซูลิน ทำให้ระดับฮอร์โมนเพิ่มขึ้นจนเกิดสิวได้ รวมถึงการดื่มนมวัวหรืออาหารที่มีนมวัวก็อาจทำให้เกิดสิวได้เช่นกัน เนื่องจากฮอร์โมนในนมวัวอาจจะไปกระตุ้นการผลิตน้ำมันในผิวหนังจนเกิดสิวได้

                          • สิวถูกกระตุ้นจากการทำความสะอาดผิวไม่เพียงพอ

                          การล้างหน้าไม่สะอาดหรือล้างไม่ถูกวิธี สามารถทำให้มีสิวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากการล้างหน้าไม่สะอาดอาจทำให้เกิดการอุดตันบนใบหน้าจากเครื่องสำอางค์ที่ล้างไม่หมด ทำให้เกิดการสะสมอุดตันจนเกิดสิว แต่ถึงอย่างนั้นการทำความสะอาดใบหน้ามากเกินไปก็สามารถทำให้สิวเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน จากการที่ผิวระคายเคืองส่งผลให้ผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น

                          • สิวถูกกระตุ้นจากการสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ

                          การเอามือสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ หรือการบีบสิวโดยที่มือไม่สะอาด ทำให้เกิดการแพร่กระจายของแบคทีเรียและสิ่งสกปรกได้ ส่งผลให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น

                          • สิวถูกกระตุ้นจากยาบางชนิด

                          ในบางกรณีการใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ ยาต้านโรคซึมเศร้า หรือยาคุมกำเนิดบางประเภท เนื่องจากการใช้ยาบางชนิดมีผลต่อระบบฮอร์โมน หรือการทำงานของร่างกายที่เกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำมันของต่อมไขมัน และการตอบสนองของผิวหนัง จึงสามารถทำให้สิวกำเริบได้

                          • สิวถูกกระตุ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

                          การที่อากาศร้อนชื้นมักทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น ทำให้ผิวมันและเกิดสิว ในขณะที่อากาศหนาวแห้งก็อาจทำให้ผิวระคายเคือง และส่งผลต่อการเกิดสิวเช่นกัน

                          การเกิดสิวสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุ โดยแต่ละวัยจะมีปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดสิวแตกต่างกันไป เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน พฤติกรรมการดูแลผิว และปัจจัยทางสภาพแวดล้อม ดังนั้นการรักษาสิวควรพิจารณาตามสาเหตุของการเกิดสิวในแต่ละช่วงอายุอย่างเหมาะสม เพื่อการรักษาที่ถูกต้องไม่ให้สิวลุกลาม

                           

                          วิธีลดการเกิดสิว

                          การลดการเกิดสิว ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญในการดูแลสุขภาพผิว การมีผิวที่สะอาดจะเป็นส่วนหนึ่งในการลดการเกิดสิวได้ วันนี้รมย์รวินท์รวมวิธีการลดการเกิดสิวมาฝาก ดังนี้

                          1.รักษาความสะอาดของผิวหน้า การล้างหน้าควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะสมกับสภาพผิวเพื่อกำจัดสิ่งสกปรก น้ำมัน และเชื้อแบคทีเรียที่อาจก่อให้เกิดสิว รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ เพราะอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกเข้าสู่ผิวได้

                          2.เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวหน้า ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำมัน เลือกใช้เครื่องสำอางและครีมบำรุงที่ระบุว่า oil-free เพื่อไม่ให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิว และควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ทำให้เกิดการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์และน้ำหอม ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนและเหมาะสมกับผิว

                          3.ขจัดความมันในผิว การใช้โทนเนอร์หลังการทำความสะอาดผิวช่วยกระชับรูขุมขนและควบคุมความมัน ซึ่งจะช่วยลดโอกาสในการเกิดสิวได้

                          4.รักษาสุขภาพจากภายใน ควรดื่มน้ำมาก ๆ การดื่มน้ำช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย โดยแนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน

                          ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นการรับประทานอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุสูง เช่น ผักและผลไม้ ธัญพืช และไขมันดี เช่น อะโวคาโด
                          ควรนอนหลับอย่างเพียงพอ การนอนหลับที่เพียงพอไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟู แต่ยังช่วยให้ผิวมีโอกาสซ่อมแซมตัวเองในขณะที่คุณนอน โดยควรตั้งเป้าหมายในการนอนอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน

                          วิธีรักษาสิว

                          วิธีการรักษาสิว

                          การรักษาสิวในปัจจุบันมีหลากหลายวิธี ทั้งการใช้ยาและการรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ โดยแพทย์จะพิจารณาประเภทของสิว ความรุนแรง และลักษณะผิวของแต่ละบุคคล เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสม โดยวิธีต่อไปนี้เป็นวิธียอดนิยมในการรักษาสิว

                          1. การรักษาสิวด้วยยา

                          1.1 การใช้ยาทาภายนอกในการรักษาสิว
                          การใช้ยาทาภายนอกในการรักษาสิวเป็นวิธีที่ดี โดยเฉพาะสำหรับคนที่เป็นสิวที่ไม่รุนแรงหรือสิวในระยะแรกเริ่ม เช่น สิวอุดตัน สิวหัวขาว สิวหัวดำ และสิวอักเสบเล็กน้อย การใช้ยาทาภายนอกช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน ลดการอักเสบ และป้องกันการลุกลามของสิวได้

                          1.2 การใช้ยารับประทาน
                          การใช้ยารับประทานในการรักษาสิวสามารถแบ่งออกได้หลายแบบ เช่นการทานยาปฏิชีวนะบางอย่างที่ช่วยในการรักษาสิวอักเสบรุนแรง เนื่องจากยาบางชนิดสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบได้

                          หรือการใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อปรับสมดุลฮอร์โมน และลดการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมัน สำหรับผู้หญิงที่มีปัญหาสิวจากฮอร์โมน ทำให้ลดการเกิดสิว

                          ส่วนยาที่ใช้รักษาสิวรุนแรง เช่น สิวหัวช้างหรือสิวซีสต์ เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดการผลิตน้ำมันในต่อมไขมัน ต้องใช้อย่างระมัดระวัง และควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ผิวแห้งมาก ผิวลอก
                          ดังนั้นก่อนใช้ยารักษาสิว ไม่ว่าจะยาทาภายนอกหรือยารับประทานควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและได้รับรายการยาที่ต้องใช้จากคำสั่งแพทย์เพื่อป้องกันอันตราย หรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

                          2. การรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์

                          2.1 การใช้เลเซอร์ในการรักษาสิว

                          การใช้เลเซอร์รักษาสิว คือ การใช้พลังงานจากแสงเลเซอร์เพื่อช่วยลดการเกิดสิว และลดอาการอักเสบ โดยเลเซอร์ทำงานด้วยการเจาะลึกเข้าไปในผิวหนัง เพื่อลดปริมาณแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว และยังช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันในต่อมไขมัน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว นอกจากนี้ เลเซอร์ยังช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้รูขุมขนกระชับขึ้นและลดรอยสิว

                          2.2 แสงบำบัด (Light Therapy)

                          การรักษาสิวด้วยการใช้แสงบำบัดเป็นวิธีการใช้แสงสีต่าง ๆ เพื่อช่วยลดสิวและอาการอักเสบ โดยแสงบำบัดจะเน้นไปที่การฆ่าเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P. acnes) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวอักเสบ และช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันในต่อมไขมัน รวมถึงลดอาการบวมแดงที่เกิดจากสิว โดยแสงบำบัดมีหลายประเภทตามความยาวคลื่นของแสง ถือเป็นวิธีการที่มีความปลอดภัยและไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง

                          3. การรักษาด้วยวิธีทางธรรมชาติ

                          การรักษาสิวด้วยวิธีทางธรรมชาติ คือ การใช้สมุนไพรหรือวัตถุดิบจากธรรมชาติเพื่อลดการเกิดสิวและลดอาการอักเสบ โดยไม่ต้องใช้สารเคมีหรือยาที่มีผลข้างเคียง วิธีนี้เป็นที่นิยม เนื่องจากปลอดภัยและสามารถทำได้ง่ายที่บ้าน แต่อาจจะต้องใช้เวลารักษาที่นาน และต้องทำอย่างสม่ำเสมอ

                          4. การทำทรีทเม้นท์และหัตถการผิว

                          การทำทรีทเม้นท์และหัตถการผิวเป็นกระบวนการดูแล และฟื้นฟูผิวพรรณโดยใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น โดยทรีทเม้นท์มักเป็นการบำรุงผิวหรือฟื้นฟูอย่างล้ำลึก เช่น การมาสก์หน้าหรือการบำรุงด้วยวิตามิน

                          5. การดูแลผิวในชีวิตประจำวัน

                          การล้างหน้าควรทำเป็นประจำโดยใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน และไม่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน เพื่อช่วยขจัดสิ่งสกปรกและน้ำมันที่อาจทำให้เกิดสิว นอกจากนี้ ควรใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสมเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว แม้ว่าผิวจะมันก็ตาม ควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงที่ไม่เพิ่มน้ำมันในผิว เพื่อช่วยลดโอกาสการเกิดสิว

                          การรักษาสิวในปัจจุบันมีหลายวิธี ตั้งแต่การใช้ยาทาภายนอกและยารับประทาน ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น เลเซอร์และแสงบำบัด การเลือกวิธีรักษาควรพิจารณาตามสภาพผิวและความรุนแรงของสิว ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยของแต่ละบุคคล

                          การเกิดสิว เป็นปัญหาผิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน โดยมีสาเหตุหลักจากการผลิตน้ำมันที่มากเกินไป เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรก ซึ่งสิวสามารถแบ่งประเภทได้หลายประเภท และการรักษาสิวมีหลายวิธีเช่นเดียวกัน ดังนั้นการเลือกวิธีรักษาควรพิจารณาจากประเภทและความรุนแรงของสิว รวมถึงควรปรึกษาแพทย์ผู้มีความชำนาญการในการรักษาสิวเพื่อให้ได้วิธีที่เหมาะสมและปลอดภัยของแต่ละบุคคล

                          เตือน! ร้อยไหมหน้ากระตุก ยิ้มไม่ได้ตลอดชีวิต เพราะหมอเถื่อน

                          ร้อยไหม

                          เตือน! ร้อยไหมหน้ากระตุก ยิ้มไม่ได้ตลอดชีวิต เพราะหมอเถื่อน

                          เกิดเหตุการณ์สะท้านวงการความงามอีกครั้ง เมื่อผู้เสียหายรายหนึ่งออกมาเปิดเผยว่า หลังจากเข้ารับการร้อยไหมที่คลินิกชื่อดังแห่งหนึ่ง กลับประสบปัญหาหน้ากระตุก สั่นเกร็ง ปากเบี้ยว ใบหน้าผิดรูปอย่างรุนแรง และมีเส้นไหมทะลุออกมาจากผิวหน้านานกว่า 3 ปี ไม่สามารถยิ้มได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือ ก่อนทำการร้อยไหม ผู้เสียหายไม่ได้รับการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างเหมาะสม และไม่มีการใช้ยาชาระหว่างทำหัตถการ ทำให้รู้สึกเจ็บปวดและเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง

                          จากการตรวจสอบพบว่า แพทย์ที่ทำการร้อยไหมแล้วหน้ากระตุก ให้กับผู้เสียหายดังกล่าวเป็น “หมอเถื่อน” ไม่มีใบอนุญาตในการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ คลินิกไม่ได้มาตรฐาน ใช้เครื่องมือไม่สะอาด ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการรักษาที่ถูกต้อง ทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้รับบริการอย่างร้ายแรง เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึง มาตรฐานความปลอดภัยที่น่าเป็นห่วงของวงการคลินิกความงาม และเป็นการเตือนใจให้แก่ผู้รับบริการตระหนักถึงความสำคัญ ในการเลือกคลินิกความงามและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ตรง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์หน้ากระตุกลักษณะนี้ซ้ำรอย

                          ร้อยไหมผิด ชีวิตพัง! หน้ากระตุก ไหมโผล่ เพราะหมอเถื่อน

                          ร้อยไหม คืออะไร?

                          • การร้อยไหม คือ การใช้เข็มนำเส้นไหมละลายสอดเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อยกกระชับผิวหน้า แก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย และปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้นได้อย่างตรงจุด สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ
                          • นอกจากนี้ การร้อยไหมยังช่วยกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว พันรอบ ๆ แนวเส้นไหม ทำให้ผิวแข็งแรง อิ่มฟู และยืดหยุ่นมากขึ้น โดยปัจจุบันมีเส้นไหมให้เลือกหลากหลายชนิด เหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน แต่ละเคสจะต้องได้รับการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเลือกชนิดของเส้นไหมและเทคนิคที่เหมาะสม

                          ร้อยไหม จุดไหนได้บ้าง?

                          การร้อยไหม สามารถทำได้ในหลายจุดบนใบหน้า เพื่อแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกันไป โดยจุดที่นิยมร้อยไหมกันมากที่สุด ได้แก่

                          • แก้ม ยกกระชับแก้มที่หย่อนคล้อย เก็บกระเปาะแก้ม ทำให้ใบหน้าเรียวเล็ก
                          • หางตา คิ้ว ยกหางตาและคิ้ว แก้ไขปัญหาหนังตาตก คิ้วตก เพิ่มความเฉี่ยวคมให้ใบหน้า
                          • จมูก ปรับรูปทรงจมูก ทำให้สันจมูกดูโด่งขึ้น ปีกจมูกเล็กลง
                          • หน้าผาก ลดเลือนริ้วรอยบริเวณหน้าผาก ใช้ในกรณีที่เคสดื้อโบ
                          • กรอบหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก กรอบหน้าชัด มีมิติ
                          • มุมปาก ยกมุมปาก แก้ปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณมุมปาก
                          • เหนียง ลดเหนียง ลดคางสองชั้น ทำให้คอดูเรียวมากขึ้น

                          ผลข้างเคียงจากการร้อยไหม

                          • หลังจากการร้อยไหม ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยที่สุด คือ อาการบวม เขียวช้ำ ซึ่งเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้น จากการที่ร่างกายตอบสนองต่อการทำหัตถการ โดยทั่วไปอาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายไป ภายใน 7 – 14 วัน รวมถึง อาการตึงหลังร้อยไหม อ้าปากไม่ได้ ถือป็นอาการปกติและจะค่อยๆ ดีขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากรู้สึกว่า มีผลข้างเคียงที่ผิดปกติและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ไหมขาด ไหมทะลุ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้

                          ร้อยไหม

                          อันตรายจากการร้อยไหมกับหมอเถื่อน

                          • ติดเชื้อ เนื่องจากเครื่องมือหรืออุปกรณ์ไม่ได้รับฆ่าเชื้อ สถานที่ไม่สะอาด ไม่มีการทำความสะอาดหน้าก่อนทำหัตถการ รวมถึง หลังร้อยไหมแล้ว ไม่ดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ ส่งผลให้รอยแผลในบริเวณที่ร้อยไหม มีอาการบวมแดงและเจ็บปวดมากกว่าปกติ รวมถึง อาจมีหนองไหลออกมาจากรอยแผลได้
                          • อักเสบรุนแรง เมื่อเกิดการอักเสบรุนแรงในบริเวณที่ร้อยไหม เส้นประสาทรอบ ๆ อาจได้รับผลกระทบตามไปด้วย จนเกิดการระคายเคืองและส่งสัญญาณไปยังสมอง ทำให้ปัญหาใบหน้ากระตุกได้ หากมีการติดเชื้อร่วมด้วย จะยิ่งทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อระบบประสาทมากขึ้น
                          • เส้นไหมขาด เนื่องจากใช้เส้นไหมที่ไม่มีคุณภาพหรือเทคนิคในการร้อยไหมไม่ถูกวิธี ทำให้เส้นไหมขาดหรือทะลุได้ง่าย
                          • เส้นประสาทถูกทำลาย เนื่องจากเส้นไหมไปสัมผัสหรือทำลายเส้นประสาทใบหน้าโดยตรง ทำให้เกิดอาการชา อ่อนแรง หรือเคลื่อนไหวใบหน้าไม่ได้ตามปกติ
                            ใบหน้าผิดรูป เนื่องจากใช้เทคนิคในการร้อยไหมไม่ถูกต้อง แพทย์ไม่มีความเชี่ยวชาญ ทำให้ใบหน้าผิดรูป ไม่สมส่วน หรือเกิดรอยบุ๋มได้

                          ร้อยไหม

                          ร้อยไหมที่ไหนดี? เลือกคลินิกร้อยไหมอย่างไรให้ปลอดภัย?

                          • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ มีใบประกอบกิจการจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ภายในคลินิกควรมีความสะอาด อุปกรณ์ปลอดเชื้อ
                          • แพทย์มีความรู้ความสามารถด้านการร้อยไหมโดยเฉพาะ มีประสบการณ์ในการร้อยไหมมาอย่างยาวนาน เนื่องจากการร้อยไหมต้องอาศัยความละเอียดและความรู้ความเข้าใจในโครงสร้างใบหน้า ที่สำคัญ แพทย์ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพอย่างถูกต้อง
                          • ใช้เส้นไหมที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยแพทย์สามารถเลือกชนิดของเส้นไหมที่เหมาะสมกับปัญหา และสภาพผิวของแต่ละบุคคลได้อย่างเหมาะสม
                          • ติดตามผลหลังร้อยไหม โดยหลังร้อยไหมแล้ว ควรมีการนัดติดตามผลหลังทำเสมอ ซึ่งแพทย์ควรให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังการร้อยไหมอย่างใกล้ชิด ลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง
                          • รีวิวจากผู้ใช้บริการ สามารถดูรีวิวได้ทางช่องทางออนไลน์ เห็นผลการเปลี่ยนแปลงก่อนทำและหลังทำได้อย่างชัดเจน ทั้งในด้านของรูปภาพและการแสดงความคิดเห็น มีรีวิวในเชิงบวกมากกว่าเชิงลบ

                          การร้อยไหม ถือเป็นอีกหนึ่งหัตถการที่ได้รับความนิยม ในการแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ รูปหน้าไม่เรียวเล็กได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องผ่าตัด เห็นผลทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ การเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถด้านการร้อยไหมโดยตรง จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิวและโครงสร้างใบหน้าได้อย่างแม่นยำ รวมถึงเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เส้นไหมขาด หน้ากระตุก ใบหน้าผิดรูปได้

                          ขนคุดคืออะไร ? เกิดจากอะไร ?

                          ขนคุด

                          ขนคุดคืออะไร? เกิดจากอะไร? มีวิธีดูแลและรักษาอย่างไรบ้าง?

                          ขนคุด เป็นปัญหาผิวที่หลายคนกำลังพบเจอ โดยเฉพาะหลังจากการโกนหรือแว็กซ์กำจัดขน ส่งผลให้ผิวดูขรุขระ ไม่เรียบเนียนเหมือนเดิม จนทำให้หลายคนรู้สึกกังวลและขาดความมั่นใจ แต่เคยสงสัยกันไหมว่า ขนคุดเกิดจากอะไร? มีวิธีการดูแล รักษาอย่างไร? ไม่ให้กลับมาเป็นอีก ในบทความนี้ รมย์รวินท์คลินิก รวบรวมทุกวิธีที่สามารถแก้ปัญหาขนคุดมาให้แล้วค่ะ

                          เจาะลึก ขนคุด ผิวไม่เรียบ เกิดจากอะไร? มีวิธีแก้อย่างไร?

                          ขนคุด คืออะไร?

                          ขนคุด (Keratosis Pilaris) เป็นภาวะผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดการอุดตันบริเวณรูขุมขน สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย โดยขนคุดมีลักษณะเป็นตุ่มหรือจุดเล็ก ๆ เวลาลูบจะให้ความรู้สึกสาก ๆ ที่บริเวณผิวหนังคล้ายหนังไก่ ส่วนใหญ่มักพบในบริเวณที่มีผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น เช่น ต้นแขน ต้นขา และรักแร้

                          ขนคุด

                          ขนคุด เกิดจากอะไร?

                          • ขนคุด เกิดจากการสะสมของโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เคราติน (Keratin) ภายในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน เส้นขนไม่สามารถงอกออกมาได้ จนเกิดเป็นตุ่มเล็ก ๆ ขึ้นมา นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ส่งผลให้เกิดขนคุด ได้แก่
                            พันธุกรรม ซึ่งขนคุดสามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม หากมีบุคคลในครอบครัวเคยมีปัญหาขนคุดมาก่อน
                          • ผิวแห้ง ผู้ที่มีผิวแห้ง ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น ทำให้มีโอกาสเกิดขนคุดได้มากกว่าคนทั่วไป
                            สภาพอากาศ ในช่วงที่มีอากาศหนาว ยิ่งทำให้ผิวแห้ง ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้น จนอาการขนคุดรุนแรงขึ้นได้
                          • การกำจัดขน หากมีการกำจัดขนอย่างผิดวิธี เช่น การถอน แวกซ์ หรือโกน อาจทำให้เส้นขนขาดหรือตกค้างอยู่ในรูขุมขน จนเกิดขนคุดได้
                            การเสียดสีกับเสื้อผ้า หรือถูกกดทับซ้ำ ๆ บริเวณที่มีเส้นขน อาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง รูขุมขนอักเสบ ส่งผลกระทบให้เกิดขนคุดได้
                          • โรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง โรคเบาหวาน หรือโรคไทรอยด์ อาจทำให้ผิวหนังแห้ง จนเกิดขนคุดได้

                          ขนคุด เกิดขึ้นบริเวณไหนได้บ้าง?

                          • รักแร้ มักเกิดจากการกำจัดขนที่ไม่ถูกวิธีและการใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นเกินไป จนเกิดการเสียดสีและผิวหนังระคายเคือง ทำให้เกิดขนคุดได้
                          • แขนและขา เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีพื้นที่กว้าง มีการสัมผัสกับมลภาวะและสภาพอากาศเป็นประจำ ทำให้ผิวหนังแห้ง ไม่ชุ่มชื้น อาจทำให้เกิดขนคุดได้
                          • แผ่นหลัง เนื่องจากเป็นบริเวณใต้ร่มผ้า ผิวหนังเกิดการเสียดสีกับเสื้อผ้าบ่อย อาจส่งผลให้เกิดการอับชื้น จนเกิดขนคุดได้เช่นกัน
                          • จุดซ่อนเร้น เนื่องจากเป็นบริเวณที่ผิวบอบบางมากกว่าจุดอื่น ๆ ทำให้เกิดการอับชื้นและเสียดสีกับเสื้อผ้าได้ง่าย ส่งผลให้เกิดขนคุดได้
                          • ใบหน้าและแก้ม เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีขนอ่อน ๆ ขนาดเล็ก และรูขุมขนในปริมาณมาก ทำให้เกิดปัญหาการอุดตัน จนเกิดขนคุดได้ง่าย 
                          • หนวดเครา เป็นบริเวณที่สามารถเกิดขนคุดได้ หากโกนหนวดประจำ ยิ่งมีโอกาสเกิดขนคุดง่ายกว่าปกติ

                          ขนคุด

                          ขนคุด สามารถรักษาด้วยวิธีไหนได้บ้าง?

                          • บำรุงผิวให้ชุ่มชื้น เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
                          • สครับผิว เลือกสครับผิวที่อ่อนโยนส่วนผสมจากธรรมชาติ จะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตาย ทำให้ไม่เกิดการอุดตันในรูขุมขน แต่แนะนำให้หลีกเลี่ยงการสครับผิวที่แรงจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
                          • ประคบอุ่น เนื่องจากความร้อนจะช่วยเปิดรูขุมขน ทำให้เส้นขนงอกออกมาได้ง่ายขึ้น รวมถึงช่วยลดการอักเสบและการระคายเคืองรอบ ๆ รูขุมขนได้
                          • ใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เช่น มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือ กรดแล็กติก (Lactic Acid) ซึ่งจะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดการอุดตันของรูขุมขน
                          • เลเซอร์กำจัดขน อย่าง Yag Laser 1064 สามารถกำจัดและทำลายรากขนได้อย่างถาวร โดยที่ไม่ต้องถอนหรือโกนแบบผิดวิธี วิธีนี้เป็นการแก้ปัญหาขนคุด ลดผิวหนังไก่ ผิวไม่เรียบเนียนได้อย่างตรงจุด ยิ่งทำอย่างต่อเนื่อง ยิ่งลดโอกาสการเกิดขนคุดซ้ำได้

                          Yag Laser 1064 คืออะไร?

                          Yag Laser 1064 หรือ เลเซอร์กำจัดขนที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยความยาวของคลื่นแสงเลเซอร์ 1,064 นาโนเมตร ที่สามารถยิงลึกถึงรากขนได้โดยตรง ทำให้ขนหลุดร่วงไปพร้อมกับรากและไม่ทำให้ขนงอกใหม่ ทำได้หลากหลายบริเวณ แม้ในบริเวณที่มีผิวบอบบาง เช่น รักแร้ หนวด แขน ขา หรือแม้แต่บริเวณจุดซ่อนเร้น สามารถกำจัดขนและจบปัญหาขนคุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อ่อนโยนต่อผิว ไม่ทำให้ผิวไหม้หรือเบิร์น

                          Yag Laser 1064 เหมาะกับใคร?

                          • Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกำจัดขน ไม่ว่าจะเป็นขนบริเวณใบหน้า แขน ขา หรือจุดอื่น ๆ ของร่างกาย Yag Laser 1064 สามารถกำจัดขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                          • Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาขนคุด ผิวไม่เรียบเนียน
                          • Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับผู้ที่มีสีผิวไม่สม่ำเสมอ ต้องการเพิ่มความกระจ่างใสในบริเวณที่ทำ
                          • Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดเหงื่อ ระงับกลิ่นตัว
                          • Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลากำจัดขนด้วยตัวเอง
                          • Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย แพ้การกำจัดขนด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น แวกซ์ ครีมกำจัดขน

                          Yag Laser 1064 ดีกว่าการกำจัดขนวิธีอื่นอย่างไร

                          • Yag Laser 1064 สามารถยิงลึกถึงรากขนและทำลายเซลล์รากขนได้อย่างถาวร ทำให้ขนไม่กลับมางอกใหม่
                          • Yag Laser 1064 สามารถแก้ปัญหาขนคุด ตอขน และตุ่มหนังไก่ได้อย่างตรงจุด
                          • Yag Laser 1064 เหมาะกับทุกสภาพผิวและทุกสีผิว ไม่ว่าจะผิวขาวหรือผิวเข้มก็สามารถทำได้
                          • Yag Laser 1064 มีระบบ Cryogen Spray ระบบปล่อยไอย็นลงบนบริเวณผิวหนังระหว่างทำเลเซอร์ ทำให้สบายผิว ลดความรู้สึกเจ็บระหว่างทำ
                          • Yag Laser 1064 มีความปลอดภัย ได้รับการรองรับมาตรฐาน US FDA หรือ อย. อเมริกา หมดกังวลเรื่องผิวไหม้ ผิวเบิร์น
                          • Yag Laser 1064 สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว หลังทำเลเซอร์เพียงไม่กี่ครั้ง และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทำอย่างต่อเนื่อง
                          • Yag Laser 1064 มีความสะดวกสบาย ประหยัดเวลา ใช้เวลาในการทำไม่นาน เมื่อเทียบกับการกำจัดขนด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การถอน แวกซ์ หรือการใช้ครีมกำจัดขน

                          ขนคุด สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนดังนั้น การทำเลเซอร์กำจัดขน Yag Laser 1064 จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์สำหรับ ผู้ที่มีปัญหาขนคุด ผิวไม่เรียบเนียน ต้องการกำจัดขนแบบถาวร ไม่ต้องเสี่ยงกับวิธีการกำจัดขนแบบผิด ๆ เลเซอร์กำจัดขน Yag Laser 1064 สามารถช่วยได้ แค่ไว้ใจให้ รมย์รวินท์คลินิก ช่วยดูแล เพราะที่ รมย์รวินท์คลินิก เราทำหัตถการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกเคส จึงการันตีในมาตรฐานความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ บอกลาวงจรขนคุดซ้ำซากได้เลย

                          ฉี่หยด ปรากฏการณ์ปัสสาวะเล็ด ที่กลับมาทำลายความมั่นใจอีกครั้ง

                          ฉี่หยด

                          ฉี่หยด ปรากฏการณ์ปัสสาวะเล็ดครั้งใหญ่ ที่กลับมาทำลายความมั่นใจอีกครั้ง

                          เปิดประสบการณ์ความสยอง เฮี้ยนไม่หยุดจากตำนานเรื่องเล่าเขย่าขวัญของ ฉี่หยด ฉี่เล็ด ฉี่ไม่สุด พร้อมสานต่อ เสียงเพรียกแห่งกลิ่นฉุน ที่จะตามหลอกหลอนคุณไปทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน ฉี่หยดจะคอยเล็ดลอดออกมา พร้อมกับความอับชื้นและกลิ่นไม่พึงประสงค์รบกวน หลายคนอาจคิดว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่ปัญหาฉี่หยดกำลังค่อย ๆ กัดกินความสุขของคุณทีละนิด จนรู้สึกเหมือนถูกสาปให้ต้องทนทุกข์ทรมานกับปัญหานี้ไปตลอดชีวิต อย่าปล่อยให้ฉี่หยดเป็นเรื่องน่ากลัว และหลอกหลอนคุณไปนานกว่านี้ ต้องดูแลด่วน รีบจองตั๋วหยุด “ฉี่หยด” ให้สิ้นซากได้แล้ววันนี้ที่ รมย์รวินท์คลินิก

                          ปิดตำนานความหลอนของ “ฉี่หยด” ปัสสาวะเล็ดได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก

                          ปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะไม่สุด หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เป็นปัญหาหนักใจที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะหลังจากคลอดลูก กำลังเข้าสู่วัยทอง หรือผู้สูงอายุ เนื่องจากอายุที่มากขึ้น ระบบอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายก็เริ่มเสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา ซึ่งปัญหาปัสสาวะเล็ดส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในขณะที่เราไอ จาม หัวเราะ หรือยกของหนัก จนทำให้ปัสสาวะไหลซึมออกมาโดยไม่ตั้งใจ ไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลให้เกิดความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวัน และก่อให้เกิดความกังวลใจในการเข้าสังคม​อย่างมาก

                          ปัจจัยที่ทำให้เกิดฉี่หยด ปัสสาวะเล็ด

                          • อายุมากขึ้น ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้การทำงานของกระเพาะปัสสาวะเริ่มเสื่อมสภาพ บรรจุน้ำปัสสาวะได้น้อยลง และมีการบีบตัวมากขึ้น ส่งผลให้ปัสสาวะบ่อยและมีอาการปัสสาวะเล็ดตามมา
                          • อยู่ในวัยทองหรือหมดประจำเดือน เมื่อระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ส่งผลให้เนื้อเยื่อในช่องคลอดและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ รวมถึงสูญเสียความแข็งแรง ทำให้ควบคุมการปัสสาวะได้ยากขึ้น
                          • การคลอดลูก เนื่องจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานต้องทำงานหนักในระหว่างตั้งครรภ์และการคลอด ทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนและอ่อนแอลง จนไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะได้ดีพอ ส่งผลให้เกิดปัญหาปัสสาวะเล็ดได้
                          • น้ำหนักตัวมาก เนื่องจากไขมันส่วนเกินเข้ากดทับบริเวณท้องน้อย ทำให้เกิดการบีบตัวและส่งผลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ทำให้กล้ามเนื้อส่วนนี้ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะได้ ส่งผลให้ปัสสาวะเล็ดง่ายขึ้น
                          • การไอ จาม หัวเราะ ออกกำลังกาย หรือยกของบ่อย ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงดันในช่องท้อง ทำให้ปัสสาวะเล็ดออกมาได้ง่ายขึ้น

                          ฉี่หยด

                          ทางลัดกระชับช่องคลอด จบปัญหาฉี่หยด

                          • Emsella เก้าอี้ฟิต เฟิร์ม กระชับช่องคลอด Emsella เทคโนโลยีกระชับช่องคลอดสุดล้ำ ที่มาในรูปแบบของเก้าอี้ โดยเครื่อง Emsella จะปล่อยคลื่นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าเข้มข้นสูง HIFEM (High-Intensity Focused Electromagnetic) เข้าไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ให้เกิดการหดตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เปรียบเสมือนการออกกำลังกายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหรือการขมิบมากกว่า 11,200 ครั้ง ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ 28 นาที ทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแข็งแรงขึ้น กระชับช่องคลอด และแก้ปัญหาปัสสาวะเล็ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในร่างกาย มีความสะดวก รวดเร็ว เพียงแค่นั่งสบาย ๆ ผ่อนคลายบนเก้าอี้ก็สามารถบอกลาปัสสาวะเล็ดได้เลย

                          Emsella ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?

                          • Emsella ช่วยแก้ปัญหาอาการปัสสาวะเล็ด สามารถควบคุมการปัสสาวะได้ดีขึ้น
                          • Emsella ช่วยยกกระชับช่องคลอดให้เต่งตึง แก้ปัญหาภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน
                          • Emsella ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
                          • Emsella ช่วยเพิ่มความรู้สึกทางเพศ แก้ปัญหาช่องคลอดแห้ง
                          • Emsella ช่วยแก้ปัญหาอาการปวดเมื่อยบริเวณอุ้งเชิงกราน
                          • Emsella ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหลังคลอดให้กลับมาแข็งแรง

                          Thermiva เลเซอร์รีแพร์ กระชับช่องคลอด

                          • Thermiva เทคโนโลยีเลเซอร์ฟื้นฟูและกระชับช่องคลอด ทั้งภายในและภายนอก โดย Thermiva ใช้พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง RF (Radio Frequency) ที่มีความอ่อนโยนต่อผิวและบริเวณรอบจุดซ่อนเร้น ในการกระตุ้นให้เกิดความร้อนภายในเนื้อเยื่อของช่องคลอด ซึ่งความร้อนที่เกิดขึ้นจะอยู่ที่ประมาณ 42 – 45°C เป็นอุณหภูมิที่เหมาะสม ในการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในช่องคลอด จึงสามารถกระชับช่องคลอด ทำให้ช่องคลอดชุ่มชื้น และลดอาการปัสสาวะเล็ดได้อย่างตรงจุด ใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาที โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องเจ็บตัว หลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

                          Thermiva ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?

                          • Thermiva ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ช่องคลอด แก้ปัญหาช่องคลอดแห้งได้เป็นอย่างดี
                          • Thermiva ช่วยลดอาการปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
                          • Thermiva ช่วยกระชับช่องคลอด ทั้งผิวด้านในและด้านนอก แก้ปัญหาช่องคลอดหย่อนคล้อย
                          • Thermiva ช่วยเพิ่มความรู้สึกในการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้ชีวิตคู่มีความสุขมากขึ้น
                          • Thermiva ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน

                          ถึงเวลาแล้วที่เราจะดูแลสุขภาพช่องคลอด บอกลาปัสสาวะเล็ดแบบถาวร อย่าปล่อยให้ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ มาทำลายความมั่นใจในชีวิตประจำวันของคุณ ที่ รมย์รวินท์คลินิก พร้อมให้คุณสัมผัสประสบการณ์กระชับช่องคลอด ด้วยเทคโนโลยีที่หลากหลายและทันสมัย สามารถแก้ไขปัญหาปัสสาวะเล็ดได้ตั้งแต่ต้นเหตุ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน เพราะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่อีกต่อไป คุณสามารถมีสุขภาพช่องคลอดที่ดีขึ้นในระยะยาวได้ ไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก

                          เปิดโปง! รมย์รวินท์ คลินิกดังตัวต้นเรื่อง .. ทำไมดูเป็นคนหน้าเรียวจัง

                          ทำไมดูเป็นคนหน้าเรียวจัง

                          เปิดโปง! รมย์รวินท์ คลินิกดังตัวต้นเรื่อง #ทำไมดูเป็นคนหน้าเรียวจัง

                          เปิดมหากาพย์ #ทำไมดูเป็นคนหน้าเรียวจัง แฉคลินิกดัง ตัวสร้างเรื่อง ทำสาว ๆ หน้าเรียวเล็กแบบจัดเต็ม จนต้องกลับมาทำซ้ำ จะเป็นที่ไหนไปได้ นอกจากที่ Romrawin Clinic เจ้าของความลับหน้าเรียว ที่กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนแรงในสังคมตอนนี้
                          สืบเจอแล้วพบว่า มีสาว ๆ เป็นจำนวนมาก ที่ออกมาแชร์เรื่องราวและบอกเล่าประสบการณ์หลังจาก ทำสวยจนหน้าเรียวกับ ทีมแพทย์ของรมย์รวินท์คลินิก โดยทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หลังทำสวยเสร็จ หน้าเรียวเล็ก กรอบหน้าพุ่ง ดูเด็กลงขึ้นจริง ทำเอาหลาย ๆ คน สงสัย จนอยากรู้กันทั้งประเทศว่า เคล็ดลับหน้าเรียวที่กำลังถูกพูดถึงในตอนนี้มีกี่โปรแกรม? แล้วใช้โปรแกรมอะไรบ้าง? วันนี้ รมย์รวินท์ มีคำตอบมาให้แล้วค่ะ

                          บทสรุปของประเด็นร้อน #ทำไมดูเป็นคนหน้าเรียวจัง

                          ทำไมดูเป็นคนหน้าเรียวจัง

                          4 โปรแกรม ครบสูตรหน้าเรียว

                          Ulthera SPT โปรแกรมหน้าเรียว หน้ายกคูณสอง

                          • เทคโนโลยียกกระชับแบบ Original ด้วยคลื่นพลังงานอัลตราซาวนด์ (Focused Ultrasound) ที่มีความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง มีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ จำนวนมาก เรียงเป็นเส้นตรงคล้ายจุดไข่ปลา ขนาดประมาณ 1 mm. ทำให้เกิดความร้อนพลังงาน 60 – 70°C ซึ่งสามารถยิงได้อย่างแม่นยำ ลงลึกถึงชั้น SMAS ชั้นเดียวกับที่ทำการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า โดยจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ทำให้เกิดการหดตัว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทดแทนส่วนที่เสื่อมสภาพ ส่งผลให้ผิวยกกระชับ เรียบเนียน และเก็บกรอบหน้า ทำให้หน้าเรียวเล็ก นอกจากนี้ ยังมีหน้าจอแสดงให้เห็นชั้นผิวแบบ Real Time ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นความลึกของชั้นผิวหนังได้อย่างชัดเจน วางแผนการรักษาและยกกระชับได้อย่างมีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด

                          Oligio โปรแกรมหน้ายก ลดเหนียง

                          • เทคโนโลยียกกระชับ พร้อมลดไขมัน ด้วยคลื่นวิทยุ Monopolar RF ที่ปล่อยพลังงานความถี่ 6.78 MHz ซึ่งเป็นความถี่ที่ถูกออกแบบมา ให้สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวชั้นลึกได้ ทำให้เกิดพลังงานความร้อน 43°C เข้าไปช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวหนัง ให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ แก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับได้เป็นอย่างดี ทำให้ผิวเฟิร์ม เรียบเนียน และกรอบหน้าชัด อีกทั้ง ยังสามารถปล่อยพลังงานความร้อนลงลึกถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้ไขมันส่วนเกินบริเวณแก้มและเหนียงลดลง ส่งผลให้ใบหน้าเรียวเล็กขึ้นได้อีกด้วย

                          Thermage FLX โปรแกรมหน้าเด็ก เก็บไขมัน

                          • เทคโนโลยียกกระชับ ด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง Monopolar RF กระจายแบบวงกว้าง สามารถยิงลึกตั้งแต่ชั้นผิวหนังไปจนถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อน 45 – 70°C โดยเข้าไปแยกโมเลกุลน้ำออกจากคอลลาเจน ส่งผลให้คอลลาเจนหดตัว ผิวยกกระชับขึ้นทันที พร้อมกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวแน่น เฟิร์มกระชับในระยะยาว ลดริ้วรอย และทำให้หน้าเรียวขึ้นแบบเห็นได้ชัด รวมถึง สามารถลดไขมันสะสม โดยเฉพาะบริเวณแก้มและเหนียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                          Radiesse Plus โปรแกรมหน้าเป๊ะ กรอบหน้าชัด

                          • สารเติมเต็มกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ซึ่งแตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปที่มีส่วนประกอบเป็นหลักไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid – HA) โดย Radiesse Plus มีส่วนประกอบหลัก คือ แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Calcium Hydroxylapatite – CaHA), Sodium carboxy-methylcellulose (CMC) gel และ ยาชา (Lidocaine) ซึ่ง CaHA เป็นสารธรรมชาติที่พบได้ในกระดูกและฟันของเรา ออกแบบมาเพื่อเพิ่มปริมาตรความหนาแน่นของกระดูก ตัวยามีความยืดหยุ่นสูง เมื่อฉีด Radiesse Plus เข้าสู่ผิวหนัง CaHA จะทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้สร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ส่งผลให้ผิวมีความยืดหยุ่น ช่วยยกกระชับ เติมเต็มร่องลึก ปรับกรอบหน้า และทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรง

                          สำหรับใครที่อยากมีหน้าเรียว หน้าเล็ก ยกกระชับ แบบไม่ต้องขโมยความสวยใคร แค่มา รมย์รวินท์คลินิก ด้วยเทคโนโลยีที่หลากหลาย มีความทันสมัย สามารถตอบโจทย์ปัญหาผิวหน้าที่แตกต่างกันได้เป็นอย่างดี พร้อมทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เฉพาะด้าน สามารถวิเคราะห์และออกแบบรูปหน้าได้อย่างเหมาะสม ทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาดูเป็นธรรมชาติ หน้าเรียว หน้าวีอย่างมั่นใจ

                          ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นต่างกันอย่างไร ฉีดจุดไหนถึงจะปัง?

                          ฟิลเลอร์

                          เทรนด์อัปความสวยสำหรับสาว ๆ ที่กำลังมาแรงมากในตอนนี้ คงหนีไม่พ้นการฉีดฟิลเลอร์ เรียกได้ว่ากลายเป็นกระแสที่ได้รับความนิยมมากในหมู่วัยรุ่น ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ สามารถปรับรูปหน้าให้เป๊ะปังได้ตามใจ ไม่ว่าจะเป็นการเติมเต็มร่องลึก หรือปรับกรอบหน้าให้ดูเรียวเล็ก ทำให้ใบหน้าดูเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ ถือเป็นการแก้ไขปัญหาผิวหน้าได้อย่างตรงจุด
                          ปัจจุบันมียี่ห้อฟิลเลอร์ให้เลือกฉีดหลากหลายยี่ห้อ แต่สำหรับมือใหม่ที่พึ่งเข้าวงการฉีดฟิลเลอร์ จะรู้ได้อย่างไรว่า ควรฉีดฟิลเลอร์เนื้อแบบไหน ยี่ห้ออะไรที่จะเหมาะกับเรา ในบทความนี้ รมย์รวินท์ ได้รวบรวมทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือกฉีดฟิลเลอร์มาฝากแล้ว

                          อัปเดตฟิลเลอร์ 2024 แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น เลือกอย่างไรให้เหมาะกับหน้า

                          ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร?

                          ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid – HA) ที่ใช้ในการฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนังหรือชั้นใต้ผิวหนัง เพื่อแก้ไขปัญหาริ้วรอยและร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็น ร่องแก้ม ใต้ตา หรือริมฝีปาก รวมถึงการปรับรูปหน้าและยกกระชับผิวให้ดูอ่อนเยาว์ โดยฟิลเลอร์มีคุณสมบัติในการกักเก็บน้ำ คืนความชุ่มชื้นและยืดหยุ่นให้กับผิว ทำให้ผิวดูเรียบเนียน เด้ง และอิ่มฟู อีกทั้ง การฉีดฟิลเลอร์ยังสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ จึงมีความปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวหน้า

                          ฟิลเลอร์

                          เนื้อฟิลเลอร์มีกี่ประเภท?

                          • โดยทั่วไปแล้ว เนื้อฟิลเลอร์จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ตามความละเอียด ความหนาแน่น และความยืดหยุ่นของเนื้อฟิลเลอร์ ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีความเหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาผิวหน้าที่แตกต่างกัน

                          ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด

                          • มีลักษณะเป็นเนื้อเจลละเอียด บางเบา เหมือนกับน้ำ เหมาะสำหรับการฉีดฟิลเลอร์บริเวณที่มีผิวบาง เน้นงานผิว เติมความชุ่มชื้นให้ผิวฉ่ำวาว เช่น ใต้ตา ร่องน้ำตา หรือริมฝีปาก ซึ่งการฉัดฟิลเลอร์ประเภทนี้ จะให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่โป๊ะ ไม่แข็งจนเกินไป

                          ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม

                          • ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีลักษณะคล้ายเนื้อเจลเยลลี่ นุ่ม ไม่แข็ง และไม่เหลวเป็นน้ำ เหมาะสำหรับการฉีดฟิลเลอร์บริเวณที่ต้องการเติมเต็มร่องลึกต่าง ๆ เช่น ร่องแก้ม แก้มส้ม ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ประเภทนี้ จะช่วยเติมเต็มให้ผิวดูอิ่มฟู มีความยืดหยุ่น
                            ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง

                          ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง

                          • มีลักษณะเป็นเนื้อเจลที่มีความหนาแน่นสูง สามารถคงรูปได้ดี เหมาะสำหรับการฉีดฟิลเลอร์บริเวณที่ต้องการยกกระชับหรือต้องการให้ใบหน้าดูมีมิติ เช่น ขมับ กรอบหน้า และคาง ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ประเภทนี้ จะช่วยยกกระชับใบหน้าได้ดีและเพิ่มมิติให้กับใบหน้า

                          ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยเรื่องอะไร?

                          • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึกต่าง ๆ ให้ดูตื้นขึ้น ผิวหน้าอิ่มฟู
                          • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยปรับรูปหน้าให้สมดุลและมีมิติ
                          • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน รูขุมขนดูเล็กลง
                          • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยยกกระชับใบหน้า ลดความหย่อนคล้อย
                          • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น
                          • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว ดูสุขภาพดี
                          • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยปรับรูปทรงริมฝีปาก ทำให้ปากดูอวบอิ่มอย่างเป็นธรรมชาติ

                          ฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรก ควรเลือกฟิลเลอร์แบบไหน?

                          • การเลือกฉีดฟิลเลอร์ ให้เหมาะกับปัญหาที่ต้องการแก้ไขและบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์เป็นสิ่งสำคัญ โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาและเลือกฉีดฟิลเลอร์ให้เหมาะกับตำแหน่งนั้น ๆ รวมถึงพิจารณาสภาพผิวของเราด้วยว่า เหมาะสำหรับการฉีดฟิลเลอร์แบบไหน เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์แต่ละรุ่นก็มีคุณสมบัติและจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป

                          ปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข

                          • ร่องลึก ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีความหนาแน่นสูง เพื่อเติมเต็มร่องลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                          • ร่องตื้น ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีความละเอียด บางเบา เพื่อเติมเต็มริ้วรอยและทำให้ผิวชุ่มชื้น
                          • ผิวหย่อนคล้อย ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจน
                          • ปรับรูปหน้า ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีความแข็ง หนาแน่นสูง เพื่อปรับรูปหน้าให้ได้ตามต้องการ

                          บริเวณที่สามารถการฉีดฟิลเลอร์ได้

                          • ใต้ตา ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีความนิ่ม เพื่อไม่ให้เกิดการจับตัวเป็นก้อน
                          • ร่องแก้ม ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีความหนาแน่นและยืดหยุ่นสูง เพื่อแก้ปัญหาร่อ
                          • แก้มลึก ให้หน้าดูเด็ก อ่อนกว่าวัย
                          • ริมฝีปาก ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง เพื่อให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ

                          ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ แนะนำให้เลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์โดยเฉพาะ เพื่อจะได้วิเคราะห์ปัญหา ประเมินใบหน้า พร้อมเลือกฉีดฟิลเลอร์ได้อย่างตรงจุด ตอบโจทย์กับปัญหาที่ต้องการแก้ไขและลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียง

                          ฟิลเลอร์มีกี่ยี่ห้อ?

                          ปัจจุบันที่ Romrawin Clinic มีการฉีดฟิลเลอร์หลากหลายยี่ห้อ ซึ่งทุกยี่ห้อผ่านการรองรับมาตรฐาน อย. ไทย ดังนี้

                          • Juvederm ฟิลเลอร์จากประเทศอเมริกา
                          • Restylane ฟิลเลอร์จากประเทศสวีเดน
                          • Belotero ฟิลเลอร์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์
                          • Neauvia ฟิลเลอร์จากประเทศอิตาลี
                          • Definisse ฟิลเลอร์จากประเทศอิตาลี
                          • Art Filler ฟิลเลอร์จากประเทศฝรั่งเศส
                          • Volifil ฟิลเลอร์จากประเทศเกาหลี

                          ฟิลเลอร์

                          ฟิลเลอร์ Juvederm

                          • ฟิลเลอร์ Juvederm เป็นหนึ่งในแบรนด์ฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เนื่องจากเป็นฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพสูง ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Allergan จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งผลิตจากกรดไฮยาลูรอนิก (HA) เป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกายของเรา ทำหน้าที่อุ้มน้ำให้ผิว ใช้ในการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และปรับรูปหน้า โดยมีหลายรุ่นให้เลือก เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวหรือรูปหน้าที่แตกต่างกัน

                          ฟิลเลอร์ Juvederm ใช้เทคโนโลยีอะไร?

                          • Hylacross Technology เป็นเทคโนโลยีดั้งเดิม ช่วยให้เนื้อฟิลเลอร์มีความนุ่ม เรียบเนียน และมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณที่ต้องการความละเอียด สามารถกระจายตัวในผิวได้เป็นอย่างดี และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
                          • Vycross Technology เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อยอดจาก Hylacross ซึ่งผสานกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ที่มีโมเลกุลขนาดเล็กและใหญ่เข้าด้วยกัน ทำให้ฟิลเลอร์มีความคงตัวสูงและอยู่ได้นานขึ้น เหมาะสำหรับการเติมเต็ม และยกกระชับผิวหน้า

                          ฟิลเลอร์ Juvederm มีกี่รุ่น?

                          • Juvederm Ultra ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มและฟู จึงเหมาะสำหรับบริเวณต้องการเติมเต็มร่องลึกไม่มาก เช่น ร่องแก้มตื้น ๆ แก้มตอบ และเพิ่มวอลุ่มให้กับใบหน้า สามารถอยู่นานมากถึง 8 – 12 เดือน
                          • Juvederm Ultra Plus ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความหนาแน่นกว่า Juvederm Ultra สามารถคงรูปได้ดี จึงเหมาะสำหรับบริเวณที่ต้องการเติมเต็มร่องลึกและปรับรูปหน้า เช่น ขมับ ร่องแก้มลึก คาง สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
                          • Juvederm Voluma ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง หนาแน่นรองลงมาจาก Juvederm Volux สามารถนำมายกกระชับได้ดี จึงเหมาะสำหรับบริเวณที่ต้องการปรับรูปหน้า เช่น ขมับ คาง และใต้ตา สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน
                          • Juvederm Volift ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะสำหรับบริเวณที่มีผิวบาง เช่น แก้มตอบ ร่องแก้มที่ไม่ลึกมาก ริมฝีปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
                          • Juvederm Volbella ฟิลเลอร์ที่มีความนิ่ม จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยตื้น ๆ เช่น ริมฝีปาก ใต้ตา สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
                          • Juvederm Volite ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด บางเบา เน้นงานผิว จึงเหมาะสำหรับการทำ Skin Booster ให้ดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เช่น ฉีดทั่วหน้า ใต้ตา สามารถอยู่ได้นานถึง 8 – 12 เดือน
                          • Juvederm Volux เนื้อฟิลเลอร์มีความแข็ง หนาแน่น และคงรูปสูงกว่ารุ่นอื่น ๆ ในบรรดาฟิลเลอร์ Juvederm จึงเหมาะสำหรับการนำมาปรับโครงสร้างใบหน้า เช่น คาง ขมับ และใต้ตา สามารถอยู่นานมากถึง 18 – 24 เดือน

                          ฟิลเลอร์

                          ฟิลเลอร์ Restylane

                          • ฟิลเลอร์ Restylane ถือเป็นแบรนด์ฟิลเลอร์ชั้นนำระดับโลก เป็นที่รู้จักกันในวงการความงาม ซึ่งมีต้นกำเนิดจากประเทศสวีเดน ถูกพัฒนาโดยบริษัท Galderma ซึ่งฟิลเลอร์ Restylane ผลิตจากกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ทำหน้าที่กักเก็บน้ำ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและเรียบเนียน จึงเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมในการเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก ปรับรูปหน้า และสร้างความอ่อนเยาว์ให้กับผิว

                          ฟิลเลอร์ Restylane ใช้เทคโนโลยีอะไร?

                          • NASHA Technology เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ให้มีความบริสุทธิ์สูงและหนาแน่นสูง โดยไม่ใช้สารสกัดจากสัตว์ ทำให้ฟิลเลอร์สามารถคงรูปได้นาน ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ
                          • OBT Technology เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อยอดมาจาก NASHA มีความยืดหยุ่นสูงกว่า NASHA ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ทำให้ใบหน้าดูแข็ง

                          ฟิลเลอร์ Restylane มีกี่รุ่น?

                          • Restylane Classic ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความหนาแน่นสูง จึงเหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึกบริเวณที่มีผิวบาง เช่น ร่องแก้ม ริ้วรอบดวงตา และริมฝีปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
                          • Restylane Perlane Lyft ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความหนาแน่นและยืดหยุ่นสูง สามารถใช้ยกกระชับได้ดี จึงเหมาะสำหรับการยกกระชับผิวหน้าและปรับโครงสร้างใบหน้า เช่น แก้ม จมูก คาง และใต้ตา สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
                          • Restylane Refyne ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความหนาแน่นปานกลาง จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องริ้วรอยเล็ก ๆ จากการแสดงสีหน้า เช่น มุมปาก ร่องแก้ม สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
                          • Restylane Defyne ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน
                          • Restylane Kysse ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะสำหรับเติมเต็มริมฝีปาก เพิ่มความอวบอิ่ม และปรับรูปทรงปากให้ดูเป็นธรรมชาติ สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
                          • Restylane Vital ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด จึงเหมาะสำหรับการเติมความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้กับผิวชั้นตื้น รวมถึงบริเวณที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ เช่น แก้ม หน้าผาก และใต้ตา สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
                          • Restylane Vital Light ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด บางเบามากกว่ารุ่นอื่น ๆ ในบรรดาฟิลเลอร์ Restylane จึงเหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณชั้นผิวที่ตื้นมาก ๆ ผิวบอบบาง ต้องการความชุ่มชื้น เพิ่มความเรียบเนียนให้ผิว เช่น ริ้วรอยใต้ตา ริมฝีปาก สามารถอยู่นานมากถึง 6 – 12 เดือน
                          • Restylane Volyme ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะสำหรับการปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ เช่น แก้มตอบ สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน

                          ฟิลเลอร์

                          ฟิลเลอร์ Belotero

                          • ฟิลเลอร์ Belotero เป็นฟิลเลอร์คุณภาพสูงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Merz Pharmaceuticals ซึ่งผลิตจากกรดไฮยาลูรอนิก (HA) บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย ทำให้มีความปลอดภัยสูงและสามารถเข้ากันผิวได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึก ริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์

                          ฟิลเลอร์ Belotero ใช้เทคโนโลยีอะไร?

                          • CPM Technology (Cohesive Polydensified Matrix) เป็นเทคโนโลยีการผลิตที่ทำให้ฟิลเลอร์ Belotero มีความยืดหยุ่นและสามารถผสานเข้ากับผิวได้ดี โดยไม่ทำให้เกิดการเป็นก้อน จึงทำให้ผลลัพธ์ดูเนียนและเป็นธรรมชาติ สามารถใช้ในบริเวณที่ต้องการความละเอียด เช่น รอบดวงตาและริมฝีปาก

                          ฟิลเลอร์ Belotero มีกี่รุ่น?

                          • Belotero Intense เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นและหนาแน่นมากกว่ารุ่นอื่น ๆ ในบรรดาฟิลเลอร์ Belotero จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึกและปรับรูปหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ร่องแก้มลึก ร่องน้ำหมาก และเติมเต็มบริเวณผิวที่หย่อนคล้อย สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน
                          • Belotero Volume เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นสูง สามารถคงรูปได้ดี ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ จึงเหมาะสำหรับแก้ไขปัญหาใต้ตา เบ้าตาลึก และเติมเต็มบริเวณที่กระดูกยุบตัวได้อย่างตรงจุด เช่น ขมับ คาง และโหนกแก้ม สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน
                          • Belotero Revive เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด บางเบา มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวและกลีเซอรอล (Glycerol) ซึ่งช่วยรักษาความชุ่มชื้นในผิวได้ยาวนานขึ้น จึงเหมาะสำหรับบริเวณที่ต้องการฟื้นฟูผิว ผิวบาง ผิวแห้งกร้าน เช่น ใต้ตา ผิวหน้า ลำคอ และหลังมือ สามารถอยู่นานมากถึง 6 – 9 เดือน
                          • Belotero Balance เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่มปานกลาง จึงเหมาะสำหรับการเติมร่องลึกไม่มาก เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ริ้วรอยรอบปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 – 18 เดือน
                          • Belotero Soft เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด จึงเหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาริ้วรอยชั้นตื้น เช่น หางตา ใต้ตา สามารถอยู่นานมากถึง 6 – 12 เดือน
                          • Belotero Lips – Shape เป็นฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง ไม่ทำให้จับตัวเป็นก้อน จึงเหมาะสำหรับเพิ่มวอลุ่มให้ปากดูอวบอิ่มและแก้ปัญหามุมปากตก สามารถอยู่นานมากถึง 9 – 12 เดือน
                          • Belotero Lips – Contour เป็นฟิลเลอร์ที่เพิ่มความคมชัดให้ขอบปาก ปรับรูปทรงปาก ให้ปากดูมีมิติ มีความเป็นธรรมชาติ สามารถอยู่นานมากถึง 9 – 12 เดือน

                          ฟิลเลอร์

                          ฟิลเลอร์ Neauvia

                          • ฟิลเลอร์ Neauvia เป็นฟิลเลอร์รุ่นใหม่ที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัท Matex Lab จากประเทศอิตาลี จุดเด่นอยู่ที่เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีความปลอดภัยสูง ผลิตจากกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ที่สกัดจากกระบวนการหมักทางชีวภาพ ทำให้มีความบริสุทธิ์สูงและมีโอกาสเกิดการแพ้น้อย สามารถให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติและยั่งยืน

                          ฟิลเลอร์ Neauvia ใช้เทคโนโลยีอะไร?

                          • PEG Technology (Polyethylene Glycol) ใช้เทคโนโลยี PEG ในกระบวนการ Cross-linking ซึ่งเป็นการเชื่อมโมเลกุลของไฮยาลูรอนิก (HA) เข้าด้วยกัน ทำให้ได้เนื้อฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นและคงรูปได้ดี อีกทั้ง ยังมีการผสมผสานกรดอะมิโน ที่ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และเรียบเนียน นอกจากนี้ การใช้ PEG ยังช่วยลดการอักเสบหลังการฉีด ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือการแพ้ รวมถึง สามารถสลายไปเองได้ตามธรรมชาติ

                          ฟิลเลอร์ Neauvia มีกี่รุ่น?

                          • Neauvia Intense เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง หนาแน่น และยืดหยุ่นสูง มีไฮยาลูรอนิกสูง เน้นการปรับรูปหน้าให้ดูอิ่มฟู มีมิติ จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึก เช่น ร่องแก้ม จมูก และคาง สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
                          • Neauvia Stimulate เป็นฟิลเลอร์เนื้อที่มีความหนาแน่นกว่า Neauvia Hydro Deluxe เล็กน้อย มีส่วนผสมของ CaHA (Calcium Hydroxyapatite) ในปริมาณที่สูงกว่า Neauvia Hydro Deluxe เน้นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องมุมปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
                          • Neauvia Hydro Deluxe เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด มีความยืดหยุ่น มีส่วนผสมของไฮยาลูรอนิก (HA) ในปริมาณสูง เน้นฉีดงานผิว จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว แก้ไขปัญหาผิวแห้ง ขาดน้ำ ริ้วรอยตื้น ๆ สามารถอยู่มากนานถึง 6 – 9 เดือน

                          ฟิลเลอร์

                          ฟิลเลอร์ Definisse

                          • ฟิลเลอร์ Definisse เป็นฟิลเลอร์คุณภาพสูงจากประเทศอิตาลี ถูกพัฒนาโดยบริษัท Relife Company ซึ่งผลิตจากกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ที่มีคุณภาพสูง ช่วยในการกักเก็บน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว โดยฟิลเลอร์ Definisse มีจุดเด่นเรื่องเทคโนโลยีการผลิตเฉพาะ ที่จะช่วยพยุงผิว ยกกระชับ และปรับรูปหน้าได้อย่างปลอดภัย ทำให้ผิวเรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์

                          ฟิลเลอร์ Definisse ใช้เทคโนโลยีอะไร?

                          • XTR™ Technology (eXcellent Three-Dimensional Reticulation) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต ช่วยให้โมเลกุลของไฮยาลูรอนิก (HA) ผสานกันเป็นโครงสร้างที่แข็งแรงและยืดหยุ่นคล้ายร่างแห ทำให้ฟิลเลอร์คงรูปได้ดี ไม่ไหล ไม่เลื่อน และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ

                          ฟิลเลอร์ Definisse มีกี่รุ่น?

                          • Definisse Core เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความหนาแน่นสูงกว่ารุ่นอื่น ๆ ในบรรดาฟิลเลอร์ Definisse จึงเหมาะสำหรับเติมเต็มร่องลึก ยกกระชับใบหน้าปรับรูปหน้าให้ดูมีมิติ เช่น ขมับ กรอบหน้า และคาง สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน
                          • Definisse Restore เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่มกว่ารุ่น Definisse Core แต่ยังคงมีความแข็งปานกลาง จึงเหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก ปรับรูปหน้าให้ดูอิ่มฟู ลดความหย่อนคล้อยตามวัย เช่น ร่องแก้ม และมุมปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
                          • Definisse Touch เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด บางเบากว่ารุ่นอื่น ๆ ในบรรดาฟิลเลอร์ Definisse จึงเหมาะสำหรับผิวบอบบาง เติมเต็มร่องตื้น ๆ ปรับผิวให้เรียบเนียน ดูอิ่มน้ำ เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม และปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน

                          ฟิลเลอร์

                          ฟิลเลอร์ Art Filler

                          • Art Filler เป็นฟิลเลอร์จากประเทศฝรั่งเศส ผลิตโดยบริษัท Fillmed โดยเน้นการใช้กรดไฮยาลูรอนิก (HA) คุณภาพสูงในการผลิต ทำให้ Art Filler มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเข้ากับผิวของเราได้ดี ช่วยให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งทื่อ และปลอดภัย

                          ฟิลเลอร์ Art Filler ใช้เทคโนโลยีอะไร?

                          • TRI-HYAL Innovation เป็นนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของฟิลเลอร์ โดยใช้หลักการผสมผสานโมเลกุลไฮยาลูรอนิก (HA) 3 รูปแบบเข้าด้วยกัน ทำให้ฟิลเลอร์กระจายตัวได้อย่างเหมาะสม สร้างความยืดหยุ่นในเนื้อฟิลเลอร์ ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่จับตัวเป็นก้อน รวมถึง สามารถยึดเกาะกับผิวหนังได้เป็นอย่างดี

                          ฟิลเลอร์ Art Filler มีกี่รุ่น?

                          • Art Filler Fine Lines เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียดและบางเบาเป็นพิเศษ ทำให้สามารถเติมเต็มร่องตื้น ๆ ได้อย่างแนบเนียนและเป็นธรรมชาติ พร้อมปรับผิวให้เรียบเนียน อิ่มน้ำ และชุ่มชื้น จึงเหมาะสำหรับบริเวณที่ผิวบอบบาง เช่น รอบดวงตา ริมฝีปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
                          • Art Filler Universal เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง หนาแน่นและยืดหยุ่น จึงเหมาะสำหรับเติมเต็มร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
                          • Art Filler Volume เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความหนาแน่นมากที่สุด จึงเหมาะสำหรับเติมเต็มร่องลึก เช่น ขมับ แก้มส้ม กรอบหน้า สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน
                          • Art Filler Lips Soft เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มริมฝีปากให้ดูอิ่มฟูและเพิ่มความชุ่มชื้น สามารถอยู่นานมากถึง 3 – 6 เดือน
                          • Art Filler Lips เป็นฟิลเลอร์เนื้อที่มีความหนาแน่นมากกว่า Art Filler Lips Soft เล็กน้อย มีความเป็นธรรมชาติ จึงเหมาะสำหรับเพิ่มวอลุ่มและปรับรูปทรงให้ริมฝีปากได้ตามต้องการ สามารถอยู่นานมากถึง 3 – 6 เดือน

                          ฟิลเลอร์

                          ฟิลเลอร์ Volifil

                          • ฟิลเลอร์ Volifil เป็นฟิลเลอร์จากประเทศเกาหลี ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท BNC KOREA ซึ่งฟิลเลอร์ Volifil เป็นฟิลเลอร์ชนิดโมเลกุลเดียว (Monophasic) จึงเรียบเนียนไปกับผิว มีความยืดหยุ่นสูง สามารถคงตัวในผิวหนังได้ดี เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึกหรือปรับรูปหน้า

                          ฟิลเลอร์ Volifil ใช้เทคโนโลยีอะไร?

                          • HCCL™ Technology (High Concentration of Cross-Linking) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพิเศษที่ใช้ในการผลิต ทำให้ฟิลเลอร์มีความคงตัวสูงและมีความยืดหยุ่นดี สามารถปั้นทรงได้ง่ายตามต้องการ

                          ฟิลเลอร์ Volifil มีกี่รุ่น?

                          • Volifil Classic เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด บางเบา ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยตื้น ๆ เช่น รอบดวงตา บริเวณปาก สามารถอยู่นานมากถึง 9 – 12 เดือน
                          • Volifil Deep เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึก ยกกระชับ และปรับรูปหน้า เช่น ร่องแก้ม รวมถึงเติมปากให้อวบอิ่ม สามารถอยู่นานมากถึง 9 – 12 เดือน
                          • Volifil Sub-Q เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความหนาแน่นสูง สามารถคงรูปได้ดี จึงเหมาะสำหรับการปรับรูปหน้า เช่น คาง ขมับ และกรอบหน้า สามารถอยู่นานมากถึง 9 – 12 เดือน

                          การฉีดฟิลเลอร์ ถือเป็นการลงทุนกับใบหน้าที่คุ้มค่า ตอบโจทย์สำหรับสาว ๆ ที่อยากมีใบหน้าสวยเป๊ะ เพิ่มความมั่นใจแบบทุกมิติ แต่การฉีดฟิลเลอร์เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เนื่องจากแต่ละคนมีปัญหาผิวหน้าและบริเวณที่ต้องการฉีดไม่เหมือนกัน รวมถึง ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อและแต่ละรุ่นก็มี ทั้งจุดเด่นและคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ จะทำให้เราสามารถเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับใบหน้าและตรงตามความต้องการมากที่สุด นอกจากนี้ การเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์ที่มีประสบการณ์ ด้านการฉีดฟิลเลอร์ก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและตอบโจทย์กับปัญหาที่กังวลมากที่สุด

                          อันตราย! คลินิกเสริมความงามเถื่อน หวั่นหน้าพังตลอดชีวิต 

                          คลินิกเสริมความงาม

                          ข่าวการลักลอบเปิดคลินิกเสริมความงามเถื่อนโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงแอบอ้างตนเองว่าเป็นหมอโดยไม่มีใบประกอบวิชาชีพที่ถูกต้อง เป็นเหตุการณ์ที่พบได้บ่อยในสังคมปัจจุบัน ทั้งยัง ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด ตัวยาไม่ได้มาตรฐาน ไม่ผ่านการรองรับมาตรฐาน อย. หรืออาจเป็นของปลอม ซึ่งทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้บริการได้ ทั้งใบหน้าผิดรูป บิดเบี้ยว ตาบอด ผิวเน่าเปื่อย หรือเกิดการอักเสบจนติดเชื้อ ทำให้เป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้น การเลือกใช้บริการคลินิกเสริมความงามที่ปลอดภัยจึงเป็นสิ่งควรให้ความสำคัญที่สุด เพื่อลดโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงในอนาคต

                          ปัจจุบัน วงการคลินิกเสริมความงามเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีคลินิกเสริมความงามใหม่ ๆ เปิดขึ้นมาจนนับไม่ถ้วน จนทำให้ยากต่อการตัดสินใจใช้บริการ ซึ่งแต่ก่อนจะตัดสินใจ จะรู้ได้อย่างไรว่าคลินิกเสริมความงามไหนดี คลินิกเสริมความงามไหนปลอดภัย ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อกับการต้องเจอคลินิกเสริมความงามที่ไม่ได้มาตรฐาน วันนี้ รมย์รวินท์รวบรวมวิธีการเลือกคลินิกเสริมความงามอย่างไรให้ปลอดภัย เตรียมตัวสวยแบบมั่นใจกันได้เลย

                          คลินิกเสริมความงาม
                          เรื่องต้องรู้! วิธีเลือกคลินิกเสริมความงามให้ปลอดภัย ก่อนหน้าพังเพราะหมอเถื่อน

                          ทริคเลือกคลินิกเสริมความงามให้ปลอดภัย

                          • มีใบอนุญาตประกอบกิจการ ที่ถูกต้องตามกฎหมายจากกระทรวงสาธารณสุขหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการมีใบอนุญาตแสดงให้เห็นว่า คลินิกเสริมความงามนั้นผ่านการคัดกรองและตรวจสอบอย่างถูกต้อง มีคุณสมบัติครบถ้วน ทั้งในด้านความปลอดภัยและความพร้อมสำหรับการให้บริการ
                          • แพทย์มีใบประกอบวิชาชีพ ผ่านการรองรับจากแพทยสภาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งใบประกอบวิชาชีพเป็นหลักฐานยืนยันและการันตีถึงความรู้ความสามารถว่า แพทย์ท่านนั้น ผ่านการศึกษาอบรมมาอย่างถูกต้อง ทำให้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับคลินิกเสริมความงามและสร้างความปลอดภัยแก่ผู้รับบริการ
                          • ราคา แนะนำให้ลองเปรียบเทียบราคาของคลินิกเสริมความงามหลาย ๆ ที่ ไม่ควรเลือกคลินิกเสริมความงามที่มีราคาถูกเกินไป เพราะยิ่งถูกยิ่งมีความเสี่ยงสูง อาจทำให้ได้รับตัวยาและบริการที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐาน
                          • ตัวยาแท้ ได้รับมาตรฐาน คลินิกเสริมความงามที่ได้รับมาตรฐาน ต้องสามารถตรวจสอบตัวยาก่อนใช้ได้ว่า เป็นของแท้หรือไม่ ซึ่งตัวยาต้องผ่านการรองรับจาก อย. ทั้งในประเทศไทยหรือต่างประเทศ เช่น US FDA หรือ อย.อเมริกา
                          • สถานที่สะอาด ปลอดเชื้อ ถูกสุขลักษณะทุกขั้นตอน เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้รับมาตรฐาน เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้รับบริการ
                          • รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง แน่นอนว่ารีวิวก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การดูรีวิวจากผู้ใช้บริการคนอื่น ๆ จะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ทั้งในแง่ของผลลัพธ์ การบริการ และความพึงพอใจหลังทำ

                          ทำไมต้องทำสวยที่ Romrawin Clinic

                          • ดูแลโดยทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ รมย์รวินท์คลินิก มีประสบการณ์ในวงการคลินิกเสริมความงามมาอย่างยาวนานกว่า 21 ปี ทำให้เข้าใจความต้องการและปัญหาของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง พร้อมด้วยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ ผ่านการฝึกฝนและอบรมอยู่ตลอดเวลา สามารถให้คำปรึกษาและประเมินสภาพผิวอย่างเหมาะสมกับแต่ละบุคคล ก่อนการทำหัตถการทุกครั้ง
                          • อัปเดตเทรนด์ความงามอยู่เสมอ เนื่องจากเทรนด์ความงามมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ที่ รมย์รวินท์คลินิก ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำด้านความงาม แต่ยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาความรู้และอัปเดตเทรนด์อยู่สม่ำเสมอ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การดูแลผิวและรูปร่างที่เหนือกว่า
                          • เทคโนโลยีหลากหลาย หัตถการครบวงจร ที่ รมย์รวินท์คลินิก เรานำเข้าเทคโนโลยีต่าง ๆ จากทั่วทุกมุมโลก ทำให้สามารถตอบโจทย์ทุกปัญหาที่ลูกค้ากังวล เช่น รักษาสิว ปรับรูปหน้า ยกกระชับ ฟิลเลอร์ กำจัดขน หรือแม้แต่การดูแลรูปร่างและสัดส่วน เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีที่สุด
                          • มาตรฐานความปลอดภัยสูง มั่นใจได้ในทุกขั้นตอน เพราะที่ รมย์รวินท์คลินิก ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง โดยเลือกใช้แบรนด์ชั้นนำที่มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับในระดับโลก อย่าง Juvederm, Restylane, Ulthera หรือ Coolsculpting ได้รับการรองรับมาตรฐานจาก อย. ไทย หรือ อย. อเมริกา (US FDA) ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูง
                          • บรรยากาศเป็นส่วนตัว พนักงานทุกคนให้บริการอย่างเป็นมืออาชีพ มีความเป็นส่วนตัวและใส่ใจในรายละเอียด และให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด ทำให้รู้สึกผ่อนคลายตลอดการใช้บริการ
                          • มีสาขาทั่วประเทศ สามารถเข้าถึงได้ง่าย ทำให้สะดวกต่อการเดินทาง ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถเข้ารับบริการได้อย่างรวดเร็ว
                          • มีโปรโมชันดี ๆ ตลอดทั้งปี อัปเดตโปรโมชันใหม่ ๆ ในทุกเดือน เปลี่ยนลุคใหม่ให้คุณสวยแบบคุ้มค่า สามารถเข้าถึงหัตถการที่มีคุณภาพ ในราคาที่จับต้องได้ มีให้เลือกหลากหลายโปรแกรม
                          • รีวิวจากลูกค้าจำนวนมาก รมย์รวินท์คลินิก ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีเสียงตอบรับที่ดี ทั้งในด้านผลลัพธ์และการบริการที่น่าพึงพอใจ

                          สรุป
                          อยากสวย อยากดูดีแบบมั่นใจ ได้ผลลัพธ์ปัง ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายหรือเสี่ยงทายผลลัพธ์ แค่เลือก รมย์รวินท์คลินิก เราพร้อมดูแลให้คุณสวยขึ้นอย่างปลอดภัย ด้วยบริการและเทคโนโลยีที่ครบครัน ไม่ว่าคุณจะมีปัญหาผิวหน้า ริ้วรอย ความหย่อนคล้อย หรือรูปร่างแบบไหน ก็สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณได้ ครบจบในที่เดียว

                          หมูเด้ง น่ารัก น่าเอ็นดู ถ้าอยากผิวเด้งแบบหมูเด้ง ฟังทางนี้

                          หมูเด้ง

                          เคล็ดลับงานผิวเด้ง ฉ่ำโกลว์ แบบ “น้องหมูเด้ง”

                          หมูเด้งฟีเวอร์ นาทีนี้ใครจะอดใจไหว! กับความน่ารักของน้องหมูเด้ง ฮิปโปแคระตัวน้อย ดาวเด่นประจำสวนสัตว์เปิดเขาเขียวศรีราชา จ. ชลบุรี ที่กำลังกลายเป็นไวรัลปรากฏการณ์ระดับโลก ทั้งสื่อในประเทศและต่างประเทศ ต่างพร้อมใจกันรายงานข่าวและนำภาพของน้องหมูเด้งมาทำเป็นมีมกันอย่างสนุกสนาน

                          มัดรวม 4 โปรแกรมผิวเด้งแบบ น้องหมูเด้ง ที่ รมย์รวินท์คลินิก

                          ทำความรู้จักกับ น้องหมูเด้ง

                          น้องหมูเด้ง ลูกฮิปโปแคระ เพศเมีย เกิดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ปี 2567 แม่ชื่อโจนา อายุ 25 ปี พ่อชื่อโทนี่ อายุ 24 ปี ซึ่งชื่อ หมูเด้ง มาจากการเปิดโหวตของทางสวนสัตว์เปิดเขาเขียว มีให้เลือกทั้งหมด 3 ชื่อ ได้แก่ หมูเด้ง, หมูแดง และหมูสับ ซึ่งมีผู้โหวตมากถึง 20,000 คน

                          โดยน้องหมูเด้งเป็นลูกฮิปโปตัวที่ 7 ของสวนสัตว์เปิดเขาเขียว หลังจากมีคลิปและภาพความน่ารักของน้องหมูเด้งในเพจ ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง ถูกเผยแพร่ออกไป ก็กลายเป็นไวรัลขึ้นมาทันที เนื่องจากพฤติกรรมแสนน่ารัก ซุกซน ท่าทางเคลื่อนไหวที่เด้ง ดึ๋ง ดีด ของน้องหมูเด้ง ทำให้หลายๆ คนโดนตกและใจฟูทุกครั้งที่ได้เห็นน้อง

                          นอกจากพฤติกรรมที่น่ารักและซุกซนของน้องหมูเด้งแล้ว ผิวเด้ง ผิวเงา และกลาสสกินก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ซึ่งล่าสุดน้องหมูเด้งได้รันวงการความงามเป็นที่เรียบร้อย กับเทรนด์ผิวเด้ง ผิวกระจก ฉ่ำวาว อิ่มน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เราจะสู้น้องหมูเด้งได้ในตอนนี้ ก็คงต้องเอาผิวเด้งเข้าสู้! รมย์รวินท์คลินิก ได้รวบรวมโปรแกรมงานผิวเด้ง งานผิวฉ่ำ พร้อมให้คุณมีผิวสวย สุขภาพดี ออร่าจับเหมือนน้องหมูเด้งมาให้แล้วค่ะ

                          หมูเด้ง รวม 4 โปรแกรมผิวเด้งแบบน้องหมูเด้ง

                          ผิวเด้ง แบบหมูเด้งด้วย Radiesse

                          • ผิวเด้งแบบหมูเด้งด้วย Radiesse นวัตกรรมกระตุ้นคอลลาเจนที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในตอนนี้ ผลิตโดยบริษัท Merz Aesthetics บริษัทชั้นนำผู้ผลิตนวัตกรรมความงามระดับโลก
                          • โดย Radiesse มีส่วนประกอบหลักที่ทำให้ผิวเด้ง แข็งแรง คือ CaHA (Calcium Hydroxylapatite) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกายของเรา สามารถพบได้ในเนื้อเยื่อกระดูกและฟัน มีลักษณะเป็นทรงกลม ขนาด 24 – 25 ไมครอน
                          • Radiesse มีจุดเด่นในการกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว พร้อมกระตุ้นการสร้างเส้นใยตาข่ายตรึงผิว ทำให้ผิวแข็งแรง มีความเด้ง มีความชุ่มชื้น นุ่มฟู มีความหนาแน่นขึ้น และดูอ่อนเยาว์ขึ้น
                          • ซึ่งผลลัพธ์การฉีด Radiesse สามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปี เนื่องจากสาร CaHA จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวเนียนเด้ง ชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้

                          Sculptra

                          • ผิวเด้งแบบหมูเด้งด้วย Sculptra นวัตกรรมกระตุ้นคอลลาเจนจากบริษัท Galderma Laboratories, L.P. เป็นอีกหนึ่งหัตถการที่ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน
                          • โดยมีส่วนประกอบหลัก คือ PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์จากธรรมชาติตัวแรกของโลก ที่ได้จดสิทธิบัตรเฉพาะของบริษัท Galderma มีลักษณะเป็นอนุภาคขนาดเล็ก
                          • เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวจะไปกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทดแทนคอลลาเจนที่สูญเสียไปเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งมีงานวิจัยรองรับว่า Sculptra สามารถสร้างคอลลาเจนได้มากถึง 66.5% ทำให้ผิวแน่น กระชับ ผิวเด้ง ดูอิ่มฟู และโครงสร้างผิวดูแข็งแรง
                          • โดยสามารถฉีดในบริเวณที่มีริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ และขาดความยืดหยุ่นได้ ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน ไม่ต้องเสียเวลาฉีดบ่อยๆ ฉีด 1 ครั้ง สามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปี

                          Belotero Revive

                          • ผิวเด้งแบบหมูเด้งด้วย Belotero Revive ฟิลเลอร์กลุ่ม Skin Booster จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผลิตโดยบริษัท Merz Aesthetics ซึ่งเป็นฟิลเลอร์รุ่นแรกและรุ่นเดียวของโลก
                          • มีการผสมกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) และ กลีเซอรอล (Glycerol) เข้าด้วยกัน พัฒนาขึ้นมาเพื่อเน้นการฟื้นฟูผิวโดยเฉพาะ
                          • สามารถกักเก็บความชุ่มชื้น นุ่นลื่น เนียนและผิวเด้งได้ดีกว่าฟิลเลอร์รุ่นอื่นๆ ทำให้ผิวอิ่มน้ำ ผิวฉ่ำวาวแบบกลาสสกิน ล็อกความชุ่มชื้นไว้ได้ยาวนาน พร้อมกระชับรูขุมขนและเพิ่มวอลุ่มให้ผิวเด้ง
                          • เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ และแต่งหน้าไม่ติด ซึ่งหลังฉีด 1 ครั้ง สามารถอยู่ได้นานถึง 9 เดือน

                          Skinvive

                          • ผิวเด้งแบบหมูเด้งด้วย Skinvive เทคโนโลยีงานผิวตัวใหม่จากบริษัท Allergan ผู้ผลิตฟิลเลอร์ชื่อดัง Juvederm มีส่วนประกอบของกรดไฮยาลูรอนิก ไมโครดรอปเล็ต (Microdroplets of Hyaluronic Acid) ที่พิเศษกว่ากรดไฮยาลูรอนิกทั่วไป ซึ่งมีความเข้มข้นสูง
                          • โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การเป็น Skin Booster ช่วยให้ผิวแข็งแรง และเด้งฟูจากภายใน เติมเต็มความชุ่มชื้นเข้าสู่ผิวอย่างล้ำลึก ทำให้ผิวเด้ง อิ่มน้ำ ฉ่ำวาว พร้อมกระชับรูขุมขนให้ผิวเรียบเนียน แต่งหน้าติดทนมากขึ้น
                          • โดยสามารถฉีดในบริเวณที่มีปัญหารูขุมขน ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น เช่น หน้าแก้ม หน้าผาก หรือใต้ตา ซึ่งการฉีด Skinvive 1 ครั้ง สามารถอยู่ได้นานถึง 6 – 9 เดือน หลังจากนั้น แนะนำให้กลับมาฉีดซ้ำ เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

                          สำหรับใครที่อยากมีผิวเด้งแบบน้องหมูเด้ง บอกเลยห้ามพลาดกับ 4 โปรแกรม ทั้ง Radiesse, Sculptra, Belotero Revive และ Skinvive ต้องที่ รมย์รวินท์คลินิก เท่านั้น ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็มีเทคโนโลยีและจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป หากยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกทำโปรแกรมไหนดี แนะนำให้ลองปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนได้เลยเพื่อให้แพทย์ประเมินและวิเคราะห์ปัญหาผิวหน้าอย่างตรงจุด รับรองไม่ว่าทำโปรแกรมไหน ก็เตรียมมีผิวเด้ง ผิวฉ่ำวาว สู้น้องหมูเด้งได้แน่นอน

                          Thermage FLX vs Ulthera SPT ตัวช่วยยกกระชับต่างกันอย่างไร?

                          ยกกระชับ

                          Thermage FLX vs Ulthera SPT ตัวช่วยยกกระชับต่างกันอย่างไร

                          ในปี 2024 นี้นวัตกรรมการยกกระชับมีมากมายหลากหลายเครื่องอย่างมาก แต่นวัตกรรมการยกกระชับยอดฮิตติดอันดับตลอดกาลคงหนีไม่พ้น Thermage FLX vs Ulthera SPT 2 นวัตกรรมยกหน้าตึงดึงผิวกระชับระดับท็อปของวงการความงามมาอย่างต่อเนื่องหลายปี และยังนวัตกรรมการยกกระชับที่เหล่า ดารา คนดัง และเซเลปเลือกไว้ใจให้ดูแลเรื่องยกกระชับผิวหน้าอีกด้วย

                          วันนี้รมย์รวินท์คลินิกจะมาแนะนำ Thermage FLX vs Ulthera SPT ว่าแตกต่างกันอย่างไร ? เลือกยกกระชับตัวไหนดี? ผลลัพธ์แตกต่างกันอย่างไร? ทุกคำตอบของ Thermage FLX vs Ulthera SPT อยู่ที่บทความนี้เท่านั้น มาหาคำตอบไปพร้อมกันค่ะ

                          Thermage FLX vs Ulthera SPT ศึกแห่งความงาม! ยกกระชับผิวตัวไหนดีแตกต่างกันอย่างไร

                          thermage vs ulthera
                          ทำความรู้จักชั้นผิวการทำโปรแกรมยกกระชับ

                          รู้จักชั้นผิวของเราก่อนทำ Thermage FLX vs Ulthera SPT

                          ก่อนที่จะเลือกยกกระชับ Thermage FLX vs Ulthera SPT เราต้องมีความเข้าใจกับชั้นผิวหนังก่อน เพราะการทำ Thermage FLX และ Ulthera SPT พลังงานลงสู่ชั้นผิวหนังที่แตกต่างกัน โดยปกติชั้นผิวหนังของเรานั้นจะประกอบไปด้วย 4 ชั้นหลักด้วยกัน คือ ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis), ชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Subcutis)

                          • ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) เป็นผิวหนังชั้นนอกที่ทำหน้าที่คอยปกป้องผิวจากมลพิษ แบคทีเรีย เชื้อรา และป้องกันการสูญเสียน้ำของผิว
                          • ชั้นหนังแท้ (Dermis) เป็นผิวหนังชั้นที่มีความหนาแน่นและมีความยืดหยุ่น ประกอบไปด้วยคอลลาเจน (Collagen) และ อีลาสติน (Elastin) ทำหน้าที่ช่วยให้ผิวดูสวยสุขภาพดี แลดูอ่อนเยาว์ ยืดหยุ่นและดูผิวเต่งตึงมากขึ้น
                          • ชั้นไขมัน (Subcutis) เป็นชั้นที่อยู่ด้านในสุดของชั้นผิว ที่ประกอบไปด้วยเซลล์ไขมัน โปรตีนคอลลาเจน และหลอดเลือดต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันการกระแทกอวัยวะภายในและคอยกักเก็บพลังงานอีกด้วย
                          • ชั้น SMAS (Superficial Musculo Aponeurotic System) เป็นชั้นของเนื้อเยื่อที่แนบติดชั้นกล้ามเนื้อ และชั้นไขมันบนใบหน้า มีหน้าที่ห่อหุ้มกล้ามเนื้อของใบหน้า และทำหน้าที่พยุงโครงสร้างผิวให้กระชับ

                          หากชั้นผิวทั้ง 4 ชั้นมีประสิทธิภาพที่เสื่อมลงจากการโดนทำร้ายจากมลภาวะและแสงแดด หรือผิวเสื่อมประสิทธิภาพลงอันเนื่องมาจากอายุที่มากขึ้น จะทำให้ปริมาณของเส้นใยคอลลาเจนลดน้อยลง และเส้นใยคอลลาเจนสูญเสียความยืดหยุ่น เป็นสาเหตุของการเกิดผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยแห่งวัย ทำให้ใบหน้าขาดความกระชับ

                          ซึ่งคุณสมบัติของพลังงานความร้อนเครื่อง Ulthera SPT และ Thermage FLX สามารถยิงพลังงานลงลึกครอบคลุมผิวทั้ง 3 ชั้น โดยหลังจากยิงพลังงานลงสู่ผิวจะรู้สึกถึงความแน่นกระชับ ยืดหยุ่น รูขุมขนเล็กลง และผิวเรียบเนียนขึ้น อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน พร้อมทั้งยังช่วยสลายไขมันส่วนเกินที่สะสมบริเวณใบหน้าได้อีกด้วย

                          thermage vs ulthera
                          Thermage FLX vs Ulthera SPT ต่างกันอย่างไร ?

                          Thermage FLX vs Ulthera SPTทำงานแตกต่างกันอย่างไร

                          Thermage FLX กับ Ulthera SPT เป็นนวัตกรรมในด้านของการยกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ลดริ้วรอยต่าง ๆ ได้ แต่ทั้ง 2 นวัตกรรมมีความแตกต่างกันในด้านของหลักการทำงานและค่าพลังงานที่ยิงลงสู่ชั้นผิว

                          thermage vs ulthera
                          หลักการทำงานของ Thermage FLX

                          การทำงานของ Thermage FLX

                          hermage FLX หลักการทำงานใช้คลื่นพลังงานความร้อนจากคลื่นวิทยุ Monopolar RF ซึ่งเป็นคลื่นที่มีความถี่สูง สามารถลงลึกไปถึงชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ชั้นผิวที่มีส่วนประกอบของคอลลาเจน (Collagen) อีลาสติน (Elastin) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง โดยพลังงานความร้อนจะอยู่ที่ 40-50°C ปรับค่าพลังงานได้ถึง 0-4 ระดับ คือ

                          • พลังงาน Thermage ระดับ 0-1 ระหว่างที่ทำจะรู้สึกสั่นบริเวณผิวแต่จะยังไม่รู้สึกอุ่น เป็นผลลัพธ์จากการรักษาน้อย
                          • พลังงาน Thermage  ระดับ 2-2.5 ระหว่างทำจะรู้สึกร้อนขึ้นแต่จะรู้สึกในระดับที่ทนได้ สามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำได้ตามที่ต้องการ
                          • พลังงาน Thermage ระดับ 3-4 พลังงานระดับนี้สำหรับในบางกรณีเป็นระดับความร้อนที่ร้อนเกินไป เป็นระดับพลังงานที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนมากกว่าระดับอื่น ๆ แต่เสี่ยงเกิดการบาดเจ็บได้ และไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือผิวบอบบางเกินไป

                          ในปัจจุบันการทำ Thermage FLX จะมีหัวยิง 4 แบบ ด้วยกัน ดังนี้

                          • Thermage FLX Total Tip 3.0 ตารางเซนติเมตร เป็นหัวยิงเฉพาะรุ่นของ CPT เป็นหัวขนาด 3 ตารางเซนติเมตร สามารถยิงได้ 1,200 shot เหมาะทำบริเวณใบหน้าไปจนถึงลำคอ
                          • Thermage FLX Total Tip 4 ตารางเซนติเมตร  เป็นหัวยิงเฉพาะรุ่นของ FLX เป็นหัวขนาด 4 ตารางเซนติเมตร สามารถยิงได้ 900 shot เหมาะทำบริเวณใบหน้าไปจนถึงลำคอ
                          • Thermage FLX Body Tip 16 ตารางเซนติเมตร เป็นหัวยิงขนาด 16 ตารางเซนติเมตร เหมาะกับการทำในบริเวณลำตัว แขนและขา

                          จุดเด่นของ Thermage FLX

                          • ยิงพลังงานลงที่ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ช่วยให้ผิวแน่นเฟิร์ม อิ่มฟู กระชับ หน้าเรียวเล็ก ปรับคุณภาพผิวให้ดีขึ้น 
                          • หัวยิง 4 รูปแบบ พร้อมเทคโนโลยีใน Generation ใหม่ ‘FASTER ALGORITHM EXPERIENCE’ ทำให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
                          • Thermage FLX สามารถยิงพลังงานลงลึกสู่ชั้นผิวครอบคลุมเป็นวงกว้าง
                          • Thermage FLX มีหัว Tip สำหรับการยกกระชับบริเวณรอบดวงตา และหัว Tip สำหรับการยกกระชับบริเวณลำตัวได้
                          • สามารถแก้ปัญหาบนใบหน้าได้อย่างครอบคลุม เช่น ริ้วรอย คิ้วตก ตาตก ร่องแก้มลึก ไขมันสะสม
                          • ใช้ระเวลาในการทำครั้งละ 45-90 นาที
                          • เห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ทำครั้งแรก 20% และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนหลังทำ 2-3 เดือน
                          • ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 1-2 ปี
                          • ไม่ต้องพักฟื้นนาน ไม่ต้องผ่าตัด สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

                          thermage vs ulthera
                          หลักการทำงาน Ulthera SPT

                          การทำงานของ Ulthera SPT

                          Ulthera SPT หลักการทำงานคือการใช้คลื่นพลังงานอัลตราซาวนด์ชนิด MFU-V (Micro Focused UItrasound with Visualization) เป็นพลังงานคลื่นเสียงความถี่สูง สามารถยิงพลังงานลงสู่ผัวชั้น SMAS ในระดับความร้อนที่ 60-70°C มีหน้าจอในการดูระดับความลึกของพลังงานที่ยิงลงไปแบบ Real time โดยลักษณะพลังงานเป็นจุดไข่ปลาเล็ก ๆ เรียงกันเป็นเส้นตรง  ซึ่งหัวยิงของ Ulthera SPT มีความลึกถึง 3 ระดับ  คือ

                          • หัวยิงความลึก 1.5 mm เหมาะสำหรับปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ บนผิวชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis)
                          • หัวยิงความลึก 3 mm เหมาะสำหรับการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ช่วยยกกระชับ
                          • หัวยิงความลึก 4.5 mm สำหรับยิงชั้น SMAS ซึ่งเป็นผิวหนังชั้นเดียวกับการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า ยกแก้ม เหนียง และลำคอ

                          จุดเด่นของ Ulthera SPT

                          • Ulthera SPT มีเทคโนโลยีหน้าจอแสดงผลแบบ Real time เพื่อการมองเห็นพลังงานที่โฟกัสอย่างแม่นยำ ตรงจุด ทุกชั้นผิว
                          • ลงลึกครอบคลุมทุกชั้นผิว แก้ปัญหาอย่างตรงจุด ยกกระชับได้เทียบเท่ากับการผ่าตัดดึงหน้า
                          • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ของผิว ช่วยให้ผิวแน่นเฟิร์มกระชับ
                          • เห็นผลลัพธ์ตั้งแต่หลังทำครั้งแรก 30% และเห็นผลลัพธ์ชัดเจน 1-2 เดือนหลังทำ
                          • ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี
                          • ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันปกติได้เลย

                          Thermage FLX vs Ulthera SPT วิธีใช้แตกต่างกันไหม

                          Thermage FLX กับ Ulthera แตกต่างกันอย่าง สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้

                          Thermage FLX

                          • Thermage FLX เป็นการพัฒนานวัตกรรมขึ้นมาในปี 2018 สามารถฌโฟกัสการลดริ้วรอยอย่างแม่นยำแบบเรียลไทม์ ใช้ระยะเวลาในการทำน้อยกว่าเดิม 25% ผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนาน 1-2 ปี

                          Ulthera SPT

                          • เป็นนวัตกรรมที่มีเพียงรุ่นเดียว ช่วยลดเลือนริ้วรอยร่องลึกต่าง ๆ และช่วยยกกระชับที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนได้นานถึง 1-2 ปี

                          Thermage FLX vs Ulthera SPT เหมาะกับปัญหาผิวแบบไหน

                          Thermage FLX เหมาะคนที่มีปัญหาไขมันส่วนเกินสะสมเยอะบริเวณใบหน้า ทำให้ผิวขาดความกระชับ แก้มเยอะ ยิวย้วย อันเนื่องมาจากมีไขมันสะสม นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยร่องลึกต่าง ๆ จากการที่ผิวขาดคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin)

                          ส่วน Ulthera SPT เหมาะกับคนที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด ผิวหย่อนคล้อยตามวัย และมีริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า หางตาและหางคิ้วตก ผิวขาดคอลลาเจน  (Collagen) และอีลาสติน (Elastin)

                          Thermage FLX vs Ulthera SPTจุดที่นิยมในการยกกระชับแก้ปัญหาผิว

                          จุดที่นิยมยกกระชับด้วย Thermage FLX 

                          • ทั่วใบหน้าบริเวณที่มีไขมันสะสม
                          • บริเวณรอบดวงตาและใกล้ตา
                          • เหนียง ใต้คาง
                          • ร่องแก้มและกรอบหน้า
                          • ลำคอ
                          • ต้นแขนและต้นขา

                          จุดที่นิยมยกกระชับด้วย Ulthera SPT

                          • ทั่วบริเวณใบหน้า
                          • บริเวณรอบดวงตาและใต้ตา
                          • หางคิ้ว หางตา
                          • บริเวณหน้าผาก
                          • ร่องแก้มและกรอบหน้า
                          • ลำคอ

                          Thermage FLX vs Ulthera SPT ผลลัพธ์แตกต่างกันอย่างไร?

                          จุดเด่นเรื่องผลลัพธ์ของการทำ Thermage FLX คือจะช่วยให้ผิวแน่นเฟิร์มกระชับ ช่วยลดไขมันสะสมบริเวณกรอบหน้าได้ดี กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin) ช่วยฟื้นฟูสุขภาพผิวให้กลับมาเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น

                          ส่วนจุดเด่นผลลัพธ์ของ Ulthera SPT คือช่วยยกผิวหน้าที่หย่อนคล้อยให้กระชับขึ้น ช่วยให้ผิวเต่งตึง กรอบหน้าคมชัด และยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin) อีกด้วย

                          Thermage FLX vs Ulthera SPT จำนวน Shot ที่แตกต่างกัน

                          Thermage FLX มีจำนวน Shot ในการยิงอยู่ที่ 900 shot ยิงได้ทั่วใบหน้า ซึ่งใช้ระยะเวลาในการทำ 45-90 นาที

                          ส่วน Ulthera SPT นั้นจำนวน Shot ในการยิงทั่วใบหน้าไม่ได้มีจำนวนที่เหมาะสมชัดเจน เนื่องจากขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของแต่ละบุคคล

                          Thermage FLX vs Ulthera SPT vs HIFU แตกต่างกันอย่างไร?

                          • Thermage FLX เป็นการใช้พลังงานคลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว ซึ่งพลังงานสามารถลงลึกถึงชั้นหนังแท้ ช่วยยกกระชับผิวหน้าและลำตัว รวมถึงช่วยลดไขมันส่วนเกินด้วย ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี
                          • Ulthera SPT ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์ความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง โดยพลังงานสามารถลงลึกได้ถึงผิวหนังชั้น SMAS ช่วยยกกระชับผิวหน้าและลำคอ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี
                          • HIFU ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์ความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง พลังงานลิงลงลึกได้ถึงผิวหนังชั้น SMAS ได้เหมือน Ulthera SPT แต่ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นาน ช่วยยกกระชับผิวหน้าและลำตัว

                          ราคาการทำThermage FLX vs Ulthera SPT อยู่ที่เท่าไหร่

                          ราคาในการยกกระชับ Thermage FLX โดยปกติทั่วไปหากเป็น Thermage FLX 900 shot จะอยู่ที่ราคาเริ่มต้น 65,000 บาท ส่วน Ulthera SPT จะมีราคาเริ่มต้นที่ 60,000 บาท ทั้งนี้ราคาขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการทำด้วยค่ะ

                          คำถามพบบ่อยเรื่องของ Thermage FLX vs Ulthera SPT

                          Thermage FLX vs Ulthera SPT สามารถทำร่วมกันได้หรือไม่?

                          การยกกระชับด้วย Thermage FLX และ Ulthera SPT สามารถทำร่วมกันได้ แต่ไม่ควรทำพร้อมกัน เนื่องจากจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหน้า อาจส่งผลให้ชั้นผิวของเราเกิดอาการเบิร์นไหม้ (Burn) ควรเลือกยกกระชับอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแพทย์ผู้ชำนาญการประเมินปัญหาสภาพผิวของแต่ละบุคคลค่ะ

                          ระดับความเจ็บของ Thermage FLX vs Ulthera SPT

                          ก่อนทำ Ulthera SPT จะทำการแปะยาชาก่อนทำเสมอ จึงทำให้การยกกระชับด้วย Ulthera SPT ไม่เจ็บอย่างที่คิดเพราะยาชาช่วยลดความเจ็บได้อย่างมาก ระหว่างทำจะรู้สึกจี๊ด ๆ และอุ่นบริเวณที่ทำ ซึ่งเป็นระดับความร้อนที่ทนได้

                          ส่วนการทำ Thermage FLX ระดับของความเจ็บนั้นจะไม่แตกต่างจากการทำ Ulthera SPT เท่าไหร่ เพราะ Thermage FLX มีระบบ Cooling Effect ที่ช่วยปล่อยพลังงานความเย็นในระหว่างทำ เพื่อคอยป้องกันการไหม้เบิร์น (Burn) ของผิวหน้า และช่วยทำให้เจ็บน้อยลงอีกด้วยค่ะ

                          ระยะเวลาในการทำ Thermage FLX vs Ulthera SPT ในแต่ละครั้งนานไหม

                          ระยะเวลาในการทำ Thermage FLX ในแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 45-90 นาที ส่วนในการทำ Ulthera SPT ในแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 30-45 นาทีค่ะ

                          Thermage FLX vs Ulthera SPT  จะเห็นผลลัพธ์ภายในกี่วัน?

                          ระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์ของ Thermage FLX จะเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำประมาณ 20% และจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ภายใน 2-3 เดือนหลังทำ ส่วน Ulthera SPT เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำประมาณ 30% และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ภายใน 1-2 เดือนหลังทำค่ะ

                          สรุป Thermage FLX vs Ulthera SPT

                          Thermage FLX และ Ulthera SPT ช่วยยกกระชับเก็บกรอบหน้าคมชัดคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างกันที่พลังงานค่ะ สำหรับใครที่กำลังมองหานวัตกรรมยกกระชับ แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกทำโปรแกรมยกกระชับตัวไหนดี สามารถเข้ามาพูดคุยปรึกษากับทางรมย์รมรวินท์คลินิก เพื่อให้แพทย์ผู้ชำนาญการประเมินวิเคราะห์ใบหน้าและเลือกหัตถการยกกระชับที่เหมาะสมกับปัญหาผิวได้อย่างตรงจุดค่ะ

                          รมย์รวินท์คลินิกใช้ Thermage FLX และ Ulthera SPT เครื่องแท้ได้มาตรฐานระดับสากล ดูแลโดยทีมแพทย์ผู้มากประสบการณ์กว่า 10 ปี ดูแลทุกเคสแบบ 1:1 วิเคราะห์อย่างละเอียดเพื่อการแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม ตรงจุด และปลอดภัย

                          เตือนภัย! หวิดหน้าพัง..เพราะฟิลเลอร์ กับหมอที่ไม่ชำนาญ

                          อันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์

                          เตือนภัย! หวิดหน้าพัง..เพราะฟิลเลอร์ 

                          ฟิลเลอร์จัดได้ว่าเป็นหัตถการอันดับต้นๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะสามารถฉีดเติมเต็มให้ผิว ปรับรูปหน้า และลดเลือนริ้วรอยได้อย่างทันใจ แต่เมื่อมีความนิยมมากก็มักจะมีฟิลเลอร์ปลอมระบาดหนักในท้องตลาดมากเช่นกัน ยิ่งถ้าหากเราอยากสวย แต่เห็นแก่ของถูก โปรโมชันที่หลอกล่อให้หลงเป็นเหยื่อ จนเผลอไผลให้กับฟิลเลอร์ปลอม หรือคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็อาจตกเป็นเหยื่อ และหวิดหน้าพังได้เช่นกัน 

                          ฟิลเลอร์คืออะไร ทำไมถึงได้รับความนิยมอย่างมาก 

                          ฟิลเลอร์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารประกอบที่ช่วยเติมเต็มให้ผิว ช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องเล็กๆ หรือปรับรูปหน้า เติมเต็มวอลลุ่มให้ผิวหน้า ซึ่ง HA เป็นสารประกอบที่มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากเป็นสารที่ฉีดเข้าไปแล้วไม่เกิดการตกค้างในร่างกาย สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ และให้ผลลัพธ์ที่สวยในแบบที่เป็นธรรมชาติ ดูไม่หลอกตา ซึ่งฟิลเลอร์แท้จะได้รับรองจากอย.ไทย ว่ามีความปลอดภัย สามารถใช้กับผิวหน้า หรือร่างกายได้ 

                          ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณไหนได้บ้าง

                          • ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณขมับ แก้ปัญหาขมับตอบ เสริมมิติให้ใบหน้า
                          • ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณหน้าผาก แก้ปัญหารอบยุบ รอยยับ 
                          • ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณใต้ตาช่วยแก้ปัญหารอยคล้ำใต้ตา ให้ตาสดใสมากขึ้น
                          • ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณปาก ช่วยเติมเต็มร่องปาก แก้ปากแห้ง ปรับรูปปากให้สวยอวบอิ่ม
                          • ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณร่องแก้ม ช่วยเติมเต็มร่องลึก ให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น
                          • ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณคาง ช่วยแก้ปัญหาคางสั้น คางบุ๋ม เติมมิติให้คางดูสวยรับกับใบหน้ามากขึ้น 

                          ฟิลเลอร์กับความงาม

                          ฟิลเลอร์นั้นมีประโยชน์กับผิวในด้านความงามมากมาย เพราะเป็นสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อของ HA ที่ใช้เติมความชุ่มชื้น และกักเก็บน้ำให้กับผิว อีกทั้งยังช่วยเติมเต็มเรื่องร่องรอยให้ผิว ช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องตื้นให้ผิวดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น และยังช่วยปรับรูปหน้า เพิ่มวอลลุ่มให้ผิวดูมีมิติมากยิ่งขึ้น และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมากอีกด้วย เป็นการรักษาผิวให้สวยได้แบบเร่งด่วนอีกทางหนึ่ง แต่หากเผลอไปเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือฉีดแบบไม่ถูกวิธี กับคลินิกหรือแพทย์ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ หรือไม่ได้รับการรับรองก็อาจเจอกับผลข้างเคียงได้อีกเช่นกัน โดยอาการของการฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ได้ผลดีคืออาการฟิลเลอร์ไหล หรือฟิลเลอร์เป็นก้อนนั่นเอง และอาจร้ายแรงจนถึงขั้นติดเชื้อ เสี่ยงเสียโฉมถาวรเลยก็เป็นไปได้ 

                          ฟิลเลอร์ไหลคืออะไร

                          ฟิลเลอร์ไหลคือ อาการข้างเคียงของการฉีดฟิลเลอร์เข้าสู่ผิวแล้วเกิดการไหลย้อยมากองรวมกันเป็นก้อนทำให้ผิวเกิดการอักเสบ หรือบวมขึ้น ซึ่งอาการเหล่านี้จะไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีหลังจากฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในผิว แต่จะเกิดขึ้นหลังจากการฉีดฟิลเลอร์มาซักระยะหนึ่ง หากเป็นฟิลเลอร์ของแท้ หรือฉีดถูกตำแหน่งก็จะสามารถถสลายไปได้เองโดยธรรมชาติ แต่หากเป็นฟิลเลอร์ที่ใช้สารประกอบอื่นๆ มาแทน เช่น ซิลิโคนเหลว หรือพาราเบน ซึ่งสารประกอบพวกนี้จะไม่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ หากฉีดไปนานเข้าก็จะทำให้ฟิลเลอร์เกิดอาการไหล และทำให้ผิวหนังอักเสบ บวมแดง จนถึงขั้นติดเชื้อได้ 

                          ต้นเหตุของฟิลเลอร์ไหลคืออะไร อันตรายหรือไม่

                          ฟิลเลอร์ไหล เพราะฟิลเลอร์ที่ไม่ได้คุณภาพ มีการเก็บรักษาที่ไม่ดี ไม่ได้มาตรฐาน หรือเป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ผ่านการรับรองจากอย.ไทย  เพราะฟิลเลอร์ที่อย.ไทยรับรองคือฟิลเลอร์ที่มีสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid เท่านั้น 

                          ฟิลเลอร์ไหล เพราะใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสมกับบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาจเกิดจากโมเลกุล และความหนาแน่น และการจับตัวของฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับตำแหน่งที่ฉีดก็อาจทำให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดเกิดอาการไหลกองเป็นก้อน 

                          ฟิลเลอร์ไหล เพราะแพทย์ที่ทำการฉีดให้ไม่ใช่แพทย์ผู้มีประสบการณ์เฉพาะทาง ซึ่งอาจจะทำให้ฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่ง หรือฉีดฟิลเลอร์มากเกินความจำเป็น ทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ และอาจทำให้เกิดอาการฟิลเลอร์ไหล หรือฟิลเลอร์เป็นก้อน 

                          ฟิลเลอร์ไหล เพราะฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นฟิลเลอร์ปลอม ที่ใช้สารปลอมแปลงเช่นซิลิโคนเหลว หรือพาราฟินที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และไม่สามารถสลายไปได้เองโดยธรรมชาติ ซึ่งนานวันเข้าจะไปกระตุ้นผิว ทำให้เกิดการอักเสบ และติดเชื้อได้

                          โดยอาการข้างต้นหากฟิลเลอร์ที่ใช้นั้นเป็นของแท้ก็สามารถทำการสลายฟิลเลอร์ได้และอาจไม่เกิดผลกระทบต่อร่างกายมากนัก แต่หากฟิลเลอร์ที่นำมาใช้ฉีดนั้นเป็นของปลอมก็อาจมีความเสี่ยงต่อร่างกายได้ 

                          ฟิลเลอร์ปลอมคืออะไร 

                          ฟิลเลอร์ปลอม คือ ฟิลเลอร์ที่นำสารประกอบตัวอื่นที่ไม่ใช่ Hyaluronic Acid มาเป็นสารประกอบ แต่จะใช้สารจำพวกซิลิโคนเหลว หรือพาราฟินเข้ามาแทน ซึ่งสารเหล่านี้ยังไม่ได้รับการรับรองจากอย.ไทย และถือเป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือเป็นฟิลเลอร์ปลอมนั่นเอง ซึ่งอาจเกิดผลต่อผิวหน้า และร่างกายในระยะยาว หากเกิดการอักเสบ หรือติดเชื้อ 

                          ดูอย่างไรว่าเป็นฟิลเลอร์ที่ใช้เสี่ยงจะเป็นฟิลเลอร์ปลอม หรือไม่ได้มาตรฐาน 

                          ฟิลเลอร์นั้นเป็นฟิลเลอร์ที่นำเข้ามาเองจากต่างประเทศ โดยไม่ผ่านบริษัทที่นำเข้าฟิลเลอร์อย่างถูกต้อง และไปใช้เพื่อการค้าตามท้องตลาดทั่วไป หรือตามสื่อออนไลน์ ที่ไม่ใช่คลินิกเสริมความงามที่มีการรับรอง  ให้สันนิฐานได้เลยว่าเสี่ยงที่จะเป็นฟิลเลอร์ปลอม ควรหลีกเลี่ยงอย่างมาก 

                          สารฟิลเลอร์ที่ไม่ได้รับการรับรองจากอย.ไทย คือ ฟิลเลอร์ที่นำสารอื่นๆ ที่ไม่ใช้ Hyarulomic Acid มาใช้ผลิตผิลเลอร์ เช่น นำสารจำพวกซิลิโคนเหลว หรือพาราฟิน คอลลาเจนมาใช้แทน ซึ่งอย.ไทย รับรองแค่ฟิลเลอร์ที่มีสารประกอบของ Hyarulonic Acid เท่านั้น

                          อันตรายที่เกิดจากฟิลเลอร์ปลอม ระวังไว้ให้ดีถ้าไม่อยากเสี่ยงหน้าพังถาวร

                          เกิดการอักเสบของผิวหนัง เมื่อนำฟิลเลอร์ปลอม ที่มีสารแปลกปลอมที่ไม่ใช่ Hyaluronic ตามธรรมชาติ ฉีดเข้าไปยังผิวของเรา ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านสิ่งแปลกปลอมทันที ทำให้เกิดการอักเสบ บวม ของผิว 

                          เกิดการติดเชื้อหวิดหน้าพัง เพราะฟิลเลอร์ที่ใช้เกิดการปนเปื้อนของสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรค เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวหนัง อาจทำให้ผิวของเหล่าเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและเกิดการติดเชื้อขึ้นได้ 

                          เกิดฟิลเลอร์ไหล หรือฟิลเลอร์เป็นก้อน หากนำสารอื่นๆ ที่เป็นสารประกอบของฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติ อย่างเช่นพวกซิลิโคนเหลว หรือพาราฟินมาฉีดเข้าผิว ซึ่งสารจำพวกนี้จะไม่สามารถสลายไปได้เองโดยธรรมชาติ เมื่อนานเข้าจะทำให้สารนั้นและชั้นผิวของเราจับตัวเป็นพังผืด และกลายเป็นฟิลเลอร์ไหลได้นั่นเอง

                          ทำอย่างไรหากเกิดอาการฟิลเลอร์ไหล หรือฉีดฟิลเลอร์ปลอม

                          การฉีดสลายฟิลเลอร์ ซึ่งเป็นการฉีด Hyaluromidase หรือ HYAL เพื่อเข้าไปสลายเนื้อฟิลเลอร์ที่อยู่ใต้ผิวหนัง ในกรณีนี้จะใช้ได้เฉพาะฟิลเลอร์แท้เท่านั้น โดยเมื่อฉีดแล้ว ฟิลเลอร์จะค่อยๆสลายออกไปเองตามธรรมชาติ ใช้ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม หรือฉีดฟิลเลอร์มากจนเกินไปจนทำให้ฟิลเลอร์ไหลกองเป็นก้อน แต่วิธีนี้จะได้ผลแค่ประมาณ 60-70% เท่านั้น

                          การขูดฟิลเลอร์ ใช้ในกรณีที่ฟิลเลอร์ที่ฉีดนั้นเป็นฟิลเลอร์ปลอม ซึ่งไม่สามารถสลายไปเองได้ตามธรรมชาติ หรือไม่สามารถใช้วิธีการฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ ซึ่งวิธีขูดฟิลเลอร์นี้เป็นการรักษาอาการอักเสบ บวมแดงจากฟิลเลอร์ปลอมที่ไหลเกาะเป็นก้อนพังผืด 

                          การสลายฟิลเลอร์โดยการผ่าตัด ซึ่งใช้กับฟิลเลอร์ปลอมที่ฉีดเข้าสู่ผิวเกิดการจับตัวกันเป็นก้อนแข็ง และมีขนาดใหญ่มาก หรือการเกิดพังผืดแบบที่การขูดฟิลเลอร์รักษาไม่ได้ผล แต่วิธีการรักษานี้มีความเสี่ยงค่อนข้างมาก 

                          อย่าเสี่ยงกับอาการฟิลเลอร์ไหลหรือฟิลเลอร์ปลอม ไม่ได้มาตรฐาน ให้รมย์รวินท์คลินิกเป็นคลินิกเสริมความงามที่คุณไว้วางใจในผลลัพธ์ คุณภาพ และการบริการ 

                          เลือกฉีดฟิลเลอร์อย่างปลอดภัย ต้องที่รมย์รวินท์คลินิก 

                          • ที่รมย์รวินท์คลินิกเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ คุณภาพดี ยี่ห้อที่เป็นที่รู้จัก และได้รับการรับรองจากอย.ไทย ว่าเป็นฟิลเลอร์แท้มาใช้กับผู้มาเข้ารับบริการ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และความปลอดภัยสูงสุดกลับไป
                          • ที่รมย์รวินท์คลินิกเป็นสถานเสริมความงามที่ได้รับรองว่ามีมาตรฐาน น่าเชื่อถือ และมีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน อีกทั้งเครื่องมือและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ก็มีคุณภาพทั้งในเรื่องความสะอาด และความปลอดภัย
                          • ที่รมย์รวินท์คลินิกมีแพทย์ผู้มีประสบการณ์เฉพาะด้านคอยให้คำแนะนำ และดูแลผู้เข้ามารับบริการ และมีการติดตามผลหลังทำ เพื่อให้ผู้มารับบริการได้รับความสบายใจก่อนและหลังการรักษา
                          • ที่รมย์รวินท์คลินิกมีโปรโมชันมากมายตลอดทั้งปี ซึ่งนอกจากโปรโมชันโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แล้ว ก็ยังมีโปรโมชันความงามอื่นๆ อีกมากมายมอบให้แก่ผู้มาเข้ารับบริการได้ติดตาม
                          • ที่รมย์รวินท์คลินิกมีเคสรีวิวของผู้เข้ามารับบริการกับโปรแกรมเสริมความงามมากมายหลากหลายเคส เพื่อให้ผู้มาเข้ารับบริการเกิดความมั่นใจในการเข้ารับบริการ 

                          อยากฉีดฟิลเลอร์ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีไม่ต้องเสี่ยงทาย แค่มาที่รมย์รวินท์คลินิกก็สวยกลับไปทุกครั้ง มีปัญหาผิว หรือขอรับบริการด้านความสวย เชิญได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขานะคะ 

                          อ่านข้ามูลฟิลเลอร์ที่ปลอดภัยได้ที่ :https://www.romrawin.com/filler-fullface/

                          IPL กำจัดขน อันตรายเสี่ยงเสียโฉม

                          อัตรายจาก IPL

                          อาจเสี่ยง! เสียโฉมตลอดชีวิต ถ้ายังกำจัดขนด้วย IPL 

                          นึกถึงการกำจัดขนคุณจะนึกถึงอะไร? หลายๆ คนคงนึกถึงเครื่อง IPL เป็นคำตอบของการกำจัดขนของคุณใช่มั้ย เพราะหาทำได้ง่ายทุกคลินิก มีราคาถูก เห็นผลได้ดี ใช้เวลาทำน้อย ทำให้เครื่อง IPL เป็นที่นิยมในการกำจัดขนกันอยู่พักหนึ่ง แต่! รู้มั้ยว่า เครื่อง IPL ไม่ใช้นวัตกรรมที่เหมาะกับการกำจัดขนโดยเฉพาะ! หากเสี่ยงทำเครื่อง IPL ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือคลินิกที่ไม่ได้รับการรองรับ หรือใช้พลังงานที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เสียโฉมได้เลยนะ! รู้หรือเปล่า!

                          อย่างที่เป็นข่าวดังว่าผู้เข้ารับบริการท่านหนึ่งใช้บริการกำจัดขนด้วยเครื่อง IPL หลังทำเกิดอาการผิวพองเป็นตุ่มขนาดใหญ่ ซึ่งอาจเกิดจากการระคายเคืองหรือการไหม้เบิร์นของผิวในบริเวณที่ทำ นอกจากเสียเงินทำแล้ว ยังต้องเสียเงินรักษาแผลไปอีกก! 

                          IPL คืออะไร? ทำไมถึงนิยมในการกำจัดขน 

                          IPL หรือ Intense Pulsed Light  คือคลื่นแสงความเข้มข้นสูงที่มีความยาวคลื่น 515 – 1,200 นาโนเมตร ซึ่งมีการกระจายตัวของแสงและมีความกว้างของคลื่นแสงมากจึงไม่ถูกจัดว่าเป็นเลเซอร์ โดยคลื่นแสงที่มีความเข้มข้นสูงนี้ จะไปจับกับเม็ดสีเมลานินในผิวบริเวณนั้น และเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน และทำลายเม็ดสีนั้นให้แตกออก ด้วยความที่เครื่อง IPL มีความยาวคลื่นที่กว้างมากนั้นเอง เครื่อง IPL นี้จึงสามารถใช้ในการรักษาครอบคลุมปัญหาผิวได้มากมาย เช่นรักษารอยดำ จุดด่างดำ ให้ผิวหน้าใส รวมทั้งการกำจัดขนที่หลายๆคนนิยมใช้ IPL ในการกำจัดขนด้วย 

                          การกำจัดขนด้วยเครื่อง IPL 

                          เครื่อง IPL นอกจากจะทำให้หน้าใสแล้วยังสามารถกำจัดขนของเราได้อีกด้วย ด้วยการเลือกยิงพลังงานที่เหมาะกับการกำจัดขน โดยจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนไปจับกับเม็ดสีเมลานินของขนทำให้เกิดการฝ่อตัวและหลุดออกไปเอง แต่ด้วยความที่เครื่อง IPL มีความยาวคลื่นที่กว้างมากทำให้บริเวณที่ทำรอบข้างอาจเกิดรอยแดง หรือการระคายเคืองได้ ข้อดีของเครื่อง IPL คือชะลอการเกิดขนใหม่ให้ช้าลง และลดการเกิดหนังไก่หลังการกำจัดขน และสามารถทำได้ทุกบริเวณ ไม่ว่าจะเป็น แขน ขา รักแร้ ใช้เวลาในการทำน้อยและมีราคาถูก 

                          อัตรายจาก IPL

                          แต่! เมื่อมีข้อดี ก็ย่อมต้องมีข้อเสียเช่นกัน! เหมือนที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ที่หลังกำจัดขนด้วย IPL เกิดตุ่มพองใหญ่ในบริเวณที่ทำ สาเหตุอาจจะมาจากการเลือกยิงด้วยพลังงานไม่เหมาะ หรือเกิดการระคายเคือง หรือแพ้ ทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดการไหม้เบิร์น แสบร้อน และข้อสำคัญที่ต้องระวังเลย! ก็คือ เครื่อง IPL นี้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวสีเข้ม แนะนำการกำจัดขนด้วยวิธีอื่นอย่างการกำจัดขนดด้วย YAG Laser 1064 ที่มีความปลอดภัยกว่า และได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในการกำจัดขน

                          ผลข้างเคียงจาก IPL 

                          • หลังกำจัดขนด้วย IPL ผิวอาจเกิดการระคายเคือง มีตุ่ม และเกิดอาการคันได้
                          • หลังกำจัดขนด้วย IPL ผิวอาจเกิดการไหม้เบิร์น และมีความรู้สึกแสบร้อนผิว
                          • หลังกำจัดขนด้วย IPL อาจทำให้เกิดแผลเป็นรอยนูนขึ้นบริเวณที่ทำได้
                          • หลังกำจัดขนด้วย IPL อาจทำให้ผิวบริเวณนั้นเปลี่ยนสีได้ เช่นเข้มมากขึ้น หรือสีซีดจาง
                          • หลังกำจัดขนด้วย IPL อาจเกิดการติดเชื้อทางผิวหนังได้หากเครื่อง IPL ที่ใช้ไม่ได้มาตรฐาน หรือทำที่คลินิกที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ

                          ซึ่งหากเกิดอาการเหล่านี้ รมย์รวินท์ขอแนะนำให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยด่วนนะคะ

                          หรืออีกทางเลือกหนึ่งของการกำจัดขนที่ได้มาตรฐาน และมีความปลอดภัยสูง อย่าง YAG Laser 1064 

                          YAG Laser 1064 คืออะไร ทำงานอย่างไร?

                          YAG Laser 1064 คือ เลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 1,064 nm (นาโนเมตร) ซึ่งมีความยาวที่สามารถลงได้ลึกสามารถลงไปกำจัดขนใต้ผิวหนังได้ลึกถึงรากขน จึงเป็นเลเซอร์ที่เหมาะกับการกำจัดขนมากกว่าเลเซอร์ชนิดอื่นๆ โดยจะยิงพลังงานและเปลี่ยนเป็นความร้อนตรงเข้าไปจับกับเม็ดสีเมลานินที่รากขน ทำให้เกิดการฝ่อตัวและหลุดร่วงไป

                          ทำไม YAG Laser 1064 ถึงเหมาะกับการกำจัดขนมากกว่า IPL 

                          • YAG Laser 1064 ยิงด้วยพลังงานที่มีช่วงความยาวคลื่น 1,064 นาโนเมตร 
                          • YAG Laser 1064 สามารถยิงพลังงานได้ลงลึกถึงรากขน
                          • YAG Laser 1064 ชะลอการเกิดขนใหม่ และบางลง
                          • YAG Laser 1064 ไม่ทำให้เกิดตอขน ขนคุด หรือหนังไก่
                          • YAG Laser 1064 ไม่ทำให้ผิวบริเวณที่ทำไหม้เบิร์น หรือแสบร้อน
                          • YAG Laser 1064 มี Cryogen ลดการสะสมความร้อนของผิวขณะทำ
                          • YAG Laser 1064 เหมาะกับทุกสภาพผิว และสีผิว
                          • YAG Laser 1064 ปลอดภัยได้รับการรับรองจาก US FDA
                          • YAG Laser 1064 เกิดผลข้างเคียงที่น้อยกว่าการกำจัดขนแบบอื่นๆ
                          • YAG Laser 1064 เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกหลังกำจัดขน

                          เปรียบเทียบระหว่างการกำจัดขนด้วยเครื่อง IPL และ YAG Laser 1064

                          อัตรายจาก IPL

                          อย่าเสี่ยง! กับการกำจัดขนแบบเดิมๆ ที่อาจทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต สู่ทางเลือกใหม่ที่ดีกว่าในการกำจัดขนที่ได้ผล และปลอดภัย กำจัดขนครั้งใดนึกถึง YAG Laser 1064 ที่รมย์รวินท์คลินิกนะคะ

                          เปรียบเทียบ Rejuran VS Revive ต่างกันอย่างไร ผิวชุ่มชื้นต่างกันอย่างไร

                          ผิวชุ่มชื้น

                          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                            วันที่สะดวกในการติดต่อ








                            Rejuran VS Revive เปรียบเทียบงานผิวตัวไหนผิวชุ่มชื้น ตัวไหนหน้าฉ่ำ

                            ผิวแห้งเสียขาดความชุ่มชื้น กลายเป็นปัญหาหนักสุดๆ สืบเนื่องจากมลภาวะ และชีวิตประจำวันที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผิวอย่างหนักหน่วง จนสภาพผิวห่างไกลจากคำว่า “ผิวชุ่มชื้น” “ผิวฉ่ำวาว” ไปไกลลับ ด้วยกิจวัตรประจำวันที่ต้องเผชิญกับมลภาวะอยู่เสมอ การดูแลผิวชุ่มชื้นแบบเดิม ๆ อาจไม่เพียงพอเสียแล้ว บางทีการหาตัวช่วยมาเติมเต็มให้ผิวที่แห้งเสีย กลับมาเป็นผิวที่ชุ่มชื้นคงจะเป็นทางออกที่ดี

                            ซึ่งหากพูดถึงผลิตภัณฑ์งานผิว ที่ช่วยปรับสภาพผิวแห้งเสียให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ก็จะมีหลากหลายตัวเลือก ไม่ว่าจะเป็น Rejuran, Revive หรือเติมวิตามินผิว แต่จะเลือกงานผิวตัวไหนที่ตอบโจทย์ความต้องการ ที่อยากจะมีผิวชุ่มชื้น ห่างไกลจากผิวเสียเพราะมลภาวะรอบตัว หลายคนอาจเลือกไม่ถูกและไม่มั่นใจว่าตัวเลือกไหนที่เหมาะสำหรับงานผิวฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ

                            แน่นอนว่ารมย์รวินท์คลินิกมีคำตอบเรื่องนี้ โดยหากพูดถึงผิวชุ่มชื้นและฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ มีงานผิว 2 ตัวเลือกที่มักพูดถึงและเปรียบเทียบอยู่บ่อยครั้ง คือ  Rejuran กับ  Revive ซึ่งทั้งสองนับว่าเป็นงานผิวยอดนิยมที่เน้นเรื่องผิวเรียบเนียน ผิวชุ่มชื้นและฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ทั้งสองก็มีข้อแตกต่างกัน งานนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงจะมาเปรียบเทียบว่างานผิวไหนผิวชุ่มชื้น ไหนช่วยเรื่องผิวฉ่ำวาว โดยสามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับทั้งสองตามหัวข้อต่อไปนี้

                            ผิวชุ่มชื้น

                            สำหรับคนที่อยากเปลี่ยนผิวที่แห้งเสีย ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น หน้าใส มีความฉ่ำวาว ตัวเลือกที่ตอบโจทย์ผิวฉ่ำวาวที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้น Rejuran ซึ่งมีงานวิจัยออกมาพูดถึงผลลัพธ์ผิวหน้าชุ่มชื้น และมีความฉ่ำวาวด้วย Rejuran ส่งผลให้หัตถการที่ช่วยปรับผิวชุ่มชื้นชนิดนี้ได้รับความนิยม และกลายเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ในสถานเสริมความงาม 

                            โดยตัว Rejuran เป็นสารที่คิดค้นเพื่อผิวหน้าชุ่มชื้น สวยใสด้วยการสกัดสาร Polynucleotide (PN) จาก DNA ของปลาแซลมอนที่ได้รับการทดสอบแล้วว่า มีความใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์มากถึง 98% โดยมี คุณสมบัติด้านการฟื้นฟูสภาพผิว ช่วยคืนผิวชุ่มชื้นหลังจากแห้งเสียเป็นเวลานาน พร้อมช่วยเคลียร์ปัญหาผิว อย่างเร่งด่วน ประกอบกับคุณสมบัติของ DNA ที่คล้ายคลึงกับของมนุษย์  Rejuran จึงมีความปลอดภัย และไม่ก่อให้เกิดกระทบต่อผิวชุ่มชื้นหลังจากฉีด Rejuran

                            ด้วยประสิทธิภาพด้านการเคลียร์ผิว ที่เสื่อมสภาพจากมลภาวะต่าง ๆ ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ผิวฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ และมีความปลอดภัย ส่งผลให้ Rejuran กลายเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในฐานะของหน้าใส ผิวชุ่มชื้น แต่อาจจะยังมีคนสงสัยว่าสาร Polynucleotide มีการทำงานอย่างไร ทำไมถึงผิวชุ่มชื้นด้วย DNA จากปลาแซลมอน สามารถอ่านรายละเอียดที่หัวข้อการทำงานของ Rejuran  

                            การทำงานของ Rejuran สาร Polynucleotide ส่งผลต่อผิวอย่างไร?

                            หลังจากทำการฉีด Rejuran ลงไปบนผิวหนังแล้ว สาร Polynucleotide (PN) จะเข้าไปควบคุม กระบวนการทำงานของเซลล์และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ โดยการกระตุ้นให้ร่างกายสารที่จะช่วยกระตุ้น การทำงานของเซลล์ Fibroblast หรือที่เรียกว่า Growth factor ซึ่งประกอบไปด้วย FGF, EGF และ IGF ที่จะเป็นตัวกลางสื่อสารระหว่างเซลล์และทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ซึ่งส่งผลให้ผิวชุ่มชื้นอย่างเป็นธรรมชาติ

                            การทำงานของ Polynucleotide ที่ฉีดลงไปด้วย Rejuran ส่งผลกระทบต่อผิวเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์, จัดการกับผิวที่เสื่อมสภาพและปัญหาผิวที่เกิดจากมลภาวะ รวมถึงฟื้นฟูสภาพผิวเปลี่ยนผลลัพธ์ของผิวที่แห้งเสียให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ซึ่งระหว่างกระบวนการทำงานของสาร PN จะมีโอกาสเกิดอาการแพ้ได้น้อยมาก เนื่องจากสารที่ฉีดมาจาก DNA ปลาแซลมอนที่คล้ายคลึงกับของมนุษย์ และสามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดี จึงเป็นงานผิวชุ่มชื้นสุขภาพดีที่มีความปลอดภัย

                            ผลลัพธ์ของ Rejuran ลดการเสื่อมสภาพของผิว ผิวชุ่มชื้นและแข็งแรง

                            •  Rejuran ฟื้นฟูถึงระดับเซลล์ผิว พร้อมกระตุ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก เพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งช่วยลดหลุมสิวและรอยดำลง เป็นสารที่สำคัญต่อการปรับสภาพผิวช่วยให้ผิวฉ่ำวาวและผิวชุ่มชื้น
                            • สาร Polynucleotide ยังช่วยเรื่องของความชุ่มชื้นบริเวณผิว ทำให้หลังจากทำ Rejuran เราจะได้สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของผิว โดย PN จะช่วยสร้างบาเรียที่ปกป้องผิวทำให้ผิวชุ่มชื้นและการสูญเสียน้ำบริเวณผิวลดลง
                            •  Rejuran ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ Fibroblast ซึ่งส่งผลต่อการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินของร่างกาย และเมื่อร่างกายมีการฟื้นฟูคอลลาเจนและอีลาสติน ผิวก็จะกลับมาสดใส ผิวชุ่มชื้น และมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น
                            • นอกจากช่วยจัดการกับปัญหาผิว และฟื้นฟูสภาพผิวแล้ว  Rejuran ยังช่วยลดความมันบริเวณผิว ช่วยกระชับรูขุมขน และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

                            จากกระบวนการทำงานและผลลัพธ์ของ Rejuran จึงไม่แปลกเลยที่ผิวหน้าใสจาก DNA ปลาแซลมอนจะได้รับการตอบเป็นอย่างดี และเป็นที่นิยมในเวลาต่อมา เพราะนอกจากผิวชุ่มชื้นและกระจ่างใส ยังช่วยจัดการกับผิวที่เสื่อมสภาพ รวมถึงปัญหาผิวต่าง ๆ ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

                            ผิวชุ่มชื้น

                            Revive ทำให้ผิวชุ่มชื้นได้อย่างไร

                             Revive หรือ BELOTERO Revive เป็นผลิตภัณฑ์สารเติมเต็มเนื้อบางเบา ที่ช่วยเรื่องผิวชุ่มชื้นและเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยการพัฒนาที่แตกต่างจากสารเติมเต็มฟิลเลอร์ทั่วไป ซึ่งส่งผลให้ Revive เป็นตัวเลือกที่ช่วยซัพพอร์ตเรื่องงานผิวให้ออกมามีสุขภาพดี รวมทั้งยังช่วยให้ผิวกักเก็บความฉ่ำวาวอุ้มน้ำได้ด้วย จึงเป็นคำตอบว่าทำไมฉีดสารเติมเต็ม Revive แล้วผิวชุ่มชื้น

                            ซึ่งส่วนที่พัฒนาและแตกต่างจากสารเติมเต็มชนิดอื่น ๆ คือ ฟิลเลอร์สารเติมเต็มทั่วไปมักมีส่วนประกอบเป็น Hyaluronic Acid (HA) ที่เป็นส่วนประกอบหลักของสารเติมเต็ม ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นอิ่มฟูเด้งกระชับ แต่ Revive จะมีส่วนประกอบของ Glycerol เพิ่มเข้ามา ซึ่งสารประกอบ Glycerol มีประสิทธิภาพด้านปรับสภาพผิวให้กักเก็บน้ำได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ผิวชุ่มชื้นอิ่มน้ำอยู่ตลอดเวลา และการบำรุงผิวของสาร Glycerol ยังส่งผลลึกถึงผิวหนังชั้น Dermis ทำให้ผิวชุ่มชื้นยาวนานและช่วยเติมเต็มผิวให้ออกมาเรียบเนียนด้วย 

                            การทำงานของ Revive ผสานผลลัพธ์ของ HA และ Glycerol ไว้ด้วยกัน

                            โดยปกติแล้วสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์จะมีส่วนประกอบหลักเป็น Hyaluronic Acid ซึ่งมีกระบวน การทำงานโดยการฉีดเข้าไปใต้ชั้นผิวและจึงเกิดการปรับสภาพผิวให้ดียิ่งขึ้น โดยการเข้าไปฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะ สภาพแวดล้อม โดยผลลัพธ์ของสารเติมเต็ม HA คือ ผิวชุ่มชื้น เรียบเนียน ผิวฉ่ำวาวเต่งตึงและอ่อนเยาว์

                            ส่วนการทำงานของสารประกอบ Glycerol จะช่วยเสริมสร้างให้ผิวชุ่มชื้น และกักเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนาน เป็นเหมือนสารที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของ Hyaluronic Acid ควบคู่ไปกับการปรับสภาพผิวให้ฉ่ำวาวอิ่มน้ำ และเมื่อผลลัพธ์ของ HA กับ Glycerol มารวมกันก็จะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวภายในระยะเวลาอันสั้น พร้อมจัดการกับผิวแห้งเสีย ขาดน้ำ ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้นด้วย Revive

                            ผลลัพธ์ของ Revive ออกมาเป็นอย่างไร?

                            •  Revive ช่วยเติมเต็มร่องลึก และกระชับปรับรูปหน้า
                            •  Revive เสริมประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำของผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง
                            •  Revive ช่วยลดเลือนริ้วรอยและจัดการกับหลุมสิวตื้น
                            •  Revive แก้ปัญหาผิวเฉพาะจุด และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว

                             ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ Revive ผ่านการเพิ่มสารประกอบ Glycerol มาผสานกับ Hyaluronic Acid มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการกักเก็บน้ำและเสริมผิวชุ่มชื้นมากกว่าสารเติมเต็มชนิดอื่น ๆ ทำให้ Revive ได้รับความนิยมเหมือนกับงานผิว Rejuran

                            ผิวชุ่มชื้น

                            เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง Rejuran และ Revive ต่างกันอย่างไรบ้าง ?

                            จากการพัฒนาของเทคโนโลยีแ ละความต้องการวิธีการดูแลผิวที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงมีการคิดค้นหัตถการ ดูแลผิวที่ผลลัพธ์ครอบคลุม และตอบโจทย์ด้านความงามยิ่งขึ้น หัตถการงานผิวปัจจุบันจึงมีตัวเลือกมากจนบางคนไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือกทำไหนดี อย่างกรณีที่อยากมีผิวชุ่มชื้น จะทำ Rejuran ก็เป็นตัวเลือกที่ดี แต่จะฉีด Revive ก็ผิวชุ่มชื้นไม่แพ้กัน วันนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงจะมาแนะนำความแตกต่างระหว่าง Rejuran และ Revive เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจสำหรับคนที่คิดเลือกทำหัตถการความงามเป็นครั้งแรก หรือต้องการผลลัพธ์ที่เหมาะกับตัวเองที่สุด

                            ซึ่งถึงแม้ว่าเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนา Rejuran ผิวชุ่มชื้น และ Revive ผิวฉ่ำวาวจะมีความแตกต่างกัน แต่ประสิทธิภาพและผลลัพธ์โดยรวมอาจมีความใกล้เคียงกันบางส่วน รายละเอียดหลังจากนี้จึงจะเป็นการเปรียบเทียบแบบชัด ๆ เลยว่าต่างกันมากน้อยแค่ไหน

                            ส่วนประกอบหลักของ Rejuran และ Revive

                            •  Rejuran :  Polynucleotide (PN) สารสกัด DNA จากปลาแซลมอนที่เข้ากันได้ดีกับร่างกายของคนเรา ลักษณะเป็นเจลใสไร้สีสำหรับฉีดเข้าผิวหนังส่งผลให้ผิวชุ่มชื้น
                            •  Revive : ประกอบด้วยสาร Hyaluronic Acid และ Glycerol ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของสารเติมเต็ม ทำให้ผิวชุ่มชื้นยิ่งกว่าเดิม

                            การทำงานของ Rejuran และ  Revive

                            •  Rejuran : สาร Polynucleotide เข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิว ช่วยการผลัดเซลล์และฟื้นฟูสภาพผิว รวมถึงช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นและจัดการกับปัญหาผิว จะมีการทำงานของที่เน้นเรื่องปรับสภาพผิวมากกว่าผิวชุ่มชื้น
                            •  Revive :  Hyaluronic Acid จะเข้ามาช่วยเติมเต็มร่องลึกและช่วยให้ผิวชุ่มชื้น พอมารวมกับ Glycerol ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำของผิว เป็นการบูสผิวชุ่มชื้นยิ่งกว่าเดิม

                            การทำงานของทั้งสองจะแตกต่างกันที่ Revive เน้นเติมเต็ม แล้วสร้างความความชุ่มชื้น เนื่องจากมีส่วนประกอบของ HA ที่เป็นสารเติมเต็มที่เป็นส่วนประกอบสำหรับฟิลเลอร์ ส่วน Rejuran จะเข้าไปกระตุ้นเซลล์และผลัดเซลล์ผิว จึงมีความแตกต่างกัน แต่ก็ยังมีส่วนช่วยเรื่องของผิวชุ่มชื้นเหมือนกัน เพียงแต่ Revive จะตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการผิวชุ่มชื้นมากกว่าเพราะมีส่วนประกอบของ Glycerol

                            ผิวชุ่มชื้น

                            Rejuran และ Revive เหมาะกับการใช้งานแบบไหน

                            •  Rejuran : เหมาะสำหรับช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ อันมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น มลภาวะ, ช่วงวัยที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นต้น โดยจะช่วยปรับสภาพผิวและเสริมให้ผิวชุ่มชื้น
                            •  Revive : เหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยร่องตื้น ช่วยปรับโครงหน้าและเสริมการกักเก็บน้ำของผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น

                             ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพการทำงานเกี่ยวกับผิวชุ่มชื้น ที่คล้ายคลึงกัน แต่ทั้งสองจะมีความแตกต่างกันที่รายละเอียดการปรับสภาพผิว โดย Revive จะตอบโจทย์การเติมเต็มผิวร่องลึกในฐานะสร้างเติมเต็ม ส่วน Rejuran จะเหมาะกับปรับสภาพผิวจากการเสื่อมสภาพและช่วยให้ผิวชุ่มชื้นยิ่งขึ้น

                             Rejuran และ Revive เหมาะสำหรับบริเวณไหนบ้าง?

                            •  Rejuran : สามารถฉีดได้หลายบริเวณทั่วหน้า รวมถึงรอบดวงตา หากอยากมีผิวชุ่มชื้นสามารถฉีดบริเวณแก้ม หน้าผาก หรือจุดที่ผิวแห้งเสียเป็นพิเศษ
                            •  Revive : จะเหมาะสำหรับบริเวณผิวตื้น ๆ จึงนิยมฉีดบริเวณรอบดวงตา, ปาก, ลำคอ,หน้าผาก และหลังมือ โดยจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและอวบอิ่มให้กับบริเวณที่ฉีด

                             ส่วนมากบริเวณที่ทำ Rejuran และ Revive เพื่อผิวชุ่มชื้นจะไม่ค่อยแตกต่างกัน แต่ Revive จะเน้นฉีดที่ผิวตื้นไม่ลงลึกถึงชั้น Dermis ส่วน Rejuran จะเหมาะสำหรับฉีดลงผิวชั้นกลางเพื่อให้สาร PN กระจายไปทั่ว ๆ และช่วยเสริมสร้างให้ผิวชุ่มชื้น มีความกระชับ

                             Rejuran และ Revive มีความรู้สึกระหว่างทำที่แตกต่างกันหรือไม่

                            •  Rejuran : เนื่องจาก Rejuran จำเป็นต้องฉีดลงไปที่ผิวชั้นกลางเพื่อให้สาร PN กระจายลงไปบนผิวเพื่อไปกระตุ้นให้ผิวชุ่มชื้น เลยจะมีความรู้สึกเจ็บระหว่างทำบ้าง แต่จะมีการ บรรเทาความเจ็บด้วยการฉีดยาชาก่อนทำ
                            •  Revive :  Revive ถูกพัฒนาโดยคำนึงถึงคนที่กลัวเจ็บระหว่างทำ จึงมีความเจ็บปวดที่น้อยลง แต่สำหรับคนที่กลัวเจ็บสามารถทายาชาเพิ่มได้ก่อนทำ Revive

                             Rejuran และ Revive ผลลัพธ์อยู่นานแค่ไหน

                            •  Rejuran : สาร PN ช่วยกระตุ้นให้ผิวชุ่มชื้นอยู่นานถึง 6-8 เดือน
                            •  Revive : สาร Hyaluronic Acid ช่วยเติมเต็มร่องลึก สร้างผิวชุ่มชื้นได้นานถึง 9 เดือน

                            โดย Rejuran ควรฉีดอย่างต่อเนื่อง 2-3 สัปดาห์/ครั้ง และเมื่อทำครบ 4 ชั้น ผลลัพธ์ผิวชุ่มชื้นจะคงอยู่นานถึง 8 เดือน ส่วน Revive เติมเต็มผิวชุ่มชื้นเพียงครั้งเดียวก็จะได้ผลลัพธ์ของผิวฉ่ำวาวไปถึง 9 เดือนเลย ซึ่งตรงส่วนนี้จะเห็นว่าทั้งสองมีความแตกต่างทั้งระยะเวลาของผลลัพธ์และจำนวน ครั้งที่แนะนำให้ทำหัตถการ แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรตรวจสอบก่อนว่าปัญหาผิวของเราเหมาะกับไหน เพื่อผลลัพธ์ขอผิวที่เรียบเนียน ผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์อย่างมีประสิทธิภาพ

                            อยากมีผิวชุ่มชื้นสร้างผิวที่ฉ่ำวาวและคงความอ่อนเยาว์ ต้องมาที่รมย์รวินท์ คลินิก

                            กิจวัตรประจำวันของแต่ละคนล้วนมีส่วนที่ต้องออกมาเผชิญกับมลภาวะต่าง ๆ รวมถึงช่วงอายุที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ผิวที่เคยเรียบเนียน ผิวที่เคยชุ่มชื้นก็กลับกลายเป็นผิวที่ขาดน้ำ ขาดความกระชับ ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนแม้ว่าจะมีการบำรุงผิวให้ฉ่ำวาวด้วยครีมสกินแคร์หรือบำรุงผิวด้วยวิธีต่าง ๆ มากแค่ไหน ผิวก็ไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อย่างเต็มที่ภายในระยะเวลาสั้น ๆ

                             แต่สำหรับคนที่ต้องการวิธีฟื้นฟูบำรุงผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์อย่างทันท่วงที สามารถลองมาปรึกษากับแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิก โดยทางคลินิกจะมีเทคนิคเฉพาะที่ช่วยวิเคราะห์ปัญหาผิวและเลือกวิธีการจัดการกับผิว อย่างเหมาะสม สำหรับคนที่ผิวขาดน้ำ ผิวไม่เรียบเนียนขาดความกระชับ ทางคลินิกก็จะแนะนำ Rejuran หรือ  Revive ซึ่งจะช่วยเติมเต็มสารสกัดที่เป็นประโยชน์ต่อผิว ส่งผลให้ผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ สำหรับคนที่สนใจสามารถติดต่อรมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขาเลย

                            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                              วันที่สะดวกในการติดต่อ








                              SUPER HIFU แตกต่างจากยกกระชับชนิดอื่น ๆ อย่างไร ?

                              HIFU

                              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                SUPER HIFU มีความแตกต่างจากนวัตกรรมยกกระชับอื่น ๆ อย่างไร?

                                ปัญหาหนึ่งอย่างที่เรามักเจอเป็นประจำเมื่อมีอายุมากขึ้น คือ ผิวหน้าหย่อนคล้อย ไม่เรียบเนียน ต้องการที่จะยกกระชับผิวเพื่อปรับรูปหน้าให้สวยเป๊ะ แต่ไปถึงก็ยังไม่รู้ว่าควรจะเลือกทำหัตถการไหนดี พอพูดถึงหัตถการยกกระชับก็ดันมีตัวเลือกมากมาย เวลาเดินเข้าคลินิกเสริมความงาม ด้วยเหตุนี้การหาข้อมูลจากทางอินเทอร์เน็ตจึงเป็นทางออกสำหรับคนที่อยากหาข้อมูลเพื่อ เป็นข้อมูลในการตัดสินใจในเตรียมเลือกประเภทหัตถการยกกระชับ ชนิดต่างๆ 

                                และเมื่อพูดถึงหัตถการยกกระชับอันดับต้นๆ คนจะต้องนึกถึง HIFU เป็นอันดับแรกๆ แต่ถ้าจะให้แนะนะก็ต้องเป็น SUPER HIFU โปรแกรมยกกระชับตัว TOP ที่เป็นขั้นกว่าของ HIFU ที่พัฒนามาเป็นอย่างดี เพราะนอกจาก SUPER HIFU จะช่วยยกกระชับที่บริเวณต่าง ๆ ของร่างกายได้หลายส่วนแล้ว ยังเป็นนวัตกรรมยกกระชับที่ไม่ต้องใช้เข็ม ไม่มีการผ่าตัด แถมการดูแลตัวเองหลังรักษาไม่ยุ่งยาก เหมาะสำหรับคนพึ่งเคยเข้ารับหัตถการยกกระชับเป็นครั้งแรก แต่ก่อนจะทำ SUPER HIFU เราก็ควรทราบข้อมูลเกี่ยวกับ SUPER HIFU รวมถึงความแตกต่างของ SUPER HIFU เมื่อเปรียบเทียบกับนวัตกรรมยกกระชับอื่น ๆ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกหัตถการยกกระชับ

                                HIFU

                                SUPER HIFU คืออะไร ? ทำความรู้จักก่อนเลือกนวัตกรรมยกกระชับ

                                ก่อนจะเลือกทำ SUPER HIFU เราควรทราบรายละเอียดและหลักการทำงานของ SUPER HIFU เสียก่อน โดย SUPER HIFU เป็นคำที่ย่อมาจาก High Intensity Focused Ultrasound เป็นหัตถการยกกระชับบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายด้วยหลักการของเครื่องที่มีการปล่อย Focused ultrasound ลงไปถึงชั้นผิว Superficial Muscular Aponeurotic System (SMAS) ที่เป็นส่วนของเนื้อเยื่อห่อหุ้มกล้ามเนื้อบริเวณผิวหน้าจนเกิดการยกกระชับ

                                โดยหลักการทำงานของ High Intensity Focused Ultrasound ของ SUPER HIFU เป็นคลื่นอัลตร้าซาวด์ที่พัฒนามาจากเครื่องตรวจครรภ์ด้วยคลื่นอัลตร้าซาวด์ทางการแพทย์ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ส่งผลให้นอกจาก SUPER HIFU จะช่วยยกกระชับผิวหย่อนคล้อยให้กลับมาเป็นผิวที่อ่อนเยาว์ แน่นกระชับแล้ว ยังเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยอีกด้วย

                                ผลลัพธ์หลังจากทำ SUPER HIFU เป็นอย่างไร ?

                                หลังจากยกกระชับด้วย SUPER HIFU ผลลัพธ์จะออกมาอย่างเต็มประสิทธิภาพตามสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยการทำ SUPER HIFU จะเข้าไปกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนของร่างกายตามแต่ละชั้นผิวตามที่คลื่นของ SUPER HIFU ปล่อยลงไป ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเน้นหลักในเรื่องผิวหย่อนคล้อยตามวัย หลังจากทำ SUPER HIFU จะมีผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงของผิวโดยสรุปดังนี้

                                • เปลี่ยนผิวที่หย่อนคล้อยให้กลับมากระชับ และมีความยืดหยุ่นเสมือนว่าเรากลับมามีผิวเด็กอีกครั้ง แต่จริง ๆ เป็นเพราะร่างกายมีการสร้างคอลลาเจนมากขึ้น ผิวของเราจึงมีความแข็งแรง อ่อนเยาว์ และยกกระชับกรอบหน้าชัดเจน
                                • นอกจากความยืดหยุ่นและกระชับของผิวแล้วยังช่วยลดเลือนริ้วรอยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา ริ้วรอยบนผิวหน้าและลำคอ 
                                • นอกจากบริเวณผิวหน้าที่กระชับและเรียบเนียน SUPER HIFU ยังสามารถช่วยยกกระชับส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น เหนียงบริเวณลำคอที่เกิดจากไขมันส่วนเกินที่ย้อยลงไม่ค่อยน่ามอง SUPER HIFU สามารถช่วยยกกระชับและลดเหนียงได้

                                ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ของ SUPER HIFU จะมีผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์สำหรับคนที่อยากยกกระชับและแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย แต่เนื่องจากการทำ SUPER HIFU มีความแตกต่างจากการผ่าตัดศัลยกรรม ผลลัพธ์ของการยกกระชับด้วย SUPER HIFU จึงไม่คงอยู่อย่างถาวร แต่เราสามารถทำ SUPER HIFU ทุก ๆ 3-6 เดือน เพื่อรักษาผลลัพธ์การยกกระชับและผิวที่อิ่มฟูอุดมไปด้วยคอลลาเจนให้มีประสิทธิภาพไปตลอดได้

                                HIFU

                                SUPER HIFU สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง ?

                                สำหรับคนที่สนใจอยากจะยกกระชับหลาย ๆ ส่วน คงอยากจะทราบว่า SUPER HIFU สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง ซึ่งตามความจริงแล้ว SUPER HIFU สามารถยกกระชับได้หลายส่วนของร่างกาย และสามารถปรับเปลี่ยนหัวยิงของเครื่องให้เหมาะสมกับบริเวณชั้นผิวที่จะทำ SUPER HIFU โดยสำหรับคนที่สงสัยหัวยิงของเครื่องจะมีทั้งหมด 6 รูปแบบดังนี้

                                • หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 2.0 mm : สามารถปล่อยพลังงานลงไปถึงชั้นผิว Dermis (ชั้นหนังแท้) เพื่อกระตุ้นร่างกายให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้นบริเวณชั้นผิว
                                • หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 3.0 mm : หัวยิงสำหรับชั้น Dermis และ Superficial Fat ที่เป็นไขมันชั้นตื้น โดยจะช่วยสลายไขมันและกระตุ้นคอลลาเจน
                                • หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 4.5 mm : สำหรับยกกระชับบริเวณผิวชั้น SMAS ช่วยยกใบหน้ากลับมากระชับและอ่อนเยาว์
                                • หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 6.0 mm : หัวยิงสำหรับยกกระชับกรณีที่ไขมันสะสมบริเวณใต้ชั้นผิวมีความหนาไม่เกิน 1 นิ้ว
                                • หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 6, 9 mm : หัวยิงสำหรับยกกระชับกรณีที่ไขมันสะสมบริเวณใต้ชั้นผิวมีความหนาประมาณ 1 – 1.5 นิ้ว โดยแต่ละคนจะมีความหนาบริเวณชั้นผิวและไขมันที่แตกต่างกัน
                                • หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 9, 13 mm : สำหรับกรณีที่ไขมันหนาเกินกว่า 1.5 นิ้ว และสามารถยกกระชับบริเวณต่าง ๆ เช่น ร่องแก้ม เหนียง คาง เป็นต้น รวมถึงการลดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาและร่องแก้ม

                                โดยบริเวณที่นิยมทำ SUPER HIFU ด้วยหัวยิงทั้ง 6 รูปแบบก็จะมีดังนี้

                                • ผิวหน้าและลำคอ : เป็นบริเวณที่ทำ SUPER HIFU เพื่อยกกระชับและลดรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลา รวมถึงยกเหนียง สลายไขมันเพื่อให้บริเวณดังกล่าวสามารถยกให้แน่นเฟิร์ม ไม่ขาดความกระชับ
                                • ร่างกาย : บริเวณต้นแขน, ต้นขา, เอวสะโพก หรือหน้าท้อง มักเป็นส่วนที่มีไขมันส่วนเกิน เนื้อขาเนื้อแขนเหี่ยวย่นย้อยลงมาไม่น่าดู SUPER HIFU ก็จะช่วยยกส่วนต่าง ๆ ที่เกินออกมาให้กระชับยิ่งขึ้น
                                • บริเวณรอบดวงตา : เนื่องจาก SUPER HIFU เป็นเทคโนโลยีคลื่นอัลตร้าซาวด์จึงสามารถทำการยกกระชับบริเวณรอบดวงตาได้อย่างปลอดภัย ช่วยแก้ปัญหาคิ้วตก หนังตาตก และลดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา

                                HIFU

                                SUPER HIFU ตอบโจทย์สำหรับใครบ้าง ?

                                SUPER HIFU ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับและลดเลือนริ้วรอยความหย่อนคล้อยที่เกิดมาจากความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เสื่อมสภาพไปตามอายุ อย่างเช่นความหย่อนคล้อย ริ้วรอย ความไม่กระชับ หรือเหี่ยวย่น

                                นอกจากนั้น SUPER HIFU ยังเหมาะสำหรับผู้ที่กลัวเข็ม หรือ กลัวการผ่าตัด แต่ต้องการผลลัพธ์การยกกระชับผิวอย่างรวดเร็วและเป็นธรมชาติ โดยรวมแล้ว SUPER HIFU เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวดังนี้

                                • เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ มีริ้วรอยบริเวณผิวหน้าและรอบดวงตา
                                • สำหรับผู้ที่กลัวเจ็บ กลัวการผ่าตัด แต่อยากยกกระชับหน้าเรียวเหมาะสำหรับทำ SUPER HIFU
                                • ส่วนผู้ที่มีกรอบหน้าไม่ชัดเจน ก็สามารถทำ SUPER HIFU เพื่อสร้างกรอบหน้ากระชับหน้าให้เข้ารูป
                                • SUPER HIFU ยังเหมาะสำหรับคนที่ต้องการมีผิวหน้าที่อ่อนเยาว์ โดยไม่ต้องผ่าตัด

                                HIFU

                                เปรียบเทียบความแตกต่างของ SUPER HIFU กับนวัตกรรมยกกระชับอื่น ๆ

                                หัตถการเสริมความงามเกี่ยวกับการยกกระชับได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน จึงมีการคิดค้นหัตถการยกกระชับหลากหลายรูปแบบออกมา ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีความแตกต่างทั้งด้านเทคโนโลยีที่ใช้ในการยกกระชับ, จุดเด่น, ข้อดี-ข้อเสีย, รวมถึงผลลัพธ์ของหัตถการและความเหมาะสมของแต่ละบุคคลที่ไม่เหมือนกัน รมย์รวินท์คลินิกจึงจะนำหัตถการแต่ละประเภทมาเปรียบเทียบกับ SUPER HIFU เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับคนที่สงสัยว่าแต่ละหัตถการแตกต่างกันอย่างไร

                                SUPER HIFU กับ Oligio แตกต่างกันอย่างไร ?

                                Oligio เป็นหัตถการยกกระชับตัวใหม่ล่าสุดแบบแกะกล่องจากเกาหลีใต้ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ผ่านการรับรองมาตรฐานจากทั้งไทย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ว่ามีความปลอดภัยและมีผลลัพธ์ด้านการยกกระชับที่น่าพึงพอใจทั้งยังทำให้ผิวมีคุณภาพที่ดี แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ SUPER HIFU แล้ว ทั้งสองหัตถการจะมีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน มาดูคำตอบกัน

                                หลักการทำงานของ Oligio กับ SUPER HIFU

                                Oligio มีการทำงานด้วยคลื่นวิทยุ Monopolar RF ที่สามารถปรับได้ 3 โหมดคือ โหมดเดี่ยวโหมดคู่ และโหมดอัตโนมัติ พร้อมด้วยเทคนิคพิเศษ Fast Moving Technique ที่ช่วยให้การยกกระชับด้วย Oligio มีความเสถียรมากขึ้น Oligio จึงมีจุดเด่นด้านความปลอดภัยด้วย โดยสามารถสรุปการทำงานได้ดังนี้

                                • Oligio ทำงานโดยอาศัยคลื่นวิทยุ Monopolar RF ความถี่สูง 6.78 MHz ที่ปล่อยคลื่นความลึกถึง 3 mm. ที่สามารถลงไปถึง ผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Fat) โดยความร้อนจากหัว Tips จะยิงพลังงานลงไปอย่างสม่ำเสมอและแม่นยำเพื่อทำให้ผิวเกิดการสังเคราะห์คอลลาเจน ช่วยให้ผิวมีความกระชับ ชั้นไขมันบางลง ผิวหย่อนคล้อยน้อยลง

                                ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการทำหัตถการยกกระชับ

                                จากความแตกต่างของเทคโนโลยีระหว่าง SUPER HIFU และ Oligio ผลลัพธ์ของทั้งสองหัตถการก็จะออกมาแตกต่างกัน และมีผลลัพธ์ที่อยู่นานไม่เหมือนกัน ถึงอย่างนั้นก็ควรพิจารณาปัจจัยอื่นปัญหาที่เกิดขึ้นของแต่ละบุคคล เช่น ริ้วรอย คุณภาพผิว หรืองบประมาณ ก่อนเลือกยกกระชับด้วยหัตถการต่าง ๆ โดยสามารถสรุปความแตกต่างของผลลัพธ์ได้ดังนี้

                                • ผลลัพธ์ของ Oligio ช่วยปรับใบหน้ายกกระชับให้เข้ารูปและช่วยลดไขมันส่วนเกินใต้ผิว ช่วยลดริ้วรอย ผิวเรียบเนียนด้วยปริมาณคอลลาเจนใต้ชั้นผิวที่เพิ่มมากขึ้น แถมยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของผิว อยู่นาน 6-12 เดือน
                                • ผลลัพธ์ของ SUPER HIFU ช่วยยกหน้ากระชับ สร้างกรอบหน้า แก้ปัญหาคิ้วตกและริ้วรอยตามบริเวณผิวหน้า รอบดวงตา และเหนียงที่ลำคอ โดยจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 1-2 เดือน และผลลัพธ์อยู่นานถึง 3-6 เดือน

                                ความรู้สึกระหว่างการยกกระชับ

                                SUPER HIFU เป็นหัตถการยกกระชับที่หลายคนบอกกันว่าเจ็บน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับหัตถการยกกระชับอื่น ๆ เช่น Thermage, Ulthera แต่สำหรับหัตถการ Oligio ที่ถูกพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์ทั้งด้านยกกระชับและความปลอดภัย นวัตกรรมคลื่น RF ความถี่ 6.78 MHz จึงถูกพัฒนาให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกสบายยิ่งขึ้น เจ็บน้อยที่สุด จึงสามารถสรุปได้ว่า SUPER HIFU มีความรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่ Oligio ให้ความสบายระหว่างการยกกระชับ

                                SUPER HIFU กับ Ulthera แตกต่างกันอย่างไร ?

                                SUPER HIFU กับ Ulthera มีความคล้ายคลึงด้านหลักการทำงานที่เป็นการอาศัยเทคโนโลยี Focused Ultrasound ความเข้มข้นสูง เพื่อยกกระชับและกระตุ้นคอลลาเจน แต่ถึงแม้จะใช้เทคโนโลยีเดียวกัน แต่ทั้งสองหัตถการก็จะมีข้อแตกต่างกันดังนี้

                                ลักษณะของคลื่นพลังงาน

                                ถึงแม้ว่าเทคโนโลยี Focused Ultrasound ของ SUPER HIFU และ Ulthera จะพัฒนามาจากนวัตกรรม Ultrasound ที่พวกเรารู้จักกันเป็นอย่างดี แต่คลื่นพลังงานที่ SUPER HIFU และ Ulthera ปล่อยลงสู่ผิวมีความแตกต่างกัน

                                • SUPER HIFU : ปล่อยคลื่นพลังงานออกมาเป็นจุด (Dot) และมีลักษณะการส่งพลังงานเป็นแนวเส้นประและจุดเรียงกันอย่างไม่เป็นระเบียบ 
                                • Ulthera : คลื่นพลังงานขนาด 1 mm. ส่งพลังงานลงไปเป็นเส้นประที่เป็นระเบียบ ด้วยคลื่นพลังงานที่ใหญ่กว่า Ulthera จึงเหมาะสำหรับกรณีที่ผิวหย่อนคล้อยรุนแรงกว่า

                                ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการทำหัตถการยกกระชับ

                                ด้วยความแตกต่างของขนาดคลื่นพลังงานทำให้ Ulthera เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยมาก ๆ ส่วน SUPER HIFU จะเหมาะสำหรับคนที่ผิวหย่อนคล้อยและมีริ้วรอยร่วมด้วย รวมถึงผลลัพธ์หลังทำของทั้งสองหัตถการก็มีระยะเวลาที่แตกต่างกัน ดังนี้

                                • SUPER HIFU : เห็นผลทันทีหลังทำ 20% ผลลัพธ์อยู่นานถึง 3-6 เดือน
                                • Ulthera : เห็นผลทันทีหลังทำ 30% ผลลัพธ์อยู่นานถึง 6-12 เดือน

                                **ผลลัพธ์ที่ออกมาของทั้งสองหัตถการยังคงขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล**

                                ความรู้สึกระหว่างการยกกระชับ

                                เมื่อเปรียบเทียบหัตถการยกกระชับ ทั้ง SUPER HIFU และ Ulthera ก็จะมีความแตกต่างด้านความรู้สึกระหว่างทำหัตถการด้วย เนื่องจากแต่ละคนมีความอดทนต่อความเจ็บปวดที่แตกต่างกัน ปัจจัยด้านความรู้สึกหรือความเจ็บปวดจึงมักมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณาเลือกทำหัตถการต่าง ๆ ด้วย โดยสามารถสรุปได้ดังนี้

                                • ระหว่างการทำ SUPER HIFU ผู้เข้าใช้บริการจะรู้สึกเจ็บน้อยกว่าการทำ Ulthera

                                ความแตกต่างด้านราคาค่าบริการยกกระชับ

                                • จากราคาปัจจุบัน SUPER HIFU จะมีราคาที่แพงน้อยกว่า Ulthera แต่อย่างไรก็ตามราคาค่าบริการต่าง ๆ จะเป็นไปเงื่อนไขและโปรโมชั่นของแต่ละคลินิก

                                SUPER HIFU กับ Thermage แตกต่างกันอย่างไร ?

                                Thermage เป็นหัตถการยกกระชับที่ได้รับความนิยมเหมือนกับ SUPER HIFU ด้วยเทคโนโลยี Monopolar RF โดยไม่ต้องพึ่งพาการผ่าตัด ด้วยการยกกระชับโดยอาศัยเทคโนโลยีที่ต่างกัน SUPER HIFU  กับ Thermage จึงมีความแตกต่างกัน โดยสามารถสรุปความแตกต่างได้ดังนี้

                                หลักการทำงานของ SUPER HIFU และ Thermage

                                • SUPER HIFU : นวัตกรรมยกกระชับผิวด้วยการปล่อยคลื่นอัลตร้าซาวด์ที่มีความเข้มข้นสูงลงไปลึกถึงผิวชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน (SMAS) และชั้นผิวที่อยู่ตื้นกว่าเพื่อยกกระชับและจัดการกับปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ โดยอาศัยความร้อนจุดเล็ก ๆ ลงไปตามบริเวณที่ต้องการยกกระชับ
                                • Thermage : เป็นการนำนวัตกรรมคลื่นวิทยุความถี่สูง Radio frequency หรือที่รู้จักกันแบบย่อ ๆ ว่า RF ในรูปแบบของ Monopolar RF ลงลึกถึงผิวใต้ชั้นหนังแท้ (Hypodermis) ซึ่งเป็นชั้นที่รวมตัวของคอลลาเจนใต้ผิวหนัง และความร้อจากคลื่นวิทยุความถี่สูง จะกระตุ้นการทำงานของคอลลาเจนและเกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ผิวจึงกระชับยิ่งขึ้น

                                ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการทำหัตถการยกกระชับ

                                เนื่องจากความแตกต่างด้านเทคโนโลยีและภาพรวมของหลักการทำงานของ SUPER HIFU และ Thermage ทั้งสองหัตถการจึงมีความแตกต่างด้านผลลัพธ์และรายละเอียดอื่น ๆ แม้จะช่วยยกกระชับได้เหมือนกัน โดยรายละเอียดความแตกต่างด้านผลลัพธ์สามารถสรุปได้ดังนี้

                                • ผลลัพธ์ของ SUPER HIFU : ผิวหน้ากลับมายกกระชับ กระชับสัดส่วนได้ดี แก้ปัญหาคิ้วตก ลดร่องรอยผิวหย่อนคล้อยได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับคนที่อยากสร้างกรอบหน้า โดยจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 1-2 เดือน และผลลัพธ์อยู่นานถึง 3-6 เดือน
                                • ผลลัพธ์ของ Thermage : ยกกระชับรักษาผิวหน้าที่หลวมให้กลับมาแน่นเฟิร์ม กระชับรูขุมขน สามารถทำได้ทั้งบริเวณผิวหน้า รอบดวงตา และร่างกาย เห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 3-6 เดือน และผลลัพธ์ยาวนานถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                                ความรู้สึกระหว่างการยกกระชับ

                                แน่นอนว่าด้วยเทคโนโลยีที่แตกต่างความรู้สึกระหว่างทำ SUPER HIFU และ Thermage ก็จะมีความแตกต่างกันด้วย แต่อย่างไรก็ตามก่อนเข้ารับบริการทำหัตถการควรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากทางแพทย์เสียก่อน เพราะหากเรารู้สึกเจ็บจนไม่สามารถทนได้ระหว่างทำหัตถการ ผลลัพธ์ที่ออกมาคงไม่ค่อยน่าประทับใจนัก

                                Thermage กับ SUPER HIFU จะมีความเจ็บระหว่างทำที่แตกต่างกัน โดยแพทย์ประจำคลินิกได้มีการอธิบายความรู้สึกระหว่างการยกกระชับด้วย SUPER HIFU ว่าเป็นความเจ็บที่เหมือนโดนเครื่องเย็บผ้า ส่วน Thermage จะมีความเจ็บที่มากกว่า เพราะคลื่นพลังงานและความร้อนที่มากกว่า เลยอาจส่งผลต่อคนที่ไม่สามารถทนต่อความเจ็บได้มากนัก

                                SUPER HIFU กับ EMFACE แตกต่างกันอย่างไร ?

                                EMFACE เป็นหัตถการยกกระชับที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ตัวอื่น ๆ เลย รวมถึงพึ่งมีการเปิดตัวหัว Applicator ใหม่ล่าสุดภายใต้ชื่อ EMFACE Submentum ไปเมื่อไม่นานมานี้ ส่งผลให้ EMFACE นอกจากจะช่วยยกกระชับผิวหน้าแล้วยังมาพร้อมกับตัวเลือกยกหน้า เก็บเหนียงที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของหัตถการ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ SUPER HIFU แล้ว ทั้งสองมีความแตกต่างมากน้อยแค่ไหนมาดูกัน

                                หลักการทำงานของ EMFACE เปรียบเทียบกับ SUPER HIFU

                                ความแตกต่างด้านหลักการทำงานของ SUPER HIFU และ EMFACE มาจากเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการยกกระชับ โดย EMFACE เป็นการผสมผสานการทำงานของ 2 เทคโนโลยี ทำให้การทำงานของ EMFACE แตกต่างจาก SUPER HIFU พอสมควร โดยสามารถสรุปได้ดังนี้

                                EMFACE เป็นการผสมผสานระหว่างสองเทคโนโลยี ได้แก่ เทคโนโลยี HIFES (High Intensity facial electric stimulation) และ เทคโนโลยี Synchronized RF  

                                • เทคโนโลยี HIFES (High Intensity facial electric stimulation) : เป็นคลื่นวิทยุที่มีความถี่ลักษณะพิเศษที่ออกแบบมาให้มีรูปแบบการกระจายพลังงานที่สม่ำเสมอและทั่วถึงบริเวณผิวหนัง ทำให้กล้ามเนื้อผิวหนังเกิดการหดและเกร็งตัวเสมือนการออกกำลังกาย และคลื่นตัวนี้ยังช่วยเรื่องการกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวที่เหี่ยวย่นกลับมาเรียบเนียน ไร้ริ้วรอย พร้อมระบบควบคุมการทำงานด้วย AI อัจฉริยะ ที่ควบคุมการปล่อยคลื่นออกมาไปยังชั้นผิวอย่างเหมาะสม
                                • เทคโนโลยี Synchronized RF  : พลังงานจากคลื่นวิทยุแม่เหล็กที่มีกำลังไฟฟ้าแรงสูงร่วมกับคลื่นวิทยุ RF ช่วยกระตุ้นการยกกระชับผิวและเผาผลาญไขมันอย่างมีประสิทธิภาพ ผิวจึงมีความยืดหยุ่นและกระชับได้ดียิ่งขึ้น โดยมีระบบควบคุมพลังงานเพื่อป้องกันอันตรายและไม่ให้ผิวเบิร์นเนื่องจากความร้อนที่มากจนเกินไป

                                ด้วยเทคโนโลยีที่มีความหลากหลายของ EMFACE การทำงานของหัตถการจึงแตกต่างจาก SUPER HIFU แต่ SUPER HIFU ยังคงมีประสิทธิภาพด้านการยกกระชับเหมือนกับ EMFACE โดยอาศัยเทคโนโลยี High Intensity Focused Ultrasound 

                                ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการทำหัตถการยกกระชับ

                                • ผลลัพธ์ของ EMFACE : ช่วยยกกระชับใบหน้า ลดเหนียงและไขมันบริเวณผิวหน้า อยู่ได้นานถึง 1 ปี ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ SUPER HIFU ที่ผลลัพธ์อยู่นาน 3-6 เดือน เห็นผลชัดเจนหลังทำ 1-2 เดือน ส่วน EMFACE จะเห็นผลชัดเจนหลังทำครบ 4 ครั้ง

                                ความรู้สึกระหว่างการยกกระชับ

                                EMFACE ออกแบบมาเหมาะสมกับคนที่กลัวเจ็บ เนื่องจากการทำ EMFACE ระหว่างทำจะไม่รู้สึกเจ็บเลยจะรู้สึกแค่กระตุก และโดนบังคับให้ขยับใบหน้าเพียงเท่านั้น

                                ถึงแม้ว่า SUPER HIFU จะทำให้รู้สึกเจ็บน้อยแล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ EMFACE ก็นับได้ว่า EMFACE ตอบโจทย์เรื่องความสบายระหว่างทำการยกกระชับมากกว่า

                                รมย์รวินท์คลินิก คำตอบของการยกกระชับอยู่ที่นี่แล้ว !

                                ทางทีมแพทย์ของรมย์รวินท์คลินิกพร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำหัตถการที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ด้วยคอนเซปต์ ROMRAWIN for the better you และประสบการณ์การทำงานด้านหัตถการเสริมความงามมามากกว่า 30 ปี พร้อมให้บริการสำหรับทุกคนที่มีปัญหาผิวไม่ว่าจะเป็นผิวหน้าหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ มีริ้วรอย ก็สามารถมายกกระชับด้วยนวัตกรรมต่าง ๆ ที่รมย์รวินท์คลินิก ด้วยหัตถการยกกระชับที่มีตัวเลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น SUPER HIFU, Oligio, EMFACE และ EMFACE Submentum

                                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                  วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                  Hifu ข้อดี-ข้อเสียมีอะไรบ้าง ? ทำไมต้องทำ ?

                                  Hifu

                                  Hifu ดียังไง คลายข้อสงสัย ทำไมใครๆก็ต้องทำ 

                                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                    วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                    เมื่อพูดถึงเรื่องยกกระชับใบหน้า เพื่อลดความหย่อนคล้อยเพิ่มความเฟิร์มกระชับให้กับผิวหน้า ในปัจจุบันมีเทคนโนโลยีที่ใช้ในการยกกระชับใบหน้ามีหลากหลายวิธีที่แตกต่างกันออกไป  Hifu เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ช่วยในการยกกระชับใบหน้าที่ได้รับการยอมรับจากทีมแพทย์ของวงการความงามทั่วโลกในเรื่องของผลลัพธ์และประสิทธิภาพในการยกกระชับใบหน้าเพื่อลดความหย่อนคล้อย

                                    แม้ว่าการยกกระชับด้วย Hifu (ไฮฟู่) จะเป็นโปรแกรมที่ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้ดี แต่ Hifu (ไฮฟู่) ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ที่ผู้เข้ารับบริการควรทราบ และทำความเข้าใจก่อนเข้ารับบริการเพื่อความเข้าใจที่ตรงรวมทั้งความสบายใจในการรักษา

                                    รู้ก่อนเสี่ยง! รวมข้อดีข้อเสียของ Hifu สวยปลอดภัยก่อนทำไฮฟู่

                                    Hifu

                                    Hifu ข้อดีของการยกกระชับด้วยไฮฟู่มีอะไรบ้าง?

                                    รวมข้อดีของการทำ Hifu(ไฮฟู่) นวัตกรรมยกกระชับ ปรับหน้าเรียว เก็บผิวหย่อนคล้อย มีอะไรบ้าง เช็กลิสต์ได้เลยดังนี้

                                    • Hifu (ไฮฟู่) ช่วยยกกระชับปรับหน้าเรียว เห็นผลหลังทำทันที

                                    หนึ่งในข้อดีของ Hifu (ไฮฟู่) ที่ได้รับความไว้วางใจอย่างมากที่สุด คงหนีไม่พ้นเรื่องของผลลัพธ์หลังทำทันที โดยหลังจากทำการยกกระชับด้วย Hifu (ไฮฟู่) จะเห็นผลลัพธ์หลังทำทันทีประมาณ 20% ทำให้ใบหน้าเรียวขึ้น เก็บทุกผิวหย่อนคล้อยให้กลับมาอ่อนเยาว์อีกครั้ง

                                    • ยกกระชับด้วย Hifu (ไฮฟู่) ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องฉีด ไม่ต้องพักฟื้นนาน

                                    การปรับรูปหน้า ลดเลือนริ้วรอย สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการยกกระชับ กับเครื่องได้มาตรฐานระดับสากล เช่น Ultraformer ข้อดีคือเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบเข็ม ไม่ต้องการผ่าตัด เพราะ Hifu (ไฮฟู่) เป็นการใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ส่งพลังงานลึกลงสู่ชั้นผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen) และเพื่อผิวกระชับปรับหน้าเรียวสวย

                                    • Hifu (ไฮฟู่) มีความปลอดภัยสูง ไม่เป็นอันตราย

                                    การทำ Hifu (ไฮฟู่)  ไม่ทำร้ายผิวชั้นนอก เนื่องจากใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ลงสู่ผิวชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) จึงมีความปลอดภัยสูงแบบไม่กระทบกับผิวชั้นบน โดยเครื่อง Hifu (ไฮฟู่) ของรมย์รวินท์คลินิกได้รับมาตรฐานปลอดภัย ซึ่งดูแลโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อผลลัพธ์ที่ได้ประสิทธิภาพสูงที่สุด

                                    • Hifu (ไฮฟู่) เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ

                                    Hifu (ไฮฟู่) เป็นนวัตกรรมในด้านของการยกกระชับ โดยเฉพาะที่เห็นผลลัพธ์หลังทำทันทีโดยประมาณ 20% โดยจะมีความรู้สึกหลังทำทันทีว่าใบหน้าของเรานั้นมีความยกกระชับขึ้นเล็กน้อย หลังจากยกกระชับด้วย Hifu (ไฮฟู่) ในช่วงระยะเวลา 1-2 เดือน จะเป็นช่วงที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนมากที่สุด นอกจากนี้ Hifu (ไฮฟู่) สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ เช่น ฟิลเลอร์ การฉีดโบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้น

                                    • Hifu (ไฮฟู่) ยิ่งทำซ้ำยิ่งเห็นผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น

                                    ข้อดีของการทำ Hifu (ไฮฟู่) ในทุก 4-6 เดือน จะยิ่งเห็นผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม เพราะการทำ Hifu (ไฮฟู่) จะช่วยกระตุ้นในการสร้างคอลลาเจน (Collagen) ได้อย่างเต็มที่ ทำให้รู้สึกผิวเต่งตึง ผิวมีความยืดหยุ่น เฟิร์มกระชับ รูขุมขนเล็กลง หน้าเนียนใสดูเป็นธรรมชาติ

                                    • Hifu (ไฮฟู่) ป้องกันปัญหาผิวหย่อนคล้อยในอนาคตได้

                                    หลังจากทำ Hifu (ไฮฟู่) ผิวจะได้รับการกระตุ้นคอลลาเจน ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวแข็งแรงขึ้น ทำให้สามารถป้องกันผิวหย่อนคล้อยในอนาคตได้ ซึ่ง Hifu (ไฮฟู่) เป็นหัตถการที่ให้ผลลัพธ์ยาวนาน จึงทำให้การทำโปรแกรม Hifu (ไฮฟู่) อย่างต่อเนื่องจะยังคงรักษาผลลัพธ์นั้นไว้อย่างต่อเนื่อง

                                    • Hifu (ไฮฟู่) ทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้

                                    การทำ Hifu สามารถทำควบคู่กับหัตถการอื่น ๆ ร่วมกันได้ เช่น การฉีดโบ, ฟิลเลอร์ (Filler), ร้อยไหม (Thread), เมโสแฟต (Meso Fat) เป็นต้น ทั้งนี้การทำ Hifu (ไฮฟู่) ควบคู่ไปกับหัตถการอื่นอยู่ที่การวิเคราะห์และประเมินใบหน้าของแพทย์ เพราะฉะนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ Hifu (ไฮฟู่) ทุกครั้ง

                                    Hifu

                                    Hifu ข้อเสียของการยกกระชับด้วยไฮฟู่มีอะไรบ้าง?

                                    ในข้อดีก็มักมีข้อเสียร่วมด้วยเป็นปกติ ข้อเสียของ Hifu มีดังนี้

                                    • หลังทำ Hifu (ไฮฟู่) ผลลัพธ์ไม่สามารถคงอยู่ถาวร

                                    ผลลัพธ์หลังการทำ Hifu (ไฮฟู่) ไม่สามารถอยู่ถาวรได้ แต่สามารถกลับมาทำซ้ำได้ เพื่อผลลัพธ์ที่ยาวนานอย่างมีประสิทธิภาพ

                                    • หลังทำ Hifu (ไฮฟู่) อาจมีอาการเมื่อยหรือตึงหน้า

                                    หลังจากที่ทำ Hifu (ไฮฟู่) อาจจะมีความรู้สึกเมื่อยหรือตึงที่ใบหน้า เพราะเป็นการใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ระดับเข้มข้น เพื่อการยกกระชับใบหน้า เก็บกรอบหน้าให้คมชัด เก็บทุกริ้วรอยต่าง ๆ ซึ่งอาการเมื่อยหรือตึงใบหน้าหลังทำ Hifu (ไฮฟู่) จะกลับสู่ภาวะปกติภายในระยะเวลา 1-2 วัน ในบางคนอาจไม่มีอาการนี้อยู่เลย

                                    • Hifu (ไฮฟู่) มีข้อควรระวังกับคนบางกลุ่ม

                                    การยกกระชับด้วยเครื่อง Hifu มีข้อควรระวังที่ต้องรู้กับคนบางกลุ่ม หากต้องการยกกระชับ Hifu (ไฮฟู่) ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง โดยมีข้อระวัง ดังนี้

                                    1. ผู้ที่มีบาดแผลสดที่ยังไม่หายดี หรือผู้ที่มีแผลเปิด
                                    2. ผู้ที่มีแผลเป็นคีลอยด์
                                    3. ผู้ที่มีการฝังโลหะใต้ผิวหนังบริเวณที่ต้องการทำการรักษา
                                    4. สตรีมีครรภ์
                                    • มีผลข้างเคียงของการทำ Hifu (ไฮฟู่)

                                    ผลข้างเคียงของการทำ Hifu ข้อเสียที่เกิดจากการทำ Hifu (ไฮฟู่) เช่น เครื่องปลอม เครื่องไม่ได้มาตรฐาน ปล่อยพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ไม่สม่ำเสมอกัน ยิงพลังงานสูงลงสู่ชั้นผิวจนผิวเกิดการไหม้ หรือยิงโดนเส้นประสาททำให้เกิดหน้าบวม ปากเบี้ยวได้

                                    • หลังทำ Hifu (ไฮฟู่) อาจมีความรู้สึกเจ็บ มีอาการ้อน แดงที่ผิว

                                    เครื่อง Hifu (ไฮฟู่) ปล่อยพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ลงสู่ใต้ชั้นผิวหนัง หลังจากนั้นจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ทำให้อุณหภูมิใต้ผิวสูงจนทำให้เกิดความอุ่นไปจนถึงร้อนสะสมใต้ผิวหนังและเกิดเป็นรอยแดงบนใบหน้าได้ แต่หลังจากการทำ Hifu (ไฮฟู่) อาจมีอาการผิวร้อนและรอยแดงที่ผิว โดยอาการนี้จะค่อย ๆ หายเป็นปกติภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่หากมีอาการแสบร้อนมาก แนะนำว่าให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที

                                    • หลังทำ Hifu (ไฮฟู่) ผิวหน้าบวมน้ำ หรือ ผิวหน้าบวม

                                    อาการหน้าบวมน้ำ หรือ อาการหน้าบวมอักเสบ สามารถเกิดขึ้นหลังจากทำ Hifu (ไฮฟู่) ได้ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงหลังทำที่เกิดขึ้นตามปกติ โดยสามารถรับประทานยาลดอการปวดอักเสบได้ตามแพทย์สั่ง

                                     

                                    ข้อควรระวังหลังยกกระชับด้วย Hifu (ไฮฟู่)

                                    หลังจากการทำ Hifu (ไฮฟู่) ควรระวังและดูแลตนเองเพื่อลดผลข้างเคียง ดังนี้

                                    • ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์หลังทำ Hifu (ไฮฟู่) เพราะบุหรี่และแอลกอฮอล์มีสารอนุมูลอิสระที่เข้าไปทำให้ผลลัพธ์ของการกระตุ้นคอลลาเจนไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างที่ควร
                                    • ไม่ควรนวดหรือถูใบหน้า แรงจนเกินไปหลังจากทำ Hifu (ไฮฟู่) เพราะทำให้ผิวอักเสบได้ หากมีอาการปวดควรประคบเย็นหรือทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวด
                                    • หลังจากทำ Hifu (ไฮฟู่) ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัดกลางแจ้ง เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันความร้อนสะสมใต้ชั้นผิวหนังที่มากเกินไป 
                                    • ควรทาครีมบำรุงผิว ตามปกติและควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++ เพื่อป้องกันผิวจากแสงแดด

                                     

                                    เปรียบเทียบ HIFU (ไฮฟู่) กับเทคโนโลยียกกระชับชนิดอื่น

                                    Hifu VS Ulthera

                                    Hifu (ไฮฟู่) กับUlthera SPT  ต่างกันอย่างไร?

                                    Hifu (ไฮฟู่) กับ Ulthera SPT (อัลเทอร่า) แตกต่างกันในเรื่องของขนาดจุดโฟกัส ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ที่ได้แตกต่างกันออกไป โดย Hifu มีขนาดจุดโฟกัสประมาณ 0.3-0.5 mm ส่วน Ulthera จะมีขนาดจุดโฟกัสประมาณ 1 mm ซึ่งขนาดของจุดโฟกัสที่แตกต่างกันทำให้ Ulthera SPT (อัลเทอร่า) มีขนาดของจุดโฟกัสที่ใหญ่กว่า Hifu (ไฮฟู่) ทำให้สามารถยิงค่าพลังงานออกมาได้เสถียรคงที่กว่าการทำ Hifu (ไฮฟู่) 

                                    นอกจากนี้ Hifu (ไฮฟู่) และ Ulthera SPT (อัลเทอร่า) มีการยิงพลังงานในรูปแบบที่แตกต่างกัน ซึ่ง Hifu (ไฮฟู่) ยิงพลังงานในรูปแบบ Single Shot และ Line Cartridge ขึ้นอยู่กับหัวเครื่องที่ใช้ยิง ส่วน Ulthera SPT (อัลเทอร่า) ยิงพลังงานในรูปแบบ Line Cartridge 

                                    ลักษณะการยิงแบบ  Single Shot และ Line Cartridge มีรายละเอียด ดังนี้

                                    • การยิงแบบ Single Shot เป็นลักษณะของการเรียงตัวเป็นจุด 1 จุด 
                                    • การยิงแบบ Line Cartridge เป็นลักษณะเรียงตัวเป็นเส้น โดย 1 เส้นประกอบไปด้วยจุดเรียงกัน 15-25 จุด

                                    Hifu VS Thermage FLX

                                    Hifu (ไฮฟู่)Thermage กับ (เทอร์มาจ) ต่างกันอย่างไร?

                                    Hifu (ไฮฟู่) และ Thermage (เทอร์มาจ) แตกต่างกันในเรื่องของหลักการทำงาน การปล่อยคลื่นคนละชนิดและการลงสู่ชั้นผิวลึกไม่เท่ากัน 

                                    ซึ่ง Thermage (เทอร์มาจ) ปล่อยคลื่นพลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง (Radio Frequency: RF) ตัวคลื่น RF ที่ใช้เป็น Monopolar RF หรือคลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว ลงลึกไปถึงชั้นใต้หนังแท้ ซึ่งเป็นชั้นผิวที่อยู่ของคอลลาเจน (Collagen) การทำงานของ Thermage (เทอร์มาจ) จะปล่อยพลังงานความร้อน ทำให้คอลลาเจนในชั้นผิวเกิดการหดตัว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ 

                                     

                                    ส่วน Hifu (ไฮฟู่) เป็นการปล่อยพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ที่มีความเข้มข้นสูงแบบเฉพาะเจาะจงลงไปสู่ชั้นผิว SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) โดยพลังงานของคลื่นอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) จะเปลี่ยนเป็นความร้อนจุดเล็ก ๆ ไปตามตำแหน่งต่าง ๆ

                                    คำถามพบบ่อยที่เกี่ยวกับ Hifu (ไฮฟู่)

                                    • Hifu (ไฮฟู่) ผลลัพธ์อยู่ได้นานไหม?

                                    ผลลัพธ์หลังจากทำ Hifu (ไฮฟู่) นั้นจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังจากทำประมาณ 1 เดือน และสามารถอยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน

                                    • Hifu (ไฮฟู่) เจ็บไหม?

                                    ระหว่างทำ Hifu (ไฮฟู่) จะมีความรู้สึกตึงและเมื่อยใต้ผิวบริเวณที่ทำ เป็นการยิงค่าพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) เข้าสู่ชั้นผิว โดยที่ก่อนทำแพทย์จะมีการแปะยาชาก่อนทำเสมอ 

                                    • Hifu (ไฮฟู่) ทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน?

                                    การทำ Hifu (ไฮฟู่) โดยปกติแล้วจะสามารถเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่สุดหลังทำ Hifu ไปแล้วประมาณ 1 เดือน และสามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 6-12 เดือน โดยการทำ Hifu (ไฮฟู่) สามารถทำซ้ำทุก ๆ 3 เดือนเพื่อความต่อเนื่องสู่ผลลัพธ์ที่สวยนานขึ้น 

                                    สรุป ข้อดี-ข้อเสียของ Hifu (ไฮฟู่)

                                    จากการเปรียบเทียบข้อมูลของข้อดีและข้อเสียของการทำ Hifu (ไฮฟู่) จะเห็นได้ชัดว่าข้อดีของการทำ Hifu (ไฮฟู่) มีมากกว่าข้อเสีย และข้อเสียที่กล่าวมานั้น เป็นอาการที่สามารถพบได้ในการทำเครื่องยกกระชับหลายๆเครื่อง และยังสามารถหายได้เองในระยะเวลาไม่นาน จึงทำให้การทำ Hifu (ไฮฟู่) กลายเป็นเครื่องยกกระชับยอดนิยมที่มีคนเข้ารับบริการกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้การทำ Hifu (ไฮฟู่) ที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีประสิทธิภาพนั้น ต้องเลือกทำ Hifu (ไฮฟู่) กับคลินิกที่ได้รับมาตรฐาน เครื่องแท้ และทีมแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น

                                    รมย์รวินท์คลินิก เป็นคลินิกที่มีมาตรฐาน พร้อมทีมแพทย์ที่มากประสบการณ์ พร้อมให้คำแนะนำและปรึกษาก่อนเข้ารับบริการทุกเคส ใส่ใจทุกการบริการเพื่อผลลัพธ์ที่ได้ประสิทธิภาพในการรักษาอย่างต่อเนื่อง

                                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                      วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                      กำจัดขน (Hair removal) ไม่ทิ้งตอด้วย YAG Laser 1064

                                      กำจัดขน

                                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                        วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                        ไม่สะดุดตอขน แต่สะดุดใจ ต้องลองกำจัดขน (Hair removal) ด้วย YAG Laser 1064

                                        เรื่องขนๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่าชะล่าใจไป เพราะแค่ปัญหาขนก็สามารถทำให้ความฟินสะดุดกึ้กได้ ยิ่งขนเป็นตอ ไม่เรียบเนียน ยิ่งทำให้สะดุด จะใส่อะไร โชว์หน้า โชว์ใต้วงแขน หรือจะโชว์ขา ก็ทำให้ไม่มั่นใจ ยิ่งการกำจัดขนด้วยวิธีแบบเดิมๆ อย่างการโกน หรือการแวกซ์ขน ก็ยิ่งทำลายผิว กำจัดไม่ถึงต้นตอ ทำให้เหลือตอขนเอาไว้ แถมบางทียังทำให้ผิวระคายเคือง และที่ร้ายแรงอาจทำให้เกิดขนคุดอีกด้วย

                                        สำหรับคนที่ไม่อยากมีขนตามร่างกายคงพยายามหาวิธีในการกำจัดขนให้เกลี้ยงเกลามาหลายๆ วิธี แต่ถ้าได้มาลองรู้จักกับ YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนที่รมย์รวินท์ คลินิก ก็หมดห่วงเรื่องขนๆ ไปได้เลย ที่รมย์รวินท์กล้าการันตีขนาดนี้ เพราะมีรีวิวจากผู้ใช้ YAG Laser 1064 กำจัดขนจริงเพียบบบ

                                        ลืมวิธีการโกนแบบเดิมไปได้เลย ตั้งแต่ได้มารู้จักกับ YAG Laser 1064 

                                        YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนที่อ่อนโยนต่อผิว ยิงด้วยพลังงานคลื่น 1064 นาโนเมตร มีความแม่นยำและลงลึกถึงชั้นรากขน โดยแสงเลเซอร์จะลงไปจับเม็ดสีเมลานินในรากขน ทำให้ YAG Laser 1064 สามารถกำจัดขนได้ลึกถึงต้นตอ อีกทั้ง YAG Laser 1064 ยังมีหัวยิงที่มีขนาดเล็กที่สามารถเข้าถึงได้ทุกบริเวณที่ต้องการกำจัดขน และระหว่างที่ทำจะปล่อยไอเย็น หรือ Cryogen ออกมาเพื่อช่วยปลอบประโลมผิวทำให้เจ็บน้อย และไม่ทำให้ผิวไม้เบิร์น ไม่ทำให้เกิดขนคุด

                                        ลืมปัญหาขนคุดไปได้เลย

                                        การกำจัดขนด้วยวิธีอื่นๆ เช่นการโกน การแว็กซ์ หรือการถอน อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง และอักเสบ หรืออุดตัน พอขนงอกขึ้นใหม่ส่งผลให้ขนไม่สามารถแทงทะลุรูขุมขนบริเวณนั้นขึ้นมาได้ ทำให้เกิดอาการขนคุด เกิดการสะสมของแบคทีเรีย และอาจติดเชื้อได้ ซึ่งตัว YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนตอบโจทย์มากสำหรับปัญหาเรื่องขน ทั้งกำจัดขน และลดปัญหาที่เกิดจากการกำจัดขนได้ดี ที่สำคัญยังมีความอ่อนโยน และปลอดภัย ใครอยากกำจัดขนต้องไปลอง YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนแล้วที่รมย์รวินท์คลินิกดูแล้ววว

                                        YAG Laser 1064 กำจัดขนตรงไหนได้บ้างนะ

                                        ตามที่กล่าวมาว่า YAG Laser 1064 สามารถทำได้ทุกบริเวณเพราะมีหัวเล็กที่เล็ก เข้าได้ทุกพื้นที่ที่ต้องการกำจัดขนไม่ว่าจะเป็น

                                        • YAG Laser 1064 กำจัดขนบนใบหน้า หนวด เครา ช่วยทำให้หน้าเกลี้ยงเกลาไม่ระคายเคือง หรือเป็นตอขนซึ่งอาจกลายเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวที่หน้า
                                        • YAG Laser 1064กำจัดขนรักแร้ ช่วยให้ผิวใต้วงแขนเรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอ ไม่เป็นหนังไก่
                                        • YAG Laser 1064 กำจัดขนแขน  ให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส มีสีผิวสม่ำเสมอ กล้าอวดผิวสวย
                                        • YAG Laser 1064 กำจัดขนขา ผิวบริเวณขากระจ่างใส เรียบเนียน ไม่ทิ้งตอขนให้รำคาญใจ จะใส่กางเกง หรือกระโปรงสั้นก็มั่นใจมากขึ้น
                                        • YAG Laser 1064 กำจัดขนในจุดซ่อนเร้น ไม่ว่าจะเป็นบิกินี หรือ บราซิลเลี่ยน ลดการอับชื้น ผื่นคันบริเวณจุดซ่อนเร้น ใส่บิกินีโชว์หน้าร้อนก็มั่นใจขนไม่แพลม

                                        YEG Laser 1064 2

                                        ทำไมต้องกำจัดขนด้วย YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขน

                                        • YAG Laser 1064 ยิงพลังงานคลื่นแสงอินฟราเรด ที่มีช่วงความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร ซึ่งยิงได้ลึกถึงรากขน
                                        • YAG Laser 1064 มี Cryogen หรือไอเย็นปล่อยขณะทำเพื่อปลอบประโลมผิว และช่วยลดอุณหภูมิของผิว ไม่ทำให้ผิวเกิดการไหม้เบิร์น
                                        • YAG Laser 1064 ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวบริเวณที่ถูกกำจัดขนเรียบเนียน ไม่เกิดหนังไก่
                                        • YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนลงลึกถึงรากขน ไม่เป็นตอขน ไม่ทำให้เกิดขนคุด
                                        • YAG Laser 1064 เหมาะกับทุกผิว โดยเฉพาะผิวคนเอเชีย
                                        • YAG Laser 1064 ปลอดภัยต่อผิว เพราะจับเม็ดสีเมลานินจากรากขนเป็นหลัก ไม่ทำลายผิวบริเวณรอบข้าง
                                        • YAG Laser 1064 เห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
                                        • YAG Laser 1064 หลังทำขนมีเส้นเล็กและบางลง
                                        • YAG Laser 1064 มีผลข้างเคียงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับวิธีการกำจัดขนแบบอื่นๆ
                                        • YAG Laser 1064 ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก USFDA สหรัฐอเมริกา

                                        ดูแลผิวบริเวณที่ทำ YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนยังไงดีนะ

                                        • หลังทำ YAG Laser 1064 ควรหลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อผ้ารัดๆ ในช่วงแรกหลังทำ เพื่อลดอาการระคายเคือง
                                        • หลังทำ YAG Laser 1064 สามารถทาเจลเย็น และประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมแดงของผิว
                                        • หลังทำ YAG Laser 1064 งดการว่ายน้ำในช่วง 8 – 12 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้คลอรีนสัมผัสกับผิว
                                        • หลังทำ YAG Laser 1064 ควรเลี่ยงการสัมผัสแดดโดยตรง ในช่วง 1 อาทิตย์แรกหลังเลเซอร์
                                        • หลังทำ YAG Laser 1064 งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ช่วงหลังเลเซอร์

                                        เปรียบเทียบ YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนกับวิธีการกำจัดขนแบบอื่นๆ

                                        การโกนขน : วิธีนี้เป็นวิธีการกำจัดขนที่รวดเร็วที่สุดในการกำจัดขน และเป็นวิธีที่อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง ทิ้งแผลไว้ เกิดขนคุด หรือปัญหาหนังไก่ได้ง่ายเช่นกัน

                                        ครีมกำจัดขน  : เป็นครีมที่มีส่วนผสมของ Calcium Thioglycolate และ Calcium hydroxide เมื่อทาบริเวณที่มีขนจะเข้าไปทำลายโปรตีนเคราติน ทำให้เส้นขนอ่อน และหลุดในที่สุด ซึ่งกำจัดขนได้แค่ชั้นผิวเท่านั้น ไม่สามารถลงลึกได้ถึงรากขน ทำให้เมื่อกำจัดขนแล้วยังเหลือตอขนและขนงอกใหม่เร็ว และอาจเกิดการระคายเคืองจากครีมกำจัดขนได้

                                        hair removal

                                        การแว็กซ์ขน : เป็นอีกวิธีการกำจัดขนที่ได้รับความนิยม โดยการใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ หรือการใช้แผ่นแว็กซ์แบบสำเร็จรูป สามารถกำจัดขนได้ถึงราก และทำให้ขนขึ้นช้าลง แต่เป็นการกำจัดขนที่รบกวนผิว อาจเกิดการระคายเคือง หรืออักเสบบวมแดง และอาจเกิดขนคุดได้

                                        กำจัดขนด้วย IPL : กำจัดขนด้วยคลื่นแสงขนาด 515-1,200 นาโนเมตร โดยจับเม็ดสีเมลานินเปลี่ยนพลังงานแสงให้เป็นพลังงานความร้อนเพื่อกำจัดขน ด้วยเครื่อง IPL มีความกว้างของพลังงานแสงมาก เวลายิงทำให้แสงกระจายตัวเป็นวงกว้าง ส่งผลให้ยิงกำจัดขนได้ไม่ถึงรากขน จึงต้องซ้ำบ่อยๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และอาจทำให้เกิดการระคายเคือง และผิวไหม้เบิร์นได้เพราะนอกจากกำจัดขนแล้ว IPL ยังกำจัดเม็ดสีเช่น ฝ้า กระ จุดดำได้ด้วย อาจทำให้จับเม็ดสีบริเวณอื่นที่ไม่ใช่ขนทำให้เสี่ยงต่อการไหม้เบิร์นของผิว

                                        กำจัดขนด้วย DIODE :  เลเซอร์กำจัดขนที่มีความยาวคลื่นตั้งแต่ 800-1,350 นาโนเมตร กำจัดขนโดยการจับเม็ดสีเมลานินให้ดูดซึมพลังงานแสง และเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนเพื่อทำลายเส้นขน สามารถยิงได้ลึกถึงรากขน แต่ไม่เหมาะกับคนที่มีผิวเข้ม เพราะอาจเสี่ยงทำให้ผิวเกิดการไหม้เบิร์นได้

                                        เลือกกำจัดขน ต้องเลือก YAG Laser 1064 ที่รมย์รวินท์คลินิก

                                        เรื่อง

                                        YAG Laser 1064 เลเซอร์ที่ตอบโจทย์มากสำหรับปัญหาเรื่องขน ทั้งกำจัดขน และลดปัญหาที่เกิดจากการกำจัดขนได้ดี ที่สำคัญยังมีความอ่อนโยน และปลอดภัย

                                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                          วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                          Lifting Select เทคนิค ยกกระชับใบหน้าให้สวยครบทุกมิติ

                                          Lifting Select

                                          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                            วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                            Lifting Select ยกกระชับใบหน้า ทุกมิติด้วยศาสตร์และศิลป์โดยผู้เชี่ยวชาญ

                                            เทคนิค Lifting Select  เป็นเทคนิคที่ถูกสร้างสรรค์ พัฒนาขึ้นมาจากประสบการณ์ และความเข้าใจโครงสร้างผิวของชั้นผิว รวมทั้งปัญหาผิวของคนเอเชียที่สั่งสมมายาวนานกว่า 20 ปี ถูกออกแบบขึ้นเพื่อให้การยกกระชับใบหน้า ให้กับผู้เข้ารับบริการ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การรักษาในมิติเดียว หรือเป็นเพียงการยกกระชับ แค่ส่วนใดส่วนหนึ่งของใบหน้าเท่านั้น แต่เทคนิค Lifting Select เป็นการปรับทุกมิติของใบหน้าอย่างครบถ้วนทั้งความหย่อนคล้อย ไม่กระชับ ปัญหาริ้วรอย ร่องลึก และยังช่วยในการปรับคุณภาพผิว อันเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความร่วงโรยแห่งวัย

                                            Lifting Select 2 scaled

                                            เทคนิค Lifting Select คือ ศาสตร์วิเคราะห์เพื่อค้นพบ “จุดงดงาม” บนใบหน้าผ่าน 3 เฟรมเวิร์ค ที่คิดค้นและออกแบบ โดยทีมแพทย์จากรมย์รวินท์คลินิก จึงทำให้เทคนิค Lifting Select เป็นเทคนิคที่มีแค่ที่เดียวเท่านั้น

                                            โดยเทคนิค Lifting Select เป็นเทคนิคที่ออกแบบเฉพาะสำหรับบุคคล จึงทำให้คุณดูดีได้มากกว่า ในแบบที่เป็นคน

                                            จุดงดงามบนใบหน้าในความหมายของเทคนิค Lifting Select คืออะไร 

                                            จุดที่ทำให้ใบหน้าของแต่ละคนดูโดดเด่นมากขึ้น  และยังเป็นจุดที่สร้างความมั่นใจให้กับบุคคลอีกด้วย  เมื่อผ่านการวิเคราะห์ใบหน้าตามหลักการวิเคราะห์ ของเทคนิค Lifting Select แล้วผู้เข้ารับบริการจะได้ค้นพบว่า ต้องแก้ไขปัญหาต่างๆบนใบหน้าอย่างไร จึงจะสามารถเติมเต็มในส่วนที่เป็นปัญหาของใบหน้า หรือเสริมเติมแต่งให้จุดเด่นของใบหน้าที่มีอยู่เดิมนั้นดูดียิ่งขึ้น  นอกจากนี้เทคนิค Lifting Select ยังเป็นเทคนิคที่เสริมสร้างให้ผิวดูสุขภาพดี และสวยอย่างเป็นธรรมชาติในแบบฉบับของตัวเองมากที่สุดอีกด้วย

                                            3 เฟรมเวิร์คของโดยเทคนิค Lifting Select ประกอบไปด้วย

                                            1. Frame Selection แก้ไขและปรับโครงหน้า และให้กลับมาอ่อนเยาว์
                                            2. Light & Shadow Me เพิ่มมิติบนใบหน้าให้เกิดความชัดเจนมากกว่าที่เคย
                                            3. Conceal Selection เผยผิวอย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องปกปิดปัญหาอีกต่อไป

                                            Lifting Select

                                            1. FRAME SELECTION แก้ไขและปรับโครงหน้า และชั้นผิวให้กลับมาอ่อนเยาว์

                                            ขั้นตอนนี้ของเทคนิค Lifting Select เปรียบเสมือนการเริ่มต้นซ่อมแซมบ้าน ที่มีความทรุดและชำรุด ให้มีรากฐานที่มั่นคงอีกครั้ง โดยจะต้องเริ่มต้นจากการแก้ไขที่รากฐาน โครงสร้างชั้นล่างให้เกิดความแข็งแรงและมั่นคงก่อน เมื่อเปรียบเทียบโครงสร้างของบ้านคือเสาที่มั่นคง แต่ถ้าเป็นโครงสร้างของใบหน้า ก็จะต้องเป็นชั้นโครงสร้างของกระดูกนั่นเอง

                                            เมื่อเรามีอายุที่เพิ่มมากขึ้น กระดูกของเราก็จะเกิดการทรุด ตามที่เราเคยได้ยินกันว่าเมื่ออายุเยอะจะทำให้เตี้ยลงนั่นเอง กระดูกโครงสร้างใบหน้าของคนเราสามารถทรุดตัวลงได้เช่นกัน และกระดูกบริเวณใบหน้า ที่ทรุดตัวลงแล้วทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของใบหน้า จำแนกได้ดังนี้

                                            • กระดูกหน้าผากทรุดตัวลงทำให้เอ็นยึดที่ทำหน้าที่ยึดเกาะบริเวณขมับ เกิดการหย่อนตัวลง
                                            • กระดูกขมับยุบหรือแบนลง  ส่งผลให้ใบหน้าดูมีอายุ และโหนกแก้มดูชัดขึ้น
                                            • กระดูกเบ้าตาทรุด หรือถ่างออกจนทำให้มีถุงใต้ตา
                                            • กระดูกข้างแก้มทรุด ส่งผลให้ผิวเกิดความหย่อนยาน
                                            • กระดูกหน้าแก้มทรุด หรือแบนตัวลงส่ง ผลให้ไขมันชั้นลึกที่อยู่บริเวณหน้าแก้ม เกิดการเคลื่อนย้ายตำแหน่ง จึงกลายเป็นผู้ที่มีภาวะไขมันกองที่ข้างร่องแก้มจึงทำให้ใบหน้าเกิดการหย่อนคล้อยและดูมีอายุ
                                            • กระดูกกรอบหน้าทรุด ส่งผลให้ใบหน้าและลำคอหย่อนคล้อย

                                            โดยส่วนใหญ่ มนุษย์เราจะเริ่มมีมวลกระดูกที่มีปริมาตรน้อยลง ทำให้โครงหน้าเปลี่ยนไปในวัย 35 ปีเป็นต้นไป จึงทำให้หลายคนรู้สึกว่าเมื่อก้าวเข้าสู่วัย 30 ใบหน้าของเราดูเปลี่ยนไปนั่นเอง

                                            โดยลักษณะที่ดูเปลี่ยนไปในภายนอก มาจากลักษณะที่เปลี่ยนไปของโครงกระดูกดังกล่าวด้านบน และเมื่อมีโครงกระดูกใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ก็จะส่งผลให้ไขมันรวมทั้งเนื้อเยื่อต่างๆ เกิดการหดตัวและเสื่อมถอยลง อันเกิดมาจาก เนื้อเยื่อของผิวที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าโครงกระดูกใบหน้า ที่เป็นตัวในการรองรับ จึงทำให้ผิวหน้าในส่วนที่กระดูกรองรับไม่ไหว เกิดการหย่อนคล้อยลงมาจนเกิดเป็นริ้วรอย และร่องลึกต่างๆตามที่เราเห็นเป็นความเปลี่ยนแปลงนั่นเอง และกระดูกโครงหน้าก็จะทรุดตัวลงเรื่อยๆในทุกๆวัน ทำให้ใบหน้าเกิดการหย่อยคล้อยมากขึ้น   และตกหย่อนลงมามากขึ้นหากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม

                                             

                                            Lifting Select

                                            2. Light & Shadow Me เพิ่มมิติบนใบหน้าให้เกิดความชัดเจนมากกว่าที่เคย

                                            ขั้นตอนนี้ของเทคนิค Lifting Select เปรียบเสมือนการสร้างบ้าน ใส่หน้าต่าง ประตู ให้มีแสงและอากาศถ่ายเท เพื่อความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย เช่นเดียวกับใบหน้า เมื่อมีมิติแสงเงาที่ดีแล้ว สิ่งที่จะได้โดยธรรมชาติเลยคือความสะดวกสบายในการแต่งหน้าที่มากขึ้น

                                            Light & Shadow Me เป็นขั้นตอนที่ใส่ใจ ในจุดตกกระทบของแสง เพื่อให้เพิ่มมิติบนใบหน้า และเสริมจุดเด่นบนใบหน้าให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เงาและแสงที่ตกกระทบเมื่อส่องไฟบนศีรษะ จะต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมและอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง จะช่วยทำให้หน้าภาพรวมดูมีมิติ ดูหน้าเล็กลงเหมือนเวลาเราแต่งหน้าเพิ่มแสงเงา โดยการใช้  Shading หรือ Contour และ Hilight

                                            โดยเทคนิค Lifting Select ในเฟรมเวิร์คที่ 2 Light & Shadow Me เป็นการเพิ่มมิติใบหน้าที่คล้ายกันกับการแต่งหน้า เน้นจุดเล่นแสงอย่าง หน้าผาก หน้าแก้ม ขอบตา ร่องจมูก ร่องปาก สันจมูก คาง  และเพิ่มเงาในจุดที่ควรมีเงา คือสันจมูก โหนกแก้ม ขากรรไกร และกรอบหน้าเป็นต้น

                                            Lifting Select

                                            3. Conceal Selection เผยผิวอย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องปกปิดปัญหาอีกต่อไป

                                            ขั้นตอนนี้ของเทคนิค Lifting Select เปรียบเหมือนกับการตกแต่งบ้านให้สวยงามน่าอยู่มากยิ่งขึ้น และยังเป็นการตกแต่งรายละเอียดในจุดเล็กๆให้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

                                            หากเปรียบเทียบกับการแต่งหน้า ในขั้นตอนนี้ เปรียบเหมือนขั้นตอนหลังการรองพื้น แล้วต้องใช้คอนซีลเลอร์ทาเพื่อปกปิดริ้วรอยเล็กๆบนผิวให้เนียนกริบมากยิ่งขึ้น แต่การทำเทคนิค Lifting Select จะทำให้คุณข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลยเมื่อแต่งหน้า

                                            โดยเทคนิค Lifting Select ในเฟรมเวิร์คที่ 3. Conceal Selection  นั้นคือขั้นตอนการเก็บงานผิวชั้นตื้น ริ้วรอยเล็กเล็กๆ ตีนกา ร่องแก้มร่องน้ำหมาก ให้อิ่มฟู เรียบเนียน ปรับผิวให้สวยเงาวาวฉ่ำโกลว์เหมือนการเลือกรองพื้นดีๆมาทาบนใบหน้า กลบให้หมด รอยสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำที่เป็นกังวลให้ไม่หลงเหลือทิ้งไว้ให้กวนใจ ไม่เพียงเท่านั้น รูขุมขน เส้นขนบนใบหน้า ที่เป็นตัวการในการทำให้ผิวไม่เรียบเนียน ก็ต้องจัดการให้เรียบกริบ

                                            หากต้องการใช้บริการเทคนิค Lifting Select สามารถเข้ามาปรึกษาข้อมูลการเข้ารับบริการได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขา ทั้ง 28 สาขาหรือสอบถามเบื้องต้นผ่านทางช่องทางออนไลน์ได้ทุกช่องทาง FacebookRomrawinclinic หรือช่องทาง LINE : https://bit.ly/Romrawinclinic

                                            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                              วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                              Pico Laser ดูแลผิว อย่างตรงจุด คืออะไร ดีอย่างไร

                                              Pico Laser

                                              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                                Pico Laserยกระดับการฟื้นบำรุงผิว ใหม่ล่าสุด ที่รมย์รวินท์

                                                ด้วยมลภาวะแสงแดด ฝุ่น ควัน รวมไปถึงการดำรงชีวิตของผู้คนที่แตกต่างออกไปในปัจจุบัน อาจทำร้ายผิวโดยตรง ส่งผลให้ผิวไม่ได้รับการปกป้องเท่าที่ควร ก่อให้เกิดปัญหาผิวหน้าต่าง ๆ ตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความหมองคล้ำ หลุมสิว ความมัน จุดด่างดำ รอยแดงจากสิว ฝ้า กระ รูขุมขนกว่าง และรอยแผลเป็น ล้วนแล้วส่งผลเสียต่อสภาวะจิตใจของใครหลายคน

                                                อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ถูกพัฒนามาเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ช่วยรักษาปัญหาผิวดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยการเลเซอร์เพื่อฟื้นฟูสภาพผิว“  Pico Laser” คือกุญแจดอกสำคัญแห่งการปรนนิบัติผิสวย ฟื้นฟูสภาพผิวได้อย่างลึกล้ำ และตรงจุด อีกครั้งของการยกระดับผลลัพธ์การเลเซอร์สุดประทับใจ ช่วยลดเลือน รอยแดง รอยดำ ฝ้า กระ จุดด่างดำ ความหมองคล้ำ หลุมสิว รวมถึงรอยสักที่ไม่พึงประสงค์

                                                ทั้งนี้ ก่อนที่คนไข้จะตัดสินใจเข้ารับการฟื้นฟู ปรนนิบัติสภาพผิวกับสถาบันความงามแห่งใดก็ตามแต่ คนไข้ควรศึกษาหาข้อมูลบริการ รวมถึงเครื่องมือที่ใช้ในการทำหัตถการอย่างละเอียดรอบครอบเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ มาตรฐานความปลอดภัยตัวเครื่อง แพทย์ผู้ทำหัตถการ ขั้นตอนการทำหัตถการ ผลลัพธ์หลังการรักษา ค่าพลังงานที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตนเองเบื้องต้น เพื่อลดโอกาสการเกิดความผิดพลาดที่ อาจตามมาในอนาคต

                                                อย่างไรก็ตาม ก่อนเข้ารับบริการควรเข้าพบแพทย์ผู้ทำหัตถการทุกครั้ง เพื่อประเมินปัญหาผิวหน้า รวมถึงการเลือกวิธีรักษาผิว และระดับพลังงานที่ใช้ฟื้นฟูผิวได้อย่างถูกจุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาด

                                                Pico Laser คืออะไร

                                                Pico Laser คือ เทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้ในการรักษาปัญหาผิวหนังต่าง ๆ โดยมีความแตกต่างจากเทคโนโลยีเลเซอร์อื่น ๆ ในการส่งออกพลังงานเลเซอร์ออกมาในช่วงเวลาที่สั้นและมีความเร็วสูงมาก โดยที่ความเร็วในการส่งออกพลังงานของ Pico Laser นั้นเร็วกว่าเทคโนโลยีเลเซอร์ทั่วไปอย่างมาก ซึ่งทำให้มีประสิทธิภาพในการรักษาที่สูงขึ้น

                                                Pico Laser ใช้พลังงานเลเซอร์ในรูปแบบของช็อต ( shot ) ที่มีความเร็ว และความแม่นยำสูง ทำให้สามารถเข้าถึงเซลล์ในผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อกำจัดปัญหาเช่น รอยดำ, รอยแดง, รอยสิว และฝ้าที่ไม่พึงประสงค์ โดยที่ไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อผิวหนังรอบข้าง และไม่มีการบาดเจ็บ หรือผิวหนังหลุดหลง เนื่องจากพลังงานเลเซอร์ที่ใช้ มีความแม่นยำและเป็นเส้นตรง

                                                การใช้เครื่องเลเซอร์ชนิดนี้ มักจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการผิวหนังที่สม่ำเสมอ สุขภาพดี และมีการพัฒนาที่เห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาผิวหนังเช่น รอยดำ, รอยแดง, รอยสิว หรือฝ้าที่ต้องการลดลงและปรับปรุงผิวหนังให้ดูดีขึ้นนั่นเอง

                                                PICO laser

                                                เข้ารับบริการ “ Pico Laser” ที่รมย์รวินท์ดีอย่างไร

                                                การเลือกทำ  Pico Laser เป็นการตัดสินใจที่สำคัญในการดูแลผิวหนัง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และปลอดภัย หัวข้อนี้นี้จะช่วยแนะนำ และข้อควรรู้ในการเลือกทำ   Pico Laser ที่รมย์รวินท์คลินิก

                                                Pico Laser เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการรักษาผิวหนังอย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย ที่มีผลลัพธ์ที่น่าพอใจให้แก่ผู้รับการรักษา รมย์รวินท์คลินิกนับว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีการใช้เทคโนโลยี Pico Laser อย่างปลอดภัย ในส่วนของการตัดสินใจเลือกทำ   Pico Laser สามารถพิจารณาได้จากปัจจัยดังต่อไปนี้

                                                  • การประเมินผิวหนังอย่างถูกต้อง 

                                                ก่อนทำการรักษาด้วยเครื่องเลเซอร์ชนิดนี้ ทีมแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิกจะทำการประเมินสภาพผิวหนังของคุณอย่างถูกต้อง เพื่อให้การรักษาเป็นไปตามความต้องการ และปลอดภัยอย่างแน่นอน

                                                  • การให้คำแนะนำ อธิบายแผนการรักษา 

                                                หลังจากการประเมินปัญหาผิว ทีมแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวรวมถึงความต้องการของแต่ละบุคคล

                                                  • การใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย 

                                                รมย์รวินท์คลินิกใช้เครื่องเลเซอร์ชนิดนี้ ที่มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และทันสมัย เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพ ปลอดภัยสูงสุด

                                                  • ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังเข้ารับการรักษา 

                                                หลังการรักษา ทีมแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลผิวหนังหลังการรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้มายังยาวนาน

                                                  • บริการที่เอาใจใส่ลูกค้า 

                                                รมย์รวินท์คลินิกให้บริการอย่างเป็นมิตร และเอาใจใส่ต่อลูกค้า พร้อมให้คำปรึกษา และคำแนะนำในทุกขั้นตอนของการรักษา

                                                โดยการรักษา  Pico Laser ที่รมย์รวินท์คลินิกจะไม่เพียงแค่ช่วยให้ผิวของคุณสวยงามขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงมือทำอย่างปราณีต และใส่ใจต่อสุขภาพผิวของคนไข้อีกด้วย

                                                ขั้นตอนการทำ  Pico Laser ที่รมย์รวินท์คลินิกมีอะไรบ้าง

                                                จริงๆ แล้ว ก่อนจะเข้ามารับบริการเลเซอร์ที่รมย์รวินท์ นั้นไม่ยากเลย ขั้นตอนกระบวนการทำหัตถการก็ยังใช้เวลาไม่นานอีกด้วย ขั้นตอนการทำการรักษามีดังนี้

                                                1. ขั้นตอนของการประเมินสภาพผิว

                                                ก่อนทำการรักษาด้วย  Pico Laser ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อให้ประเมินสภาพผิวและแนะนำการรักษาที่เหมาะสมกับผิวของคนไข้

                                                2. ขั้นตอนของการเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับทำหัตถการ

                                                • การเตรียมผิวด้วยการทำความสะอาดผิวให้สะอาด และระงับความมันบนผิว
                                                • งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง
                                                • การปกป้องผิวหนังด้วยครีมกันแดด

                                                3. ขั้นตอนของกาดูแลตัวเองหลังเข้ารับบริการ

                                                • หลีกเลี่ยงการถูกแดด หรือครีมกันแดด
                                                • การรักษาแผล หรืออาการอักเสบใด ๆ ให้ดีก่อนทำการรักษาด้วย Pico Laser

                                                4. การใช้ยารักษาผิว เมื่อพบอาการไม่ปกติ

                                                หากมีการใช้ยาที่มีผลข้างเคียงต่อผิวหนัง เช่น ยา Retin-A ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษา

                                                5. ป้องกันอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้น

                                                หากมีประวัติการแพ้สารเคมี หรือสารต่าง ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำการรักษา

                                                สำหรับท่านใด ที่สนใจอยากทำ Laser ที่รมย์รวินท์คลินิก สามารถนัดคิวเข้ามารับบริการกับเราได้ทุกสาขา ทุกช่องทาง จะมีเจ้าหน้าที่คอยบริการให้คำปรึกษา แนะนำข้อมูลเบื้องต้น ด้วยความใส่ใจ และที่สำคัญทุกเคสจะได้รับการดูแลโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด คนไข้สามารถมั่นใจได้เลยว่า ได้ความสวยควบคู่ไปกับความปลอดภัย มั่นใจไม่ผิดหวังแน่นอน

                                                PICO laser

                                                การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการ Pico Laser ที่รมย์รวินท์คลินิก

                                                การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการ   Pico Laser เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากที่สุด การปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้ผิวหนังของคนไข้พร้อมที่จะรับการรักษา และลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่ อาจเกิดขึ้น

                                                  • ปรึกษาคุณหมอ เพื่อประเมินปัญหาผิวเบื้องต้น 

                                                การปรึกษาคุณหมอผิวหนังเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อให้คนไข้เข้าใจถึงกระบวนการการรักษา ผลลัพธ์ที่คาดหวัง และคำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อน และหลังการรักษา

                                                  • งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่เคมี 

                                                หยุดใช้ผลิตภัณฑ์เคมี หรือผลิตภัณฑ์ผิวหนังที่มีส่วนผสมเคมีเป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ ก่อนการทำ   Pico Laser เพื่อลดความเสี่ยงจากการระคายเคือง หรือการติดเชื้อ ที่อาจเกิดขึ้น

                                                  • ปกป้องผิวจากแสงแดด 

                                                ผิวหนังที่ผ่านการรักษาด้วยเครื่องเลเซอร์ชนิดนี้ มีความไวต่อแสงแดด ควรปกปิดผิวด้วยการสวมหมวกกันแดด และใช้ครีมกันแดดทุกวัน เพื่อป้องกันความเสียหายจากรังสี UV

                                                  • การทำความสะอาดผิวอย่าสม่ำเสมอ

                                                ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยนด้วยน้ำอุ่น และน้ำโฟมล้างหน้าที่เหมาะสมก่อนการทำหัตถการ เพื่อล้างสิ่งสกปรก เนื่องจากหากผิวหน้าไม่สะอาด อาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียงตามมาได้

                                                  • งดการสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ 

                                                การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์สามารถทำให้ผิวหนังแพ้ต่อการรักษาด้วยหัตถการนี้ ควรลด หรือหยุดการบริโภคก่อนเข้ารับบริการ และหลังการทำหัตถการ เพื่อประสิทธิภาพของการรักษาที่ดีที่สุด

                                                  • เตรียมตัว ปรับสภาพจิตใจให้พร้อมรับบริการ

                                                สำหรับการทำหัตถการนี้ อาจทำให้รู้สึกเครียด หรือระคายเคือง ควรเตรียมตัวใจให้พร้อมกับกระบวนการการรักษา ผลลัพธ์ รวมถึงอาการข้างเคียงเล็กๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

                                                การดูแลตัวเองหลังทำ Pico Laser ที่รมย์รวินท์คลินิก

                                                หลังจากที่ผ่านการทำ   Pico Laser การดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่มีความสำคัญอย่างมากเพื่อให้ผิวหนังของคนไข้กลับมาสุขภาพดี และสวยงามอย่างรวดเร็ว ภายหลังจากการรักษาด้วยเทคโนโลยี Pico Laser ที่ช่วยลดรอยแผล ลดรอยดำ และปรับปรุงโครงสร้างของผิวหนัง มีบางขั้นตอน และการดูแลที่ควรทำเพื่อให้คนไข้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                                                  • การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว 

                                                เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อ่อนโยน และไม่มีสารเคมีที่เข้มข้น เช่น เจลล้างหน้าที่อ่อนโยน, ครีมบำรุงผิว, และสูตรเซรั่มที่ช่วยให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้น และปกป้องอย่างเหมาะสม

                                                  • การป้องกันแสงแดด 

                                                แสงแดด อาจเป็นอันตรายต่อผิวหน้าหลังจากการรักษา แนะนำให้ใช้ครีมกันแดดที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสี UVA และ UVB ร่วมกับการใช้เครื่องป้องกันแสงแดดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น หมวกกันแดด และเสื้อผ้าที่ป้องกันแสงแดดได้เป็นอย่างดี

                                                  • การรักษาสีผิว รวมถึงรอยดำ รอยแดงต่างๆ 

                                                ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยดำ และรักษาสีผิวบริเวณใบหน้าให้สม่ำเสมอ โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารผลัดสีอย่างปลอดภัย และเหมาะสมกับผิวหน้าของคนไข้

                                                  • ใช้มาส์กหน้าเพื่อยกระดับการบำรุงผิว

                                                การใช้มาส์กหน้าที่มีส่วนผสมธรรมชาติ อย่างเช่น มาส์กที่มีส่วนผสมของสมุนไพร, ผลไม้ หรือนม ช่วยปรับปรุงสภาพผิวหน้า และสร้างความชุ่มชื่นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี

                                                  • การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงการออกกำลังกาย 

                                                การดูแลสุขภาพที่ดีอย่างเพียงพอ โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์, และนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ จะช่วยเสริมสร้างสภาพผิวให้ผิวแข็งแรง และมีสุขภาพดี

                                                PICO laser

                                                ภาวะแทรกซ้อนหลังทำ Pico Laser

                                                หลังจากการทำ Pico Laser, ภาวะแทรกซ้อน อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน ภาวะแทรกซ้อนนั้น อาจมีลักษณะที่หลากหลาย อาจมีผลกระทบต่อผิวหนัง และสุขภาพทั้งระยะสั้น และระยะยาวได้ ดังนั้นการเข้าใจ และการรับรู้เกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนหลังการทำ  Pico Laser เป็นสิ่งสำคัญที่ควรมี การทำ Pico Laser มีภาวะแทรกซ้อนดังนี้

                                                1. รอยแผล ในบางกรณี, ผู้ที่รับการรักษา อาจพบรอยแผลเล็ก ๆ หรือรอยแผลที่เป็นปกติหลังการรักษา ซึ่งรอยแผลเหล่านี้จะหายไปเองภายในไม่กี่วัน หรือสัปดาห์
                                                2. ประสิทธิภาพของการรักษา บางครั้ง, ผลการรักษา อาจไม่ได้ผลตรงกับที่คาดหวัง และ อาจต้องทำซ้ำ หรือใช้วิธีการรักษาอื่น ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
                                                3. การเกิดผื่น หรือแพ้วัตถุ บางครั้ง, ผู้ที่ได้รับการรักษา อาจพบอาการแพ้
                                                4. การแห้งของผิวหนัง ในบางกรณี, ผิวหนังของผู้ที่ได้รับการรักษา อาจกลายเป็นสีแดง หรือแห้งเนื่องจากการทำลายของเซลล์ผิวหนัง
                                                5. การไวต่อแสง ผู้ที่ได้รับการรักษา อาจมีความไวต่อแสงเพิ่มขึ้น และ อาจต้องป้องกันรังสีด้วยการใช้ครีมกันแดด หรือการป้องกันแสงแดดอื่น ๆ เข้าร่วมด้วย
                                                6. การเปลี่ยนแปลงสีผิว บางครั้ง, ผู้ที่ได้รับการรักษา อาจเปลี่ยนแปลงสีผิวหนัง โดยเฉพาะในบริเวณที่รักษา แต่มักจะค่อนข้างเรียบ และเป็นระยะเวลาสั้น
                                                7. ภาวะแทรกซ้อนในระดับรุนแรง ในกรณีที่มีอาการรุนแรง เช่น การอักเสบหนัก การเกิดแผล หรือตุ่มน้ำ หรืออาการระบบภูมิคุ้มกันลดลง ควรรีบปรึกษาคุณหมอทันทีเพื่อรับการรักษาเพิ่มเติม

                                                สำหรับผู้ที่ต้องการรับการรักษา ด้วยเครื่องเลเซอร์ชนิดนี้ , ควรปรึกษาคุณหมอ หรือผู้ให้บริการที่มีประสบการณ์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนที่เป็นไปได้ และวิธีการรักษาที่เหมาะสม

                                                สรุป

                                                Pico Laser เป็นโปรแกรมใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวโดยรมย์รวินท์ ซึ่งมุ่งเน้นการฟื้นบำรุงผิวในระดับที่ล้ำสมัย ด้วยเทคโนโลยี Pico Laser ที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดเม็ดสีในชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปรแกรมนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ ฝ้า กระ ริ้วรอย และรอยแผลเป็นจากสิว

                                                จุดเด่นของ Pico Laser คือการทำงานด้วยพลังงานแสงเลเซอร์ที่สามารถแยกย่อยเม็ดสีและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ได้โดยไม่ทำลายผิวชั้นบน ทำให้ผิวดูสว่างกระจ่างใสและเรียบเนียนขึ้น ทั้งยังมีความปลอดภัยและใช้เวลาในการฟื้นฟูสั้น ทำให้ผู้เข้ารับบริการสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้อย่างรวดเร็ว

                                                รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำ Pico Laser

                                                1. Pico Laser มีประโยชน์อย่างไรต่อผิวหนังบริเวณใบหน้า
                                                •   Pico Laser ช่วยลดรอยดำ, รอยแตก, รอยสิว, และปรับลดริ้วรอยอื่น ๆ ของผิวหนัง โดยทำให้ผิวหนังดูเรียบเนียน ชุ่มชื้น และมีสีเรียบเนียนมากขึ้น
                                                1. กี่ครั้งที่ต้องทำ   Pico Laser เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
                                                • จำนวนการรักษาที่ต้องการ อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัญหาผิวหนัง และระดับความรุนแรงของปัญหา แต่ในทั่วไปมักจะต้องทำระหว่าง 3-5 ครั้ง
                                                1. มีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นหลังการทำหัตถการ ไหม
                                                • ผู้ที่รับการรักษาด้วยเครื่องเลเซอร์ชนิดนี้ อาจพบผลข้างเคียงเช่น บวม แดง ระคายเคือง หรือผื่นบริเวณที่รักษา แต่ส่วนมากจะหายไปเองในไม่กี่วัน
                                                1. ควรทำการบำรุงผิวหนังอย่างไรหลังการรักษาด้วย  Pico Laser
                                                • หลังการรักษา, ควรป้องกันแสงแดดโดยใช้ครีมกันแดดทุกวัน และรักษาความชุ่มชื้นของผิวด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
                                                1. Pico Laser กับ Q-Switch อันไหนเจ็บกว่ากัน
                                                • การทำ   Pico Laser กับ Q-Switch จะมีการทายาชาก่อนเข้าทำหัตถการ ซึ่งจะช่วยลดความเจ็บปวดขณะทำได้มาก อย่างไรก็ตาม การทำหัตถการนี้ จะใช้ระยะเวลาน้อยกว่า จึงทำให้รู้สึกเจ็บน้อยกว่า Q-Switch
                                                1. ทำหัตถการนี้ แล้วหน้าบางไหม
                                                • หลังจากทำ   Pico Laser ในช่วงแรก จะมีความไวต่อแสงมากกว่าปกติ ประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งในระหว่างนั้นจะต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดด และทาครีมกันแดดทุกวัน แต่ไม่ทำให้ผิวหน้าบางลง เพราะเลเซอร์ไม่ได้เข้าไปทำลายเนื้อเยื่อปกติ

                                                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                  วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจน Biostimulator แต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร ?

                                                  130824 1

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) แต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร 

                                                  การเสื่อมสภาพของผิวพรรณและร่างกายเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติและเมื่อเวลาผ่านไป อายุของคนเราก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ในทางกลับกันสิ่งที่น้อยลงสวนทางกับอายุของคนเรา คือ สารประเภทโปรตีนที่เรียกว่า ‘คอลลาเจน’ ที่อยู่ในร่างกายและสามารถลดปริมาณลงได้เรื่อยๆตามกาลเวลา

                                                  โดยเมื่อคอลลาเจนในร่างกายมีปริมาณที่น้อยลงจากการที่สูญเสียคอลลาเจนตามอายุ และร่างกายไม่สามารถผลิตมาทดแทนได้เท่าเดิมก็จะส่งผลกระทบต่อผิวพรรณและร่างกาย ซึ่งเรามักสังเกตได้จากเวลาส่องกระจกแล้วพบริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้านั่นเอง

                                                   

                                                  ด้วยเวลาที่ขยับเดินไปเรื่อย ๆ ทุกวัน เทรนด์ความงาม ในแวดวงงานผิวที่ได้รับกระแสตอบรับ และได้รับความนิยมเป็นอย่างดี คือ “การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน” ซึ่งเป็นรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ถูกคิดค้น และพัฒนาขึ้นมาเพื่อกระตุ้นให้ร่างกาย มีการผลิตคอลลาเจนขึ้นมาทดแทนได้ ในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น และยังเป็นการสยบปัญหารูปหน้าหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ รวมทั้งริ้วรอยบนผิวด้วยสารกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวผู้อ่านหลายท่านน่าจะรู้จักกันดีในชื่อสาร Biostimulator หรือสารกระตุ้นคอลลาเจน อย่างเป็นธรรมชาติและปลอดภัยต่อร่างกาย

                                                   

                                                  การพัฒนาสารกระตุ้นคอลลาเจนสำหรับฉีดลงบนผิว หรือ Biostimulator เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของงานผิวรูปแบบใหม่ ที่ไม่ใช่เพียงแค่เป็นการยกดึงหน้าขึ้นด้วยการผ่าตัดหรือหัตถการ แต่เป็นการเสริมงานผิวด้วยการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ส่งผลระยะยาวแทน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย เปลี่ยนผิวจากที่เสื่อมสภาพให้เป็นงานผิวเด็กที่มีความอ่อนเยาว์

                                                   

                                                  ถึงแม้การที่ร่างกายสูญเสียคอลลาเจนจะเป็นเรื่องที่เกิดตามธรรมชาติ แต่ก็คงจะเป็นเรื่องดีหากมีวิธีการที่สามารถเพิ่มปริมาณคอลลาเจนได้ โดย Biostimulator ก็นับเป็นคำตอบของวิธีการเสริมคอลลาเจนที่นิยมกันมากสำหรับปีนี้

                                                  ด้วยความที่สารกระตุ้นคอลลาเจนเป็นเทรนด์ที่ค่อนข้างได้รับความนิยม วันนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงจะมาเปรียบเทียบความแตกต่างของสารกระตุ้นคอลลาเจนแต่ละชนิดว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจน

                                                  ทำความรู้จักกับ คอลลาเจน (Collagen) โปรตีนที่อยู่ในผิวหนังและร่างกาย

                                                  ก่อนจะพูดถึงสารกระตุ้นคอลลาเจนแต่ละชนิด เราควรมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับคอลลาเจนที่อยู่ในร่างกายเสียก่อน ซึ่งคอลลาเจน (Collagen) คือ โปรตีนที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติ และเป็นโปรตีนที่มีจำนวนมากที่สุดในร่างกาย โดยคอลลาเจนนั้นเป็นส่วนประกอบของส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ผิวหนัง กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ซึ่งคอลลาเจนภายในร่างกายจะทำหน้าที่เป็นตัวที่คอยเชื่อมและประสานเซลล์เข้าด้วยกัน ส่งผลให้ผิวเกิดความแข็งแรง อันเป็นเหตุเมื่อคอลลาเจนมีจำนวนน้อยลงก็จะทำให้ผิวไม่แข็งแรง จึงต้องการสารกระตุ้นคอลลาเจน

                                                   

                                                  โดยร่างกายจะมีการสังเคราะห์และผลิตคอลลาเจนด้วยตัวเอง หากลองสังเกตดู ในเวลาที่เรายังเป็นเด็ก ผิวของเรายังมีความแน่นตึง ยืดหยุ่น โดยไม่ต้องพึ่งพาสารกระตุ้นคอลลาเจน เพราะร่างกายเราสามารถผลิตคอลลาเจนออกมาได้เองและเส้นใยคอลลาเจนยังคงมีความแข็งแรง แต่เมื่อเรามีอายุที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ช่วงอายุ 25 ปีขึ้นไป ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนน้อยลง เส้นใยคอลลาเจนที่มีอยู่ก็จะเสื่อมสภาพพร้อมกับผิวที่เสียสมดุล ขาดความกระชับ ไม่เต่งตึงเหมือนอย่างที่เคย อันเกิดจากความเปลี่ยนแปลงของผิว ทำให้เกิดสารกระตุ้นคอลลาเจนนั่นเอง

                                                   

                                                  แต่ความจริงแล้วหากพูดนอกเรื่องจากงานผิว Biostimulator และสารกระตุ้นคอลลาเจน โปรตีนคอลลาเจนในร่างกายก็ยังส่งผลต่อกระดูก ฟัน เล็บ และเลือดอีกด้วย ทำให้คอลลาเจนมีความสำคัญเป็นอย่างมากกับร่างกาย ถึงแม้ว่าจะมีวิธีเสริมคอลลาเจน ผ่านการรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมคอลลาเจน แต่วิธีที่ได้ผลลัพธ์กับงานผิวอย่างรวดเร็วและเห็นผลทันตา คือ การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนที่มาในรูปแบบ Biostimulator

                                                   

                                                  หากพูดถึงคอลลาเจนในร่างกาย ตามหลักความจริงแล้วร่างกายของเราก็มีคอลลาเจนอยู่มากกว่าหนึ่งชนิด และแต่ละชนิดก็มีความสำคัญไม่เหมือนกัน และสารกระตุ้นคอลลาเจน ก็จะทำหน้าที่เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน ที่ส่งผลกับคอลลาเจนบางประเภทเท่านั้น สำหรับคนที่อยากรู้ว่าร่างกายของเรา ประกอบด้วยคอลลาเจนกี่ชนิด สามารถอ่านรายละเอียดได้จากหัวข้อต่อจากนี้

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจน

                                                  คอลลาเจน มีกี่ประเภทแล้วประเภทไหนที่สำคัญกับผิวพรรณ

                                                  เอกสารอ้างอิงตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ได้มีการกล่าวถึงประเภทของคอลลาเจนปัจจุบันมีมากถึง 28 ประเภท แต่คอลลาเจนที่สำคัญกับร่างกายจะมีอยู่เพียง 5 ประเภท และ 2 จาก 5 ประเภทของคอลลาเจนดังกล่าว เป็นคอลลาเจนที่มีความสำคัญกับผิว และมีความเกี่ยวโยงกับสารกระตุ้นคอลลาเจน โดยรายละเอียดของคอลลาเจนทั้ง 2 ประเภทที่มีความสำคัญกับผิวสามารถสรุปได้ดังนี้

                                                   

                                                  • คอลลาเจนประเภทที่ 1 (Collagen Type I) – เป็นคอลลาเจนที่ค้นพบแล้วว่ามีอยู่ภายในร่างกายเป็นจำนวนมากที่สุด โดยเป็นจำนวนประมาณ 90% ของคอลลาเจนภายในร่างกาย เป็นคอลลาเจนที่พบตามกระดูก เนื้อเยื่อ และมีความสำคัญต่อผิวพรรณ โดยคอลลาเจนประเภทที่ 1 มักเป็นกุญแจความสำเร็จของงานผิว สารกระตุ้นคอลลาเจนจึงถูกนำมาใช้ในรูปแบบผลิตภัณฑ์ Biostimulator เพื่อกระตุ้นให้ร่างกาย สร้างคอลลาเจนประเภทที่ 1 ออกมา เพื่อฟื้นฟูสภาพผิวและลดริ้วรอย

                                                   

                                                  • คอลลาเจนประเภทที่ 3 (Collagen Type III) – เป็นคอลลาเจนอีกตัวที่มีความสำคัญกับผิวพรรณ โดยจะเน้นไปส่วนของกล้ามเนื้อ ซึ่งการเสริมสร้างคอลลาเจนประเภทที่ 3 จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ทำให้ผิวยกกระชับ เต่งตึง จึงมีสารกระตุ้นคอลลาเจนบางประเภท ที่ถูกนำมาเป็นส่วนประกอบของ Biostimulator หลากหลายชนิด เพราะมีส่วนช่วยกระตุ้นสร้างคอลลาเจนทั้งประเภทที่ 1 และ 3

                                                  โดยภาพรวมแล้วคอลลาเจนมีประโยชน์ต่อผิวพรรณอย่างไร

                                                  • คอลลาเจนช่วยให้เซลล์ผิวเกิดการเจริญเติบโต และช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป การที่ผิวเกิดริ้วรอย ความหมองคล้ำ ส่วนนึงมีสาเหตุมาจากการที่เซลล์ผิวตายแล้วไม่ผลัดออกไป เซลล์ผิวใหม่จึงไม่สามารถขึ้นมาแทนที่ได้ สารกระตุ้นคอลลาเจน ก็จะช่วยกระตุ้นให้คอลลาเจนมากขึ้น 
                                                  • คอลลาเจนช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว โดยการเปลี่ยนสภาพของผิวจากที่แห้งเสียให้กลับมาอิ่มฟู กักเก็บน้ำได้นาน 
                                                  • คอลลาเจนที่เสริมขึ้นจากสารกระตุ้นคอลลาเจน ยังช่วยเพิ่มความหนาแน่นและยืดหยุ่นให้กับผิว ตั้งแต่ระดับโครงสร้างของผิว เนื่องจากสารกระตุ้นคอลลาเจน หรือ Biostimulator เป็นการเสริมสร้างคอลลาเจนตามชั้นผิวต่าง ๆ ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรง

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจนสารกระตุ้นคอลลาเจน คืออะไร?

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจน คือ นวัตกรรมที่เป็นการพัฒนาสาร ที่สามารถฉีดลงไปที่บริเวณชั้นผิวหนัง เพื่อเข้าไปกระตุ้นกระบวนการของร่างกายในการผลิตคอลลาเจนออกมา หรือที่หลายคนน่าจะรู้จักในชื่อ “Biostimulator” ผลิตภัณฑ์สารกระตุ้นคอลลาเจนจากยี่ห้อต่าง ๆ ซึ่งผ่านกระบวนการคิดค้นหาสารตั้งต้น ที่มีความสามารถในการเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน จนกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์งานผิวที่รู้จักกันทุกวันนี้

                                                   

                                                  โดย Biostimulator หรือสารกระตุ้นคอลลาเจน ถึงแม้จะมีหลากหลายยี่ห้อ แต่คุณสมบัติโดยรวมแล้วต้องเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนประเภทที่ 1 และส่งผลต่อการฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาแข็งแรง สุขภาพดี ช่วยกระชับผิวและเพิ่มความยืดหยุ่น ซึ่งอาจมีคุณสมบัติบางการที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสารประกอบหรือสารกระตุ้นคอลลาเจน ที่นำมาเป็นส่วนประกอบของสารที่ฉีดลงไปบนชั้นผิว

                                                   

                                                  ถึงแม้ว่าปัจจุบัน จะมีการคิดค้นสารฉีดกระตุ้นคอลลาเจน หรือ Biostimulator ออกมาอย่างแพร่หลาย แต่จะมีสารกระตุ้นคอลลาเจนบางตัวที่ได้รับความนิยมและกลายเป็นที่พูดถึงอยู่บ่อยครั้ง ได้แก่ Radiesse,  Sculptra เนื่องจากผลลัพธ์ของสารกระตุ้นคอลลาเจนทั้งสองยี่ห้อ ส่งผลต่อกระบวนการผลิตคอลลาเจนของร่างกาย และช่วยเรื่องงานผิวได้อย่างประสิทธิภาพ แต่นอกจาก Radiesse และ  Sculptra ยังมีสารกระตุ้นคอลลาเจนอื่นด้วย เช่น Gouri

                                                   

                                                  ซึ่งความแตกต่างของสารกระตุ้นคอลลาเจนแต่ละตัว ก็มาจากเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่นำมาพัฒนาเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน แต่ละผลิตภัณฑ์มีการพัฒนาด้วยนวัตกรรมที่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าผลจะออกมาเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ช่วยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนประเภท 1 มากขึ้น ด้วยความแตกต่างของนวัตกรรมและองค์ประกอบของสารกระตุ้นคอลลาเจน จึงส่งผลต่อผลลัพธ์และการเลือกฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนด้วย โดยสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ได้รับความนิยมก็จะมีรายละเอียดตามหัวข้อต่อไปเลย

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจนตัวไหนที่ได้รับความนิยมบ้าง แต่ละตัวมีประสิทธิภาพการทำงานเป็นอย่างไร?

                                                  ไม่ว่าจะเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนหรือ Biostimulator จากยี่ห้อต่าง ๆ ก็มักมีการพัฒนาสารกระตุ้นคอลลาเจนจากองค์ประกอบหลักที่แตกต่างกัน เช่น Radiesse เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่มีส่วนประกอบเป็น Calcium Hydroxylapatite Microspheres (CaHA) ส่วน Sculptra เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่มีส่วนประกอบจาก Poly-L-Lactic (PLLA) และถึงแม้จะเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนเหมือนกันก็มีประสิทธิภาพและผลลัพธ์ที่ออกมาแตกต่างกันตามสารที่เป็นองค์ประกอบหลักด้วย

                                                   

                                                  แต่นอกจากสารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA และ PLLA ที่มาจากผลิตภัณฑ์ Biostimulator ที่ได้รับความนิยมอย่าง Radisse และ Sculptra ก็ยังมีองค์ประกอบของสารกระตุ้นคอลลาเจนตัวอื่นอีก ไม่ว่าจะเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน Poly D, L-Lactic Acid  (PDLLA), Polydioxanone microsphere (PDO) และ  Polycaprolactone (PCL) ซึ่งมีการทดลองและพัฒนา จนมีผลการทดสอบได้ว่า สามารถนำมาทำเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนได้เหมือนกับ CaHA และ PLLA

                                                   

                                                  โดยสารแต่ละประเภท ก็มีคุณสมบัติและประสิทธิภาพในฐานะ Biostimulator ที่แตกต่างกันดังนี้

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA หรือ  Calcium Hydroxylapatite เป็นแคลเซียมที่สามารถหาได้จากการนำกระดูกปลาทูน่ามาบด ๆ เป็นผงละเอียด โดยสารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA เป็น Biostimulator ที่สามารถเข้ากับร่างกายของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากโครงสร้างของ Calcium มีโครงสร้างแบบ Hydroxyapatite ที่มีสูตรทางเคมี Ca5 (PO4) 3OH หรือ Ca10 (PO4) 6 (OH) ซึ่งเป็น Calcium ที่สามารถพบได้จากกระดูกมนุษย์ ส่งผลให้สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA ไม่ทำให้เกิดผลกระทบกับร่างกายเมื่อนำมาใช้กับ Radiesse

                                                   

                                                  เรียกได้ว่าสารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA มีความคล้ายคลึงกับส่วนประกอบของกระดูกภายในร่างกาย จึงเป็นเหมือนการฉีดสารที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติเข้าไปในร่างกาย ทำให้ปัจจุบัน CaHA กลายเป็นสารประกอบที่ถูกนำมาใช้หลายแพร่หลายในวงการความงาม ไม่ว่าจะเป็นสารฉีดกระตุ้นคอลลาเจน ฉีดผิว ยกกระชับหน้าโดยไม่พึ่งพาการผ่าตัด

                                                   

                                                  คุณสมบัติของสารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA ที่เป็นจุดเด่นมีดังนี้

                                                  • ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนของร่างกาย และช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาแข็งแรง
                                                  • เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่สามารถเข้ากับร่างกายได้เป็นอย่างดี ทำให้ร่างกายไม่เกิดการต่อต้าน
                                                  • ช่วยเสริมสร้างและปรับปรุงสภาพผิว ผิวกระชับอิ่มเอม ช่วยลดร่องลึก ผลลัพธ์ยาวนาน

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจน PLLA 

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจนที่มีส่วนประกอบของ Poly-L-Lactic (PLLA) เป็นผลิตภัณฑ์ Biostimulator สำหรับ Sculptra ซึ่งเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนตัวแรก ๆ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานและรับรองจาก FDA โดยสารกระตุ้นคอลลาเจน PLLA เป็นวัสดุประเภทโพลีเมอร์ที่มีความปลอดภัยกับร่างกายมนุษย์ เนื่องจากเป็นสารที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาจากพืชและเป็นนวัตกรรมเดียวกันกับไหมเย็บแผลทางการแพทย์

                                                   

                                                  ด้วยประสิทธิภาพด้านการฟื้นฟูคอลลาเจนของสารประกอบ PLLA ผนวกกับเป็นสารสังเคราะห์ธรรมชาติ ที่ย่อยสลายไปเองโดยไม่ทิ้งสารพิษตกค้างภายในร่างกาย ซึ่งสาร PLLA จะสลายเป็น H2O, CO2 และ Lactic acid ที่ร่างกายดูดซึมไปได้ ทำให้สารกระตุ้นคอลลาเจน PLLA ก็ได้รับความนิยมไม่น้อยเลย

                                                   

                                                  คุณสมบัติของสารกระตุ้นคอลลาเจน PLLA ที่เป็นจุดเด่นมีดังนี้

                                                  • กระตุ้นคอลลาเจนและเติมเต็มร่องลึกด้วยประสิทธิภาพที่อยู่นานถึง 2 ปี
                                                  • เสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรง เรียบเนียน

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจน PDO

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจนที่มีส่วนประกอบของ Polydioxanone microsphere (PDO) เป็นผลิตภัณฑ์ Biostimulator ที่มาในรูปแบบของไหมน้ำ Ultracol โดยสารกระตุ้นคอลลาเจน PDO เป็นสารประเภทโพลีเมอร์ที่สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้ และย่อยสลายเองตามธรรมชาติด้วยกระบวนการ hydrolysis มีนวัตกรรมทางการแพทย์ที่นำสารประกอบ PDO มาใช้ ได้แก่ ไหมเย็บแผล PDO ศัลยกรรมกระดูก

                                                   

                                                  สำหรับสารกระตุ้นคอลลาเจน คือ การต่อยอดจากไหมเย็บแผล PDO ที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ มาทำเป็นไมโครโมเลกุลขนาดเล็กเพื่อนำมาฉีดเป็นไหมน้ำสารกระตุ้นคอลลาเจนตามผิวหนัง ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและไม่สร้างความระคายเคือง จึงนับว่าเป็น Biostimulator ที่มีประสิทธิภาพด้านงานผิว

                                                   

                                                  คุณสมบัติของสารกระตุ้นคอลลาเจน PDO ที่เป็นจุดเด่นมีดังนี้

                                                  • กระตุ้นคอลลาเจนประเภทที่ 1 และ 3 
                                                  • เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน ที่โมเลกุลเล็กมากจึงสามารถกระชับผิวบริเวณที่บอบบางได้
                                                  • กระชับผิวหน้าให้กลับมาเรียบเนียนตามบริเวณที่ฉีด ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-8 เดือน

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจน PCL 

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจน Polycaprolactone (PCL) เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่พัฒนามาจากการสังเคราะห์สารโพลีเอสเตอร์กึ่งผลึกที่สามารถย่อยสลายด้วยกระบวนการ hydrolysis เป็นวัสดุทางชีวภาพที่ถูกนำมาประยุกต์ทางการแพทย์ตั้งแต่การเป็นไหมเย็บแผลจนมาถึงวงการความงาม PCL ก็กลายมาเป็น Biostumulator สารกระตุ้นคอลลาเจน Gouri

                                                   

                                                  คุณสมบัติของสารกระตุ้นคอลลาเจน PCL ที่เป็นจุดเด่นมีดังนี้

                                                  • พัฒนามาเป็น Gouri เป็นของเหลวที่สามารถฉีดเข้าสู่ผิวได้โดยตรง
                                                  • เติมความแน่นกระชับให้กับผิว ลดริ้วรอยฟื้นฟูสภาพผิว
                                                  • ผลลัพธ์ของสารกระตุ้นคอลลาเจน PCL นานถึง 24 เดือน

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจน PDLLA  

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจน Poly-D, L-Lactic Acid (PDLLA) เป็นสารโพลีเมอร์ที่สกัดมาจากธรรมชาติ และเป็นสารที่มีโมเลกุลแบบเดียวกันกับ Poly Lactic Acid (PLA) โดยมีคุณสมบัติที่แตกต่างจาก PLA คือ มีส่วนพื้นผิวสัมผัสที่เกี่ยวโยงกับกระบวนการกระตุ้นคอลลาเจนของร่างกาย โดย PDLLA สามารถย่อยสลายตามกระบวนการธรรมชาติ ทางการแพทย์ PDLLA ยังถูกนำมาพัฒนาเป็นตัวส่งยาไปยังบริเวณที่ต้องการอีกด้วย

                                                   

                                                  คุณสมบัติของสารกระตุ้นคอลลาเจน PDLLA มีดังนี้

                                                  • PDLLA เป็นสารที่มีลักษณะเป็นวงฟองสบู่ เมื่อเข้าสู่ผิวจึงไม่เกิดการตกค้างและย่อยสลายไปเอง
                                                  • กระตุ้นคอลลาเจนและผลลัพธ์ด้านงานผิวที่ยาวนานถึง 24 เดือน

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจน

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจนแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันอย่างไร ?

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจนอย่างไรก็มีคุณสมบัติเกี่ยวกับการกระตุ้นคอลลาเจนภายในร่างกายเหมือนกัน แต่สารกระตุ้นคอลลาเจนทั้งหมดล้วนเป็นคนละชนิดกันจึงมีคุณสมบัติและผลลัพธ์บางประการที่แตกต่างกันออกไป โดยรมย์รวินท์คลินิกได้เรียบเรียงเปรียบเทียบความแตกต่างดังนี้

                                                  ประเภทและลักษณะของสารกระตุ้นคอลลาเจน

                                                  • Calcium Hydroxylapatite เป็น CaHA Microspheres แร่ธาตุที่มาจากกระดูกปลาทูน่าบดละเอียด และสามารถพบได้ตามกระดูกของมนุษย์ มีโครงสร้างแบบ Hydroxylapatite Ca5 (PO4) 3OH 
                                                  • Poly-L-Lactic (PLLA) เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนสังเคราะห์จากพืช และเป็นนวัตกรรมเดียวกับไหมเย็บแผล โดยสาร PLLA สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติ
                                                  • Polydioxanone microsphere (PDO) เป็นสารโพลีเมอร์สังเคราะห์รูปแบบผลึก ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น สามารถย่อยสลายด้วยกระบวนการทางชีวภาพ มีสภาพเป็นโมเลกุขนาดเล็ก ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
                                                  • Polycaprolactone (PCL) เป็นสารสังเคราะห์โพลีเอสเตอร์กึ่งผลึกสามารถย่อยสลายด้วยกระบวนการ hydrolysis เป็นสารรูปแบบของเหลว
                                                  • Poly-D, L-Lactic Acid (PDLLA) เป็นสารโพลีเมอร์สกัดจากธรรมชาติ และเป็นสารโมเลกุลรูปแบบเดียวกับ Poly Lactic Acid (PLA) แต่มีความแตกต่างที่ลักษณะพื้นผิว โดย PDLLA จะมีลักษณะเป็นวงกลมคล้ายกับฟองสบู่

                                                  กระบวนการกระตุ้นคอลลาเจนส่งผลต่อผิวอย่างไร

                                                  • Calcium Hydroxylapatite – สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนประเภทที่ 1 และ 3 มากขึ้น ซึ่งรวมไปถึงช่วยกระตุ้นอีลาสติน เพิ่มโปรตีโอไกลแคน กระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดส่งผลให้สารอาหารสามารถไปเลี้ยงผิวและปรับโครงสร้างผิวให้ดียิ่งขึ้น
                                                  • Poly-L-Lactic (PLLA) – เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนประเภทที่ 1 เป็นหลัก โดยการปรับสภาพผิวที่เสื่อมให้กลับมาสุขภาพดี ผิวสวย ลดริ้วรอย
                                                  • Polydioxanone microsphere (PDO) – กระตุ้นคอลลาเจนประเภทที่ 1 และ 3 ช่วยกระชับผิวและเติมความยืดหยุ่น โดยเป็นสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กจึงสามารถฉีดสาร PDO ลงไปบริเวณที่ผิวบอบบางได้
                                                  • Polycaprolactone (PCL) – กระตุ้นเซลล์ Fibroblast ให้มีการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อสภาพผิวระยะยาว 
                                                  • Poly-D, L-Lactic Acid (PDLLA) – เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนประเภทที่ 1 เปลี่ยนผิวให้กลับมากระชับ ลดร่องลึก สุขภาพผิวแข็งแรง

                                                   

                                                  โดยภาพรวมแล้วสารกระตุ้นคอลลาเจน มีกระบวนการทำงานและส่งผลต่อผิวคล้ายคลึงกัน แต่อาจมีคุณสมบัติที่ต่างออกไป เช่น นอกจากคอลลาเจนประเภทที่ 1 แล้วสารกระตุ้นคอลลาเจนบางตัวยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนประเภทที่ 3 และ อีลาสติน รวมถึงคุณสมบัติของสารที่ต่างกันทำให้สามารถฉีดบริเวณที่ละเอียดอ่อนได้แตกต่างจากสารตัวอื่น ๆ

                                                  ผลลัพธ์ของสารที่เป็น Biostimulator มีผลลัพธ์ที่ยาวนานแค่ไหน

                                                  • Calcium Hydroxylapatite – เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่มีผลลัพธ์ยาวนานถึง 2 ปี
                                                  • Poly-L-Lactic (PLLA) เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน 2 ปี
                                                  • Polydioxanone microsphere (PDO) – เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่อยู่นาน 6-8 เดือน
                                                  • Polycaprolactone (PCL)  – สารกระตุ้นคอลลาเจนที่อยู่นาน 18-24 เดือน (2ปี)
                                                  • Poly-D, L-Lactic Acid (PDLLA) – สารกระตุ้นคอลลาเจนที่อยู่นาน 18-24 เดือน (2ปี)

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจนแต่ละตัว ก็มีระยะเวลาของผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อระยะเวลาที่เราจะต้อง กลับมาฉีดโปรแกรมกระตุ้นคอลลาเจนอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามระยะเวลาของผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวของแต่ละคน หากต้องการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนนอกจากเรื่องระยะเวลาของผลลัพธ์ที่ยาวนานแล้วเราควรพิจารณาความเหมาะสมต่าง ๆ เช่น สารกระตุ้นคอลลาเจนดังกล่าวฉีดบริเวณที่เราต้องการได้หรือไม่ หรือเรามีอาการแพ้สารกระตุ้นคอลลาเจนประเภทนั้นหรือไม่ นี่จึงเป็นข้อแตกต่างสำคัญในการเลือกสารกระตุ้นคอลลาเจนที่เหมาะกับตัวเอง

                                                  สารกระตุ้นคอลลาเจน เสริมผิวสวยสร้างผิวสุขภาพดีที่รมย์รวินท์คลินิก

                                                  สำหรับคนที่เริ่มคิดว่าผิวของตัวเองเริ่มมีความหย่อนคล้อย ริ้วรอยถามหา ขาดความกระชับ นั่นหมายความว่าผิวต้องการเสริมคอลลาเจนแบบด่วน ๆ หากนึกถึงสารกระตุ้นคอลลาเจน ไม่ว่าจะเป็น Radiesse หรือ Sculptra ต้องลองมาพิสูจน์ผลลัพธ์งานผิวคุณภาพดีที่รมย์รวินท์คลินิก โดยทางคลินิกมีบริการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนและ  Sculptra พร้อมแพทย์ประจำคลินิกที่พร้อมช่วยวิเคราะห์ปัญหาผิวและแนะนำหัตถการที่ช่วยจัดการกับผิวได้อย่างตรงจุด อยากมีผิวอ่อนเยาว์กระชับต้องมาเสริมสร้างผิวที่แข็งแรง กระตุ้นคอลลาเจนที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขาได้แล้ววันนี้

                                                  ไหมน้ำ ULTRACOL ต่างจากไหมน้ำชนิดอื่นอย่างไร?

                                                  ไหมน้ำ

                                                  รู้ก่อนสวย ! ไหมน้ำ ULTRACOL ดีกว่าไหมน้ำชนิดอื่น ๆ อย่างไร? 

                                                  ว่าด้วยเรื่องของนวัตกรรมความงามปี 2024 ในเรื่องของเทรนด์ผิวหน้าเด็กอ่อนเยาว์ เหมือนย้อนกลับไป 14 อีกครั้ง นั่นก็คือนวัตกรรมการฉีดไหมน้ำ เป็นนวัตกรรมเติมเต็มใบหน้า เพื่อผิวสวยกระจ่างใส นอกจากการฉีดไหมน้ำเพื่อเติมเต็มผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ยังมีการร้อยไหมที่ใช้เข็มนำเส้นไหมลงไปสู้ใต้ชั้นผิวอีกด้วย 

                                                  ซึ่งในปัจจุบันการฉีดไหมน้ำเป็นนวัตกรรมหนึ่งที่ทำให้ผิวสวยตั้งแต่ภายในส่งผลสู่ภายนอก เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับใครต้องการฟื้นฟูผิวจากภายในให้

                                                   

                                                  ไหมน้ำยอดนิยมในขณะนี้คือ “ไหมน้ำ ULTRACOL” หลายคนอาจสงสัยว่าการฉีดไหมน้ำ ULTRACOL ดีกว่าไหมน้ำอื่น ๆ อย่างไร? ทำไมต้องเลือกไหมน้ำ ULTRACOL? ในบทความนี้จะไขข้อข้องใจให้คุณ ให้คุณหายข้อใจเกี่ยวกับ “ไหมน้ำ ULTRACOL”

                                                  ไหมน้ำ

                                                  ไหมน้ำคืออะไร?

                                                  นวัตกรรมที่ช่วยในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนให้ผิวเพื่อเติมเต็มคุณภาพผิว ช่วยยกกระชับผิวหน้า โดยผลลัพธ์ที่ได้ของการฉีดไหมน้ำจะมีความคล้ายคลึงกับการร้อยไหม แต่เป็นในรูปแบบของการฉีดเข้าสู่ผิวแทนการร้อยไหม

                                                  ความแตกต่างของร้อยไหม และ ฉีดไหมน้ำ

                                                  การร้อยไหม (Thread)

                                                  Thread คือ เส้นไหมที่มีความปลอดภัย โดยเป็นการนำเส้นไหมเข้าไปใต้ผิวหนังชั้น SMAS กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งไหมมีหลายประเภท โดยเทคโนโลยีล่าสุดได้พัฒนานำสารเคลือบไหม เช่น PCL, PDO, PLLA ที่สามารถฉีดลงสู้ชั้นผิวได้

                                                   

                                                  การฉีดไหมน้ำ (Biostimulator)

                                                  Biostimulator มีสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้เกิดขึ้นที่บริเวณใต้ชั้นผิว คือสาร PCL, PDO, PLLA คอลลาเจนใต้ผิวจะช่วยกระตุ้นทำให้ผลลัพธ์ของใบหน้ามีความตึงกระชับ เปรียบเสมือนการลิฟต์กรอบหน้าได้ด้วย

                                                  Biostimulator เป็นการฉีดลงไปสู่ชั้นใต้ผิวหนังชั้นตื้น ที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน โดยเรียกว่า ไหมน้ำ ซึ่งไหมน้ำคือสาร PDO, PCL, PLLA ส่งผลลัพธ์ช่วยให้ลดเลือนริ้วรอย ยกกระชับผิวหน้า แบบไม่ตกค้าง สามารถสลายเองได้ตามธรรมชาติ

                                                   

                                                  ไหมน้ำมีชนิด ชนิดใดบ้างไหนบ้าง?

                                                  ไหมน้ำ ชนิด PDO (Polydioxanone)

                                                  PDO คือไหมละลาย หรือที่เรียกว่า Absorbable ที่นำมาใช้ในวงการแพทย์เพื่อเย็บแผลผ่าตัดและใช้ในการสมานแผลในอวัยวะภายใน เป็นสารที่มีความยืดหยุ่นสูง ได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก USFDA ซึ่งสามารถย่อยสลายได้เอง ไหมน้ำสาร PDO เป็นไหมชนิดแรกที่นำมาใช้ในวงการแพทย์และความงาม ซึ่งพัฒนาให้เป็นโมเลกุลทรงกลมขนาดเล็ก เพื่อฉีดกระตุ้นคอลลาเจนทั่วใบหน้าได้

                                                  ไหมน้ำ ชนิด PCL (Polycarpolactone)

                                                  PCL คือนวัตกรรมไหมละลาย ที่พัฒนาโดยการใช้เทคโนโลยี CESABP เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของบริษัทผู้ผลิต ที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ เป็นสารที่ช่วยฟื้นฟูผิว กระตุ้นคอลลาเจน ช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ลง 

                                                  ไหมน้ำ ชนิด PLLA (Poly-L-Lactic acid)

                                                  สารอุ้มน้ำที่ปลอดภัยและใช้ในวงการแพทย์มานาน ประกอบไปด้วย โมเลกุลเล็กที่ถูกสังเคราะห์ให้เข้ากับร่างกายของมนุษย์ได้อย่างดี จึงมีความปลอดภัยและย่อยสลายตามธรรมชาติ ไหมน้ำสาร PLLA เป็นไหมน้ำตัวแรกที่ได้รับการรับรองจาก FDA ในประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ฟื้นฟูโครงสร้างของผิวหน้า เพิ่มเติมเต็มผิวหน้าให้อิ่มฟูอ่อนเยาว์

                                                  ไหมน้ำ ชนิด PDLLA (Poly D-L-Lactic Acid)

                                                  PDLLA จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen biostimulator เป็นไหมน้ำแบบใหม่ที่พัฒนามาจากประเทศเกาหลีใต้ มีอนุภาคขนาดเล็กที่ให้ผลลัพธ์ ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งมีความแตกต่างกับไหมน้ำ PLLA ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่กว่า

                                                  ไหมน้ำ ULTRACOL คืออะไร?

                                                  ไหมน้ำ ULTRACOL เป็นสาร PDO (Polydioxanone) ที่นำมาใช้ในวงการแพทย์เพื่อการเย็บแผล เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในวงการแพทย์มาอย่างยาวนาน เป็นไหมน้ำที่ผ่านการรับรองจาก USFDA จึงมีความปลอดภัยสูง ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ การทำโปรแกรม ULTRACOL สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type1 และ Type3 ได้นานถึง 6-8 เดือน ซึ่งผลลัพธ์หลังทำโปรแกรม ULTRACOL จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นในชั้นผิวได้ 34.36% ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย 13.33% และเพิ่มความกระจ่างใส 9.15% 

                                                  ไหมน้ำ ULTRACOL ช่วยอะไรบ้าง?

                                                  การทำไหมน้ำ ULTRACOL ช่วยเติมเต็มร่องลึกต่าง ๆ บนผิวหน้าและลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้าให้ตื้นขึ้น เติมเต็มผิวหน้าให้ละมุนอย่างเป็นธรรมชาติ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type1 และ Type3 คืนความอ่อนเยาว์ ย้อนอายุผิวให้กลับมาเด็กอีกครั้ง อีกทั้งยังช่วยในการยกกระชับ ผิวหน้าที่หย่อนคล้อยให้กลับมาผิวเฟิร์มเต่งตึง ช่วยเพิ่มคุณภาพผิวให้ยืดหยุ่นแข็งแรงขึ้น และยังช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใสอีกด้วย

                                                  ไหมน้ำ

                                                  รวมข้อดีของ ไหมน้ำ ULTRACOL

                                                  • ไหมน้ำ ULTRACOL ช่วยกระตุ้น การสร้างคอลลาเจน ของชั้นใต้ผิวหนังได้อย่างยาวนาน
                                                  • ไหมน้ำ ULTRACOL แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยไม่กระชับ ยกผิวตึงกระชับเทียบเท่าการร้อยไหม
                                                  • ไหมน้ำ ULTRACOL เติมเต็มร่องลึก และริ้วรอยเล็ก ๆ เพื่อผิวอ่อนเยาว์
                                                  • ไหมน้ำ ULTRACOL มีความปลอดภัยสูง ไม่มีการตกค้างในร่างกาย สลายได้เองตามธรรมชาติ
                                                  • ไหมน้ำ ULTRACOL ไม่ต้องพักฟื้นนาน ไม่ต้องผ่าตัด สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังทำทันที
                                                  • ไหมน้ำ ULTRACOL คงผลลัพธ์ยาวนาน ไม่ต้องทำซ้ำบ่อย

                                                  ULTRACOL

                                                  จุดเด่นของ ไหมน้ำ UTRACOL

                                                  • ULTRACOL กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนระดับ Nano Technology เจ็บน้อยกว่าการร้อยไหมทั่วไป
                                                  • ULTRACOL เปรียบเสมือนการร้อยไหมและฉีดฟิลเลอร์ในคราวเดียวกัน
                                                  • ULTRACOL สามารถ Regeneration ด้วยสารกรดอะมิโนแอซิด ช่วยซ่อมแซมผิวที่สึกหรอโดยไม่เป็นอันตรายต่อผิว
                                                  • ULTRACOL ไหมน้ำ 1 ขวด เทียบเท่าร้อยไหม 1,427 เส้น การันตีคุณภาพงานผิวระดับพรีเมี่ยม

                                                  เปรียบเทียบ ไหมน้ำ ULTRACOL กับ ไหมน้ำ อื่น ๆ

                                                  • ไหมน้ำ NANO LIFT

                                                  NANO LIFT เป็นนวัตกรรมไหมน้ำสาร PCL (Polycarpolactone) มีความพิเศษตรงที่ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลลัพธ์ให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นกว่าเดิม

                                                  • ไหมน้ำ GOURI

                                                  GOURI เป็นไหมน้ำสาร PCL (Polycarpolactone) โมเลกุลสูง ช่วยในการกระตุ้น และฟื้นฟูคอลลาเจนใต้ผิว โดยสามารถเห็นผลลัพธ์ภายใน 1-2 สัปดาห์ หลังจากนั้นริ้วรอยบนผิวหน้าลดลงและเพิ่มความกระชับให้กับผิวหน้า

                                                  • ไหมน้ำ SCULPTRA

                                                  SCULPTRA จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen Stimulator ที่มีสาร PLLA (Poly D-L-Lactic Acid) ที่จะแก้ปัญหาผิวเหี่ยวย่น ที่มีร่องลึกและริ้วรอยเล็ก ๆ แห่งวัย โดย SCULPTRA จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพิ่มผิวเฟิร์มแน่นกระชับ ปรับโครงสร้างผิวให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

                                                   

                                                  เปรียบเทียบไหมน้ำ ULTRACOL กับ ไหมน้ำ NANO LIFT 

                                                  ไหมน้ำ ULTRACOL เป็นนวัตกรรมใหม่มาจากประเทศเกาหลี ที่พัฒนามาจากไหมสาร PDO (Polydioxanone) ที่มีความยืดหยุ่นสูง ได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก USFDA 

                                                  ส่วนไหมน้ำ NANO LIFT ถูกนำมาพัฒนาจากไหมสาร PCL (Polycarpolactone) โดยการใช้เทคโนโลยี CESABP เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของบริษัทผู้ผลิต

                                                   

                                                  เปรียบเทียบไหมน้ำ ULTRACOL กับไหมน้ำ GOURI

                                                  ไหมน้ำ ULTRACOL สังเคราะห์มาจาก PDO (Polydioxanone) แต่ไหมน้ำ GOURI ใช้สารสังเคราะห์จาก PCL (Polycarpolactone) โดยไหมน้ำ UTRACOL จะสร้างคอลลาเจนใหม่ เพิ่มความเต่งตึงให้แก่ผิวหน้า และช่วยแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อย รวมไปถึงเติมเต็มร่องลึกให้ตื้นขึ้น ซึ่งมีความปลอดภัย ไม่เป็นอันตราย 

                                                  ส่วนไหมน้ำ GOURI เป็นหนึ่งในวัสดุการทำไหมละลาย ที่ใช้ในกลุ่มร้อยไหมดึงหน้าที่มาในรูปแบบของเหลว (Liquid PCL) โดยสามารถนำมาฉีดเข้าผิวแบบไม่ต้องมีการละลายน้ำ ทำให้สะดวกต่อการนำมาใช้งาน ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน 

                                                  เปรียบเทียบไหมน้ำ ULTRACOL กับไหมน้ำ SCULPTRA

                                                  ไหมน้ำ ULTRACOL ผ่านกระบวนการ Nano Technology โดยทำให้เป็นผงละอองไข่มุก และละลายออกมาในรูปของน้ำ สามารถฉีดได้ทุกบริเวณทั่วใบหน้า ซึ่งผลลัพธ์เปรียบเสมือนการร้อยไหมและฉีดฟิลเลอร์ไปในคราวเดียวกัน

                                                  ส่วนไหมน้ำ SCULPTRA พัฒนาสังเคราะห์มาจากสาร PLLA (Poly-L-Lactic acid) เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวที่จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen Biostmulator ซึ่งในการทำงานของ SCULPTRA จะทำการเติมเต็มระหว่างช่องว่าง ให้ผิวกลับมาเติมเต็มอิ่มฟูแน่นเฟิร์ม ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นสูง เริ่มเห็นผลลัพธ์หลังฉีดใน 2-3 อาทิตย์ และผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานกว่า 2 ปี

                                                   

                                                  เปรียบเทียบไหมน้ำ ULTRACOL กับ หัตถการอื่น ๆ 

                                                  เปรียบเทียบ ULTRACOL กับ REJURAN (รีจูรัน)

                                                  ULTRACOL อยู่ในกลุ่มของ Skin Booster โดยเน้นไปทาง Collagen Simulator โดยเน้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ใต้ชั้นผิวอย่างเป็นธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างยาวนาน ซึ่งให้ผลลัพธ์คงความอ่อนเยาว์จากภายในสู่ภานนอก

                                                  REJURAN (รีจูรัน) เป็นกลุ่ม Skin Booster เช่นเดียวกัน โดยสกัดมาจาก Polyneucleotide (พอลินิวคลิโอไทด์) ที่ได้มาจาก DNA ของปลาแซลมอน เน้นผิวฉ่ำวาวอิ่มฟู แลดูผิวสุขภาพดีแข็งแรง เหมาะกับผู้ที่อยากมีผิวกระจก (glass skin) 

                                                   

                                                  เปรียบเทียบ ULTRACOL กับ ฟิลเลอร์ (Filler)

                                                  ULTRACOL เป็นเทคโนโลยีรูปแบบของเหลวที่ช่วยเพื่อการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับคุณภาพผิวให้ยืดหยุ่นและกระชับขึ้น โดย ULTRACOL จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน แตกต่างกับการฉีดฟิลเลอร์ที่ฉีด Hyarulonic Acid เข้าผิวโดยตรงเพื่อให้ผิวนั้นชุ่มชื้นขึ้นแบบทันที

                                                  การฉีดฟิลเลอร์ เป็นการนำสารเติมเต็ม Hyarulonic Acid เข้าผิวโดยตรงเพื่อให้ผิวสุขภาพดี เต่งตึงกระชับและมีความชุ่มชื้น อีกทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ ได้ โดยสามารถนำมาฟิลเลอร์ใช้ในการปรับรูปหน้าได้อีกด้วย

                                                   

                                                  เปรียบเทียบ ULTRACOL กับ การฉีดโบ 

                                                  ULTRACOL จะช่วยในเรื่องของการเติมเต็มริ้วรอยร่องเล็กต่าง ๆ ด้วยการกระตุ้นคอลลาเจนขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ 

                                                  ส่วนการฉีดโบ คือการฉีดสารโดยยาจะออกฤทธิ์กับปลายประสาท ทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถสื่อประสาทมาที่กล้ามเนื้อได้ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดผ่อนคลายลง จนริ้วรอยต่าง ๆ ลดลงและไม่เกิดริ้วรอยใหม่ ๆ ในอนาคต

                                                   

                                                  เปรียบเทียบ ULTRACOL กับเครื่องยกกระชับ (Lifting)

                                                  ULTRACOL ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมือนกันกับโปรแกรมยกกระชับต่าง ๆ ซึ่งจะเห็นผลลัพธ์หลังฉีด ULTRACOL ตั้งแต่สัปดาห์แรก โดยแพทย์สามารถทำทั้ง 2 หัตถการนี้ร่วมกันได้เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

                                                  เครื่องยกกระชับผิว เช่น ULTRAFORMER III, ULTHERA SPT, THERMAGE FLX เป็นการช่วยยกกระชับลดริ้วรอย และกระตุ้นคอลลาเจนด้วยพลังงานของคลื่นเสียง เหมาะกับผู้ที่กลัวเข็ม ไม่ต้องการผ่าตัด โดยเห็นชัดเจนตั้งแต่ 3 เดือนเป็นต้นไป

                                                   

                                                  เปรียบเทียบ ULTRACOL กับการร้อยไหม (Thread Lifting)

                                                  ULTRACOL เป็นการฉีดนำสาร PDO (Polydioxanone) ในรูปแบบของเหลวเข้าสู่ชั้นผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของร่างกาย ช่วยปรับสภาพของคุณภาพผิวให้ดีขึ้น สู่ผิวอิ่มฟูแน่นกระชับ เน้นการปรับ skin quality ของผิวอย่างต่อเนื่อง

                                                  ร้อยไหม (Thread Lifting) เป็นการใช้ไหมละลายที่ทำมาจากวัสดุต่าง ๆ ร้อยเข้าสู่ชั้นผิวหนังเพื่อการยกกระชับแก้ปัญหาหย่อนคล้อย ปรับรูปหน้าเรียว เห็นผลลัพธ์ชัดเจนทันทีหลังทำ คนส่วนใหญ่นิยมร้อยไหมดึงหน้าและปรับหน้าเรียวกระชับ

                                                   

                                                  รวมคำถามพบบ่อยของ ULTRACOL

                                                  ไหมน้ำ ULTRACOL ควรทำกี่ครั้ง?

                                                  ULTRACOL เป็นโปรแกรมที่ควรทำอย่างน้อย 3 ครั้ง ในทุก 4-6 เดือน โดยหลังจากนั้นอยู่ที่การพิจารณาจากแพทย์

                                                  ไหมน้ำ ULTRACOL  อยู่ได้นานไหม?

                                                  ULTRACOL กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type1 และ Type3 ได้นานถึง 6-8 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลรักษาในแต่ละบุคคล

                                                  ไหมน้ำ ULTRACOLใช้ระยะเวลานานแค่ไหนกว่าจะเห็นผลลัพธ์?

                                                  ผลลัพธ์หลังทำ ULTRACOL จะเห็นผลได้ภายในตั้งแต่ 2-4 สัปดาห์ ซึ่งการทำ ULTRACOL ต้องใช้ระยะเวลาในการให้ร่างกายของคนเรากระตุ้นคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้หลังทำ ULTRACOL ผิวหน้าจะดูอ่อนเยาว์ขึ้น ริ้วรอยต่าง ๆ ดูจางลง และยกกระชับเติมเต็มใบหน้าให้ผิวอิ่มฟูขึ้นอีกด้วย

                                                  ไหมน้ำ ULTRACOL ตอบโจทย์ที่สุดต้องรมย์รวินท์คลินิกเท่านั้น

                                                  รมย์รวินท์คลินิก เป็นคลินิกที่มากด้วยประสบการณ์ ใช้ยาของแท้ มีคุณภาพปลอดภัย สามารถตรวจสอบได้ และมีทีมแพทย์ผู้ชำนาญการคอยดูแลและให้คำแนะนำปรึกษาแบบ 1:1 ทุกเคส โดยทีมแพทย์มากประสบการณ์ ในด้านการดูแลคนไข้มานานกว่า 21 ปี การันตีด้วยเคสจริง รีวิวจริง และรมย์รวินท์ได้รับความไว้วางใจจากเหล่านักแสดง นางแบบ เซเลป และคนดังมีชื่อเสียงอีกมากมาย 

                                                   

                                                  สำหรับใครที่กำลังมีปัญหาผิวหน้า สามารถเข้ามาประเมินปัญหาของผิวหน้า เบื้องต้นกับทางแพทย์ประจำรมย์รวินท์คลินิกทุกสาขาใกล้บ้านคุณได้เลยค่ะ เพราะที่รมย์รวินท์คลินิก นอกจากหัตถการไหมน้ำ ULTRACOL เรายังมีหัตถการโปรแกรมด้านอื่น ๆ ให้บริการโดยแพทย์ผู้ชำนาญการที่มากประสบการณ์ เพื่อตอบโจทย์ทุกปัญหาผิวและทุกไลฟ์สไตล์ของคุณค่ะ

                                                  Radiesse คืออะไร ? ข้อควรรู้ก่อนฉีด

                                                  Radiesse

                                                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                    วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                                    Radiesse งานผิวคุณภาพดีด้วย BIOSTIMULATOR

                                                    ผิวพรรณมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและ อายุที่เพิ่มมากขึ้น โดยมีสาเหตุมาจากคอลลาเจนในผิวที่ลดลง และเมื่อมีอายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนมาทดแทนได้น้อยลง ส่งผลให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ตามมา แน่นอน ว่าด้วยสภาพผิวที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เรื่องของงานผิวและการดูแลตัวเองเป็นกระแส และได้รับความนิยมมาโดยตลอดระยะเวลาแบบไม่มีความลดลง เนื่องจากปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอยล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ต้องการ

                                                    ซึ่งวิธีการดูแลผิวของแต่ละคน ก็จะมีตัวเลือกแตกต่างกันออกไป เช่น บางคนเลือกจัดตาราง Skincare Rountine เพื่อการบำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพ หรือบางคนเลือกปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำ แต่ด้วยมลภาวะที่ส่งผลกระทบกับผิวและปัจจัยต่าง ๆ วิธีการเหล่านี้อาจจะได้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างช้า จึงมีตัวเลือกพิเศษ อย่างการทำหัตถการงานผิวคุณภาพดีด้วย Radiesse

                                                    Radiesse เป็นนวัตกรรมแห่งยุค ที่ช่วยตอบโจทย์ด้านการแก้ปัญหาผิวที่หย่อนคล้อยตามอายุ ริ้วรอยแห่งวัย อีกทั้งยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิวอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ แถมยังสามารถดูแลตัวเองด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งการเอาใจใส่สุขภาพของตัวเอง ควบคู่กับการประโลมผิวด้วยสกินแคร์เป็นประจำ ยิ่งช่วยให้ผลลัพธ์งานผิวจากการฉีด Radiesse มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

                                                    Radiesse มีความแตกต่างจากงานผิวประเภทอื่น ๆ คือ  Radiesse จะไม่ได้มีส่วนประกอบหลักเป็น HA หรือ Hyalilonic acid แต่ Radiesse จะเป็น Biostimulator แทน สำหรับคนที่พึ่งเคยค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ Radiesse หรืออยากทราบข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติม สามารถเริ่มอ่านรายละเอียดต่าง ๆ ได้ตามหัวข้อภายในบทความนี้เลยรวมข้อมูลครบจบ Radiesse คืออะไร ?

                                                    Radiesse คืออะไร ? เป็นคำถามที่หลายคนอาจจะเคยค้นหาบนอินเทอร์เน็ต เพื่อหาข้อมูลก่อนทำหัตถการกับคลินิก ซึ่งจริง ๆ แล้ว Radiesse คือ Biostimulator สารที่ฉีดเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนภายในร่างกาย โดยสารดังกล่าวผลิตมาจาก แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทด์ หรือ Calcium Hydroxylapatite Microsphere หรือที่หลายคนมักจะเรียกกันอย่างติดปากว่า CaHA

                                                    CaHA (Calcium Hydroxylapatite microsphere) เป็นสารที่กระบวนการของร่างกาย สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ โดยสารดังกล่าวสามารถพบได้ที่บริเวณเนื้อเยื่อกระดูก แต่ Radiesse จะไม่ได้ดึงเอา CaHA จากร่างกายโดยตรง จะเป็นการสังเคราะห์ขึ้นมาแทน โดยมีการเทสแล้วว่า CaHA ที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมา ไม่ทำให้ร่างกายเกิดอาการแพ้แ ละสามารถเข้ากับร่างกายได้เป็นอย่างดี จึงนำมาเป็นสารที่ใช้ในการเป็นส่วนประกอบสำหรับ Radiesse

                                                    Radiesse ถูกคิดค้นขึ้นมา เพื่อจัดการกับปัญหาผิวที่เสื่อมสภาพไปตามวัย เนื่องจากปริมาณคอลลาเจนในร่างกายที่ค่อย ๆ น้อยลงสวนทางกับอายุและริ้วรอยที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งการฉีด Radiesse จะช่วยแก้ปัญหาผิวต่าง ๆ ลงลึกถึงโครงสร้างผิวและเป็นสารเติมเต็มผิว ทำให้ผิวอิ่มฟู กระตุ้นคอลลาเจน ผิวอิ่มน้ำ ด้วยการแก้ปัญหาผิวแบบองค์รวมทำให้งานผิวด้วย Radiesse ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี

                                                    หลักการทำงานของ Radiesse - Biostimulator

                                                    หลักการทำงานของ Radiesse นวัตกรรม Biostimulator มีการทำงานเป็นอย่างไร ทำไมถึงช่วยฟื้นฟูสภาพผิว และลดริ้วรอยความหย่อนคล้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                                                    Radiesse มีหลักการทำงานที่จะเข้าไปกระตุ้นระบบการทำงานของ ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดในการสร้างคอลลาเจนภายในร่างกายและผิว โดยสารที่เป็นองค์ประกอบหลักอย่าง CaHA ก็เป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนผิวบริเวณที่ฉีด Radiesse ทำให้ใต้ชั้นผิวบริเวณดังกล่าวมีการผลิตคอลลาเจนมากขึ้น ทำให้โครงสร้างผิวมีความแข็งแรงทดแทนคอลลาเจนที่เสียไปตามช่วงอายุ จึงเป็นผลลัพธ์ของงานผิวคุณภาพด้วย Radiesse

                                                    ความสำคัญของ Radiesse และส่วนประกอบหลักของ CaHA คือ ประสิทธิภาพด้านการฟื้นฟูผิวจากริ้วรอยและความหย่อนคล้อยที่มาพร้อมกับวัยที่เปลี่ยนไป โดยสารกระตุ้นจาก Radiesse จะช่วยเพิ่มคอลลาเจนและอีลาสติน ส่งผลให้ผิวฟื้นฟูได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะคอลลาเจนเป็นเส้นใยที่มีอยู่ภายในผิวอยู่แล้ว Biostimulator ทำหน้าที่เป็นสารกระตุ้นการทำงานทำให้งานผิวมีประสิทธิภาพ

                                                    ประสิทธิภาพและผลลัพธ์ของ Radiesse

                                                    Radiesse มีผลลัพธ์ที่ยาวนานได้มากสุดถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยประสิทธิภาพของ Biostimulator และ  Radiesse นับว่ามีประสิทธิภาพด้านการฟื้นฟูสภาพผิวและจัดการกับปัญหาริ้วรอยแห่งวัย โดยประสิทธิภาพการทำงานของ  สามารถ สรุปออกมาได้ดังนี้

                                                    Radiesse

                                                    •  Radiesse กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Collagen type I : ประสิทธิภาพของ Biostimulator ช่วยกระตุ้น Collagen type I มากถึง 150% ซึ่งช่วยทำให้โครงสร้างของผิวแข็งแรง ผิวหน้าได้รับการปกป้องจากรอยย่นผิวหย่อนคล้อย
                                                    •  Radiesse กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Collagen type III : กระตุ้นการสร้าง Collagen Type III มากถึง 130% ซึ่งส่งผลให้ผิวหน้าเงามีวอลลุ่ม ริ้วรอยจางลง
                                                    • Radiesse ช่วยเพิ่มอีลาสติน (Elastin) : ทำให้ปริมาณอีลาสตินมากขึ้นถึง 260% เสริมผิวจนเด้ง มีความยืดหยุ่น
                                                    •  Radiesse ช่วยเสริมสร้างโปรตีโอไกลแคน (Proteoglycan) : ช่วยให้ผิวอุ่มน้ำและคงความชุ่มชื้น ส่งผลให้ผิวมีความอ่อนเยาว์กักเก็บความชุ่มชื้นของผิวไว้
                                                    •  Radiesse กระตุ้นระบบการทำงาน Angiogenesis : เสริมสร้างหลอดเลือดเล็กและกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด ช่วยให้สารอาหารสามารถถูกลำเลียงไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิว ส่งผลให้ผิวมีสารอาหารหล่อเลี้ยงแลดูสุขภาพดี

                                                    ก่อนเลือก Radiesse มีข้อมูลไหนที่ควรรู้อีกบ้าง ?

                                                    สำหรับครั้งแรกที่พึ่งเลือกทำหัตถการ ไม่ว่าจะเป็น Radiesse หรือโปรแกรมงานผิวอื่น ๆ ก็ต้องพิจารณาข้อมูลต่าง ๆ อย่างถี่ถ้วน ก่อนตัดสินใจเลือก Radiesse เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและเลือกโปรแกรมงานผิวที่ได้ผลลัพธ์เหมาะสมกับตัวเองที่สุด

                                                    Radiesse

                                                    ผลลัพธ์ของ Radiesse ส่งผลอย่างไรกับงานผิว

                                                    การทำงานของ Radiesse Biostimulator มอบผลลัพธ์งานผิวที่ดีกว่าเดิมถึง 3 ประการหลัก ซึ่งสามารถสรุปออกมาได้ 3 คำ คือ Younger, Healthier, Longer

                                                    • Younger : เห็นผลชัดเจนว่าผิวมีความอ่อนเยาว์ งานผิวเด็กคุณภาพดี
                                                    • Healthier : ยกระดับผิวสุขภาพดี เจอมลภาวะมามากแค่ไหนก็ไม่หวั่น
                                                    • Longer : ผลลัพธ์งานผิวที่ยาวนาน ผิวเด็ก สุขภาพดีได้นานยิ่งขึ้น

                                                    Radiesse ทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับใครบ้าง ?

                                                    ถึงแม้ว่าจะมีวิธีการดูแลผิว หรืองานผิวด้วยหัตถการต่าง ๆ แต่ Radiesse Biostimulator ยังคงได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ เนื่องจากประสิทธิภาพการรักษาที่ตอบโจทย์งานผิวคุณภาพดีแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้อย่างตรงจุด จึงมีหลายคนที่อยากฉีด Radiesse แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่า Radiesse จะเหมาะกับตัวเองไหม สามารถ เช็กตัวเองได้ที่หัวข้อนี้เลย

                                                    •  Radiesse เหมาะสำหรับคนที่มีผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามวัย หรือมีปัญหาผิวเสื่อมสภาพ โดยที่มีเงื่อนไข คือ อยากได้ผลลัพธ์ตั้งแต่ที่ฉีด  Radiesse ครั้งแรก และผลลัพธ์ที่ออกมาเร็วกว่าการดูแลตัวเอง หรือสามารถดูแลตัวเองควบคู่ไปด้วยเพื่อประสิทธิภาพงานผิวที่ดียิ่งขึ้น
                                                    •  Radiesse เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัดเจน อยากมีผิวอ่อนเยาว์ ใบหน้ากระชับยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาการผ่าตัด
                                                    •  Radiesse เหมาะสำหรับคนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ที่ต้องการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ร่องลึก และเติมเต็มคอลลาเจนในระยะยาว

                                                    Radiesse

                                                    แล้ว Radiesse ไม่เหมาะสำหรับใครล่ะ ?

                                                    เนื่องจากการรักษาริ้วรอย และผิวหย่อนคล้อยด้วย Biostimulator ผ่านหัตถการ Radiesse ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน จะมีบางกรณีที่การทำ  Radiesse อาจส่งผลกระทบหรือก่อให้เกิดอันตรายได้ เพราะปัจจัยทางร่างกายที่มีตัวแปรสำคัญ ทำให้คนที่จะฉีด Radiesse ควรจะพิจารณาข้อมูลตรงนี้อย่างถี่ถ้วน หรือมีการสอบถามแพทย์ที่คลินิกก่อนเลือกฉีด Radiesse

                                                    คนที่เหมาะสำหรับ Radiesse เพื่องานผิวคุณภาพดีจะต้องไม่มีคุณสมบัติดังนี้

                                                    • สตรีมีครรภ์และสตรีที่อยู่ในภาวะที่ต้องให้นมบุตรเป็นประจำไม่ควรฉีด Radiesse
                                                    • คนที่มีอาการแพ้ส่วนประกอบของสารที่ใช้ในการฉีด Radiesse
                                                    • คนที่มีอาการอักเสบบริเวณผิวหนัง หรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดคีลอยด์บริเวณผิวหนัง
                                                    • คนที่มีอาการของโรคที่ส่งผลให้เลือดออกง่ายไม่เหมาะกับการฉีด Radiesse

                                                    ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีด Radiesse

                                                    หลังจากฉีด Radiesse ลองสำรวจร่างกายและบริเวณที่ฉีด Radiesse เพื่อตรวจสอบผลข้างเคียงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับเรา โดยผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยจากการฉีด Radiesse ก็จะมีดังนี้

                                                    • รอยแดง รอยเข็ม หรือรอยเขียวที่เหมือนผิวช้ำ เป็นอาการที่สามารถพบได้ทั่วไป โดยปกติแล้ว อาการเหล่านี้จะหายไปหลังจากผ่านไป 2-3 วัน แต่หากอาการไม่ดีขึ้นหลังจากนั้นรีบติดต่อแพทย์ทันที
                                                    • อาการปวดบริเวณรอยเข็มที่ทำการฉีด Radiesse หากมีอาการแบบนี้สามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการดังกล่าวได้
                                                    • แต่หากฉีดแล้วมีอาการผิดปกติอย่างรุนแรง เช่น ผิวเปลี่ยนสี ผิวซีด มีรอยแดงและอาการปวดที่รุนแรงผิดปกติ แนะนำให้รีบติดต่อแพทย์เฉพาะทางเพื่อหาทางรักษาทันที

                                                    วิธีการเตรียมตัวและดูแลตัวเองก่อนฉีด Radiesse และหลังฉีด Radiesse

                                                    หากต้องการฉีด Radiesse อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรทราบ คือ วิธีการเตรียมตัวก่อนทำและการดูแลตัวเองหลังฉีด Radiesse เนื่องจากขั้นตอนเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่ควรทำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและเป็นการดูแลตัวเองเพื่อคงผลลัพธ์การรักษาให้ออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด ยิ่งพึ่งเคยฉีด Radiesse เป็นครั้งแรก ยิ่งควรศึกษาข้อมูลตรงนี้เอาไว้เลย

                                                    การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนฉีด Radiesse

                                                    Radiesse สามารถช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และฟื้นฟูสภาพผิวให้มีความอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น แต่ก่อนฉีด Radiesse ก็ควรจะมีการเตรียมตัวเสียก่อน สำหรับคนที่อยากได้งานผิวดี ก็ต้องมีการเตรียมตัวก่อนฉีดเพิ่มคอลลาเจนและอีลาสตินดังนี้

                                                    • หากมีโรคประจำตัว, ประวัติการรักษาโรคต่าง ๆ รวมถึงประวัติการแพ้ยา ควรแจ้งให้ทางคลินิกที่เข้ารับการฉีด Radiesse ทราบเพื่อป้องกันอันตรายจากการแพ้ยาหรือผลกระทบต่ออาการของโรค
                                                    • ยากลุ่มที่มีฤทธิ์ส่งผลต้านอาการอักเสบ, วิตามิน, อาหารเสริม และยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด ยาและวิตามินอาหารเสริมเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรงดก่อนมาฉีด Radiesse
                                                    • งดการขัดผิวสครับผิวก่อนมาฉีด Radiesse เพราะจะส่งผลต่อการผลัดเซลล์ผิว รวมถึงการทาครีมบำรุงสกินแคร์ต่าง ๆ ที่มีส่งผลต่อการผลัดเซลล์ผิว เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของ Retinol
                                                    • ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือการสูบบุหรี่ก่อนมาฉีด Radiesse

                                                    การดูแลตัวเองหลังฉีดRadiesse

                                                    หลังจากฉีด Radiesse และเห็นผลลัพธ์ ความเปลี่ยนแปลงของผิวหน้าแล้ว อันดับต่อมาก็จะเป็นขั้นตอนที่ต้องคอยดูแลตัวเอง เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงหรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีด Radiesse รวมถึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของผลลัพธ์งานผิวอ่อนเยาว์ โดยมีวิธีการดูแลตัวเองฉบับเรียบง่าย ดังนี้

                                                    • หลังฉีด Radiesse ควรจะดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ จะทำให้ผิวมีความชุ่นชื้นและเป็นการดูแลสุขภาพผิวและสุขภาพกายควบคู่กับการทำหัตถการ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะดียิ่งขึ้น
                                                    • หลังจากฉีด Radiesse ควรระมัดระวังการนำมือไปสัมผัส แตะ หรือกดบริเวณที่ฉีด  Radiesse เพราะอาจส่งผลต่อการเคลื่อนตัวของสารที่ฉีดเข้าไป หากจะทาครีมหรือสกินแคร์ก็ควรระมัดระวังเรื่องการไปสัมผัสจุดดังกล่าวด้วย
                                                    • งดการออกไปเดินกลางแดดหรือกิจกรรมที่ต้องไปสัมผัสความร้อนโดยตรง เช่น การรับประทาน อาหารประเภทปิ้งย่างที่ผิวหน้าจะโดนความร้อนตลอด รวมถึงกิจกรรมที่มีการขยับร่างกายหรือออกแรงมาก ๆ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อบริเวณที่ฉีด Radiesse
                                                    • หลังจากฉีด Radiesse เป็นช่วงที่ควรงดการแต่งหน้าอย่างน้อย 12 ชม. หรือถ้าสังเกตแล้วว่ารอยเข็มบริเวณที่ฉีด  Radiesse ยังไม่หายไปก็ควรจะงดการแต่งหน้าไปก่อน
                                                    • หลังจากฉีด Radiesse ควรงดการดื่มเครื่องดื่ม ที่มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์
                                                    • หลังจากฉีด Radiesse ควรหลีกเลี่ยงการทำหัตถการ หรือโปรแกรมที่มีการส่งความร้อนลงมาบนผิว เช่น การเลเซอร์
                                                    • หากผิวมีอาการบวมหรือลักษณะแดง ๆ แนะนำให้คอยประคบเย็น เพื่อบรรเทาอาการบวมและแดงลง
                                                    • หากฉีด Radiesse แล้วเกิดมีอาการผิดปกติ หรือผลข้างเคียงต่าง ๆ ควรแจ้งกับทางแพทย์ หรือไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยด่วน

                                                    ข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Radiesse

                                                    หลังจากนี้จะเป็นรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Radiesse เพื่อช่วยเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับ Radiesse ให้มากขึ้น โดยจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับบริเวณที่สามารถฉีด Radiesse และขั้นตอนการฉีด Radiesse

                                                    ตำแหน่งใดบ้างที่สามารถฉีด Radiesse ได้

                                                    1. Middle Face หรือบริเวณกลางหน้า บริเวณพวงแก้ม เป็นส่วนที่สามารถฉีด Radiesse โดยบริเวณกลางหน้า เป็นส่วนที่เกิดการยุบตัวของกระดูกและไขมันเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้บริเวณนี้เหมาะกับการฉีด  Radiesse
                                                    2. Lower Face หรือ บริเวณหน้าส่วนล่าง ซึ่งมักเป็นส่วนที่เกิดการหย่อนคล้อยของผิว ตั้งแต่บริเวณรอบริมฝีปากลงมาจนถึงคาง ทำให้ Radiesse ก็สามารถฉีดบริเวณนี้เพื่อกระชับผิวให้กลับมาอ่อนเยาว์
                                                    3. ลำคอ ก็เป็นอีกบริเวณที่เรามักพบปัญหาคอเหี่ยว ผิวบริเวณคอย่นลงมาเป็นรอยดูไม่สวยงาม Radiesse ก็สามารถฉีดเพื่อแก้ปัญหารอยยับรอยย่นบริเวณคอได้เช่นกัน
                                                    4. บริเวณหลังมือ เป็นอีกส่วนที่เมื่ออายุมากขึ้น รอยเหี่ยวรอยย่นของผิวหนัง จะยิ่งปรากฏออกมาชัดเจน หลังมือจึงเป็นอีกบริเวณที่สามารถฉีด Radiesse เพื่อรักษารอยเหี่ยวย่นของผิว

                                                     Radiesse มีขั้นตอนการทำเป็นอย่างไร ?

                                                    1. ขั้นตอนแรกจะเป็นการประเมินสภาพผิว เพื่อเป็นการตรวจสอบสุขภาพของผิว ก่อนจะทำการเก็บรวบผมของคนที่มาใช้บริการให้เรียบร้อย ซึ่งเป็นส่วนของการเตรียมความพร้อมก่อนหัตถการ ที่ไม่ควรมีเส้นผมปรกลงมาบริเวณใบหน้า
                                                    2. หลังจากตรวจสอบ และทำการเก็บผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แพทย์จะทำความสะอาดลงบนผิวหน้า ขั้นตอนนี้จะเป็นการทำเพื่อป้องกันการทำความสะอาดเครื่องสำอางและป้องกันการติดเชื้อ
                                                    3. หลังจากทำความสะอาดผิวหน้า จะเป็นขั้นตอนการทายาชาหรือฉีดยาชาลงบนผิว เพื่อลดความเจ็บระหว่างฉีด Radiesse
                                                    4. พอปล่อยทิ้งไว้จนยาชาออกฤทธิ์แล้วก็จะเริ่มทำการฉีด Radiesse ลงบริเวณที่ต้องการรักษาผิวหย่อนคล้อย รอยยับรอยย่นบริเวณลำคอและหลังมือ
                                                    5. เนื่องจากการฉีด Radiesse อาจส่งผลให้มีเลือดออกมาบริเวณที่ทำ ขั้นตอนสุดท้ายจะเป็นการห้ามเลือดและทำความสะอาดให้เรียบร้อย บริเวณดังกล่าวจะไม่มีคราบเลือดติด

                                                    นึกถึง Radiesse ต้องที่รมย์รวินท์คลินิก

                                                    รมย์รวินท์คลินิก มีแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการฉีด Radiesse และมีประสบการณ์ด้านการทำหัตถการมามากกว่า 20 ปี และยังคงพัฒนาการทำหัตถการและความรู้ความสามารถของทั้งทีมแพทย์และพนักงานมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผลิตภัณฑ์และเครื่องหัตถการต่าง ๆ ที่ทางคลินิกนำเข้ามายังเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพและผ่านการรับรองมาตรฐาน จึงสามารถมั่นใจในผลลัพธ์และความปลอดภัยในการฉีด Radiesse และหัตถการอื่น ๆ สำหรับคนที่มีปัญหาผิวหน้าแต่ยังไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไรดี ทางคลินิกพร้อมให้คำปรึกษา และวิเคราะห์ปัญหาผิวให้กับทุกเคส หากสนใจ Radiesse สามารถเดินทางมาที่รมย์รวินท์คลินิกสาขาที่อยู่ใกล้คุณได้แล้ววันนี้

                                                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                      วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                      ยกกระชับรอบดวงตา ด้วย Ulthera SPT VS Thermage FLX

                                                      ยกกระชับรอบดวงตา

                                                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                        วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                                        ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT VS Thermage FLX โปรแกรมไหนดีกว่ากัน

                                                        เมื่ออายุมากขึ้น นอกจากใบหน้า ที่จะเริ่มมีริ้วรอย และหย่อนคล้อยลงแล้ว รอบดวงตาและผิวรอบดวงตาก็จะเริ่มหย่อนคล้อยและมีริ้วรอยแล้วเช่นกัน แต่ในบางครั้งการมีริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา มักเป็นสิ่งที่เรามองข้าม แต่รู้หรือไม่ว่า เมื่อไหร่ก็ตามดวงตาเราดูแก่ หรือมีอายุ จะส่งผลให้ใบหน้าภาพรวมของเราดูแก่หรือมีอายุตามไปด้วย เนื่องจากดวงตาเป็นจุดจ้องมองที่ทุกคนเวลามองหน้าของเรามักจะมองดวงตาก่อนเป็นอันดับแรก หรือที่เรียกกันว่า Eye contact นั่นเอง จึงส่งผลให้ริ้วรอยต่างๆที่บริเวณดวงตามักจะเด่นกว่าริ้วรอยในส่วนอื่นๆของใบหน้า โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตา นอกจากจะเกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นที่ส่งผลต่อโครงสร้างกระดูก ทำให้กระดูกเบ้าตาทรุดและ ทำให้ผิวสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน จึงทำให้ผิวเกิดความหย่อนคล้อยแล้ว ยังสามารถเกิดจากปัจจัยอื่นๆได้ด้วยเช่น

                                                        Ulthera SPT VS Thermage FLX 02 scaled

                                                        ปัจจัยที่ก่อให้เกิดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา

                                                        • พฤติกรรมในชีวิตประจำวันอาทิ เช่น การขยี้ตา การถูตาบ่อย ๆ
                                                        • การ พักผ่อนไม่เพียงพอ
                                                        • การแสดงสีหน้า ต่างๆทั้ง ยิ้ม หัวเราะ ขมวดคิ้ว ร้องไห้
                                                        • แสงแดด เป็นสิ่งหลักๆที่ทำสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดริ้วรอย เนื่องจากทำให้คอลลาเจนใต้ผิวเสื่อมสลาย

                                                        นอกจากนี้ยังมีปัญหาต่างๆ รอบดวงตาเช่น ปัญหาถุงใต้ตา ปัญหาเปลือกตาตก ปัญหาคิ้วตก  ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา ปัญหาร่องลึก ปัญหาถุงใต้ตา ปัญหารอยคล้ำรอบดวงตา ที่เป็นปัญหารอบดวงตาที่หนักอกหนักใจที่ต้องแก้ไขโดยโปรแกรมที่สามารถแก้ไขและแนะนำคือโปรแกรม Ulthera SPT  และโปรแกรม Thermage FLX ที่สามารถทำรอบดวงตา และแก้ไขปัญหาได้ดีโดยสองโปรแกรมนี้มีความแตกต่างกันดังนี้

                                                        ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT หรือ Ultherapy

                                                        เป็นโปรแกรมที่ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ แบบความถี่สูงและมีความจำเพาะเจาะจงของคลื่น สามารถยิงพลังงานได้อย่างล้ำลึกลงสู่ชั้นผิว โดยมีลักษณะการยิงคลื่นเป็นลักษณะจุดไข่ปลา ที่มีขนาดเล็กเพียง 1 mm เรียงตัวต่อกันเป็นเส้นตรง และปล่อยพลังงานคลื่นความร้อนลงสู่ใต้ชั้นผิวในอุณหภูมิ 60-70°C เพื่อให้เกิดการหดตัวของผิวหนังในบริเวณที่ยิงลงไป เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา ยกกระชับรอบดวงตา รวมทั้งทำบริเวณรอบดวงตาให้เรียบเนียน เหมาะสำหรับผู้ที่มีชั้นไขมันน้อย

                                                        ยกกระชับรอบดวงตา

                                                        ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX

                                                        เป็นโปรแกรมที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุที่มีความถี่สูงที่ชื่อว่า Radio Frequency หรือเรียกโดยย่อว่า  RF  เป็นคลื่นที่มีชนิดคลื่นในรูปแบบขั้วเดียว หรือ Monopolar ในการเป็นตัวส่งพลังงานความร้อน และแรงสั่นสะเทือนจากตัวเครื่องลงสู่ชั้นผิวหนัง โดยจะทำงานกับชั้นผิวหนังแท้รวมทั้งชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เพื่อให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเกิดการหดตัว และสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่

                                                        Thermage FLX มีอุปกรณ์ ที่ออกแบบมาสำหรับใช้กับบริเวณดวงตาโดยเฉพาะสำหรับป้องกันอันตรายต่อดวงตา มีความปลอดภัยสูงเนื่องจากเป็นโปรแกรมแบบเครื่องชนิดเดียวที่มีอุปกรณ์ป้องกันดวงตาเช่นนี้ นอกจากจะใช้แก้ปัญหารอบดวงตาได้แล้ว ยังสามารถใช้แก้ปัญหาบริเวณเปลือกตาได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย โดย Thermage FLX สามารถใช้ในการ ยกกระชับเปลือกตา แก้ปัญหารอยตีนกา แก้ปัญหาถุงใต้ตาได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีชั้นไขมันเยอะ

                                                        Ulthera ยกกระชับรอบดวงตา

                                                        ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT มีหัว Applicator ดังนี้

                                                        • หัว Ulthera SPT 1.5 mm เป็น Applicator ที่เหมาะสำหรับยกกระชับรอบดวงตาในชั้นหนังกำพร้า ลดริ้วรอยเล็กๆ กระชับผิวหนังในชั้นตื้นๆ เนื่องจากเป็น Applicator ที่ใช้รักษาในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นผิวหนังแท้(Dermis)
                                                        • หัว Ulthera SPT 3.0 mm เป็น Applicator ที่เหมาะสำหรับยกกระชับรอบดวงตาในชั้นไขมัน (Subcutis) เหมาะสำหรับใช้เพื่อการกระตุ้นคอลลาเจน และลดความหย่อนคล้อย รวมทั้งริ้วรอยบางส่วนในบริเวณรอบดวงตา
                                                        • หัว Ulthera SPT 4.5 mm เป็น Applicator ที่เหมาะสำหรับยกกระชับรอบดวงตา ในชั้น SMAS หรือที่รู้จักกันในชื่อ Superficial Musculoaponeurotic System  จึงได้ผลลัพธ์ที่ทำให้ผิวหนังรอบดวงตามีความตึง กระชับมากขึ้น

                                                        Thermage

                                                        ยกกระชับรอบดวงตาด้วย  Thermage FLX มีหัว TIP  เฉพาะในการรักษาคือ

                                                        หัว EYE TIP (สีเขียว) ที่มีขนาด 0.25 cm² ที่ช่วยในการ

                                                        • ยกกระชับรอบดวงตา
                                                        • ยกกระชับเปลือกตา
                                                        • ยกกระชับใต้ตา
                                                        • แก้ปัญหาหนังตาตก
                                                        • ช่วยยกคิ้วตก

                                                        ใช้จำนวนช็อตในการยิงประมาณ 450 Shot

                                                        Ulthera SPT VS Thermage FLX 05 scaled

                                                        โปรแกรมยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera  SPT ใช้จำนวน ช็อต หรือ ไลน์ จำนวนเท่าไร

                                                        การยกกระชับรอบดวงตาสามารถจำแนกได้เป็น

                                                        • ยกคิ้ว
                                                        • เปิดตาตก
                                                        • ยกกระชับหางตา
                                                        • ยกกระชับใต้ดวงตา

                                                        ทั้ง 4 ส่วนใช้จำนวนช็อต หรือ ไลน์ 100- 300 ไลน์ โดยประมาณ ตามแต่ปัญหาของแต่ละคน

                                                        ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT  เหมาะกับใคร

                                                        • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยรอบดวงตา
                                                        • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ
                                                        • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหางตาตก
                                                        • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหนังตาตก
                                                        • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดทำศัลยกรรมตา
                                                        • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่มีคิ้วตก ทำให้ตาเปิดได้ไม่สุด
                                                        • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาใต้ตาหย่อนคล้อย
                                                        • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตา
                                                        • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูรอบดวงตา

                                                        ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX เหมาะกับใคร

                                                        • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่มีรอยย่นรอบดวงตา
                                                        • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่หนังตาที่ตก
                                                        • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่คิ้วตก
                                                        • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่มีหนังตาตก
                                                        • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่หนังตาหย่อนคล้อย
                                                        • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่ต้องการคืนความสดใสให้ดวงตา
                                                        • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่ชั้นตาหลบใน
                                                        • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่มีไขมันที่เปลือกตาและรอบดวงตามา
                                                        • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่มีหนังตาเยอะ
                                                        • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการทำศัลยกรรมตา
                                                        • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่มีถุงใต้ตา

                                                        ผลลัพธ์ของการยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera

                                                        • จะทำให้ปัญหาถุงใต้ตาลดลง กระชับมากยิ่งขึ้น
                                                        • ช่วยในการยกคิ้วที่ตกให้ยกขึ้น
                                                        • ช่วยยกหางตาให้ชี้ขึ้น
                                                        • ทำให้มองเห็นชั้นตาได้มากขึ้น
                                                        • ช่วยทำให้ริ้วรอยในบริเวณรอบดวงตา ลดลงและจางลง
                                                        • ทำให้ผิวหนังบริเวณรอบดวงตามีความเรียบเนียนมากขึ้น
                                                        • ทำให้ภาพรวมของดวงตาดูสว่างสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้นกว่าเดิม

                                                        ผลลัพธ์ของการยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX 

                                                        • จะทำให้ปัญหาถุงใต้ตาที่เกิดจากไขมันลดลง
                                                        • ริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาจะดีขึ้น มีความตื้นขึ้น
                                                        • รอยย่นรอบดวงตาจะตื้นขึ้น กระชับขึ้น
                                                        • เปลือกตา ที่เคยย่น ในบางทีอาจทำให้ปิดตาจะมีความตึงกระชับ และเรียบเนียนมากขึ้น
                                                        • ทำให้ดวงตาภาพรวมดูอ่อนเยาว์มากขึ้น
                                                        • ทำให้ผู้ที่มีชั้นตาหลบใน ดูมีชั้นตาที่ชัดมากขึ้น
                                                        • ช่วยเปิดตาและยกคิ้วให้สดใสมากขึ้น

                                                        ยกกระชับรอบดวงตา
                                                        โปรแกรมยกกระชับรอบดวงตาโปรแกรมไหนดีกว่ากัน ?

                                                        ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT กับ Thermage FLX เลือกแบบไหนดี ?

                                                        • ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคลที่ต้องการยกกระชับรอบดวงตาว่าปัญหาที่เกิดนั้นเป็นปัญหาที่ชั้นกล้ามเนื้อ หรือชั้นไขมัน เพราะทั้งสองโปรแกรมเป็นโปรแกรมยกกระชับริบดวงตาที่ดีทั้งคู่ แต่มีจุดเด่นในการรักษาที่แตกต่างกัน และโฟกัสที่ชั้นผิวหนังที่ต่างกัน

                                                        โดยยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เป็นการใช้พลังงานที่มีจุดโฟกัสของพลังงานเป็นเส้นใหญ่โดยการส่งพลังงานไปสู่ผิวหนังในชั้น smas และยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่มีไขมันบริเวณรอบดวงตาน้อย

                                                        Thermage FLX ยกกระชับรอบดวงตานั้น จะเป็นการส่งพลังงานเป็นก้อนที่มีพลังงานขนาดใหญ่โดยโปรแกรมนี้จะเน้นในด้านการลดไขมัน จึงเหมาะกับผู้ที่รอบดวงตามีไขมันหนา หนังตาตกจากไขมัน ตาห้อย ตาย้อยจากไขมัน เป็นต้น

                                                        ยกกระชับรอบดวงตาอยู่ได้นานแค่ไหน

                                                        ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera อยู่ได้นานแค่ไหน

                                                        • โดยประมาณแล้วการยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera  จะสามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแล และสภาพผิวของแต่ละบุคคล

                                                        ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX อยู่ได้นานแค่ไหน

                                                        • การยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX จะสามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแล และสภาพผิวของแต่ละบุคคล

                                                        ระยะเวลาเห็นผลหลังทำยกกระชับรอบดวงตา

                                                        ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT

                                                        • หลังทำโปรแกรมยกกระชับรอบดวงตา Ulthera SPT  จะสามารถเห็นผลได้ทันทีตั้งแต่ครั้งแรกหลังทำเลยประมาณ 30% จากภาพรวม และจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆใน 1-2 เดือน และ 2-3 เดือน จะเห็นผลลัพธ์ที่เจนมากที่สุด  อันเกิดจากการที่คอลลาเจนที่สร้างขึ้นใหม่บริเวณใต้ชั้นผิวเริ่มทำงาน

                                                        ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX 

                                                        • หลังทำโปรแกรมยกกระชับรอบดวงตา Thermage FLX   จะสามารถเห็นผลได้ทันทีหลังทำครั้งแรกจากภาพรวมประมาณ  20-30%  และจะสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้มากที่สุดในช่วง 2-3 เดือน โดยจะเห็นผลได้ชัดมากขึ้นเรื่อยๆ

                                                        ยกกระชับรอบดวงตาใช้ระยะเวลาในการทำต่อครั้งนานเท่าไร

                                                        • ทั้งสองโปรแกรมยกกระชับรอบดวงตา ใช้ระยะเวลาในการทำต่อครั้งประมาณ 45 – 60 นาที หากต้องการทายาชาอาจจะเพิ่มระยะเวลาในการทำมากขึ้น ตามระยะเวลาการแปะยาชา

                                                        อายุเท่าไรถึงทำโปรแกรมยกกระชับรอบดวงตาได้

                                                        • ปัญหารอบดวงตามีมากมายที่สร้างความกังวล โดยมีโอกาสเกิดปัญหารอบดวงตาได้ตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป ทั้งสองโปรแกรม อันเกิดจากพฤติกรรมต่างๆและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของแต่ละคน ก็สามารถทำได้ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกโปรแกรมยกกระชับและแก้ปัญหารอบดวงตาที่เหมาะสมกับปัญหาให้มากที่สุด

                                                        โดยสามารถทำโปรแกรมยกกระชับรอบดวงตาได้ทั้งสองโปรแกรม เนื่องจากทั้งสองพลังงานส่งผลในการรักษาและใช้ในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน หากต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุด สามารถทำทั้งสองโปรแกรมควบคู่กันไปได้ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ที่ทำการรักษาเพื่อประเมินการรักษารวมถึงแก้ไขปัญหาที่บริเวณรอบดวงตาก่อนทำการรักษา

                                                        ทำไมต้องเป็นโปรแกรมยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT  และ Thermage FLX 

                                                        • เนื่องจากทั้งสองโปรแกรมเป็นโปรแกรมยกกระชับที่นิยมนำมาใช้เพื่อการยกกระชับบริบดวงตา เนื่องจากมีความปลอดภัย มีวิจัยรองรับ ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาจากหลากหลายประเทศทั่วโลก และยังเป็นโปรแกรมยกกระชับที่ได้มาตรฐาน ไม่ทำอันตรายต่อดวงตาและผิวหนังบริเวณใกล้เคียง ผู้เข้ารับบริการสามารถไว้ใจได้

                                                        ทำไมต้องเป็นโปรแกรมยกกระชับรอบดวงตาที่รมย์รวินท์คลินิก

                                                        • แพทย์คร่ำหวอดในวงการแพทย์มานาน การันตีด้วยฝีมือ
                                                        • มีเครื่องโปรแกรมยกกระชับรอบดวงตาทั้งสองโปรแกรมเตรียมพร้อมในการรองรับผู้เข้ารับบริการ
                                                        • แพทย์สามารถประเมินปัญหา ได้อย่างตรงจุด
                                                        • เป็นคลินิกเสริมความงามที่ได้มาตรฐาน มีความสะอาด
                                                        • มีรางวัลการันตีจากโปรแกรมยกกระชับทั้งสองโปรแกรม
                                                        • แพทย์ผ่านการทำการรักษาคนไข้มาแล้วมากมาย
                                                        • สะดวกสบายในการเดินทาง
                                                        • เปิดมาแล้วยาวนานกว่า 21 ปี ดูแลรักษาเคสมาแล้วมากมาย
                                                        • มีเคสรีวิวจริงเชื่อถือได้

                                                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                          วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                          Oligio VS Thermage FLX โปรแกรมไหนที่เหมาะสำหรับเรา

                                                          Oligio vs Thermage

                                                          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                            วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                                            ความแตกต่างระหว่าง Oligio และ Thermage FLX

                                                            Oligio และ Thermage FLX ต่างก็เป็นหัตถการเสริมความงามที่มีการพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากทั้งสองหัตถการมีความสามารถด้านการยกกระชับผิวอย่างเหนือชั้น ทำให้ทั้ง Oligio และ Thermage FLX เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวหน้าไม่เต่งตึง กรอบหน้าไม่ชัดเจน แล้ว Oligio และ Thermage FLX มีความแตกต่างกันอย่างไร ?

                                                            สำหรับคนที่อยากจะยกกระชับผิวสร้างกรอบหน้าที่ชัดเจน คงกำลังพิจารณาความแตกต่างระหว่าง Oligio และ Thermage FLX อยู่ เพราะถึงแม้ว่าทั้งสองจะเป็นโปรแกรมที่มีความสามารถเรื่องการยกกระชับผิวเหมือนกัน แต่ก็มีจุดที่แตกต่างกันอยู่ สำหรับผู้ใช้บริการแล้วทุกคนล้วนอยากเลือกโปรแกรมที่ตอบโจทย์ด้านปัญหาผิวและเหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด รมย์รวินท์คลินิกจึงอยากนำเสนอเกี่ยวกับ Oligio และ Thermage FLX เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับพิจารณาความแตกต่างของทั้งสองโปรแกรม

                                                            Oligio vs Thermage

                                                            รู้จักกับโปรแกรม “Oligio” และกระบวนการทำงานของโปรแกรม

                                                            Oligio เป็นหัตถการเครื่องยกกระชับใหม่ล่าสุดจากประเทศเกาหลีใต้ โดยอาศัยนวัตกรรมคลื่นวิทยุ Monopolar RF ความถี่ 6.78 MHz เข้ามาช่วยยกกระชับและปรับกรอบหน้า โดยส่วนที่พัฒนาเพิ่มเติม คือ การลดความเจ็บปวดระหว่างทำหัตถการ ทำให้เวลาทำจะมีความผ่อนคลายสบายกว่าเครื่องอื่น อีกทั้งยังช่วยลดไขมันบริเวณแก้มและเหนียง ทำให้ Oligio ตอบโจทย์ทั้งสำหรับคนที่อยากมีหน้าเรียวสวย และคนที่กลัวรู้สึกเจ็บระหว่างทำหัตถการ

                                                            การทำงานของ Oligio

                                                            การทำงานของ Oligio เป็นการนำเทคโนโลยีคลื่นวิทยุ Monopolar RF ความถี่ 6.78 MHz ที่สามารถ ปล่อยคลื่นความลึก 3 mm. ลงไปสู่ชั้นผิวหนังแท้และชั้นไขมันเพื่อยกกระชับผิวหน้า โดยสามารถปรับได้ถึง 3 โหมด ได้แก่ โหมดเดี่ยว โหมดคู่ และโหมดอัตโนมัติ ซึ่งเมื่อยิงลงสู่ชั้นผิวผ่านหัวเข็ม Tips F4.0 สามารถปรับเข้าสู่โหมดอัตโนมัติ เพื่อควบคุมการปล่อยคลื่นพลังงานลงสู่ผิวหนังที่มีความสม่ำเสมอ จึงได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

                                                            โดยพลังงานที่ส่งลงไปสู่ชั้นผิวหนัง จะช่วยเพิ่มปริมาณคอลลาเจนที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังอย่างเป็นระบบระเบียบ ผลลัพธ์ของหัตถการจึงออกมาเป็นผิวหน้าที่มีความเต่งตึง มีความยืดหยุ่น และไขมันบริเวณแก้มและเหนียงก็จะลดลงไปจากเดิมที่หน้าดูหย่อนคล้อย มีเหนียงชัด ก็จะมีกรอบหน้าที่ชัดขึ้น เหนียงลดลงนั่นเอง

                                                            จุดเด่นของ Oligio

                                                            • เครื่องของ Oligio มาพร้อมกับระบบเซนเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิผิว (Skin Temperature Tracking Sensor) เพื่อเป็นการตรวจสอบอุณหภูมิผิวตลอดการทำหัตถการ ร่วมกับระบบ Cryogen Gas ที่เป็นการปล่อยความเย็นมาประโลมผิวก็จะช่วยให้ผลข้างเคียงจากการ Burn และ อาการระคายเคืองลดลง ผู้เข้ารับบริการจะรู้สึกผ่อนคลายบริเวณที่ทำยิ่งขึ้น
                                                            • จากระบบ Skin Temperature Tracking Sensor และ Cyrogen Gas ทำให้ Oligio มีความปลอดภัยที่สูงมาก เพราะมีมาตรการรองรับการ Burn ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทำหัตถการ รวมถึงมีการแจ้งเตือนกับทางแพทย์เมื่ออุณหภูมิผิวสูงเกินกำหนด
                                                            • เวลาที่ใช้ในการยกกระชับด้วย Oligio จะอยู่ที่ประมาณ 20 – 30 นาที นับว่าเป็นระยะเวลาที่ไม่นานจนเกินไป เมื่อเทียบกับหัตถการยกกระชับอื่น ๆ ที่ใช้เวลาตั้งแต่ 45 – 60 นาทีเลย
                                                            • หลังทำ Oligio สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้น
                                                            • ไม่ต้องทายาชา สามารถลงมือทำได้เลย

                                                            Oligio สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง ?

                                                            Oligio เป็นนวัตกรรมยกกระชับ ที่สามารถทำได้เกือบทั่วทั้งใบหน้า โดยบริเวณที่นิยมทำ Oligio อยู่เช่นกัน โดยสามารถเช็กรายละเอียดบริเวณที่นิยมทำหัตถการ Oligio ที่ด้านล่างนี้เลย

                                                            • บริเวณกรอบหน้า – ยกกระชับเพื่อสร้างกรอบหน้า
                                                            • บริเวณผิวหน้าและรอบดวงตา – ช่วยยกผิวที่หย่อนคล้อย ให้กลับมาเต่งตึง แข็งแรง
                                                            • บริเวณแก้ม เหนียง ใต้คาง – ช่วยสลายไขมันทำให้ผิวบริเวณนั้นกลับมายืดหยุ่นและกระชับ
                                                            • บริเวณลำคอ – ลดรอยเหี่ยวรอยย่นบริเวณคอ
                                                            • หน้าท้องและต้นแขน – สลายไขมันและลดรอยเหี่ยวย่นของผิว บริเวณหน้าท้องและต้นแขน สังเคราะห์คอลลาเจนทำให้ผิวบริเวณนั้นกลับมาเรียบเนียน ช่วยยกกระชับผิว

                                                            Oligio vs Thermage

                                                            “Thermage FLX FLX” นวัตกรรมยกกระชับและกระบวนการทำงานของโปรแกรม

                                                            Thermage FLX FLX นวัตกรรมยกกระชับผิว ด้วยคลื่นวิทยุ Monopolar RF ที่ลงลึกไปถึงผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) จากนั้นคลื่นความร้อนที่ปล่อยลงไปจะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง เมื่อผิวมีจำนวนคอลลาเจนมากขึ้น ก็จะส่งผลให้สุขภาพของผิวเปลี่ยนไปในทางที่ดียิ่งขึ้น จากเดิมที่ผิวหน้ามีริ้วรอย หย่อนคล้อยก็จะเริ่มกลับมาเป็นผิวที่เรียบเนียนกระชับ นับว่าเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมยกกระชับที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้บริการ

                                                            การทำงานของ Thermage FLX FLX

                                                            หลักการทำงานของ Thermage FLX FLX คือ กระบวนการที่ส่งคลื่นความถี่วิทยุ Monopolar RF ที่ก่อให้เกิดความร้อนลงไปที่ชั้นหนังแท้ (Dermis) ที่อยู่ภายใต้ผิวหนังเพื่อกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดคอลลาเจน ซึ่งส่งผลให้ริ้วรอยจางลง ผิวมีความแข็งแรงยืดหยุ่นและลดการสะสมของไขมัน

                                                            แต่ Thermage FLX FLX มาพร้อมระบบที่คล้ายคลึงกับ Oligio คือ ระบบทำความเย็น (Cooling System) ที่ปล่อยออกมาระหว่างกระบวนการทำ Thermage FLX เพื่อทำให้ผิวชั้นบนได้รับความเย็นในระหว่างการลงมือทำ Oligio จึงทำให้ความร้อนจากเครื่องกลายเป็นความรู้สึกอุ่น ๆ สบาย ๆ เวลาทำ Thermage FLX และส่วนสำคัญของระบบ Cooling System คือ ลดการเบิร์นของผิวระหว่างการทำหัตถการ

                                                            นอกจากนั้นยังมีเทคโนโลยี AccuREP ที่ช่วยปรับพลังงานให้เหมาะสมกับสภาพผิวตลอดเวลาที่ทำ Thermage FLX ทำให้พลังงานคลื่นวิทยุ Monopolar RF ลงสู่ผิวอย่างสม่ำเสมอ และลดความเสี่ยงจากการเบิร์น เนื่องจากทางแพทย์สามารถตรวจสอบอุณหภูมิระหว่างการทำงานของเครื่อง เพื่อปรับพลังงานให้เหมาะสมกับผิว

                                                            จุดเด่นของ Thermage

                                                            • Thermage FLX สามารถทำได้ทุกสภาพผิวและทุกสีผิว โดยพลังงานความร้อนจากคลื่นความถี่วิทยุ Monopolar RF สามารถยกกระชับได้ทุกชั้นผิว
                                                            • หลังทำ Thermage FLX ไม่มีร่องรอยของแผลหรือการผ่าตัด ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น หลังทำเลยสามารถกลับ ไปทำกิจวัตรต่าง ๆ ได้ตามปกติ
                                                            • เห็นผลหลังจากทำ Thermage FLX ทันทีอย่างน้อย 20% และจะเห็นผลชัดเจนหลังจากผ่านไป 2-3 เดือน
                                                            • ระยะเวลาการทำ Thermage FLX อยู่ที่ 45-60 นาที ซึ่งถ้าเทียบกับ Oligio แล้ว Thermage FLX อาจจะใช้เวลาทำนานกว่า แต่ Thermage FLX ก็ถือว่าใช้เวลาไม่นาน
                                                            • ผลลัพธ์ของการทำ Thermage FLX 1 ครั้ง สามารถอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล แต่เนื่องจากผลลัพธ์ที่อยู่นานถึง 1-2 ปี ทำให้ไม่ต้องทำ Thermage FLX บ่อย ๆ

                                                            Thermage FLX สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง ?

                                                            ก่อนเลือกทำ Thermage FLX หลายคนน่าจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ Thermage FLX ว่าสามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง ? แล้วคนอื่น ๆ นิยมมาทำ Thermage FLX ที่บริเวณไหน เรื่องนี้ทางรมย์รวินท์คลินิกมีคำตอบให้กับทุกท่าน โดยปกติแล้ว Thermage FLX สามารถทำได้ทุกบริเวณของร่างกาย แต่ก็จะมีบริเวณที่ได้รับความนิยมดังต่อไปนี้

                                                            • รอบดวงตา : ช่วยยกกระชับบริเวณรอบดวงตา แก้ปัญหาหนังตาตกและริ้วรอยรอบดวงตา
                                                            • ผิวหน้า : ช่วยยกกระชับผิวจากเดิม ที่มีริ้วรอยและความหย่อนคล้อย ผิวหน้าจะกระชับเข้าทรงกับรูปหน้า และช่วยสลายไขมันบริเวณแก้ม ใบหน้าจึงมีความเรียวสวยยิ่งขึ้น
                                                            • คอ : บริเวณลำคอที่มีการสะสมของไขมันจำนวนมาก จนเกิดเป็นเหนียงใต้ลำคอ การทำ Thermage FLX จะช่วยสลายไขมันและยกกระชับผิวบริเวณนี้ให้กลับมาเรียบเนียน มีกรอบหน้าชัดเจน
                                                            • ร่างกาย : Thermage FLX สามารถทำได้หลากหลายส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นแขน, หน้าท้อง, สะโพก, ต้นขา หรือบริเวณที่มีความหย่อนคล้อย Thermage FLX ก็สามารถยกกระชับให้ผิวกลับมาเรียบเนียน ไม่มีร่องรอยของความหย่อนคล้อยและไขมันออกมาให้เห็น

                                                            Oligio vs Thermage

                                                            ระหว่าง Oligio และ Thermage FLX มีความแตกต่างกันอย่างไร ?

                                                            เวลามาใช้บริการที่รมย์รวินท์คลินิก เกี่ยวกับโปรแกรมยกกระชับ ทางคลินิกก็จะมีโปรแกรมตัวเลือกหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น Oligio หรือ Thermage FLX ในฐานะของผู้ใช้บริการสิ่งสำคัญที่ควรรู้ก่อนเดินเข้ามาที่รมย์รวินท์คลินิก คือ ความแตกต่างระหว่างทั้งสองโปรแกรม ซึ่งข้อมูลตรงส่วนนี้จะช่วยให้เราเข้าใจความแตกต่างระหว่างทั้งสองโปรแกรมและสามารถเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมกับตัวเองได้

                                                            หากไม่แน่ใจว่าควรเลือกทำโปรแกรมไหน อีกหนึ่งทางออก คือ การสอบถามแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิกได้เลย ทางรมย์รวินท์คลินิกสามารถให้คำปรึกษาเรื่องหัตถการได้ แต่การที่เราทราบข้อมูลเกี่ยวกับหัตถการทั้งสอง ก่อนเข้ามาที่คลินิกก็จะเป็นประโยชน์ต่อการเลือกทำโปรแกรมยกกระชับเช่นกัน เพราะฉะนั้นมาดูข้อแตกต่างกัน แล้วค่อยเลือกว่าจะทำ Oligio ดีหรือไม่

                                                            Oligio มีระบบทำความเย็น (Cooling System) ที่ตอบโจทย์สำหรับคนกลัวเจ็บมากกว่า

                                                            ถึงแม้ว่าหัตถการทั้งสองจะมีผลลัพธ์ที่ดีเหมือนกัน แต่ระบบทำความเย็น (Cooling System) ของ Oligio ทำออกมาตอบโจทย์คนที่กลัวความเจ็บได้เป็นอย่างดี Cyrogen Gas ที่ปล่อยออกมาจะช่วยทำให้บริเวณผิวที่ทำ Oligio รู้สึกเย็น ไม่เจ็บผิวและไม่เกิดการไหม้บริเวณผิว ส่วนของ Thermage FLX จะเป็นระบบปล่อยความเย็นที่ช่วยลดอาการแสบร้อนได้บ้าง แต่ผลลัพธ์ด้านการบรรเทาความเจ็บปวดและการเบิร์นไม่เท่า Oligio

                                                            ระยะเวลาของการทำหัตถการด้วย Oligio รวดเร็วกว่า

                                                            ถึงแม้ว่าเครื่อง Thermage FLX จะใช้เวลาทำเพียง 45-60 นาที Oligio กลับใช้เวลาในการทำน้อยกว่า เพียง 20-30 นาที ซึ่งนับว่าใช้เวลาน้อยกว่าพอสมควร ทำให้ Oligio มีจุดเด่นเรื่องระยะเวลาที่ใช้น้อยลงกว่าการทำ Thermage FLX เมื่อเทียบกับจำนวนช็อตเท่ากัน ดังนั้น Oligio จึงตอบโจทย์เรื่องความเร่งรีบมากกว่า หากไม่ค่อยมีเวลามาทำหัตถการนาน ๆ

                                                            Oligio มาพร้อมหัวทิปที่ดีกว่าและมีโหมดที่สามารถปรับได้ถึง 3 โหมด

                                                            หัวทิปของ Oligio มีเซนเซอร์สำหรับตรวจจับอุณหภูมิ เมื่อตรวจพบบริเวณที่อุณหภูมิสูงกว่าที่กำหนด ระบบจะหยุดการทำงานเพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าบริการ รวมถึงมีโหมดที่สามารถปรับได้ถึง 3 โหมด ได้แก่ โหมดเดี่ยว, โหมดคู่ และโหมดอัตโนมัติ ซึ่งช่วยควบคุมพลังงานความร้อนที่ปล่อยลงผิวได้อย่างพอดี Oligio จึงช่วยลดการเบิร์นของผิวได้อย่างเห็นผล และมีการกระจายพลังงานที่ดีกว่า Thermage

                                                            ไม่ว่าจะเป็น Oligio หรือ Thermage FLX ที่รมย์รวินท์คลินิกก็พร้อมให้บริการ

                                                            สำหรับคนที่อยากมีผิวที่กระชับเรียบเนียน มีกรอบหน้าเป็นทรงสวยชัดเจน สามารถมาบอกลาริ้วรอยความหย่อนคล้อยได้ที่รมย์รวินท์คลินิก ซึ่งทางคลินิกมีโปรแกรมที่ช่วยจัดการกับปัญหาผิวและยกกระชับหลากหลายทางเลือก ไม่ว่าจะเป็น Oligio เครื่องยกกระชับผิวส่งตรงจากเกาหลีใต้, Thermage FLX โดยสำหรับคนที่สนใจสามารถอ่านรีวิว Oligio หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขา

                                                            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                              วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                              ดับร้อนผิวด้วย COLOR ICE

                                                              COLOR ICE

                                                              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                                                ดับร้อนผิวด้วย COLOR ICE

                                                                แม้จะผ่านพ้นหน้าร้อนไปหมาด ๆ ประเทศไทยก็ยังคงความเป็นประเทศเขตร้อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยฝนที่ตกมานับครั้งได้ ! แต่อากาศเนี่ยร้อนทุกวี่ทุกวันกะไม่ให้ผิวสวย ๆ ได้พักเล้ยย เรียกได้ว่าหน้าฝนที่ประเทศไทยก็เป็นเพียงหน้าร้อนที่มีฝนตกพอเป็นพิธี นอกนั้นก็เจอแต่กับแดดและไอความร้อนตลอด แถมอุณหภูมิยังพุ่งไปเหยียบ 37 °C เป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว ด้วยเหตุนี้เองปัญหาผิวจึงกลับมาก่อกวนเราอีกครั้ง

                                                                จากช่วงเวลา 7 วันที่ผ่านมาประเทศไทยยังคงท็อปฟอร์มเรื่องอุณหภูมิโดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 34-37 °C ช่วงกลางวัน และ 27-30 °C ช่วงเวลากลางคืน และแน่นอนว่าไอความร้อนจากอุณหภูมิที่สูงขนาดนี้ส่งผลกระทบกับผิวของเราพอ ๆ กับแสงแดดเลย แปลว่าแม้จะหลบภายในห้องก็ยังไม่วายต้องเผชิญกับปัญหาผิวเสียจากอากาศที่ร้อนจัดพอผนวกกับแสงแดดที่สาดส่องลงมาไม่พักเวลาออกไปข้างนอกบอกเลยงานนี้มีแต่พังกับพัง !

                                                                หากอยากรักษาผิวสวย ๆ ให้รอดพ้นจากอากาศร้อนก็ต้องมีเคล็ดลับวิธีรับมือกับปัญหาผิวต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นช่วงที่อากาศร้อน ถึงจะบอกว่าเป็นแผนรับมือสำหรับช่วงอากาศร้อนแต่โชคชะตาช่างเล่นตลกอยู่เสมอ ประเทศไทยดันมีแต่ช่วงที่อากาศร้อน ร้อนมาก ร้อนสุด ๆ เรียกได้ว่าถ้าอยากเอาตัวรอดจากอากาศร้อนที่ประเทศไทยก็ต้องมีการเตรียมตัวกันเยอะหน่อย 

                                                                ซึ่งไอความร้อนที่เจอทุกวันนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เนื่องจากกิจวัตรประจำวันของคนปกติทั่วไปทั้งวัยเรียนและวัยทำงานล้วนมีช่วงที่ต้องออกมาเผชิญหน้ากับแสงแดดและไอความร้อนอยู่เสมอ และช่วงเวลาที่สัมผัสกับไอร้อนเพียงนิดเดียว ผิวก็สามารถเกิดการแห้งเสียและมีปัญหาผิวอื่น ๆ มาตามราวี ไม่ว่าจะเป็นสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ สารพัดปัญหา วันนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงอยากมาแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับอากาศร้อนและเคล็ดลับเอาตัวรอดจากอากาศร้อนกับ COLOR ICE นวัตกรรมแสง LED ที่ช่วยจัดการกับผิวเสีย

                                                                ถึงแม้ว่า COLOR ICE จะไม่ได้มาเป็นตัวช่วยเรื่องอากาศที่ร้อนขึ้นทุกวัน แต่ COLOR ICE ยังคงมีประสิทธิภาพด้านการบำรุงผิวด้วยการเติมวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพผิว และช่วยจัดการ กับปัญหาผิวที่มักพบเจอได้บ่อย ๆ ในช่วงหน้าร้อน ทำให้ COLOR ICE เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมทั้งด้านผลลัพธ์ที่ออกมาแล้วตอบโจทย์ด้านฟื้นฟูผิวเสีย ทั้งด้านการทำงานของโปรแกรมที่เป็นนวัตกรรมแสง LED รวมเข้ากับความเย็นที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับวิตามิน โดยปัญหาสุขภาพผิวที่มักพบเจอช่วงที่อากาศร้อน ก็จะมีดังนี้

                                                                COLOR ICE

                                                                จริงมั้ย ? อากาศร้อนทำร้ายผิวไม่แพ้แดดเลย ?

                                                                เคยสงสัยกันบ้างมั้ย ? เวลาออกไปเดินข้างนอกแดดร้อน ๆ แต่กางร่มแล้วผิวก็ยังคงไม่วายมีรอยแดง รอยดำ เกิดฝ้าขึ้นมาอีก นั่นก็เป็นเพราะว่าอากาศร้อนส่งผลกระทบต่อต่อมเหงื่อ ทำให้เกิดการขับน้ำออกมาตามต่อมเหงื่อพร้อมด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ซึ่งส่งผลให้ผิวแห้งและอักเสบได้ง่าย รูขุมขนเกิดการขยายออกกว้างเพื่อขับความร้อนออกมาส่งผลให้ผิวเสีย รูขุมขนกว้าง ผิวแห้งกร้าน ผิวหมองคล้ำไม่แพ้การตากแดดเลย

                                                                ยังไม่พอบางคนกางร่มก็อาจจะพอช่วยกันแดดได้บ้าง แต่สำหรับคนที่ทำงานกลางแจ้งหรือต้องออกเดินกลางแดดและความร้อน บอกเลยว่าผิวพังยิ่งกว่าเดิม เพราะได้รับทั้งรังสี UV และ ถูกไอความร้อนกระตุ้นการทำงานของต่อมเหงื่อ ผิวยิ่งแสบและอักเสบยิ่งกว่าเดิม 

                                                                และบอกเลยว่ากิจกรรมของคนวัยเรียนและวัยทำงานหลาย ๆ ท่านก็ยากที่หลีกเลี่ยงไอความร้อน ยกตัวอย่างที่เห็นแบบชัด ๆ เลย คือ การเข้าแถวหน้าเสาธง เด็กนักเรียนมักจะได้ยืนตากแดดและรับไอร้อนอย่างเต็มที่ นับว่าเป็นกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดผิวแห้งเสีย แต่จะหลีกเลี่ยงการเข้าแถวกลางแจ้งก็ไม่สามารถทำได้ เช่นเดียวกับวัยทำงานที่มีรูปแบบงานกลางแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นการขายของ งานกลางแจ้ง หรือ งานที่ต้องเดินทางไปไหนมาไหนบ่อย ๆ ก็จะต้องเจอกับแดดและความร้อนเป็นประจำ

                                                                หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เผชิญกับไอความร้อนและแสงแดดได้ อย่างน้อยถ้ามีวิธีการรับมือก็จะช่วยบรรเทาปัญหาผิวที่เกิดขึ้นจากไอความร้อนและแสงแดดได้ ทางรมย์รวินท์คลินิกจึงอยากแนะนำเคล็ดลับดูแลตัวเองให้ผิวรอดจากอากาศประเทศไทย เพราะร้อนนี้ผิวไม่สุกด้วย COLOR ICE

                                                                COLOR ICE

                                                                เผยเคล็ดลับเอาตัวรอดจากอากาศไทยแลนด์แดนมอดไหม้ !

                                                                1. การดื่มน้ำเป็นเรื่องสำคัญ ! ควรดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน – เมื่อร่างกายเจอกับอากาศร้อนและมีการขับเหงื่อออกมาจะเป็นช่วงที่ร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ การดื่มน้ำเพื่อไปทดแทนส่วนที่เสียไปย่อมเป็นผลดีของร่างกาย โดยทำให้ผิวไม่แห้งกร้านมีความชุ่มชื้น
                                                                2. เลือกสวมเสื้อผ้าสีอ่อน ผ้าเนื้อบาง ปิดมิดชิดทั้งร่างกาย – การเลือกเสื้อผ้าสีอ่อนและบางจะช่วยให้ตัวผ้าไม่ดูดซับความร้อนและระบายอากาศได้เป็นอย่างดี รวมถึงการสวมเสื้อผ้าแบบแขนขายาวจะช่วยป้องกันรังสี UV ได้ด้วย นับว่าเป็นวิธีป้องกันผิวเสียรวมถึงลดความเสี่ยงต่อการเป็นฮีทสโตรก
                                                                3. ทาครีมกันแดดปกป้องผิวจากรังสี UV – เวลาออกไปข้างนอกเจอแดดเปรี้ยงมาคู่กับไอความร้อนระอุตามท้องถนน อย่างน้อย ๆ ก็ควรเซฟผิวด้วยการทาครีมกันแดดพร้อมด้วยครีมบำรุงต่าง ๆ เพื่อป้องกันผิวแห้งเสียจากความร้อน
                                                                4. ประคบตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายด้วยความเย็น – เป็นวิธีการช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกาย ลดการเสียเหงื่อเพื่อป้องกันผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น โดยอาจประคบตามซอกตัว เช่น ลำคอ แขน ขาหนีบ หรือ ศีรษะ เป็นต้น
                                                                5. ทานผลไม้ช่วยคลายร้อน – มีผลไม้หลากหลายชนิดที่ช่วยเติมน้ำให้กับร่างกายได้เหมือนกัน เช่น แตงโม ส้ม แคนตาลูป เป็นต้น โดยผลไม้เหล่านี้นอกจากจะทดแทนน้ำที่เสียไปแล้วยังมีประโยชน์ต่อผิวพรรณและร่างกาย จึงเป็นทางออกที่ดีสำหรับคนที่ชอบรับประทานผลไม้อยู่เป็นประจำ

                                                                COLOR ICE

                                                                หรือสำหรับใครที่ทนตากแดดร้อน ๆ ดูแลตัวเองไปวัน ๆ ไม่ไหวแล้ว ต้องลองมาที่รมย์รวินท์คลินิกกับ COLOR ICE ที่เป็นทรีตเมน์ฟื้นฟูสภาพผิวโดยการผสมผสาน 3 เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพด้านการบำรุงและฟื้นฟูผิว ได้แก่ Electroporesis ที่เป็นการนำเอาหลักการ Electroporesis มาใช้ในการเติมวิตามินเข้าสู่ผิว และเพิ่มคุณภาพของผลลัพธ์ด้วยเทคโนโลยี Cryotherapy ความเย็นที่ช่วยปลอบประโลมผิวและส่งผลให้วิตามินมีประสิทธิภาพคงอยู่ได้นานยิ่งขึ้น ปิดท้ายด้วยเทคโนโลยี LED Phototherapy การนำแสง LED มาช่วยในการบำบัดและแก้ปัญหาผิว โดยแสง LED ที่นำมาใช้จะมีทั้งหมด 3 รูปแบบ ตามข้อมูลด้านล่างนี้

                                                                RED LIGHT : แสงสีแดงจะช่วยปรับสภาพผิวและกระตุ้นคอลลาเจน เมื่อนำมาผสมผสานกับ COLOR ICE แล้วจะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวจากแสงแดด อากาศร้อน และมลภาวะต่าง ๆ อีกทั้งยังช่วยเรื่องลดเรือนริ้วรอย ผิวเรียบเนียนนุ่มน่าสัมผัส

                                                                BLUE LIGHT : ลดอาการอักเสบและแก้ปัญหาสิวที่มีสาเหตุมาจากมลภาวะ โดยแสงสีน้ำเงินจะช่วยทำลายเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวและช่วยทำให้สิวที่มีอยู่หายเร็วขึ้น

                                                                YELLOW LIGHT : ช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใส ลดจุดด่างดำและรอยคล้ำออกจากผิว ช่วยทำให้ผิวไบร์ท และ ไม่เกิดอาการระคายเคือง

                                                                COLOR ICE ถึงจะไม่ได้ช่วยลดความร้อนของสภาพอากาศ แต่ก็ตอบโจทย์ด้านการบำรุงผิวที่เกิดการแห้งเสียอันเป็นผลกระทบมาจากมลภาวะที่คนเราต้องเผชิญในแต่ละวัน แต่นอกจาก COLOR ICE แล้วทางรมย์รวินท์คลินิกยังมีโปรแกรมดูแลและจัดการกับปัญหาผิว รวมถึงปรับโครงหน้ายกกระชับ สร้างกรอบหน้าดูดีมีมิติ ด้วยประสบการณ์การทำงานมากกว่า 20 ปี พร้อมพิสูจน์ผลลัพธ์ความสวยที่แม้แต่แสงแดดและความร้อนยังต้องสยบที่รมย์รวินท์คลินิกทั้ง 28 สาขา

                                                                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                  วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                  EMFACE ดียังไง ต่างจากเครื่องยกกระชับอื่นยังไง ?

                                                                  emface

                                                                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                    วันที่สะดวกในการติดต่อ









                                                                    EMFACE ยกกระชับไม่พึ่งมีดหมอ ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย

                                                                    การค้นหาเทคนิคการยกกระชับใบหน้าที่มีประสิทธิภาพ และไม่ต้องผ่าตัดกลายเป็นหัวข้อที่น่าสนใจในวงการความงาม และศัลยกรรม หนึ่งในเทคโนโลยีที่กำลังเป็นที่นิยม และได้รับการยอมรับมากขึ้นในปัจจุบันคือ EMFACE ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ผสานวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่ต้องการมีใบหน้าที่กระชับ และดูอ่อนเยาว์ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการผ่าตัดที่เจ็บปวด และต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน

                                                                    emface

                                                                    EMFACE คืออะไร

                                                                    EMFACE ย่อมาจาก “Electromagnetic Facial Enhancement” เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการยกกระชับใบหน้า และลดริ้วรอย โดยไม่ต้องพึ่งพาการผ่าตัดหรือการฉีดสารเคมี เทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่ต้องการดูแลรักษาผิวพรรณ และความอ่อนเยาว์ของใบหน้า โดยที่ไม่ต้องเจ็บตัว และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน

                                                                    หลักการทำงานของ EMFACE

                                                                    การทำงานของ EMFACE พื้นฐานมาจากการใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่เฉพาะเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้า พลังงานนี้จะถูกส่งผ่านเข้าสู่ผิวหนัง และชั้นกล้ามเนื้อในระดับลึก กระบวนการนี้มีสององค์ประกอบหลักที่ทำให้ EMFACE เป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ

                                                                      1. ในส่วนของการกระตุ้นกล้ามเนื้อ (Muscle Stimulation)

                                                                    พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าจะกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้เกิดการหดตัว และคลายตัวในรูปแบบที่คล้ายกับการออกกำลังกายสำหรับกล้ามเนื้อใบหน้า การกระตุ้นนี้ช่วยเพิ่มความแข็งแรง และความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ทำให้ผิวหน้าดูกระชับ และเรียบเนียนขึ้น

                                                                      1. ในส่วนของการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน (Collagen Production)

                                                                    นอกจากการกระตุ้นกล้ามเนื้อ พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้ายังช่วยกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ในชั้นผิวหนังให้ผลิตคอลลาเจน และอิลาสตินมากขึ้น คอลลาเจนเป็นโปรตีนสำคัญที่ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น และกระชับ การเพิ่มการผลิตคอลลาเจนจึงช่วยลดริ้วรอย และทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์

                                                                    emface

                                                                    EMFACE VS EMFACE Submentum ต่างกันอย่างไร

                                                                    เทคโนโลยี EMFACE ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเนื่องจากความสามารถในการยกกระชับ และฟื้นฟูผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด อย่างไรก็ตาม ภายในเทคโนโลยีนี้เองยังมีการพัฒนาโปรแกรมย่อยเพื่อเพิ่มความเฉพาะเจาะจง และประสิทธิภาพในการรักษาบริเวณที่ต่างกันของใบหน้า ซึ่งสอง โปรแกรม หลักคือ EMFACE และ EMFACE Submentum นี่คือรายละเอียด และความแตกต่างระหว่างทั้งสองโปรแกรม

                                                                    EMFACE

                                                                    EMFACE เป็นโปรแกรมหลักที่ถูกออกแบบมาเพื่อการยกกระชับ และฟื้นฟูผิวทั่วใบหน้า โดยเน้นไปที่การกระตุ้นกล้ามเนื้อ และการเพิ่มการผลิตคอลลาเจน และอิลาสตินในชั้นผิวหนัง ข้อดีของโปรแกรมนี้คือความครอบคลุม และการปรับปรุงคุณภาพผิวทั่วใบหน้า

                                                                    คุณสมบัติหลักของ EMFACE

                                                                    • ยกกระชับทั่วใบหน้า การกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้หดตัว และคลายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวหน้ากระชับขึ้น
                                                                    • เพิ่มการผลิตคอลลาเจน และอิลาสติน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์
                                                                    • ลดริ้วรอย และเส้นบาง ๆ ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนคือการลดลงของริ้วรอย และเส้นบาง ๆ บนใบหน้า

                                                                    EMFACE Submentum

                                                                    EMFACE Submentum ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะในการยกกระชับ และฟื้นฟูผิวในบริเวณใต้คาง และลำคอ (Submental Area) ซึ่งเป็นบริเวณที่มักเกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อย และการสะสมของไขมัน

                                                                    คุณสมบัติหลักของ EMFACE Submentum

                                                                    • ยกกระชับบริเวณใต้คาง และลำคอ การกระตุ้นกล้ามเนื้อในบริเวณนี้ช่วยลดความหย่อนคล้อย ทำให้แนวกรามดูชัดเจนขึ้น
                                                                    • ลดไขมันสะสม การกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และการเผาผลาญในบริเวณใต้คางช่วยลดไขมันสะสม ทำให้คางสองชั้นลดลง
                                                                    • เพิ่มการผลิตคอลลาเจน และอิลาสติน เช่นเดียวกับ EMFACE การเพิ่มการผลิตคอลลาเจน และอิลาสตินในบริเวณนี้ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน และกระชับ

                                                                    ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง EMFACE และ EMFACE Submentum

                                                                    • บริเวณการรักษา
                                                                      • EMFACE เน้นการยกกระชับ และฟื้นฟูผิวทั่วใบหน้า
                                                                      • EMFACE Submentu มุ่งเน้นการยกกระชับ และลดไขมันบริเวณใต้คาง และลำคอ
                                                                    • ปัญหาที่แก้ไข
                                                                      • EMFACE ริ้วรอย, ผิวหย่อนคล้อยทั่วใบหน้า
                                                                      • EMFACE Submentum ความหย่อนคล้อย และการสะสมของไขมันใต้คาง และลำคอ
                                                                    • เป้าหมายของการรักษา
                                                                      • EMFACE เพื่อให้ผิวทั่วใบหน้าดูกระชับ และอ่อนเยาว์
                                                                      • EMFACE Submentum เพื่อให้แนวกรามชัดเจน และลดคางสองชั้น
                                                                    • เทคนิคการใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า
                                                                      • ทั้งสองโปรแกรมใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการกระตุ้นกล้ามเนื้อ และเพิ่มการผลิตคอลลาเจน แต่จะมีการปรับค่าพลังงาน และเทคนิคให้เหมาะสมกับบริเวณการรักษา

                                                                    EMFACE และ EMFACE Submentum ถูกออกแบบมาเพื่อการยกกระชับ และฟื้นฟูผิวในบริเวณต่าง ๆ ของใบหน้า และลำคอ ด้วยเทคโนโลยีพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า โดย EMFACE เน้นการดูแลผิวทั่วใบหน้า ในขณะที่ EMFACE Submentum เน้นการดูแลเฉพาะบริเวณใต้คาง และลำคอ ความแตกต่างนี้ทำให้ทั้งสองโปรแกรมมีความเฉพาะเจาะจง และประสิทธิภาพสูงในการตอบสนองความต้องการของผู้ที่มีปัญหาผิวต่างกัน

                                                                    EMFACE และเทคนิคอื่น ๆ ต่างกันอย่างไร

                                                                    การดูแลความงาม และการฟื้นฟูผิวหน้าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับหลายคน โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีด้านความงามได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งในเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากคือ EMFACE ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการยกกระชับใบหน้า และลดริ้วรอย แต่ยังมีวิธีการอื่น ๆ เช่น ฉีดสารเติมเต็ม (Filler), ฉีดโบ , เลเซอร์ (Laser Resurfacing), และการผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) ที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย หัวข้อนี้จะเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง  EMFACE และเทคนิคอื่นๆ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น

                                                                    EMFACE vs ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) ต่างกันอย่างไร

                                                                    การดูแล และฟื้นฟูผิวหน้าเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับหลายคน โดยเฉพาะเมื่อมีริ้วรอย หรือความหย่อนคล้อยเกิดขึ้น หนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมคือ EMFACE ซึ่งใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการยกกระชับ และฟื้นฟูผิวหน้า นอกจากนี้ยังมี ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้ในการเพิ่มปริมาตรให้กับบริเวณที่มีรอยย่นหรือเหี่ยวย่น หัวข้อนี้จะเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง EMFACE และฉีดสารเติมเต็ม (Filler) ในด้านต่าง ๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน และสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น

                                                                    ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) คืออะไร

                                                                    ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) เป็นวิธีการที่ใช้สารเติมเต็ม เช่น กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) หรือคอลลาเจน ฉีดเข้าไปในผิวหนังเพื่อเพิ่มปริมาตร และเติมเต็มร่องลึกหรือริ้วรอยบนใบหน้า

                                                                    คุณสมบัติหลักของการฉีดสารเติมเต็ม

                                                                    • เพิ่มปริมาตร สารเติมเต็มช่วยเพิ่มปริมาตรในบริเวณที่มีรอยย่นหรือเหี่ยวย่น ทำให้ผิวหน้าดูเต็ม และเรียบเนียนขึ้น
                                                                    • ผลลัพธ์ทันที สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังการฉีด
                                                                    • ปรับแต่งรูปร่างใบหน้า สามารถปรับแต่งรูปร่างของใบหน้าได้ตามต้องการ เช่น เติมริมฝีปากหรือแก้มให้ดูอวบอิ่มขึ้น
                                                                    • ต้องฉีดซ้ำ สารเติมเต็มจะสลายไปตามธรรมชาติ ทำให้ต้องฉีดซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์

                                                                    คุณสมบัติหลักของ EMFACE

                                                                    • ยกกระชับทั่วใบหน้า การกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้หดตัว และคลายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวหน้ากระชับขึ้น
                                                                    • เพิ่มการผลิตคอลลาเจน และอิลาสติน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์
                                                                    • ลดริ้วรอย และเส้นบาง ๆ ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนคือการลดลงของริ้วรอย และเส้นบาง ๆ บนใบหน้า

                                                                    ความแตกต่างระหว่าง EMFACE และ ฉีดสารเติมเต็ม (Filler)

                                                                    1. หลักการทำงาน
                                                                      • EMFACE ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการกระตุ้นกล้ามเนื้อ และการผลิตคอลลาเจน ไม่ต้องใช้เข็มหรือสารเคมีใด ๆ
                                                                      • ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) ใช้สารเติมเต็มฉีดเข้าไปในผิวหนังเพื่อเพิ่มปริมาตร และเติมเต็มร่องลึกหรือริ้วรอย
                                                                    2. ผลลัพธ์
                                                                      • EMFACE ผลลัพธ์จะค่อย ๆ เห็นชัดขึ้นหลังการรักษาหลายครั้ง เนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
                                                                      • ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการฉีด แต่ต้องฉีดซ้ำเมื่อสารเติมเต็มสลายไป
                                                                    3. ความปลอดภัย
                                                                      • EMFACE ไม่มีการใช้เข็มหรือสารเคมี ทำให้ไม่มีความเสี่ยงต่อการแพ้ หรือการเกิดก้อนใต้ผิวหนัง
                                                                      • ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) มีความเสี่ยงต่อการแพ้สารเคมี และการเกิดก้อนใต้ผิวหนัง หรือการอักเสบหากมีการฉีดที่ไม่ถูกต้อง
                                                                    4. การรักษา
                                                                      • EMFACE ต้องใช้เวลาหลายครั้งในการรักษาเพื่อให้เห็นผลลัพธ์เต็มที่ แต่ไม่มีการพักฟื้น  และสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
                                                                      • ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) การรักษาใช้เวลาไม่นาน และเห็นผลทันที แต่ต้องฉีดซ้ำเมื่อสารเติมเต็มสลายไป
                                                                    5. ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
                                                                      • EMFACE ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติเนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวโดยธรรมชาติของร่างกาย
                                                                      • ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแพทย์ หากฉีดไม่ถูกต้องอาจทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ
                                                                    6. ระยะเวลาของผลลัพธ์
                                                                      • EMFACE ผลลัพธ์คงอยู่นานขึ้นเนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
                                                                      • ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 6-18 เดือนขึ้นอยู่กับชนิดของสารเติมเต็มที่ใช้

                                                                    EMFACE และ ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) ต่างมีข้อดี และข้อเสียที่แตกต่างกัน การเลือกเทคนิคที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความต้องการ และสภาพผิวของแต่ละบุคคล หากต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ และไม่มีความเสี่ยงจากการใช้สารเคมี EMFACE อาจเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากต้องการเห็นผลลัพธ์ทันที และสามารถปรับแต่งรูปร่างใบหน้าได้ตามต้องการ ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวคุณเอง

                                                                    EMFACE vs ฉีดโบต่างกันอย่างไร

                                                                    การดูแล และฟื้นฟูผิวหน้าเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับหลายคน โดยเฉพาะเมื่อริ้วรอย และความหย่อนคล้อยเริ่มปรากฏบนใบหน้า เทคโนโลยีด้านความงามในปัจจุบันได้พัฒนาไปอย่างมาก หนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมคือ EMFACE ซึ่งใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการยกกระชับ และฟื้นฟูผิวหน้า ในขณะที่ ฉีดโบ ก็เป็นที่รู้จัก และได้รับความนิยมมากเช่นกันในการลดริ้วรอย หัวข้อนี้จะเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง EMFACE และ การฉีดโบ ในด้านต่างๆ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น

                                                                    ฉีดโบคืออะไร

                                                                    ฉีดโบคือสารที่ใช้ในการลดริ้วรอยบนใบหน้าโดยการฉีดสารนี้เข้าไปในกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อที่ถูกฉีดนั้นหยุดการเคลื่อนไหวชั่วคราว ซึ่งจะช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ

                                                                    คุณสมบัติหลักของการฉีดโบ

                                                                    • ลดริ้วรอยจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะริ้วรอยบนหน้าผาก, รอยขมวดคิ้ว, และรอยตีนกา
                                                                    • ผลลัพธ์รวดเร็ว สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ภายในไม่กี่วันหลังการฉีด
                                                                    • ต้องฉีดซ้ำ ผลของการฉีดโบจะอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน หลังจากนั้นต้องฉีดซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์

                                                                    คุณสมบัติหลักของ EMFACE

                                                                    • ยกกระชับทั่วใบหน้า การกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้หดตัว และคลายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวหน้ากระชับขึ้น
                                                                    • เพิ่มการผลิตคอลลาเจน และอิลาสติน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์
                                                                    • ลดริ้วรอย และเส้นบาง ๆ ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนคือการลดลงของริ้วรอย และเส้นบาง ๆ บนใบหน้า

                                                                    ความแตกต่างระหว่าง EMFACE และ ฉีดโบ

                                                                    1. หลักการทำงาน
                                                                      • EMFACE ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการกระตุ้นกล้ามเนื้อ และการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง ไม่มีการหยุดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
                                                                      • ฉีดโบ ใช้สารในการหยุดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ก่อให้เกิดริ้วรอย ซึ่งทำให้ริ้วรอยลดลง
                                                                    2. ผลลัพธ์
                                                                      • EMFACE ผลลัพธ์จะค่อย ๆ เห็นชัดขึ้นหลังการรักษาหลายครั้ง เนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
                                                                      • ฉีดโบเห็นผลลัพธ์ได้ภายในไม่กี่วันหลังการฉีด โดยริ้วรอยจะลดลงอย่างชัดเจน
                                                                    3. ความปลอดภัย
                                                                      • EMFACE ไม่มีการใช้เข็มหรือสารเคมี ทำให้ไม่มีความเสี่ยงต่อการแพ้หรือการเกิดก้อนใต้ผิวหนัง
                                                                      • ฉีดโบมีความเสี่ยงต่อการแพ้สารเคมี การฉีดไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น หน้าแข็งหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
                                                                    4. การรักษา
                                                                      • EMFACE ต้องใช้เวลาหลายครั้งในการรักษาเพื่อให้เห็นผลลัพธ์เต็มที่ แต่ไม่มีการพักฟื้น และสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
                                                                      • ฉีดโบ การฉีดใช้เวลาไม่นาน และเห็นผลภายในไม่กี่วัน แต่ต้องฉีดซ้ำเมื่อผลของสารหมด
                                                                    5. ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
                                                                      • EMFACE ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติเนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวโดยธรรมชาติของร่างกาย
                                                                      • ฉีดโบผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับปริมาณ และตำแหน่งที่ฉีด หากฉีดไม่ถูกต้องอาจทำให้ใบหน้าดูแข็ง และไม่เป็นธรรมชาติ
                                                                    6. ระยะเวลาของผลลัพธ์
                                                                      • EMFACE ผลลัพธ์คงอยู่นานขึ้นเนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
                                                                      • ฉีดโบ ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน หลังจากนั้นต้องฉีดซ้ำ

                                                                    EMFACE และ ฉีดโบมีข้อดี และข้อเสียที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการ และสภาพผิวของแต่ละบุคคล หากต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ และไม่มีความเสี่ยงจากการใช้สารเคมี EMFACE อาจเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว และต้องการลดริ้วรอยจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ฉีดโบอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวคุณเอง

                                                                    EMFACE vs เลเซอร์ (Laser Resurfacing) ต่างกันอย่างไร

                                                                    การฟื้นฟู และยกกระชับผิวหน้าเป็นกระบวนการที่สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาความอ่อนเยาว์ของผิวหน้า ในปัจจุบันมีหลายเทคนิคที่ได้รับความนิยม หนึ่งในนั้นคือ EMFACE ซึ่งใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการยกกระชับผิว ในขณะที่ เลเซอร์ (Laser Resurfacing) ก็เป็นวิธีการที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการปรับสภาพผิว หัวข้อนี้จะเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง EMFACE และ เลเซอร์ (Laser Resurfacing) ในด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจ และสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น

                                                                    เลเซอร์ (Laser Resurfacing) คืออะไร

                                                                    เลเซอร์ (Laser Resurfacing) เป็นกระบวนการที่ใช้พลังงานเลเซอร์ในการลอกผิวชั้นบนออก เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และฟื้นฟูผิวหน้าให้เรียบเนียนขึ้น ลดริ้วรอย รอยดำ และรอยแผลเป็น

                                                                    คุณสมบัติหลักของการใช้เลเซอร์

                                                                    • ลอกผิวชั้นบน ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
                                                                    • ลดริ้วรอย รอยดำ และรอยแผลเป็น ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน และสดใสขึ้น
                                                                    • กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์ขึ้น
                                                                    • ต้องใช้เวลาพักฟื้น การลอกผิวชั้นบนออกอาจทำให้ผิวแดง และบวม ต้องใช้เวลาพักฟื้นหลายวัน

                                                                    คุณสมบัติหลักของ EMFACE

                                                                    • ยกกระชับทั่วใบหน้า การกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้หดตัว และคลายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวหน้ากระชับขึ้น
                                                                    • เพิ่มการผลิตคอลลาเจน และอิลาสติน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์
                                                                    • ลดริ้วรอย และเส้นบาง ๆ ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนคือการลดลงของริ้วรอย และเส้นบาง ๆ บนใบหน้า

                                                                    ความแตกต่างระหว่าง EMFACE และ เลเซอร์ (Laser Resurfacing)

                                                                    1. หลักการทำงาน
                                                                      • EMFACE ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการกระตุ้นกล้ามเนื้อ และการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง โดยไม่ต้องลอกผิว
                                                                      • เลเซอร์ (Laser Resurfacing) ใช้พลังงานเลเซอร์ในการลอกผิวชั้นบนออกเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และฟื้นฟูผิว
                                                                    2. ผลลัพธ์
                                                                      • EMFACE ผลลัพธ์จะค่อย ๆ เห็นชัดขึ้นหลังการรักษาหลายครั้ง เนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
                                                                      • เลเซอร์ (Laser Resurfacing) เห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนหลังจากผิวฟื้นตัว แต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นหลายวันถึงสัปดาห์
                                                                    3. ความปลอดภัย
                                                                      • EMFACE ไม่มีการใช้เข็มหรือสารเคมี ทำให้ไม่มีความเสี่ยงต่อการแพ้หรือการเกิดก้อนใต้ผิวหนัง
                                                                      • เลเซอร์ (Laser Resurfacing) มีความเสี่ยงต่อการเกิดการระคายเคือง ผิวแดง ผิวบวม  และการติดเชื้อหากดูแลไม่ถูกต้อง
                                                                    4. การรักษา
                                                                      • EMFACE ต้องใช้เวลาหลายครั้งในการรักษาเพื่อให้เห็นผลลัพธ์เต็มที่ แต่ไม่มีการพักฟื้น และสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
                                                                      • เลเซอร์ (Laser Resurfacing) ต้องการเวลาพักฟื้นหลายวันถึงสัปดาห์ ผิวอาจแดง และบวมในช่วงแรก
                                                                    5. ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
                                                                      • EMFACE ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติเนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวโดยธรรมชาติของร่างกาย
                                                                      • เลเซอร์ (Laser Resurfacing) ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ แต่ต้องใช้เวลารอผิวฟื้นตัวจากการลอกผิว
                                                                    6. ระยะเวลาของผลลัพธ์
                                                                      • EMFACE ผลลัพธ์คงอยู่นานขึ้นเนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
                                                                      • เลเซอร์ (Laser Resurfacing) ผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนาน แต่ต้องมีการดูแลรักษาผิวหลังการรักษาอย่างเคร่งครัด

                                                                    EMFACE และ เลเซอร์ (Laser Resurfacing) มีข้อดี และข้อเสียที่แตกต่างกัน การเลือกเทคนิคที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความต้องการ และสภาพผิวของแต่ละบุคคล หากต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ และไม่มีความเสี่ยงจากการลอกผิว EMFACE อาจเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนในเรื่องของการลบรอยดำ และรอยแผลเป็น เลเซอร์ (Laser Resurfacing) อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวคุณเอง

                                                                    emface

                                                                    EMFACE vs การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) ต่างกันอย่างไร

                                                                    การยกกระชับ และฟื้นฟูผิวหน้าเป็นกระบวนการที่หลายคนให้ความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการรักษาความอ่อนเยาว์ของผิวหน้า ในปัจจุบันมีเทคนิคหลายอย่างที่สามารถช่วยได้ หนึ่งในนั้นคือ EMFACE ซึ่งใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการยกกระชับผิวหน้า และอีกวิธีคือการผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) หัวข้อนี้จะเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง EMFACE และการ ผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) ในด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจ และสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น

                                                                    การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) คืออะไร

                                                                    การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) เป็นกระบวนการศัลยกรรมที่ใช้ในการยกกระชับ และปรับรูปใบหน้า โดยการผ่าตัดเพื่อกำจัดผิวหนังส่วนเกิน และกระชับกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง

                                                                    คุณสมบัติหลักของการผ่าตัดยกกระชับใบหน้า

                                                                    • ยกกระชับผิวหน้าอย่างถาวร การผ่าตัดสามารถยกกระชับผิวหน้า และปรับรูปใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้อย่างชัดเจน
                                                                    • กำจัดผิวหนังส่วนเกิน ช่วยขจัดผิวหนังที่หย่อนคล้อย และไม่เรียบเนียน
                                                                    • ผลลัพธ์ยาวนาน ผลลัพธ์จากการผ่าตัดสามารถคงอยู่ได้นานหลายปี
                                                                    • ต้องพักฟื้น การผ่าตัดต้องการเวลาพักฟื้น และมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น และการติดเชื้อ

                                                                    คุณสมบัติหลักของโปรแกรม ค้นพบความแตกต่างระหว่าง EMFACE และเทคนิคอื่นๆ เช่น การฉีดสารเติมเต็ม (Filler), การฉีดโบ, การใช้เลเซอร์ (Laser Resurfacing), และการผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) เพื่อเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการยกกระชับ และฟื้นฟูผิวหน้า พร้อมข้อมูลเชิงวิชาการ และเชิงลึก

                                                                    • ยกกระชับทั่วใบหน้า การกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้หดตัว และคลายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวหน้ากระชับขึ้น
                                                                    • เพิ่มการผลิตคอลลาเจน และอิลาสติน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์
                                                                    • ลดริ้วรอย และเส้นบาง ๆ ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนคือการลดลงของริ้วรอย และเส้นบาง ๆ บนใบหน้า

                                                                    ความแตกต่างระหว่าง EMFACE และการผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift)

                                                                    1. ค้นพบความแตกต่างระหว่าง EMFACE และเทคนิคอื่นๆ เช่น การฉีดสารเติมเต็ม (Filler), การฉีดโบ , การใช้เลเซอร์ (Laser Resurfacing), และการผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) เพื่อเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการยกกระชับ และฟื้นฟูผิวหน้า พร้อมข้อมูลเชิงวิชาการ และเชิงลึกหลักการทำงาน
                                                                      • EMFACE ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการกระตุ้นกล้ามเนื้อ และการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง โดยไม่ต้องผ่าตัด
                                                                      • การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) ใช้วิธีการผ่าตัดเพื่อยกกระชับผิวหนัง และกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง
                                                                    2. ผลลัพธ์
                                                                      • EMFACE ผลลัพธ์จะค่อยๆ เห็นชัดขึ้นหลังการรักษาหลายครั้ง เนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
                                                                      • การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) เห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนทันทีหลังการฟื้นตัวจากการผ่าตัด
                                                                    3. ความปลอดภัย
                                                                      • EMFACE ไม่มีการใช้เข็มหรือสารเคมี ทำให้ไม่มีความเสี่ยงต่อการแพ้หรือการเกิดก้อนใต้ผิวหนัง
                                                                      • การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น การติดเชื้อ และการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด
                                                                    4. การรักษา
                                                                      • EMFACE ต้องใช้เวลาหลายครั้งในการรักษาเพื่อให้เห็นผลลัพธ์เต็มที่ แต่ไม่มีการพักฟื้น และสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
                                                                      • การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) ต้องการเวลาพักฟื้นหลายสัปดาห์ ผิวอาจบวม และต้องการการดูแลพิเศษ
                                                                    5. ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
                                                                      • EMFACE ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติเนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวโดยธรรมชาติของร่างกาย
                                                                      • การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของศัลยแพทย์ หากทำไม่ดีอาจทำให้ใบหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ
                                                                    6. ระยะเวลาของผลลัพธ์
                                                                      • EMFACE ผลลัพธ์คงอยู่นานขึ้นเนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
                                                                      • การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) ผลลัพธ์อยู่ได้นานหลายปี แต่ผิวหนังก็ยังคงมีการหย่อนคล้อยไปตามธรรมชาติของการชรา

                                                                    EMFACE และ การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) มีข้อดี และข้อเสียที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการ และสภาพผิวของแต่ละบุคคล หากต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ และไม่มีความเสี่ยงจากการผ่าตัด EMFACE อาจเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจน และอยู่ได้นานหลายปี การ ผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวคุณเอง

                                                                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                      วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                      เทียบให้ชัด โปรแกรมยกกระชับหน้า 3 รุ่นยอดฮิต ต่างกันอย่างไร

                                                                      เครื่องยกกระชับ

                                                                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                        วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                        หากคุณกำลังมองหาที่สำหรับการยกกระชับผิวหน้าและสงสัยว่าจะไปที่ไหนดี รมย์รวินท์คลินิกเป็นตัวเลือกที่คุณไม่ควรพลาด เรามีเครื่องมือที่ทันสมัย เช่น Thermage FLX , Ulthera และ Emface เพื่อให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีและดูเป็นธรรมชาติ คลินิกของเรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมดูแลคุณในทุกขั้นตอน เพื่อให้คุณมั่นใจในความงามและความอ่อนเยาว์ที่คงอยู่

                                                                        การดูแลความงามกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับหลายคนในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทคโนโลยีในการยกกระชับผิวหน้า ก้าวหน้าอย่างมากมีโปรแกรมยกกระชับหลายรุ่นที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับโปรแกรมยกกระชับ 3 รุ่นมาแรง ได้แก่ Thermage FLX , Ulthera และ Emface พร้อมกับเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของแต่ละโปรแกรม

                                                                        โปรแกรมยกกระชับหน้าคืออะไร

                                                                        โปรแกรมยกกระชับคืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อช่วยยกกระชับผิวหน้า ลดริ้วรอย และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และเต่งตึง เทคโนโลยีที่ใช้ในโปรแกรมยกกระชับมีหลากหลายประเภท แต่ละประเภทมีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันไป เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล

                                                                        เทคโนโลยีหลักที่ใช้ในโปรแกรมยกกระชับหน้า

                                                                        1. เทคโนโลยีคลื่นวิทยุ (Radiofrequency)เทคโนโลยีนี้ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงในการสร้างความร้อนในชั้นผิวลึก ความร้อนที่เกิดขึ้นจะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวหน้าดูกระชับและลดริ้วรอยได้
                                                                        2. เทคโนโลยีอัลตราซาวด์ (Ultrasound)เทคโนโลยีนี้ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อสร้างความร้อนในชั้นผิวลึก การทำงานของคลื่นเสียงจะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวหน้าดูกระชับและเรียบเนียน
                                                                        3. เทคโนโลยีเลเซอร์ (Laser)เทคโนโลยีนี้ใช้แสงเลเซอร์ในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิว ความร้อนจากเลเซอร์ช่วยทำลายเซลล์ผิวเก่าและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
                                                                        4. เทคโนโลยีการสั่นสะเทือนและแสง (Vibration and Light Therapy)เทคโนโลยีนี้ใช้การสั่นสะเทือนและแสงเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและการผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และสดใส

                                                                        ข้อดีของการใช้โปรแกรมยกกระชับหน้า

                                                                        • ลดริ้วรอยและเส้นริ้วรอยการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวช่วยลดริ้วรอยและเส้นริ้ว ทำให้ผิวดูเรียบเนียน
                                                                        • ยกกระชับผิวหน้าความร้อนที่เกิดจากเทคโนโลยีต่างๆ ช่วยยกกระชับผิวหน้าให้ดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์
                                                                        • กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิวทำให้ผิวดูสดใสและมีความยืดหยุ่น
                                                                        • ไม่มีแผลผ่าตัดการใช้โปรแกรมยกกระชับหน้าไม่ต้องมีการผ่าตัด ทำให้ไม่มีแผลและเวลาพักฟื้นน้อย
                                                                        • ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนผู้ใช้สามารถเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นหลังการทำเพียงไม่กี่ครั้ง

                                                                        ข้อควรระวังในการใช้โปรแกรมยกกระชับหน้า

                                                                        • การเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมการเลือกโปรแกรมยกกระชับหน้าที่เหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
                                                                        • การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญการปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนการใช้โปรแกรมยกกระชับหน้าเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องและปลอดภัย
                                                                        • การดูแลหลังการทำหลังการใช้โปรแกรมยกกระชับ ควรดูแลผิวให้ดีและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ผิวฟื้นฟูและคงผลลัพธ์ที่ดี

                                                                        การใช้โปรแกรมยกกระชับหน้าเป็นวิธีการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการดูแลผิวหน้า ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และสดใสขึ้น การเลือกใช้เโปรแกรมยกกระชับที่เหมาะสมและการดูแลผิวหลังการทำเป็นสิ่งสำคัญในการคงผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว

                                                                        ชั้นผิว SMAS คืออะไร

                                                                        SMAS ย่อมาจาก Superficial Musculo-Aponeurotic System เป็นชั้นผิวที่อยู่ระหว่างผิวหนังชั้นบนและกล้ามเนื้อผิวหน้า เป็นระบบกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่ช่วยให้ใบหน้าดูมีรูปทรงและสามารถเคลื่อนไหวได้

                                                                        ชั้นผิว SMAS อยู่บริเวณไหน

                                                                        • ที่ตั้ง: ชั้น SMAS อยู่ลึกลงไปจากชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) โดยอยู่ระหว่างชั้นไขมันและชั้นกล้ามเนื้อผิวหน้า
                                                                        • ลักษณะ: SMAS ประกอบด้วยเส้นใยกล้ามเนื้อและเส้นใยคอลลาเจนที่เกี่ยวพันกัน มีความแข็งแรงและยืดหยุ่น ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างรองรับผิวหนังและไขมันใต้ผิว

                                                                        ชั้นผิว SMAS สำคัญอย่างไร

                                                                        • ยกกระชับหน้าpobpad.com/โครงสร้างของผิวหนังและ
                                                                          ชั้น SMAS ทำหน้าที่รองรับและยกกระชับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูเต่งตึงและมีรูปทรงที่สวยงาม
                                                                        • การเคลื่อนไหวใบหน้า
                                                                          ระบบกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อในชั้น SMAS ช่วยให้ใบหน้าสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ เช่น การยิ้ม การขมวดคิ้ว หรือการแสดงอารมณ์ต่างๆ
                                                                        • การเชื่อมต่อกับกล้ามเนื้ออื่นๆ
                                                                          ชั้น SMAS เชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออื่นๆ ในใบหน้า ทำให้การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าสอดคล้องกัน

                                                                        การยกกระชับหน้าบริเวณเนื้อเยื่อที่เกี่ยวข้องกับผิวในชั้นผิว SMAS

                                                                        การยกกระชับผิวหน้าที่มีประสิทธิภาพจะต้องทำงานกับชั้น SMAS เนื่องจากเป็นชั้นที่มีบทบาทสำคัญในการรองรับและยกกระชับผิว เทคโนโลยีและวิธีการยกกระชับผิวที่เน้นการกระตุ้นชั้น SMAS จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานขึ้น

                                                                        เทคโนโลยีใดบ้างที่สามารถยกกระชับหน้าบริเวณชั้น SMAS ได้

                                                                        Ulthera SPT

                                                                        การยกกระชับหน้าด้วย Ulthera SPT

                                                                        • หลักการทำงาน
                                                                          Ulthera SPT ใช้เทคโนโลยีอัลตราซาวด์ที่มีความเข้มสูง (High-Intensity Focused Ultrasound หรือ HIFU) ในการสร้างความร้อนในชั้นลึกของผิวหนัง รวมถึงชั้น SMAS ความร้อนนี้จะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใหม่และกระชับคอลลาเจนที่มีอยู่เดิม ทำให้ผิวหน้าดูกระชับและเรียบเนียนขึ้น

                                                                        การยกกระชับหน้าด้วย Thermage FLX

                                                                        • หลักการทำงานThermage FLX ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (Radiofrequency หรือ RF) ในการสร้างความร้อนในชั้นผิวลึก แม้จะไม่ได้เน้นเฉพาะชั้น SMAS แต่ความร้อนจากคลื่นวิทยุก็สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวลึกได้

                                                                        การยกกระชับหน้าด้วยการศัลยกรรมดึงหน้า (Facelift Surgery)

                                                                        • หลักการทำงานศัลยแพทย์จะทำการยกกระชับและจัดเรียงชั้น SMAS ใหม่เพื่อให้ได้รูปทรงใบหน้าที่ต้องการ การผ่าตัดนี้สามารถให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานที่สุด แต่ก็มีระยะเวลาพักฟื้นและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัด

                                                                        เครื่องยกกระชับ

                                                                        การยกกระชับหน้าด้วย Thermage FLX , Ulthera SPT และ Emface ต่างกันอย่างไร?

                                                                        การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างโปรแกรมยกกระชับหน้าทั้งสามรุ่นที่มาแรง ได้แก่ Thermage FLX ,  Ulthera SPT และ Emface จะช่วยให้คุณเลือกใช้บริการที่เหมาะสมกับความต้องการและสภาพผิวของคุณได้อย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้น

                                                                        ยกกระชับหน้าด้วย Thermage FLX

                                                                        1. เทคโนโลยีการยกกระชับหน้าด้วย Thermage FLX Thermage FLX ใช้เทคโนโลยีคลื่นวิทยุความถี่สูง (Radiofrequency) ในการทำงาน คลื่นวิทยุจะสร้างความร้อนในชั้นผิวลึก (Dermis) และชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous), โดยไม่ทำลายชั้นผิวหนังกำพร้า (Epidermis)ความร้อนที่เกิดขึ้นจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และกระชับคอลลาเจนที่มีอยู่เดิม
                                                                        2. ข้อดีการยกกระชับหน้าด้วย Thermage FLX
                                                                          • ไม่ต้องผ่าตัด
                                                                          • ไม่ต้องมีเวลาพักฟื้นหลังการรักษา
                                                                          • ใช้เวลาในการรักษาน้อย (ประมาณ 45 นาทีถึง 2 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำการรักษา)
                                                                        3. ข้อเสียการยกกระชับหน้าด้วย Thermage FLX
                                                                          • ผลลัพธ์อาจจะไม่ชัดเจนทันที ต้องรอระยะเวลาประมาณ 2-6 เดือนจึงจะเห็นผลเต็มที่
                                                                          • อาจต้องทำซ้ำหลายครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

                                                                        ยกกระชับหน้าด้วย Ulthera SPT

                                                                        1. เทคโนโลยีการยกกระชับหน้าด้วยUlthera SPTUlthera SPTใช้เทคโนโลยีอัลตราซาวด์ที่มีความเข้มสูง (High-Intensity Focused Ultrasound หรือ HIFU) ในการทำงาน คลื่นอัลตราซาวด์จะสร้างความร้อนในชั้นลึกของผิวหนัง (SMAS layer) ที่เป็นชั้นเดียวกับที่แพทย์ศัลยกรรมดึงหน้า ความร้อนนี้จะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใหม่
                                                                        2. ข้อดีการยกกระชับหน้าด้วย Ulthera SPT
                                                                          • ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน
                                                                          • ทำเพียงครั้งเดียวผลลัพธ์อาจคงอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี
                                                                          • เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการทำ และผลลัพธ์จะดีขึ้นในระยะเวลา 2-3 เดือน
                                                                        3. ข้อเสียการยกกระชับหน้าด้วย Ulthera SPT 
                                                                          • อาจมีความเจ็บปวดในขณะทำการรักษา
                                                                          • ราคาค่อนข้างสูง

                                                                        emface

                                                                        ยกกระชับหน้าด้วย Emface

                                                                        1. เทคโนโลยีการยกกระชับหน้าด้วย Emface Emface ใช้เทคโนโลยีการสั่นสะเทือนและแสง (Vibration and Light Therapy) รวมกัน เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและการผลิตคอลลาเจน โดยการสั่นสะเทือนจะช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าแข็งแรงขึ้นและแสงจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว
                                                                        2. ข้อดีการยกกระชับหน้าด้วย Emface
                                                                          • ไม่เจ็บปวดขณะทำการรักษา
                                                                          • ใช้เวลาทำการรักษาน้อย
                                                                          • ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดริ้วรอย
                                                                        3. ข้อเสียการยกกระชับหน้าด้วย Emface
                                                                          • ผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจนเท่ากับเทคโนโลยีอื่น ๆ
                                                                          • อาจต้องทำซ้ำหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

                                                                        ตารางเปรียบเทียบ Thermage FLX , Ulthera SPTและ Emface มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร?

                                                                        คุณสมบัติThermage FLXUlthera SPTEmface
                                                                        เทคโนโลยีคลื่นวิทยุ (Radiofreqency)คลื่นอัลตราซาวด์ (Ultrasound)การสั่นสะเทือนและแสง (Vibration and Light Therapy)
                                                                        ผลลัพธ์ลดริ้วรอย, กระตุ้นคอลลาเจนยกกระชับหน้า, กระตุ้นคอลลาเจนลดริ้วรอย, เพิ่มความชุ่มชื้น
                                                                        ระดับความเจ็บปวดน้อยปานกลางน้อย
                                                                        ระยะเวลาในการทำหัตถการรวดเร็วยาวนานรวดเร็ว
                                                                        ระยะเวลาผลลัพธ์ปานกลางยาวนานปานกลาง
                                                                        ข้อดีไม่มีแผล, ใช้เวลาน้อยผลลัพธ์ชัดเจน, ทำครั้งเดียวไม่เจ็บ, ใช้เวลาน้อย
                                                                        ข้อเสียต้องทำซ้ำหลายครั้งมีความเจ็บปวดขณะทำผลลัพธ์ไม่ชัดเจนเท่าเทคโนโลยีอื่นๆ

                                                                        การยกกระชับหน้าด้วย Thermage FLX , Ulthera SPT และ Emface ควรเลือกโปรแกรมไหนดี

                                                                        การเลือกโปรแกรมยกกระชับหน้าที่เหมาะสมเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาหลายปัจจัย รวมถึงสภาพผิว งบประมาณ ความคาดหวังของผลลัพธ์ และความอดทนต่อความเจ็บปวด บทความนี้จะช่วยให้คุณทำความเข้าใจและเปรียบเทียบโปรแกรมยกกระชับหน้า 3 รุ่น ได้แก่ Thermage FLX , Ulthera SPT และ Emface เพื่อช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง

                                                                        ปัจจัยในการเลือกโปรแกรมยกกระชับหน้า

                                                                        1. สภาพผิว
                                                                          • ผิวของแต่ละคนมีลักษณะและปัญหาที่แตกต่างกัน การเลือกโปรแกรมยกกระชับหน้าที่เหมาะสมควรพิจารณาจากสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการแก้ไข เช่น ริ้วรอย ความหย่อนคล้อย หรือความไม่สม่ำเสมอของผิว
                                                                        2. งบประมาณ
                                                                          • งบประมาณเป็นปัจจัยที่สำคัญ เนื่องจากการทำโปรแกรมยกกระชับมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน ควรเลือกโปรแกรมที่อยู่ในงบประมาณที่สามารถรับได้
                                                                        3. ความคาดหวังของผลลัพธ์
                                                                          • ผลลัพธ์ที่ต้องการก็เป็นปัจจัยสำคัญ หากคุณต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและชัดเจน Ulthera SPT อาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากต้องการการรักษาที่ไม่เจ็บปวด Emface อาจเหมาะสมกว่า
                                                                        4. ความอดทนต่อความเจ็บปวด
                                                                          • การทำโปรแกรมยกกระชับบางประเภทอาจมีความเจ็บปวดขณะทำ เช่น Ulthera SPT หากคุณมีความอ่อนไหวต่อความเจ็บปวด อาจพิจารณา Thermage FLX หรือ Emface ที่มีความเจ็บปวดน้อยกว่า

                                                                        ข้อควรพิจารณาในการเลือกโปรแกรมยกกระชับหน้า

                                                                        การยกกระชับหน้าด้วย Thermage FLX

                                                                        • เหมาะสำหรับ
                                                                          • ผู้ที่ต้องการการรักษาที่ไม่ต้องมีเวลาพักฟื้น
                                                                          • ผู้ที่ต้องการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนอย่างค่อยเป็นค่อยไป
                                                                          • ผู้ที่มีงบประมาณปานกลาง
                                                                        • ไม่เหมาะสำหรับ
                                                                          • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
                                                                          • ผู้ที่ต้องการการรักษาเพียงครั้งเดียว

                                                                        การยกกระชับหน้าด้วย Ulthera SPT

                                                                        • เหมาะสำหรับ
                                                                          • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน
                                                                          • ผู้ที่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้
                                                                          • ผู้ที่ต้องการการรักษาเพียงครั้งเดียว
                                                                        • ไม่เหมาะสำหรับ
                                                                          • ผู้ที่มีความอ่อนไหวต่อความเจ็บปวด
                                                                          • ผู้ที่มีงบประมาณจำกัด

                                                                        การยกกระชับหน้าด้วย Emface

                                                                        • เหมาะสำหรับ
                                                                          • ผู้ที่ต้องการการรักษาที่ไม่เจ็บปวด
                                                                          • ผู้ที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นและลดริ้วรอยเล็กน้อย
                                                                          • ผู้ที่มีงบประมาณปานกลางถึงสูง
                                                                        • ไม่เหมาะสำหรับ
                                                                          • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว
                                                                          • ผู้ที่ต้องการการรักษาเพียงครั้งเดียว

                                                                        การเลือกโปรแกรมยกกระชับหน้าที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความต้องการและเงื่อนไขของแต่ละบุคคล หากคุณต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน Ulthera SPT อาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากคุณต้องการการรักษาที่ไม่เจ็บปวด Emface อาจเหมาะสมกว่า สำหรับผู้ที่ต้องการการรักษาที่ไม่มีแผลและใช้เวลาน้อย Thermage FLX อาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

                                                                        การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านความงามก่อนการตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องและปลอดภัยที่สุด การดูแลหลังการทำก็เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้คงอยู่นานและผิวของคุณได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่

                                                                        ยกกระชับหน้าที่รมย์รวินทร์คลินิกดีอย่างไร ทำไมถึงต้องเลือกที่นี่

                                                                        ในยุคปัจจุบัน ความงามและการดูแลผิวหน้าเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสำคัญมากขึ้น การมีผิวหน้าที่กระชับและอ่อนเยาว์ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง แต่ยังช่วยให้ดูอ่อนกว่าวัย และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ “การยกกระชับผิวหน้า” กลายเป็นหนึ่งในกระบวนการที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

                                                                        ทำไมการยกกระชับผิวหน้าจึงเป็นที่นิยม

                                                                        การยกกระชับผิวหน้า (Facial Lifting) เป็นกระบวนการที่ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้า ลดริ้วรอยและรอยย่นต่างๆ โดยใช้เทคนิคและโปรแกรมมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย กระบวนการนี้ช่วยเพิ่มความกระชับของผิวหน้า ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและสดใสมากขึ้น

                                                                        รมย์รวินทร์คลินิก ที่หนึ่งในด้านการยกกระชับผิวหน้า

                                                                        รมย์รวินทร์คลินิกเป็นคลินิกที่มีชื่อเสียงในด้านการให้บริการยกกระชับผิวหน้าด้วยเทคนิคและโปรแกรมมือที่ทันสมัย มาดูกันว่าทำไมคุณถึงควรเลือกใช้บริการที่นี่

                                                                        1. เทคนิคที่ทันสมัยและปลอดภัย

                                                                        ที่รมย์รวินทร์คลินิก เราใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า เช่น การใช้เลเซอร์ (Laser), อัลตราซาวนด์ (Ultrasound), และการฉีดโบเพื่อช่วยยกกระชับผิวหน้า ทุกเทคนิคถูกออกแบบมาเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยต่อผู้รับบริการ

                                                                        2. ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

                                                                        เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และความรู้ในด้านการยกกระชับผิวหน้าโดยเฉพาะ ทุกขั้นตอนจะถูกดำเนินการโดยแพทย์ที่มีความชำนาญและใส่ใจในทุกรายละเอียด

                                                                        3. การวิเคราะห์สภาพผิวอย่างละเอียด

                                                                        ก่อนที่จะเริ่มกระบวนการยกกระชับผิวหน้า ที่รมย์รวินทร์คลินิก เราจะทำการวิเคราะห์สภาพผิวของคุณอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถเลือกใช้เทคนิคและวิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผิวหน้าของคุณ

                                                                        4. ผลลัพธ์ที่ยาวนาน

                                                                        การยกกระชับผิวหน้าที่รมย์รวินทร์คลินิกไม่เพียงแต่ให้ผลลัพธ์ที่ทันที แต่ยังมีผลลัพธ์ที่ยาวนาน ด้วยการดูแลและการใช้เทคนิคที่ถูกต้อง ผิวหน้าของคุณจะดูอ่อนเยาว์และกระชับได้เป็นเวลานาน

                                                                        5. บรรยากาศและการบริการที่อบอุ่น

                                                                        นอกจากเทคนิคและการดูแลที่มีคุณภาพ เรายังให้ความสำคัญกับบรรยากาศและการบริการที่อบอุ่น ทุกครั้งที่คุณมาใช้บริการที่รมย์รวินทร์คลินิก คุณจะรู้สึกผ่อนคลายและได้รับการดูแลอย่างเต็มที่

                                                                        การยกกระชับผิวหน้าเป็นวิธีที่ช่วยคืนความอ่อนเยาว์และเพิ่มความมั่นใจให้กับคุณ ที่รมย์รวินทร์คลินิก เรามีเทคนิคที่ทันสมัย ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการบริการที่มีคุณภาพ เพื่อให้คุณได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หากคุณกำลังมองหาคลินิกที่ให้บริการยกกระชับผิวหน้าที่มีคุณภาพ รมย์รวินทร์คลินิกคือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

                                                                        อย่ารอช้า มาร่วมสร้างความงามและความอ่อนเยาว์ไปพร้อมกับเราที่รมย์รวินทร์คลินิก

                                                                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                          วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                          Radiesse และ Radiesse Plus ต่างจากโปรแกรมฉีดผิวชนิดอื่นอย่างไร

                                                                          โปรแกรมฉีด Radiesse ต่างกับโปรแกรมฉีดผิวอื่นอย่างไร

                                                                          ฉีด Radiesse และฉีด Radiesse+ สารเติมเต็มที่ไม่ใช่ฉีดฟิลเลอร์ มีประสิทธิภาพในการเสริมความงาม และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ผู้ที่ต้องการเห็นผลระยะยาว และต้องการลดความเจ็บปวดขณะฉีดสามารถพิจารณาเลือกฉีด Radiesse+ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                                                                          Radiesse คืออะไร

                                                                          Radiesse เป็นสารเติมเต็มผิวที่มีส่วนประกอบหลักคือแคลเซียมไฮดรอกซิลอะพาไทต์ (Calcium Hydroxylapatite หรือ CaHA) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่พบในร่างกายของมนุษย์ ทำให้มีความปลอดภัยสูง และไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ Radiesse ถูกนำมาใช้เพื่อเติมเต็มริ้วรอยลึก เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และเสริมสร้างโครงสร้างผิวโดยเฉพาะบริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และอ่อนเยาว์

                                                                          นอกจากการเติมเต็มริ้วรอย การฉีด Radiesse ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนธรรมชาติในผิว ทำให้ผิวดูเนียนนุ่ม และยืดหยุ่นขึ้น การฉีด Radiesse ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลรักษาหลังเข้ารับบริการ

                                                                          Radiesse+ คืออะไร

                                                                          Radiesse+ เป็นการพัฒนาเพิ่มเติมจาก Radiesse โดยมีการเพิ่มสาร Lidocaine ซึ่งเป็นยาชาเข้ามาในสูตร ทำให้การฉีด Radiesse+ มีความสะดวกสบายมากขึ้นสำหรับผู้รับการรักษา Lidocaine ช่วยลดความเจ็บปวดระหว่างการฉีด ทำให้ผู้รับการรักษารู้สึกสบายมากขึ้น

                                                                          การฉีด Radiesse+ มีคุณสมบัติในการเติมเต็มริ้วรอย สร้างโครงหน้า เพิ่มความคมชัด และมิติให้กับใยหน้าและเสริมสร้างโครงสร้างผิวที่เหมือนกับการฉีด Radiesse ทุกประการ แต่เพิ่มความสะดวกสบายในการฉีด ทำให้ผู้รับการรักษารู้สึกเจ็บปวดน้อยลง ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือนเช่นกัน

                                                                          โปรแกรมฉีด Radiesse และ โปรแกรมฉีด Radiesse+ ต่างจาก โปรแกรมฉีด Filler อย่างไร

                                                                          เปรียบเทียบ Radiesse กับ Radiesse+ และ Filler ต่างกันอย่างไร

                                                                          การดูแลผิวพรรณ และการปรับปรุงความงามผ่านการใช้สารเติมเต็มผิว (dermal fillers) เป็นที่นิยมอย่างมากในวงการความงามปัจจุบัน มีหลายผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะ และมีความสามารถในการเติมเต็มริ้วรอย และเสริมสร้างโครงสร้างผิวอย่างมีประสิทธิภาพ

                                                                          เจาะลึกถึงความแตกต่างระหว่างการฉีด Radiesse, การฉีด Radiesse+ และการฉีด Filler ประเภทอื่น ๆ เพื่อให้สามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับความต้องการ และสภาพผิวของคนไข้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                                                                          ทำความรู้จัก Filler คืออะไร

                                                                          การฉีด Filler หรือสารเติมเต็มผิวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการเติมเต็มริ้วรอย และเพิ่มปริมาตรให้กับผิว ผลิตภัณฑ์ Filler มีหลายประเภท และมีส่วนประกอบที่หลากหลาย หนึ่งในประเภทที่พบมากที่สุดคือ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่พบในร่างกายมนุษย์ HA มีคุณสมบัติในการรักษาความชุ่มชื้น

                                                                          Radiesse , Radiesse+ และ Filler แตกต่างกันตรงไหน

                                                                            1. ความแตกต่างด้านส่วนประกอบหลัก:
                                                                              • Radiesse: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเต่งตึง และเรียบเนียน
                                                                              • Radiesse+: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) และ Lidocaine ที่ช่วยลดความเจ็บปวดในระหว่างการฉีด ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายมากขึ้น
                                                                              • Filler ประเภทอื่น ๆ: มักใช้ Hyaluronic Acid (HA) และอาจมีส่วนผสมอื่นๆเพื่อให้มีคุณสมบัติ และการใช้งานที่แตกต่างกัน
                                                                            2. ความแตกต่างด้านการใช้งาน:
                                                                              • การฉีด Radiesse: เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก บริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และงานผิว
                                                                              • การฉีด Radiesse+: เหมาะสำหรับการเสริมสร้างโครงหน้าที่ชัดเจน ช่วยให้ใบหน้ามีมิติมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับฉีดบริเวณโหนกแก้ม ไลน์กรอบหน้า สันกราม เป็นต้น
                                                                              • การฉีด Filler ประเภทอื่น ๆ: ใช้ในการเติมเต็มริ้วรอย ปรับรูปหน้า ปรับโครงสร้างใบหน้า และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
                                                                            3. ความแตกต่างด้านผลลัพธ์ที่ได้:
                                                                              • การฉีด Radiesse: เหมาะกับงานผิว เนื่องจากช่วยปรับสภาพผิวให้ดูสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
                                                                              • การฉีด Radiesse+: เหมาะกับงานโครงสร้าง เนื่องจากช่วยปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรงในระดับลึก ปรับใบหน้าให้มีมิติ คมชัดมากขึ้น ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลหลังการฉีด
                                                                              • การฉีด Filler ประเภท HA: ให้ผลลัพธ์นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิด และการดูแลรักษา
                                                                              • การฉีด Filler ประเภท PLLA และ PMMA: มีผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่า โดย PLLA ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ส่วน PMMA ให้ผลลัพธ์ที่ถาวรกว่า
                                                                            4. ความแตกต่างด้านความรู้สึกในการเข้ารับบริการ:
                                                                              • การฉีด Radiesse: อาจมีความเจ็บเล็กน้อยในระหว่างการฉีด โดยคนไข้สามารถแจ้งแพทย์ผู้ทำหัตถการ เพื่อขอทายาชาเพื่อระงับอาการเจ็บปวดก่อนทำหัตถการได้
                                                                              • การฉีด Radiesse+: การเพิ่มสาร Lidocaine ช่วยลดความเจ็บปวด และทำให้สบายในระหว่างการฉีด
                                                                              • การฉีด Filler ประเภท HA: บางผลิตภัณฑ์มีการผสม Lidocaine เพื่อลดความเจ็บปวดเช่นกัน

                                                                          ก่อนเข้ารับบริการ ควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คนไข้สามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจที่สุด

                                                                          เปรียบเทียบ Radiesse ,Radiesse+ และ sculptra ต่างกันอย่างไร

                                                                          ในยุคที่ความงาม และการดูแลผิวพรรณมีบทบาทสำคัญ สารเติมเต็มผิวหรือ biostimulator collagen กลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุง และฟื้นฟูผิวหน้า แถมยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยม และมีคุณสมบัติเด่นเฉพาะตัว ดังนั้นรมย์รวินท์คลินิกจึงจะมามาเจาะลึกถึงความแตกต่าง เพื่อให้ผู้เข้ารับบริการสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับความต้องการ และสภาพผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพกัน

                                                                          ทำความรู้จัก Sculptra คืออะไร

                                                                          Sculptra เป็นสารเติมเต็มผิวที่มีส่วนประกอบหลักคือ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่ปลอดภัย และไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ในร่างกายมนุษย์ Sculptra ทำงานโดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว ซึ่งช่วยเพิ่มความหนาแน่น และความยืดหยุ่นให้กับผิว

                                                                          การฉีด Sculptra ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนทันทีหลังการฉีดเหมือนการฉีด Radiesse หรือ Radiesse+ แต่จะเห็นผลลัพธ์อย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะเวลา 4-6 สัปดาห์หลังการฉีด เนื่องจากการฉีด Sculptra กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ผลลัพธ์จากการฉีด Sculptra สามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปีหรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาของคนไข้หลังการฉีด

                                                                          Radiesse ,Radiesse+ และ Sculptra แตกต่างกันตรงไหน

                                                                            1. ความแตกต่างด้านส่วนประกอบหลัก:
                                                                              • Radiesse: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเต่งตึง และเรียบเนียน
                                                                              • Radiesse+: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) และ Lidocaine ที่ช่วยลดความเจ็บปวดในระหว่างการฉีด ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายมากขึ้น
                                                                              • Sculptra: ใช้ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งเป็นตัวที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว
                                                                            2. ความแตกต่างด้านการใช้งาน:
                                                                              • การฉีด Radiesse: เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก บริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และงานผิว
                                                                              • การฉีด Radiesse+: เหมาะสำหรับการเสริมสร้างโครงหน้าที่ชัดเจน ช่วยให้ใบหน้ามีมิติมากยิ่งขึ้น
                                                                              • การฉีด Sculptra: เหมาะสำหรับการเพิ่มปริมาตร และความหนาแน่นของผิวโดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว
                                                                            3. ความแตกต่างด้านผลลัพธ์ที่ได้:
                                                                              • การฉีด Radiesse: เหมาะกับงานผิว เนื่องจากช่วยปรับสภาพผิวถึงชั้นโครงสร้าง ให้ดูสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
                                                                              • การฉีด Radiesse+: เหมาะกับงานโครงสร้างใบหน้า เนื่องจากช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าได้ในระดับลึก เพิ่มมิติให้กับใบหน้า ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลหลังการฉีด
                                                                              • การฉีด Sculptra: ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่า โดยผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานถึง 2 ปีหรือมากกว่า
                                                                            4. ความแตกต่างด้านความรู้สึกในการใช้บริการ:
                                                                              • การฉีด Radiesse: อาจมีความเจ็บในระหว่างการฉีดเล็กน้อย คนไข้สามารถแจ้งแพทย์ผู้ทำหัตถการ เพื่อขอทายาชาเพื่อระงับอาการเจ็บปวดก่อนทำหัตถการได้
                                                                              • การฉีด Radiesse+: การเพิ่มสาร Lidocaine ช่วยลดความเจ็บปวด และความไม่สบายใบหน้าในระหว่างการฉีด
                                                                              • การฉีด Sculptra: ไม่มียาชาในผลิตภัณฑ์ ทำให้ผู้รับการรักษาอาจรู้สึกเจ็บปวดบ้างในระหว่างการฉีด แต่สามารถใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อช่วยลดความเจ็บปวดได้

                                                                          เปรียบเทียบ Radiesse ,Radiesse+ และ Rejuran ต่างกันอย่างไร

                                                                          การดูแลผิวพรรณ และการปรับปรุงความงามผ่านการใช้สารเติมเต็ม และสารบำรุงผิวเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เปรียบเทียบระหว่างฉีด เรเดียสซ์,ฉีด เรเดียสซ์+ และฉีด Rejuran สามผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัว และเป็นที่นิยมในวงการความงาม เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับความต้องการ และสภาพผิวของคนไข้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                                                                          Radiesse ,Radiesse+ และ Rejuran แตกต่างกันตรงไหน

                                                                            1. ความแตกต่างด้านส่วนประกอบหลัก:
                                                                              • Radiesse: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเต่งตึง และเรียบเนียน
                                                                              • Radiesse+: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) และ Lidocaine ที่ช่วยลดความเจ็บปวดในระหว่างการฉีด ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายมากขึ้น
                                                                              • Rejuran: ใช้ Polynucleotide (PN) จาก DNA ของปลาแซลมอน ซึ่งช่วยในการฟื้นฟู และซ่อมแซมผิว
                                                                            2. ความแตกต่างด้านการใช้งาน:
                                                                              • การฉีด Radiesse: เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก บริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และงานผิว
                                                                              • การฉีด Radiesse+: เหมาะสำหรับการเสริมสร้างโครงหน้าที่ชัดเจน ช่วยให้ใบหน้ามีมิติมากยิ่งขึ้น
                                                                              • การฉีด Rejuran: เหมาะสำหรับการฟื้นฟูและปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม เพิ่มความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นของผิว
                                                                            3. ความแตกต่างด้านผลลัพธ์ที่ได้:
                                                                              • การฉีด Radiesse: เหมาะกับงานผิว เนื่องจากช่วยปรับสภาพผิวให้ดูสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
                                                                              • การฉีด Radiesse+: เหมาะกับงานโครงสร้าง เนื่องจากช่วยปรับโครงหน้าให้มีความคม ชัดมากยิ่งขึ้น
                                                                              • ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลหลังการฉีด
                                                                              • การฉีด Rejuran: ให้ผลลัพธ์นานประมาณ 6-9 เดือน โดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินในผิว
                                                                            4. ความแตกต่างด้านความสะดวกสบายในการฉีด:
                                                                              • การฉีด Radiesse: อาจมีความเจ็บเล็กน้อยในระหว่างการฉีด คนไข้สามารถแจ้งแพทย์ผู้ทำหัตถการ เพื่อขอทายาชาเพื่อระงับอาการเจ็บปวดก่อนทำหัตถการได้
                                                                              • การฉีด Radiesse+: การเพิ่มสาร Lidocaine ช่วยลดความเจ็บปวด และความไม่สบายในระหว่างการฉีด
                                                                              • การฉีด Rejuran: ไม่มียาชาในผลิตภัณฑ์ ทำให้ผู้รับการรักษาอาจรู้สึกเจ็บปวดบ้างในระหว่างการฉีด

                                                                          โปรแกรมฉีด Radiesse และ โปรแกรมฉีด Radiesse+ ต่างจาก โปรแกรม Skin Booster อย่างไร

                                                                          เปรียบเทียบ Radiesse , Radiesse+ และ Skin Booster ต่างกันอย่างไร

                                                                          การดูแลผิว และการปรับปรุงความงามมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในสังคมปัจจุบัน ซึ่งมีเทคโนโลยี และผลิตภัณฑ์หลากหลายที่สามารถช่วยเสริมสร้าง และปรับปรุงสภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์ และมีชีวิตชีวามากขึ้น วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ Radiesse, Radiesse+ และ Skin Booster สามผลิตภัณฑ์ที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลและปรับปรุงสภาพผิว รวมถึงการวิเคราะห์ความแตกต่าง และคุณสมบัติเฉพาะของแต่ละตัว

                                                                          Radiesse ,Radiesse+ และ Skin Booster แตกต่างกันตรงไหน

                                                                            1. ความแตกต่างด้านส่วนประกอบหลัก:
                                                                              • Radiesse: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเต่งตึง และเรียบเนียน
                                                                              • Radiesse+: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) และ Lidocaine ที่ช่วยลดความเจ็บปวดในระหว่างการฉีด ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายมากขึ้น
                                                                              • Skin Booster: ใช้ Hyaluronic Acid (HA) ที่เน้นการเพิ่มความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นของผิว
                                                                            2. ความแตกต่างด้านการใช้งาน:
                                                                              • การฉีด Radiesse: อาจมีความเจ็บเล็กน้อยในระหว่างการฉีด โดยคนไข้สามารถแจ้งแพทย์ผู้ทำหัตถการ เพื่อขอทายาชาเพื่อระงับอาการเจ็บปวดก่อนทำหัตถการได้
                                                                              • การฉีด Radiesse+: การเพิ่มสาร Lidocaine ช่วยลดความเจ็บปวด และความไม่สบายในระหว่างการฉีด
                                                                              • Skin Booster: เหมาะสำหรับการเพิ่มความชุ่มชื้น และปรับปรุงสภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์ และเรียบเนียน
                                                                            3. ความแตกต่างด้านผลลัพธ์ที่ได้:
                                                                              • Skin Booster: เหมาะสำหรับการเพิ่มความชุ่มชื้น และปรับปรุงสภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์ และเรียบเนียน
                                                                              • การฉีด Radiesse+: เหมาะกับงานโครงสร้าง เนื่องจากช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าให้คมชัด มีมิติ ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลหลังการฉีด
                                                                              • Skin Booster: ให้ผลลัพธ์นานประมาณ 6-9 เดือน โดยการเพิ่มความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นของผิว
                                                                            4. ความสะดวกสบายในการฉีด:
                                                                              • การฉีด Radiesse+: มีการเพิ่ม Lidocaine เพื่อลดความเจ็บปวดในระหว่างการฉีด ทำให้การรักษามีความสะดวกสบายมากขึ้น

                                                                          เปรียบเทียบ Radiesse ,Radiesse+ และโปรแกรมหน้าใส ต่างกันอย่างไร

                                                                          การฉีด Radiesse กับการฉีด Radiesse+ และโปรแกรมหน้าใส นับว่าเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมมากในทุกวันนี้ แต่ทั้งสามบริการนี้ก็ล้วนแล้วมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ทั้งนี้คนไข้ควรเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินปัญหาผิวหน้าก่อนเข้ารับบริการ ในส่วนของหัวข้อนี้จะพาไปเปรียบเทียบกันว่า ทั้งสามบริการนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร ทั้งในแง่ของคุณสมบัติ การใช้งาน ผลลัพธ์ รวมถึงประโยชน์ที่ได้รับหลังทำหัตถการ

                                                                          Radiesse ,Radiesse+ และเมโสหน้าใส แตกต่างกันตรงไหน

                                                                            1. ความแตกต่างด้านส่วนผสม และคุณสมบัติพิเศษ
                                                                              • Radiesse: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเต่งตึง และเรียบเนียน
                                                                              • Radiesse+: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) และ Lidocaine ที่ช่วยลดความเจ็บปวดในระหว่างการฉีด ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายมากขึ้น
                                                                              • เมโสหน้าใส: ประกอบด้วยสารบำรุงหลายชนิด เช่น วิตามิน แร่ธาตุ สารสกัดจากธรรมชาติ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยบำรุง และฟื้นฟูผิวจากภายใน
                                                                            2. ความแตกต่างด้านการใช้งาน
                                                                              • การฉีด Radiesse: เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก บริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และงานผิว
                                                                              • การฉีด Radiesse+: เหมาะสำหรับการเสริมสร้างโครงหน้าที่ชัดเจน ช่วยให้ใบหน้ามีมิติมากยิ่งขึ้น
                                                                              • โปรแกรมหน้าใส: ใช้ในการบำรุง และฟื้นฟูผิวในหลายๆ ด้าน เช่น เพิ่มความชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ และทำให้ผิวดูสดใส
                                                                            3. ความแตกต่างด้านความรู้สึกระหว่างการรักษา
                                                                              • การฉีด Radiesse: อาจมีความเจ็บเล็กน้อยคนไข้สามารถแจ้งแพทย์ผู้ทำหัตถการ เพื่อขอทายาชาเพื่อระงับอาการเจ็บปวดก่อนทำหัตถการได้
                                                                              • การฉีด Radiesse+: การเพิ่มสาร Lidocaine ช่วยลดความเจ็บปวด และความไม่สบายในระหว่างการฉีด
                                                                              • โปรแกรม หน้าใส: ใช้วิธีการฉีดสารบำรุงเข้าสู่ผิวหนังชั้นกลาง อาจมีความเจ็บปวดเล็กน้อยขึ้นอยู่กับสารที่ใช้ และความไวของผิว
                                                                            4. ความแตกต่างด้านผลลัพธ์
                                                                              • การฉีด Radiesse: เหมาะกับงานผิว เนื่องจากช่วยปรับสภาพผิวให้แข็งแรงในระดับโครงสร้าง ให้ดูสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
                                                                              • การฉีด Radiesse+: เหมาะกับงานโครงสร้าง เนื่องจากช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าให้ดูคม ชัดมากยิ่งขึ้น ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลหลังการฉีด
                                                                              • โปรแกรมหน้าใส: ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับการใช้งานต่อเนื่อง และสภาพผิวของผู้ใช้ โดยทั่วไปจะเห็นผลในเรื่องของความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นของผิวหลังการใช้

                                                                          ข้อดีและข้อควรระวังของการฉีด Radiesse,การฉีด Radiesse+ กับโปรแกรมหน้าใส

                                                                          ข้อดี ของ การฉีด Radiesse และการฉีด Radiesse+

                                                                            • ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง
                                                                            • ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ และคงทนยาวนาน
                                                                            • เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก และการปรับโครงสร้างใบหน้า

                                                                          ข้อควรระวังของ การฉีด Radiesse และการฉีด Radiesse+

                                                                            • อาจเกิดผลข้างเคียงเช่น อาการบวม แดง หรือช้ำหลังการฉีด
                                                                            • ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการฉีดเพื่อประเมินสภาพผิว และความเหมาะสมในการใช้ผลิตภัณฑ์

                                                                          ข้อดีของโปรแกรมหน้าใสมีอะไรบ้าง

                                                                            • ช่วยบำรุง และฟื้นฟูผิวจากภายใน
                                                                            • เหมาะสำหรับการปรับปรุงสภาพผิวในหลายๆ ด้าน เช่น เพิ่มความชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ และทำให้ผิวดูสดใส
                                                                            • สามารถปรับสูตรการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพผิว และความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน

                                                                          ข้อควรระวังขอโปรแกรมหน้าใส

                                                                            • อาจเกิดผลข้างเคียงเช่น อาการบวม แดง หรือช้ำหลังการฉีด
                                                                            • ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิว และความเหมาะสมในการใช้การรักษานี้

                                                                          เปรียบเทียบ Radiesse ,Radiesse+ และ ชาแนล ต่างกันอย่างไร

                                                                            1. ความแตกต่างด้านส่วนผสม และคุณสมบัติพิเศษ
                                                                              • Radiesse: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเต่งตึง และเรียบเนียน
                                                                              • Radiesse+: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) และ Lidocaine ที่ช่วยลดความเจ็บปวดในระหว่างการฉีด ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายมากขึ้น
                                                                              • ชาแนล: ประกอบด้วยสารบำรุงหลายชนิด เช่น วิตามิน แร่ธาตุ ยา และสารสกัดจากธรรมชาติ ที่ช่วยบำรุงและฟื้นฟูผิวจากภายใน
                                                                            2. ความแตกต่างด้านการใช้งาน
                                                                              • การฉีด Radiesse: เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก บริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ปรับงานผิวให้ดีมากยิ่งขึ้น
                                                                              • การฉีด Radiesse+: เหมาะสำหรับการเสริมสร้างโครงหน้าที่ชัดเจน ช่วยให้ใบหน้ามีมิติมากยิ่งขึ้น
                                                                              • การฉีด ชาแนล: ใช้ในการบำรุง และฟื้นฟูผิวในหลายๆ ด้าน เช่น ลดริ้วรอยเล็กๆ เพิ่มความชุ่มชื้น และทำให้ผิวดูสดใส
                                                                            3. ความแตกต่างด้านความรู้สึกในระหว่างการรักษา
                                                                              • การฉีด Radiesse: อาจมีความเจ็บปวดในระหว่างการฉีดเนื่องจากไม่มีสารช่วยหล่อลื่น คนไข้สามารถแจ้งแพทย์ผู้ทำหัตถการ เพื่อขอทายาชาเพื่อระงับอาการเจ็บปวดก่อนทำหัตถการได้
                                                                              • การฉีด Radiesse+: การเพิ่มสาร Lidocaine ช่วยลดความเจ็บปวด และความไม่สบายในระหว่างการฉีด
                                                                              • การฉีด ชาแนล: ใช้วิธีการฉีดสารบำรุงเข้าสู่ผิวหนังชั้นกลาง อาจมีความเจ็บปวดเล็กน้อยขึ้นอยู่กับสารที่ใช้ และการตอบสนองของผิว
                                                                            4. ความแตกต่างด้านผลลัพธ์
                                                                              • การฉีด Radiesse: เหมาะกับงานผิว เนื่องจากช่วยปรับสภาพผิวให้ดูสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
                                                                              • การฉีด Radiesse+: เหมาะกับงานโครงสร้าง เนื่องจากช่วยปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรงในระดับลึก ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลหลังการฉีด
                                                                              • การฉีด ชาแนล: ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับการใช้งานต่อเนื่อง และสภาพผิวของผู้ใช้ โดยทั่วไปจะเห็นผลในเรื่องของความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นของผิวหลังการใช้

                                                                          ข้อดี และข้อควรระวังของการฉีด Radiesse,Radiesse+ กับ ชาแนล

                                                                          ข้อดีของ การฉีด Radiesse และการฉีด Radiesse+

                                                                            • ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง
                                                                            • ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ และคงทนยาวนาน
                                                                            • เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก และการปรับโครงสร้างใบหน้า

                                                                          ข้อควรระวังของ การฉีด Radiesse และการฉีด Radiesse+

                                                                            • อาจเกิดผลข้างเคียงเช่น อาการบวม แดง หรือช้ำหลังการฉีด
                                                                            • ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการฉีดเพื่อประเมินสภาพผิว และความเหมาะสมในการใช้ผลิตภัณฑ์

                                                                          ข้อดีของการฉีด ชาแนล

                                                                            • ช่วยบำรุง และฟื้นฟูผิวจากภายใน
                                                                            • เหมาะสำหรับการปรับปรุงสภาพผิวในหลาย ๆ ด้าน เช่น ลดริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้น และทำให้ผิวดูสดใส
                                                                            • สามารถปรับสูตรการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพผิว และความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน

                                                                          ข้อควรระวังในการฉีด ชาแนล

                                                                            • อาจเกิดผลข้างเคียงเช่น อาการบวม แดง หรือช้ำหลังการฉีด
                                                                            • ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิว และความเหมาะสมในการใช้การรักษานี้

                                                                          โปรแกรมฉีด Radiesse และ โปรแกรมฉีด Radiesse+ ต่างจาก โปรแกรมฉีด มาเด้คอลลาเจน

                                                                          เปรียบเทียบ Radiesse ,Radiesse+ และ มาเด้คอลลาเจน ต่างกันอย่างไร

                                                                          การดูแลผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ และสดใสเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าหลายชนิดถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการนี้ ในหัวข้อนี้จะมาให้ความรู้ และเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง การฉีด Radiesse, การฉีด Radiesse+ และการฉีด มาเด้คอลลาเจน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมในวงการความงาม 

                                                                          Radiesse ,Radiesse+ และ มาเด้คอลลาเจน แตกต่างกันตรงไหน

                                                                            1. ความแตกต่างด้านส่วนผสม และคุณสมบัติพิเศษ
                                                                              • Radiesse: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเต่งตึง และเรียบเนียน
                                                                              • Radiesse+: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) และ Lidocaine ที่ช่วยลดความเจ็บปวดในระหว่างการฉีด ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายมากขึ้น
                                                                              • มาเด้คอลลาเจน: ประกอบด้วยสารสกัดจากธรรมชาติหลายชนิด รวมถึงคอลลาเจน ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และความชุ่มชื้นให้กับผิว
                                                                            2. ความแตกต่างด้านวัตถุประสงค์การใช้งาน
                                                                              • การฉีด Radiesse: เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก บริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และงานผิวให้ดีมากยิ่งขึ้น
                                                                              • การฉีด Radiesse+: เหมาะสำหรับการเสริมสร้างโครงหน้าที่ชัดเจน ช่วยให้ใบหน้ามีมิติมากยิ่งขึ้น
                                                                              • การฉีด มาเด้คอลลาเจน: ใช้ในการบำรุงผิวหน้า และรักษาปัญหาผิวพรรณ เช่น ริ้วรอยเล็กๆ จุดด่างดำ และความหยาบกร้านของผิว
                                                                            3. ความแตกต่างด้านความรู้สึกระหว่างการฉีด
                                                                              • การฉีด Radiesse: อาจมีความเจ็บเล็กน้อยในระหว่างการฉีด คนไข้สามารถแจ้งแพทย์ผู้ทำหัตถการ เพื่อขอทายาชาเพื่อระงับอาการเจ็บปวดก่อนทำหัตถการได้
                                                                              • การฉีด Radiesse+: การเพิ่มสาร Lidocaine ช่วยลดความเจ็บปวด และความไม่สบายในระหว่างการฉีด
                                                                              • การฉีด มาเด้คอลลาเจน: มักใช้วิธีการทา และนวด ซึ่งไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด
                                                                            4. ความแตกต่างด้านผลลัพธ์
                                                                              • การฉีด Radiesse: เหมาะกับงานผิว เนื่องจากช่วยปรับสภาพผิวให้ดูสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
                                                                              • การฉีด Radiesse+: เหมาะกับงานโครงสร้าง เนื่องจากช่วยปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรงในระดับลึก ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลหลังการฉีด
                                                                              • การฉีด มาเด้คอลลาเจน: ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับการใช้งานต่อเนื่อง และสภาพผิวของผู้ใช้ โดยทั่วไปจะเห็นผลในเรื่องของความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นของผิวหลังการใช้

                                                                          ข้อดี และข้อควรระวังของการฉีด Radiesse ,การฉีด Radiesse+ กับการฉีด มาเด้คอลลาเจน

                                                                          ข้อดีของ การฉีด Radiesse และการฉีด Radiesse+

                                                                            • ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง
                                                                            • ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ และคงทนยาวนาน
                                                                            • เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก และการปรับโครงสร้างใบหน้า

                                                                          ข้อควรระวังของ การฉีด Radiesse และการฉีด Radiesse+

                                                                            • อาจเกิดผลข้างเคียงเช่น อาการบวม แดง หรือช้ำหลังการฉีด
                                                                            • ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการฉีดเพื่อประเมินสภาพผิว และความเหมาะสมในการใช้ผลิตภัณฑ์

                                                                          ข้อดีของการฉีด มาเด้คอลลาเจน

                                                                            • ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และความชุ่มชื้นให้กับผิว
                                                                            • เหมาะสำหรับการบำรุงผิว และรักษาปัญหาผิวพรรณต่าง ๆ
                                                                            • ใช้งานง่าย ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด

                                                                          ข้อควรระวังของการฉีด มาเด้คอลลาเจน

                                                                            • ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับการใช้งานต่อเนื่อง และสภาพผิวของผู้ใช้
                                                                            • ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

                                                                          สรุป

                                                                          จากข้อมูลด้านบนที่เปรียบเทียบความแตกต่างของ การฉีด Radiesse และการฉีด Radiesse+ กับการฉีดผิวชนิดอื่น ไม่ว่าจะเป็น การฉีด Filler ,การฉีด sculptra, การฉีด Rejuran, Skin Booster, โปรแกรม หน้าใส , การฉีด ชาแนล และ การฉีด มาเด้คอลลาเจน, เราจะเห็นความแตกต่างของแต่ละโปรแกรมอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแหล่งข้อมูลที่ให้ความรู้แก่ผู้อ่าน เพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจในการเข้ารับบริการ

                                                                          อย่างไรก็ตามในส่วนของการเข้ารับบริการเพื่อความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ คนไข้ควรเข้าปรึกษาแพทย์ผู้ทำหัตถการก่อนเข้ารับบริการทุกครั้ง เพื่อประเมินสภาพผิว และปัญหาผิวต่าง ๆ รวมถึงแนวทางในการรักษากับแพทย์โดยละเอียด หากคนไข้มีประวัติแพ้ยาควรแจ้งให้แพทย์ทราบโดยละเอียด เนื่องจากประวัติการแพ้ยาส่งผลต่อการเลือกแนวทางการรักษาของคนไข้ เพื่อลดโอกาสการเกิดความเสี่ยง อาการแทรกซ้อนที่อาจตามมาหลังเข้ารับบริการ

                                                                          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                            วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                            ไม่อยากหน้าแก่ แค่ออกกำลังกายใบหน้าด้วย Emface

                                                                            Emface-exercise-face

                                                                            ออกกำลังกายใครๆ ก็ทำได้ การออกกำลังกายทำให้กล้ามเนื้อเฟิร์มกระชับ และแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ใบหน้าก็เหมือนกัน ถ้าอยากหน้าเฟิร์มกระชับก็ต้องรู้จักออกกำลังกายใบหน้า เรียกง่ายๆ ก็คือการบริหารใบหน้านั่นแหละ! ซึ่งก็เหมือนกับการบริหารร่างกายส่วนอื่นๆ หากทำถูกวิธีก็จะช่วยให้หน้ายกกระชับ ปรับรูปหน้าให้เรียวสวยได้ แถมยังช่วยให้หน้าเด็กได้อีกด้วย เพราะการบริหารใบหน้าช่วยทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น

                                                                            ใครไม่อยากแก่..ต้องมาทางนี้! รมย์รวินท์คลินิกมีทั้งท่าบริหารใบหน้า และเครื่องมือที่ใช้บริหารใบหน้ามาฝากกันถ้าใครที่ไม่ชอบทำเองก็สามารถใช้ตัวช่วยได้ สามารถทำกันได้ทุกวันเลย ให้หน้ากระชับ ลดแก้ม ลดเหนียง ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ทำทุกวันรับรองเห็นผลแน่นอน เริ่มกันที่วิธีง่ายๆที่สามารถทำได้เองก่อนเล๊ย!!

                                                                            มาวอร์มอัปใบหน้ากันก่อน

                                                                            Emface-exercise-face

                                                                            ก่อนบริหารใบหน้าก็ต้องวอร์มอัปกันก่อน โดยเริ่มต้นจากหันหน้าไปทางซ้ายจนให้รู้สึกตึงบริเวณกล้ามเนื้อคอของด้านตรงข้าม และค้างไว้ท่านี้ 5 วินาที จากนั้นหันหน้าไปทางขวาจนสุดและทำแบบเดียวกันกับด้านซ้าย ทำท่านี้สลับกันซ้ายขวา ข้างละ 5 ครั้ง เพื่อเป็นการยืดกล้ามเนื้อช่วยให้ขยับใบหน้าได้ง่ายขึ้น

                                                                            A, E, I, O, U กู้หน้าตึง

                                                                            Emface-exercise-face

                                                                            เริ่มท่าบริหารใบหน้า ให้พูดคำว่า A, E, I, O, U โดยอ้าปากออกเสียงไปตามตัวสระให้ได้มากที่สุด เช่นตัว A ให้ฉีกยิ้มให้มากที่สุด ตัว O ให้ทำปากเป็นรูปตัวโอให้ได้มากที่สุด เป็นต้น พูดสลับกันไปมา 5 รอบ ท่านี้ช่วยบริหารกล้ามเนื้อใบหน้า ทำให้หน้าเรียวกระชับและช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าได้อีกด้วยค่ะ

                                                                            จูจุ๊บท้องฟ้าพาลดเหนียง

                                                                            Emface-exercise-face

                                                                            สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องเหนียงหรือคางสองชั้นลองทำท่าบริหารใบหน้าท่านี้เป็นประจำช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณใต้คางไปจนถึงคอกระชับขึ้น หน้าเรียวขึ้น วิธีทำท่านี้ให้เงยหน้ามองเพดานจนรู้สึกตึงช่วงบริเวณใต้คางและลำคอ จากนั้นให้ทำปากจู๋เหมือนกับกำลังจูบ ค้างไว้ท่านี้ 10 วินาที แล้วผ่อนลง ทำซ้ำกัน 5 ครั้ง

                                                                            ดูดปากแล้วฉีกยิ้ม

                                                                            Emface-exercise-face

                                                                            เริ่มจากให้ดูดปากให้แก้มทำสองข้างบุ๋มเข้าหากันให้มากที่สุด ท่านี้ให้ทำปากเหมือนกำลังดูดน้ำ ค้างไว้ 10 วินาที จากนั้นให้ฉีกยิ้มให้กว้างที่สุด และค้างไว้อีก 10 วินาที โดยทำท่าดูด และฉีกยิ้มสลับกันไปมา 5 – 10 ครั้ง ท่าบริหารใบหน้านี้จะช่วยลดริ้วรอยร่องแก้ม ช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณแก้มกระชับ เพิ่มความคมชัดให้สันกราม หน้าเรียวขึ้น

                                                                            หลับตาปี๋หนีหน้าแก่

                                                                            Emface-exercise-face

                                                                            วิธีการบริหารใบหน้าง่ายๆ แค่หลับตาให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหมือนดึงใบหน้าทุกส่วนไปรวมกันที่ตรงกลาง จะรู้สึกหน้าตึงทุกส่วน ค้างไว้ 5 วินาที ให้ทำท่านี้ซ้ำกัน 5 – 10 ครั้ง ท่านี้ช่วยให้เลือดบนใบหน้าไหลเวียนได้ดีเพราะได้บริหารใบหน้าทุกส่วน ทำให้หน้าดูเด็กลง

                                                                            แลบลิ้นแตะฟันกระชับหน้า

                                                                            Emface-exercise-face

                                                                            แลบลิ้นออกมา และแตะปลายลิ้นที่บริเวณด้านหลังฟันหน้า อ้าปากให้กว้างที่สุดให้รู้สึกว่าหน้าตึง ทำค้างไว้ 5 วินาที ซ้ำกัน 15 ครั้ง ท่าบริหารใบหน้านี้ช่วยกระชับกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม ใต้คาง และกรอบหน้าให้รู้สึกยกกระชับขึ้น

                                                                            เป่าลมลดแก้มอ้วน

                                                                            Emface-exercise-face

                                                                            ใครที่มีแก้ม หรือหน้าหย่อนคล้อยต้องลองทำท่าบริหารใบหน้าท่านี้ เริ่มจากให้อ้าปากและหายใจเข้ากักลมไว้ที่บริเวณกระพุ้งแก้มจนแก้มป่องทั้งสองข้าง ค้างไว้ 10 วินาที และค่อยๆปล่อยลมออกมาทางปากเหมือนกำลังเป่าลูกโป่ง ทำซ้ำกัน 10 ครั้ง วิธีนี้ช่วยให้แก้มกระชับ ลดความหย่อนคล้อยได้ดีมาก

                                                                            หรือถ้าต้องเหนื่อย หรือเสียเวลากับการบริหารใบหน้าแบบเดิมๆ มาที่รมย์รวินท์คลินิกก็ได้ออกกำลังกายให้ใบหน้ายกกระชับได้?

                                                                            อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ แค่นอนเฉยๆ ใช้เวลาเพียงแค่ 20 นาทีเท่านั้น คุณก็รู้สึกเหมือนได้ออกกำลังกายใบหน้าให้ยกกระชับได้แล้ว รมย์รวินท์คลินิกขอแนะนำการออกกำลังกายใบหน้าที่ไม่ต้องยุ่งยาก ไม่ใช้เวลานาน แต่ได้บริหารกล้ามเนื้อ แค่ได้รู้จักกับ “EMFACE”

                                                                            Emface-exercise-face

                                                                            EMFACE ปล่อยพลังงาน Synchronized RF และ HIFES ผ่านแผ่น Applicator ซึ่งถูกออกแบบโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน Facial Anatomy โดยแพทย์จะแปะแผ่น Applicator ของเครื่องนี้บริเวณหน้าผาก และแก้ม EMFACE จะส่งพลังงานตั้งแต่ชั้นผิวหนังลงลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ กระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้าให้เกิดการหดเกร็งตัว เสมือนการได้ออกกำลังกาย อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหน้ายกกระชับขึ้น มีความเนียนเรียบ ไร้ริ้วรอยเหี่ยวย่น

                                                                            Emface-exercise-face

                                                                            และขอแนะนำ การออกกำลังกายใบหน้าที่ได้มากกว่ายกกระชับใบหน้า “EMFACE Submentum” ที่พัฒนาเทคโนโลยีมาจากตัวเดิม โดยจะติดแผ่น Applicator บริเวณเหนียง ช่วยสลายไขมันสะสมบริเวณใต้คาง และยังช่วยกระชับกล้ามเนื้อบริเวณใต้คางไปพร้อมๆ บอกลาเหนียงและคางสองชั้นไปได้เลย!

                                                                            Emface-exercise-face

                                                                            สำหรับใครที่อยากหน้าเฟิร์ม ยกกระชับ พร้อมลดเหนียง และสลายไขมันส่วนเกินบริเวณใบหน้า แบบที่การบริหารใบหน้าก็ทำไม่ได้ มาพบกับ EMFACE และ “EMFACE Submentum” ได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขาใกล้บ้านคุณได้เลยค่ะ

                                                                            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                              วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                              Radiesse ( เรเดียสซ์ )และ Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) ต่างกันอย่างไร

                                                                              Radiesse และ Radiesse Plus ต่างกันอย่างไร

                                                                              Radiesse และ Radiesse Plus ต่างกันอย่างไร

                                                                              ในยุคที่เทคโนโลยีทางการแพทย์ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเรา อาจส่งผลต่อการดูแลผิวหน้า และความงามไม่ต่างกันเลย ด้วย Radiesse และ Radiesse Plus ที่กำลังเป็นที่นิยมในวงการความงาม ผู้ใช้บริการทุกคนที่สนใจในเรื่องของความสวยความงามควรจะต้องศึกษาหามูลให้ดีไม่ใช่เพียงแค่มองหาข้อดีข้อดี แต่จะต้องหาขู้มูลเกี่ยวกับข้อควรระวังต่าง ๆ ร่วมด้วย

                                                                              ผู้เข้ารับบริการมักจะต้องการแหล่งความรู้มากขึ้นเรื่อยๆในบทความนี้รมย์รวินท์คลินิกได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยว “การฉีด Radiesse” และ “การฉีด Radiesse Plus ” เพื่อประกอบการพิจารณา และการตัดสินใจ

                                                                              Radiesse (เรเดียสซ์) คืออะไร

                                                                              โปรแกรมฉีด เป็นผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่มีคุณสมบัติพิเศษ เนื่องจากไม่เพียงแต่ช่วยในด้านของการเติมเต็ม ยังช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของใบหน้า และยังช่วยในการสร้างโครงสร้างภายในผิวที่ดีเยี่ยม เพื่อผลลัพธ์ที่ธรรมชาติมากขึ้น

                                                                              การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) เป็นวิธีการเสริมสร้างโครงสร้างผิวหนังทีดีที่สุดอีกตัวหนึ่ง โดยมีองค์ประกอบหลักของผลิตภัณฑ์คือแคลเซียมไฮโดรการ์บอเนต หรือ CaHA ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น และสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ ทำให้ผิวดูสม่ำเสมอ และมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

                                                                              ช่วยให้ผิวหนังดูอ่อนเยาว์ ด้วยผลลัพธ์ที่สามารถมองเห็นได้โดยทันทีหลังทำ และประสิทธิภาพที่ดีที่สุดในการแก้ไขข้อบกพร่องของใบหน้า ไม่แปลกใจที่การฉีด Radiesse นั้นเป็นโปรแกรมงานผิวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในวงการความงามในปัจจุบัน

                                                                              Radiesse (เรเดียสซ์) เหมาะกับใครบ้าง

                                                                              การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) เหมาะกับบุคคลที่ต้องการมีผิวที่สวยและ แข็งแรงทุกมิติในระดับโครงสร้าง ผลิตภัณฑ์นี้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับผู้เข้ารับบริการหรือคนไข้ที่มีปัญหาด้านใดบ้างดังนี้

                                                                              1. การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) เหมาะสมกับผู้ที่ต้องการให้ผิวมีโครงสร้างที่แข็งแรง และยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้ใบหน้าดูมีความสมดุลมากยิ่งขึ้น
                                                                              2. การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์)  เหมาะสมกับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอย เนื่องจากโปรแกรมนี้สามารถเติมเต็มริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวหนังดูเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
                                                                              3. การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) เหมาะสมกับผู้ที่มีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง และไม่มีประวัติการแพ้ยา หรือสารเคมี
                                                                              4. การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) เหมาะสมกับผู้ที่คนที่มีความต้องการเห็นผลลัพธ์ทันทีและจะยิ่งเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆตามระยะเวลา

                                                                              Radiesse (เรเดียสซ์) ไม่เหมาะกับใครบ้าง

                                                                              1. การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) ไม่เหมาะกับคนที่มีประวัติการแพ้ยา ที่มีสารประกอบโปรตีนอื่น ๆ ก่อนเข้ารับบริการควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ เพื่อป้องกันอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
                                                                              2. การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาสุขภาพร้ายแรง หรือคนที่มีโรคประจำตัวไม่แนะนำให้ทำหัตถการนี้ เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่สูงขึ้น
                                                                              3. การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) ไม่เหมาะกับคนที่มีภาวะผิวบอบบาง คนที่สุขภาพผิวไม่แข็งแรง ผิวแพ้ง่าย หรือมีรอยแตก ไม่เหมาะสมกับการเข้ารับบริการ
                                                                              4. การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) ไม่เหมาะกับคนที่อายุมาก ในบางเคสการฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) สำหรับผู้ที่มีอายุมาก อาจมีความเสี่ยงต่ออาการแพ้ต่าง ๆ รวมถึงภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ง่าย

                                                                              อย่างไรก็ตาม ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และคำแนะนำของแพทย์อย่างละเอียดก่อนค่อยตัดสินใจ หากคนไข้ทราบข้อมูลที่ถูกต้องโดยละเอียดแล้ว จะช่วยเพิ่มระดับความปลอดภัยอีกด้วย

                                                                              Radiesse กับคุณสมบัติที่มือใหม่ควรรู้

                                                                              คุณสมบัติของตัวยา Radiesse (เรเดียสซ์)

                                                                                1. กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน

                                                                              หนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญหลัก ๆ คือการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิวหนัง ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาความยืดหยุ่น และความกระชับของผิว

                                                                                1. ให้ผลลัพธ์ยาวนาน

                                                                              ผลลัพธ์จากการฉีด สามารถคงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลรักษาตัวเองหลังเข้ารับการทำหัตถการ

                                                                                1. ระดับความปลอดภัย

                                                                              ด้วยการใช้สารที่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์ จึงมีความปลอดภัยสูง และมีโอกาสเกิดปฏิกิริยาแพ้ตัวยาน้อยมาก ๆ

                                                                                1. มีการใช้งานได้หลายจุดบนร่างกาย

                                                                              ตัวยาชนิดนี้สามารถใช้ได้หลากหลายบริเวณบนร่างกาย รวมถึงใบหน้า และมือ เพื่อปรับปรุงรูปร่าง และความยืดหยุ่นของผิว

                                                                              Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) คืออะไร

                                                                              Radiesse Plus ( เรเดียสซ์ พลัส ) มีสารประกอบหลักคือ แคลเซียมไฮดรอกซีลาพาไทต์ (Calcium Hydroxylapatite หรือ CaHA) ซึ่งเป็นสารที่มีความปลอดภัย และได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ต้องบอกก่อนเลยว่าสาร CaHA เป็นส่วนประกอบที่พบได้ในร่างกายมนุษย์ ทำให้ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ แถมยังมีความสามารถในการเข้ากันได้กับร่างกายสูง และมีความปลอดภัยสูงอีกด้วย

                                                                              แคลเซียมไฮดรอกซีลาพาไทต์ (CaHA) คืออะไร

                                                                              หลายคนอาจเกิดข้อสงสัยบางอย่างเกี่ยวกับสารชนิดนี้ สาร CaHA ประกอบด้วยอนุภาคแคลเซียม และฟอสเฟตที่อยู่ในรูปแบบของเจล เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวหนัง สารนี้จะช่วยเติมเต็ม และยกกระชับผิวในทันที ในระยะยาว อนุภาคแคลเซียมจะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ และเต่งตึงขึ้น กระบวนการนี้ช่วยให้ Radiesse+ เป็นฟิลเลอร์ที่มีผลลัพธ์ยาวนาน และเป็นธรรมชาติมากที่สุดนั่นเอง

                                                                              Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส)เหมาะกับใครบ้าง

                                                                              การฉีด Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) นับว่าเป็นตัวเลือกแห่งการเสริมความงามที่มีคุณสมบัติทางกายภาพ และเคมีที่ดีที่สุด สำหรับบุคคลที่มีความสนใจในการปรับรูปหน้า หรือร่างกายโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่พึ่งมีดหมอ ซึ่งตัวยานี้มีส่วนช่วยให้ผิวหนังดูเต่งตึง และมีสมดุลในลักษณะที่ต้องการอาทิเช่น

                                                                              • ผู้ที่ใบหน้าขาดความกระชับ

                                                                              สำหรับการกระชับผิวหนัง เหมาะสำหรับผู้ที่มีการสูญเสียเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ส่งผลให้ใบหน้าไม่กระชับ หย่อนยาน

                                                                              • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนาน

                                                                              สำหรับผลลัพธ์ที่ยาวนาน การฉีด Radiesse Plus ( เรเดียสซ์ พลัส ) มีประสิทธิภาพให้ผลลัพธ์ในระยะยาวนาน และช่วยให้ผิวหนังดูสมบูรณ์ และมีความยืดหยุ่นได้

                                                                              • ผู้ที่มีความต้องการปรับเปลี่ยนรูปหน้า

                                                                              สำหรับบุคคลที่มีความต้องการปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด เช่น ปรับรูปทรงหน้าผาก ผิวหน้า และรักษาการเกิดริ้วรอยต่าง ๆ

                                                                              • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์อย่างเป็นธรรมชาติ

                                                                              หัตถการนี้ช่วยให้ผิวดูธรรมชาติ หลังเข้ารับบริการไม่ทำให้ใบหน้าเกิดรูปร่างที่ดูผิดธรรมชาติ แถมยังมีความยืดหยุ่นที่เหมาะสมกับโครงสร้างภายในของใบหน้าแต่ละคนอีกด้วย

                                                                              • ผู้ที่ต้องการเพิ่มความสมดุลให้กับลักษณะของใบหน้า

                                                                              สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความสมดุลของใบหน้า สามารถปรับลักษณะโครงสร้างของใบหน้าที่ไม่สมดุล ให้มีความสมส่วนมากยิ่งขึ้น

                                                                              Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) ไม่เหมาะกับใคร ?

                                                                              แม้การฉีด Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) จะเป็นวิธีการเสริมความงามที่มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยสูงก็ตาม แต่ก็ยังมีคนไข้บางกลุ่มไม่เหมาะสมหรือมีความเสี่ยงในการเข้ารับบริการนี้ คนไข้ในกลุ่มนี้คือกลุ่มของ

                                                                              • บุคคลที่มีประวัติแพ้ยา หรือแพ้สารประกอบในตัวยาบางชนิด

                                                                              คนไข้ที่มีประวัติแพ้สารเคมี ที่เป็นสารประกอบของ ตัวยาของ Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการเข้ารับบริการ เพื่อป้องกันอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

                                                                              • บุคคลที่มีภาวะแพ้หรือตอบสนองต่อการติดเชื้อง่าย

                                                                              คนที่มีภาวะแพ้ง่าย หรือมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแออาจมีความเสี่ยงสูง ต่อการเข้ารับบริการดังกล่าวอย่างไรก็ตามหากตัดสินใจเข้ารับบริการ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนการรับบริการทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย และป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

                                                                              • บุคคลที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง หรืออยู่ในสภาวะเสี่ยงโรคต่างๆ

                                                                              บุคคลที่มีโรคเรื้อรัง หรืออยู่ในสภาวะเสี่ยงอาจได้รับผลกระทบที่ไม่คาดฝันจากการทำหัตถการนี้ จึงขอแนะนำให้คนไข้เข้าปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินโอกาสการเกิดผลกระทบดังกล่าว รวมถึงความปลอดภัยในการเข้ารับบริการทุกครั้ง

                                                                              Radiesse อันตรายหรือไม่

                                                                              Radiesse และ Radiesse Plus ต่างกันอย่างไร

                                                                               

                                                                              การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) และการฉีด Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) อันตรายหรือไม่

                                                                              การตัดสินใจเกี่ยวกับการรับบริการ เพื่อเสริมสร้างโครงหน้า และลดเลือนริ้วรอยเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่ควรพิจารณาก่อนการตัดสินใจคือความปลอดภัยของกระบวนการ บทความนี้จะช่วยให้คนไข้เข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับความปลอดภัย และเปรียบเทียบความเสี่ยงกับประโยชน์ของการใช้งานเหล่านี้

                                                                              • ความปลอดภัยของบริการ

                                                                              เป็นสารเติมเต็มผิวที่ได้รับการอนุมัติจาก FDA และมีประสิทธิภาพสูงในการปรับโครงหน้า และลดเลือนริ้วรอย ส่วนประกอบหลักของ Radiesse (เรเดียสซ์) และ Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) คือแคลเซียมไฮดรอกซิลอะพาไทต์ (CaHA) ที่มีความปลอดภัยสูง และได้รับการยอมรับในการใช้งานมากว่า 10 ปี สารสำคัญใน Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) ยังรวมถึง Lidocaine ที่ช่วยลดความเจ็บปวดระหว่างการฉีด ทั้งสองสารนี้ได้รับการทดสอบ และพิสูจน์ว่ามีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการใช้งาน

                                                                              • การเปรียบเทียบความเสี่ยงและประโยชน์

                                                                              การทำหัตถการนี้อาจมีความเสี่ยงบางประการ เช่น อาจเกิดบวม แดง หรือช้ำบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่สามารถหายไปเองได้ในไม่กี่วัน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงเหล่านี้มีน้อยมาก และสามารถหายได้ทันทีหากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ประโยชน์ของการฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) และการฉีด Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) รวมถึงการเสริมสร้างโครงหน้า และลดเลือนริ้วรอย นับเป็นเหตุผลที่สำคัญที่ทำให้คนไข้เลือกใช้ เพื่อเสริมสร้างโครงหน้า และลดเลือนริ้วรอยเป็นกระบวนการที่มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ผู้รับการรักษาควรพิจารณาความเสี่ยง และประโยชน์ก่อนการตัดสินใจ อย่างไรก็ตามการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนับว่าเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และผลลัพธ์ที่เหมาะสม

                                                                              การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) และ Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) กับขั้นตอนการทำหัตถการ

                                                                              ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และปลอดภัย ขั้นตอนการฉีดประกอบด้วยหลายขั้นตอนดังนี้

                                                                              1. การปรึกษา และประเมินปัญหาผิว

                                                                              ก่อนเข้ารับบริการฉีด Radiesse ( เรเดียสซ์ ) และ Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) แพทย์จะทำการปรึกษา และประเมินปัญหาผิวของผู้รับการรักษาอย่างละเอียด แพทย์ผู้ทำหัตถการจะสอบถามประวัติสุขภาพ ประเมินสภาพผิว และประเมินปัญหาผิวของคนไข้ เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

                                                                              1. ขั้นตอนการเตรียมผิวก่อนทำหัตถการ

                                                                              การเตรียมผิวเป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อให้ผิวพร้อมรับการรับบริการ มีประสิทธิภาพ และปลอดภัย แพทย์จะทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะฉีดด้วยสารทำความสะอาด และสารฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ นอกจากนี้แพทย์อาจใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อทำให้บริเวณที่ฉีดชาขึ้นก่อนการฉีดจริงเพื่อลดอาการเจ็บปวดของคนไข้

                                                                              1. ขั้นตอนการทำหัตถการ

                                                                              ขั้นตอนการฉีดจะดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แพทย์จะทำการฉีดสารเติมเต็มลงไปในชั้นผิวหนังที่ต้องการแก้ไขความบกพร่อง โดยจะใช้ปริมาณที่เหมาะสม และปรับแต่งให้ผิวดูเรียบเนียน และเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

                                                                              1. การดูแลหลังการฉีด

                                                                              หลังจากเข้ารับบริการ แพทย์จะให้คำแนะนำในการดูแลรักษาผิวอย่างละเอียด การดูแลหลังการฉีดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่นาน และป้องกันการเกิดปัญหาต่าง ๆ คำแนะนำที่มักจะได้รับหลังการฉีดประกอบด้วย

                                                                              • หลีกเลี่ยงการนวด หรือกดบริเวณที่ฉีด
                                                                              • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับความร้อน หรือความเย็นจัด เช่น ซาวน่า หรือแสงแดดแรง ๆ
                                                                              • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังการฉีด
                                                                              • รักษาความสะอาดผิว และหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง

                                                                              หลังฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) และ Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) ใช้ระยะเวลา กี่วันจึงเริ่มเห็นผลลัพธ์

                                                                              การฉีดสารเติมเต็มผิวเพื่อแก้ไขปัญหาริ้วรอย และเสริมสร้างโครงหน้าเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในวงการความงาม เนื่องจากเป็นสารเติมเต็มที่มีประสิทธิภาพสูง และเป็นที่รู้จักกันดี คำถามที่หลายคนสงสัยคือ “การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์)และ Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) กี่วันเห็นผล ?”

                                                                              ระยะเวลาการเห็นผลหลังการฉีด

                                                                              1. หลังทำหัตถการทันที

                                                                              หลังจากการฉีดตัวยา ผู้รับการรักษาจะเห็นผลลัพธ์บางส่วนทันที ผิวจะดูเต็มอิ่มขึ้น และริ้วรอยลึกจะดูตื้นขึ้น เนื่องจากสารเติมเต็มที่ถูกฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนังทำให้ผิวดูเรียบเนียน และเป็นธรรมชาติขึ้น

                                                                              1. หลังจากเข้ารับบริการ 1-2 สัปดาห์

                                                                              ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังการฉีด ร่างกายจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการปรับตัว และกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ชั้นผิว ซึ่งจะทำให้ผลลัพธ์ดูชัดเจน และสมบูรณ์มากขึ้น ระยะเวลานี้ผิวจะดูเรียบเนียน และยืดหยุ่นขึ้น ส่งผลให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

                                                                              1. ผลลัพธ์ระยะยาว

                                                                              ตัวยามีความสามารถในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ทำให้ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลรักษาของคนไข้ การสร้างคอลลาเจนใหม่จะทำให้ผิวดูเนียนนุ่ม และยืดหยุ่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง

                                                                              ปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อผลลัพธ์หลังฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) และ Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส)

                                                                              1. สภาพผิว และอายุของคนไข้

                                                                              สภาพผิว และอายุของคนไข้มีผลต่อระยะเวลาการเห็นผล และความคงทนของผลลัพธ์ ผิวที่มีคอลลาเจนปริมาณมากจะดูเป็นธรรมชาติ และให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน คงสภาพผลลัพธ์หลังทำหัตถการได้ยาวนานกว่าโครงสร้างผิวที่มีปริมาณคอลลาเจนน้อย

                                                                              1. ปริมาณสารเติมเต็มและตำแหน่งที่ทำหัตถการ

                                                                              ปริมาณสารเติมเต็มที่ใช้ และตำแหน่งที่ฉีดมีผลต่อระยะเวลาการเห็นผล การฉีดในตำแหน่งที่ต้องการความละเอียดและทักษะสูง เช่น ใบหน้า จะให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน และเป็นธรรมชาติมากกว่า

                                                                              1. การดูแลรักษา รวมถึงการปฏิบัติตัวหลังทำหัตถการ

                                                                              การดูแลรักษาผิวหลังการฉีดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่นาน และป้องกันการเกิดปัญหาต่าง ๆ การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดจะช่วยให้ผลลัพธ์ดูดีและคงทน

                                                                              ฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) และ Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) ราคาเท่าไหร่ แพงไหม

                                                                              การรักษาริ้วรอย และการเสริมสร้างโครงหน้าด้วยสารเติมเต็มผิวเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน นับว่าเป็นสารเติมเต็มผิวที่มีประสิทธิภาพสูง และเป็นที่รู้จักกันดีในวงการความงาม สำหรับผู้ที่สนใจในการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ คำถามที่มักจะเกิดขึ้นคือ “ฉีด Radiesse และฉีด Radiesse Plus ราคาเท่าไหร่ แพงไหม?” ในหัวข้อนี้จะมาเจาะลึกถึงรายละเอียดด้านราคารวมถึงการประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนเพื่อความงามว่าคุ้มค่าหรือไม่อย่างไร

                                                                              ปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อราคาฉีด Radiesse และฉีด Radiesse Plus

                                                                              1. ปริมาณที่ใช้
                                                                                • ราคาของจะขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้ในการฉีด ปริมาณมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความต้องการ และสภาพผิวของผู้รับการรักษา
                                                                              2. ตำแหน่งที่ฉีด
                                                                                • การฉีดในตำแหน่งที่ต้องการความละเอียด และทักษะสูง เช่น ใบหน้า อาจมีราคาสูงกว่าการฉีดในตำแหน่งอื่น
                                                                              3. สถานพยาบาล และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
                                                                                • ราคาอาจแตกต่างกันไปตามสถานพยาบาล และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการ สถานพยาบาลที่มีชื่อเสียง และแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงมักมีราคาที่สูงมากกว่า
                                                                                • โปรโมชั่น และแพ็คเกจ
                                                                                • บางสถานพยาบาลอาจมีโปรโมชั่นหรือแพ็คเกจพิเศษที่ลดราคา Radiesse และ Radiesse+ หากต้องการรับบริการในราคาที่สบายกระเป๋า แนะนำให้ดูเป็นช่วงโปรโมชั่นของคลินิก

                                                                              เรทราคานี้เป็นราคาประมาณการที่อาจแตกต่างกันไปตามสถานพยาบาล และปริมาณที่ใช้จริง แนะนำให้สอบถามราคาโดยตรงจากสถานพยาบาลหรือคลินิกที่ให้บริการเพื่อได้รับข้อมูลด้านราคาและโปรโมชั่นที่ถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น

                                                                              ความคุ้มค่าของการฉีด Radiesse และ Radiesse Plus

                                                                              การประเมินความคุ้มค่าในการใช้ ควรพิจารณาจากหลายปัจจัยดังนี้:

                                                                              1. ผลลัพธ์ที่ยาวนาน
                                                                                • การฉีด Radiesse: เหมาะกับงานผิว เนื่องจากช่วยปรับสภาพผิวให้ดูสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
                                                                                • การฉีด Radiesse Plus: เหมาะกับงานโครงสร้าง เนื่องจากช่วยปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรงในระดับลึก ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลหลังการฉีด
                                                                              2. วัตถุประสงค์การใช้งาน
                                                                                • การฉีด Radiesse: เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก บริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก
                                                                                • การฉีด Radiesse Plus: เหมาะสำหรับการเสริมสร้างโครงหน้าที่ชัดเจน ช่วยให้ใบหน้ามีมิติมากยิ่งขึ้น
                                                                              3. ความสะดวกสบาย
                                                                                • การฉีด Radiesse: อาจมีความเจ็บปวดในระหว่างการฉีดเนื่องจากไม่มีสารช่วยหล่อลื่น คนไข้สามารถแจ้งแพทย์ผู้ทำหัตถการ เพื่อขอทายาชาเพื่อระงับอาการเจ็บปวดก่อนทำหัตถการได้
                                                                                • การฉีด Radiesse Plus: การเพิ่มสาร Lidocaine ช่วยลดความเจ็บปวด และความไม่สบายในระหว่างการฉีด
                                                                              4. ความปลอดภัย:
                                                                                • CaHA ที่เป็นส่วนประกอบหลักของตัวยาทั้งสองแบบนี้ เป็นสารธรรมชาติที่พบในร่างกายมนุษย์ ทำให้มีความปลอดภัยสูง และไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้แต่อย่างใด

                                                                              ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม

                                                                              1. ความชำนาญของแพทย์:
                                                                                • การฉีดสารเติมเต็มผิวต้องอาศัยความชำนาญ และประสบการณ์ของแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม และปลอดภัย การเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อผลลัพธ์ที่ได้
                                                                              2. การดูแลหลังการฉีด:
                                                                                • การดูแลรักษาผิวหลังการฉีดมีความสำคัญเพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่นาน และป้องกันการเกิดปัญหาต่างๆ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

                                                                              Radiesse และ Radiesse Plus เป็นสารเติมเต็มผิวที่มีประสิทธิภาพสูง และให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน แม้ราคาจะค่อนข้างสูง แต่เมื่อพิจารณาถึงผลลัพธ์ที่ได้ และความปลอดภัยในการใช้จึงถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในการดูแลผิวพรรณ และปรับโครงสร้างใบหน้าให้กลับมาดูอวบอิ่มอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งอีกด้วย

                                                                              อย่างไรก็ตาม การปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คนไข้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม และยังช่วยให้คนไข้เลือกใช้สินค้าหรือบริการของทางคลินิกได้ตรงกับความต้องการ และปัญหาผิวของคนไข้ได้อย่างดีที่สุดอีกด้วย

                                                                              สรุป

                                                                              การฉีด Radiesse เหมาะสำหรับคนไข้ที่ต้องการงานผิว เนื่องจากแพทย์จะทำการฉีดตัวยาลงไปในชั้นผิวที่ตื้น บริการนี้ช่วยในเรื่องของการปรับสภาพผิวให้ดูดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ส่งผลให้ผิวสว่างใสอมชมพูได้อีกด้วย

                                                                              ส่วนการฉีด Radiesse Plus เหมาะกับงานโครงสร้าง ปรับรูปหน้า เพิ่มมิติใบหน้ามากกว่า เนื่องจากแพทย์ผู้ทำหัตถการจะฉีดตัวยาลงไปในชั้นที่ลึกติดกระดูกใบหน้าของคนไข้ นอกจากนี้สิ่งที่เพิ่มเข้ามายังมีในเรื่องของการผสมสาร Lidocaine ที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดขณะทำหัตถการ ส่งผลให้คนไข้ที่เข้ารับการรักษาไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดระหว่างทำหัตถการ

                                                                              อย่างไรก็ตามก่อนเข้ารับบริการคนไข้ควรพบแพทย์ผู้ทำหัตถการทุกครั้ง ประเมินสภาพผิวหน้า รวมถึงปัญหาที่พบ เพื่อความปลอดภัย ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ และหาแนวทางในการรักษาต่อไป

                                                                              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                                เคล็ดลับความงาม ! เพียงเลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์

                                                                                อาหารบำรุงผิว

                                                                                ผิวสวยเปล่งประกายดูดีมีออร่าย่อมเป็นความฝันสำหรับใครหลายคน เทรนด์ความงามใหม่ ๆ จึงเริ่มมีการปรับเปลี่ยนและพัฒนามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีควบคู่กับการทาครีมบำรุงเป็นประจำ บางคนเลือกมองหาผลิตภัณฑ์สกินแคร์ใหม่ ๆ เพื่อการบำรุงผิวที่ดียิ่งขึ้น หรือสำหรับบางคนมีผิวที่ดีอยู่แล้วก็แต่งแต้มความสวยด้วยเครื่องสำอาง แต่มีเทรนด์ความงามอีกรูปแบบที่ค่อนข้าง มาแรงและทุกคนสามารถทำตามได้ไม่ยาก คือ การรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์และมีส่วนช่วยบำรุง ผิวพรรณ

                                                                                เนื่องจากอาหารที่เรารับประทานประจำเป็นทุกวันมักจะมีสารอาหารต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณอยู่แล้ว แต่สำหรับอาหารบางประเภทเมื่อรับประทานมากเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายแทน เทรนด์การรับประทานอาหารจึงต้องเลือกทั้งอาหารที่เป็นประโยชน์และปริมาณที่เหมาะสม รมย์รวินท์คลินิกจึงอยากพาทุกคนมารู้จักกับอาหารต่าง ๆ ที่ช่วยถนอมผิวพรรณ และ ช่วยเติมสิ่งดี ๆ ที่เป็นประโยชน์ให้กับร่างกาย

                                                                                กินอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรู้ด้วยว่าอาหารสำคัญกับร่างกายแค่ไหน !

                                                                                อาหารผิว

                                                                                อาหารเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทั้งร่างกายและผิวพรรณของเรา ไม่ว่าจะเป็นสารอาหารที่คอยหล่อเลี้ยงร่างกายและผิวด้วยของเราที่ได้รับมาจากการรับประทาน และยังเป็นแหล่งพลังงานให้กับร่างกายอีกด้วย ลองสังเกตเวลาที่เราไม่ได้รับประทานอาหารเลยทั้งวัน เราจะรู้สึกเหนื่อยง่ายไม่มีแรง เนื่องจากเราไม่ได้รับสารอาหารบางประเภทที่เป็นพลังงานให้กับร่างกาย ซึ่งความสำคัญของอาหารที่มีต่อร่างกายสามารถสรุปออกมาได้ดังนี้

                                                                                  1. อาหารเป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย : ร่างกายมีการเผาผลาญพลังงานตลอดเวลาแม้แต่เวลาพักผ่อน เนื่องจากกระบวนการต่าง ๆ ภายในร่างกายยังคงทำงานแม้กระทั่งตอนหลับพักผ่อน เราจึงรวมรับประทานอาหารให้ครบ 3 เวลา เช้า/กลางวัน/เย็น
                                                                                  2. อาหารช่วยเสริมสร้างร่างกายและผิวพรรณ : สารอาหารที่ได้รับมาล้วนถูกนำไปใช้เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย รวมถึงผิวพรรณของเรามีสารอาหารหลายอย่างที่มีส่วนช่วยเรื่องผิวและความงาม เช่น วิตามินบี, วิตามินซี, สังกะสี เป็นต้น
                                                                                  3. สารอาหารช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและลดปัญหาผิว : สารอาหารที่ได้รับก็มีส่วนช่วยเรื่องระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และผิวพรรณต่าง ๆ ที่มักจะมีริ้วรอยที่เกิดจากมลภาวะก็จะได้รับการซ่อมแซมด้วยสารอาหารต่าง ๆ ที่ได้รับมาจากการทานอาหารที่เป็นประโยชน์

                                                                                จะเห็นเลยว่าอาหารที่เรารับประทานมีความสำคัญกับร่างกายเป็นอย่างมาก รมย์รวินท์คลินิกจึงอยากแนะนำอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณ โดยทุกคนสามารถลองปรับเปลี่ยนวิธีการกินจากที่เป็นเมนูอะไรก็ได้ หันมาใส่ใจดูแลตัวเองตั้งแต่การรับประทานอาหาร

                                                                                7 อาหารช่วยให้ร่างกายแข็งแรงผิวพรรณสวยเปล่งปลั่ง !

                                                                                อาหารผิว

                                                                                  1. โปรตีนจากเนื้อสัตว์ (ต้องไม่ติดมัน!)

                                                                                เนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบของอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและสามารถพบได้จากหลากหลายเมนูที่เรารับประทานบ่อย
                                                                                ๆ แต่รู้หรือไม่ ? นอกจากโปรตีนแล้วเรายังได้รับคอลลาเจนจากการรับประทานเนื้อสัตว์
                                                                                ซึ่งคอลลาเจนนั้นเป็นส่วนประกอบสำคัญของผิวหนัง ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความหยาบกร้านของผิว
                                                                                แต่ควรพยายามหลีกเลี่ยงเนื้อส่วนที่ติดไขมันเพราะอาจทำให้ร่างกายเกิดการสะสมไขมันมากเกินความจำเป็น

                                                                                  1. มะเขือเทศ

                                                                                มะเขือเทศมีส่วนประกอบของสารไลโคปีนและวิตามินหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี 1 บี 2,
                                                                                วิตามินซี, วิตามินเค และวิตามินเอ ซึ่งช่วยลดปริมาณฮอร์โมนทำให้ปัญหาสิว ฝ้า หน้าไม่กระจ่างใสลดลง
                                                                                รวมถึงช่วยป้องกันผิวจากรังสี UV อีก นับว่ามีสารอาหารหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

                                                                                  1. เนื้อปลาทะเล

                                                                                ปลาทะเลน้ำลึกอุดมไปด้วยสารที่มีประโยชน์กับร่างกาย เช่น คอลลาเจน โอเมก้า3 และกรดไขมันดี
                                                                                ซึ่งร่าง กายสามารถดูดซึมไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ คอลลาเจนช่วยเรื่องผิวพรรณ
                                                                                ส่วนกรดไขมันดีจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว

                                                                                  1. ผลไม้ตระกูลส้ม

                                                                                หรือที่เรียกว่าผลไม้ตระกูลซิตรัส เช่น ส้ม เลม่อน เกรปฟรุต
                                                                                ซึ่งเป็นผลไม้ที่นับว่ามีคอลลาเจนและวิตามินซีสูงมาก แต่หลายคนอาจจะจำว่าผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวคือมีวิตามินซีสูง
                                                                                ซึ่งก็ไม่ถูกซะทีเดียวแนะนำให้เลือกรับประทานพวกส้มหรือเลม่อนเป็นหลักจะดีที่สุด
                                                                                เนื่องจากวิตามินซีที่ได้รับจากผลไม้ตระกูลส้มช่วยเรื่องผิวพรรณและป้องกันรังสี UV

                                                                                  1. เบอร์รี่

                                                                                ผลเบอร์รี่มีสารพฤกษเคมีที่เรียกว่า “แอนโธไซยานิน” ปริมาณมาก
                                                                                โดยสารดังกล่าวมีส่วนช่วยเรื่องการบำรุงผิวให้ออกมาเปล่งปลั่ง
                                                                                และมีส่วนช่วยในการกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้น ทำให้ผิวออก มาเรียบเนียน ปราศจากริ้วรอย

                                                                                  1. ธัญพืชและถั่วต่าง ๆ

                                                                                ถั่วและธัญพืชนับว่าเป็นอาหารที่รวมเอาแร่ธาตุต่าง ๆ เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นสังกะสี ทองแดง และ
                                                                                วิตามินบี 3 ซึ่งเป็นสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและช่วยบำรุงผิวพรรณ เติมคอลลาเจนให้กับร่างกาย
                                                                                โดยเราสามารถเลือกรับประทานถั่วหรือธัญพืชตามความชอบของเราได้เลย เช่น อัลมอนด์, ถั่วลิสง, งาดำ, งาขาว
                                                                                เป็นต้น

                                                                                  1. น้ำผึ้ง

                                                                                บางคนติดดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มหวาน ๆ
                                                                                สามารถลองปรับเปลี่ยนมาเติมน้ำผึ้งเพื่อทดแทนความหวานจาก น้ำตาลได้ โดยน้ำผึ้งมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์มากมาย
                                                                                ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียม, ฟอสฟอรัส, วิตามินบี, วิตามินซี และสาร Humectant
                                                                                ที่ช่วยเรื่องการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว

                                                                                นอกจากรับประทานอาหารแล้วมาเติมสิ่งดี ๆ มีประโยชน์กับ การให้วิตามินผิว

                                                                                Iv Drip

                                                                                เคล็ดลับผิวสวยสุขภาพดีนอกจากการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว เรายังสามารถรับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อผิวด้วยการเติม วิตามินผิวสูตรเฉพาะที่รมย์รวินท์คลินิก

                                                                                • IV White Skin & Detox : เติมสารอาหารและวิตามิน บำรุงผิวสวย ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย
                                                                                • IV White & Fresh : เติมวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเรื่องผิวกระจ่างใส
                                                                                • IV Super Hydrate : สารสกัดจากพืช กรดอะมิโนและเปปไทด์ ช่วยสังเคราะห์ Collagen ผิวชุ่มชื้น
                                                                                • IV Detox : ปรับสมดุลร่างกาย ขับสารพิษ ช่วยฟื้นฟูสุขภาพพร้อมดูแลผิวพรรณให้สวยงาม

                                                                                นอกจากการให้วิตามินผิวแล้ว รมย์รวินท์คลินิกยังมีหัตถการต่าง ๆ ที่ช่วยเรื่องผิวพรรณและรูปร่างได้อย่างตรงจุด หากพบเจอปัญหาผิว สามารถปรึกษาปัญหาได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทั้ง 28 สาขา !

                                                                                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                  วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                                  วัยทำงานกับความเครียด ผลกระทบต่อผิวและสุขภาพ

                                                                                  ความเครียด

                                                                                  ชีวิตวัยทำงานกับความเครียด รู้เท่าทันก่อนสายเกินแก้ !

                                                                                  “เช้ามาต้องไปทำงานอีกแล้ว” “ฝนตกรถติด กว่าจะถึงบ้านแทบไม่มีเวลาพักเลย” “แปป ๆ วันหยุดก็หมดแล้ว ไม่อยากไปทำงานเลย” สถานการณ์เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตวัยทำงานที่เป็นบ่อเกิดของความเครียดสะสม ซึ่งยังไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ การบริหารการเงินที่ฝืดเคืองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความเครียดสะสม สุดท้ายความเครียดที่เกิดขึ้นก็ได้สร้างผลกระทบเชิงลบให้กับร่างกายและจิตใจของเราไปเสียแล้ว

                                                                                  หากสามารถจัดการความเครียดที่เกิดขึ้นได้ก็นับว่าเป็นข้อดีของตัวเอง แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่สามารถจัดการกับความเครียดได้ อีกทั้งยังเก็บไปคิดมากและค่อย ๆ บั่นทอนสุขภาพกายสุขภาพใจของตัวเองไปทีละนิด ทีละนิด .. จะดีกว่ามั้ย ? ถ้าเราเปลี่ยนจากการนั่งเครียดคิดมากมาหาวิธีรับมือกับมัน และเริ่มหันมาสนใจสุขภาพกายสุขภาพใจของตัวเอง ลองมาสำรวจกันว่าความเครียดทำอะไรกับเราบ้าง ?

                                                                                  Skin

                                                                                  “ความเครียด” ภาวะทางอารมณ์ที่ทำร้ายเรามากที่สุด

                                                                                  ความเครียด เป็นภาวะทางอารมณ์ต่อเหตุการณ์หนึ่งที่อาจก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ เป็นกังวล กระวนกระวาย เมื่อความเครียดอยู่ในระดับที่มากเกินไป ในทางกลับกันหากมีความเครียดอย่างพอดีก็สามารถช่วยให้คนเราเกิดความกระตือรือร้นมากกว่าปกติ ซึ่งจะเห็นได้จากการทำงานภายใต้ความเครียด หากเราสามารถบาลานซ์สิ่งที่เกิดขึ้นได้เราก็จะรู้สึกตื่นตัวกับการทำงานในแต่ละวันมากขึ้น ไม่เหนื่อยไม่ล้า ไม่เครียด แต่ถ้าบาลานซ์ของเราพังเนื่องจาก มีความเครียดสะสมมากจนเกินไปก็จะทำให้เกิดการไม่สบายใจ จนไม่สามารถทำงานให้ลุล่วงได้ ความเครียดจึงเป็นสิ่งที่ควรบริหารให้มีความพอดี นั่นหมายความว่าเครียดได้แต่อย่ามากจนเกินไป

                                                                                  Skin

                                                                                  ยิ่งเครียดยิ่งพัง มาดูกันว่าความเครียดส่งผลอะไรกับเราบ้าง ?

                                                                                  ความเครียดที่สะสมไว้มากจนเกินไปอาจกลายเป็นหายนะทางอารมณ์ ซึ่งหลายท่านอาจจะยังไม่ทราบเกี่ยวกับผลกระทบของความเครียดที่มากไปในระยะยาว โดยนอกจากสภาพอารมณ์ที่มีแต่ความสบายใจแล้วยังมีเรื่องของสุขภาพร่างกายที่ได้รับผลกระทบด้วย ซึ่งสามารถเรียบเรียงเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้

                                                                                  1. ความเครียดส่งผลต่อสุขภาพกาย – ร่างกายของคนเราสามารถได้รับผลกระทบจากความเครียดโดยตรง ซึ่งจะมีตั้งแต่อาการที่พบได้ทั่วไปจนถึงกรณีที่ค่อนข้างร้ายแรง เช่น ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ไปจนถึงอาการของโรคต่าง ๆ อย่างความผิดปกติของหัวใจ ความดันโลหิตสูง ไมเกรน บางรายยังมีอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศมาเกี่ยวข้องด้วย
                                                                                  2. ความเครียดส่งผลต่อสุขภาพจิต – แน่นอนว่าความเครียดเป็นสภาวะทางอารมณ์ที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจของเราเป็นอย่างมาก โดยมีโอกาสที่ความเครียดระยะยาวจะนำไปสู่สภาวะซึมเศร้า โรควิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ (OCD) เป็นต้น
                                                                                  3. ความเครียดส่งผลต่อการทำงาน – เป็นผลพวงมาจากสุขภาพจิตที่เกิดจากความเครียด ยิ่งเรามีความเครียดมากประสิทธิภาพการทำงาน การเรียนรู้ และ การปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างก็จะแย่ลง
                                                                                  4. ความเครียดส่งผลต่อผิวและความงาม – ส่วนสุดท้ายเป็นเรื่องที่คนรักสวยรักงามไม่ควรพลาด ! เพราะความเครียดส่งผลกระทบต่อผิวและความงามด้วย ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยต่าง ๆ หรือผิวที่หมองคล้ำจากการอดหลับอดนอน ล้วนมีปัจจัยมาจากความเครียดที่สะสมเอาไว้ รวมถึงอาการผิวเครียดที่เราจะมาเน้นย้ำกันชัด

                                                                                  ผิวเครียด

                                                                                  อัพเดทโรคของคนทำงาน “ผิวเครียด” ผิวเสียสมดุลจากความเครียด

                                                                                  อาการเครียดลงผิว หรือผิวเครียด แวบแรกอ่านแล้วคล้ายกับอาการเครียดลงกระเพาะ แต่จริง ๆ แล้วอาการเครียดลงผิวเป็นโรคที่เกี่ยวกับจิตวิทยาผิวหนัง ‘Psychodermatology’ เป็นภาวะที่ความเครียดไปกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนมากกว่าปกติจนร่างกายเกิดการเสียสมดุล ซึ่งส่งผลกระทบต่อผิวของเราด้วยนั่นเอง

                                                                                  โดยอาการของโรคผิวเครียดที่มักพบได้ทั่วไปก็จะมีดังนี้

                                                                                  1. ผิวหนังเกิดการระคายเคือง : เนื่องจากความเครียดส่งผลต่อระบบการย่อยอาหารจนเกิดอาการอักเสบบริเวณลำไส้ ส่งผลให้ผิวหนังเกิดการอักเสบตามมา อาการของผิวเครียดแบบนี้เป็นต้นเหตุของการเกิดสิวด้วย
                                                                                  2. ผิวหน้าหมองคล้ำ : ความเครียดส่งผลต่อการลำเลียงเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ด้วยสถานการณ์ที่เกิดจากความเครียดส่งผลให้เลือดถูกส่งไปที่อวัยวะสำคัญก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนผิวพรรณของเราจะมีเลือดมาเลี้ยงน้อยลง จนทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ ขาดความสดใส
                                                                                  3. ผิวขาดความชุ่มชื้น : อาการผิวเครียดส่งผลต่อการผลิตฮอร์โมน ‘Cortisol’ ซึ่งส่งผลต่อการกักเก็บความชุ่มชื้นของผิวหนัง ทำให้ผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น
                                                                                  4. หนังศีรษะและเส้นผม : หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่าเวลาเครียดมาก ๆ ผมจะเกิดอาการร่วงอย่างผิดปกติ รวมถึงมีการสะสมของรังแคมากขึ้น

                                                                                  บรรเทาความเครียด จัดการความไม่สบายใจด้วยตัวเองวันละนิด

                                                                                  หากไม่ต้องการให้ผิวพรรณที่สวยงามของคุณได้รับผลกระทบจากความเครียด สิ่งสำคัญเลย คือ การหาวิธีจัดการกับความเครียดที่เหมาะสมกับตัวเอง ถึงแม้ความเครียดจะไม่หายไปทันที แต่การพยายามบรรเทาความไม่สบายใจของตัวเองไปเรื่อย ๆ คุณก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะฉะนั้นมาดูวิธีบรรเทาความเครียดจากรมย์รวินท์คลินิกกัน

                                                                                  1. มองหางานอดิเรกที่ชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง การอ่านหนังสือ หรืองานอดิเรกแบบอื่น ๆ ถ้าเรารู้สึกสนุกไปกับมัน ความเครียดก็จะค่อย ๆ เบาลงจนหายไป
                                                                                  2. เปลี่ยนจากการนั่งคิดมากเฉย ๆ ไปออกกำลังกาย หากิจกรรมที่ได้ขยับร่างกาย เพราะนอกจากจะช่วยเปลี่ยนจุดโฟกัสมาที่กิจกรรมตรงหน้าแล้วยังดีต่อสุขภาพด้วย
                                                                                  3. การทานอาหารก็ช่วยลดความเครียดได้ หลาย ๆ คนมักบอกว่าการได้ทานอาหารอร่อย ๆ คือ การเติมความสุขให้กับตัวเอง แต่จริง ๆ แล้วก็มีอาหารหลาย ๆ อย่างที่ทานแล้วช่วยบรรเทาความเครียดได้ เช่น ชาเขียว ส้ม ฝรั่ง ไข่ เนื้อสัตว์ และ ดาร์กช็อตโกแลต เป็นต้น
                                                                                  4. จัดการกับต้นเหตุของความเครียด บางครั้งวิธีการนี้ก็เป็นอะไรที่ยากมาก เพราะความเครียดสำหรับบางคนก็มีสาเหตุมาจากสิ่งที่ไม่เป็นรูปธรรม เช่น ภาระหนี้สิน หน้าที่การงานที่เป็นอยู่ แต่สำหรับบาง อย่างเราสามารถจัดการหรือมองข้ามมันไปได้ เช่น ปัญหาการถูกนินทา การถูกต่อว่าด่าทอแรง ๆ บางครั้งเราก็เผลอเก็บคำเหล่านั้นมาใส่ใจมากเกินไป ลองปล่อยวางเพื่อลดความเครียดที่รับมา

                                                                                  หัตถการรักษาผิวจากความเครียด

                                                                                  เครียดแล้วมีแต่เสีย มาเสริมความสวยให้หายเครียดดีกว่า

                                                                                  พอเครียดมาก ๆ เข้าไปนอกจากผลกระทบต่อผิวพรรณสวย ๆ แล้ว เรามักจะละเลยการดูแลตัวเองอีก บอกเลยว่าปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้แล้ว ! ต้องลองมาที่รมย์รวินท์คลินิกเพื่อค้นหาคำตอบของความงามที่แม้แต่ความเครียดยังต้องยอมสยบ ด้วยเทคนิควิเคราะห์ใบหน้า Lifting Select ที่จะช่วยค้นหาหัตถการที่เหมาะสมกับคุณ โดยที่รมย์รวินท์มีโปรแกรมช่วยเรื่องผิวและสัดส่วนรูปร่างมากมาย และตัวที่เหมาะสำหรับช่วยเรื่องการผ่อนคลายมากที่สุดคือโปรแกรมยกกระชับกล้ามเนื้ออย่าง Emface   เป็นโปรแกรมยกกระชับตัวแรกและตัวเดียวในโลกที่สามารถทำได้  ระหว่างการทำงานผู้เข้ารับบริการจะมีความรู้สึกเหมือนได้นวดใบหน้า ในส่วนหน้าผาก และแก้ม จัดเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้ทำการผ่อนคลาย บำบัดความเครียด ที่ได้ผลลัพธ์หลังการทำคือใบหน้าที่ยกกระชับใบหน้าถึงชั้นกล้ามเนื้อ  ทำให้ได้ใบหน้าที่ยกกระชับ ไร้ริ้วรอย และร่องลึกต่างๆด้วย โดยใช้เวลาทำเพียง 20 นาที ทำให้ได้ผลลัพธ์ถึงสองต่อ สามารถปรึกษากับแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิกได้แล้วตั้งแต่วันนี้ แล้วพบกันได้ที่รมย์รวินท์ 28 สาขาใกล้บ้านคุณ

                                                                                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                    วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                                    ทำไม? เจ้า “สิวตัวร้าย” ต้องมาในวันสำคัญด้วยนะ!

                                                                                    acne

                                                                                    ทำไม? เจ้า “สิวตัวร้าย” ต้องมาในวันสำคัญด้วยนะ!

                                                                                    วันอาทิตย์นี้มีนัดเดทกับหนุ่ม ชุดพร้อม ทรงผมพร้อม เทคนิคแต่งหน้าพร้อม จะเช็กความสวยให้พร้อมอีกที! ก็ต้องกรี๊ดดดบ้านแตก เพราะเจ้า “สิวตัวร้าย” ดันโผล่ขึ้นมาทักทาย! ทำไมนะทำไม วันสำคัญทีไร เจ้าสิวพวกนี้ต้องขึ้นมาบนหน้าทุกที

                                                                                    เคยสงสัยกันบ้างมั้ย? ว่าทำไมนะ ทำไม ใกล้วันสำคัญทีไร เจ้า “สิวตัวร้าย” ชอบโผล่มา.. เหมือนรู้ว่าจะต้องใช้หน้า แถมขึ้นมาทียังมาแบบเม็ดใหญ่ให้รู้กันไปเลยว่าเป็นสิว!

                                                                                    ยัง..ยังไม่พอ ยังเรียกเพื่อนมารุมอีก ขึ้นมาที 3-4 เม็ด จนหมดความมั่นใจ ก็รู้นะว่าสิวอ่ะเรื่องธรรมชาติ แต่ไม่มีจะดีกว่ามั้ย..ทำยังไงดีเนี่ย!

                                                                                    “สิว” เรื่องวุ่นๆ ของคนทุกวัย ไม่ว่าจะวัยเด็ก วัยหนุ่มสาว หรือวัยผู้ใหญ่ก็เป็นสิวกันได้ทั้งนั้น เพราะสิวเกิดจากการจับตัวกันของสิ่งสกปรก เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และความมันในรูขุมขน ก่อให้เกิดเป็นสิวอุดตัน โดยมีลักษณะเป็นตุ่มนูนบริเวณปากรูขุมขน และหากมีตัวกระตุ้นอย่างเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ก็จะทำให้ลุกลามจนกลายเป็นสิวอักเสบได้!

                                                                                    และที่หลายๆ คนเป็นสิวกันบ่อยๆ ในวันสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นวันนัดเดท วันรับปริญญา วันงานแต่ง สาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากความเครียด หรือความตื่นเต้นจนอาจทำให้นอนไม่หลับ พักผ่อนไม่เพียงพอ

                                                                                    ยิ่งใกล้วันสำคัญก็ยิ่งเครียด ยิ่งเครียดก็ยิ่งเป็น “สิว” จริงมั้ย?

                                                                                    รู้มั้ยว่าความเครียดก็ส่งผลต่อการเกิดสิวได้เป็นเรื่องจริง! เพราะความเครียดทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมน Cortisol (คอร์ติซอล) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเสตียรอย์ชนิดหนึ่งที่ร่างกายผลิตขึ้น หากเกิดความเครียดสูง ร่างกายก็จะผลิตฮอร์โมนชนิดนี้ขึ้นมามากเกินความจำเป็น และเป็นตัวกระตุ้นฮอร์โมน Androgen (แอนโดรเจน) หรือฮอร์โมนเพศชาย ทำให้เกิดการผลิตน้ำมันในชั้นผิวมากยิ่งขึ้น จนเกิดเป็นความมันส่วนเกิน และเมื่อความมันส่วนเกินนี้ไปผสมกับเซลล์ผิวเสื่อมสภาพ และแบคทีเรียที่ผิวหนังทำให้เกิดการอุดตัน จนนำไปสู่การเกิดสิวในที่สุด นอกจากนั้นความเครียดยังเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ปัญหาสิวแย่ลงอีกด้วย เรียกได้ว่ายิ่งเครียด สิวยิ่งขึ้น!

                                                                                    ยิ่งใกล้วันสำคัญยิ่ง “ตื่นเต้น” ทำให้ยิ่งนอนดึก “สิว” ก็ยิ่งขึ้น!

                                                                                    เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงต้องเคยเป็น เมื่อใกล้ถึงวันสำคัญทีไร ก็ยิ่งตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ และกว่าจะหลับได้ก็ดึกซะแล้ว! รู้มั้ยว่าการนอนดึกก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวตัวร้าย! เมื่อร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอกระบวนการซ่อมแซมร่างกาย หรือ Growth Hormone (โกรทฮอร์โมน) ก็ทำงานได้ไม่เต็มที่  ระบบการหมุนเวียนเลือด และต่อมน้ำเหลืองก็จะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพด้วยเช่นกัน

                                                                                    แล้วเวลาไหนล่ะ ที่เรียกว่านอนหลับเพียงพอ..จริงๆแล้วควรนอนให้ครบ 6-8 ชั่วโมง โดยเวลานอนที่ดีที่สุดคือ ควรนอนก่อนเวลา 22:00 เพราะเป็นช่วงเวลาที่ Growth Hormone ทำหน้าที่ซ่อมแซม และฟื้นฟูร่างกาย

                                                                                    แต่ถ้า “ความเครียด” และ “ความตื่นเต้น” มันห้ามกันไม่ได้จริงๆ ก็ต้องมีวิธีจัดการ!

                                                                                      • หากิจกรรมทำเพื่อผ่อนคลายตัวเอง เช่น ดูหนังตลก ฟังเพลง ไปเที่ยวกับเพื่อน
                                                                                      • ฝึกนั่งสมาธิ เล่นโยคะ หรือคิดบวกให้จิตใจสงบ และยังสร้างทัศนคติที่ดีให้แก่ตัวเอง
                                                                                      • เล่นกีฬา หรือ ออกกำลังกาย เมื่อเราได้ออกแรงร่างกายจะหลั่ง Endorphin (เอ็นดอร์ฟิน) หรือฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา ยิ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

                                                                                    acne

                                                                                    หรือหาวิธีจัดการกับเจ้า “สิวตัวร้าย” ก่อนวันสำคัญ

                                                                                    วันสำคัญทั้งทีก็อดไม่ได้ที่จะเครียดหรือตื่นเต้น ในเมื่อจัดการกับความเครียดไม่ได้ ก็ต้องจัดการเจ้าสิวตัวร้ายให้อยู่หมัด อย่าให้โผล่มาทักทายในวันสำคัญ

                                                                                    ยารักษาสิว ซึ่งมีอยู่มากมายในท้องตลาด หรือแพทย์สั่งจ่ายยาเพื่อรักษาอาการโดยเฉพาะ ซึ่งมีทั้งแบบที่เป็นยาปฏิชีวนะ  ยาที่มีอนุพันธ์ของวิตามินเอ หรือยารักษาสิวที่มีสารสกัดมาจากธรรมชาติ มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ลดอาการอักเสบของสิว ป้องกันการเกิดสิวใหม่ หรือช่วยในการรักษารอยแผลหลังสิวหาย

                                                                                    การรักษาโดยการกด หรือฉีดสิว เป็นการรักษาสิวอีกวิธีหนึ่งซึ่งต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ การกดสิวเหมาะกับการกำจัดสิวอุดตัน ทั้งหัวขาวและหัวดำ และอาจใช้ยาละลายหัวสิวร่วมกับการกดสิวด้วย ส่วนการฉีดสิวเหมาะกับการรักษาสิวอักเสบ ทั้งแบบไม่มีหัว สิวหนอง สิวหัวช้าง เพื่อลดอาการอักเสบและบวมแดง ทำให้สิวยุบตัวได้

                                                                                    การรักษาสิวด้วยเลเซอร์ เป็นวิธีที่นิยมกันอย่างมากในปัจจุบัน เพราะเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้เวลาน้อย และเห็นผลลัพธ์ชัดเจน และนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาสิวแล้ว ยังช่วยในการรักษาร่องรอยจากสิวด้วย

                                                                                    acne

                                                                                    วิธีป้องกัน “สิวตัวร้าย” แบบง่ายๆ ต้องทำให้ได้นะ

                                                                                      1. ล้างหน้าให้สะอาด เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน หรือเหมาะกับผู้ที่เป็นสิว
                                                                                      2. อย่าใช้มือสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ และงดการ แคะแกะ หรือบีบสิวเอง จะทำให้สิวยิ่งอักเสบมากขึ้น
                                                                                      3. หาวิธีผ่อนคลาย ไม่ให้เกิดความเครียด เพราะเมื่อยิ่งเครียดจะยิ่งเป็นการกระตุ้นสิว
                                                                                      4. หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหากไม่จำเป็น เพื่อให้ผิวหน้าได้พัก
                                                                                      5. ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยทำให้ผิวสดใสมากขึ้น
                                                                                      6. เลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ และหลีกเลี่ยงอาหารที่ยิ่งกระตุ้นให้ผิวอักเสบ หรือผลิตน้ำมันมาก

                                                                                    หรือมาให้รมย์รวินท์คลินิกช่วยจัดการด้วย Ac Clear ที่ช่วยเคลียร์ปัญหาสิวบนใบหน้า ให้หน้าใสด้วย 5 ขั้นตอนการรักษาดูแล

                                                                                      • กดสิว เริ่มต้นเคลียร์ใบหน้าด้วยการกด ทั้งสิวอุดตัน สิวหัวดำ สิวหัวขาว
                                                                                      • ฉีดสิว ลดการอักเสบของสิว และลดโอกาสการเกิดสิวใหม่
                                                                                      • ทรีตเมนต์ ผลักตัวยาสิวลงสู่ผิว ลดการอักเสบของสิว และบำรุงผิวให้กระจ่างใส
                                                                                      • มาสก์หน้า เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ช่วยให้ผิวผ่อนคลาย หน้ากระจ่างใส
                                                                                      • เลเซอร์ ช่วยลดความันบนใบหน้า กระชับรูขุมขน ลดรอยที่เกิดจากการกดสิว

                                                                                    ด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปีของรมย์รวินท์คลินิก พร้อมดูแลความสวยให้คุณทั้ง 28 สาขาทั่วประเทศ ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด สวยได้ใกล้บ้านคุณ 

                                                                                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                      วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                                      มองทางไหนก็เจอ PM 2.5 แล้วผิวเราจะเป็นอย่างไร ?

                                                                                      PM 2.5

                                                                                      ‘PM 2.5’ มลพิษตัวร้ายบ่อนทำลายผิวสวยที่เรารัก !

                                                                                      ตื่นขึ้นมายามเช้ามองออกไปนอกหน้าต่างนึกว่าหมอกลง แต่ที่ไหนได้กลายเป็นฝุ่น ‘PM 2.5’ ล้วน ๆ ! จากช่วงที่ผ่าน ๆ มาประเทศไทยก็ยังคงประสบกับปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ปะปนอยู่ในอากาศและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนเรา ไม่เพียงเท่านั้นนอกจากเรื่องของสุขภาพแล้วฝุ่น PM 2.5 ยังสะเทือนไปถึงด้วยความสวยของเราด้วย !

                                                                                      จากงานวิจัยของทางคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้มีการอธิบายถึงผลกระทบของ PM 2.5 ที่มีต่อผิวพรรณ โดยฝุ่นละออง PM 2.5 มีความสามารถในการทำลายเซลล์ผิวหนังกำพร้าของคนเรา และทำลายโปรตีน Filaggrin ที่มีหน้าที่ช่วยป้องกันผิวหนัง จนทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ตามมา ยิ่งเป็นคนผิวแพ้ง่ายยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ ! ฝุ่น PM 2.5 นี่มันแสบจริง ๆ !

                                                                                      PM 2.5 ทำร้ายผิวของเราไปแค่ไหนแล้ว

                                                                                      PM 2.5 ทำร้ายผิว

                                                                                      ละอองฝุ่นขนาดเล็กกก.. เพียง 2.5 ไมครอน กลับกลายเป็นภัยร้ายที่สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพกายและผิวพรรณ งานนี้จะเรียกว่าเล็กพริกขี้หนูก็คงไม่ผิดนัก เพราะนอกจากการสูดเข้าไปผ่านระบบหายใจจะทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็งปอดแล้ว การสัมผัสฝุ่นละออง PM 2.5 ในอากาศเป็นประจำยังส่งผลกระทบต่อผิวระยะยาว

                                                                                      หากเราต้องเจอกับฝุ่น PM 2.5 เป็นประจำ ผลเสียที่เกิดขึ้นกับผิวของเราจะออกมาเป็นแบบไหนบ้าง มาดูกัน !

                                                                                        1. ผิวหนังเกิดการอักเสบ : อ้างอิงจากงานวิจัยของประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ระบุไว้ว่า ‘ฝุ่น PM 2.5 เพียง 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรมาสัมผัสกับผิวหนังก็สามารถเกิดการอักเสบได้แล้ว’ ยิ่งเป็นคนผิวแพ้ง่ายยิ่งมีโอกาสอักเสบง่าย
                                                                                        2. สิวเห่อ สิวขึ้นไม่พัก ! : สมการผิวหน้ามัน + ฝุ่น PM 2.5 = พัง คือไม่เกินจริงเลย เพราะฝุ่น PM 2.5 จะยิ่งกระตุ้นให้ผิวที่มันอยู่แล้วเสี่ยงต่อการอุดตัน จนเกิดเป็นสิวเห่อลามไปทั่วใบหน้า
                                                                                        3. กระตุ้นการทำงานของเม็ดสีเมลานิน : PM 2.5 ส่งผลให้เม็ดสีทำงานมากกว่าปกติ จนเกิดเป็นรอยฝ้า กระ และจุดด่างดำต่าง ๆ
                                                                                        4. ผิวสูญเสียคอลลาเจน : PM 2.5 ยังคอยทำลายโครงสร้างผิวและคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิว ทำให้ผิวเกิดการหมองคล้ำ เกิดริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย

                                                                                      แชร์เคล็ดลับสวยท้าฝุ่น PM 2.5 ! จะกี่ไมครอนก็ไม่แคร์ !

                                                                                      ผิวแพ้ฝุ่น PM 2.5

                                                                                      เพราะความสวยมักมีอุปสรรค์อยู่เสมอ รมย์รวินท์จึงขอมาแชร์ทริคการดูแลตัวเอง ยกระดับความงาม ไม่ว่าสภาพอากาศจะแดงเดือดขนาดไหน เราจะจับมือสวยไปด้วยกัน ! บอกเลยว่าเคล็ดลับที่นำมาฝากในวันนี้ทำถึงแน่นอน เพราะเป็นเคล็ดลับการดูแลผิวในช่วง PM 2.5 ที่สามารถทำตามได้เลยไม่ยาก ถ้าพร้อมแล้วมาดูทริคแต่ละข้อไปพร้อม ๆ กันเลย !

                                                                                        1. ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสูตรอ่อนโยนเป็นประจำ วิธีนี้จะช่วยชำระล้างสิ่งสกปรก และฝุ่น PM 2.5 ที่ติดอยู่บนผิวออกไปจนหมด โดยอาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประเภท Cleansing oil ร่วมด้วยเพื่อผิวที่สะอาดหมดจด
                                                                                        2. คอยบำรุงผิวด้วยครีมบำรุงและมอยเจอไรเซอร์ยู่เสมอ โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว และทาครีมกันแดดที่ช่วยป้องกันผิวจากแดดและมลภาวะต่าง ๆ อยู่เสมอ
                                                                                        3. เลือกสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดผิวมิดชิด ก็จะช่วยป้องกันให้ผิวของเราไม่สัมผัสกับฝุ่น PM 2.5 โดยตรง อาจเลือกเป็นผ้าคลุมบาง ๆ มาปกปิดผิว จะได้ไม่ร้อนจนเกินไปเวลาเจอกับสภาพอากาศประเทศไทย
                                                                                        4. รักษาสุขภาพและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิว โดยการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย  ดื่มน้ำเปล่าสะอาดให้เพียงพอกับความต้องการอย่างน้อย 8 แก้ว เป็นประจำ ก็จะช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาสุขภาพดี ชุ่มชื้น และลดอาการอักเสบลง อีกทั้งยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายด้วย

                                                                                      นอกจากดูแลผิวเองแล้ว หัตถการก็ช่วยกู้ผิวเสียจาก PM 2.5 ได้ !

                                                                                      หากเคล็ดลับการดูแลตัวเองรับฝุ่นยังไม่พออ… รมย์รวินท์คลินิกจัดให้ ! ด้วยสูตรลับต้นตำรับจากชาวรมย์รวินท์ โดยทางรมย์รวินท์ คลินิกมาพร้อมกับหัตถการทางเลือกมากมายที่ครอบคลุมทุกปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวหย่อนคล้อย หรือผิวแห้งเสียมีริ้วรอย ก็สามารถรักษาได้ โดยทางคลินิกมีประสบการณ์คอยกำกับดูแลเคสต่าง ๆ รวมถึงเทคโนโลยีเครื่องมือหัตถการที่มีความทันสมัย

                                                                                      การมาพบแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิกจึงเหมาะสำหรับคนที่เจอฝุ่น PM 2.5 ทำร้ายผิวมาตลอด และต้องการวิธีบำรุงผิวให้กลับมาสุขภาพดีอย่างรวดเร็ว

                                                                                      หลังจากนี้แนะนำให้จดโพยเลยนะ ! เพราะรมย์รวินท์จะมาแนะนำหัตถการที่ช่วยจบปัญหาผิวจาก PM 2.5 ส่วนหัตถการที่แนะนำจะปังจริงหรือเปล่า ก็ต้องมาทดสอบผลลัพธ์ที่รมย์รวินท์คลินิกแล้วแหละ !

                                                                                      Radiesse Biostimulator ที่มีส่วนประกอบของ CaHA (Calcium Hydroxylapatite) ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวด้วยการเติมความชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอย บอกลาปัญหาสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ อันมีสาเหตุมาจากแสงแดดและมลภาวะฝุ่น PM 2.5 ทำให้ผิวกลับมาสวยดังเดิม

                                                                                      Rejuran : เติมสารสกัดที่เป็นประโยชน์ต่อผิวพรรณด้วย Program Rejuran ช่วยเติมความชุ่มชื้น บำรุงผิวออกมาเรียบเนียน สวย สุขภาพดี ไม่ว่าจะเจอ PM 2.5 ทำร้ายมามากแค่ไหนก็กลับมามีผิวที่ดีด้วย Rejuran

                                                                                      P-White : ทรีตเมนต์ทางเลือกช่วยเติมวิตามิน ช่วยทำให้ผิวกระจ่างใส หน้าไบร์ท ลดรอยความหม่นหมอง อันมีสาเหตุมาจากฝุ่น PM 2.5 และมลภาวะต่าง ๆ ที่มาสัมผัสกับผิว

                                                                                      AC CLEAR II : ถึงคราวบอกลาสิวเห่อจาก PM 2.5 แล้วกับ 4 ขั้นตอนรักษาสิว เพียง กด – ฉีด – ทรีตเมนต์ – เลเซอร์ สิวที่เคยอุดตันจากมลภาวะและรอยสิวต่าง ๆ ก็จะเริ่มจางจนหายไป

                                                                                      และแน่นอนว่าที่รมย์รวินท์ คลินิก ยังมีหัตถการอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็น EMFACE, Sylfirm x Plus, หรือ Oligio หากสนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดและขอคำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาผิวได้ที่รมย์รวินท์ คลินิก ทั้ง 28 สาขาใกล้บ้าน

                                                                                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                                        วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                                        เผยเคล็ดลับหล่อออร่าจับแบบฉบับ มีน นิชคุณ

                                                                                        มีน นิชคุณ

                                                                                        เผยเคล็ดลับหล่อออร่าจับแบบฉบับ มีน นิชคุณเรื่องเล็กน้อยที่แฟนคลับน้องมีนไม่ควรพลาด

                                                                                        หนุ่มหล่อหน้าขาวใส ตัวสูงโปร่ง ดูสะอาดสะอ้าน ที่กำลังเป็นที่กรี๊ดกร๊าดและกำลังอยู่ในกระแสแบบสุดๆในพ.ศ. นี้ ไหนจะฝีมือการแสดงที่นับวันยิ่งเจิดจรัสสู้จอในทุกบทบาท งานนี้แม่ยกสาวน้อยสาวใหญ่แทบอดใจไม่ไหว ไม่ว่าจะไปงานอีเวนต์ที่ไหนก็ต้องแห่แหนกันไปให้กำลังใจ หนุ่ม มีน นิชคุณ ขจรบริรักษ์ เจ้าของดีกรีนักแสดงรุ่นใหม่ และยังเป็นนักกีฬาบาสเกตบอล ที่ไม่ว่าจะลงสนามไหน สาวก็กรี๊ดไม่หยุดแบบฉุดไม่อยู่ 

                                                                                        มีน นิชคุณ


                                                                                        มีน นิชคุณ

                                                                                        เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงและถูกพูดถึงในด้านความหล่อผิวดี ดูสะอาด ใบหน้าขาวผ่อง มาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักกีฬาที่เหงื่อท่วมตัวแล้ว จนตอนนี้มีเช็กลิสต์เป็นพระเอกหนุ่มดาวรุ่งของช่อง ยิ่งดูขาว ใส ผ่องมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าจนแม่ยกทั้งหลายแทบจะต้องใส่แว่นกันแดดเพราะแทบจะมองหนุ่มมีนด้วยตาเปล่าไม่ไหว 

                                                                                        มีน นิชคุณ


                                                                                        มีน นิชคุณ

                                                                                        ส่วนเคล็ดลับความหล่อออร่ากระจายของหนุ่มมีน เจ้าตัวบอกว่าไม่ยากเลย ใครๆก็ทำได้เพราะเป็นเรื่องง่ายๆในชีวิตประจำวันเท่านั้น คือนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอต่อที่ร่างกายต้องการ หรือหากทำไม่ได้จริงๆขอให้นอนหลับ 5-6 ชั่วโมงต่อวันเป็นอย่างต่ำ การดูแลใบหน้า ก็ให้ทำความสะอาดใบหน้าให้ดีทาครีมบำรุงผิว และดูแลตามสมควรในช่วงที่พอจะมีเวลา การออกกำลังกายก็สำคัญ  หนุ่มมีนมีดีกรีเป็นถึงหนุ่มหล่อนักกีฬาบาสเกตบอล การออกกำลังกายมีส่วนในเรื่องของการทำให้ผิวดีเนื่องจากการออกกำลังกายนั้นทำให้เลือดลมและออกซิเจนในร่างกายสูบฉีดดี จึงส่งผลออกมาถึงผิวกายภายนอกอย่างเห็นได้ชัด

                                                                                        มีน นิชคุณ


                                                                                        มีน นิชคุณ

                                                                                        ที่สำคัญอาหารการกินที่ดีก็ส่งผลต่อผิวพรรณและออร่าของหนุ่มมีนเช่นกัน หนุ่มมีบอกว่าให้เลือกรับประทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ให้มากๆถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ชอบทานผัก ก็ต้องหาอย่างอื่นมาทดแทนเพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน ไม่เพียงแค่นั้น การมีสุขภาพจิตที่ดีก็ส่งผลออกมาถึงภายนอกเช่นกันเจ้าตัวเลยชอบทำให้ตัวเองมีอารมณ์ที่ดี ด้วยการออกไปท่องเที่ยว ดูสัตว์ หรือเล่นกับสัตว์เลี้ยงของเขาตลอดที่มีเวลา เพื่อให้ดีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ 

                                                                                        มีน นิชคุณ


                                                                                        มีน นิชคุณ

                                                                                        เพียงแค่นี้ก็ทำให้หนุ่มมีสุดหล่อของเหล่าแม่ยกมีใบหน้าที่ขาว ใส ผ่อง ผิวดี แบบที่เห็นแล้ว ซึ่งเคล็ดลับทั้งหมดที่หนุ่มมีน บอกกับเรานั้นเป็นสิ่งที่เราสามารถทำตามได้ไม่ยากแต่น้อยคนนักที่จะทำได้ เพียงแค่เรามีวินัย ใส่ใจ และตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจนแค่นี้สาวๆก็สามารถเป็นแม่ยกเป็นแฟนคลับที่มีผิวสวยขาวใส ไปแข่งกับหนุ่มมีนได้แล้ว และหนุ่มมีนเองก็น่าจะมีความสุขมากๆที่มีแฟนคลับสวยโดยที่ได้แรงบันดาลใจและทำตามเคล็ดลับของหนุ่มมีน จริงไหมหละคะ

                                                                                        มีน นิชคุณ


                                                                                        มีน นิชคุณ

                                                                                        อย่าลืมนำเอาเคล็ดไม่ลับตามแบบฉบับขาวออร่าจับของหนุ่มมีนไปทำตามกันเยอะๆนะคะ สูตรนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็สามารถทำได้ ไม่ใช่ได้แค่ผิวดีด้วย สุขภาพดีและรูปร่างดีก็จะตามมาติดๆถ้าเราทำได้อย่างหนุ่มมีน

                                                                                        ไร้ขนทุกมุมมอง laser “กำจัดขน” ให้ผิวเนียนใส บอกลาหนังไก่ได้เลย

                                                                                        laser

                                                                                        ไร้ขนทุกมุมมอง laser “กำจัดขน”

                                                                                        สาวๆ ทุกคนไม่ว่าใครก็อยากมีวงแขนที่เนียนเรียบ แม้ว่า “ขนรักแร้” จะเป็นสิ่งเกิดขึ้นและมีมาตามธรรมชาติบางคนมองเป็นเรื่องธรรมดา บางคน เป็นเรื่องที่กังวล และ หนักใจอยู่ไม่น้อย จนต้องหาวิธีกำจัดขน ปัญหาเจ้าขนรักแร้ ที่พร้อมที่จะโพล่ขึ้นมาทักทายเราตลอดเวลา เผลอหน่อยเดียว อ้าวมาอีกแล้ว อยากใส่แต่เสื้อเกาะอก สายเดี่ยว แขนกุด โชว์ไหล่สวย ๆ ซะหน่อย เป็นอันจบ หากไม่ได้กำจัดขนนี้ออกไป

                                                                                        หลายคนคงมีประสบการณ์ ขนแขนสแตนด์อัพ ก็ทำการกำจัดขน ด้วยการโกน ถอน แว็กซ์ ผ่านกันมาแล้วทั้งนั้น วิธีการกำจัดขนที่ว่ามานี้ขนจะขึ้นมาเป็นตอเร็วมาก ๆ แถมยังดำคล้ำไม่เรียบเนียน เป็นหนังไก่ให้ปวดใจกันถ้วนหน้า แต่ไม่ต้องกังวลใจไป ปัจจุบัน ตามคลินิก หรือ ศูนย์บริการความงามมีให้บริการหลากหลาย ลองเปลี่ยนวิธีมาทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ดูสิ ซึ่งมั่นใจได้เลยสามารถกำจัดขนได้อย่างถาวร แถมบางที่ก็มีโปรรักแร้ขาวกลิ่นตัวแรง ใต้วงแขนดำ ได้อีกด้วยนะ วงในการบิวตี้ เค้ามีบริการครบครัน เผื่อผิวใต้ววงแขนของเราจะได้ขาวเนียนใส ไร้ปัญหาขนดกมากวนใจ

                                                                                        การทำงานของเลเซอร์

                                                                                        การใช้เลเซอร์ เป็นวิธีกำจัดขนโดยแสงเลเซอร์ โดยลำแสงจะเข้าไปจับกับเม็ดสี ของขนในระยะที่ขนกำลังเจริญเติบโต วิธีนี้มีข้อดีคือไม่เจ็บ การใช้เลเซอร์สามารถกำจัดขนได้ 70-90 % ในครั้งแรก ๆ และหลังจากทำซ้ำหลาย ๆครั้ง ขนที่เหลือเส้นขนจะเล็กลง บางลง สีจางลง และการงอกมาใหม่ช้าลง โดยทั่วไปเส้นขนที่ถูกทำลายได้ดีมีทั้งหมด 3 ระยะ ซึ่งระยะที่โตเต็มจะได้ผลดีที่สุด การทำเลเซอร์กำจัดขนควรทำต่อเนื่องกัน 3-6 ครั้ง ขึ้นไป ขนจึงจะค่อยลดลงอย่างเห็นได้ชัด

                                                                                        คลินิค หรือ ศูนย์บริการความงาม นอกจากการทำเลเซอร์กำจัดขนแล้ว ยังมีโปรแกรม ที่น่าสนใจอีก ที่สามามรถจัดการกับผิวใต้วงแขน ให้เรียบเนียนสวยที่อยากแนะนำ นอกจากการทำเลเซอร์กำจัดขน เพื่อเผยผิวสวย เปิดผิวใสใต้วงแขนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

                                                                                        การทำเลเซอร์ลดเหงื่อใต้วงแขน

                                                                                        การที่คนเรามีเหงื่อใต้วงแขนมาก ๆ สามารถทำให้มีกลิ่นตัวแรง การทำเลเซอร์เพื่อลดเหงื่อใต้วงแขนสามารถทำได้เช่นกัน

                                                                                        การรักษาใช้จำนวนครั้งในการรักษาน้อย 1-2 ครั้ง ก็เห็นผล และผลที่ได้คงอยู่ถาวร หลังการรักษาจะมีแผลเล็กๆ ขนาดประมาณ 3-5 มม. บริเวณใต้วงแขน ซึ่งแผลจะจางหายไปได้เอง และอาจมีอาการบวมหลังการรักษาได้บ้าง การรักษาจะเริ่มเห็นผลหลังการรักษาไปแล้วประมาณ1-2 เดือน ตรงนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลนะค่ะ

                                                                                        การฉีดโบลดเหงื่อ

                                                                                        การฉีดโบเพื่อลดเหงื่อ การรักษาจะไม่มีแผลใดๆ หลังการรักษา และเริ่มเห็นผลหลังการรักษาภายใน1-2 สัปดาห์ การรักษาแต่ละครั้งนั้น ผลการรักษาจะคงอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน

                                                                                        การลดรอยคล้ำบริเวณผิวใต้วงแขน

                                                                                        วิธีการนี้ เป็นการรักษาด้วย Whitening laser ซึ่งเป็นการใช้เลเซอร์ปรับเม็ดสี เวลาทำการรักษาจะรู้สึกอุ่นๆ บริเวณผิวนิดหน่อย ซึ่งสำหรับปัญหารักแร้หมองคล้ำอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การแพ้โรลออน การโกน การถอน การแว๊กซ์ หรือ จากฮอร์โมนเพศของแต่ละคน

                                                                                        image003 84

                                                                                        การทำทรีตเมนท์ลดรอยคล้ำ

                                                                                        การทำทรีทเมนท์ ลดรอยคล้ำใต้วงแขน วิธีนี้เป็นการรักษา รอยด่างดำ รอยหมองคล้ำ นอกจากนี้ยังเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว จึงช่วยให้ผิวเนียบเรียบขึ้น เต่งตึง เพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิว สามารถโชว์ผิวใต้วงแขนได้อย่างมั่นใจ

                                                                                        สาเหตุของการที่มีขนใต้วงแขนนั้น มีปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบด้วย เช่น พันธุกรรม ,ฮอร์โมน ,การรับประทานยา หรือวิตามิน บางตัว ก็อาจมีผลต่อการเกิดขึ้น และเจริญเติบโตของเส้นขน ที่มากน้อยแตกต่างกันไป การทำเลเซอร์กำจัดขนนั้นสามารถทำลายรากขน ได้ 70-90 % ก็จริง แต่ต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง 3 – 6 ครั้งขึ้นไปเพื่อให้ได้ผลลัพธ์การกำจัดขนเป็นที่น่าพึงพอใจ ก่อนเข้ารับบริการรักษาควรงดการถอนหรือแวกซ์ ประมาณ  3-8 วัน  แต่สามารถโกนได้ แต่ให้เส้นขนขึ้นมาให้เต็มที่ก่อน เพื่อการรักษาที่เห็นผลได้ชัดเจน  เพราะทำให้รู้ปริมาณเส้นขนทั้งหมดที่ขึ้นอยู่ในบริเวณพื้นที่ ที่ต้องการกำจัดขนออกไป และที่สำคัญการทำการรักษาควรได้รับการดูแลจากแพทย์ ที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรงนะค่ะ

                                                                                        รอยสิวเก่าไป รอยสิวใหม่มา “รักษาสิว” กับ Nupico ช่วยปรับผิวให้เนียนเรียบขึ้น

                                                                                        Nupico

                                                                                        สำหรับคนที่เคยรักษาสิวมาแล้ว มีหลายคนไม่น้อยที่ต้องเจอปัญหาสิวอักเสบเรื้อรัง สิวดื้อยา เคยรักษาแล้วไม่หายหาดสักที ซ้ำร้ายยังฝากร่องรอยจากสิวให้ปวดใจ ไม่ว่าจะเป็นผิวหลุมโลกพระจันทร์ จุดด่างดำ เก่าไปใหม่มาไม่รู้จบ สารพัดสารเพใช้แนวทางการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ หลากหลายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของเราได้

                                                                                        รู้ไหม รมย์รวินท์ คลินิค มีทางเลือกใหม่สำหรับการรักษาสิว ด้วย NuPicoLaser เทคโนโลยีน้องใหม่ มาให้บริการด้านความงามที่ถูกออกแบบมาเพื่อการดูแล ปรนนิบัติผิวโดยเฉพาะ เพราะการรักษาผิวไม่ใช่การรักษาแค่เพียงภายนอกเท่านั้น การรักษานั้นต้องเริ่มตั้งแต่ภายในมาสู่ภายนอก จึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่ผิวจะต้องถูกฟื้นฟูสุขภาพผิวภายในควบคู่กับการฟื้นฟูบำรุงผิวภายนอก เพื่อแก้ไขปัญหาผิวให้หายไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ

                                                                                        NuPico คืออะไร

                                                                                        NuPico Laser คือ นวัตกรรมใหม่ ในการใช้เลเซอร์รักษาผิว ช่วยในการรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ ลบรอยสัก ปรับสีผิวให้กระจ่างใส ไร้ริ้วรอย ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวมีความเรียบเนียนขึ้น  เทคโนโลยีของNupico Laser มีระบบการทำงานแบบใช้พลังงานคลื่อนพลังงานที่สูงใช้ระยะเวลาที่สั้นมากในการเข้าไปทำให้เม็ดสีแตกตัวได้อย่างละเอียด

                                                                                        ข้อดี ของ NuPico Laser

                                                                                        • ใช้พลังงานอันสั้น และสูงมาก ทำให้เม็ดสีแตกตัวได้ละเอียด
                                                                                        • ใช้เวลาในการักษาน้อย ช่วยให้ริ้วรอยของผิวจางหายได้เร็วขึ้น
                                                                                        • การรักษาเจ็บน้อย
                                                                                        • ไม่มีผลข้างเคียง หลังการรักษา ไม่เป็นแผล
                                                                                        • ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวขาวกระจ่างใส เรียบเนียนขึ้น

                                                                                        เรื่องของสิวๆ  ไม่ใช่เรื่องกรรม หรือ กรรมพันธุ์ ที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด ต้นเหตุเกิดจากการรักษาไม่ถูกวิธีต่างหาก ส่วนมากจะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ทำให้รักษายังไงไม่หายขาดสักที  วิธีการรักษาอย่างถูกวิธี คือการทำให้ผิวแข็งแรงสุขภาพดี ผิวชุ่มชื่น ผิวระบายอากาศได้ดี ทำให้ไม่มีสิ่งสกปรกอุดตัน หากผิวระบายอากาศไม่ดี จะทำให้เกิดสิ่งสกปรกอุดตันรูขุมขน ทำให้เป็นต้นเหตุของการเกิดสิว ดังนั้นการรักษาให้ผิวหน้าแข็งแรงสุขภาพดี สามารถทำให้สิวหายขาด เป็นการรักษาสิวที่ได้ผลอย่างยั่งยืน  เรื่องของผิว ให้รมย์รวินท์ คลินิค ดูแลนะค่ะ แล้วคุณจะเห็นถึงความต่าง…

                                                                                        ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับวิธีกำจัดขนที่สาวๆต้องรู้

                                                                                        กำจัดขน

                                                                                        สาวๆ ทั้งหลายคงเคยได้ยินได้ฟังถึงคำแนะนำหรือความเชื่อต่างๆ เกี่ยวกับวิธีการกำจัดขนที่ไม่พึงประสงค์มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อยนะคะ ซึ่งจะได้ผลดีหรือผลเสียนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวของสาวๆ เองว่าเมื่อได้ทดลองแล้วเกิดผลอย่างไรบ้าง บางครั้งได้ผลเวิร์คสุดๆ แต่บางครั้งก็กลับส่งผลเสียทำร้ายผิวสวยๆ แถมยังยากต่อการรักษาให้ผิวกลับมาเป็นปกติ มาดูความเชื่อแบบผิดๆ เกี่ยวกับวิธีกำจัดขนที่เราอาจเคยได้ยินมานานหรือความเชื่อแบบบอกต่อโดยไม่สืบค้นหาสาเหตุว่าถูกหรือผิด

                                                                                        เพราะฉะนั้น สาวๆ คะหยุดการทำร้ายผิวหนังของคุณกับวิธีการกำจัดขนแบบผิดๆ หรือความเชื่อที่ผิดๆ เกี่ยวกับวิธีการกำจัดขน แล้วมาดูว่าความเชื่อที่คุณเคยได้ยินมานั้นมันจริงเท็จแค่ไหนกันค่ะ

                                                                                        ความเชื่อ: ห้ามสครับผิวก่อนโกนขนเพราะจะเกิดรอยดำ

                                                                                        สาวๆ หลายคนมีความเชื่อที่ว่า ถ้าหากสครับผิวแล้วโกนขนนั้นจะทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบและเกิดรอยดำคล้ำขึ้นได้ เอาเป็นว่าลืมความเชื่อเดิมๆ ไปได้แล้วค่ะ ลองหันมาสครับผิวก่อนการโกนขน หรือกำจัดขนเพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่ตายแล้วออกไปซึ่งเซลล์ผิวเก่านี้อาจปะปนและติดอยู่กับเส้นขน และช่วยทำให้เส้นขนชี้ขึ้นและโกนออกได้ง่ายขึ้น หากโกนขนโดยที่ไม่ได้สครับผิวก่อน อาจทำให้เกิดขนคุด หรือรูขุมขนอักเสบได้ค่ะ

                                                                                        shutterstock 492500941

                                                                                        ความเชื่อ: ต้องโกนย้อนแนวขนผิวจะเนียนเรียบ

                                                                                        เชื่อว่าสาวๆ กว่า 50% นิยมกำจัดขนด้วยวิธีการโกนย้อนแนวขนขึ้นไป เพราะสามารถกำจัดขนได้เกลี้ยงเกลาเนียนเรียบกว่าการโกนตามแนวขน แต่ผลเสียที่ตามมานั้นทำให้สาวๆ ต้องรู้สึกผิดและเลิกการโกนแบบย้อนแนวขนไปเลยค่ะ เพราะผิวหนังบริเวณที่ถูกโกนเสี่ยงต่อการถูกมีดบาดได้ง่าย อีกทั้งยังส่งผลให้ผิวหนังและรูขุมขนเกิดการระคายเคือง ทำให้เกิดขนคุดและสิวตามมาได้ค่ะ

                                                                                         

                                                                                        ความเชื่อ: การกำจัดขนด้วยเลเซอร์มันเจ็บมากนะ

                                                                                        หลายคนยังฝังความเชื่อที่ว่าการกำจัดขนด้วยเลเซอร์เป็นวิธีที่เจ็บมากๆ หากต้องกำจัดขนด้วยวิธีนี้ต้องโบกยาชาเข้าช่วยลดความรู้สึกเจ็บก่อนทำ อย่างไรก็ตาม ความเจ็บนั้นก็ขึ้นอยู่กับความไวต่อการกระตุ้นของแต่ละคน อีกทั้งนวัตกรรมการกำจัดขนด้วยเลเซอร์สมัยใหม่นั้นคุณจะสัมผัสได้ถึงความร้อนเพียงเล็กน้อย หรือความรู้สึกเจ็บอาจกลายเป็นศูนย์ไปเลย ทางที่ดีต้องไปสัมผัสด้วยตัวของคุณเองค่ะ คล้ายกับสำนวนที่ว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าทดลองทำ คุณว่าจริงมั้ยคะ …

                                                                                        หากอยากศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำจัดขนด้วยเลเซอร์ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ เลเซอร์กำจัดขน

                                                                                         

                                                                                        ความเชื่อ: ห้ามทำบิกินีแว็กซ์ระหว่างมีประจำเดือน

                                                                                        จริงๆ แล้วเราสามารถกำจัดขนบริเวณนั้นด้วยวิธีทำบิกินีแว็กซ์ในช่วงมีประจำเดือนได้ค่ะ แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าผิวหนังระคายเคืองง่ายช่วงมีประจำเดือน ก็ควรเลี่ยงการแว็กซ์ขนไปก่อน แล้วรอให้ผิวหนังกลับมาเป็นปกติจึงค่อยกำจัดขนด้วยการแว็กซ์ค่ะ

                                                                                        shutterstock 198459449

                                                                                        ผลเสียของการกำจัดขนแบบผิดๆ

                                                                                        เกิดขนคุด เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนด้วยโปรตีนที่ชื่อว่า Keratin (เคอราติน) ทำให้ผิวบริเวณที่มีขนนั้นมีชั้นผิวที่หนาขึ้น ส่งผลให้ขนที่งอกใหม่ไม่สามารถแทงทะลุผิวหนังได้ ขนจึงงอกยาวขึ้นและม้วนงออยู่ใต้ชั้นผิว ดันให้ผิวบริเวณนั้นเป็นตุ่มขึ้น มีลักษณะเป็นจุดดำๆ เล็กๆ ขึ้นตามรูขุมขนทำให้ผิวหนังดูสากคล้ายหนังไก่ มักพบในผู้ที่มีผิวแห้งมากกว่าผิวมัน

                                                                                        รูขุมขนอักเสบ เกิดจากการระคายเคืองที่รูขุมขนซึ่งเป็นผลจากการถอนหรือโกนเพื่อกำจัดขนเป็นประจำ เป็นสาเหตุที่ทำให้รูขุมขนอักเสบตามมาได้

                                                                                        จุดด่างดำตามร่างกาย มีลักษณะเป็นจุดแบนสีแดงจนถึงสีน้ำตาลเข้ม สาเหตุเกิดจากการอับเสบของผิวหนังเกิดจากการกำจัดขนด้วยวิธีการโกน แม้ว่าจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่ก็สร้างความกวนใจให้สาวๆ ไม่น้อย

                                                                                        เกิดรอยแผลเป็น การกำจัดขนด้วยวิธีโกน ถอน หรือใช้ครีมกำจัดขนบ่อยครั้ง อาจเกิดการอักเสบขึ้นและเกิดรอยแผลเป็นจากขนคุด หรือรอยแผลเป็นจากการแพ้ผื่นคันของครีมหรือเจลกำจัดขนได้ ซึ่งหากดูแลรักษาไม่ดีก็อาจส่งผลกระทบกับชั้นผิวภายนอกในระยะยาวได้ค่ะ

                                                                                        จบปัญหาขน “กำจัดขน” ลงลึกถึงราก ปราบทุกเส้น โชว์ผิวได้ดั่งใจ

                                                                                        กำจัดขน

                                                                                        หลายคนคงต้องประสบ พบกับปัญหาขนตามร่างกาย กันอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะขนหน้าแข้งเอย ขนรักแร้ก็ดี ขนตรงจุดซ่อนเร้นก็ใช่ บางคนก็ดกดำเงางามซะเหลือเกิน แถมบางคนยังเป็นที่น่าเจ็บใจ ตรงที่อยากให้ดกกลับไม่ดก แต่ตรงที่ไม่อยากให้มีกลับขึ้นมาดีจังใช่มัยค่ะ

                                                                                        สาว ๆ จึงต้องมองหาวิธีการ กำจัดขน ในแบบต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ผ่านวิธีการ กำจัดขน มาหลายรูปแบบ แต่ยังไงไอ้เจ้าขนนี่ ก็ยังขยันขึ้นมาไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะถอน โกน แว็กซ์ ฯลฯ สารพัดวิธี มันก็ได้ผลแค่ขนหลุดล่วงออกไป แต่สิ่งที่คงอยู่กับการกำจัดขนแบบนี้ก็คือ ผิวเป็นรอยดำ หรือเป็นผิวหนังไก่ เกิดขนขด ขนคุด ทำให้ไม่น่ามองเอาเสียเลย ทำให้ขาดความมั่นใจ ไม่กล้าเปิดเผยผิวให้คนอื่นได้เห็น

                                                                                        ปัจจุบัน มีวิธี กำจัดขน ที่ให้ผลถาวร ผิวเกลี้ยงเกลา จบปัญหาผิวที่ไม่สวยงาม โดยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยวิธี Laser เพื่อจี้ทำลายรากขนปราบลึกถึกรากถึงโคนการกำจัดขน ด้วยเลเซอร์ ถึงจะเป็นนวัตกรรม กำจัดขนน้องใหม่ และกระแสความนิยมกำลังเพิ่มมากขึ้น เพราะการทำเลเซอร์กำจัดขน ไม่ได้หมายถึง การกำจัดขนรักแร้ เพียงอย่างเดียว แต่การทำเลเซอร์ยังช่วยกำจัด ปัญหาขนตามร่างกาย ไม่ว่า “ขนที่ขา” หรือ ขนในที่ลับ หรือบริเวณอื่น ๆ ที่อยากกำจัด ก็สามารถกำจัดขนออกไปด้วยเลเซอร์ได้ และผลลัพธ์ที่ได้มานั้นถือว่าคุ้มค่ามากๆ ใครที่กำลังมองหาวิธีกำจัดขนอยู่ อยากให้ผิวกลับมาเนียนสวย ไร้ขน แนะนำเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้ประสิทธิภาพ พร้อมความปลอดภัยไร้กังวล

                                                                                        หลักการทำงานเลเซอร์กำจัดขน

                                                                                        ด้วยประสิทธิภาพของ เลเซอร์กำจัดขน จะทำงานโดยส่งผ่านพลังงานเลเซอร์ผ่านเข้าผิวหนังไปทำลายรากขน โดยอาศัยหลักการเลือกจับกับเฉพาะเม็ดสีหรือเมลานินในขนเท่านั้น จากนั้นพลังงานเลเซอร์ก็จะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน และส่งผลทำลายเส้นขนตลอดจนรากขนซึ่งเป็นตัวการสร้างขนให้ขึ้นมาใหม่ ด้วยกระบวนการดังกล่าวจะพบว่าเพียงแค่การทำไม่กี่ครั้ง ขนในบริเวณที่ทำการรักษากำจัดขน จะลดลง ขึ้นช้าลง เส้นเล็กลง และบางลงอย่างเห็นได้ชัด

                                                                                        การเตรียมตัวก่อนกำจัดขน

                                                                                        สำหรับการเตรียมตัวก่อนการ กำจัดขนด้วยเลเซอร์นั้น ไม่มีขั้นตอนอะไรที่ยุ่งยากเลย โดยปล่อยให้ขนบริเวณที่จะกำจัดนั้นขึ้นมาตามธรรมชาติ ไม่ต้องไปถอนหรือโกนออกให้ขนเติบโตเต็มที่ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อการกำจัดขนที่ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะแพทย์จะได้เห็นปริมาณของเส้นขนที่มีอยู่ตามความเป็นจริง ทำให้ผลการรักษา กำจัดเส้นขนได้หมดทุกเส้น ตรงจุดเห็นผลได้อย่างชัดเจนที่สุด

                                                                                        image003 83

                                                                                        ขั้นตอนกำจัดขน ด้วยเลเซอร์

                                                                                        การกำจัดขน จะเริ่มจากการโกนขนบริเวณที่ทำ ใช้ยาชาทาเพื่อลดความเจ็บขณะทำ หลังจากนั้นรอให้ยาชาออกฤทธิ์ประมาณ 30 นาที หรือมากกว่านั้นเล็กน้อย จึงสามารถทำเลเซอร์ได้ และการทำเลเซอร์ใช้เวลาประมาณ 10-30 นาทีในการกำจัด แต่ทั้งนี้ขึ้นกับขนาดพื้นที่บริเวณที่ต้องการกำจัดขน ขณะที่ทำจะรู้สึกเหมือนถูกดีดเป็นระยะ ๆและรู้สึกวูบวาบใต้ผิว เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการจากนั้นจะทำการประคบเย็นจะช่วยทำให้รู้สึกสบายผิวขึ้นเป็นอันจบกระบวนการรักษา เพื่อการรักษาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และมีประสิทธิภาพ ควรทำซ้ำ 3-6 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งควรห่างกันอย่างน้อย 1 เดือนภายหลังการ กำจัดขน ผิวบริเวณที่ทำเลเซอร์อาจแดงเรื่อ ๆ ประมาณ 1-3 ชั่วโมง แต่จะหายเป็นปกติ มีส่วนน้อยไม่ถึง 1% ที่อาจมีสะเก็ดหรือตุ่มน้ำพองใสซึ่งจะค่อย ๆ หายไปได้เมื่อทายาที่แพทย์จ่ายให้ไป ส่วนการดูแล สามารถปฏิบัติตัวไปตามปกติ เพียงแต่หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด ๆ ประมาณ 2-3 สัปดาห์ หากจำเป็นต้องโดนแดดจริง ๆ ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงมากกว่า 30 PA++ ป้องกันไว้ทุก 1-2 ชั่วโมง ตลอดเวลาที่โดนแดดจัด ๆ

                                                                                        ทีนี้ก็จะได้ผิวเกลี้ยงเกลาไร้ขน จบปัญหาขนได้ดั่งใจ ไม่ต้องมากังวลที่จะต้องคอยสำรวจร่างกาย เมื่อต้องสวมใส่เสื้อสายเดี่ยว แขนกุด อีกต่อไป ชุดไหนๆ ก็มั่นหน้า มั่นใจกันไปเลบ แต่ด้วยเลเซอร์หลายคนเข้าใจว่าการทำเลเซอร์ขนรักแร้ แล้ว รักแร้จะขาวขึ้นด้วย ที่จริงแล้วไม่ถูกซะทีเดียว การทำเลเซอร์นั้นมีส่วนช่วยทำให้ผิวดีขึ้นในระดับหนึ่ง ถ้าต้องการให้รักแร้ขาว นั้นมีขั้นตอนการรักษาอีกแบบหนึ่ง การทำการรักษา กำจัดขน ต้องได้รับคำแนะนำ และปรึกษาแพทย์โดยตรง แต่การทำเลเซอร์อย่างเดียวนั้น ช่วยให้ผิวเนียนขึ้น เกลี้ยงเกลาขึ้น ไม่เป็นหนังไก่ สามารถใส่เกาะอก สายเดี่ยว ยกแขนโชว์ใต้วงแขนได้แบบมั่นๆ กันไปเลย

                                                                                        แชร์วิธีการกำจัดขนแบบปลอดภัย ไร้รอยแผลรอยดำ

                                                                                        กำจัดขน

                                                                                        แชร์วิธีการกำจัดขนแบบปลอดภัย ไร้รอยแผลรอยดำ

                                                                                        เมื่อปัญหาเรื่องของขนมาเป็นอุปสรรคขวางกั้นความสวย บรรดาสาวๆ อย่างเราจึงไม่ยอมจำนนและหาวิธีการกำจัดขนสารพัดรูปแบบ อาทิ ถอน โกน แว็กซ์ ครีมกำจัดขน หรือการใช้นวัตกรรมเลเซอร์ มาช่วยกำจัดขนไม่พึงประสงค์ออกไป ซึ่งแต่ละวิธีการนั้นหากคุณสาวๆ ปฏิบัติไม่ถูกวิธีอาจจะสร้างปัญหาผิวตามมาได้ เช่น ขนคุด สิว รอยแผล รอยดำ ดังนั้น เรามาไขความกระจ่างเกี่ยวกับวิธีการกำจัดขนที่ถูกต้อง แบบปลอดภัยไม่ทิ้งรอยแผลรอย รอยดำให้ช้ำใจค่ะ

                                                                                        การถอน เป็นวิธีกำจัดขนด้วยการใช้แหนบหรือที่ถอนขนดึงเส้นขนออกมาทั้งเส้น มักใช้กำจัดขนเฉพาะส่วนหรือตามบริเวณที่ขนขึ้นไม่มาก การถอนควรดึงเส้นขนบริเวณโคน เพื่อไม่ให้ขาดออกจากกัน และควรเช็ดทำความสะอาดอุปกรณ์ใช้ถอนด้วยแอลกอฮอล์ทั้งก่อนและหลังใช้นะคะเพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ หลังกำจัดขนเราไม่ควรใช้ครีมบำรุงผิวในทันที แต่ควรจะใช้ครีมหลังกำจัดขนโดยเฉพาะ เพื่อลดการระคายเคืองและลดการเกิดขนคุดได้ค่ะ โดยผลลัพธ์หลังการทำจะคงอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ จึงจะมีเส้นขนงอกขึ้นมาใหม่

                                                                                        image003 3

                                                                                        การโกนขน การกำจัดขนด้วยวิธีการโกนนั้นจะได้ผลแค่ในระยะสั้นๆ เท่านั้นค่ะ อีก 2-3 วัน ขนของคุณก็จะงอกขึ้นมาใหม่ ทั้งนี้ ก่อนโกนขนอย่าลืมสครับผิวเบาๆ เพื่อผลัดเซลล์ผิวเก่าออก โดยควรโกนตามแนวขน และให้ผิวบริเวณนั้นเปียกเล็กน้อย เพื่อช่วยให้ขนไม่แข็งจนเกินไปและโกนได้ง่ายขึ้น สำหรับการกำจัดขนบริเวณจุดซ่อนเร้นหรือบริเวณที่ผิวบอบบางนั้นควรใช้ครีมโกนขนร่วมด้วยเพื่อป้องกันการระคายเคือง หลังทำการโกนอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ค่ะ ทางที่ดีหลังจากกำจัดขนคุณอาจจะใช้โจโจ้บาออยล์หรืออาฟเตอร์เชฟเข้ามาช่วยค่ะ

                                                                                        การแว็กซ์ขน เป็นวิธีกำจัดขนที่รวดเร็วและทำให้ผิวหนังเรียบเนียน ขนเส้นใหม่จะงอกภายใน 3-6 สัปดาห์ วิธีนี้ส่งผลให้รูขุมขนอ่อนแอ หากกำจัดขนเป็นประจำอาจมีขนขึ้นน้อยลงและขึ้นช้ากว่าเดิม ทั้งนี้ การแว็กซ์อาจทำให้เกิดตุ่ม รอยแดง และการอักเสบที่ผิวหนังชั่วคราว

                                                                                        image005 2

                                                                                        ซึ่งการแว็กซ์ขนอย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และเจ็บน้อยลงนั้น ควรเลือกแว็กซ์ที่ผ่านการรับรองจาก อย.และเหมาะกับสภาพผิวของตนเองในการกำจัดขน ดังนั้น ควรทดสอบอาการแพ้ทุกครั้งก่อนกำจัดขน โดยทาแว็กซ์บาง ๆ บริเวณข้อพับแขน ข้อมือ ท้องแขน หรือหลัง และหลีกเลี่ยงไม่ให้บริเวณดังกล่าวสัมผัสน้ำหรือเหงื่อประมาณ 48 ชั่วโมง หากไม่เกิดผื่นแดงแสดงว่าไม่มีอาการแพ้ค่ะ

                                                                                        หากมีผิวบอบบางควรใช้แว็กซ์ที่ทำจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น แว็กซ์น้ำตาล แต่ก่อนแว็กซ์กำจัดขนรบกวนเช็คสักนิดนะคะว่าขนสั้นเกินไปหรือไม่ ทางที่ดีควรปล่อยให้ขนยาวเกินครึ่งเซนติเมตรแล้วค่อยแว็กซ์ เนื่องจากขนที่สั้นเกินไปอาจทำให้แว็กซ์ได้ยากและไม่เรียบเนียน ซึ่งวิธีการแว็กซ์เพื่อกำจัดขนที่ถูกต้องคือ แปะแผ่นแว็กซ์ให้แนบสนิทกับผิวหนังและดึงแว็กซ์ออกอย่างเร็วภายในครั้งเดียว หลังจากนั้น ใช้โทนเนอร์สำหรับทำความสะอาดใบหน้าที่มีส่วนผสมของคาโมมายล์เช็ดผิวหลังการแว็กซ์ เพื่อปรับสภาพผิวและลดความเสี่ยงต่อการเกิดรอยแดงและบวม ทั้งนี้ แพทย์ไม่แนะนำให้คนบางกลุ่มกำจัดขนด้วยการแว็กซ์ ได้แก่ ผู้ที่มีภาวะขนดก ผู้ที่กำลังใช้ยารักษาสิวบางชนิด และผู้ที่มีผิวไหม้แดดบริเวณรักแร้ค่ะ

                                                                                        ครีมกำจัดขน เป็นครีมสำหรับใช้ทาบริเวณผิวหนังที่ต้องการกำจัดขน ควรทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที หรือตามคำแนะนำของแต่ละผลิตภัณฑ์ โดยสารเคมีในครีมนั้นจะไปปรับเปลี่ยนโครงสร้างโปรตีนของเส้นขนที่อยู่เหนือผิวหนังให้อ่อนยุ่ยและเช็ดออกได้ง่ายค่ะ ข้อดีของการกำจัดขนด้วยวิธีนี้คือ ทำได้ง่ายและรวดเร็ว แต่สารเคมีที่เป็นส่วนประกอบอาจทำให้ครีมมีกลิ่นฉุนและก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ อีกทั้งอาจใช้ไม่ได้ผลกับผู้ที่มีเส้นขนหยาบหนาค่ะ

                                                                                        image007

                                                                                        ทั้งนี้ ส่วนผสมของครีมแต่ละยี่ห้อย่อมแตกต่างกันออกไป ก่อนใช้กำจัดขนจึงควรอ่านฉลากบนผลิตภัณฑ์ให้ละเอียดทุกครั้ง และหากคุณสาวๆ ต้องการกำจัดขนบริเวณจุดซ่อนเร้น ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุให้ใช้สำหรับส่วนนี้โดยเฉพาะ ส่วนผู้ที่มีผิวบอบบางหรือเคยมีอาการแพ้ ควรลองทดสอบก่อนใช้โดยป้ายครีมปริมาณเล็กน้อยลงบนผิวหนัง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแต่ละผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรทายากำจัดขนในปริมาณมากเกินไป และควรล้างหรือเช็ดครีมออกตามเวลาที่กำหนดค่ะ

                                                                                        เลเซอร์ขน เป็นเทคโนโลยีช่วยกำจัดขนจะทำการกำจัดขนที่ไม่พึงปรารถนา โดยให้ความร้อนช่วยทำลายและยับยั้งการเจริญเติบโตของเส้นขน ซึ่งมักได้ผลดีกับเส้นขนสีดำ เนื่องจากแสงเลเซอร์จะจับเม็ดสีเมลานินในเส้นขนสีดำได้มากกว่า ทั้งนี้ เลเซอร์ที่ใช้ในทางการแพทย์มีหลายชนิด ก่อนเข้ารับการกำจัดขนด้วยวิธีนี้ควรปรึกษากับแพทย์ถึงข้อดี ข้อเสีย และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

                                                                                        image009

                                                                                        นอกจากนี้ การเลเซอร์กำจัดขนด้วยเทคโนโลยีนี้ยังช่วยแก้ปัญหาเรื่องขนคุด รูขุมขนอุดตัน ทำให้ผิวดูเกลี้ยงเกลา เรียบเนียน ผิวแลดูสว่าง สะอาดสะอ้านขึ้นด้วย ด้วยการรักษาเพียง 5-8 ครั้ง และควรกำจัดขนซ้ำทุก 1 เดือน เพื่อยับยั้งวงจรการเกิดขนอย่างต่อเนื่อง ขนก็จะค่อยๆ หายไป ทำให้คุณรำคาญใจน้อยลงอีกด้วยค่ะ

                                                                                        ครีมหน้าเรียวช่วย “ปรับรูปหน้าเรียว” ได้จริงหรือไม่

                                                                                        212

                                                                                        มีสาวๆ จำนวนไม่น้อยที่อยากมีรูปหน้าเรียวสวย แต่ก็กลัวการผ่าตัดศัลยกรรมปรับรูปหน้าเรียว ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากเสี่ยง แนะนำให้ฉีดโบ ฟิลเลอร์ ร้อยไหม ก็บอกว่ากลัวเข็มอีก สุดท้ายจึงเลือกที่จะใช้ครีมครีมทาเพื่อปรับรูปหน้าเรียว ว่าแต่ว่า…ครีมหน้าเรียวแบบนี้ จะช่วยปรับรูปหน้าเรียวได้จริงหรือ ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่สงสัยเหมือนกันมาหาคำตอบกันค่ะ

                                                                                        ครีมหน้าเรียวช่วยปรับรูปหน้าเรียวแบบไหนได้บ้าง

                                                                                        ปัญหาส่วนใหญ่ของสาวอยากหน้าเรียวเป็นเพราะ “กรามใหญ่” หน้าใหญ่ไม่ได้รูปจนอยากปรับรูปหน้าเรียว แม้ไม่ต้องใช้หลักวิชาการอะไรก็สามารถวิเคราะห์ได้ว่า “เป็นไปไม่ได้” ที่หน้าไม่ได้รูปเนื่องจากโครงสร้างกระดูกจะ แก้ไขไม่ได้โดยการทาครีม ปรับรูปหน้าเรียวได้ แต่ที่ยังมีโอกาสเห็นผลอยู่ก็คือคนที่ แก้มเยอะ เหนียงย้อย คือต้องเป็นหน้าที่ไม่ได้รูปเพราะมีกล้ามเนื้อหรือไขมันส่วนเกินเยอะเท่านั้น

                                                                                        เหตุผลที่ทำให้ครีมหน้าเรียวช่วยปรับรูปหน้าเรียวได้

                                                                                        การออกกำลังกายทำให้รูปร่างที่เผละด้วยไขมันกระชับได้สัดส่วนขึ้นฉันใด การออกกำลังให้ใบหน้าก็ย่อมทำให้รูปหน้ากระชับขึ้นได้ฉันนั้น ครีมหน้าเรียวจึงช่วยปรับรูปหน้าเรียวได้ ด้วยเหตุผลดังนี้

                                                                                        1. หน้าใหญ่เพราะการทำงานของเลือดและน้ำเหลืองผิดปกติ เมื่อมีการทาครีมพร้อมกับการนวดกระตุ้นทำให้ระบบโลหิตและน้ำเหลืองทำงานได้ดีขึ้น รูปหน้าจึงปรับเปลี่ยนไปด้วย
                                                                                        2. หน้าใหญ่เพราะกล้ามเนื้อและไขมันบนใบหน้ามากเกินไป ลองนึกถึงสภาพคนมีกล้ามเนื้อเป็นลูกๆ ดูนะคะ ถ้าการนวดลดที่ต้นเหตุได้ การใช้ครีมนวดหน้าเสริมเข้าไปก็ช่วยให้ใบหน้าดูเรียวเล็กลงได้เช่นกัน
                                                                                        3. ปกติครีมทำหน้าเรียวมักจะต้องให้นวดหน้าควบคู่ไปด้วย แม้แต่การนวดหน้าธรรมดายังช่วยยกกระชับใบหน้า การมีครีมนวดหน้ามาเสริมจึงให้ผลในทิศทางเดียวกัน

                                                                                        ครีมนวดหน้าปรับรูปหน้าให้เรียวได้ขนาดไหน

                                                                                        ถ้าคิดว่าใช้ครีมนวดหน้าเรียวแล้ว จะมีหน้า V-Shape เหมือนไปฉีดโบมา หรือไปผ่าตัดมา ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าเป็นไปได้ คงไม่มีใครเลือกที่จะเจ็บจากการเข้าคลินิกความงามทั้ง ๆ ที่ทั้งเจ็บ ทั้งเสียเงินมาก และเสียเวลาในการรักษาตัวมากกว่า จึงต้องบอกว่าความคาดหวังว่าใบหน้าจะเรียวจากการนวดหน้ายังคงต้องอยู่ในขอบเขตที่จำกัด

                                                                                        แต่คำว่าครีมหน้าเรียวช่วยปรับรูปหน้าเรียวได้นั้น เป็นเพราะอาศัยการนวดกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหรือไขมันเข้าช่วย ทำให้ชั้นผิวหนังมีความกระชับมากขึ้น อย่างไรก็ตามหากอยากนวดแล้วได้ผลต้องอาศัยความต่อเนื่อง สม่ำเสมอ จึงจะทำให้รูปหน้ากระชับขึ้น หากเป็นครีมนวดคุณภาพดี นวดถูกวิธีตามหลักการ และจะสามารถปรับรูปหน้าเรียว V-Shape ได้มีกรณีเดียวคือ รูปหน้าดั้งเดิมเป็น V-Shape อยู่แล้วแต่เปลี่ยนไปเพราะมีกล้ามเนื้อและไขมัน เมื่อนวดไปจึงสามารถกลับไปเหมือนเดิมได้

                                                                                        สำหรับท่านใดที่มีปัญหาในการปรับรูปหน้าเรียว แนะนำให้ปรึกษาเพทย์ผู้เชียวชาญดีกว่านะคะ อย่างคลินิกรมย์รวิทท์ของเรา มีโปรแกรมในการปรับรูปหน้าเรียวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำ Thermage, Ulthera, Hifu, ฉีดโบ, ร้อยไหม เป็นต้น ด้วยการคัดสรรเครื่องมือที่ทันสมัย ความรู้ความชำนาญของแพทย์ ประกอบกับประสบการณ์มากกว่า 14 ปีของเรา จึงมั่นใจได้ว่าจะช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับคนไข้ที่มาใช้บริการกับเราอย่างแน่นอนค่ะ

                                                                                        ลูกกลิ้งนวดหน้า ช่วยทำ “หน้าเรียว” ได้จริงหรือไม่

                                                                                        211

                                                                                        ลูกกลิ้งหน้าเรียว เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยมีขายในท้องตลาดมานาน ด้วยคุณสมบัติที่โฆษณาว่า เป็นลูกกลิ้งนวดหน้า ช่วยปรับรูปหน้าเรียวได้ด้วยวิธีง่ายๆ เพียงกลิ้งลูกกลิ้งดังกล่าวไปมาบริเวณใบหน้าเท่านั้น อีกทั้งราคาที่แสนถูก จึงสร้างความสงสัยให้ผู้บริโภคสืบต่อกันมาว่า ลูกกลิ้งนวดหน้าช่วยทำหน้าเรียวได้จริงหรือไม่ คุณเองก็เป็นคนหนึ่งที่สงสัยใช่มั้ยคะ? ถ้าอย่างนั้นมาหาคำตอบไปพร้อมกันเลย

                                                                                        สมมุติฐานว่าลูกกลิ้งนวดหน้าน่าจะช่วยทำให้หน้าเรียวได้จริง

                                                                                        1. สินค้าชนิดนี้ มีจำหน่ายในต่างประเทศมานานเป็น 10 ปีแล้ว มาตรฐานการควบคุมสินค้าในต่างประเทศอยู่ในระดับเคร่งครัด
                                                                                        2. ถ้าไม่มีคุณภาพจริง คงอยู่ในท้องตลาดไม่ได้ จะหายไปตามความไม่ต้องการของตลาด ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงมีแนวโน้มว่าช่วยทำหน้าเรียวได้จริง

                                                                                        แนวคิดการทำงานของลูกกลิ้งนวดหน้าเพื่อการปรับรูปหน้าเรียว

                                                                                        เมื่อเทียบกับการปรับรูปหน้าเรียวด้วยโปรแกรม Hifu, Ulthera หรือ Thermarge โปรแกรมเหล่านี้จะเป็นการกระตุ้นผิวที่ถูกทำให้เกิด “บาดแผลแบบรูเข็ม” คือเป็นแผลขนาดเล็กมากใต้ผิวหนังชั้นลึก หลังจากนั้นร่างกายจะพยายามสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเพื่อจะซ่อมแซมตัวเอง

                                                                                        แต่ในส่วนของ การนวดคลึงบนผิวหนังนั้น หลักการทำงานคือเป็นการกระตุ้นให้มีการไหลเวียนเลือด โดยปกติแม้ใช้กำลังมือกำลังนิ้วเหมือนการนวดแผนไทยทั่วไปก็สามารถกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดได้ แต่ลูกกลิ้งมีการกระตุ้นที่มากกว่ามือ เพราะอุปกรณ์ที่มีความนูนหรือเป็นคลื่นกล้ามเนื้อจึงเหมือนได้ออกกำลังกาย จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิว

                                                                                        แต่ถึงอย่างนั้นลูกกลิ้งก็ยังมีประสิทธิภาพในการทำงานได้น้อยกว่าโปรแกรมทำหน้าเรียว เพราะโปรแกรมจากคลินิกที่มาพร้อมกับเครื่องมืออันทันสมัย ประกอบกับความรู้ความชำนาญของแพทย์ จะทำให้กระตุ้นผิวในชั้นที่ลึกกว่า และใช้เวลาน้อยกว่าลูกกลิ้งนวดหน้าหลายเท่า

                                                                                        วิธีใช้ลูกกลิ้งนวดปรับรูปหน้าเรียว

                                                                                        ก่อนอื่นต้องล้างหน้าให้สะอาดหมดจด สาวๆ อาจจะสครับผิวหน้าก่อนก็ได้เพื่อให้แน่ใจว่าผิวหน้าสะอาดอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นสิ่งสกปรกตกค้างจะถูกผลักเข้าสู่รูขุมขนจนทำให้เกิดสิวได้ จากนั้นทาครีมบำรุงที่ใบหน้าเล็กน้อยเพื่อผลักสารอาหารเข้าสู่ผิวและลดการเสียดสีที่อาจทำให้บาดเจ็บมากเกินไป แล้วกลิ้งลูกกลิ้งไป-มา บริเวณข้างแก้ม กลิ้งขึ้น-ลง ต่อเนื่องครั้งละ 15-30 นาทีต่อครั้ง

                                                                                        ทำไมบางคนบอกว่าปรับรูปหน้าเรียวด้วยลูกกลิ้งไม่ได้ผล

                                                                                        1. ทำไม่ถูกวิธี และไม่ทำอย่างต่อเนื่องจริงจัง
                                                                                        2. ไม่อดทนรอการเปลี่ยนแปลง ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณหนึ่ง
                                                                                        3. ตระหนกตกใจกับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น เช่น เมื่อย เจ็บ หรือระคายเคือง

                                                                                        ผลข้างเคียงจากการใช้ลูกกลิ้งทำหน้าเรียว

                                                                                        1. ใช้ไม่เป็น ขาดคำแนะนำที่ถูกต้อง ใช้น้ำหนักแรงเกินไป บ่อยเกินไป อาจทำให้เกิดแผลอักเสบ จากความระคายเคืองได้
                                                                                        2. ติดเชื้อจากบาดแผลที่เกิดขึ้นจากการทำงานของลูกกลิ้ง แต่ดูแลลูกกลิ้งไม่สะอาดพอ จนอาจส่งผลให้สิวขึ้นมากกว่าเดิม
                                                                                        3. ใช้ร่วมกับผู้อื่น ทำให้มีการส่งต่อเชื้อโรคผ่านลูกกลิ้ง

                                                                                        การใช้ลูกกลิ้งนวดหน้าช่วยทำให้หน้าเรียวได้ระดับหนึ่งก็จริง แต่ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าการทำหน้าเรียวด้วยลูกกลิ้ง เป็นการทำงานกับผิวชั้นนอก อีกทั้งไม่ได้มีเครื่องมือทางการแพทย์อื่นมากระตุ้น ฉะนั้นต้องอาศัยความสม่ำเสมอทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องใช้เวลาหลายเดือนเลยทีเดียว แต่ถ้าหากหลายคนท้ออยากจะได้ผลที่เร็วและชัวร์ แนะนำให้ปอาศัยเครื่องมือที่ทันสมัยจากคลินิก อย่างรมย์รวินท์คลินิกของเราก็มีโปรแกรมปรับรูปหน้ามากมายเอาไว้บริการคุณค่ะ

                                                                                        รูปหน้าของคนมีกี่ประเภท รูปหน้าแบบไหนที่เหมาะกับการ “ทำหน้าเรียว”

                                                                                        210

                                                                                        รูปหน้าโดยธรรมชาติของคนเรานั้นมีหลายแบบ บางคนหน้ารูปไข่ บางคนหน้าเล็ก บางคนก็หน้ากลม และอีกหลายรูปทรงใบหน้าแตกต่างกันไปตามเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ และพันธุกรรม แล้วคุณละคะมีรูปหน้าแบบไหน ตอนนี้พึงพอใจในรูปหน้าของตัวเองแล้วหรือยัง ถ้ายังมาดูกันว่ารูปหน้าแบบคุณเหมาะกับการทำหน้าเรียวตามเทรนด์ในปัจจุบันได้หรือไม่

                                                                                        ประเภทของรูปหน้า

                                                                                        1. หน้ารูปหัวใจ เป็นรูปทรงหน้าที่ดูสวยและมีเสน่ห์กว่าใคร เริ่มตั้งแต่หน้าผากจะมีความคล้ายรูปวาดหัวใจมีไรผมแหลมลงมาที่กลางหน้าผาก จากหน้าผากลงมาถึงคาง ส่วนกรอบหน้าจะค่อย ๆ เรียวลงมาจนถึงส่วนคางซึ่งจะมีความมนเหมือนปลายรูปหัวใจ
                                                                                        2. หน้ารูปสี่เหลี่ยม รูปหน้าแบบนี้มีความกว้างและความยาวพอๆ กัน กรอบหน้าสองข้างค่อนข้างตรงลงมา ปลายคางตัด และมีสันกรามที่ค่อนข้างกว้างจึงทำให้ดูเป็นเหลี่ยม 
                                                                                        3. รูปหน้ากลม ลองนึกถึงวงกลมเทียบกับใบหน้า คือมีความกว้างและความยาวของหน้าเกือบเท่ากันทุกองศา ช่วงที่กว้างที่สุดจะเป็นช่วงโหนกแก้ม หน้าผากกับช่วงกรามจะเล็กกว่า ลักษณะช่วงกรามจะมีรูปมนๆ
                                                                                        4. หน้ารูปไข่ เป็นอีกหนึ่งรูปทรงใบหน้าที่หลายคนชอบ ด้วยความยาวของใบหน้าจะมากกว่าความกว้าง ส่วนหน้าผากจะกว้างกว่าช่วงกราม ส่วนของกรามและคางจะมนเรียวได้รูป เมื่อดูภาพรวมของใบหน้าก็จะมีความมน ดูสวยแบบมีมิติ
                                                                                        5. รูปหน้ายาว มีลักษณะคล้ายกับหน้ารูปไข่เหมือนกันแต่จะมีความยาวมากขึ้นจากส่วนหน้าผากและคาง กรอบหน้าเล็ก เมื่อมองภาพรวมจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าความยาวใบหน้าจะมากกว่าด้านข้าง
                                                                                        6. รูปหน้าสามเหลี่ยมหรือตัววี รูปหน้า V-Shape ที่สาว ๆ ไฝ่ฝันและนิยมทำหน้าเรียวกันมาก คือโครงหน้าที่เหมือนสามเหลี่ยมกลับหัวเนื่องจากมีส่วนหน้าผากกว้างและสูง มีเส้นกรอบหน้าแคบเรียวลงมาจนถึงส่วนคาง ในขณะที่ส่วนคางจะแหลมจนเห็นได้ชัดคล้ายเป็นเป็นตัววี
                                                                                        7. ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือรูปเพชร นึกภาพสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ใบหน้ารูปแบบนี้จะมีส่วนโหนกแก้มกว้างที่สุด  หน้าผากกับบริเวณสันกรามจะไล่เลี่ยกัน

                                                                                        เทคนิคการดูรูปหน้าของตัวเองว่าเป็นแบบไหน

                                                                                        สำหรับใครที่อยากรู้ว่ารูปหน้าของตนเป็นอย่างไร สามารถวัดได้ดังนี้

                                                                                        1. วัดส่วนกว้างที่สุดของใบหน้าจากซ้ายไปขวา
                                                                                        2. วัดความยาวที่สุดของใบหน้า จากบริเวณไรผมตรงหน้าผากลงมาจรดปลายคาง
                                                                                        3. วัดจากสันกรามมาถึงคางเป็นอีกส่วนที่ใช้ประกอบการพิจารณาว่ามีรูปหน้าแบบไหน
                                                                                        4. อย่างไรก็ตามขนาดใบหน้าของแต่ละคนไม่เท่ากันจึงจำกัดความด้วยตัวเลขได้ยาก ทั้งนี้ให้เทียบสัดส่วนด้านกว้าง ด้านยาวของกรอบหน้า จากนั้นเปรียบเทียบกับคำจำกัดความของรูปหน้าประเภทต่างๆ ก็จะรู้ว่ามีตัวเองมีรูปหน้าแบบไหน

                                                                                        รูปหน้าที่ทำหน้าเรียวได้สวยจะต้องมีพื้นฐานรูปหน้ามีความยาวมากกว่าความกว้างและต้องอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม เช่น หน้ารูปไข่ หน้าสามเหลี่ยม หน้าเพชร แต่ทั้งนี้ต้องไม่ยาวจนเกินไป ส่วนรูปหน้าเหลี่ยม หรือหน้ากลมมากเกินไป อาจไม่ค่อยนิยมมากนักในหมู่คนไทย สำหรับใครที่อยากทำหน้าเรียว สามารถทำได้ด้วยการใช้โปรแกรมเสริมความงามเข้าช่วย โดยสอบถามได้ที่ 080-153-9000 หรือเดินทางเข้ามาปรึกษากับรมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขา เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มากด้วยประสบการณ์ที่พร้อมดูแลคุณค่ะ

                                                                                        อยากทำหน้าเรียว V-Shape ด้วยเทอร์มาจควรเริ่มต้นอย่างไร

                                                                                        209

                                                                                        เทคโนโลยีความงามด้านการทำหน้าเรียวมีด้วยกันหลายวิธี หนึ่งในวิธีที่นิยมก็คือ THERMAGE (เทอร์มาจ) ที่หลายคนก็อาจจะลองทำบ้าง แต่สำหรับใครที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ย่อมอยากรู้ถึงขั้นตอนการทำเอาไว้เผื่อประกอบการตัดสินใจในการทำหน้าเรียว บทความนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงขออาสาทุกท่านไปทำความรู้จักกับการปรับรูปหน้าเรียวด้วยการทำเทอร์มาจกันค่ะ

                                                                                        เทอร์มาจ (Thermage) คืออะไร  

                                                                                        เทอร์มาจ เป็นเทคโนโลยีในการทำหน้าเรียว ทำให้ผิวตึงกระชับด้วยใช้ความถี่ของคลื่นวิทยุแบบขั้วเดียวเข้าไปกระตุ้นผิวตั้งแต่ชั้นหนังแท้ผ่านเข้าไปจนถึงจนถึงผิวหนังชั้นลึก (SMAS) ความร้อนในระดับที่สม่ำเสมอที่ถูกส่งผ่านเข้าไปจะช่วยให้โครงสร้างผิวหนังมีความยืดหยุ่น กระชับตัวดีขึ้น มีการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ที่ส่งผลให้ผิวมีสุขภาพดี นุ่มนวล รูขุมขนเล็กลง

                                                                                        สิ่งที่ควรรู้ก่อนทำหน้าเรียวด้วยเทอร์มาจ

                                                                                        แน่นอนว่าก่อนที่จะเดินเข้าคลินิกศัลยกรรมความงามไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ใดก็ตาม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเสียก่อน อย่างน้อยก็ต้องทำความเข้าใจให้แตกฉานว่าโปรแกรมที่เราสนใจทำนั้น แท้จริงมีประโยชน์อย่างไร ช่วยแก้ไขปัญหาของเราได้อย่างตรงจุดหรือไม่  เพราะโปรแกรมเสริมความงามก็มีด้วยกันหลายวิธี ซึ่งบางวิธีก็มีความคล้ายคลึงกัน

                                                                                        กรณีการทำเทอร์มาจนั้น เป็นโปรแกรมที่ช่วยในการกระชับปรับรูปหน้าเรียว ทำหน้าเรียว เน้นการกระชับ (Tightening) ฉะนั้นจึงเหมาะกับผู้ที่มีไขมันที่หน้าเยอะ ผู้ที่มีใบหน้าอ้วน หน้าไม่กระชับ กรณีผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยร่วมด้วย การทำเทอร์มากอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ ก็อาจจะต้องทำโปรแกรมอื่นร่วมด้วย ความเข้มข้นของการยิง Shot ก็มีความสำคัญ เพราะหากยิง Shot ที่น้อยเกินไป หรือลงไปไม่ถึงผิวหนังชั้นลึก ก็ย่อมทำให้ผิวหน้ากระชับได้ไม่เต็มที่

                                                                                        นอกจากนี้ยังมีเรื่องของข้อจำกัด เช่น หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยเป็นมะเร็ง ผู้ที่มีสายสวนหัวใจ มีโลหะในร่างกาย กลุ่มคนนี้ ทำเทอร์มาจไม่ได้ ควรศึกษาข้อดี-ข้อเสียให้ครบ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อทราบปัญหาที่ต้องแก้ไข โดยก่อนเข้ารับการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียว ท่านสามารถ Walk in เข้ามาปรึกษากับที่แพทย์ได้ที่รมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขา เมื่อมั่นใจแล้วค่อยตกลงนัดหมายเวลาไปทำเทอร์มาจอีกครั้งค่ะ

                                                                                        ขั้นตอนการทำหน้าเรียวด้วยเทอร์มาจ

                                                                                        1. ทายาชาและรอจนกว่ายาชาออกฤทธิ์ ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที
                                                                                        2. ออกแบบตำแหน่งที่จะทำเทอร์มาจ โดยทำการลอกตารางเทอร์มาจลงบนใบหน้า
                                                                                        3. ใช้อุปกรณ์ทำเทอร์มาจในจุดที่กำหนดไว้ โดยกดเครื่องมือบนใบหน้าให้คลื่นวิทยุส่งผ่านความร้อนเข้าไปในชั้นคอลลาเจนของไขมัน กระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวกระชับ
                                                                                        4. ขณะทำเทอร์มาจมีความร้อนจากอุปกรณ์สู่ผิวที่ต้องมีการควบคุมระดับความร้อน จึงต้องอาศัยแพทย์ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเครื่องมือดีเพียงพอ ใช้ให้เหมาะกับผิวจะได้ไม่เกิดผลข้างเคียง
                                                                                        5. สุดท้ายจะมีการใช้ความเย็นต่อผิวเพื่อลดการระคายเคือง
                                                                                        6. การทำเทอร์มาจจากจุดเริ่มต้นทำถึงเสร็จจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณ Shot ที่ยิง
                                                                                        7. เมื่อทำเสร็จ คนไข้สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที ไม่ต้องพักรักษาตัว

                                                                                        ผลข้างเคียงหลังจากทำเทอร์มาจ

                                                                                        ในส่วนของผลข้างเคียงจากาการทำหน้าเรียวด้วยเทอร์มาจนั้น อาจมีรอยแดงหลังทำบ้างซึ่งเกิดจากระดับความร้อนหรือระยะเวลาที่ทำ แต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะรอยแดงจะหายไปเอง หลังทำเสร็จจะเห็นถึงความแตกต่างราว 20-30% หลังจากนั้นจะมีความชัดเจนขึ้นในช่วง 1 เดือนขึ้นไปเพราะเป็นช่วงที่ชั้นผิวสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินขึ้นมาซ่อมแซมผิวอย่างเต็มที่ ส่วนผลที่สมบูรณ์จะคงสภาพต่อเนื่องได้ถึง 1-2 ปีค่ะ สำหรับงบประมาณการทำหน้าเรียวด้วยเทอร์มาจนั้น จะอยู่ระหว่าง 30,000 – 100,000 บาทขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล รวมถึงกรณีที่ต้องทำร่วมกับโปรแกรมอื่นด้วย

                                                                                        และนี่ก็เป็นข้อมูลสำคัญที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจกระชับปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวด้วยเทอร์มาจ เมื่อเข้าใจหลักการเหล่านี้ดีแล้ว ลำดับต่อไปก็สามารถเข้าไปปรึกษาแพทย์ที่คลินิกได้เลยนะคะ หรือจะโทรสอบถามได้ที่สายตรงได้ที่ 080-153-9000 รมย์รวินท์คลินิกยินดีให้บริการค่ะ

                                                                                        ทำหน้าเรียวด้วยวิธีการฉีด กับการผ่าตัดศัลยกรรมอะไรดีกว่ากัน

                                                                                        208

                                                                                        เทรนด์สาวหน้าเรียวรูปทรง V-Shape ยังอยู่ในกระแสไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหน ส่วนใครที่หน้ไม่ได้รูปก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะมีวิธีการทำหน้าเรียวมากมายให้เลือกทำกัน นอกจากวิธีทำศัลยกรรมแล้ว ยังมีวิธีที่เจ็บตัวน้อยกว่า นั่นก็คือ การฉีดฟิลเลอร์ ฉีดโบ ร้อยไหม ฯลฯ ว่าแต่ว่า…หากเปรียบเทียบกันแล้ววิธีการไหนจะดีกว่ากัน ถ้าอยากรู้ ตามมาดูกันเลยค่ะ

                                                                                        เปรียบเทียบการทำหน้าเรียวด้วยวิธีการฉีดกับการผ่าตัดศัลยกรรม

                                                                                        1.ระดับความเปลี่ยนแปลง ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า การทำหน้าเรียวด้วยการฉีด (ซึ่งอาจจะเป็นการฉีดโบ ฟิลเลอร์ ร้อยไหม ฯลฯ) เปรียบเทียบเหมือนกับการปรับรูปหน้าชั่วคราว ผลจะอยู่ได้ประมาณ 1 ปี คือเมื่อปริมาณของสารที่ฉีดเข้าไปหมดฤทธิ์ลงก็จะต้องทำซ้ำ แต่การผ่าตัดศัลยกรรม (ไม่ว่าจะเป็นการเสริมซิลิโคนไปจนถึงการผ่าตัดกราม) จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างถาวร หรืออย่างน้อยก็อยู่ได้ 10 ปีจึงค่อยแก้ไขใหม่

                                                                                        2.ความเจ็บและการรักษาตัว การปรับรูปหน้าเรียวด้วยวิธีฉีดคือการใช้เข็มในการฉีดตัวยาเข้าไปที่ใบหน้า ข้อดีคือเจ็บน้อยกว่า และไม่ต้องรักษาตัวนาน ส่วนการทำศัลยกรรมเป็นหัตถการณ์ที่ใหญ่กว่า บางเคสถึงกับต้องวางยาสลบเข้าช่วย การศัลยกรรมปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวส่วนใหญ่จะทำการเปิดแผลภายในช่องปากเพื่อซ่อนแผลเป็น จึงทำให้กระทบต่อการพูดและการทานอาหารด้วย 

                                                                                        3.ระยะเวลารักษาตัว การทำหน้าเรียวด้วยการฉีด ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ทำเสร็จเรียบร้อย และสามารถกลับบ้านได้เลยไม่ต้องพักฟื้น อาจจะมีอาการบวมช้ำบ้างในช่วง 3-7 วันแต่ก็สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ ส่วนการผ่าตัดศัลยกรรมทำหน้าเรียว ส่วนใหญ่แล้วใช้เวลาทำ 30 นาทีขึ้นไปขึ้นอยู่กับประเภทของการผ่าตัด ต้องใช้เวลาพักฟื้นรักษาแผลอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ และต้องให้เวลาร่างกายปรับตัวอีกหลายเดือนกว่าผลลัพธ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร

                                                                                        4.ระยะเวลาของผลลัพธ์ การทำหน้าเรียวด้วยการฉีดไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้ 6-12 เดือนโดยประมาณ เนื่องจากการฉีดสารเป็นการทำให้กล้ามเนื้อเปลี่ยนไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น หากใบหน้าเริ่มกลับไปเหมือนเดิมต้องทำการฉีดซ้ำอีก แต่การผ่าตัดศัลยกรรมทำหน้าเรียวมีความเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างถาวร อย่างการเสริมซิลิโคนที่คางก็สามารถอยู่ได้ราว 10 ปีขึ้นไป หรือถ้าเป็นการผ่าตัดกระดูกกรามก็ให้ผลที่ถาวรตลอดไป

                                                                                        5.ความเสี่ยงด้านการผิดพลาด ไม่ว่าจะทำหน้าเรียวด้วยวิธีไหนก็ล้วนมีความเสี่ยง เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความเชี่ยวชาญของแพทย์ รวมทั้งการฉีดสารที่ไม่ได้คุณภาพ ยกตัวอย่าง

                                                                                        • ถ้าเป็นการฉีดพลาด ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดสลายใน 3-4 วัน หรือรอให้หมดฤทธิ์ตามอายุของสารแล้วค่อยฉีดใหม่ แต่ผลข้างเคียงก็อาจทำให้หน้าเบี้ยวไปสักพักใหญ่
                                                                                        • แต่ถ้าผิดพลาดมากฉีดถูกเส้นประสาทสำคัญบนใบหน้าอาจส่งผลถาวร
                                                                                        • ส่วนกรณีฉีดกับหมอกระเป๋าราคาถูก ก็เสี่ยงที่จะทำให้เกิดการอักเสบได้
                                                                                        • ส่วนศัลยกรรมผิดพลาดก็จะต้องศัลยกรรมแก้ไข ซึ่งจะได้ผลมากน้อยเพียงใดอยู่ที่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นและต้องอาศัยฝีมือของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการแก้ไข

                                                                                        6.ค่าใช้จ่าย การฉีดแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่าย 3,000 บาทขึ้นไป แต่ผลลัพธ์อยู่ได้ 6-8 เดือนก็ต้องฉีดใหม่เป็นระยะ ซึ่งจะเป็นอยู่เช่นนี้ตลอดที่ยังต้องการทำ หากเปรียบเทียบระยะยาวอาจมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการศัลยกรรมครั้งเดียว ส่วนการศัลยกรรมมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง แต่เป็นการจ่ายคราวเดียวแล้วจบ โดยอยู่ที่ประมาณ 40,000 – 100,000 บาท ตามแต่ปัญหาที่ต้องการแก้ไข แต่ข้อดีคือผลอยู่ได้ถาวรหรืออย่างน้อยก็ 10 ปีขึ้นไปไม่ต้องทำใหม่อีก

                                                                                        การทำหน้าเรียวด้วยวิธีการฉีดกับการผ่าตัดศัลยกรรม ต่างก็มีข้อดี ข้อเสีย และข้อจำกัดที่แตกต่างกัน หากถามว่าวิธีไหนจะดีกว่ากันนั้น ต้องตอบว่าขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เพราะแต่ละคนมีปัญหาโครงสร้างใบหน้าที่แตกต่างกัน สำหรับท่านใดที่สนใจทำหน้าเรียวแต่ยังไม่รู้ว่าควรจะทำด้วยวิธีไหนดี สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขาค่ะ

                                                                                        ทำหน้าเรียวด้วยวิธีไหน ให้ผลที่ยาวนานที่สุด

                                                                                        ฉีดโบ

                                                                                        หลายคนที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด หน้ากลม คางเยอะ หน้าดูอ้วน ไม่เป็น v-shape ตามสมัยนิยม ปัจจุบันนี้มีเทคนิควิธีทำหน้าเรียวมาให้เลือกทำกันมากมาย ซึ่งแต่ละวิธีก็มีจุดดีจุดเด่นแตกต่างกันไป รวมถึงปัญหาของแต่ละคน สภาพร่างกายของแต่ละคน ซึ่งส่งผลต่อรูปแบบวิธีการรักษา แต่วันนี้เราจะมาดูกันว่าวิธีการทำหน้าเรียวแบบไหนที่คงผลการรักษาได้ยาวนานที่สุด

                                                                                        1. การผ่าตัด การผ่าตัดทำหน้าเรียวเป็นวิธีที่ผลลัพธ์ที่ยาวนานที่สุด ได้ผลลัพธ์ชัดเจนแน่นอนที่สุด วิธีนี้สามารถแก้ไขใบหน้าได้หลากหลายแบบ ตั้งแต่ โหนกแก้ม กราม และคาง ปัจจุบันวิทยาการแพทย์ล้ำหน้าไปมากสามารถผ่าตัดผ่านด้านในปาก โดยอาศัยเครื่องมือพิเศษในการตัดกระดูกในช่องปาก ข้อดีคือไม่มีรอยแผลเป็นทิ้งไว้ให้เห็นจากภายนอก สิ่งสำคัญคือแพทย์ผู้ทำการรักษาต้องมีประสบการณ์สูง มีความชำนาญเฉพาะทาง เพราะการผ่าตัดเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่เส้นประสาท ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้เข้ารับบริการเป็นอย่างมาก
                                                                                        2. Thermage เทคโนโลยียกกระชับผิวด้วยพลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง สามารถส่งพลังเข้าไปยังชั้นผิวหนังทำให้เกิดความร้อนใต้ชั้นผิวบริเวณที่มีคอลลาเจน เมื่อชั้นผิวถูกกระตุ้นจะส่งผลให้มีการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่ ช่วยคืนความยืดหยุ่นและยกกระชับทำให้ผิวดูอิ่มเต็ม การทำหน้าเรียววิธีนี้ที่ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น ทำเสร็จแล้วสามารถกลับบ้านและทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำเสร็จ จะเห็นผลชัดเจนขึ้นภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ และคงผลการรักษายาวนาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและสภาพร่างกายของแต่ละคน
                                                                                        3. ร้อยไหม การใช้ไหมเส้นเล็กจำนวนมากหลายร้อยเส้น นำมาเรียงร้อยเชื่อมโยงกันไว้ใต้ผิวหนัง ไหมที่นำมาใช้ได้มาตรฐานเดียวกับไหมละลายที่ใช้เย็บเส้นเลือดหัวใจ จึงมีความปลอดภัยและสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว การร้อยไหมเป็นการทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ กระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนบริเวณรอบเส้นไหม เมื่อมีคอลลาเจนเพิ่มขึ้นผิวบริเวณดังกล่าวก็จะตึงกระชับ ลดความหย่อนคล้อย ช่วยปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวอย่างได้ผล โดยปกติเส้นไหมจะสลายตัวไปภายใน 8 เดือน หลังทำเสร็จจะมีอาการบวมตามแนวรอยไหมบ้าง แต่จะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ ผลลัพธ์จะปรากฏชัดเจนขึ้นภายในเวลา 2 เดือน และให้ผลยาวนาน 1-2 ปี
                                                                                        4. Lipo Lifting อีกหนึ่งวิธีปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียว ที่หลายคนให้ความสนใจ เพราะไม่บวมไม่ช้ำไม่แสบเหมือนยาสลายไขมันตัวอื่น โดยใช้เทคนิคการฉีดไหมเข้าสู่ใต้ผิวหนัง เส้นไหมที่ได้ผลิตจากสารสกัดธรรมชาติ จึงไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ พร้อมทั้งเคลือบด้วยสารชนิดพิเศษที่สามารถละลายไขมันใต้ผิวหนังได้ดี การฉีดไหมแต่ละครั้งจะเทียบเท่าการร้อยไหมแบบเรียบ โดยเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาไขมันส่วนเกินบริเวณแก้ม คาง เหนียง หรือบริเวณผิวที่หย่อนยาน เมื่อทำเสร็จจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน ผิวยกกระชับขึ้นทันที มองเห็นกรอบหน้าชัดเจน เป็นการทำหน้าเรียวที่ได้ผลดี โดยไม่ต้องทำศัลยกรรม ไม่ทิ้งอาการบวมแดงช้ำไว้บนใบหน้า ไม่ต้องเสียเวลาพักพื้น หลังทำเสร็จแล้วทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นภายใน 3-4 สัปดาห์ และคงผลการรักษาได้ยาวนานเป็นปี
                                                                                        5. ดูดไขมัน การดูดไขมันไม่ได้ใช้กับบริเวณหน้าท้อง สะโพก หรือต้นขาเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เพื่อปรับรูปหน้าเรียวได้ด้วย โดยเฉพาะผู้ที่ไขมันส่วนเกินบริเวณใต้คาง เหนียง สามารถใช้เทคนิควิธีการดูดไขมันได้เช่นเดียวกัน ปัจจุบันเครื่องดูดไขมันได้มีการพัฒนาก้าวล้ำหน้า หลังจากดูดไขมันออกไปแล้วผิวจึงไม่หย่อนคล้อย และมีเพียงรอยแผลเล็กๆ เท่านั้น หลังทำเสร็จจะสังเกตเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลง สำหรับผลการรักษาจะคงอยู่ได้ยาวนานเพียงใดขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของผู้เข้ารับการรักษาแต่ละราย

                                                                                        วิธีการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียว มีตั้งแต่การผ่าตัดใหญ่ จนถึงการใช้เครื่องมือพิเศษที่ไม่ทำให้เกิดรอยแผล สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาก็คือเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยของสถานเสริมความงาม และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ใช้รักษา การตัดสินใจจากงบประมาณเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเสมอไป รมย์รวินท์คลินิก ให้ความสำคัญกับความทันสมัยของเครื่องมือเป็นสิ่งแรก มีการคัดสรรเครื่องมือเพื่อให้ตอบโจทย์ปัญหาผิวลูกค้า ด้วยจุดนี้เองจึงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับคนไข้ที่มาใช้บริการรมย์รวินท์คลินิกของเรา

                                                                                        ทำหน้าเรียว ด้วยวิธีไหนใช้เวลาพักฟื้นน้อยที่สุด

                                                                                        206

                                                                                        วิธีการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวมีอยู่มากมายหลายวิธี ตั้งแต่ศัลยกรรมดึงหน้า ผ่าตัดใส่ซิลิโคน ฉีดสารเติมแต่ง หรือใช้เครื่องมือไฮเทคต่างๆ ซึ่งมีข้อดีข้อเด่นแตกต่างกันไป แต่ถ้าหากเลือกได้หลายคนคงจะเลือกวิธีทำหน้าเรียวที่ได้ผลลัพธ์ยอดเยี่ยมและใช้เวลาพักฟื้นน้อยที่สุด วันนี้เรามีวิธีปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวมาแนะนำกัน ลองตามไปดูกันว่ามีวิธีไหนบ้าง

                                                                                        1. Hifu เทคนิคการทำหน้าเรียวที่ขึ้นชื่อว่าไม่เจ็บ เห็นผลไว เป็นการใช้คลื่นอัลตราซาวด์เข้มข้นสูง ส่งผ่านพลังงานเข้าไปยังชั้นผิว SMAS ซึ่งเป็นชั้นกล้ามเนื้อเดียวกับที่ทำศัลยกรรมดึงหน้า เมื่อชั้นเนื้อเยื่อได้รับการกระตุ้นจะมีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวยกกระชับ อิ่มเต็ม หลังจากทำเสร็จไม่ต้องพักฟื้น ไม่เกิดอาการบวม ช้ำ แดง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัดเจน มีไขมันส่วนเกินบริเวณใบหน้า ผลการรักษาจะเห็นชัดเจนขึ้นภายใน 4-6 สัปดาห์ และคงผลลัพธ์ต่อเนื่องยาวนานเป็นปี
                                                                                        2. Thermage เทคโนโลยียกกระชับผิว ทำหน้าเรียวด้วยการส่งคลื่นความถี่วิทยุ RF ส่งพลังเข้าไปยังชั้นผิวหนังระดับลึก เพื่อกระตุ้นให้เนื้อเยื่อสร้างคอลลาเจนใหม่เพิ่มขึ้น ขณะทำหัตถการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะคอยควบคุมความร้อนสลับเย็นให้คงที่ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์สูงสุด หลังทำเทอมาร์จผู้รับบริการจะรู้สึกได้ทันทีว่าริ้วรอยลดลง ผิวแข็งแรงขึ้น ทำหน้าเรียวเป็น v-shape มากขึ้น และที่สำคัญหลังจากทำเสร็จไม่จำเป็นต้องพักฟื้น สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ทั้งแต่งหน้า ช้อปปิ้ง ออกกำลังกาย แต่ก็อาจจะมีบางรายที่มีผิวแดงเล็กน้อย แต่ก็จะหายไปเองในเวลาอันรวดเร็ว
                                                                                        3. Filler ฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มชนิดหนึ่งที่ใช้ฉีดเพื่อลดและแก้ปัญหาริ้วรอยบริเวณต่างๆ บนใบหน้า รวมถึงเติมเต็มจุดที่บกพร่อง เพื่อปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวได้ตามต้องการ โดยสารเติมเต็มดังกล่าวมีให้เลือกหลายประเภท ที่นิยมแพร่หลายก็จะมีการใช้ไขมันตนเอง คอลลาเจนจากสัตว์ หรือไฮยาลูโรนิก-แอซิด ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมกันอย่างมาก หลังฉีดแล้วจะเห็นผลได้ทันที และเห็นผลชัดเจนมากขึ้นเมื่ออาการบวมน้ำหายไป ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ 6 เดือน หรือมากน้อยกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน หลังฉีดแล้วไม่ต้องพักฟื้น สามารถแต่งหน้า หรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ
                                                                                        4. ฉีดโบ เทคนิคการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวที่นิยมทำกันมาก คือการฉีดโบ ซึ่งเป็นสารสกัดโปรตีนธรรมชาติจากแบคทีเรีย มีคุณสมบัติช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดเลือนริ้วรอย เติมเต็มร่องลึกบริเวณต่างๆ ช่วยแก้ปัญหาข้อบกพร่องบนใบหน้าได้ดี โดยคุณหมอจะเป็นผู้วินิจฉัยและกำหนดตำแหน่งการฉีดอย่างเหมาะสม ซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญชำนาญเป็นอย่างมาก จึงจะปรับรูปหน้าทำหน้าเรียวได้อย่างสวยงาม หลังฉีดโบอาจจะต้องระมัดระวังอย่าจับหรือนวดบริเวณที่ฉีด โดยบางรายอาจจะมีรอยแดงบ้างเล็กน้อย แต่จะหายไปเองภายใน 1 วัน หลังจากนั้นจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์
                                                                                        5. Lipo Lifting เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณแก้ม คาง เหนียง ทำให้หน้าดูกลมดูอ้วน การปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวที่มีปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ง่าย โดยวิธีการฉีดไหมไลโป ซึ่งให้ผลลัพธ์ปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวเทียบเท่าการร้อยไหม แต่ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น ไม่ทิ้งรอยช้ำบวมแดงให้เห็น ตัวยาที่ใช้สกัดมาจากธรรมชาติมีคุณสมบัติช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินใต้ผิวหนัง ตัวเส้นไหมจะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นเนื้อเยื่อ ช่วยให้ผิวยกกระชับ ลดอาการหย่อนคล้อยได้ดี ส่งผลให้ทำหน้าเรียวเล็ก ดูเป็น v-shape ตามสมัยนิยม หลังฉีดไหมไลโปไม่จำเป็นต้องพักฟื้น สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ ทั้งนี้คุณหมอแนะนำว่าให้ดื่มน้ำเพิ่ม เพื่อช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันให้ดีขึ้น

                                                                                        เทคนิควิธีการทำหน้าเรียวเหล่านี้ ล้วนมีจุดประสงค์เพื่อปรับรูปหน้าให้เรียวกระชับ มองเห็นกรอบหน้าชัดเจนทั้งสิ้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลการรักษาแตกต่างกันไป คือ อายุ ลักษณะโครงสร้างและสภาพผิวพรรณของผู้รับบริการ ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการวิเคราะห์อย่างละเอียดและแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสม จะทำให้แก้ไขปัญหาผิวได้ตรงจุดมากกว่า สำหรับท่านใดที่ต้องการเข้ามาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สามารถ Walkin เข้ามาได้ที่รมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขา

                                                                                        ทำหน้าเรียว ด้วยวิธีไหนเจ็บตัวน้อยที่สุด

                                                                                        205

                                                                                        ปัจจุบันมีเทคนิคการทำหน้าเรียวอยู่มากหมายหลายวิธี ซึ่งต่างก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีได้ดั่งใจ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมากคือความเจ็บปวดทรมานของการทำสวย ถึงแม้จะอยากให้หน้าเรียวหน้ากระชับมากแค่ไหน แต่ถ้าต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดมากมายก็คงต้องขอบายไปก่อน วันนี้เรามีวิธีปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวที่แม้แต่คนที่มีระดับความอดทนต่อความเจ็บต่ำก็ยังรับได้ แสดงว่าคนทั่วไปก็รับได้แน่นอน

                                                                                        HIFU (ไฮฟู)

                                                                                        การทำ Hifu เป็นหนึ่งในวิธีปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวที่หลายคนยืนยันคอนเฟิร์มว่าเจ็บตัวน้อยที่สุด เพราะไม่มีการใช้เข็ม ไม่มีการใช้มีดผ่าตัดมาเกี่ยวข้อง มีเพียงเครื่องมืออันทันสมัยที่ส่งคลื่นอัลตราซาวด์เข้มข้น ที่สามารถส่งพลังเข้าสู่ใต้ผิวระดับลึกที่เรียกว่าชั้น SMAS เป็นชั้นกล้ามเนื้อเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ดึงหน้า ด้วยคุณสมสบัติของเครื่องชนิดนี้จึงสามารถใช้การส่งคลื่นที่มีความเข้มข้นสูงเข้าไปกระตุ้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังเพื่อให้เกิดแผลขนาดเล็กมาก

                                                                                        จากนั้นร่างกายจะกระตุ้นให้บริเวณดังกล่าวสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ซึ่งส่งผลให้ผิวกระชับอิ่มเต็ม ช่วยปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวเป็น v-shape มองเห็นกรอบหน้าชัดเจนขึ้นมาก ด้วยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทันทีหลังทำ จึงมีผู้นิยมใช้บริการทำไฮฟูกันมากมาย ซึ่งอาจจะทำร่วมกับวิธีการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวแบบอื่นก็ได้ ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ผู้ให้การรักษาและความต้องการของผู้เข้ารับบริการ

                                                                                        ฉีดโบ

                                                                                        วิธีการสุดคลาสสิคในการทำหน้าเรียว ซึ่งคุณหมอท่านบอกว่าเจ็บน้อยถึงน้อยที่สุด เพราะใช้เข็มที่มีขนาดเล็กจึงทำให้รู้สึกเจ็บน้อย ประกอบกับการฉีดโบเป็นจุดๆ ตามตำแหน่งที่เกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อย ทุกครั้งที่ฉีดเสร็จก็จะมีการนวดคลึงกันเล็กน้อยพอให้ยากระจายตัว หลังฉีดเสร็จครบทุกจุด ผู้รับบริการสามารถเดินออกจากคลินิกได้เลยโดยไม่ต้องพักฟื้น ที่สำคัญเห็นผลการเปลี่ยนแปลงแทบจะทันที สามารถแต่งหน้า ทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ

                                                                                        แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของคุณหมอด้วย สำหรับหมอที่มีประสบการณ์มีชั่วโมงบินสูง ก็รับประกันได้ว่ามือเบาและแม่นยำ สำหรับระยะเวลาออกฤทธิ์ของการฉีดโบ การทำหน้าเรียวก็อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล สามารถเข้ามาฉีดซ้ำได้เพื่อให้ผลการรักษาคงอยู่ยาวนาน ซึ่งควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้บริการเอง

                                                                                        LIPO LIFTING (การฉีดไหมไลโป)

                                                                                        เทคนิควิธีทำหน้าเรียวที่ใช้แนวคิดการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายซ่อมแซมตนเองโดยใช้การฉีดไหมที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ จึงไม่ทิ้งสารเคมีตกค้างไว้ภายในร่างกาย วิธีการฉีดไหมแบบนี้เทียบเท่าได้กับการร้อยไหมเรียบ  ถ้าจะให้เทียบกัน การฉีดไหมหนึ่งมิลลิลิตรเทียบเท่าการร้อยไหมหนึ่งเส้น โดยให้ผลลัพธ์ดีเทียบเท่ากันได้เลย แต่ที่สำคัญคือ หลังจากทำเสร็จเห็นผลยกกระชับ ทำหน้าเรียวได้ทันที ไม่ทำให้บวมช้ำเหมือนการร้อยไหมทั่วไป ฉีดเสร็จแล้วสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้

                                                                                        ก่อนการฉีดไหมไม่จำเป็นต้องทายาชา ไม่ต้องประคบเย็น สามารถฉีดเข้าไปได้เลย จึงเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวด้วยวิธีนี้ไม่ทำให้เจ็บตัวแน่นอน หลังฉีดเสร็จจะมีเพียงอาการร้อนบริเวณที่ฉีดประมาณ 1-2 นาที หลังจากนั้นจะรู้สึกเป็นปกติ การฉีดไหมไลโปนั้นจะช่วยทั้งเรื่องการยกกระชับรูปหน้า ลดความหย่อนคล้อยและริ้วรอยต่างๆ รวมถึงการสลายไขมันส่วนเกิน กระตุ้นให้มีการเผาผลาญไขมันและกำจัดออกจากร่างกาย ผลลัพธ์ของการฉีดไหมทำหน้าเรียวจะเห็นผลทันทีและจะเห็นผลชัดเจนมากขึ้นภายในเวลาไม่กี่วัน โดยยังคงผลลัพธ์ไว้ได้ยาวนานเป็นปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพใบหน้าของผู้เข้ารับบริการแต่ละคน

                                                                                        ด้วยวิธีการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวที่กล่าวมา ทุกวิธีล้วนมีจุดเด่นสำคัญคือทำแล้วไม่เจ็บ ไม่ช้ำ หรือปวดบวม หลังทำเสร็จเห็นผลได้ทันที จึงเป็นที่นิยมของผู้ที่รักสวยรักงามส่วนใหญ่ แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่จะลืมไปเสียไม่ได้ คือมาตรฐานความปลอดภัยของสถานเสริมความงาม ความน่าเชื่อถือและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ทำการรักษา และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้ ถ้ามีครบองค์ประกอบทุกอย่าง ก็เลือกใช้บริการเสริมความงามได้ด้วยความสบายใจ สำหรับท่านใดที่ต้องการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ มีชั่วโมงบินสูง อย่าลืมเลือกใช้บริการที่รมย์รวินท์คลินิกนะคะ

                                                                                        ทำหน้าเรียวด้วยวิธีไหนที่ค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด

                                                                                        204

                                                                                        ในปัจจุบันเทคนิคการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวมีอยู่มากมายหลายวิธีให้ได้เลือกใช้บริการกัน โดยแต่ละวิธีมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับโครงสร้างรูปหน้า ผิวพรรณและปัญหาของแต่ละคน นอกจากเทคนิควิธีการในการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวแล้วยังมีเรื่องของงบประมาณค่าใช้จ่ายที่ต้องคำนึงถึงด้วย วันนี้เรามีข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับงบประมาณการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

                                                                                        การฉีดโบ

                                                                                        เริ่มจากวิธียอดฮิตที่หลายคนมักจะนึกถึง คือการทำหน้าเรียวด้วยการฉีดโบ  ซึ่งเป็นโปรตีนสกัดจากแบคทีเรียที่มีความบริสุทธิ์สูง เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัวจึงช่วยลดริ้วรอยลดความหย่อนคล้อยของใบหน้าได้ หลังฉีดจะรู้สึกว่าใบหน้าตึงกระชับทันที แต่จะออกฤทธิ์เห็นผลเต็มที่หลังฉีดประมาณ 2-14 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าของแต่ละคน การทำหน้าเรียวด้วยวิธีนี้ควรเลือกทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะต้องฉีดเข้ากล้ามเนื้อเล็กบนใบหน้าซึ่งต้องใช้ความละเอียดเป็นอย่างมาก สำหรับค่าบริการเริ่มต้นก็อยู่ที่หลักพันถึงหลายพันบาท ขึ้นอยู่กับโปรโมชันของแต่ละคลินิกและจำนวนยูนิตที่ฉีด ซึ่งขึ้นอยู่กับการพิจารณาแพทย์และปัญหาของผู้เข้ารับบริการแต่ละราย

                                                                                        การทำไฮฟู่

                                                                                        การทำหน้าเรียวด้วยไฮฟู่ (Hifu) เป็นเครื่องมือที่ใช้คลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง ส่งพลังเข้าไปกระตุ้นชั้นกล้ามเนื้อระดับลึก เปรียบได้กับการเย็บดึงกล้ามเนื้อที่มีความละเอียดสูง จึงช่วยกระตุ้นชั้นเนื้อเยื่อให้มีการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวยกกระชับ ลดความหย่อนคล้อย ทำหน้าเรียว ลดริ้วรอยได้ดี ที่สำคัญไม่ต้องเจ็บตัวโดนเข็มจิ้มให้หวาดเสียวกันด้วย โดยปกติหลังจากทำไฮฟู่จะเห็นผลทันทีประมาณ 10-30% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างใบหน้าของแต่ละคน และจะเห็นผลชัดเจนขึ้นภายในเวลา 1 เดือน ค่าบริการเริ่มต้นที่หลักพันถึงหลายพันบาทเช่นกัน ซึ่งมีคลินิกบางแห่งไม่จำกัดจำนวนช็อตในการยิงด้วยซ้ำ เรียกได้ว่ายิงกันทั่วหน้าราคาบุฟเฟ่ต์ไปเลย

                                                                                        การทำ LLD Fat

                                                                                        สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องไขมันส่วนเกินบริเวณแก้มและเหนียงต้องการปรับทำหน้าเรียว วิธีการทำ LLD Fat หรือ Lipolytic Lymph Drainage เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เหมาะสมเพราะมีคุณสมบัติในการสลายไขมันส่วนเกินอย่างรวดเร็ว ผลิตมาจากสารสกัดจากธรรมชาติ 100% จึงมีความปลอดภัยสูง หลังฉีดเห็นผลทันที 10-20% ระยะเวลาที่เห็นผลชัดที่สุดหลังจากฉีดไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ ที่สำคัญหลังฉีดเสร็จไม่ต้องพักฟื้น สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ สำหรับผู้ที่มีชั้นไขมันมากสามารถกลับมาฟอลโลอัพฉีดซ้ำได้ เพื่อให้เห็นผลชัดเจนช่วยกระชับ ทำหน้าเรียวเป็น v-shape ได้ดั่งใจ ทางด้านราคาก็เพียงแค่หลักพัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณซีซีที่ใช้ฉีดเข้าไป ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร ยังคงเป็นราคาที่สาวๆ เอื้อมถึงได้แน่นอน

                                                                                        การร้อยไหม

                                                                                        เป็นปกติของผู้ที่มีอายุมากขึ้น การสร้างคอลลาเจนของร่างกายก็ย่อมจะลดน้อยถอยลงไป ส่งผลให้ผิวพรรณหย่อนคล้อยไม่เต่งตึง การร้อยไหมเป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้เพื่อยกกระชับผิว ทำหน้าเรียว โดยใช้วิธีร้อยไหมละลายจำนวนหลายร้อยเส้นเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นให้เนื้อเยื่อใต้ผิวมีการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูอิ่มเต็มกระชับ ช่วยปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวตามสมัยนิยมอีกด้วย ปัจจุบันมีการร้อยไหมหลายแบบ ทั้งไหมเงี่ยงกุหลาบ ไหมก้างปลา ฯลฯ ซึ่งแล้วแต่ว่าคลินิกใดจะนำเสนอไหมในลักษณะไหน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในการยกกระชับใบหน้าได้ ทำหน้าเรียวสวยอย่างที่ต้องการ ด้วยราคาที่ไม่สูงเกินเอื้อมเพียงแค่ไม่กี่พัน ก็สามารถทำหน้าเรียวได้แล้ว

                                                                                        ถึงแม้ว่าการทำหน้าเรียวแต่ละวิธีจะมีค่าใช้จ่ายในการทำไม่แพงมากนัก แต่ถ้าหากบริหารจัดการงบประมาณไม่ดี ก็อาจทำให้คอร์สบานปลายได้ สำหรับท่านใดที่กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย สามารถโทรปรึกษากับสายตรงรมย์รวินท์ได้ที่ 080-153-9000 หรือเดินทางเข้าไปปรึกษาแพทย์ผู้เขี่ยวชาญได้ทั้ง 24 สาขา เพื่อประเมินปัญหาผิวที่แท้จริง ก็จะทำให้คุณประเมินค่าใช้จ่ายได้แม่นยำมากขึ้น

                                                                                        ทำหน้าเรียว…ด้วยวิธีฉีดโบอย่างไรให้ปลอดภัย

                                                                                        203

                                                                                        ใครๆ ก็อยากมีใบหน้าแต่งตึงเรียวงามได้รูปกันทั้งนั้น หนึ่งในเทคนิควิธีที่ช่วยทำหน้าเรียว v-shape ได้ดั่งใจ นั่นคือการฉีดการฉีดโบ แต่ก็ยังมีหลายคนที่รู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ที่จะต้องฉีดเอาสารบางอย่างเข้าไปในร่างกาย สำหรับคนที่ไม่เคยปรับรูปหน้าเรียวด้วยการฉีดโบมาก่อนไม่ต้องกังวลใจไป วันนี้เรามีคำแนะนำดีๆเกี่ยวกับการทำหน้าเรียวมาแนะนำกัน รับประกันว่าทั้งสวยและปลอดภัยแน่นอน

                                                                                        มาทำความรู้จักการฉีดโบกันก่อน

                                                                                        การฉีดโบ เป็นโปรตีนสกัดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งซึ่งนิยมใช้ในวงการความสวยความงามมายาวนาน เมื่อใช้ในปริมาณพอเหมาะจะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ช่วยลดริ้วรอยและยกกระชับผิวช่วยปรับรูปหน้าเรียวได้ดี การทำงานของการฉีดโบเมื่อฉีดเข้าสู่บริเวณที่ต้องการแล้ว จะเข้าไปจับที่ปลายประสาท ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวคลายตัว ส่งผลให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้นและจางลง ทำหน้าเรียว โดยระยะเวลาเห็นผลจะขึ้นอยู่กับลักษณะความหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าว ซึ่งต้องอาศัยเวลาตั้งแต่ 2-14 วัน แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล

                                                                                        ทำหน้าเรียวด้วยวิธีการฉีดโบอย่างไรจึงปลอดภัย

                                                                                        การฉีดโบจัดได้ว่าเป็นยาที่มีการขึ้นทะเบียนเพื่อการรักษาริ้วรอย ทำหน้าเรียว ผ่านการรับรองจาก อย. ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ปัจจุบันทั่วโลกมีการใช้โการฉีดโบเพื่อทำหน้าเรียวอย่างแพร่หลายมานานแล้ว จึงมั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัย เพียงแต่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน สามารถสืบย้อนกลับที่มาของยาได้ แบรนด์ที่นิยมใช้ในประเทศไทยมีทั้งของสหรัฐอเมริกาและของเกาหลี ซึ่งเป็นการฉีดโบบริสุทธิ์ที่มีความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์สามารถนำมาใช้ปรับรูปหน้าเรียวได้ดี

                                                                                        นอกจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองแล้ว สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือแพทย์ผู้ฉีดการฉีดโบต้องเป็นแพทย์ที่ได้รับอนุญาตจากแพทยสภา ศึกษามาทางด้านความงามโดยเฉพาะ พร้อมทั้งการพิจารณาถึงประสบการณ์การรักษาที่ผ่านมา ยิ่งผ่านเคสการรักษามาเยอะ ยิ่งมีความเชี่ยวชาญชำนาญ สามารถให้คำแนะนำและแก้ปัญหาให้กับผู้เข้ามารับบริการโดยเฉพาะผู้ที่ต้องการทำหน้าเรียวได้อย่างตรงจุด

                                                                                        เหนือสิ่งอื่นใดการเลือกใช้บริการจากสถาบันความงามที่ผ่านมาตรฐานการรับรองจะช่วยให้ผู้เข้ารับบริการได้รับความปลอดภัยสูงสุด อย่างรมย์รวินท์คลินิกของเรา ด้วยประสบการณ์อันยาวนานกว่า 15 ปี 24 สาขา เราจึงมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมที่จะให้บริการทุกท่านอย่างทั่วถึง และสามารถขอคำปรึกษาได้ตลอดเวลาหลังจากใช้บริการไปแล้วก็ยังสามารถติดตามผลได้

                                                                                        ข้อควรระวัง

                                                                                        การที่อยากจะปรับรูปหน้าเรียว ทำหน้าเรียว ด้วยการฉีดโบโดยพิจารณาจากราคาถูกเข้าว่า อย่างที่หลายคนรู้จักกันในนามของหมอกระเป๋า ที่ให้บริการฉีดโบกันถึงบ้าน หมอประเภทนี้ถ้าหากตรวจสอบกันจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะมีใบประกอบโรคศิลป์หรือเปล่าด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นก็คือหมอเถื่อน คงไม่ต้องอธิบายกันต่อว่าอันตรายขนาดไหน ทั้งนี้ตามปกติแพทย์จะไม่นิยมให้บริการนอกสถานที่ เพราะถึงแม้จะเป็นเรื่องการเสริมความงามแต่ก็ต้องอาศัยเครื่องไม้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่สะอาดปลอดภัย อยู่ในห้องที่ควบคุมความสะอาดผ่านการฆ่าเชื้ออย่างดี การใช้แสง การใช้ยา และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งจะเป็นการดีกว่าที่ผู้รับบริการจะเข้าใช้บริการที่คลิกนิก

                                                                                        ที่สำคัญคือความเสี่ยงจากการได้รับการฉีดโบปลอม ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก การฉีดโบปลอมทำให้ปากเบี้ยว หนังตาตก ยิ่งไปกว่านั้นถ้าฉีดมากเกินไปยากระจายออกฤทธิ์วงกว้างไปทั่วเกินการควบคุม ทำให้กล้ามเนื้อส่วนอื่นเป็นอัมพาตไปด้วย อาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ และอีกหนึ่งสิ่งที่อาจจะถูกมองข้ามจากการใช้การฉีดโบปลอมก็คืออาการดื้อยา ซึ่งถ้าหากดื้อยาเสียแล้วจากนี้ต่อไปก็จะดื้อยาทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นการฉีดโบจริงหรือปลอมก็ตาม

                                                                                        จริงอยู่ที่การเสริมความงามเป็นการเสริมสร้างบุคลิกภาพเพื่อให้เกิดความมั่นใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของชีวิต ก่อนเข้ารับบริการเสริมความงามครั้งใดก็ตาม ขอให้สละเวลาตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานของสถานเสริมความงาม ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ รวมถึงใบอนุญาตของแพทย์ที่ทำการรักษา หรือสามารถโทรสอบถามการให้บริการของเราได้ที่ 080-153-9000 รมย์รวินท์คลินิกยินดีให้บริการค่ะ

                                                                                        รู้ไว้ใช่ว่า หลักการ “ปรับรูปหน้าเรียว”ด้วย HIFU สิ่งที่สาวๆควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ

                                                                                        201

                                                                                        Hifu นวัตกรรมความงามที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการปรับรูปหน้าเรียว ทำงานโดยใช้คลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ยิงเข้าไปใต้ชั้นผิว จุดเด่นของมันคือการยิงคลื่นโดยทำให้เกิดแผล เป็น shot เล็กๆ จากภายในโดยที่ผิวหน้าด้านนอกไม่มีเลือดออกเลย จากนั้นร่างกายจะสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเอง เป็นการปรับรูปหน้าเรียวโดยที่ไม่ต้องเติมสารใดเข้าสู่ร่างกาย จึงทำให้หลายคนมั่นใจว่าจะไม่เกิดความเสี่ยงต่อการแพ้ค่ะ ว่าแต่ Hifu จะได้ผลหรือไม่ จะมีข้อเสียอย่างไรถ้าอยากรู้ตามมาดูกันค่ะ

                                                                                        ผู้ใดที่เหมาะสำหรับการทำ Hifu

                                                                                        Hifu ขึ้นชื่อในเรื่องของการปรับรูปหน้าเรียว เพิ่มความกระชับ ลดความหย่อนคล้อย เก็บกรอบหน้า ทำให้หน้าได้รูปสวยคมขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีไขมันเยอะบริเวณเหนียง คาง จะเหมาะสำหรับการทำ Hifu เป็นอย่างมาก โดยการทำ Hifu จะตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแต่อยู่ในระดับที่เพิ่งเริ่มหรือผิวหย่อนคล้อยไม่มาก เพราะมีระดับความแรงและราคาที่เหมาะสม แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยมากๆ อาจจะต้องทำร่วมกับโปรแกรมดูแลผิวหน้าชนิดอื่น หรือเพิ่มความแรงขึ้นเป็นการยิง Shot ด้วยโปรแกรมที่เรียกว่า Ulthera แทน

                                                                                        การทำ Hifu เจ็บหรือไม่

                                                                                        การทำ Hifu ถ้าบอกว่าไม่เจ็บเลยก็คงจะเป็นเรื่องที่โกหก เพราะการยิง Shot ผ่านผิวหนังลงไปนั้นมันจะเกิดความรู้สึกหน่วง ๆ บ้าง หรือในจุดที่ยิงผ่านส่วนโครงหน้าที่เป็นกระดูก ก็จะทำให้ใบหน้าของเราเกิดความหน่วงมากขึ้น หรือเจ็บแบบแปล๊บๆ (เป็นระดับที่ทนได้) แต่นั่นคือสัญญาณที่ดี เพราะมันสะท้อนให้เห็นว่าประสิทธิภาพของเครื่องถือว่าใช้ได้ ปรับระดับพลังงานที่พอดีไม่ต่ำเกินไป เพราะถ้าไม่เจ็บเลยนั่นแปลว่ายิง Shot ลงไปได้ไม่ลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งแน่นอนว่าการปรับรูปหน้าเรียวอาจจะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร 

                                                                                        การทำ Hifu อยู่ได้นานแค่ไหน

                                                                                        การทำ Hifu แต่ละครั้งจะเห็นผลหลังทำเสร็จเพียง 20-30% (สำหรับท่านใดที่ทำเสร็จแล้วไม่รู้สึกต่าง อย่าเพิ่งตกใจนะคะ ให้สังเกตที่ร่องลึก หรือกรอบหน้าก็จะพอเห็นการปรับรูปหน้าเรียวได้บ้าง) แต่ช่วง 1 เดือนหลังจากนั้นร่างกายจะค่อยๆ สร้างคอลลาเจนขึ้นมาจึงทำให้เห็นผลชัดขึ้นในช่วง 1 เดือน ผลของการทำ Hifu โดยเฉลี่ยจะอยู่ได้นานราว 5-6 เดือน หมายความว่า ใน1ปีถ้าทำ 2-3 ครั้งกำลังดี หรือถ้าหากต้องการยิงซ้ำก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยให้เว้นช่วงจากการทำครั้งแรกประมาณ 3 เดือน จากนั้นก็สามารถยิงซ้ำได้ค่ะ

                                                                                        เลือกทำ Hifu ที่เรทราคาเท่าไหร่ดี

                                                                                        สำหรับใครที่สนใจการปรับรูปหน้าเรียวด้วย Hifu อาจจะพบว่ามีราคาที่แตกต่างกันมากอย่างน่าตกใจ ตั้งแต่หลัก(หลาย)หมื่นบาทไปจนถึงไม่กี่พันบาทเท่านั้น คงจะเป็นเรื่องยากที่จะฟังธงอะไรดีหรือไม่ดี แต่ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดราคาคือยี่ห้อของเครื่องและ หัวยิง Shot เพราะหัวยิงแต่ละหัวมีประสิทธิภาพในการยิงหน้าตื้นต่างกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วหัวยิงที่คุณภาพดี ยิงได้ลึก พลังงานคงที่ จะมีราคาสูงจึงทำให้ต้นทุนสูง และค่าใช้จ่ายแพงกว่า แต่ก็ตามมาด้วยผลลัพธ์ที่ดีกว่า ฉะนั้นก่อนเลือกคอร์สยิง Hifu จากที่ใด ควรสอบถามด้วยว่าที่คลินิกใช้เครื่องรุ่นใดแล้วไปศึกษาคุณภาพของเครื่องเพิ่มเติม ก็จะช่วยคุณตัดสินใจเลือกคอร์สยิง Hifu ได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น 

                                                                                        สำหรับท่านใดที่สนใจการปรับรูปหน้าเรียว หรืออยากเก็บโครงหน้าให้ชัดเจนขึ้น โดยที่อาจมีปัญหารูปหน้าไม่มากนัก และมีงบปานกลาง Hifu เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณที่สุดแล้วล่ะค่ะ ในส่วนของจำนวน Shot ที่กำลังกังวลว่าควรทำจำนวนเท่าไหร่และบริเวณไหนดี สามารถปรึกษาฟรีได้ที่ โทร 080-153-9000   หรือ Walk in ได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขาค่ะ

                                                                                        รู้ไว้ใช่ว่าหลักการ “ปรับรูปหน้าเรียว” ด้วยวิธีร้อยไหม สิ่งที่สาวๆควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ

                                                                                        200

                                                                                        เมื่อใบหน้าเริ่มหย่อนคล้อยไปตามกาลเวลา หลายคนก็ต้องเริ่มหาตัวช่วยที่จะทำให้หน้ายังคงความสวยใสเหมือนวัยรุ่นดังเดิม “การร้อยไหม” เป็นวิธีปรับรูปหน้าเรียวอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมเสมอมา หลักการคือ ร้อยเส้นไหมชนิดพิเศษเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง จากนั้นร่างกายก็จะทำหน้าที่สร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ส่งผลให้ผิวเราสวยใสเต่งตึงตามที่ต้องการ

                                                                                        ไหมมีกี่ประเภท

                                                                                        สมัยก่อนไหมที่นิยมในการนำมาร้อยปรับรูปหน้านั้นทำมาจากวัสดุที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโลหะหนัก (ทองคำ) หรือพลาสติก(พอลิโพไพรลีน) ที่ทนความร้อนสูงและไม่ละลายง่าย แต่ในระยะยาวกลับปรากฏว่าไหมที่ไม่ละลายอาจนำมาซึ่งผลเสียที่เยอะกว่าเช่นเส้นไหมทะลุเพราะชั้นผิวหนังและชั้นไขมันใต้ผิวหนังของเราบางลง

                                                                                        ปัจจุบันนี้ จึงนิยมการใช้ “ไหมละลาย” ซึ่งเป็นไหมสังเคราะห์ชนิดพิเศษที่ทำขึ้นมาเพื่อใช้ในวงการความงาม การปรับรูปหน้าเรียวโดยเฉพาะ มีทั้งไหม PDO (Polydioxanone) และไหม PGA (Synthetic Absorbable Monofilament) มีคุณสมบัติพิเศษหลายอย่าง ได้แก่ ไม่ทำปฏิกิริยาที่ระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อ, ช่วยลดอาการอักเสบและติดเชื้อ, เมื่อไหมหมดอายุการใช้งาน (6-8 เดือน) มันจะสามารถสลายหายไปได้เอง, และยังถูกออกแบบมาหลากหลายรูปแบบเพื่อคุณสมบัติที่เฉพาะเจาะจงขึ้น

                                                                                        • ไหมสปริง (Spring Lifting) หรือบางคนเรียกว่าไหมเกลียว คุณลักษณะจะมีซิลิโคนกลมพันอยู่รอบเส้นไหม เพื่อเกี่ยวและยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ปรับรูปหน้าเรียวได้มากขึ้น
                                                                                        • ไหมก้างปลา (Barb) เป็นไหมที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบันนี้ โดยเป็นไหมที่ถูกบากให้เป็นเงี่ยงออกมา เมื่อทำการร้อยเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังเงี่ยงก้างปลาก็จะเกี่ยวพันเนื้อเยื่อให้ยกขึ้นและดึงให้ตึงขึ้น
                                                                                        • ไหม Molding PDO เป็นไหมอีกประเภทที่ได้รับความนิยมพอๆกับไหมก้างปลา คุณสมบัติเด่นคือเป็นไหมที่หล่อขึ้นมาทั้งเส้น จุดบากมีความแข็งแรง สามารถเกี่ยวพันเนื้อเยื่อได้ดีกว่า ปรับรูปหน้าเรียวเห็นผลนานกว่า 
                                                                                        • ไหมกรวย (Silhouette soft) ไหมกรวยตัวเส้นไหมจะมัดเป็นปม และจะมีพลาสติกทรงกรวยอยู่ระหว่างปมของเส้นไหม มีหน้าที่ในการช่วยยกกระชับและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

                                                                                        ผู้ที่เหมาะและไม่เหมาะสำหรับการทำร้อยไหม

                                                                                        การร้อยไหมเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด โดยทั่วไปเป็นช่วงอายุประมาณ 35 – 55 ปี ซึ่งจะเห็นผลได้ชัดเจนมากกว่า เป็นวิธีการปรับรูปหน้าเรียวที่รวดเร็ว ร้อยไหมปุ๊บเริ่มเห็นผลทันทีและจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่ร่างกายสร้างคอลลาเจนอย่างเต็มที่ อีกทั้งผลลัพธ์นี้สามารถอยู่ได้นานราว 6 เดือนถึง 1 ปีเลยทีเดียว

                                                                                        หลายคนบอกว่าการร้อยไหมสามารถทำได้ทุกคน เพราะเป็นกระบวนการยกกระชับ ปรับรูปหน้าเรียว ช่วยลดเลือนริ้วรอยซึ่งประโยชน์ของมันนั้นไม่ผิดเลย แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่มีอายุยังน้อย ที่ยังไม่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมากนัก ก็อาจจะยังไม่จำเป็นต้องร้อยไหมก็ได้  เพราะสามารถปรับรูปหน้าเรียวได้ด้วยวิธีอื่นอีกหลายวิธี

                                                                                        ร้อยไหมอยู่ได้นานแค่ไหน ทำได้อีกครั้งเมื่อไหร่

                                                                                        สำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าเรียวอย่างเห็นได้ชัด สามารถกลับมาร้อยไหมซ้ำหลังจากทำครั้งแรกไปแล้วอย่างน้อย 3 เดือน หลังจากการร้อยไหมเสร็จสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ทันทีไม่ต้องพักฟื้น แต่สิ่งที่ต้องระวังคือในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังการร้อยไหม ควรเลี่ยงการอ้าปากกว้าง หัวเราะดัง ๆ ตะโกนดัง ๆ หรือแสดงอารมณ์ทางสีหน้ามากเกินไปเพื่อป้องกันไหมฉีกขาดและอักเสบ

                                                                                        ส่วนผลข้างเคียง นอกจากการบวมเขียวช้ำที่เกิดได้ตามปกติแล้ว อาจเกิดการติดเชื้อ เกิดรอยบุ๋ม หน้าไม่เรียบได้ ฉะนั้นควรที่จะทำภายใต้คลินิกที่สะอาด ปลอดภัย และได้มาตรฐาน เพราะแพทย์ที่เชี่ยวชาญจะเข้าใจดีว่าควรร้อยไหมเข้าไปในระดับความลึกแค่ไหนจึงจะเหมาะสม

                                                                                        สำหรับผู้ที่ต้องการร้อยไหมปรับรูปหน้าเรียว สร้างความเต่งตึง หรืออยากสอบถามปรึกษาปัญหาผิวหน้าสามารถเข้ามาสอบถามกับคลินิกรมย์รวินท์ของเราได้ทุกสาขา จากประสบการณ์มากกว่า 14 ปี บวกกับความทันสมัยของเครื่องมือ เราเชื่อว่าจะช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับคนไข้ที่มาใช้บริการของเราค่ะ

                                                                                        รู้ไว้ใช่ว่า หลักการปรับรูปหน้าเรียวด้วย Filler สิ่งที่สาวๆควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ

                                                                                        filler

                                                                                        การฉีด Filler เป็นการปรับรูปหน้าเรียวได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องผ่าตัด เป็นกระบวนการที่ใช้เวลาอันสั้นเพียงไม่กี่นาที แต่ผลลัพธ์อยู่ได้นานเป็นปี แถมราคายังถูกกว่าการศัลยกรรมหลายเท่า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ได้รับความนิยมในวงการความงามเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นหลายคนก็ยังอดกังวลไม่ได้ว่าการปรับรูปหน้าเรียวด้วยฟิลเลอร์นั้นมีผลข้างเคียงหรือไม่

                                                                                        Filler ฟิลเลอร์คืออะไร?

                                                                                        Filler หรือฟิลเลอร์ เป็นสารเติมเต็มที่มีประโยชน์ในการปรับรูปหน้าเรียว หรือแก้ไขข้อบกพร้องของใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นการลดเลือนริ้วรอย การเติมจมูก, คาง หรือส่วนที่ดูตอบให้มีความนูนมากขึ้น ฟิลเลอร์ที่ใช้ในวงการความงามคือ “กรดไฮยาลูรอนิค แอซิด” (Hyaluronic acid หรือ HA) ความจริงแล้วสารเหล่านี้มีอยู่ในร่างกายของเรา แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นกระบวนการสังเคราะห์สารตัวนี้จะลดลง โดยเฉพาะเมื่ออายุเข้าสู่วัย 30 ขึ้นไป

                                                                                        ความรู้ทางการแพทย์ สมัยก่อนมีการใช้ กรดไฮยาลูรอนิค แอซิดในการรักษาอาการข้อเข่าเสื่อมหรือโรค ที่เกี่ยวกับข้อต่อ เพราะมีลักษณะหนืดข้น ละลายน้ำได้ดี ช่วยลดการเสียดสี ลดอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณข้อต่อ แต่จากการศึกษายังพบว่าสารนี้มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดี และมีประโยชน์ในวงการความงามจึงนิยมนำมาใช้ในการปรับรูปหน้าเรียว หรือปรับโครงสร้างใต้ชั้นผิวหนังให้ดูเต็มมากขึ้น

                                                                                        ฉีดฟิลเลอร์แล้วทำไมถึงไหล?

                                                                                        อีกหนึ่งคำถามที่มักจะได้ยินอยู่เสมอคือ “ปรับรูปหน้าเรียวด้วยฟิลเลอร์แล้วกลัวมันไหลจะทำอย่างไร” ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ฟิลเลอร์มีหลายชนิด มีลักษณะโมเลกุลต่างกันตั้งแต่โลเลกุลใหญ่ไปจนถึงละเอียด ซึ่งแต่ละชนิดต่างก็มีคุณสมบัติในการใช้กับวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น

                                                                                        ฟิลเลอร์ที่มีโลเลกุลใหญ่ จะเหมาะสำหรับการปั้นรูปหรือขึ้นรูป เช่นบริเวณจมูก คาง ฟิลเลอร์ที่มีโลเลกุลเล็กลงมาหน่อย จะเหมาะสำหรับการฉีดเพื่อเติมเต็ม ซึ่งได้แก่ บริเวณร่องแก้ม หน้าผาก หรือฉีดบนใบหน้าสำหรับผู้ที่มีปัญหาหย่อนคล้อยไม่มากที่ต้องการเน้นผิวที่ดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวล ฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลละเอียด จะเหมาะสำหรับการฉีดเฉพาะจุด เช่น ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว ผู้ที่มีริ้วรอยร่องตื้น และยังใช้ในการปรับรูปหน้าเรียวได้เช่นกัน

                                                                                        ฉะนั้นคำถามคือกรณีที่ฟิลเลอร์ไหล จะต้องมาดูแล้วว่าเราฉีดฟิลเลอร์ชนิดใดเข้าสู่ผิวบริเวณใด ถ้าฉีดฟิลเลอร์ชนิดที่มีโมเลกุลใหญ่กับผิวที่ไม่เหมาะ ก็อาจทำให้ฟิลเลอร์เกิดการเคลื่อนที่ไปยังบริเวณบนใบหน้าได้ 

                                                                                        ฟิลเลอร์ ละลายได้จริงหรือไม่?

                                                                                        อีกหนึ่งคำถามยอดฮิต “เมื่อเจอความร้อนฟิลเลอร์ละลายหรือไม่” ทำความเข้าใจกันก่อนโดยปกติเมื่อฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าเรียวย่อมฉีดอยู่ในบริเวณแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นแก้ม คาง หน้าผาก ฯลฯ ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นจุดที่ไม่ได้โดนความร้อนโดยตรง หรือถ้าสัมผัสก็ช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นไดรเป่าผม น้ำอุ่น หรืออาหารที่ร้อนซึ่งก็จะกระทบเฉพาะบริเวณริมฝีปาก แต่ระยะเวลาที่สัมผัสความร้อนเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงสั้น ๆ การสัมผัสความร้อนจึงไม่ได้ส่งผลให้ฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าเรียวละลายได้ขนาดนั้น

                                                                                        แต่อย่างไรก็ตาม ฟิลเลอร์เป็นสารที่สังเคราะห์จากธรรมชาติ ฟิลเลอร์คุณภาพมาตรฐาน ที่ใช้ปรับรูปหน้าเรียวจะสลายหายไปอยู่แล้วในช่วงระยะเวลา 1 ปีโดยเฉลี่ย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณความเข้มข้น บริเวณที่ฉีด พฤติกรรมของเรา รวมทั้งคุณภาพของฟิลเลอร์ด้วย เมื่อหมดระยะเวลามันจะสามารถสลายตัวได้เองจนไม่เหลือตกค้าง 100% ฉะนั้นถ้าอยากให้ผลของการฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าเรียวออกมาดีที่สุดต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียดนะคะ สำหรับท่านใดที่ยังมีข้อสงสัยสามารถโทรสอบถามสายตรงได้ที่ 080-153-9000 รมย์รวินท์คลินิกยินดีให้บริการค่ะ

                                                                                         

                                                                                        รู้ไว้ใช่ว่าการฉีดโบก็มีอันตราย เลือกให้ดีก่อนทำหน้าเรียว

                                                                                        ฉีดโบ

                                                                                        เมื่อกล่าวถึง การฉีดโบมั่นใจได้เลยว่าไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะว่าด้วยเรื่องของความงาม ผู้คนส่วนใหญ่จะต้องนึกถึงการทำการฉีดโบเป็นอันดับต้นๆ อยู่แล้วฉีดโบมีประโยชน์ในการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวมากมายไม่ว่าจะเป็นการลดกราม ลดเลือนริ้วรอย ร่องแก้ม รอยตีนกา ฯลฯ เรียกว่าฉีดโบช่วยได้ทั่วทั้งใบหน้าเลยทีเดียว แต่ถึงแม้จะได้รับความนิยมมากแค่ไหน สาวๆ ก็ต้องระวังกันด้วยนะคะ เพราะภายใต้ความนิยมนี้ก็ยังมีของปลอมซ่อนอยู่

                                                                                        รู้ไว้ใช่ว่าฉีดโบปลอมก็มีนะ

                                                                                        เมื่ออะไรที่เป็นของดังก็มักจะมีของเลียนแบบเป็นธรรมดา การฉีดโบปลอมก็ย่อมมีเช่นกัน แถมยังเป็นสิ่งที่ระวังยาก เพราะบางครั้งการก็อปปี้นี้ก็ทำได้แนบเนียนราวกับเป็นของจริง ด้วยบรรจุภัณฑ์ที่คล้ายซะจนแยกไม่ออก ยิ่งเป็นตัวยาแล้วยิ่งไม่สามารถดูออกได้เลยว่าเป็นของแท้แน่นอนหรือไม่ ฉะนั้นสิ่งที่หลายคนต้องตระหนักก็คือการตรวจสอบให้ดีก่อนเลือกใช้บริการ

                                                                                        วิธีการตรวจสอบการฉีดโบก่อนใช้บริการ

                                                                                        1. ลืมเรื่องราคาโปรโมชั่นไปให้หมดสิ้น เชื่อว่าสาวๆ บางคนต้องมีอาการแพ้คำว่าโปรโมชั่น เมื่อเจอคำว่า “โปรโมชั่น” เมื่อไหร่ต้องตื่นตาตื่นใจทุกที ความจริงแล้วการทำหน้าเรียวช่วงโปรโมชั่นไม่ใช่สิ่งผิด เพราะมันเป็นการตลาดที่ทุกคลินิกต่างก็เลือกใช้ แต่สิ่งที่อยากให้ระวังคือโปรโมชั่นที่มีราคาถูกมากจนน่าตกใจ เช่นโปรจากหลักหมื่นลดเหลือแค่หลักร้อยปลายๆ หรือพันต้นๆ ถ้าเจออย่างนี้ควรจะเอะใจ และศึกษาข้อมูลก่อนเลือกใช้บริการ
                                                                                        2. ขอตรวจสอบขวดบรรจุพร้อมกล่องทุกครั้ง โดยปกติการฉีดโบของแท้ขวดที่บรรจุกับกล่องของขวดนั้น ๆ จะต้องมีเลข Lot ที่ตรงกัน ก่อนใช้บริการควรขอตรวจสอบเลขข้างกล่องนี้ ซึ่งจะมีตั้งแต่เลข Lot ที่ผลิต วันผลิต วันหมดอายุ ของแท้จะต้องตรงกันทั้งหมด ควรเป็นขวดที่เปิดใหม่ และอย่าลืมดูขนาดรูปร่างของขวดด้วยล่ะ จงอย่าอายที่จะขอดูเพื่อความแน่ใจ พึงระลึกไว้เสมอว่าถ้าหากโชคร้ายเจอการฉีดโบปลอม นอกจากจะปรับรูปหน้าไม่เรียวแล้ว ยังอาจจะแพ้ หรือหน้าพังไปเลยก็ได้
                                                                                        3. ตรวจสอบบยี่ห้อการฉีดโบกับบริษัทผู้นำเข้า ถ้าเป็นไปได้ควรขอตรวจสอบยี่ห้อของโบและนำยี่ห้อนั้นไปตรวจสอบกับผู้นำเข้า ว่าคลินิกชื่อ…(ที่เราจะเข้ารับบริการ)…ได้ทำการสั่งสินค้าจากผู้นำเข้าโดยตรงหรือไม่ วิธีการนี้อาจจะดูยากและซับซ้อน แต่จะทำให้คุณในฐานะผู้บริโภคจะได้รับบริการที่มีคุณภาพที่สุด ส่วนวิธีการขอตรวจสอบยี่ห้อก่อนนั้นอาจจะใช้วิธี Walk in เข้าไปปรึกษาการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวด้วยการฉีดโบก่อนและขอดูยี่ห้อของโบที่ใช้ สำหรับคลินิกใดที่ใช้ของแท้ย่อมยินดีที่จะให้ลูกค้าดูอย่างไม่ลังเล
                                                                                        4. ทำการบ้านก่อนที่จะเดินเข้าคลินิก จากการสำรวจที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มคนที่อยากปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวด้วยการฉีดโบมักจะเชื่อใจคลินิกมากกว่าเชื่อใจตนเอง เพราะด้วยความที่คิดว่าคลินิกมีความเชี่ยวชาญมากกว่าเรา มีชื่อเสียง มีฐานลูกค้ามากมาย คงไม่กล้าใช้ของไม่ได้คุณภาพเป็นแน่ อีกทั้งด้วยความที่โบเป็นสินค้าเฉพาะทางมีศัพท์ทางเทคนิคที่เข้าใจยาก ทำให้เลี่ยงการหาข้อมูลพื้นฐานด้วยตัวเองแต่เลือกที่จะเชื่อเจ้าหน้าที่แทน ความจริงแล้วเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนัก ในฐานะผู้บริโภคควรที่จะต้องศึกษาข้อมูลก่อนเบื้องต้น อย่างน้อยก็ควรที่จะรู้ว่าการฉีดโบมีกี่ประเภท นิยมนำเข้าจากที่ไหนบ้าง คลินิกที่เราจะใช้บริการใช้ผลิตภัณฑ์โบยีห้ออะไร ที่คลินิกฉีดให้ใช้กี่ยูนิต เป็นต้น
                                                                                        5. ควรตรวจสอบหลาย ๆ คลินิก อย่าเพิ่งเชื่อรีวิว หรือคำบอกเล่าต่างๆ นานา เกี่ยวกับทุกคลินิกที่ได้ข้อมูลมาก แต่จงเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ในใจแล้วเดินเข้าไปปรึกษาคลินิกด้วยตนเอง และที่สำคัญคือควรสอบถามพูดคุยกับหลายๆคลินิก การที่ได้สอบถาม พูดคุย การตอบคำถามของแพทย์ การให้ข้อมูลต่าง ๆ ของเจ้าหน้าที่จะเป็นส่วนช่วยให้คุณตัดสินได้ง่ายขึ้นค่ะ

                                                                                        ในแต่ละปีมีผู้สนใจทำหน้าเรียวด้วยการฉีดโบเป็นหมื่นเป็นแสนคน แต่คนที่ทำแล้วหน้าไม่เรียวดั่งใจก็มีไม่น้อยเช่นกัน ฉะนั้นถ้าคุณไม่อยากเป็นคนหนึ่งที่พลาด เสียเงินฟรีโดยไม่เกิดผลลัพธ์แถมยังต้องเสี่ยงต่อการแพ้ต่าง ๆ ควรศึกษาหาข้อมูลเยอะๆ นะคะ สำหรับใครที่อยาก Walk in เข้ามาพูดคุยเพื่อดูบรรยากาศ สามารถ walk in เข้ามาได้ที่รมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขา เจ้าหน้าที่ของเราพร้อมให้คำปรึกษา และยินดีต้อนรับทุกท่านค่ะ

                                                                                        10 เคล็ดลับเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้สาวๆ เร่งสลายไขมัน

                                                                                        134

                                                                                        การที่จู่ๆ คนเราจะลุกขึ้นมาตั้งใจทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น  ย่อมจะต้องมี Inspiration หรือแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลง เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้  โดยเฉพาะหนึ่งในเป้าหมายที่คุณสาวๆ อยากพิชิตมันให้ได้ นั่นก็คือ เรื่องของการลดน้ำหนัก สลายไขมันกวนใจให้หายสิ้นซาก แต่จนแล้วจนรอดสาวๆ ทั้งหลายก็ยังคว้าน้ำเหลวไปไม่ถึงฝันสักที นั่นก็เป็นเพราะว่าไม่มีสิ่งกระตุ้นเตือนให้รู้สึกอยากลดน้ำหนัก หรือจะเพราะความขี้เกียจก็แล้วแต่ เอาเป็นว่า เรามาลองเริ่มต้นหาแรงบันดาลในใจการลดน้ำหนัก สลายไขมันใหม่กันอีกซักตั้ง กับ 10 เคล็ดลับเพื่อช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้สาวๆ อึดอีกเฮือก เพื่อลดหุ่น สลายไขมันได้ถึงฝั่งฝันแบบที่ต้องการค่ะ

                                                                                        1. สร้างจินตนาการเกี่ยวกับรูปร่างของคุณ ให้คุณสาวๆ ลองส่องกระจกเพื่อสำรวจรูปร่างของตนเองค่ะ ดูซิว่ามีไขมันส่วนเกินบริเวณไหนบ้างที่เราอยากกำจัดสลายไขมันออกไป หากยังนึกไม่ออกให้ลองวิธีนี้ค่ะ  ถ้าพุงใหญ่ให้เขม่วท้องแบบสุดๆ  ถ้าบริเวณปีกสะโพกหนาให้ใช้สองมือบังบริเวณปีกสะโพก  หรือถ้าต้นแขนใหญ่ให้กางแขนออกแล้วใช้มือบังบริเวณส่วนที่ห้อยย้อยของท่อนแขนบน แล้วลองจินตนาการว่า หากสลายไขมันส่วนนี้ออกไปรูปร่างของคุณจะเป๊ะปังขนาดไหน แนะนำว่าให้คุณส่องกระจำแล้วทำแบบนี้ทุกสัปดาห์นะคะ สิ่งเหล่านี้จะแสดงผลในเชิงบวกและจะกระตุ้นต่อสมองของคุณ ให้มีความพยายามอยากลดน้ำหนัก สลายไขมันมากขึ้นได้ค่ะ

                                                                                        2. เขียนเป้าหมายตัวโตๆ ให้คุณเห็นได้ชัดเจน วิธีนี้เป็นการกระตุ้นตัวเราอยู่ตลอดเวลา ว่าต้องสลายไขมันออกไปให้ได้ โดยการเขียนเป้าหมายของคุณตัวโตๆ ลงกระดาษแล้วแปะเอาไว้บริเวณที่คุณสามารถมองเห็นได้ง่าย  เช่น โต๊ะทำงาน ข้างฝนังเตียง หรือเขียนลงบล็อคส่วนตัว เพื่อติดตามผลงานของตนเอง โดยถ่ายรูปและจดบันทึกความเปลี่ยนแปลงทั้งน้ำหนักและรูปร่างเอาไว้เสมอ สิ่งนี้จะเป็นแรงกระตุ้นให้คุณไม่ล้มเลิกความตั้งใจในการลดน้ำหนัก สลายไขมันไปเสียก่อนค่ะ

                                                                                        shutterstock 211479040

                                                                                        3. ตั้งเป้าหมายการลดน้ำหนัก ค่อยๆ เริ่มที่ละน้อย สำหรับคุณสาวๆ ที่มีความอดทนไม่สูงต่อการลดน้ำหนัก สลายไขมันลองใช้วิธีนี้ดูนะคะ โดยการตั้งเป้าลดน้ำหนักแบบน้อยๆ ดูก่อน เช่น ใน 1 เดือน ควรลดให้ได้ 1-2 กิโลฯ ก็ควรพอใจแล้ว อย่าตั้งเป้าไปที่ 10-20 กิโลฯ เพราะอาจจะมากไปจนเป็นผลเสียกับร่างกายแล้ว ยังทำให้คุณรู้สึกท้อถอยและเบื่อหน่ายไม่อยากลด หรือสลายไขมันได้ค่ะ หลังจากนั้นเมื่อคุณทำได้ แล้วจึงค่อยเพิ่มเป้าหมายให้ใหญ่ขึ้นไปอีกนิดโดยที่คุณไม่ได้รู้สึกซีเรียสอะไร แล้วคุณจะสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ค่ะ

                                                                                        4. อยู่ให้ห่างจากคนที่จะทำให้คุณหลุดเป้าหมายการลดน้ำหนัก  สาวๆ ต้องฝึกตนเองให้เป็นคนใจแข็งเข้าไว้ค่ะ เช่น ปฏิเสธเพื่อนที่ชอบพาคุณไปสังสรรค์หลังเลิกงาน หรือพยายามอยู่ให้ห่างจากเพื่อนสายโซ้ยแหลก แล้วคุณควรหากลุ่มเป้าหมายให้เหมือนกันกับคุณในเรื่องของการลดน้ำหนักสลายไขมัน หรือลองหาเพื่อนกลุ่มใหม่ๆ จากกิจกรรมการออกกำลังกาย เช่น กลุ่มนักปั่นจักรยาน กลุ่มวิ่งมาราธอน หรือกลุ่มคนเล่นฟิตเนส เมื่อมีเพื่อนเราจะรู้สึกสนุกกับกิจกรรมนี้มากขึ้น และยังได้สังคมใหม่ๆ อีกด้วยนะ

                                                                                        shutterstock 1112101457

                                                                                        5. หา Idol สร้างแรงบันดาลใจสลายไขมัน Idol ในที่นี้ จะเป็นดารา นางแบบ นักร้อง หรือจะเป็นคนที่คุณรู้จักคุ้นเคยก็ได้ทั้งนั้นค่ะ ลองทำตัวเป็นติ่งของคนเหล่านั้นดู แล้วเข้าไปส่องใน IG หรือใน Facebook ว่าในแต่ละวัน เขาใช้ชีวิตกิน อยู่ ออกกำลังกายกันแบบไหนถึงมีรูปร่างฟิตแอนด์เฟิร์มได้ขนาดนั้น จากนั้นให้คุณลองปรับวิธีการกิน อยู่ ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับตัวของคุณ และที่สำคัญอย่าลืมถ่ายรูปหุ่นของตนเองเอาไว้เทียบกับ Idol นะคะ จะได้มีแรงฮึดในการสลายไขมัน ฟิตหุ่นให้สวยเหมือน Idol ที่คุณชอบค่ะ

                                                                                        6. สลายไขมันเพื่อให้เธอหันมา สาวๆ คะ ตอนนี้กำลังแอบปิ๊งใครอยู่รึเปล่าเอ่ย ประมาณว่ารักเขาข้างเดียวเหมือนข้าวเหนียวนึ่ง … ถ้าคิดว่าน้ำหนักของคุณคืออุปสรรคของรักครั้งนี้ ลองเปลี่ยนอุปสรรคมาเป็นพลังบวกแล้วเริ่มต้นลดน้ำหนักสลายไขมันอย่างเอาจริงเอาจังดีกว่าค่ะ เพราะนอกจากรูปร่างคุณเพอร์เฟคขึ้นแล้ว ไม่แน่เขาอาจกำลังปิ๊งคุณอยู่ก็ได้นะเออ…

                                                                                        7. ติดพนันบ้าง แต่เกี่ยวกับเรื่องลดน้ำหนักเท่านั้นนะ การพนันในที่นี้ หมายถึงพนันเพื่อแข่งกันลดน้ำหนักสลายไขมันเท่านั้นนะคะ!  จะแข่งกันแค่ 2 คน หรือชักชวนแข่งกันเป็นกลุ่มก็ตามแต่ อาจมีติดปลายนวมเล็กน้อยเพื่อเพิ่มดีกรีความสนุก คนแพ้จะเลี้ยงน้ำเลี้ยงขนมก็ว่ากันไป วิธีสลายไขมันนี้ค่อนข้างได้ผลดีนะคะ เพราะมีแรงจูงใจให้คุณรู้สึกต้องเอาจริงเอาจังในการลดน้ำหนัก แหม… ก็แน่ล่ะ ของฟรีใครๆ ก็ชอบจริงไหมคะ…

                                                                                        8. ซื้อชุดที่คุณอยากใส่แต่ใส่ไม่ได้ เช่น คุณเคยเล็งชุดนี้เอาไว้นานแล้ว แต่ไม่สามารถใส่ได้เพราะติดที่รูปร่าง ต่อไปนี้อย่าได้แคร์ค่ะ ซื้อเลยค่ะสาวๆ เจ้าเนื้อทั้งหลาย แล้วตั้งปณิธานเอาไว้ว่าเราจะต้องใส่ชุดนี้ให้ได้ เป็นวิธีการสลายไขมันที่มีเป้าหมายชัดเจน จะช่วยกระตุ้นความรู้สึกให้คุณอยากลดน้ำหนักสลายไขมันลงได้เป็นอย่างดีเชียวค่ะ

                                                                                        9. ลองย้อนกลับไปดูรูปตนเองสมัยเอ๊ะๆ สิ อายุที่มากขึ้น ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของระบบเผาผลาญ สลายไขมันของร่างกายที่ลดน้อยลง และยิ่งแย่ไปกันใหญ่ถ้าคุณไม่ยอมออกกำลังกาย เพราะไขมันที่สะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายมันจะยิ่งพอกพูนน้ำหนักตัวก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ งั้นให้ลองวิธีนี้ดูค่ะ ให้คุณไปรื้ออัลบัมรูปภาพเก่าๆ สมัยคุณยังสาวๆ เอ๊ะๆ หรือเข้าไปในเพจส่วนตัวแล้วย้อนไปดูภาพของตนเองที่เคยโพสต์ไว้เมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว เห็นไหมคะ ว่าคุณเคยมีเอวคอด แขนขาเรียวเล็ก รูปร่างสวยสมส่วนขนาดไหน จ้องรูปนั้นเอาไว้ลองสะกดจิตตนเองว่า เราต้องกลับไปหุ่นเป๊ะแบบเดิมให้ได้ เริ่มจากจดสถิติรอบเอวของคุณ แล้วเริ่มต้นลดน้ำหนักสลายไขมันอย่างจริงๆ จังๆ ไม่นานคุณจะกลับไปมีรูปร่างเหมือนตอน 14 อีกครั้งแน่นอนค่ะ

                                                                                        shutterstock 1089858602

                                                                                        10. ตระหนักถึงอันตรายของความอ้วนอยู่เสมอ ในปัจจุบัน เราจะพบเห็นได้บ่อยว่าสื่อต่างๆ พยายามรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการลดน้ำหนักสลายไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เนื่องจาก ความเสี่ยงของคนที่น้ำหนักตัวมากนั้น มีสูงกว่าคนน้ำหนักตัวปกติหลายเท่าค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ความเสี่ยงเรื่องโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง สำหรับสาวๆ ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งรังไข่ หรือโรคมะเร็งเต้านมขึ้นได้ เพราะฉะนั้น หากคุณสาวๆ ไม่อยากเกิดความเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บที่กล่าวมาข้างต้น จึงควรตระหนักถึงความสำคัญของการลดน้ำหนักและสลายไขมันอยู่เสมอ เพื่อให้ห่างไกลจากโรคร้าย และมีรูปร่างสวยอยู่กับเราไปตลอดค่ะ

                                                                                        อยากให้คุณสาวๆ ที่ปราถนาหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์มลองเอาเคล็ดลับการสร้างแรงบันดาลใจเพื่อเร่งสลายไขมันนี้ไปเลือกใช้กันดูนะคะ  ขอให้คุณมีความเชื่อมั่นว่าคุณทำได้ คุณทำได้ เมื่อคุณมีความเชื่อและมีแรงบันดาลใจที่ดีแล้ว ยอมได้ผลลัพธ์คือรูปร่างสวย และสุขภาพที่ดีตามมาค่ะ…