Category Archives: Article

เตือน! ร้อยไหมหน้ากระตุก ยิ้มไม่ได้ตลอดชีวิต เพราะหมอเถื่อน

ร้อยไหม

เตือน! ร้อยไหมหน้ากระตุก ยิ้มไม่ได้ตลอดชีวิต เพราะหมอเถื่อน

เกิดเหตุการณ์สะท้านวงการความงามอีกครั้ง เมื่อผู้เสียหายรายหนึ่งออกมาเปิดเผยว่า หลังจากเข้ารับการร้อยไหมที่คลินิกชื่อดังแห่งหนึ่ง กลับประสบปัญหาหน้ากระตุก สั่นเกร็ง ปากเบี้ยว ใบหน้าผิดรูปอย่างรุนแรง และมีเส้นไหมทะลุออกมาจากผิวหน้านานกว่า 3 ปี ไม่สามารถยิ้มได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือ ก่อนทำการร้อยไหม ผู้เสียหายไม่ได้รับการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างเหมาะสม และไม่มีการใช้ยาชาระหว่างทำหัตถการ ทำให้รู้สึกเจ็บปวดและเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง

จากการตรวจสอบพบว่า แพทย์ที่ทำการร้อยไหมแล้วหน้ากระตุก ให้กับผู้เสียหายดังกล่าวเป็น “หมอเถื่อน” ไม่มีใบอนุญาตในการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ คลินิกไม่ได้มาตรฐาน ใช้เครื่องมือไม่สะอาด ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการรักษาที่ถูกต้อง ทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้รับบริการอย่างร้ายแรง เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึง มาตรฐานความปลอดภัยที่น่าเป็นห่วงของวงการคลินิกความงาม และเป็นการเตือนใจให้แก่ผู้รับบริการตระหนักถึงความสำคัญ ในการเลือกคลินิกความงามและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ตรง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์หน้ากระตุกลักษณะนี้ซ้ำรอย

ร้อยไหมผิด ชีวิตพัง! หน้ากระตุก ไหมโผล่ เพราะหมอเถื่อน

ร้อยไหม คืออะไร?

  • การร้อยไหม คือ การใช้เข็มนำเส้นไหมละลายสอดเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อยกกระชับผิวหน้า แก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย และปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้นได้อย่างตรงจุด สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ
  • นอกจากนี้ การร้อยไหมยังช่วยกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว พันรอบ ๆ แนวเส้นไหม ทำให้ผิวแข็งแรง อิ่มฟู และยืดหยุ่นมากขึ้น โดยปัจจุบันมีเส้นไหมให้เลือกหลากหลายชนิด เหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน แต่ละเคสจะต้องได้รับการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเลือกชนิดของเส้นไหมและเทคนิคที่เหมาะสม

ร้อยไหม จุดไหนได้บ้าง?

การร้อยไหม สามารถทำได้ในหลายจุดบนใบหน้า เพื่อแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกันไป โดยจุดที่นิยมร้อยไหมกันมากที่สุด ได้แก่

  • แก้ม ยกกระชับแก้มที่หย่อนคล้อย เก็บกระเปาะแก้ม ทำให้ใบหน้าเรียวเล็ก
  • หางตา คิ้ว ยกหางตาและคิ้ว แก้ไขปัญหาหนังตาตก คิ้วตก เพิ่มความเฉี่ยวคมให้ใบหน้า
  • จมูก ปรับรูปทรงจมูก ทำให้สันจมูกดูโด่งขึ้น ปีกจมูกเล็กลง
  • หน้าผาก ลดเลือนริ้วรอยบริเวณหน้าผาก ใช้ในกรณีที่เคสดื้อโบ
  • กรอบหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก กรอบหน้าชัด มีมิติ
  • มุมปาก ยกมุมปาก แก้ปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณมุมปาก
  • เหนียง ลดเหนียง ลดคางสองชั้น ทำให้คอดูเรียวมากขึ้น

ผลข้างเคียงจากการร้อยไหม

  • หลังจากการร้อยไหม ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยที่สุด คือ อาการบวม เขียวช้ำ ซึ่งเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้น จากการที่ร่างกายตอบสนองต่อการทำหัตถการ โดยทั่วไปอาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายไป ภายใน 7 – 14 วัน รวมถึง อาการตึงหลังร้อยไหม อ้าปากไม่ได้ ถือป็นอาการปกติและจะค่อยๆ ดีขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากรู้สึกว่า มีผลข้างเคียงที่ผิดปกติและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ไหมขาด ไหมทะลุ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้

ร้อยไหม

อันตรายจากการร้อยไหมกับหมอเถื่อน

  • ติดเชื้อ เนื่องจากเครื่องมือหรืออุปกรณ์ไม่ได้รับฆ่าเชื้อ สถานที่ไม่สะอาด ไม่มีการทำความสะอาดหน้าก่อนทำหัตถการ รวมถึง หลังร้อยไหมแล้ว ไม่ดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ ส่งผลให้รอยแผลในบริเวณที่ร้อยไหม มีอาการบวมแดงและเจ็บปวดมากกว่าปกติ รวมถึง อาจมีหนองไหลออกมาจากรอยแผลได้
  • อักเสบรุนแรง เมื่อเกิดการอักเสบรุนแรงในบริเวณที่ร้อยไหม เส้นประสาทรอบ ๆ อาจได้รับผลกระทบตามไปด้วย จนเกิดการระคายเคืองและส่งสัญญาณไปยังสมอง ทำให้ปัญหาใบหน้ากระตุกได้ หากมีการติดเชื้อร่วมด้วย จะยิ่งทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อระบบประสาทมากขึ้น
  • เส้นไหมขาด เนื่องจากใช้เส้นไหมที่ไม่มีคุณภาพหรือเทคนิคในการร้อยไหมไม่ถูกวิธี ทำให้เส้นไหมขาดหรือทะลุได้ง่าย
  • เส้นประสาทถูกทำลาย เนื่องจากเส้นไหมไปสัมผัสหรือทำลายเส้นประสาทใบหน้าโดยตรง ทำให้เกิดอาการชา อ่อนแรง หรือเคลื่อนไหวใบหน้าไม่ได้ตามปกติ
    ใบหน้าผิดรูป เนื่องจากใช้เทคนิคในการร้อยไหมไม่ถูกต้อง แพทย์ไม่มีความเชี่ยวชาญ ทำให้ใบหน้าผิดรูป ไม่สมส่วน หรือเกิดรอยบุ๋มได้

ร้อยไหม

ร้อยไหมที่ไหนดี? เลือกคลินิกร้อยไหมอย่างไรให้ปลอดภัย?

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ มีใบประกอบกิจการจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ภายในคลินิกควรมีความสะอาด อุปกรณ์ปลอดเชื้อ
  • แพทย์มีความรู้ความสามารถด้านการร้อยไหมโดยเฉพาะ มีประสบการณ์ในการร้อยไหมมาอย่างยาวนาน เนื่องจากการร้อยไหมต้องอาศัยความละเอียดและความรู้ความเข้าใจในโครงสร้างใบหน้า ที่สำคัญ แพทย์ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพอย่างถูกต้อง
  • ใช้เส้นไหมที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยแพทย์สามารถเลือกชนิดของเส้นไหมที่เหมาะสมกับปัญหา และสภาพผิวของแต่ละบุคคลได้อย่างเหมาะสม
  • ติดตามผลหลังร้อยไหม โดยหลังร้อยไหมแล้ว ควรมีการนัดติดตามผลหลังทำเสมอ ซึ่งแพทย์ควรให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังการร้อยไหมอย่างใกล้ชิด ลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง
  • รีวิวจากผู้ใช้บริการ สามารถดูรีวิวได้ทางช่องทางออนไลน์ เห็นผลการเปลี่ยนแปลงก่อนทำและหลังทำได้อย่างชัดเจน ทั้งในด้านของรูปภาพและการแสดงความคิดเห็น มีรีวิวในเชิงบวกมากกว่าเชิงลบ

การร้อยไหม ถือเป็นอีกหนึ่งหัตถการที่ได้รับความนิยม ในการแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ รูปหน้าไม่เรียวเล็กได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องผ่าตัด เห็นผลทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ การเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถด้านการร้อยไหมโดยตรง จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิวและโครงสร้างใบหน้าได้อย่างแม่นยำ รวมถึงเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เส้นไหมขาด หน้ากระตุก ใบหน้าผิดรูปได้

ขนคุดคืออะไร ? เกิดจากอะไร ?

ขนคุด

ขนคุดคืออะไร? เกิดจากอะไร? มีวิธีดูแลและรักษาอย่างไรบ้าง?

ขนคุด เป็นปัญหาผิวที่หลายคนกำลังพบเจอ โดยเฉพาะหลังจากการโกนหรือแว็กซ์กำจัดขน ส่งผลให้ผิวดูขรุขระ ไม่เรียบเนียนเหมือนเดิม จนทำให้หลายคนรู้สึกกังวลและขาดความมั่นใจ แต่เคยสงสัยกันไหมว่า ขนคุดเกิดจากอะไร? มีวิธีการดูแล รักษาอย่างไร? ไม่ให้กลับมาเป็นอีก ในบทความนี้ รมย์รวินท์คลินิก รวบรวมทุกวิธีที่สามารถแก้ปัญหาขนคุดมาให้แล้วค่ะ

เจาะลึก ขนคุด ผิวไม่เรียบ เกิดจากอะไร? มีวิธีแก้อย่างไร?

ขนคุด คืออะไร?

ขนคุด (Keratosis Pilaris) เป็นภาวะผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดการอุดตันบริเวณรูขุมขน สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย โดยขนคุดมีลักษณะเป็นตุ่มหรือจุดเล็ก ๆ เวลาลูบจะให้ความรู้สึกสาก ๆ ที่บริเวณผิวหนังคล้ายหนังไก่ ส่วนใหญ่มักพบในบริเวณที่มีผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น เช่น ต้นแขน ต้นขา และรักแร้

ขนคุด

ขนคุด เกิดจากอะไร?

  • ขนคุด เกิดจากการสะสมของโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เคราติน (Keratin) ภายในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน เส้นขนไม่สามารถงอกออกมาได้ จนเกิดเป็นตุ่มเล็ก ๆ ขึ้นมา นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ส่งผลให้เกิดขนคุด ได้แก่
    พันธุกรรม ซึ่งขนคุดสามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม หากมีบุคคลในครอบครัวเคยมีปัญหาขนคุดมาก่อน
  • ผิวแห้ง ผู้ที่มีผิวแห้ง ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น ทำให้มีโอกาสเกิดขนคุดได้มากกว่าคนทั่วไป
    สภาพอากาศ ในช่วงที่มีอากาศหนาว ยิ่งทำให้ผิวแห้ง ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้น จนอาการขนคุดรุนแรงขึ้นได้
  • การกำจัดขน หากมีการกำจัดขนอย่างผิดวิธี เช่น การถอน แวกซ์ หรือโกน อาจทำให้เส้นขนขาดหรือตกค้างอยู่ในรูขุมขน จนเกิดขนคุดได้
    การเสียดสีกับเสื้อผ้า หรือถูกกดทับซ้ำ ๆ บริเวณที่มีเส้นขน อาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง รูขุมขนอักเสบ ส่งผลกระทบให้เกิดขนคุดได้
  • โรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง โรคเบาหวาน หรือโรคไทรอยด์ อาจทำให้ผิวหนังแห้ง จนเกิดขนคุดได้

ขนคุด เกิดขึ้นบริเวณไหนได้บ้าง?

  • รักแร้ มักเกิดจากการกำจัดขนที่ไม่ถูกวิธีและการใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นเกินไป จนเกิดการเสียดสีและผิวหนังระคายเคือง ทำให้เกิดขนคุดได้
  • แขนและขา เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีพื้นที่กว้าง มีการสัมผัสกับมลภาวะและสภาพอากาศเป็นประจำ ทำให้ผิวหนังแห้ง ไม่ชุ่มชื้น อาจทำให้เกิดขนคุดได้
  • แผ่นหลัง เนื่องจากเป็นบริเวณใต้ร่มผ้า ผิวหนังเกิดการเสียดสีกับเสื้อผ้าบ่อย อาจส่งผลให้เกิดการอับชื้น จนเกิดขนคุดได้เช่นกัน
  • จุดซ่อนเร้น เนื่องจากเป็นบริเวณที่ผิวบอบบางมากกว่าจุดอื่น ๆ ทำให้เกิดการอับชื้นและเสียดสีกับเสื้อผ้าได้ง่าย ส่งผลให้เกิดขนคุดได้
  • ใบหน้าและแก้ม เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีขนอ่อน ๆ ขนาดเล็ก และรูขุมขนในปริมาณมาก ทำให้เกิดปัญหาการอุดตัน จนเกิดขนคุดได้ง่าย 
  • หนวดเครา เป็นบริเวณที่สามารถเกิดขนคุดได้ หากโกนหนวดประจำ ยิ่งมีโอกาสเกิดขนคุดง่ายกว่าปกติ

ขนคุด

ขนคุด สามารถรักษาด้วยวิธีไหนได้บ้าง?

  • บำรุงผิวให้ชุ่มชื้น เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
  • สครับผิว เลือกสครับผิวที่อ่อนโยนส่วนผสมจากธรรมชาติ จะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตาย ทำให้ไม่เกิดการอุดตันในรูขุมขน แต่แนะนำให้หลีกเลี่ยงการสครับผิวที่แรงจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
  • ประคบอุ่น เนื่องจากความร้อนจะช่วยเปิดรูขุมขน ทำให้เส้นขนงอกออกมาได้ง่ายขึ้น รวมถึงช่วยลดการอักเสบและการระคายเคืองรอบ ๆ รูขุมขนได้
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เช่น มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือ กรดแล็กติก (Lactic Acid) ซึ่งจะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดการอุดตันของรูขุมขน
  • เลเซอร์กำจัดขน อย่าง Yag Laser 1064 สามารถกำจัดและทำลายรากขนได้อย่างถาวร โดยที่ไม่ต้องถอนหรือโกนแบบผิดวิธี วิธีนี้เป็นการแก้ปัญหาขนคุด ลดผิวหนังไก่ ผิวไม่เรียบเนียนได้อย่างตรงจุด ยิ่งทำอย่างต่อเนื่อง ยิ่งลดโอกาสการเกิดขนคุดซ้ำได้

Yag Laser 1064 คืออะไร?

Yag Laser 1064 หรือ เลเซอร์กำจัดขนที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยความยาวของคลื่นแสงเลเซอร์ 1,064 นาโนเมตร ที่สามารถยิงลึกถึงรากขนได้โดยตรง ทำให้ขนหลุดร่วงไปพร้อมกับรากและไม่ทำให้ขนงอกใหม่ ทำได้หลากหลายบริเวณ แม้ในบริเวณที่มีผิวบอบบาง เช่น รักแร้ หนวด แขน ขา หรือแม้แต่บริเวณจุดซ่อนเร้น สามารถกำจัดขนและจบปัญหาขนคุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อ่อนโยนต่อผิว ไม่ทำให้ผิวไหม้หรือเบิร์น

Yag Laser 1064 เหมาะกับใคร?

  • Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกำจัดขน ไม่ว่าจะเป็นขนบริเวณใบหน้า แขน ขา หรือจุดอื่น ๆ ของร่างกาย Yag Laser 1064 สามารถกำจัดขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาขนคุด ผิวไม่เรียบเนียน
  • Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับผู้ที่มีสีผิวไม่สม่ำเสมอ ต้องการเพิ่มความกระจ่างใสในบริเวณที่ทำ
  • Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดเหงื่อ ระงับกลิ่นตัว
  • Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลากำจัดขนด้วยตัวเอง
  • Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย แพ้การกำจัดขนด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น แวกซ์ ครีมกำจัดขน

Yag Laser 1064 ดีกว่าการกำจัดขนวิธีอื่นอย่างไร

  • Yag Laser 1064 สามารถยิงลึกถึงรากขนและทำลายเซลล์รากขนได้อย่างถาวร ทำให้ขนไม่กลับมางอกใหม่
  • Yag Laser 1064 สามารถแก้ปัญหาขนคุด ตอขน และตุ่มหนังไก่ได้อย่างตรงจุด
  • Yag Laser 1064 เหมาะกับทุกสภาพผิวและทุกสีผิว ไม่ว่าจะผิวขาวหรือผิวเข้มก็สามารถทำได้
  • Yag Laser 1064 มีระบบ Cryogen Spray ระบบปล่อยไอย็นลงบนบริเวณผิวหนังระหว่างทำเลเซอร์ ทำให้สบายผิว ลดความรู้สึกเจ็บระหว่างทำ
  • Yag Laser 1064 มีความปลอดภัย ได้รับการรองรับมาตรฐาน US FDA หรือ อย. อเมริกา หมดกังวลเรื่องผิวไหม้ ผิวเบิร์น
  • Yag Laser 1064 สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว หลังทำเลเซอร์เพียงไม่กี่ครั้ง และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทำอย่างต่อเนื่อง
  • Yag Laser 1064 มีความสะดวกสบาย ประหยัดเวลา ใช้เวลาในการทำไม่นาน เมื่อเทียบกับการกำจัดขนด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การถอน แวกซ์ หรือการใช้ครีมกำจัดขน

ขนคุด สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนดังนั้น การทำเลเซอร์กำจัดขน Yag Laser 1064 จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์สำหรับ ผู้ที่มีปัญหาขนคุด ผิวไม่เรียบเนียน ต้องการกำจัดขนแบบถาวร ไม่ต้องเสี่ยงกับวิธีการกำจัดขนแบบผิด ๆ เลเซอร์กำจัดขน Yag Laser 1064 สามารถช่วยได้ แค่ไว้ใจให้ รมย์รวินท์คลินิก ช่วยดูแล เพราะที่ รมย์รวินท์คลินิก เราทำหัตถการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกเคส จึงการันตีในมาตรฐานความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ บอกลาวงจรขนคุดซ้ำซากได้เลย

ฉี่หยด ปรากฏการณ์ปัสสาวะเล็ด ที่กลับมาทำลายความมั่นใจอีกครั้ง

ฉี่หยด

ฉี่หยด ปรากฏการณ์ปัสสาวะเล็ดครั้งใหญ่ ที่กลับมาทำลายความมั่นใจอีกครั้ง

เปิดประสบการณ์ความสยอง เฮี้ยนไม่หยุดจากตำนานเรื่องเล่าเขย่าขวัญของ ฉี่หยด ฉี่เล็ด ฉี่ไม่สุด พร้อมสานต่อ เสียงเพรียกแห่งกลิ่นฉุน ที่จะตามหลอกหลอนคุณไปทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน ฉี่หยดจะคอยเล็ดลอดออกมา พร้อมกับความอับชื้นและกลิ่นไม่พึงประสงค์รบกวน หลายคนอาจคิดว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่ปัญหาฉี่หยดกำลังค่อย ๆ กัดกินความสุขของคุณทีละนิด จนรู้สึกเหมือนถูกสาปให้ต้องทนทุกข์ทรมานกับปัญหานี้ไปตลอดชีวิต อย่าปล่อยให้ฉี่หยดเป็นเรื่องน่ากลัว และหลอกหลอนคุณไปนานกว่านี้ ต้องดูแลด่วน รีบจองตั๋วหยุด “ฉี่หยด” ให้สิ้นซากได้แล้ววันนี้ที่ รมย์รวินท์คลินิก

ปิดตำนานความหลอนของ “ฉี่หยด” ปัสสาวะเล็ดได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก

ปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะไม่สุด หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เป็นปัญหาหนักใจที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะหลังจากคลอดลูก กำลังเข้าสู่วัยทอง หรือผู้สูงอายุ เนื่องจากอายุที่มากขึ้น ระบบอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายก็เริ่มเสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา ซึ่งปัญหาปัสสาวะเล็ดส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในขณะที่เราไอ จาม หัวเราะ หรือยกของหนัก จนทำให้ปัสสาวะไหลซึมออกมาโดยไม่ตั้งใจ ไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลให้เกิดความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวัน และก่อให้เกิดความกังวลใจในการเข้าสังคม​อย่างมาก

ปัจจัยที่ทำให้เกิดฉี่หยด ปัสสาวะเล็ด

  • อายุมากขึ้น ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้การทำงานของกระเพาะปัสสาวะเริ่มเสื่อมสภาพ บรรจุน้ำปัสสาวะได้น้อยลง และมีการบีบตัวมากขึ้น ส่งผลให้ปัสสาวะบ่อยและมีอาการปัสสาวะเล็ดตามมา
  • อยู่ในวัยทองหรือหมดประจำเดือน เมื่อระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ส่งผลให้เนื้อเยื่อในช่องคลอดและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ รวมถึงสูญเสียความแข็งแรง ทำให้ควบคุมการปัสสาวะได้ยากขึ้น
  • การคลอดลูก เนื่องจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานต้องทำงานหนักในระหว่างตั้งครรภ์และการคลอด ทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนและอ่อนแอลง จนไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะได้ดีพอ ส่งผลให้เกิดปัญหาปัสสาวะเล็ดได้
  • น้ำหนักตัวมาก เนื่องจากไขมันส่วนเกินเข้ากดทับบริเวณท้องน้อย ทำให้เกิดการบีบตัวและส่งผลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ทำให้กล้ามเนื้อส่วนนี้ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะได้ ส่งผลให้ปัสสาวะเล็ดง่ายขึ้น
  • การไอ จาม หัวเราะ ออกกำลังกาย หรือยกของบ่อย ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงดันในช่องท้อง ทำให้ปัสสาวะเล็ดออกมาได้ง่ายขึ้น

ฉี่หยด

ทางลัดกระชับช่องคลอด จบปัญหาฉี่หยด

  • Emsella เก้าอี้ฟิต เฟิร์ม กระชับช่องคลอด Emsella เทคโนโลยีกระชับช่องคลอดสุดล้ำ ที่มาในรูปแบบของเก้าอี้ โดยเครื่อง Emsella จะปล่อยคลื่นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าเข้มข้นสูง HIFEM (High-Intensity Focused Electromagnetic) เข้าไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ให้เกิดการหดตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เปรียบเสมือนการออกกำลังกายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหรือการขมิบมากกว่า 11,200 ครั้ง ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ 28 นาที ทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแข็งแรงขึ้น กระชับช่องคลอด และแก้ปัญหาปัสสาวะเล็ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในร่างกาย มีความสะดวก รวดเร็ว เพียงแค่นั่งสบาย ๆ ผ่อนคลายบนเก้าอี้ก็สามารถบอกลาปัสสาวะเล็ดได้เลย

Emsella ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?

  • Emsella ช่วยแก้ปัญหาอาการปัสสาวะเล็ด สามารถควบคุมการปัสสาวะได้ดีขึ้น
  • Emsella ช่วยยกกระชับช่องคลอดให้เต่งตึง แก้ปัญหาภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน
  • Emsella ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
  • Emsella ช่วยเพิ่มความรู้สึกทางเพศ แก้ปัญหาช่องคลอดแห้ง
  • Emsella ช่วยแก้ปัญหาอาการปวดเมื่อยบริเวณอุ้งเชิงกราน
  • Emsella ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหลังคลอดให้กลับมาแข็งแรง

Thermiva เลเซอร์รีแพร์ กระชับช่องคลอด

  • Thermiva เทคโนโลยีเลเซอร์ฟื้นฟูและกระชับช่องคลอด ทั้งภายในและภายนอก โดย Thermiva ใช้พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง RF (Radio Frequency) ที่มีความอ่อนโยนต่อผิวและบริเวณรอบจุดซ่อนเร้น ในการกระตุ้นให้เกิดความร้อนภายในเนื้อเยื่อของช่องคลอด ซึ่งความร้อนที่เกิดขึ้นจะอยู่ที่ประมาณ 42 – 45°C เป็นอุณหภูมิที่เหมาะสม ในการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในช่องคลอด จึงสามารถกระชับช่องคลอด ทำให้ช่องคลอดชุ่มชื้น และลดอาการปัสสาวะเล็ดได้อย่างตรงจุด ใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาที โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องเจ็บตัว หลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

Thermiva ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?

  • Thermiva ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ช่องคลอด แก้ปัญหาช่องคลอดแห้งได้เป็นอย่างดี
  • Thermiva ช่วยลดอาการปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
  • Thermiva ช่วยกระชับช่องคลอด ทั้งผิวด้านในและด้านนอก แก้ปัญหาช่องคลอดหย่อนคล้อย
  • Thermiva ช่วยเพิ่มความรู้สึกในการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้ชีวิตคู่มีความสุขมากขึ้น
  • Thermiva ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน

ถึงเวลาแล้วที่เราจะดูแลสุขภาพช่องคลอด บอกลาปัสสาวะเล็ดแบบถาวร อย่าปล่อยให้ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ มาทำลายความมั่นใจในชีวิตประจำวันของคุณ ที่ รมย์รวินท์คลินิก พร้อมให้คุณสัมผัสประสบการณ์กระชับช่องคลอด ด้วยเทคโนโลยีที่หลากหลายและทันสมัย สามารถแก้ไขปัญหาปัสสาวะเล็ดได้ตั้งแต่ต้นเหตุ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน เพราะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่อีกต่อไป คุณสามารถมีสุขภาพช่องคลอดที่ดีขึ้นในระยะยาวได้ ไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก

เปิดโปง! รมย์รวินท์ คลินิกดังตัวต้นเรื่อง .. ทำไมดูเป็นคนหน้าเรียวจัง

ทำไมดูเป็นคนหน้าเรียวจัง

เปิดโปง! รมย์รวินท์ คลินิกดังตัวต้นเรื่อง #ทำไมดูเป็นคนหน้าเรียวจัง

เปิดมหากาพย์ #ทำไมดูเป็นคนหน้าเรียวจัง แฉคลินิกดัง ตัวสร้างเรื่อง ทำสาว ๆ หน้าเรียวเล็กแบบจัดเต็ม จนต้องกลับมาทำซ้ำ จะเป็นที่ไหนไปได้ นอกจากที่ Romrawin Clinic เจ้าของความลับหน้าเรียว ที่กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนแรงในสังคมตอนนี้
สืบเจอแล้วพบว่า มีสาว ๆ เป็นจำนวนมาก ที่ออกมาแชร์เรื่องราวและบอกเล่าประสบการณ์หลังจาก ทำสวยจนหน้าเรียวกับ ทีมแพทย์ของรมย์รวินท์คลินิก โดยทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หลังทำสวยเสร็จ หน้าเรียวเล็ก กรอบหน้าพุ่ง ดูเด็กลงขึ้นจริง ทำเอาหลาย ๆ คน สงสัย จนอยากรู้กันทั้งประเทศว่า เคล็ดลับหน้าเรียวที่กำลังถูกพูดถึงในตอนนี้มีกี่โปรแกรม? แล้วใช้โปรแกรมอะไรบ้าง? วันนี้ รมย์รวินท์ มีคำตอบมาให้แล้วค่ะ

บทสรุปของประเด็นร้อน #ทำไมดูเป็นคนหน้าเรียวจัง

ทำไมดูเป็นคนหน้าเรียวจัง

4 โปรแกรม ครบสูตรหน้าเรียว

Ulthera SPT โปรแกรมหน้าเรียว หน้ายกคูณสอง

  • เทคโนโลยียกกระชับแบบ Original ด้วยคลื่นพลังงานอัลตราซาวนด์ (Focused Ultrasound) ที่มีความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง มีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ จำนวนมาก เรียงเป็นเส้นตรงคล้ายจุดไข่ปลา ขนาดประมาณ 1 mm. ทำให้เกิดความร้อนพลังงาน 60 – 70°C ซึ่งสามารถยิงได้อย่างแม่นยำ ลงลึกถึงชั้น SMAS ชั้นเดียวกับที่ทำการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า โดยจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ทำให้เกิดการหดตัว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทดแทนส่วนที่เสื่อมสภาพ ส่งผลให้ผิวยกกระชับ เรียบเนียน และเก็บกรอบหน้า ทำให้หน้าเรียวเล็ก นอกจากนี้ ยังมีหน้าจอแสดงให้เห็นชั้นผิวแบบ Real Time ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นความลึกของชั้นผิวหนังได้อย่างชัดเจน วางแผนการรักษาและยกกระชับได้อย่างมีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด

Oligio โปรแกรมหน้ายก ลดเหนียง

  • เทคโนโลยียกกระชับ พร้อมลดไขมัน ด้วยคลื่นวิทยุ Monopolar RF ที่ปล่อยพลังงานความถี่ 6.78 MHz ซึ่งเป็นความถี่ที่ถูกออกแบบมา ให้สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวชั้นลึกได้ ทำให้เกิดพลังงานความร้อน 43°C เข้าไปช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวหนัง ให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ แก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับได้เป็นอย่างดี ทำให้ผิวเฟิร์ม เรียบเนียน และกรอบหน้าชัด อีกทั้ง ยังสามารถปล่อยพลังงานความร้อนลงลึกถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้ไขมันส่วนเกินบริเวณแก้มและเหนียงลดลง ส่งผลให้ใบหน้าเรียวเล็กขึ้นได้อีกด้วย

Thermage FLX โปรแกรมหน้าเด็ก เก็บไขมัน

  • เทคโนโลยียกกระชับ ด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง Monopolar RF กระจายแบบวงกว้าง สามารถยิงลึกตั้งแต่ชั้นผิวหนังไปจนถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อน 45 – 70°C โดยเข้าไปแยกโมเลกุลน้ำออกจากคอลลาเจน ส่งผลให้คอลลาเจนหดตัว ผิวยกกระชับขึ้นทันที พร้อมกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวแน่น เฟิร์มกระชับในระยะยาว ลดริ้วรอย และทำให้หน้าเรียวขึ้นแบบเห็นได้ชัด รวมถึง สามารถลดไขมันสะสม โดยเฉพาะบริเวณแก้มและเหนียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Radiesse Plus โปรแกรมหน้าเป๊ะ กรอบหน้าชัด

  • สารเติมเต็มกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ซึ่งแตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปที่มีส่วนประกอบเป็นหลักไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid – HA) โดย Radiesse Plus มีส่วนประกอบหลัก คือ แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Calcium Hydroxylapatite – CaHA), Sodium carboxy-methylcellulose (CMC) gel และ ยาชา (Lidocaine) ซึ่ง CaHA เป็นสารธรรมชาติที่พบได้ในกระดูกและฟันของเรา ออกแบบมาเพื่อเพิ่มปริมาตรความหนาแน่นของกระดูก ตัวยามีความยืดหยุ่นสูง เมื่อฉีด Radiesse Plus เข้าสู่ผิวหนัง CaHA จะทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้สร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ส่งผลให้ผิวมีความยืดหยุ่น ช่วยยกกระชับ เติมเต็มร่องลึก ปรับกรอบหน้า และทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรง

สำหรับใครที่อยากมีหน้าเรียว หน้าเล็ก ยกกระชับ แบบไม่ต้องขโมยความสวยใคร แค่มา รมย์รวินท์คลินิก ด้วยเทคโนโลยีที่หลากหลาย มีความทันสมัย สามารถตอบโจทย์ปัญหาผิวหน้าที่แตกต่างกันได้เป็นอย่างดี พร้อมทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เฉพาะด้าน สามารถวิเคราะห์และออกแบบรูปหน้าได้อย่างเหมาะสม ทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาดูเป็นธรรมชาติ หน้าเรียว หน้าวีอย่างมั่นใจ

ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นต่างกันอย่างไร ฉีดจุดไหนถึงจะปัง?

ฟิลเลอร์

เทรนด์อัปความสวยสำหรับสาว ๆ ที่กำลังมาแรงมากในตอนนี้ คงหนีไม่พ้นการฉีดฟิลเลอร์ เรียกได้ว่ากลายเป็นกระแสที่ได้รับความนิยมมากในหมู่วัยรุ่น ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ สามารถปรับรูปหน้าให้เป๊ะปังได้ตามใจ ไม่ว่าจะเป็นการเติมเต็มร่องลึก หรือปรับกรอบหน้าให้ดูเรียวเล็ก ทำให้ใบหน้าดูเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ ถือเป็นการแก้ไขปัญหาผิวหน้าได้อย่างตรงจุด
ปัจจุบันมียี่ห้อฟิลเลอร์ให้เลือกฉีดหลากหลายยี่ห้อ แต่สำหรับมือใหม่ที่พึ่งเข้าวงการฉีดฟิลเลอร์ จะรู้ได้อย่างไรว่า ควรฉีดฟิลเลอร์เนื้อแบบไหน ยี่ห้ออะไรที่จะเหมาะกับเรา ในบทความนี้ รมย์รวินท์ ได้รวบรวมทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือกฉีดฟิลเลอร์มาฝากแล้ว

อัปเดตฟิลเลอร์ 2024 แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น เลือกอย่างไรให้เหมาะกับหน้า

ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร?

ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid – HA) ที่ใช้ในการฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนังหรือชั้นใต้ผิวหนัง เพื่อแก้ไขปัญหาริ้วรอยและร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็น ร่องแก้ม ใต้ตา หรือริมฝีปาก รวมถึงการปรับรูปหน้าและยกกระชับผิวให้ดูอ่อนเยาว์ โดยฟิลเลอร์มีคุณสมบัติในการกักเก็บน้ำ คืนความชุ่มชื้นและยืดหยุ่นให้กับผิว ทำให้ผิวดูเรียบเนียน เด้ง และอิ่มฟู อีกทั้ง การฉีดฟิลเลอร์ยังสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ จึงมีความปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวหน้า

ฟิลเลอร์

เนื้อฟิลเลอร์มีกี่ประเภท?

  • โดยทั่วไปแล้ว เนื้อฟิลเลอร์จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ตามความละเอียด ความหนาแน่น และความยืดหยุ่นของเนื้อฟิลเลอร์ ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีความเหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาผิวหน้าที่แตกต่างกัน

ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด

  • มีลักษณะเป็นเนื้อเจลละเอียด บางเบา เหมือนกับน้ำ เหมาะสำหรับการฉีดฟิลเลอร์บริเวณที่มีผิวบาง เน้นงานผิว เติมความชุ่มชื้นให้ผิวฉ่ำวาว เช่น ใต้ตา ร่องน้ำตา หรือริมฝีปาก ซึ่งการฉัดฟิลเลอร์ประเภทนี้ จะให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่โป๊ะ ไม่แข็งจนเกินไป

ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม

  • ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีลักษณะคล้ายเนื้อเจลเยลลี่ นุ่ม ไม่แข็ง และไม่เหลวเป็นน้ำ เหมาะสำหรับการฉีดฟิลเลอร์บริเวณที่ต้องการเติมเต็มร่องลึกต่าง ๆ เช่น ร่องแก้ม แก้มส้ม ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ประเภทนี้ จะช่วยเติมเต็มให้ผิวดูอิ่มฟู มีความยืดหยุ่น
    ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง

ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง

  • มีลักษณะเป็นเนื้อเจลที่มีความหนาแน่นสูง สามารถคงรูปได้ดี เหมาะสำหรับการฉีดฟิลเลอร์บริเวณที่ต้องการยกกระชับหรือต้องการให้ใบหน้าดูมีมิติ เช่น ขมับ กรอบหน้า และคาง ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ประเภทนี้ จะช่วยยกกระชับใบหน้าได้ดีและเพิ่มมิติให้กับใบหน้า

ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยเรื่องอะไร?

  • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึกต่าง ๆ ให้ดูตื้นขึ้น ผิวหน้าอิ่มฟู
  • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยปรับรูปหน้าให้สมดุลและมีมิติ
  • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน รูขุมขนดูเล็กลง
  • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยยกกระชับใบหน้า ลดความหย่อนคล้อย
  • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น
  • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว ดูสุขภาพดี
  • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยปรับรูปทรงริมฝีปาก ทำให้ปากดูอวบอิ่มอย่างเป็นธรรมชาติ

ฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรก ควรเลือกฟิลเลอร์แบบไหน?

  • การเลือกฉีดฟิลเลอร์ ให้เหมาะกับปัญหาที่ต้องการแก้ไขและบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์เป็นสิ่งสำคัญ โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาและเลือกฉีดฟิลเลอร์ให้เหมาะกับตำแหน่งนั้น ๆ รวมถึงพิจารณาสภาพผิวของเราด้วยว่า เหมาะสำหรับการฉีดฟิลเลอร์แบบไหน เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์แต่ละรุ่นก็มีคุณสมบัติและจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป

ปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข

  • ร่องลึก ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีความหนาแน่นสูง เพื่อเติมเต็มร่องลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ร่องตื้น ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีความละเอียด บางเบา เพื่อเติมเต็มริ้วรอยและทำให้ผิวชุ่มชื้น
  • ผิวหย่อนคล้อย ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจน
  • ปรับรูปหน้า ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีความแข็ง หนาแน่นสูง เพื่อปรับรูปหน้าให้ได้ตามต้องการ

บริเวณที่สามารถการฉีดฟิลเลอร์ได้

  • ใต้ตา ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีความนิ่ม เพื่อไม่ให้เกิดการจับตัวเป็นก้อน
  • ร่องแก้ม ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีความหนาแน่นและยืดหยุ่นสูง เพื่อแก้ปัญหาร่อ
  • แก้มลึก ให้หน้าดูเด็ก อ่อนกว่าวัย
  • ริมฝีปาก ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง เพื่อให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ

ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ แนะนำให้เลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์โดยเฉพาะ เพื่อจะได้วิเคราะห์ปัญหา ประเมินใบหน้า พร้อมเลือกฉีดฟิลเลอร์ได้อย่างตรงจุด ตอบโจทย์กับปัญหาที่ต้องการแก้ไขและลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียง

ฟิลเลอร์มีกี่ยี่ห้อ?

ปัจจุบันที่ Romrawin Clinic มีการฉีดฟิลเลอร์หลากหลายยี่ห้อ ซึ่งทุกยี่ห้อผ่านการรองรับมาตรฐาน อย. ไทย ดังนี้

  • Juvederm ฟิลเลอร์จากประเทศอเมริกา
  • Restylane ฟิลเลอร์จากประเทศสวีเดน
  • Belotero ฟิลเลอร์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์
  • Neauvia ฟิลเลอร์จากประเทศอิตาลี
  • Definisse ฟิลเลอร์จากประเทศอิตาลี
  • Art Filler ฟิลเลอร์จากประเทศฝรั่งเศส
  • Volifil ฟิลเลอร์จากประเทศเกาหลี

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ Juvederm

  • ฟิลเลอร์ Juvederm เป็นหนึ่งในแบรนด์ฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เนื่องจากเป็นฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพสูง ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Allergan จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งผลิตจากกรดไฮยาลูรอนิก (HA) เป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกายของเรา ทำหน้าที่อุ้มน้ำให้ผิว ใช้ในการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และปรับรูปหน้า โดยมีหลายรุ่นให้เลือก เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวหรือรูปหน้าที่แตกต่างกัน

ฟิลเลอร์ Juvederm ใช้เทคโนโลยีอะไร?

  • Hylacross Technology เป็นเทคโนโลยีดั้งเดิม ช่วยให้เนื้อฟิลเลอร์มีความนุ่ม เรียบเนียน และมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณที่ต้องการความละเอียด สามารถกระจายตัวในผิวได้เป็นอย่างดี และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
  • Vycross Technology เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อยอดจาก Hylacross ซึ่งผสานกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ที่มีโมเลกุลขนาดเล็กและใหญ่เข้าด้วยกัน ทำให้ฟิลเลอร์มีความคงตัวสูงและอยู่ได้นานขึ้น เหมาะสำหรับการเติมเต็ม และยกกระชับผิวหน้า

ฟิลเลอร์ Juvederm มีกี่รุ่น?

  • Juvederm Ultra ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มและฟู จึงเหมาะสำหรับบริเวณต้องการเติมเต็มร่องลึกไม่มาก เช่น ร่องแก้มตื้น ๆ แก้มตอบ และเพิ่มวอลุ่มให้กับใบหน้า สามารถอยู่นานมากถึง 8 – 12 เดือน
  • Juvederm Ultra Plus ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความหนาแน่นกว่า Juvederm Ultra สามารถคงรูปได้ดี จึงเหมาะสำหรับบริเวณที่ต้องการเติมเต็มร่องลึกและปรับรูปหน้า เช่น ขมับ ร่องแก้มลึก คาง สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Juvederm Voluma ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง หนาแน่นรองลงมาจาก Juvederm Volux สามารถนำมายกกระชับได้ดี จึงเหมาะสำหรับบริเวณที่ต้องการปรับรูปหน้า เช่น ขมับ คาง และใต้ตา สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน
  • Juvederm Volift ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะสำหรับบริเวณที่มีผิวบาง เช่น แก้มตอบ ร่องแก้มที่ไม่ลึกมาก ริมฝีปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Juvederm Volbella ฟิลเลอร์ที่มีความนิ่ม จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยตื้น ๆ เช่น ริมฝีปาก ใต้ตา สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Juvederm Volite ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด บางเบา เน้นงานผิว จึงเหมาะสำหรับการทำ Skin Booster ให้ดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เช่น ฉีดทั่วหน้า ใต้ตา สามารถอยู่ได้นานถึง 8 – 12 เดือน
  • Juvederm Volux เนื้อฟิลเลอร์มีความแข็ง หนาแน่น และคงรูปสูงกว่ารุ่นอื่น ๆ ในบรรดาฟิลเลอร์ Juvederm จึงเหมาะสำหรับการนำมาปรับโครงสร้างใบหน้า เช่น คาง ขมับ และใต้ตา สามารถอยู่นานมากถึง 18 – 24 เดือน

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ Restylane

  • ฟิลเลอร์ Restylane ถือเป็นแบรนด์ฟิลเลอร์ชั้นนำระดับโลก เป็นที่รู้จักกันในวงการความงาม ซึ่งมีต้นกำเนิดจากประเทศสวีเดน ถูกพัฒนาโดยบริษัท Galderma ซึ่งฟิลเลอร์ Restylane ผลิตจากกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ทำหน้าที่กักเก็บน้ำ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและเรียบเนียน จึงเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมในการเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก ปรับรูปหน้า และสร้างความอ่อนเยาว์ให้กับผิว

ฟิลเลอร์ Restylane ใช้เทคโนโลยีอะไร?

  • NASHA Technology เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ให้มีความบริสุทธิ์สูงและหนาแน่นสูง โดยไม่ใช้สารสกัดจากสัตว์ ทำให้ฟิลเลอร์สามารถคงรูปได้นาน ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ
  • OBT Technology เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อยอดมาจาก NASHA มีความยืดหยุ่นสูงกว่า NASHA ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ทำให้ใบหน้าดูแข็ง

ฟิลเลอร์ Restylane มีกี่รุ่น?

  • Restylane Classic ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความหนาแน่นสูง จึงเหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึกบริเวณที่มีผิวบาง เช่น ร่องแก้ม ริ้วรอบดวงตา และริมฝีปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Restylane Perlane Lyft ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความหนาแน่นและยืดหยุ่นสูง สามารถใช้ยกกระชับได้ดี จึงเหมาะสำหรับการยกกระชับผิวหน้าและปรับโครงสร้างใบหน้า เช่น แก้ม จมูก คาง และใต้ตา สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Restylane Refyne ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความหนาแน่นปานกลาง จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องริ้วรอยเล็ก ๆ จากการแสดงสีหน้า เช่น มุมปาก ร่องแก้ม สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Restylane Defyne ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน
  • Restylane Kysse ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะสำหรับเติมเต็มริมฝีปาก เพิ่มความอวบอิ่ม และปรับรูปทรงปากให้ดูเป็นธรรมชาติ สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Restylane Vital ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด จึงเหมาะสำหรับการเติมความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้กับผิวชั้นตื้น รวมถึงบริเวณที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ เช่น แก้ม หน้าผาก และใต้ตา สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Restylane Vital Light ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด บางเบามากกว่ารุ่นอื่น ๆ ในบรรดาฟิลเลอร์ Restylane จึงเหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณชั้นผิวที่ตื้นมาก ๆ ผิวบอบบาง ต้องการความชุ่มชื้น เพิ่มความเรียบเนียนให้ผิว เช่น ริ้วรอยใต้ตา ริมฝีปาก สามารถอยู่นานมากถึง 6 – 12 เดือน
  • Restylane Volyme ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะสำหรับการปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ เช่น แก้มตอบ สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ Belotero

  • ฟิลเลอร์ Belotero เป็นฟิลเลอร์คุณภาพสูงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Merz Pharmaceuticals ซึ่งผลิตจากกรดไฮยาลูรอนิก (HA) บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย ทำให้มีความปลอดภัยสูงและสามารถเข้ากันผิวได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึก ริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์

ฟิลเลอร์ Belotero ใช้เทคโนโลยีอะไร?

  • CPM Technology (Cohesive Polydensified Matrix) เป็นเทคโนโลยีการผลิตที่ทำให้ฟิลเลอร์ Belotero มีความยืดหยุ่นและสามารถผสานเข้ากับผิวได้ดี โดยไม่ทำให้เกิดการเป็นก้อน จึงทำให้ผลลัพธ์ดูเนียนและเป็นธรรมชาติ สามารถใช้ในบริเวณที่ต้องการความละเอียด เช่น รอบดวงตาและริมฝีปาก

ฟิลเลอร์ Belotero มีกี่รุ่น?

  • Belotero Intense เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นและหนาแน่นมากกว่ารุ่นอื่น ๆ ในบรรดาฟิลเลอร์ Belotero จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึกและปรับรูปหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ร่องแก้มลึก ร่องน้ำหมาก และเติมเต็มบริเวณผิวที่หย่อนคล้อย สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน
  • Belotero Volume เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นสูง สามารถคงรูปได้ดี ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ จึงเหมาะสำหรับแก้ไขปัญหาใต้ตา เบ้าตาลึก และเติมเต็มบริเวณที่กระดูกยุบตัวได้อย่างตรงจุด เช่น ขมับ คาง และโหนกแก้ม สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน
  • Belotero Revive เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด บางเบา มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวและกลีเซอรอล (Glycerol) ซึ่งช่วยรักษาความชุ่มชื้นในผิวได้ยาวนานขึ้น จึงเหมาะสำหรับบริเวณที่ต้องการฟื้นฟูผิว ผิวบาง ผิวแห้งกร้าน เช่น ใต้ตา ผิวหน้า ลำคอ และหลังมือ สามารถอยู่นานมากถึง 6 – 9 เดือน
  • Belotero Balance เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่มปานกลาง จึงเหมาะสำหรับการเติมร่องลึกไม่มาก เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ริ้วรอยรอบปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 – 18 เดือน
  • Belotero Soft เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด จึงเหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาริ้วรอยชั้นตื้น เช่น หางตา ใต้ตา สามารถอยู่นานมากถึง 6 – 12 เดือน
  • Belotero Lips – Shape เป็นฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง ไม่ทำให้จับตัวเป็นก้อน จึงเหมาะสำหรับเพิ่มวอลุ่มให้ปากดูอวบอิ่มและแก้ปัญหามุมปากตก สามารถอยู่นานมากถึง 9 – 12 เดือน
  • Belotero Lips – Contour เป็นฟิลเลอร์ที่เพิ่มความคมชัดให้ขอบปาก ปรับรูปทรงปาก ให้ปากดูมีมิติ มีความเป็นธรรมชาติ สามารถอยู่นานมากถึง 9 – 12 เดือน

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ Neauvia

  • ฟิลเลอร์ Neauvia เป็นฟิลเลอร์รุ่นใหม่ที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัท Matex Lab จากประเทศอิตาลี จุดเด่นอยู่ที่เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีความปลอดภัยสูง ผลิตจากกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ที่สกัดจากกระบวนการหมักทางชีวภาพ ทำให้มีความบริสุทธิ์สูงและมีโอกาสเกิดการแพ้น้อย สามารถให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติและยั่งยืน

ฟิลเลอร์ Neauvia ใช้เทคโนโลยีอะไร?

  • PEG Technology (Polyethylene Glycol) ใช้เทคโนโลยี PEG ในกระบวนการ Cross-linking ซึ่งเป็นการเชื่อมโมเลกุลของไฮยาลูรอนิก (HA) เข้าด้วยกัน ทำให้ได้เนื้อฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นและคงรูปได้ดี อีกทั้ง ยังมีการผสมผสานกรดอะมิโน ที่ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และเรียบเนียน นอกจากนี้ การใช้ PEG ยังช่วยลดการอักเสบหลังการฉีด ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือการแพ้ รวมถึง สามารถสลายไปเองได้ตามธรรมชาติ

ฟิลเลอร์ Neauvia มีกี่รุ่น?

  • Neauvia Intense เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง หนาแน่น และยืดหยุ่นสูง มีไฮยาลูรอนิกสูง เน้นการปรับรูปหน้าให้ดูอิ่มฟู มีมิติ จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึก เช่น ร่องแก้ม จมูก และคาง สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Neauvia Stimulate เป็นฟิลเลอร์เนื้อที่มีความหนาแน่นกว่า Neauvia Hydro Deluxe เล็กน้อย มีส่วนผสมของ CaHA (Calcium Hydroxyapatite) ในปริมาณที่สูงกว่า Neauvia Hydro Deluxe เน้นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องมุมปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Neauvia Hydro Deluxe เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด มีความยืดหยุ่น มีส่วนผสมของไฮยาลูรอนิก (HA) ในปริมาณสูง เน้นฉีดงานผิว จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว แก้ไขปัญหาผิวแห้ง ขาดน้ำ ริ้วรอยตื้น ๆ สามารถอยู่มากนานถึง 6 – 9 เดือน

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ Definisse

  • ฟิลเลอร์ Definisse เป็นฟิลเลอร์คุณภาพสูงจากประเทศอิตาลี ถูกพัฒนาโดยบริษัท Relife Company ซึ่งผลิตจากกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ที่มีคุณภาพสูง ช่วยในการกักเก็บน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว โดยฟิลเลอร์ Definisse มีจุดเด่นเรื่องเทคโนโลยีการผลิตเฉพาะ ที่จะช่วยพยุงผิว ยกกระชับ และปรับรูปหน้าได้อย่างปลอดภัย ทำให้ผิวเรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์

ฟิลเลอร์ Definisse ใช้เทคโนโลยีอะไร?

  • XTR™ Technology (eXcellent Three-Dimensional Reticulation) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต ช่วยให้โมเลกุลของไฮยาลูรอนิก (HA) ผสานกันเป็นโครงสร้างที่แข็งแรงและยืดหยุ่นคล้ายร่างแห ทำให้ฟิลเลอร์คงรูปได้ดี ไม่ไหล ไม่เลื่อน และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ

ฟิลเลอร์ Definisse มีกี่รุ่น?

  • Definisse Core เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความหนาแน่นสูงกว่ารุ่นอื่น ๆ ในบรรดาฟิลเลอร์ Definisse จึงเหมาะสำหรับเติมเต็มร่องลึก ยกกระชับใบหน้าปรับรูปหน้าให้ดูมีมิติ เช่น ขมับ กรอบหน้า และคาง สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน
  • Definisse Restore เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่มกว่ารุ่น Definisse Core แต่ยังคงมีความแข็งปานกลาง จึงเหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก ปรับรูปหน้าให้ดูอิ่มฟู ลดความหย่อนคล้อยตามวัย เช่น ร่องแก้ม และมุมปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Definisse Touch เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด บางเบากว่ารุ่นอื่น ๆ ในบรรดาฟิลเลอร์ Definisse จึงเหมาะสำหรับผิวบอบบาง เติมเต็มร่องตื้น ๆ ปรับผิวให้เรียบเนียน ดูอิ่มน้ำ เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม และปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ Art Filler

  • Art Filler เป็นฟิลเลอร์จากประเทศฝรั่งเศส ผลิตโดยบริษัท Fillmed โดยเน้นการใช้กรดไฮยาลูรอนิก (HA) คุณภาพสูงในการผลิต ทำให้ Art Filler มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเข้ากับผิวของเราได้ดี ช่วยให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งทื่อ และปลอดภัย

ฟิลเลอร์ Art Filler ใช้เทคโนโลยีอะไร?

  • TRI-HYAL Innovation เป็นนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของฟิลเลอร์ โดยใช้หลักการผสมผสานโมเลกุลไฮยาลูรอนิก (HA) 3 รูปแบบเข้าด้วยกัน ทำให้ฟิลเลอร์กระจายตัวได้อย่างเหมาะสม สร้างความยืดหยุ่นในเนื้อฟิลเลอร์ ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่จับตัวเป็นก้อน รวมถึง สามารถยึดเกาะกับผิวหนังได้เป็นอย่างดี

ฟิลเลอร์ Art Filler มีกี่รุ่น?

  • Art Filler Fine Lines เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียดและบางเบาเป็นพิเศษ ทำให้สามารถเติมเต็มร่องตื้น ๆ ได้อย่างแนบเนียนและเป็นธรรมชาติ พร้อมปรับผิวให้เรียบเนียน อิ่มน้ำ และชุ่มชื้น จึงเหมาะสำหรับบริเวณที่ผิวบอบบาง เช่น รอบดวงตา ริมฝีปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Art Filler Universal เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง หนาแน่นและยืดหยุ่น จึงเหมาะสำหรับเติมเต็มร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Art Filler Volume เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความหนาแน่นมากที่สุด จึงเหมาะสำหรับเติมเต็มร่องลึก เช่น ขมับ แก้มส้ม กรอบหน้า สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน
  • Art Filler Lips Soft เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มริมฝีปากให้ดูอิ่มฟูและเพิ่มความชุ่มชื้น สามารถอยู่นานมากถึง 3 – 6 เดือน
  • Art Filler Lips เป็นฟิลเลอร์เนื้อที่มีความหนาแน่นมากกว่า Art Filler Lips Soft เล็กน้อย มีความเป็นธรรมชาติ จึงเหมาะสำหรับเพิ่มวอลุ่มและปรับรูปทรงให้ริมฝีปากได้ตามต้องการ สามารถอยู่นานมากถึง 3 – 6 เดือน

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ Volifil

  • ฟิลเลอร์ Volifil เป็นฟิลเลอร์จากประเทศเกาหลี ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท BNC KOREA ซึ่งฟิลเลอร์ Volifil เป็นฟิลเลอร์ชนิดโมเลกุลเดียว (Monophasic) จึงเรียบเนียนไปกับผิว มีความยืดหยุ่นสูง สามารถคงตัวในผิวหนังได้ดี เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึกหรือปรับรูปหน้า

ฟิลเลอร์ Volifil ใช้เทคโนโลยีอะไร?

  • HCCL™ Technology (High Concentration of Cross-Linking) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพิเศษที่ใช้ในการผลิต ทำให้ฟิลเลอร์มีความคงตัวสูงและมีความยืดหยุ่นดี สามารถปั้นทรงได้ง่ายตามต้องการ

ฟิลเลอร์ Volifil มีกี่รุ่น?

  • Volifil Classic เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด บางเบา ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยตื้น ๆ เช่น รอบดวงตา บริเวณปาก สามารถอยู่นานมากถึง 9 – 12 เดือน
  • Volifil Deep เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึก ยกกระชับ และปรับรูปหน้า เช่น ร่องแก้ม รวมถึงเติมปากให้อวบอิ่ม สามารถอยู่นานมากถึง 9 – 12 เดือน
  • Volifil Sub-Q เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความหนาแน่นสูง สามารถคงรูปได้ดี จึงเหมาะสำหรับการปรับรูปหน้า เช่น คาง ขมับ และกรอบหน้า สามารถอยู่นานมากถึง 9 – 12 เดือน

การฉีดฟิลเลอร์ ถือเป็นการลงทุนกับใบหน้าที่คุ้มค่า ตอบโจทย์สำหรับสาว ๆ ที่อยากมีใบหน้าสวยเป๊ะ เพิ่มความมั่นใจแบบทุกมิติ แต่การฉีดฟิลเลอร์เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เนื่องจากแต่ละคนมีปัญหาผิวหน้าและบริเวณที่ต้องการฉีดไม่เหมือนกัน รวมถึง ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อและแต่ละรุ่นก็มี ทั้งจุดเด่นและคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ จะทำให้เราสามารถเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับใบหน้าและตรงตามความต้องการมากที่สุด นอกจากนี้ การเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์ที่มีประสบการณ์ ด้านการฉีดฟิลเลอร์ก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและตอบโจทย์กับปัญหาที่กังวลมากที่สุด

อันตราย! คลินิกเสริมความงามเถื่อน หวั่นหน้าพังตลอดชีวิต 

คลินิกเสริมความงาม

ข่าวการลักลอบเปิดคลินิกเสริมความงามเถื่อนโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงแอบอ้างตนเองว่าเป็นหมอโดยไม่มีใบประกอบวิชาชีพที่ถูกต้อง เป็นเหตุการณ์ที่พบได้บ่อยในสังคมปัจจุบัน ทั้งยัง ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด ตัวยาไม่ได้มาตรฐาน ไม่ผ่านการรองรับมาตรฐาน อย. หรืออาจเป็นของปลอม ซึ่งทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้บริการได้ ทั้งใบหน้าผิดรูป บิดเบี้ยว ตาบอด ผิวเน่าเปื่อย หรือเกิดการอักเสบจนติดเชื้อ ทำให้เป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้น การเลือกใช้บริการคลินิกเสริมความงามที่ปลอดภัยจึงเป็นสิ่งควรให้ความสำคัญที่สุด เพื่อลดโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงในอนาคต

ปัจจุบัน วงการคลินิกเสริมความงามเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีคลินิกเสริมความงามใหม่ ๆ เปิดขึ้นมาจนนับไม่ถ้วน จนทำให้ยากต่อการตัดสินใจใช้บริการ ซึ่งแต่ก่อนจะตัดสินใจ จะรู้ได้อย่างไรว่าคลินิกเสริมความงามไหนดี คลินิกเสริมความงามไหนปลอดภัย ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อกับการต้องเจอคลินิกเสริมความงามที่ไม่ได้มาตรฐาน วันนี้ รมย์รวินท์รวบรวมวิธีการเลือกคลินิกเสริมความงามอย่างไรให้ปลอดภัย เตรียมตัวสวยแบบมั่นใจกันได้เลย

คลินิกเสริมความงาม
เรื่องต้องรู้! วิธีเลือกคลินิกเสริมความงามให้ปลอดภัย ก่อนหน้าพังเพราะหมอเถื่อน

ทริคเลือกคลินิกเสริมความงามให้ปลอดภัย

  • มีใบอนุญาตประกอบกิจการ ที่ถูกต้องตามกฎหมายจากกระทรวงสาธารณสุขหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการมีใบอนุญาตแสดงให้เห็นว่า คลินิกเสริมความงามนั้นผ่านการคัดกรองและตรวจสอบอย่างถูกต้อง มีคุณสมบัติครบถ้วน ทั้งในด้านความปลอดภัยและความพร้อมสำหรับการให้บริการ
  • แพทย์มีใบประกอบวิชาชีพ ผ่านการรองรับจากแพทยสภาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งใบประกอบวิชาชีพเป็นหลักฐานยืนยันและการันตีถึงความรู้ความสามารถว่า แพทย์ท่านนั้น ผ่านการศึกษาอบรมมาอย่างถูกต้อง ทำให้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับคลินิกเสริมความงามและสร้างความปลอดภัยแก่ผู้รับบริการ
  • ราคา แนะนำให้ลองเปรียบเทียบราคาของคลินิกเสริมความงามหลาย ๆ ที่ ไม่ควรเลือกคลินิกเสริมความงามที่มีราคาถูกเกินไป เพราะยิ่งถูกยิ่งมีความเสี่ยงสูง อาจทำให้ได้รับตัวยาและบริการที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐาน
  • ตัวยาแท้ ได้รับมาตรฐาน คลินิกเสริมความงามที่ได้รับมาตรฐาน ต้องสามารถตรวจสอบตัวยาก่อนใช้ได้ว่า เป็นของแท้หรือไม่ ซึ่งตัวยาต้องผ่านการรองรับจาก อย. ทั้งในประเทศไทยหรือต่างประเทศ เช่น US FDA หรือ อย.อเมริกา
  • สถานที่สะอาด ปลอดเชื้อ ถูกสุขลักษณะทุกขั้นตอน เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้รับมาตรฐาน เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้รับบริการ
  • รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง แน่นอนว่ารีวิวก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การดูรีวิวจากผู้ใช้บริการคนอื่น ๆ จะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ทั้งในแง่ของผลลัพธ์ การบริการ และความพึงพอใจหลังทำ

ทำไมต้องทำสวยที่ Romrawin Clinic

  • ดูแลโดยทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ รมย์รวินท์คลินิก มีประสบการณ์ในวงการคลินิกเสริมความงามมาอย่างยาวนานกว่า 21 ปี ทำให้เข้าใจความต้องการและปัญหาของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง พร้อมด้วยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ ผ่านการฝึกฝนและอบรมอยู่ตลอดเวลา สามารถให้คำปรึกษาและประเมินสภาพผิวอย่างเหมาะสมกับแต่ละบุคคล ก่อนการทำหัตถการทุกครั้ง
  • อัปเดตเทรนด์ความงามอยู่เสมอ เนื่องจากเทรนด์ความงามมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ที่ รมย์รวินท์คลินิก ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำด้านความงาม แต่ยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาความรู้และอัปเดตเทรนด์อยู่สม่ำเสมอ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การดูแลผิวและรูปร่างที่เหนือกว่า
  • เทคโนโลยีหลากหลาย หัตถการครบวงจร ที่ รมย์รวินท์คลินิก เรานำเข้าเทคโนโลยีต่าง ๆ จากทั่วทุกมุมโลก ทำให้สามารถตอบโจทย์ทุกปัญหาที่ลูกค้ากังวล เช่น รักษาสิว ปรับรูปหน้า ยกกระชับ ฟิลเลอร์ กำจัดขน หรือแม้แต่การดูแลรูปร่างและสัดส่วน เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีที่สุด
  • มาตรฐานความปลอดภัยสูง มั่นใจได้ในทุกขั้นตอน เพราะที่ รมย์รวินท์คลินิก ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง โดยเลือกใช้แบรนด์ชั้นนำที่มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับในระดับโลก อย่าง Juvederm, Restylane, Ulthera หรือ Coolsculpting ได้รับการรองรับมาตรฐานจาก อย. ไทย หรือ อย. อเมริกา (US FDA) ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูง
  • บรรยากาศเป็นส่วนตัว พนักงานทุกคนให้บริการอย่างเป็นมืออาชีพ มีความเป็นส่วนตัวและใส่ใจในรายละเอียด และให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด ทำให้รู้สึกผ่อนคลายตลอดการใช้บริการ
  • มีสาขาทั่วประเทศ สามารถเข้าถึงได้ง่าย ทำให้สะดวกต่อการเดินทาง ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถเข้ารับบริการได้อย่างรวดเร็ว
  • มีโปรโมชันดี ๆ ตลอดทั้งปี อัปเดตโปรโมชันใหม่ ๆ ในทุกเดือน เปลี่ยนลุคใหม่ให้คุณสวยแบบคุ้มค่า สามารถเข้าถึงหัตถการที่มีคุณภาพ ในราคาที่จับต้องได้ มีให้เลือกหลากหลายโปรแกรม
  • รีวิวจากลูกค้าจำนวนมาก รมย์รวินท์คลินิก ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีเสียงตอบรับที่ดี ทั้งในด้านผลลัพธ์และการบริการที่น่าพึงพอใจ

สรุป
อยากสวย อยากดูดีแบบมั่นใจ ได้ผลลัพธ์ปัง ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายหรือเสี่ยงทายผลลัพธ์ แค่เลือก รมย์รวินท์คลินิก เราพร้อมดูแลให้คุณสวยขึ้นอย่างปลอดภัย ด้วยบริการและเทคโนโลยีที่ครบครัน ไม่ว่าคุณจะมีปัญหาผิวหน้า ริ้วรอย ความหย่อนคล้อย หรือรูปร่างแบบไหน ก็สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณได้ ครบจบในที่เดียว

หมูเด้ง น่ารัก น่าเอ็นดู ถ้าอยากผิวเด้งแบบหมูเด้ง ฟังทางนี้

หมูเด้ง

เคล็ดลับงานผิวเด้ง ฉ่ำโกลว์ แบบ “น้องหมูเด้ง”

หมูเด้งฟีเวอร์ นาทีนี้ใครจะอดใจไหว! กับความน่ารักของน้องหมูเด้ง ฮิปโปแคระตัวน้อย ดาวเด่นประจำสวนสัตว์เปิดเขาเขียวศรีราชา จ. ชลบุรี ที่กำลังกลายเป็นไวรัลปรากฏการณ์ระดับโลก ทั้งสื่อในประเทศและต่างประเทศ ต่างพร้อมใจกันรายงานข่าวและนำภาพของน้องหมูเด้งมาทำเป็นมีมกันอย่างสนุกสนาน

มัดรวม 4 โปรแกรมผิวเด้งแบบ น้องหมูเด้ง ที่ รมย์รวินท์คลินิก

ทำความรู้จักกับ น้องหมูเด้ง

น้องหมูเด้ง ลูกฮิปโปแคระ เพศเมีย เกิดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ปี 2567 แม่ชื่อโจนา อายุ 25 ปี พ่อชื่อโทนี่ อายุ 24 ปี ซึ่งชื่อ หมูเด้ง มาจากการเปิดโหวตของทางสวนสัตว์เปิดเขาเขียว มีให้เลือกทั้งหมด 3 ชื่อ ได้แก่ หมูเด้ง, หมูแดง และหมูสับ ซึ่งมีผู้โหวตมากถึง 20,000 คน

โดยน้องหมูเด้งเป็นลูกฮิปโปตัวที่ 7 ของสวนสัตว์เปิดเขาเขียว หลังจากมีคลิปและภาพความน่ารักของน้องหมูเด้งในเพจ ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง ถูกเผยแพร่ออกไป ก็กลายเป็นไวรัลขึ้นมาทันที เนื่องจากพฤติกรรมแสนน่ารัก ซุกซน ท่าทางเคลื่อนไหวที่เด้ง ดึ๋ง ดีด ของน้องหมูเด้ง ทำให้หลายๆ คนโดนตกและใจฟูทุกครั้งที่ได้เห็นน้อง

นอกจากพฤติกรรมที่น่ารักและซุกซนของน้องหมูเด้งแล้ว ผิวเด้ง ผิวเงา และกลาสสกินก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ซึ่งล่าสุดน้องหมูเด้งได้รันวงการความงามเป็นที่เรียบร้อย กับเทรนด์ผิวเด้ง ผิวกระจก ฉ่ำวาว อิ่มน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เราจะสู้น้องหมูเด้งได้ในตอนนี้ ก็คงต้องเอาผิวเด้งเข้าสู้! รมย์รวินท์คลินิก ได้รวบรวมโปรแกรมงานผิวเด้ง งานผิวฉ่ำ พร้อมให้คุณมีผิวสวย สุขภาพดี ออร่าจับเหมือนน้องหมูเด้งมาให้แล้วค่ะ

หมูเด้ง รวม 4 โปรแกรมผิวเด้งแบบน้องหมูเด้ง

ผิวเด้ง แบบหมูเด้งด้วย Radiesse

  • ผิวเด้งแบบหมูเด้งด้วย Radiesse นวัตกรรมกระตุ้นคอลลาเจนที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในตอนนี้ ผลิตโดยบริษัท Merz Aesthetics บริษัทชั้นนำผู้ผลิตนวัตกรรมความงามระดับโลก
  • โดย Radiesse มีส่วนประกอบหลักที่ทำให้ผิวเด้ง แข็งแรง คือ CaHA (Calcium Hydroxylapatite) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกายของเรา สามารถพบได้ในเนื้อเยื่อกระดูกและฟัน มีลักษณะเป็นทรงกลม ขนาด 24 – 25 ไมครอน
  • Radiesse มีจุดเด่นในการกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว พร้อมกระตุ้นการสร้างเส้นใยตาข่ายตรึงผิว ทำให้ผิวแข็งแรง มีความเด้ง มีความชุ่มชื้น นุ่มฟู มีความหนาแน่นขึ้น และดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  • ซึ่งผลลัพธ์การฉีด Radiesse สามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปี เนื่องจากสาร CaHA จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวเนียนเด้ง ชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้

Sculptra

  • ผิวเด้งแบบหมูเด้งด้วย Sculptra นวัตกรรมกระตุ้นคอลลาเจนจากบริษัท Galderma Laboratories, L.P. เป็นอีกหนึ่งหัตถการที่ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน
  • โดยมีส่วนประกอบหลัก คือ PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์จากธรรมชาติตัวแรกของโลก ที่ได้จดสิทธิบัตรเฉพาะของบริษัท Galderma มีลักษณะเป็นอนุภาคขนาดเล็ก
  • เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวจะไปกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทดแทนคอลลาเจนที่สูญเสียไปเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งมีงานวิจัยรองรับว่า Sculptra สามารถสร้างคอลลาเจนได้มากถึง 66.5% ทำให้ผิวแน่น กระชับ ผิวเด้ง ดูอิ่มฟู และโครงสร้างผิวดูแข็งแรง
  • โดยสามารถฉีดในบริเวณที่มีริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ และขาดความยืดหยุ่นได้ ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน ไม่ต้องเสียเวลาฉีดบ่อยๆ ฉีด 1 ครั้ง สามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปี

Belotero Revive

  • ผิวเด้งแบบหมูเด้งด้วย Belotero Revive ฟิลเลอร์กลุ่ม Skin Booster จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผลิตโดยบริษัท Merz Aesthetics ซึ่งเป็นฟิลเลอร์รุ่นแรกและรุ่นเดียวของโลก
  • มีการผสมกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) และ กลีเซอรอล (Glycerol) เข้าด้วยกัน พัฒนาขึ้นมาเพื่อเน้นการฟื้นฟูผิวโดยเฉพาะ
  • สามารถกักเก็บความชุ่มชื้น นุ่นลื่น เนียนและผิวเด้งได้ดีกว่าฟิลเลอร์รุ่นอื่นๆ ทำให้ผิวอิ่มน้ำ ผิวฉ่ำวาวแบบกลาสสกิน ล็อกความชุ่มชื้นไว้ได้ยาวนาน พร้อมกระชับรูขุมขนและเพิ่มวอลุ่มให้ผิวเด้ง
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ และแต่งหน้าไม่ติด ซึ่งหลังฉีด 1 ครั้ง สามารถอยู่ได้นานถึง 9 เดือน

Skinvive

  • ผิวเด้งแบบหมูเด้งด้วย Skinvive เทคโนโลยีงานผิวตัวใหม่จากบริษัท Allergan ผู้ผลิตฟิลเลอร์ชื่อดัง Juvederm มีส่วนประกอบของกรดไฮยาลูรอนิก ไมโครดรอปเล็ต (Microdroplets of Hyaluronic Acid) ที่พิเศษกว่ากรดไฮยาลูรอนิกทั่วไป ซึ่งมีความเข้มข้นสูง
  • โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การเป็น Skin Booster ช่วยให้ผิวแข็งแรง และเด้งฟูจากภายใน เติมเต็มความชุ่มชื้นเข้าสู่ผิวอย่างล้ำลึก ทำให้ผิวเด้ง อิ่มน้ำ ฉ่ำวาว พร้อมกระชับรูขุมขนให้ผิวเรียบเนียน แต่งหน้าติดทนมากขึ้น
  • โดยสามารถฉีดในบริเวณที่มีปัญหารูขุมขน ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น เช่น หน้าแก้ม หน้าผาก หรือใต้ตา ซึ่งการฉีด Skinvive 1 ครั้ง สามารถอยู่ได้นานถึง 6 – 9 เดือน หลังจากนั้น แนะนำให้กลับมาฉีดซ้ำ เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับใครที่อยากมีผิวเด้งแบบน้องหมูเด้ง บอกเลยห้ามพลาดกับ 4 โปรแกรม ทั้ง Radiesse, Sculptra, Belotero Revive และ Skinvive ต้องที่ รมย์รวินท์คลินิก เท่านั้น ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็มีเทคโนโลยีและจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป หากยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกทำโปรแกรมไหนดี แนะนำให้ลองปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนได้เลยเพื่อให้แพทย์ประเมินและวิเคราะห์ปัญหาผิวหน้าอย่างตรงจุด รับรองไม่ว่าทำโปรแกรมไหน ก็เตรียมมีผิวเด้ง ผิวฉ่ำวาว สู้น้องหมูเด้งได้แน่นอน

Thermage FLX vs Ulthera SPT ตัวช่วยยกกระชับต่างกันอย่างไร?

ยกกระชับ

Thermage FLX vs Ulthera SPT ตัวช่วยยกกระชับต่างกันอย่างไร

ในปี 2024 นี้นวัตกรรมการยกกระชับมีมากมายหลากหลายเครื่องอย่างมาก แต่นวัตกรรมการยกกระชับยอดฮิตติดอันดับตลอดกาลคงหนีไม่พ้น Thermage FLX vs Ulthera SPT 2 นวัตกรรมยกหน้าตึงดึงผิวกระชับระดับท็อปของวงการความงามมาอย่างต่อเนื่องหลายปี และยังนวัตกรรมการยกกระชับที่เหล่า ดารา คนดัง และเซเลปเลือกไว้ใจให้ดูแลเรื่องยกกระชับผิวหน้าอีกด้วย

วันนี้รมย์รวินท์คลินิกจะมาแนะนำ Thermage FLX vs Ulthera SPT ว่าแตกต่างกันอย่างไร ? เลือกยกกระชับตัวไหนดี? ผลลัพธ์แตกต่างกันอย่างไร? ทุกคำตอบของ Thermage FLX vs Ulthera SPT อยู่ที่บทความนี้เท่านั้น มาหาคำตอบไปพร้อมกันค่ะ

Thermage FLX vs Ulthera SPT ศึกแห่งความงาม! ยกกระชับผิวตัวไหนดีแตกต่างกันอย่างไร

thermage vs ulthera
ทำความรู้จักชั้นผิวการทำโปรแกรมยกกระชับ

รู้จักชั้นผิวของเราก่อนทำ Thermage FLX vs Ulthera SPT

ก่อนที่จะเลือกยกกระชับ Thermage FLX vs Ulthera SPT เราต้องมีความเข้าใจกับชั้นผิวหนังก่อน เพราะการทำ Thermage FLX และ Ulthera SPT พลังงานลงสู่ชั้นผิวหนังที่แตกต่างกัน โดยปกติชั้นผิวหนังของเรานั้นจะประกอบไปด้วย 4 ชั้นหลักด้วยกัน คือ ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis), ชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Subcutis)

  • ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) เป็นผิวหนังชั้นนอกที่ทำหน้าที่คอยปกป้องผิวจากมลพิษ แบคทีเรีย เชื้อรา และป้องกันการสูญเสียน้ำของผิว
  • ชั้นหนังแท้ (Dermis) เป็นผิวหนังชั้นที่มีความหนาแน่นและมีความยืดหยุ่น ประกอบไปด้วยคอลลาเจน (Collagen) และ อีลาสติน (Elastin) ทำหน้าที่ช่วยให้ผิวดูสวยสุขภาพดี แลดูอ่อนเยาว์ ยืดหยุ่นและดูผิวเต่งตึงมากขึ้น
  • ชั้นไขมัน (Subcutis) เป็นชั้นที่อยู่ด้านในสุดของชั้นผิว ที่ประกอบไปด้วยเซลล์ไขมัน โปรตีนคอลลาเจน และหลอดเลือดต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันการกระแทกอวัยวะภายในและคอยกักเก็บพลังงานอีกด้วย
  • ชั้น SMAS (Superficial Musculo Aponeurotic System) เป็นชั้นของเนื้อเยื่อที่แนบติดชั้นกล้ามเนื้อ และชั้นไขมันบนใบหน้า มีหน้าที่ห่อหุ้มกล้ามเนื้อของใบหน้า และทำหน้าที่พยุงโครงสร้างผิวให้กระชับ

หากชั้นผิวทั้ง 4 ชั้นมีประสิทธิภาพที่เสื่อมลงจากการโดนทำร้ายจากมลภาวะและแสงแดด หรือผิวเสื่อมประสิทธิภาพลงอันเนื่องมาจากอายุที่มากขึ้น จะทำให้ปริมาณของเส้นใยคอลลาเจนลดน้อยลง และเส้นใยคอลลาเจนสูญเสียความยืดหยุ่น เป็นสาเหตุของการเกิดผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยแห่งวัย ทำให้ใบหน้าขาดความกระชับ

ซึ่งคุณสมบัติของพลังงานความร้อนเครื่อง Ulthera SPT และ Thermage FLX สามารถยิงพลังงานลงลึกครอบคลุมผิวทั้ง 3 ชั้น โดยหลังจากยิงพลังงานลงสู่ผิวจะรู้สึกถึงความแน่นกระชับ ยืดหยุ่น รูขุมขนเล็กลง และผิวเรียบเนียนขึ้น อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน พร้อมทั้งยังช่วยสลายไขมันส่วนเกินที่สะสมบริเวณใบหน้าได้อีกด้วย

thermage vs ulthera
Thermage FLX vs Ulthera SPT ต่างกันอย่างไร ?

Thermage FLX vs Ulthera SPTทำงานแตกต่างกันอย่างไร

Thermage FLX กับ Ulthera SPT เป็นนวัตกรรมในด้านของการยกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ลดริ้วรอยต่าง ๆ ได้ แต่ทั้ง 2 นวัตกรรมมีความแตกต่างกันในด้านของหลักการทำงานและค่าพลังงานที่ยิงลงสู่ชั้นผิว

thermage vs ulthera
หลักการทำงานของ Thermage FLX

การทำงานของ Thermage FLX

hermage FLX หลักการทำงานใช้คลื่นพลังงานความร้อนจากคลื่นวิทยุ Monopolar RF ซึ่งเป็นคลื่นที่มีความถี่สูง สามารถลงลึกไปถึงชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ชั้นผิวที่มีส่วนประกอบของคอลลาเจน (Collagen) อีลาสติน (Elastin) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง โดยพลังงานความร้อนจะอยู่ที่ 40-50°C ปรับค่าพลังงานได้ถึง 0-4 ระดับ คือ

  • พลังงาน Thermage ระดับ 0-1 ระหว่างที่ทำจะรู้สึกสั่นบริเวณผิวแต่จะยังไม่รู้สึกอุ่น เป็นผลลัพธ์จากการรักษาน้อย
  • พลังงาน Thermage  ระดับ 2-2.5 ระหว่างทำจะรู้สึกร้อนขึ้นแต่จะรู้สึกในระดับที่ทนได้ สามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำได้ตามที่ต้องการ
  • พลังงาน Thermage ระดับ 3-4 พลังงานระดับนี้สำหรับในบางกรณีเป็นระดับความร้อนที่ร้อนเกินไป เป็นระดับพลังงานที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนมากกว่าระดับอื่น ๆ แต่เสี่ยงเกิดการบาดเจ็บได้ และไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือผิวบอบบางเกินไป

ในปัจจุบันการทำ Thermage FLX จะมีหัวยิง 4 แบบ ด้วยกัน ดังนี้

  • Thermage FLX Total Tip 3.0 ตารางเซนติเมตร เป็นหัวยิงเฉพาะรุ่นของ CPT เป็นหัวขนาด 3 ตารางเซนติเมตร สามารถยิงได้ 1,200 shot เหมาะทำบริเวณใบหน้าไปจนถึงลำคอ
  • Thermage FLX Total Tip 4 ตารางเซนติเมตร  เป็นหัวยิงเฉพาะรุ่นของ FLX เป็นหัวขนาด 4 ตารางเซนติเมตร สามารถยิงได้ 900 shot เหมาะทำบริเวณใบหน้าไปจนถึงลำคอ
  • Thermage FLX Body Tip 16 ตารางเซนติเมตร เป็นหัวยิงขนาด 16 ตารางเซนติเมตร เหมาะกับการทำในบริเวณลำตัว แขนและขา

จุดเด่นของ Thermage FLX

  • ยิงพลังงานลงที่ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ช่วยให้ผิวแน่นเฟิร์ม อิ่มฟู กระชับ หน้าเรียวเล็ก ปรับคุณภาพผิวให้ดีขึ้น 
  • หัวยิง 4 รูปแบบ พร้อมเทคโนโลยีใน Generation ใหม่ ‘FASTER ALGORITHM EXPERIENCE’ ทำให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
  • Thermage FLX สามารถยิงพลังงานลงลึกสู่ชั้นผิวครอบคลุมเป็นวงกว้าง
  • Thermage FLX มีหัว Tip สำหรับการยกกระชับบริเวณรอบดวงตา และหัว Tip สำหรับการยกกระชับบริเวณลำตัวได้
  • สามารถแก้ปัญหาบนใบหน้าได้อย่างครอบคลุม เช่น ริ้วรอย คิ้วตก ตาตก ร่องแก้มลึก ไขมันสะสม
  • ใช้ระเวลาในการทำครั้งละ 45-90 นาที
  • เห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ทำครั้งแรก 20% และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนหลังทำ 2-3 เดือน
  • ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 1-2 ปี
  • ไม่ต้องพักฟื้นนาน ไม่ต้องผ่าตัด สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

thermage vs ulthera
หลักการทำงาน Ulthera SPT

การทำงานของ Ulthera SPT

Ulthera SPT หลักการทำงานคือการใช้คลื่นพลังงานอัลตราซาวนด์ชนิด MFU-V (Micro Focused UItrasound with Visualization) เป็นพลังงานคลื่นเสียงความถี่สูง สามารถยิงพลังงานลงสู่ผัวชั้น SMAS ในระดับความร้อนที่ 60-70°C มีหน้าจอในการดูระดับความลึกของพลังงานที่ยิงลงไปแบบ Real time โดยลักษณะพลังงานเป็นจุดไข่ปลาเล็ก ๆ เรียงกันเป็นเส้นตรง  ซึ่งหัวยิงของ Ulthera SPT มีความลึกถึง 3 ระดับ  คือ

  • หัวยิงความลึก 1.5 mm เหมาะสำหรับปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ บนผิวชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis)
  • หัวยิงความลึก 3 mm เหมาะสำหรับการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ช่วยยกกระชับ
  • หัวยิงความลึก 4.5 mm สำหรับยิงชั้น SMAS ซึ่งเป็นผิวหนังชั้นเดียวกับการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า ยกแก้ม เหนียง และลำคอ

จุดเด่นของ Ulthera SPT

  • Ulthera SPT มีเทคโนโลยีหน้าจอแสดงผลแบบ Real time เพื่อการมองเห็นพลังงานที่โฟกัสอย่างแม่นยำ ตรงจุด ทุกชั้นผิว
  • ลงลึกครอบคลุมทุกชั้นผิว แก้ปัญหาอย่างตรงจุด ยกกระชับได้เทียบเท่ากับการผ่าตัดดึงหน้า
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ของผิว ช่วยให้ผิวแน่นเฟิร์มกระชับ
  • เห็นผลลัพธ์ตั้งแต่หลังทำครั้งแรก 30% และเห็นผลลัพธ์ชัดเจน 1-2 เดือนหลังทำ
  • ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี
  • ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันปกติได้เลย

Thermage FLX vs Ulthera SPT วิธีใช้แตกต่างกันไหม

Thermage FLX กับ Ulthera แตกต่างกันอย่าง สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้

Thermage FLX

  • Thermage FLX เป็นการพัฒนานวัตกรรมขึ้นมาในปี 2018 สามารถฌโฟกัสการลดริ้วรอยอย่างแม่นยำแบบเรียลไทม์ ใช้ระยะเวลาในการทำน้อยกว่าเดิม 25% ผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนาน 1-2 ปี

Ulthera SPT

  • เป็นนวัตกรรมที่มีเพียงรุ่นเดียว ช่วยลดเลือนริ้วรอยร่องลึกต่าง ๆ และช่วยยกกระชับที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนได้นานถึง 1-2 ปี

Thermage FLX vs Ulthera SPT เหมาะกับปัญหาผิวแบบไหน

Thermage FLX เหมาะคนที่มีปัญหาไขมันส่วนเกินสะสมเยอะบริเวณใบหน้า ทำให้ผิวขาดความกระชับ แก้มเยอะ ยิวย้วย อันเนื่องมาจากมีไขมันสะสม นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยร่องลึกต่าง ๆ จากการที่ผิวขาดคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin)

ส่วน Ulthera SPT เหมาะกับคนที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด ผิวหย่อนคล้อยตามวัย และมีริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า หางตาและหางคิ้วตก ผิวขาดคอลลาเจน  (Collagen) และอีลาสติน (Elastin)

Thermage FLX vs Ulthera SPTจุดที่นิยมในการยกกระชับแก้ปัญหาผิว

จุดที่นิยมยกกระชับด้วย Thermage FLX 

  • ทั่วใบหน้าบริเวณที่มีไขมันสะสม
  • บริเวณรอบดวงตาและใกล้ตา
  • เหนียง ใต้คาง
  • ร่องแก้มและกรอบหน้า
  • ลำคอ
  • ต้นแขนและต้นขา

จุดที่นิยมยกกระชับด้วย Ulthera SPT

  • ทั่วบริเวณใบหน้า
  • บริเวณรอบดวงตาและใต้ตา
  • หางคิ้ว หางตา
  • บริเวณหน้าผาก
  • ร่องแก้มและกรอบหน้า
  • ลำคอ

Thermage FLX vs Ulthera SPT ผลลัพธ์แตกต่างกันอย่างไร?

จุดเด่นเรื่องผลลัพธ์ของการทำ Thermage FLX คือจะช่วยให้ผิวแน่นเฟิร์มกระชับ ช่วยลดไขมันสะสมบริเวณกรอบหน้าได้ดี กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin) ช่วยฟื้นฟูสุขภาพผิวให้กลับมาเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น

ส่วนจุดเด่นผลลัพธ์ของ Ulthera SPT คือช่วยยกผิวหน้าที่หย่อนคล้อยให้กระชับขึ้น ช่วยให้ผิวเต่งตึง กรอบหน้าคมชัด และยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin) อีกด้วย

Thermage FLX vs Ulthera SPT จำนวน Shot ที่แตกต่างกัน

Thermage FLX มีจำนวน Shot ในการยิงอยู่ที่ 900 shot ยิงได้ทั่วใบหน้า ซึ่งใช้ระยะเวลาในการทำ 45-90 นาที

ส่วน Ulthera SPT นั้นจำนวน Shot ในการยิงทั่วใบหน้าไม่ได้มีจำนวนที่เหมาะสมชัดเจน เนื่องจากขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของแต่ละบุคคล

Thermage FLX vs Ulthera SPT vs HIFU แตกต่างกันอย่างไร?

  • Thermage FLX เป็นการใช้พลังงานคลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว ซึ่งพลังงานสามารถลงลึกถึงชั้นหนังแท้ ช่วยยกกระชับผิวหน้าและลำตัว รวมถึงช่วยลดไขมันส่วนเกินด้วย ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี
  • Ulthera SPT ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์ความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง โดยพลังงานสามารถลงลึกได้ถึงผิวหนังชั้น SMAS ช่วยยกกระชับผิวหน้าและลำคอ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี
  • HIFU ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์ความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง พลังงานลิงลงลึกได้ถึงผิวหนังชั้น SMAS ได้เหมือน Ulthera SPT แต่ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นาน ช่วยยกกระชับผิวหน้าและลำตัว

ราคาการทำThermage FLX vs Ulthera SPT อยู่ที่เท่าไหร่

ราคาในการยกกระชับ Thermage FLX โดยปกติทั่วไปหากเป็น Thermage FLX 900 shot จะอยู่ที่ราคาเริ่มต้น 65,000 บาท ส่วน Ulthera SPT จะมีราคาเริ่มต้นที่ 60,000 บาท ทั้งนี้ราคาขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการทำด้วยค่ะ

คำถามพบบ่อยเรื่องของ Thermage FLX vs Ulthera SPT

Thermage FLX vs Ulthera SPT สามารถทำร่วมกันได้หรือไม่?

การยกกระชับด้วย Thermage FLX และ Ulthera SPT สามารถทำร่วมกันได้ แต่ไม่ควรทำพร้อมกัน เนื่องจากจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหน้า อาจส่งผลให้ชั้นผิวของเราเกิดอาการเบิร์นไหม้ (Burn) ควรเลือกยกกระชับอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแพทย์ผู้ชำนาญการประเมินปัญหาสภาพผิวของแต่ละบุคคลค่ะ

ระดับความเจ็บของ Thermage FLX vs Ulthera SPT

ก่อนทำ Ulthera SPT จะทำการแปะยาชาก่อนทำเสมอ จึงทำให้การยกกระชับด้วย Ulthera SPT ไม่เจ็บอย่างที่คิดเพราะยาชาช่วยลดความเจ็บได้อย่างมาก ระหว่างทำจะรู้สึกจี๊ด ๆ และอุ่นบริเวณที่ทำ ซึ่งเป็นระดับความร้อนที่ทนได้

ส่วนการทำ Thermage FLX ระดับของความเจ็บนั้นจะไม่แตกต่างจากการทำ Ulthera SPT เท่าไหร่ เพราะ Thermage FLX มีระบบ Cooling Effect ที่ช่วยปล่อยพลังงานความเย็นในระหว่างทำ เพื่อคอยป้องกันการไหม้เบิร์น (Burn) ของผิวหน้า และช่วยทำให้เจ็บน้อยลงอีกด้วยค่ะ

ระยะเวลาในการทำ Thermage FLX vs Ulthera SPT ในแต่ละครั้งนานไหม

ระยะเวลาในการทำ Thermage FLX ในแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 45-90 นาที ส่วนในการทำ Ulthera SPT ในแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 30-45 นาทีค่ะ

Thermage FLX vs Ulthera SPT  จะเห็นผลลัพธ์ภายในกี่วัน?

ระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์ของ Thermage FLX จะเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำประมาณ 20% และจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ภายใน 2-3 เดือนหลังทำ ส่วน Ulthera SPT เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำประมาณ 30% และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ภายใน 1-2 เดือนหลังทำค่ะ

สรุป Thermage FLX vs Ulthera SPT

Thermage FLX และ Ulthera SPT ช่วยยกกระชับเก็บกรอบหน้าคมชัดคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างกันที่พลังงานค่ะ สำหรับใครที่กำลังมองหานวัตกรรมยกกระชับ แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกทำโปรแกรมยกกระชับตัวไหนดี สามารถเข้ามาพูดคุยปรึกษากับทางรมย์รมรวินท์คลินิก เพื่อให้แพทย์ผู้ชำนาญการประเมินวิเคราะห์ใบหน้าและเลือกหัตถการยกกระชับที่เหมาะสมกับปัญหาผิวได้อย่างตรงจุดค่ะ

รมย์รวินท์คลินิกใช้ Thermage FLX และ Ulthera SPT เครื่องแท้ได้มาตรฐานระดับสากล ดูแลโดยทีมแพทย์ผู้มากประสบการณ์กว่า 10 ปี ดูแลทุกเคสแบบ 1:1 วิเคราะห์อย่างละเอียดเพื่อการแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม ตรงจุด และปลอดภัย

เตือนภัย! หวิดหน้าพัง..เพราะฟิลเลอร์ กับหมอที่ไม่ชำนาญ

อันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์

เตือนภัย! หวิดหน้าพัง..เพราะฟิลเลอร์ 

ฟิลเลอร์จัดได้ว่าเป็นหัตถการอันดับต้นๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะสามารถฉีดเติมเต็มให้ผิว ปรับรูปหน้า และลดเลือนริ้วรอยได้อย่างทันใจ แต่เมื่อมีความนิยมมากก็มักจะมีฟิลเลอร์ปลอมระบาดหนักในท้องตลาดมากเช่นกัน ยิ่งถ้าหากเราอยากสวย แต่เห็นแก่ของถูก โปรโมชันที่หลอกล่อให้หลงเป็นเหยื่อ จนเผลอไผลให้กับฟิลเลอร์ปลอม หรือคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็อาจตกเป็นเหยื่อ และหวิดหน้าพังได้เช่นกัน 

ฟิลเลอร์คืออะไร ทำไมถึงได้รับความนิยมอย่างมาก 

ฟิลเลอร์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารประกอบที่ช่วยเติมเต็มให้ผิว ช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องเล็กๆ หรือปรับรูปหน้า เติมเต็มวอลลุ่มให้ผิวหน้า ซึ่ง HA เป็นสารประกอบที่มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากเป็นสารที่ฉีดเข้าไปแล้วไม่เกิดการตกค้างในร่างกาย สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ และให้ผลลัพธ์ที่สวยในแบบที่เป็นธรรมชาติ ดูไม่หลอกตา ซึ่งฟิลเลอร์แท้จะได้รับรองจากอย.ไทย ว่ามีความปลอดภัย สามารถใช้กับผิวหน้า หรือร่างกายได้ 

ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณไหนได้บ้าง

  • ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณขมับ แก้ปัญหาขมับตอบ เสริมมิติให้ใบหน้า
  • ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณหน้าผาก แก้ปัญหารอบยุบ รอยยับ 
  • ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณใต้ตาช่วยแก้ปัญหารอยคล้ำใต้ตา ให้ตาสดใสมากขึ้น
  • ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณปาก ช่วยเติมเต็มร่องปาก แก้ปากแห้ง ปรับรูปปากให้สวยอวบอิ่ม
  • ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณร่องแก้ม ช่วยเติมเต็มร่องลึก ให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น
  • ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณคาง ช่วยแก้ปัญหาคางสั้น คางบุ๋ม เติมมิติให้คางดูสวยรับกับใบหน้ามากขึ้น 

ฟิลเลอร์กับความงาม

ฟิลเลอร์นั้นมีประโยชน์กับผิวในด้านความงามมากมาย เพราะเป็นสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อของ HA ที่ใช้เติมความชุ่มชื้น และกักเก็บน้ำให้กับผิว อีกทั้งยังช่วยเติมเต็มเรื่องร่องรอยให้ผิว ช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องตื้นให้ผิวดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น และยังช่วยปรับรูปหน้า เพิ่มวอลลุ่มให้ผิวดูมีมิติมากยิ่งขึ้น และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมากอีกด้วย เป็นการรักษาผิวให้สวยได้แบบเร่งด่วนอีกทางหนึ่ง แต่หากเผลอไปเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือฉีดแบบไม่ถูกวิธี กับคลินิกหรือแพทย์ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ หรือไม่ได้รับการรับรองก็อาจเจอกับผลข้างเคียงได้อีกเช่นกัน โดยอาการของการฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ได้ผลดีคืออาการฟิลเลอร์ไหล หรือฟิลเลอร์เป็นก้อนนั่นเอง และอาจร้ายแรงจนถึงขั้นติดเชื้อ เสี่ยงเสียโฉมถาวรเลยก็เป็นไปได้ 

ฟิลเลอร์ไหลคืออะไร

ฟิลเลอร์ไหลคือ อาการข้างเคียงของการฉีดฟิลเลอร์เข้าสู่ผิวแล้วเกิดการไหลย้อยมากองรวมกันเป็นก้อนทำให้ผิวเกิดการอักเสบ หรือบวมขึ้น ซึ่งอาการเหล่านี้จะไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีหลังจากฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในผิว แต่จะเกิดขึ้นหลังจากการฉีดฟิลเลอร์มาซักระยะหนึ่ง หากเป็นฟิลเลอร์ของแท้ หรือฉีดถูกตำแหน่งก็จะสามารถถสลายไปได้เองโดยธรรมชาติ แต่หากเป็นฟิลเลอร์ที่ใช้สารประกอบอื่นๆ มาแทน เช่น ซิลิโคนเหลว หรือพาราเบน ซึ่งสารประกอบพวกนี้จะไม่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ หากฉีดไปนานเข้าก็จะทำให้ฟิลเลอร์เกิดอาการไหล และทำให้ผิวหนังอักเสบ บวมแดง จนถึงขั้นติดเชื้อได้ 

ต้นเหตุของฟิลเลอร์ไหลคืออะไร อันตรายหรือไม่

ฟิลเลอร์ไหล เพราะฟิลเลอร์ที่ไม่ได้คุณภาพ มีการเก็บรักษาที่ไม่ดี ไม่ได้มาตรฐาน หรือเป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ผ่านการรับรองจากอย.ไทย  เพราะฟิลเลอร์ที่อย.ไทยรับรองคือฟิลเลอร์ที่มีสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid เท่านั้น 

ฟิลเลอร์ไหล เพราะใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสมกับบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาจเกิดจากโมเลกุล และความหนาแน่น และการจับตัวของฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับตำแหน่งที่ฉีดก็อาจทำให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดเกิดอาการไหลกองเป็นก้อน 

ฟิลเลอร์ไหล เพราะแพทย์ที่ทำการฉีดให้ไม่ใช่แพทย์ผู้มีประสบการณ์เฉพาะทาง ซึ่งอาจจะทำให้ฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่ง หรือฉีดฟิลเลอร์มากเกินความจำเป็น ทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ และอาจทำให้เกิดอาการฟิลเลอร์ไหล หรือฟิลเลอร์เป็นก้อน 

ฟิลเลอร์ไหล เพราะฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นฟิลเลอร์ปลอม ที่ใช้สารปลอมแปลงเช่นซิลิโคนเหลว หรือพาราฟินที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และไม่สามารถสลายไปได้เองโดยธรรมชาติ ซึ่งนานวันเข้าจะไปกระตุ้นผิว ทำให้เกิดการอักเสบ และติดเชื้อได้

โดยอาการข้างต้นหากฟิลเลอร์ที่ใช้นั้นเป็นของแท้ก็สามารถทำการสลายฟิลเลอร์ได้และอาจไม่เกิดผลกระทบต่อร่างกายมากนัก แต่หากฟิลเลอร์ที่นำมาใช้ฉีดนั้นเป็นของปลอมก็อาจมีความเสี่ยงต่อร่างกายได้ 

ฟิลเลอร์ปลอมคืออะไร 

ฟิลเลอร์ปลอม คือ ฟิลเลอร์ที่นำสารประกอบตัวอื่นที่ไม่ใช่ Hyaluronic Acid มาเป็นสารประกอบ แต่จะใช้สารจำพวกซิลิโคนเหลว หรือพาราฟินเข้ามาแทน ซึ่งสารเหล่านี้ยังไม่ได้รับการรับรองจากอย.ไทย และถือเป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือเป็นฟิลเลอร์ปลอมนั่นเอง ซึ่งอาจเกิดผลต่อผิวหน้า และร่างกายในระยะยาว หากเกิดการอักเสบ หรือติดเชื้อ 

ดูอย่างไรว่าเป็นฟิลเลอร์ที่ใช้เสี่ยงจะเป็นฟิลเลอร์ปลอม หรือไม่ได้มาตรฐาน 

ฟิลเลอร์นั้นเป็นฟิลเลอร์ที่นำเข้ามาเองจากต่างประเทศ โดยไม่ผ่านบริษัทที่นำเข้าฟิลเลอร์อย่างถูกต้อง และไปใช้เพื่อการค้าตามท้องตลาดทั่วไป หรือตามสื่อออนไลน์ ที่ไม่ใช่คลินิกเสริมความงามที่มีการรับรอง  ให้สันนิฐานได้เลยว่าเสี่ยงที่จะเป็นฟิลเลอร์ปลอม ควรหลีกเลี่ยงอย่างมาก 

สารฟิลเลอร์ที่ไม่ได้รับการรับรองจากอย.ไทย คือ ฟิลเลอร์ที่นำสารอื่นๆ ที่ไม่ใช้ Hyarulomic Acid มาใช้ผลิตผิลเลอร์ เช่น นำสารจำพวกซิลิโคนเหลว หรือพาราฟิน คอลลาเจนมาใช้แทน ซึ่งอย.ไทย รับรองแค่ฟิลเลอร์ที่มีสารประกอบของ Hyarulonic Acid เท่านั้น

อันตรายที่เกิดจากฟิลเลอร์ปลอม ระวังไว้ให้ดีถ้าไม่อยากเสี่ยงหน้าพังถาวร

เกิดการอักเสบของผิวหนัง เมื่อนำฟิลเลอร์ปลอม ที่มีสารแปลกปลอมที่ไม่ใช่ Hyaluronic ตามธรรมชาติ ฉีดเข้าไปยังผิวของเรา ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านสิ่งแปลกปลอมทันที ทำให้เกิดการอักเสบ บวม ของผิว 

เกิดการติดเชื้อหวิดหน้าพัง เพราะฟิลเลอร์ที่ใช้เกิดการปนเปื้อนของสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรค เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวหนัง อาจทำให้ผิวของเหล่าเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและเกิดการติดเชื้อขึ้นได้ 

เกิดฟิลเลอร์ไหล หรือฟิลเลอร์เป็นก้อน หากนำสารอื่นๆ ที่เป็นสารประกอบของฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติ อย่างเช่นพวกซิลิโคนเหลว หรือพาราฟินมาฉีดเข้าผิว ซึ่งสารจำพวกนี้จะไม่สามารถสลายไปได้เองโดยธรรมชาติ เมื่อนานเข้าจะทำให้สารนั้นและชั้นผิวของเราจับตัวเป็นพังผืด และกลายเป็นฟิลเลอร์ไหลได้นั่นเอง

ทำอย่างไรหากเกิดอาการฟิลเลอร์ไหล หรือฉีดฟิลเลอร์ปลอม

การฉีดสลายฟิลเลอร์ ซึ่งเป็นการฉีด Hyaluromidase หรือ HYAL เพื่อเข้าไปสลายเนื้อฟิลเลอร์ที่อยู่ใต้ผิวหนัง ในกรณีนี้จะใช้ได้เฉพาะฟิลเลอร์แท้เท่านั้น โดยเมื่อฉีดแล้ว ฟิลเลอร์จะค่อยๆสลายออกไปเองตามธรรมชาติ ใช้ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม หรือฉีดฟิลเลอร์มากจนเกินไปจนทำให้ฟิลเลอร์ไหลกองเป็นก้อน แต่วิธีนี้จะได้ผลแค่ประมาณ 60-70% เท่านั้น

การขูดฟิลเลอร์ ใช้ในกรณีที่ฟิลเลอร์ที่ฉีดนั้นเป็นฟิลเลอร์ปลอม ซึ่งไม่สามารถสลายไปเองได้ตามธรรมชาติ หรือไม่สามารถใช้วิธีการฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ ซึ่งวิธีขูดฟิลเลอร์นี้เป็นการรักษาอาการอักเสบ บวมแดงจากฟิลเลอร์ปลอมที่ไหลเกาะเป็นก้อนพังผืด 

การสลายฟิลเลอร์โดยการผ่าตัด ซึ่งใช้กับฟิลเลอร์ปลอมที่ฉีดเข้าสู่ผิวเกิดการจับตัวกันเป็นก้อนแข็ง และมีขนาดใหญ่มาก หรือการเกิดพังผืดแบบที่การขูดฟิลเลอร์รักษาไม่ได้ผล แต่วิธีการรักษานี้มีความเสี่ยงค่อนข้างมาก 

อย่าเสี่ยงกับอาการฟิลเลอร์ไหลหรือฟิลเลอร์ปลอม ไม่ได้มาตรฐาน ให้รมย์รวินท์คลินิกเป็นคลินิกเสริมความงามที่คุณไว้วางใจในผลลัพธ์ คุณภาพ และการบริการ 

เลือกฉีดฟิลเลอร์อย่างปลอดภัย ต้องที่รมย์รวินท์คลินิก 

  • ที่รมย์รวินท์คลินิกเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ คุณภาพดี ยี่ห้อที่เป็นที่รู้จัก และได้รับการรับรองจากอย.ไทย ว่าเป็นฟิลเลอร์แท้มาใช้กับผู้มาเข้ารับบริการ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และความปลอดภัยสูงสุดกลับไป
  • ที่รมย์รวินท์คลินิกเป็นสถานเสริมความงามที่ได้รับรองว่ามีมาตรฐาน น่าเชื่อถือ และมีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน อีกทั้งเครื่องมือและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ก็มีคุณภาพทั้งในเรื่องความสะอาด และความปลอดภัย
  • ที่รมย์รวินท์คลินิกมีแพทย์ผู้มีประสบการณ์เฉพาะด้านคอยให้คำแนะนำ และดูแลผู้เข้ามารับบริการ และมีการติดตามผลหลังทำ เพื่อให้ผู้มารับบริการได้รับความสบายใจก่อนและหลังการรักษา
  • ที่รมย์รวินท์คลินิกมีโปรโมชันมากมายตลอดทั้งปี ซึ่งนอกจากโปรโมชันโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แล้ว ก็ยังมีโปรโมชันความงามอื่นๆ อีกมากมายมอบให้แก่ผู้มาเข้ารับบริการได้ติดตาม
  • ที่รมย์รวินท์คลินิกมีเคสรีวิวของผู้เข้ามารับบริการกับโปรแกรมเสริมความงามมากมายหลากหลายเคส เพื่อให้ผู้มาเข้ารับบริการเกิดความมั่นใจในการเข้ารับบริการ 

อยากฉีดฟิลเลอร์ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีไม่ต้องเสี่ยงทาย แค่มาที่รมย์รวินท์คลินิกก็สวยกลับไปทุกครั้ง มีปัญหาผิว หรือขอรับบริการด้านความสวย เชิญได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขานะคะ 

อ่านข้ามูลฟิลเลอร์ที่ปลอดภัยได้ที่ :https://www.romrawin.com/filler-fullface/

IPL กำจัดขน อันตรายเสี่ยงเสียโฉม

อัตรายจาก IPL

อาจเสี่ยง! เสียโฉมตลอดชีวิต ถ้ายังกำจัดขนด้วย IPL 

นึกถึงการกำจัดขนคุณจะนึกถึงอะไร? หลายๆ คนคงนึกถึงเครื่อง IPL เป็นคำตอบของการกำจัดขนของคุณใช่มั้ย เพราะหาทำได้ง่ายทุกคลินิก มีราคาถูก เห็นผลได้ดี ใช้เวลาทำน้อย ทำให้เครื่อง IPL เป็นที่นิยมในการกำจัดขนกันอยู่พักหนึ่ง แต่! รู้มั้ยว่า เครื่อง IPL ไม่ใช้นวัตกรรมที่เหมาะกับการกำจัดขนโดยเฉพาะ! หากเสี่ยงทำเครื่อง IPL ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือคลินิกที่ไม่ได้รับการรองรับ หรือใช้พลังงานที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เสียโฉมได้เลยนะ! รู้หรือเปล่า!

อย่างที่เป็นข่าวดังว่าผู้เข้ารับบริการท่านหนึ่งใช้บริการกำจัดขนด้วยเครื่อง IPL หลังทำเกิดอาการผิวพองเป็นตุ่มขนาดใหญ่ ซึ่งอาจเกิดจากการระคายเคืองหรือการไหม้เบิร์นของผิวในบริเวณที่ทำ นอกจากเสียเงินทำแล้ว ยังต้องเสียเงินรักษาแผลไปอีกก! 

IPL คืออะไร? ทำไมถึงนิยมในการกำจัดขน 

IPL หรือ Intense Pulsed Light  คือคลื่นแสงความเข้มข้นสูงที่มีความยาวคลื่น 515 – 1,200 นาโนเมตร ซึ่งมีการกระจายตัวของแสงและมีความกว้างของคลื่นแสงมากจึงไม่ถูกจัดว่าเป็นเลเซอร์ โดยคลื่นแสงที่มีความเข้มข้นสูงนี้ จะไปจับกับเม็ดสีเมลานินในผิวบริเวณนั้น และเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน และทำลายเม็ดสีนั้นให้แตกออก ด้วยความที่เครื่อง IPL มีความยาวคลื่นที่กว้างมากนั้นเอง เครื่อง IPL นี้จึงสามารถใช้ในการรักษาครอบคลุมปัญหาผิวได้มากมาย เช่นรักษารอยดำ จุดด่างดำ ให้ผิวหน้าใส รวมทั้งการกำจัดขนที่หลายๆคนนิยมใช้ IPL ในการกำจัดขนด้วย 

การกำจัดขนด้วยเครื่อง IPL 

เครื่อง IPL นอกจากจะทำให้หน้าใสแล้วยังสามารถกำจัดขนของเราได้อีกด้วย ด้วยการเลือกยิงพลังงานที่เหมาะกับการกำจัดขน โดยจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนไปจับกับเม็ดสีเมลานินของขนทำให้เกิดการฝ่อตัวและหลุดออกไปเอง แต่ด้วยความที่เครื่อง IPL มีความยาวคลื่นที่กว้างมากทำให้บริเวณที่ทำรอบข้างอาจเกิดรอยแดง หรือการระคายเคืองได้ ข้อดีของเครื่อง IPL คือชะลอการเกิดขนใหม่ให้ช้าลง และลดการเกิดหนังไก่หลังการกำจัดขน และสามารถทำได้ทุกบริเวณ ไม่ว่าจะเป็น แขน ขา รักแร้ ใช้เวลาในการทำน้อยและมีราคาถูก 

อัตรายจาก IPL

แต่! เมื่อมีข้อดี ก็ย่อมต้องมีข้อเสียเช่นกัน! เหมือนที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ที่หลังกำจัดขนด้วย IPL เกิดตุ่มพองใหญ่ในบริเวณที่ทำ สาเหตุอาจจะมาจากการเลือกยิงด้วยพลังงานไม่เหมาะ หรือเกิดการระคายเคือง หรือแพ้ ทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดการไหม้เบิร์น แสบร้อน และข้อสำคัญที่ต้องระวังเลย! ก็คือ เครื่อง IPL นี้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวสีเข้ม แนะนำการกำจัดขนด้วยวิธีอื่นอย่างการกำจัดขนดด้วย YAG Laser 1064 ที่มีความปลอดภัยกว่า และได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในการกำจัดขน

ผลข้างเคียงจาก IPL 

  • หลังกำจัดขนด้วย IPL ผิวอาจเกิดการระคายเคือง มีตุ่ม และเกิดอาการคันได้
  • หลังกำจัดขนด้วย IPL ผิวอาจเกิดการไหม้เบิร์น และมีความรู้สึกแสบร้อนผิว
  • หลังกำจัดขนด้วย IPL อาจทำให้เกิดแผลเป็นรอยนูนขึ้นบริเวณที่ทำได้
  • หลังกำจัดขนด้วย IPL อาจทำให้ผิวบริเวณนั้นเปลี่ยนสีได้ เช่นเข้มมากขึ้น หรือสีซีดจาง
  • หลังกำจัดขนด้วย IPL อาจเกิดการติดเชื้อทางผิวหนังได้หากเครื่อง IPL ที่ใช้ไม่ได้มาตรฐาน หรือทำที่คลินิกที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ

ซึ่งหากเกิดอาการเหล่านี้ รมย์รวินท์ขอแนะนำให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยด่วนนะคะ

หรืออีกทางเลือกหนึ่งของการกำจัดขนที่ได้มาตรฐาน และมีความปลอดภัยสูง อย่าง YAG Laser 1064 

YAG Laser 1064 คืออะไร ทำงานอย่างไร?

YAG Laser 1064 คือ เลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 1,064 nm (นาโนเมตร) ซึ่งมีความยาวที่สามารถลงได้ลึกสามารถลงไปกำจัดขนใต้ผิวหนังได้ลึกถึงรากขน จึงเป็นเลเซอร์ที่เหมาะกับการกำจัดขนมากกว่าเลเซอร์ชนิดอื่นๆ โดยจะยิงพลังงานและเปลี่ยนเป็นความร้อนตรงเข้าไปจับกับเม็ดสีเมลานินที่รากขน ทำให้เกิดการฝ่อตัวและหลุดร่วงไป

ทำไม YAG Laser 1064 ถึงเหมาะกับการกำจัดขนมากกว่า IPL 

  • YAG Laser 1064 ยิงด้วยพลังงานที่มีช่วงความยาวคลื่น 1,064 นาโนเมตร 
  • YAG Laser 1064 สามารถยิงพลังงานได้ลงลึกถึงรากขน
  • YAG Laser 1064 ชะลอการเกิดขนใหม่ และบางลง
  • YAG Laser 1064 ไม่ทำให้เกิดตอขน ขนคุด หรือหนังไก่
  • YAG Laser 1064 ไม่ทำให้ผิวบริเวณที่ทำไหม้เบิร์น หรือแสบร้อน
  • YAG Laser 1064 มี Cryogen ลดการสะสมความร้อนของผิวขณะทำ
  • YAG Laser 1064 เหมาะกับทุกสภาพผิว และสีผิว
  • YAG Laser 1064 ปลอดภัยได้รับการรับรองจาก US FDA
  • YAG Laser 1064 เกิดผลข้างเคียงที่น้อยกว่าการกำจัดขนแบบอื่นๆ
  • YAG Laser 1064 เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกหลังกำจัดขน

เปรียบเทียบระหว่างการกำจัดขนด้วยเครื่อง IPL และ YAG Laser 1064

อัตรายจาก IPL

อย่าเสี่ยง! กับการกำจัดขนแบบเดิมๆ ที่อาจทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต สู่ทางเลือกใหม่ที่ดีกว่าในการกำจัดขนที่ได้ผล และปลอดภัย กำจัดขนครั้งใดนึกถึง YAG Laser 1064 ที่รมย์รวินท์คลินิกนะคะ

เปรียบเทียบ Rejuran VS Revive ต่างกันอย่างไร ผิวชุ่มชื้นต่างกันอย่างไร

ผิวชุ่มชื้น

ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





    วันที่สะดวกในการติดต่อ




    เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

    Rejuran VS Revive เปรียบเทียบงานผิวตัวไหนผิวชุ่มชื้น ตัวไหนหน้าฉ่ำ

    ผิวแห้งเสียขาดความชุ่มชื้น กลายเป็นปัญหาหนักสุดๆ สืบเนื่องจากมลภาวะ และชีวิตประจำวันที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผิวอย่างหนักหน่วง จนสภาพผิวห่างไกลจากคำว่า “ผิวชุ่มชื้น” “ผิวฉ่ำวาว” ไปไกลลับ ด้วยกิจวัตรประจำวันที่ต้องเผชิญกับมลภาวะอยู่เสมอ การดูแลผิวชุ่มชื้นแบบเดิม ๆ อาจไม่เพียงพอเสียแล้ว บางทีการหาตัวช่วยมาเติมเต็มให้ผิวที่แห้งเสีย กลับมาเป็นผิวที่ชุ่มชื้นคงจะเป็นทางออกที่ดี

    ซึ่งหากพูดถึงผลิตภัณฑ์งานผิว ที่ช่วยปรับสภาพผิวแห้งเสียให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ก็จะมีหลากหลายตัวเลือก ไม่ว่าจะเป็น Rejuran, Revive หรือเติมวิตามินผิว แต่จะเลือกงานผิวตัวไหนที่ตอบโจทย์ความต้องการ ที่อยากจะมีผิวชุ่มชื้น ห่างไกลจากผิวเสียเพราะมลภาวะรอบตัว หลายคนอาจเลือกไม่ถูกและไม่มั่นใจว่าตัวเลือกไหนที่เหมาะสำหรับงานผิวฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ

    แน่นอนว่ารมย์รวินท์คลินิกมีคำตอบเรื่องนี้ โดยหากพูดถึงผิวชุ่มชื้นและฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ มีงานผิว 2 ตัวเลือกที่มักพูดถึงและเปรียบเทียบอยู่บ่อยครั้ง คือ  Rejuran กับ  Revive ซึ่งทั้งสองนับว่าเป็นงานผิวยอดนิยมที่เน้นเรื่องผิวเรียบเนียน ผิวชุ่มชื้นและฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ทั้งสองก็มีข้อแตกต่างกัน งานนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงจะมาเปรียบเทียบว่างานผิวไหนผิวชุ่มชื้น ไหนช่วยเรื่องผิวฉ่ำวาว โดยสามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับทั้งสองตามหัวข้อต่อไปนี้

    ผิวชุ่มชื้น

    สำหรับคนที่อยากเปลี่ยนผิวที่แห้งเสีย ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น หน้าใส มีความฉ่ำวาว ตัวเลือกที่ตอบโจทย์ผิวฉ่ำวาวที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้น Rejuran ซึ่งมีงานวิจัยออกมาพูดถึงผลลัพธ์ผิวหน้าชุ่มชื้น และมีความฉ่ำวาวด้วย Rejuran ส่งผลให้หัตถการที่ช่วยปรับผิวชุ่มชื้นชนิดนี้ได้รับความนิยม และกลายเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ในสถานเสริมความงาม 

    โดยตัว Rejuran เป็นสารที่คิดค้นเพื่อผิวหน้าชุ่มชื้น สวยใสด้วยการสกัดสาร Polynucleotide (PN) จาก DNA ของปลาแซลมอนที่ได้รับการทดสอบแล้วว่า มีความใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์มากถึง 98% โดยมี คุณสมบัติด้านการฟื้นฟูสภาพผิว ช่วยคืนผิวชุ่มชื้นหลังจากแห้งเสียเป็นเวลานาน พร้อมช่วยเคลียร์ปัญหาผิว อย่างเร่งด่วน ประกอบกับคุณสมบัติของ DNA ที่คล้ายคลึงกับของมนุษย์  Rejuran จึงมีความปลอดภัย และไม่ก่อให้เกิดกระทบต่อผิวชุ่มชื้นหลังจากฉีด Rejuran

    ด้วยประสิทธิภาพด้านการเคลียร์ผิว ที่เสื่อมสภาพจากมลภาวะต่าง ๆ ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ผิวฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ และมีความปลอดภัย ส่งผลให้ Rejuran กลายเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในฐานะของหน้าใส ผิวชุ่มชื้น แต่อาจจะยังมีคนสงสัยว่าสาร Polynucleotide มีการทำงานอย่างไร ทำไมถึงผิวชุ่มชื้นด้วย DNA จากปลาแซลมอน สามารถอ่านรายละเอียดที่หัวข้อการทำงานของ Rejuran  

    การทำงานของ Rejuran สาร Polynucleotide ส่งผลต่อผิวอย่างไร?

    หลังจากทำการฉีด Rejuran ลงไปบนผิวหนังแล้ว สาร Polynucleotide (PN) จะเข้าไปควบคุม กระบวนการทำงานของเซลล์และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ โดยการกระตุ้นให้ร่างกายสารที่จะช่วยกระตุ้น การทำงานของเซลล์ Fibroblast หรือที่เรียกว่า Growth factor ซึ่งประกอบไปด้วย FGF, EGF และ IGF ที่จะเป็นตัวกลางสื่อสารระหว่างเซลล์และทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ซึ่งส่งผลให้ผิวชุ่มชื้นอย่างเป็นธรรมชาติ

    การทำงานของ Polynucleotide ที่ฉีดลงไปด้วย Rejuran ส่งผลกระทบต่อผิวเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์, จัดการกับผิวที่เสื่อมสภาพและปัญหาผิวที่เกิดจากมลภาวะ รวมถึงฟื้นฟูสภาพผิวเปลี่ยนผลลัพธ์ของผิวที่แห้งเสียให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ซึ่งระหว่างกระบวนการทำงานของสาร PN จะมีโอกาสเกิดอาการแพ้ได้น้อยมาก เนื่องจากสารที่ฉีดมาจาก DNA ปลาแซลมอนที่คล้ายคลึงกับของมนุษย์ และสามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดี จึงเป็นงานผิวชุ่มชื้นสุขภาพดีที่มีความปลอดภัย

    ผลลัพธ์ของ Rejuran ลดการเสื่อมสภาพของผิว ผิวชุ่มชื้นและแข็งแรง

    •  Rejuran ฟื้นฟูถึงระดับเซลล์ผิว พร้อมกระตุ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก เพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งช่วยลดหลุมสิวและรอยดำลง เป็นสารที่สำคัญต่อการปรับสภาพผิวช่วยให้ผิวฉ่ำวาวและผิวชุ่มชื้น
    • สาร Polynucleotide ยังช่วยเรื่องของความชุ่มชื้นบริเวณผิว ทำให้หลังจากทำ Rejuran เราจะได้สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของผิว โดย PN จะช่วยสร้างบาเรียที่ปกป้องผิวทำให้ผิวชุ่มชื้นและการสูญเสียน้ำบริเวณผิวลดลง
    •  Rejuran ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ Fibroblast ซึ่งส่งผลต่อการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินของร่างกาย และเมื่อร่างกายมีการฟื้นฟูคอลลาเจนและอีลาสติน ผิวก็จะกลับมาสดใส ผิวชุ่มชื้น และมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น
    • นอกจากช่วยจัดการกับปัญหาผิว และฟื้นฟูสภาพผิวแล้ว  Rejuran ยังช่วยลดความมันบริเวณผิว ช่วยกระชับรูขุมขน และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

    จากกระบวนการทำงานและผลลัพธ์ของ Rejuran จึงไม่แปลกเลยที่ผิวหน้าใสจาก DNA ปลาแซลมอนจะได้รับการตอบเป็นอย่างดี และเป็นที่นิยมในเวลาต่อมา เพราะนอกจากผิวชุ่มชื้นและกระจ่างใส ยังช่วยจัดการกับผิวที่เสื่อมสภาพ รวมถึงปัญหาผิวต่าง ๆ ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

    ผิวชุ่มชื้น

    Revive ทำให้ผิวชุ่มชื้นได้อย่างไร

     Revive หรือ BELOTERO Revive เป็นผลิตภัณฑ์สารเติมเต็มเนื้อบางเบา ที่ช่วยเรื่องผิวชุ่มชื้นและเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยการพัฒนาที่แตกต่างจากสารเติมเต็มฟิลเลอร์ทั่วไป ซึ่งส่งผลให้ Revive เป็นตัวเลือกที่ช่วยซัพพอร์ตเรื่องงานผิวให้ออกมามีสุขภาพดี รวมทั้งยังช่วยให้ผิวกักเก็บความฉ่ำวาวอุ้มน้ำได้ด้วย จึงเป็นคำตอบว่าทำไมฉีดสารเติมเต็ม Revive แล้วผิวชุ่มชื้น

    ซึ่งส่วนที่พัฒนาและแตกต่างจากสารเติมเต็มชนิดอื่น ๆ คือ ฟิลเลอร์สารเติมเต็มทั่วไปมักมีส่วนประกอบเป็น Hyaluronic Acid (HA) ที่เป็นส่วนประกอบหลักของสารเติมเต็ม ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นอิ่มฟูเด้งกระชับ แต่ Revive จะมีส่วนประกอบของ Glycerol เพิ่มเข้ามา ซึ่งสารประกอบ Glycerol มีประสิทธิภาพด้านปรับสภาพผิวให้กักเก็บน้ำได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ผิวชุ่มชื้นอิ่มน้ำอยู่ตลอดเวลา และการบำรุงผิวของสาร Glycerol ยังส่งผลลึกถึงผิวหนังชั้น Dermis ทำให้ผิวชุ่มชื้นยาวนานและช่วยเติมเต็มผิวให้ออกมาเรียบเนียนด้วย 

    การทำงานของ Revive ผสานผลลัพธ์ของ HA และ Glycerol ไว้ด้วยกัน

    โดยปกติแล้วสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์จะมีส่วนประกอบหลักเป็น Hyaluronic Acid ซึ่งมีกระบวน การทำงานโดยการฉีดเข้าไปใต้ชั้นผิวและจึงเกิดการปรับสภาพผิวให้ดียิ่งขึ้น โดยการเข้าไปฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะ สภาพแวดล้อม โดยผลลัพธ์ของสารเติมเต็ม HA คือ ผิวชุ่มชื้น เรียบเนียน ผิวฉ่ำวาวเต่งตึงและอ่อนเยาว์

    ส่วนการทำงานของสารประกอบ Glycerol จะช่วยเสริมสร้างให้ผิวชุ่มชื้น และกักเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนาน เป็นเหมือนสารที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของ Hyaluronic Acid ควบคู่ไปกับการปรับสภาพผิวให้ฉ่ำวาวอิ่มน้ำ และเมื่อผลลัพธ์ของ HA กับ Glycerol มารวมกันก็จะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวภายในระยะเวลาอันสั้น พร้อมจัดการกับผิวแห้งเสีย ขาดน้ำ ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้นด้วย Revive

    ผลลัพธ์ของ Revive ออกมาเป็นอย่างไร?

    •  Revive ช่วยเติมเต็มร่องลึก และกระชับปรับรูปหน้า
    •  Revive เสริมประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำของผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง
    •  Revive ช่วยลดเลือนริ้วรอยและจัดการกับหลุมสิวตื้น
    •  Revive แก้ปัญหาผิวเฉพาะจุด และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว

     ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ Revive ผ่านการเพิ่มสารประกอบ Glycerol มาผสานกับ Hyaluronic Acid มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการกักเก็บน้ำและเสริมผิวชุ่มชื้นมากกว่าสารเติมเต็มชนิดอื่น ๆ ทำให้ Revive ได้รับความนิยมเหมือนกับงานผิว Rejuran

    ผิวชุ่มชื้น

    เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง Rejuran และ Revive ต่างกันอย่างไรบ้าง ?

    จากการพัฒนาของเทคโนโลยีแ ละความต้องการวิธีการดูแลผิวที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงมีการคิดค้นหัตถการ ดูแลผิวที่ผลลัพธ์ครอบคลุม และตอบโจทย์ด้านความงามยิ่งขึ้น หัตถการงานผิวปัจจุบันจึงมีตัวเลือกมากจนบางคนไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือกทำไหนดี อย่างกรณีที่อยากมีผิวชุ่มชื้น จะทำ Rejuran ก็เป็นตัวเลือกที่ดี แต่จะฉีด Revive ก็ผิวชุ่มชื้นไม่แพ้กัน วันนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงจะมาแนะนำความแตกต่างระหว่าง Rejuran และ Revive เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจสำหรับคนที่คิดเลือกทำหัตถการความงามเป็นครั้งแรก หรือต้องการผลลัพธ์ที่เหมาะกับตัวเองที่สุด

    ซึ่งถึงแม้ว่าเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนา Rejuran ผิวชุ่มชื้น และ Revive ผิวฉ่ำวาวจะมีความแตกต่างกัน แต่ประสิทธิภาพและผลลัพธ์โดยรวมอาจมีความใกล้เคียงกันบางส่วน รายละเอียดหลังจากนี้จึงจะเป็นการเปรียบเทียบแบบชัด ๆ เลยว่าต่างกันมากน้อยแค่ไหน

    ส่วนประกอบหลักของ Rejuran และ Revive

    •  Rejuran :  Polynucleotide (PN) สารสกัด DNA จากปลาแซลมอนที่เข้ากันได้ดีกับร่างกายของคนเรา ลักษณะเป็นเจลใสไร้สีสำหรับฉีดเข้าผิวหนังส่งผลให้ผิวชุ่มชื้น
    •  Revive : ประกอบด้วยสาร Hyaluronic Acid และ Glycerol ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของสารเติมเต็ม ทำให้ผิวชุ่มชื้นยิ่งกว่าเดิม

    การทำงานของ Rejuran และ  Revive

    •  Rejuran : สาร Polynucleotide เข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิว ช่วยการผลัดเซลล์และฟื้นฟูสภาพผิว รวมถึงช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นและจัดการกับปัญหาผิว จะมีการทำงานของที่เน้นเรื่องปรับสภาพผิวมากกว่าผิวชุ่มชื้น
    •  Revive :  Hyaluronic Acid จะเข้ามาช่วยเติมเต็มร่องลึกและช่วยให้ผิวชุ่มชื้น พอมารวมกับ Glycerol ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำของผิว เป็นการบูสผิวชุ่มชื้นยิ่งกว่าเดิม

    การทำงานของทั้งสองจะแตกต่างกันที่ Revive เน้นเติมเต็ม แล้วสร้างความความชุ่มชื้น เนื่องจากมีส่วนประกอบของ HA ที่เป็นสารเติมเต็มที่เป็นส่วนประกอบสำหรับฟิลเลอร์ ส่วน Rejuran จะเข้าไปกระตุ้นเซลล์และผลัดเซลล์ผิว จึงมีความแตกต่างกัน แต่ก็ยังมีส่วนช่วยเรื่องของผิวชุ่มชื้นเหมือนกัน เพียงแต่ Revive จะตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการผิวชุ่มชื้นมากกว่าเพราะมีส่วนประกอบของ Glycerol

    ผิวชุ่มชื้น

    Rejuran และ Revive เหมาะกับการใช้งานแบบไหน

    •  Rejuran : เหมาะสำหรับช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ อันมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น มลภาวะ, ช่วงวัยที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นต้น โดยจะช่วยปรับสภาพผิวและเสริมให้ผิวชุ่มชื้น
    •  Revive : เหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยร่องตื้น ช่วยปรับโครงหน้าและเสริมการกักเก็บน้ำของผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น

     ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพการทำงานเกี่ยวกับผิวชุ่มชื้น ที่คล้ายคลึงกัน แต่ทั้งสองจะมีความแตกต่างกันที่รายละเอียดการปรับสภาพผิว โดย Revive จะตอบโจทย์การเติมเต็มผิวร่องลึกในฐานะสร้างเติมเต็ม ส่วน Rejuran จะเหมาะกับปรับสภาพผิวจากการเสื่อมสภาพและช่วยให้ผิวชุ่มชื้นยิ่งขึ้น

     Rejuran และ Revive เหมาะสำหรับบริเวณไหนบ้าง?

    •  Rejuran : สามารถฉีดได้หลายบริเวณทั่วหน้า รวมถึงรอบดวงตา หากอยากมีผิวชุ่มชื้นสามารถฉีดบริเวณแก้ม หน้าผาก หรือจุดที่ผิวแห้งเสียเป็นพิเศษ
    •  Revive : จะเหมาะสำหรับบริเวณผิวตื้น ๆ จึงนิยมฉีดบริเวณรอบดวงตา, ปาก, ลำคอ,หน้าผาก และหลังมือ โดยจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและอวบอิ่มให้กับบริเวณที่ฉีด

     ส่วนมากบริเวณที่ทำ Rejuran และ Revive เพื่อผิวชุ่มชื้นจะไม่ค่อยแตกต่างกัน แต่ Revive จะเน้นฉีดที่ผิวตื้นไม่ลงลึกถึงชั้น Dermis ส่วน Rejuran จะเหมาะสำหรับฉีดลงผิวชั้นกลางเพื่อให้สาร PN กระจายไปทั่ว ๆ และช่วยเสริมสร้างให้ผิวชุ่มชื้น มีความกระชับ

     Rejuran และ Revive มีความรู้สึกระหว่างทำที่แตกต่างกันหรือไม่

    •  Rejuran : เนื่องจาก Rejuran จำเป็นต้องฉีดลงไปที่ผิวชั้นกลางเพื่อให้สาร PN กระจายลงไปบนผิวเพื่อไปกระตุ้นให้ผิวชุ่มชื้น เลยจะมีความรู้สึกเจ็บระหว่างทำบ้าง แต่จะมีการ บรรเทาความเจ็บด้วยการฉีดยาชาก่อนทำ
    •  Revive :  Revive ถูกพัฒนาโดยคำนึงถึงคนที่กลัวเจ็บระหว่างทำ จึงมีความเจ็บปวดที่น้อยลง แต่สำหรับคนที่กลัวเจ็บสามารถทายาชาเพิ่มได้ก่อนทำ Revive

     Rejuran และ Revive ผลลัพธ์อยู่นานแค่ไหน

    •  Rejuran : สาร PN ช่วยกระตุ้นให้ผิวชุ่มชื้นอยู่นานถึง 6-8 เดือน
    •  Revive : สาร Hyaluronic Acid ช่วยเติมเต็มร่องลึก สร้างผิวชุ่มชื้นได้นานถึง 9 เดือน

    โดย Rejuran ควรฉีดอย่างต่อเนื่อง 2-3 สัปดาห์/ครั้ง และเมื่อทำครบ 4 ชั้น ผลลัพธ์ผิวชุ่มชื้นจะคงอยู่นานถึง 8 เดือน ส่วน Revive เติมเต็มผิวชุ่มชื้นเพียงครั้งเดียวก็จะได้ผลลัพธ์ของผิวฉ่ำวาวไปถึง 9 เดือนเลย ซึ่งตรงส่วนนี้จะเห็นว่าทั้งสองมีความแตกต่างทั้งระยะเวลาของผลลัพธ์และจำนวน ครั้งที่แนะนำให้ทำหัตถการ แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรตรวจสอบก่อนว่าปัญหาผิวของเราเหมาะกับไหน เพื่อผลลัพธ์ขอผิวที่เรียบเนียน ผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์อย่างมีประสิทธิภาพ

    อยากมีผิวชุ่มชื้นสร้างผิวที่ฉ่ำวาวและคงความอ่อนเยาว์ ต้องมาที่รมย์รวินท์ คลินิก

    กิจวัตรประจำวันของแต่ละคนล้วนมีส่วนที่ต้องออกมาเผชิญกับมลภาวะต่าง ๆ รวมถึงช่วงอายุที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ผิวที่เคยเรียบเนียน ผิวที่เคยชุ่มชื้นก็กลับกลายเป็นผิวที่ขาดน้ำ ขาดความกระชับ ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนแม้ว่าจะมีการบำรุงผิวให้ฉ่ำวาวด้วยครีมสกินแคร์หรือบำรุงผิวด้วยวิธีต่าง ๆ มากแค่ไหน ผิวก็ไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อย่างเต็มที่ภายในระยะเวลาสั้น ๆ

     แต่สำหรับคนที่ต้องการวิธีฟื้นฟูบำรุงผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์อย่างทันท่วงที สามารถลองมาปรึกษากับแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิก โดยทางคลินิกจะมีเทคนิคเฉพาะที่ช่วยวิเคราะห์ปัญหาผิวและเลือกวิธีการจัดการกับผิว อย่างเหมาะสม สำหรับคนที่ผิวขาดน้ำ ผิวไม่เรียบเนียนขาดความกระชับ ทางคลินิกก็จะแนะนำ Rejuran หรือ  Revive ซึ่งจะช่วยเติมเต็มสารสกัดที่เป็นประโยชน์ต่อผิว ส่งผลให้ผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ สำหรับคนที่สนใจสามารถติดต่อรมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขาเลย

    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





      วันที่สะดวกในการติดต่อ




      เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

      SUPER HIFU แตกต่างจากยกกระชับชนิดอื่น ๆ อย่างไร ?

      HIFU

      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





        วันที่สะดวกในการติดต่อ




        เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว


        SUPER HIFU มีความแตกต่างจากนวัตกรรมยกกระชับอื่น ๆ อย่างไร?

        ปัญหาหนึ่งอย่างที่เรามักเจอเป็นประจำเมื่อมีอายุมากขึ้น คือ ผิวหน้าหย่อนคล้อย ไม่เรียบเนียน ต้องการที่จะยกกระชับผิวเพื่อปรับรูปหน้าให้สวยเป๊ะ แต่ไปถึงก็ยังไม่รู้ว่าควรจะเลือกทำหัตถการไหนดี พอพูดถึงหัตถการยกกระชับก็ดันมีตัวเลือกมากมาย เวลาเดินเข้าคลินิกเสริมความงาม ด้วยเหตุนี้การหาข้อมูลจากทางอินเทอร์เน็ตจึงเป็นทางออกสำหรับคนที่อยากหาข้อมูลเพื่อ เป็นข้อมูลในการตัดสินใจในเตรียมเลือกประเภทหัตถการยกกระชับ ชนิดต่างๆ 

        และเมื่อพูดถึงหัตถการยกกระชับอันดับต้นๆ คนจะต้องนึกถึง HIFU เป็นอันดับแรกๆ แต่ถ้าจะให้แนะนะก็ต้องเป็น SUPER HIFU โปรแกรมยกกระชับตัว TOP ที่เป็นขั้นกว่าของ HIFU ที่พัฒนามาเป็นอย่างดี เพราะนอกจาก SUPER HIFU จะช่วยยกกระชับที่บริเวณต่าง ๆ ของร่างกายได้หลายส่วนแล้ว ยังเป็นนวัตกรรมยกกระชับที่ไม่ต้องใช้เข็ม ไม่มีการผ่าตัด แถมการดูแลตัวเองหลังรักษาไม่ยุ่งยาก เหมาะสำหรับคนพึ่งเคยเข้ารับหัตถการยกกระชับเป็นครั้งแรก แต่ก่อนจะทำ SUPER HIFU เราก็ควรทราบข้อมูลเกี่ยวกับ SUPER HIFU รวมถึงความแตกต่างของ SUPER HIFU เมื่อเปรียบเทียบกับนวัตกรรมยกกระชับอื่น ๆ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกหัตถการยกกระชับ

        HIFU

        SUPER HIFU คืออะไร ? ทำความรู้จักก่อนเลือกนวัตกรรมยกกระชับ

        ก่อนจะเลือกทำ SUPER HIFU เราควรทราบรายละเอียดและหลักการทำงานของ SUPER HIFU เสียก่อน โดย SUPER HIFU เป็นคำที่ย่อมาจาก High Intensity Focused Ultrasound เป็นหัตถการยกกระชับบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายด้วยหลักการของเครื่องที่มีการปล่อย Focused ultrasound ลงไปถึงชั้นผิว Superficial Muscular Aponeurotic System (SMAS) ที่เป็นส่วนของเนื้อเยื่อห่อหุ้มกล้ามเนื้อบริเวณผิวหน้าจนเกิดการยกกระชับ

        โดยหลักการทำงานของ High Intensity Focused Ultrasound ของ SUPER HIFU เป็นคลื่นอัลตร้าซาวด์ที่พัฒนามาจากเครื่องตรวจครรภ์ด้วยคลื่นอัลตร้าซาวด์ทางการแพทย์ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ส่งผลให้นอกจาก SUPER HIFU จะช่วยยกกระชับผิวหย่อนคล้อยให้กลับมาเป็นผิวที่อ่อนเยาว์ แน่นกระชับแล้ว ยังเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยอีกด้วย

        ผลลัพธ์หลังจากทำ SUPER HIFU เป็นอย่างไร ?

        หลังจากยกกระชับด้วย SUPER HIFU ผลลัพธ์จะออกมาอย่างเต็มประสิทธิภาพตามสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยการทำ SUPER HIFU จะเข้าไปกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนของร่างกายตามแต่ละชั้นผิวตามที่คลื่นของ SUPER HIFU ปล่อยลงไป ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเน้นหลักในเรื่องผิวหย่อนคล้อยตามวัย หลังจากทำ SUPER HIFU จะมีผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงของผิวโดยสรุปดังนี้

        • เปลี่ยนผิวที่หย่อนคล้อยให้กลับมากระชับ และมีความยืดหยุ่นเสมือนว่าเรากลับมามีผิวเด็กอีกครั้ง แต่จริง ๆ เป็นเพราะร่างกายมีการสร้างคอลลาเจนมากขึ้น ผิวของเราจึงมีความแข็งแรง อ่อนเยาว์ และยกกระชับกรอบหน้าชัดเจน
        • นอกจากความยืดหยุ่นและกระชับของผิวแล้วยังช่วยลดเลือนริ้วรอยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา ริ้วรอยบนผิวหน้าและลำคอ 
        • นอกจากบริเวณผิวหน้าที่กระชับและเรียบเนียน SUPER HIFU ยังสามารถช่วยยกกระชับส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น เหนียงบริเวณลำคอที่เกิดจากไขมันส่วนเกินที่ย้อยลงไม่ค่อยน่ามอง SUPER HIFU สามารถช่วยยกกระชับและลดเหนียงได้

        ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ของ SUPER HIFU จะมีผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์สำหรับคนที่อยากยกกระชับและแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย แต่เนื่องจากการทำ SUPER HIFU มีความแตกต่างจากการผ่าตัดศัลยกรรม ผลลัพธ์ของการยกกระชับด้วย SUPER HIFU จึงไม่คงอยู่อย่างถาวร แต่เราสามารถทำ SUPER HIFU ทุก ๆ 3-6 เดือน เพื่อรักษาผลลัพธ์การยกกระชับและผิวที่อิ่มฟูอุดมไปด้วยคอลลาเจนให้มีประสิทธิภาพไปตลอดได้

        HIFU

        SUPER HIFU สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง ?

        สำหรับคนที่สนใจอยากจะยกกระชับหลาย ๆ ส่วน คงอยากจะทราบว่า SUPER HIFU สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง ซึ่งตามความจริงแล้ว SUPER HIFU สามารถยกกระชับได้หลายส่วนของร่างกาย และสามารถปรับเปลี่ยนหัวยิงของเครื่องให้เหมาะสมกับบริเวณชั้นผิวที่จะทำ SUPER HIFU โดยสำหรับคนที่สงสัยหัวยิงของเครื่องจะมีทั้งหมด 6 รูปแบบดังนี้

        • หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 2.0 mm : สามารถปล่อยพลังงานลงไปถึงชั้นผิว Dermis (ชั้นหนังแท้) เพื่อกระตุ้นร่างกายให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้นบริเวณชั้นผิว
        • หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 3.0 mm : หัวยิงสำหรับชั้น Dermis และ Superficial Fat ที่เป็นไขมันชั้นตื้น โดยจะช่วยสลายไขมันและกระตุ้นคอลลาเจน
        • หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 4.5 mm : สำหรับยกกระชับบริเวณผิวชั้น SMAS ช่วยยกใบหน้ากลับมากระชับและอ่อนเยาว์
        • หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 6.0 mm : หัวยิงสำหรับยกกระชับกรณีที่ไขมันสะสมบริเวณใต้ชั้นผิวมีความหนาไม่เกิน 1 นิ้ว
        • หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 6, 9 mm : หัวยิงสำหรับยกกระชับกรณีที่ไขมันสะสมบริเวณใต้ชั้นผิวมีความหนาประมาณ 1 – 1.5 นิ้ว โดยแต่ละคนจะมีความหนาบริเวณชั้นผิวและไขมันที่แตกต่างกัน
        • หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 9, 13 mm : สำหรับกรณีที่ไขมันหนาเกินกว่า 1.5 นิ้ว และสามารถยกกระชับบริเวณต่าง ๆ เช่น ร่องแก้ม เหนียง คาง เป็นต้น รวมถึงการลดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาและร่องแก้ม

        โดยบริเวณที่นิยมทำ SUPER HIFU ด้วยหัวยิงทั้ง 6 รูปแบบก็จะมีดังนี้

        • ผิวหน้าและลำคอ : เป็นบริเวณที่ทำ SUPER HIFU เพื่อยกกระชับและลดรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลา รวมถึงยกเหนียง สลายไขมันเพื่อให้บริเวณดังกล่าวสามารถยกให้แน่นเฟิร์ม ไม่ขาดความกระชับ
        • ร่างกาย : บริเวณต้นแขน, ต้นขา, เอวสะโพก หรือหน้าท้อง มักเป็นส่วนที่มีไขมันส่วนเกิน เนื้อขาเนื้อแขนเหี่ยวย่นย้อยลงมาไม่น่าดู SUPER HIFU ก็จะช่วยยกส่วนต่าง ๆ ที่เกินออกมาให้กระชับยิ่งขึ้น
        • บริเวณรอบดวงตา : เนื่องจาก SUPER HIFU เป็นเทคโนโลยีคลื่นอัลตร้าซาวด์จึงสามารถทำการยกกระชับบริเวณรอบดวงตาได้อย่างปลอดภัย ช่วยแก้ปัญหาคิ้วตก หนังตาตก และลดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา

        HIFU

        SUPER HIFU ตอบโจทย์สำหรับใครบ้าง ?

        SUPER HIFU ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับและลดเลือนริ้วรอยความหย่อนคล้อยที่เกิดมาจากความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เสื่อมสภาพไปตามอายุ อย่างเช่นความหย่อนคล้อย ริ้วรอย ความไม่กระชับ หรือเหี่ยวย่น

        นอกจากนั้น SUPER HIFU ยังเหมาะสำหรับผู้ที่กลัวเข็ม หรือ กลัวการผ่าตัด แต่ต้องการผลลัพธ์การยกกระชับผิวอย่างรวดเร็วและเป็นธรมชาติ โดยรวมแล้ว SUPER HIFU เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวดังนี้

        • เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ มีริ้วรอยบริเวณผิวหน้าและรอบดวงตา
        • สำหรับผู้ที่กลัวเจ็บ กลัวการผ่าตัด แต่อยากยกกระชับหน้าเรียวเหมาะสำหรับทำ SUPER HIFU
        • ส่วนผู้ที่มีกรอบหน้าไม่ชัดเจน ก็สามารถทำ SUPER HIFU เพื่อสร้างกรอบหน้ากระชับหน้าให้เข้ารูป
        • SUPER HIFU ยังเหมาะสำหรับคนที่ต้องการมีผิวหน้าที่อ่อนเยาว์ โดยไม่ต้องผ่าตัด

        HIFU

        เปรียบเทียบความแตกต่างของ SUPER HIFU กับนวัตกรรมยกกระชับอื่น ๆ

        หัตถการเสริมความงามเกี่ยวกับการยกกระชับได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน จึงมีการคิดค้นหัตถการยกกระชับหลากหลายรูปแบบออกมา ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีความแตกต่างทั้งด้านเทคโนโลยีที่ใช้ในการยกกระชับ, จุดเด่น, ข้อดี-ข้อเสีย, รวมถึงผลลัพธ์ของหัตถการและความเหมาะสมของแต่ละบุคคลที่ไม่เหมือนกัน รมย์รวินท์คลินิกจึงจะนำหัตถการแต่ละประเภทมาเปรียบเทียบกับ SUPER HIFU เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับคนที่สงสัยว่าแต่ละหัตถการแตกต่างกันอย่างไร

        SUPER HIFU กับ Oligio แตกต่างกันอย่างไร ?

        Oligio เป็นหัตถการยกกระชับตัวใหม่ล่าสุดแบบแกะกล่องจากเกาหลีใต้ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ผ่านการรับรองมาตรฐานจากทั้งไทย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ว่ามีความปลอดภัยและมีผลลัพธ์ด้านการยกกระชับที่น่าพึงพอใจทั้งยังทำให้ผิวมีคุณภาพที่ดี แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ SUPER HIFU แล้ว ทั้งสองหัตถการจะมีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน มาดูคำตอบกัน

        หลักการทำงานของ Oligio กับ SUPER HIFU

        Oligio มีการทำงานด้วยคลื่นวิทยุ Monopolar RF ที่สามารถปรับได้ 3 โหมดคือ โหมดเดี่ยวโหมดคู่ และโหมดอัตโนมัติ พร้อมด้วยเทคนิคพิเศษ Fast Moving Technique ที่ช่วยให้การยกกระชับด้วย Oligio มีความเสถียรมากขึ้น Oligio จึงมีจุดเด่นด้านความปลอดภัยด้วย โดยสามารถสรุปการทำงานได้ดังนี้

        • Oligio ทำงานโดยอาศัยคลื่นวิทยุ Monopolar RF ความถี่สูง 6.78 MHz ที่ปล่อยคลื่นความลึกถึง 3 mm. ที่สามารถลงไปถึง ผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Fat) โดยความร้อนจากหัว Tips จะยิงพลังงานลงไปอย่างสม่ำเสมอและแม่นยำเพื่อทำให้ผิวเกิดการสังเคราะห์คอลลาเจน ช่วยให้ผิวมีความกระชับ ชั้นไขมันบางลง ผิวหย่อนคล้อยน้อยลง

        ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการทำหัตถการยกกระชับ

        จากความแตกต่างของเทคโนโลยีระหว่าง SUPER HIFU และ Oligio ผลลัพธ์ของทั้งสองหัตถการก็จะออกมาแตกต่างกัน และมีผลลัพธ์ที่อยู่นานไม่เหมือนกัน ถึงอย่างนั้นก็ควรพิจารณาปัจจัยอื่นปัญหาที่เกิดขึ้นของแต่ละบุคคล เช่น ริ้วรอย คุณภาพผิว หรืองบประมาณ ก่อนเลือกยกกระชับด้วยหัตถการต่าง ๆ โดยสามารถสรุปความแตกต่างของผลลัพธ์ได้ดังนี้

        • ผลลัพธ์ของ Oligio ช่วยปรับใบหน้ายกกระชับให้เข้ารูปและช่วยลดไขมันส่วนเกินใต้ผิว ช่วยลดริ้วรอย ผิวเรียบเนียนด้วยปริมาณคอลลาเจนใต้ชั้นผิวที่เพิ่มมากขึ้น แถมยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของผิว อยู่นาน 6-12 เดือน
        • ผลลัพธ์ของ SUPER HIFU ช่วยยกหน้ากระชับ สร้างกรอบหน้า แก้ปัญหาคิ้วตกและริ้วรอยตามบริเวณผิวหน้า รอบดวงตา และเหนียงที่ลำคอ โดยจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 1-2 เดือน และผลลัพธ์อยู่นานถึง 3-6 เดือน

        ความรู้สึกระหว่างการยกกระชับ

        SUPER HIFU เป็นหัตถการยกกระชับที่หลายคนบอกกันว่าเจ็บน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับหัตถการยกกระชับอื่น ๆ เช่น Thermage, Ulthera แต่สำหรับหัตถการ Oligio ที่ถูกพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์ทั้งด้านยกกระชับและความปลอดภัย นวัตกรรมคลื่น RF ความถี่ 6.78 MHz จึงถูกพัฒนาให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกสบายยิ่งขึ้น เจ็บน้อยที่สุด จึงสามารถสรุปได้ว่า SUPER HIFU มีความรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่ Oligio ให้ความสบายระหว่างการยกกระชับ

        SUPER HIFU กับ Ulthera แตกต่างกันอย่างไร ?

        SUPER HIFU กับ Ulthera มีความคล้ายคลึงด้านหลักการทำงานที่เป็นการอาศัยเทคโนโลยี Focused Ultrasound ความเข้มข้นสูง เพื่อยกกระชับและกระตุ้นคอลลาเจน แต่ถึงแม้จะใช้เทคโนโลยีเดียวกัน แต่ทั้งสองหัตถการก็จะมีข้อแตกต่างกันดังนี้

        ลักษณะของคลื่นพลังงาน

        ถึงแม้ว่าเทคโนโลยี Focused Ultrasound ของ SUPER HIFU และ Ulthera จะพัฒนามาจากนวัตกรรม Ultrasound ที่พวกเรารู้จักกันเป็นอย่างดี แต่คลื่นพลังงานที่ SUPER HIFU และ Ulthera ปล่อยลงสู่ผิวมีความแตกต่างกัน

        • SUPER HIFU : ปล่อยคลื่นพลังงานออกมาเป็นจุด (Dot) และมีลักษณะการส่งพลังงานเป็นแนวเส้นประและจุดเรียงกันอย่างไม่เป็นระเบียบ 
        • Ulthera : คลื่นพลังงานขนาด 1 mm. ส่งพลังงานลงไปเป็นเส้นประที่เป็นระเบียบ ด้วยคลื่นพลังงานที่ใหญ่กว่า Ulthera จึงเหมาะสำหรับกรณีที่ผิวหย่อนคล้อยรุนแรงกว่า

        ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการทำหัตถการยกกระชับ

        ด้วยความแตกต่างของขนาดคลื่นพลังงานทำให้ Ulthera เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยมาก ๆ ส่วน SUPER HIFU จะเหมาะสำหรับคนที่ผิวหย่อนคล้อยและมีริ้วรอยร่วมด้วย รวมถึงผลลัพธ์หลังทำของทั้งสองหัตถการก็มีระยะเวลาที่แตกต่างกัน ดังนี้

        • SUPER HIFU : เห็นผลทันทีหลังทำ 20% ผลลัพธ์อยู่นานถึง 3-6 เดือน
        • Ulthera : เห็นผลทันทีหลังทำ 30% ผลลัพธ์อยู่นานถึง 6-12 เดือน

        **ผลลัพธ์ที่ออกมาของทั้งสองหัตถการยังคงขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล**

        ความรู้สึกระหว่างการยกกระชับ

        เมื่อเปรียบเทียบหัตถการยกกระชับ ทั้ง SUPER HIFU และ Ulthera ก็จะมีความแตกต่างด้านความรู้สึกระหว่างทำหัตถการด้วย เนื่องจากแต่ละคนมีความอดทนต่อความเจ็บปวดที่แตกต่างกัน ปัจจัยด้านความรู้สึกหรือความเจ็บปวดจึงมักมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณาเลือกทำหัตถการต่าง ๆ ด้วย โดยสามารถสรุปได้ดังนี้

        • ระหว่างการทำ SUPER HIFU ผู้เข้าใช้บริการจะรู้สึกเจ็บน้อยกว่าการทำ Ulthera

        ความแตกต่างด้านราคาค่าบริการยกกระชับ

        • จากราคาปัจจุบัน SUPER HIFU จะมีราคาที่แพงน้อยกว่า Ulthera แต่อย่างไรก็ตามราคาค่าบริการต่าง ๆ จะเป็นไปเงื่อนไขและโปรโมชั่นของแต่ละคลินิก

        SUPER HIFU กับ Thermage แตกต่างกันอย่างไร ?

        Thermage เป็นหัตถการยกกระชับที่ได้รับความนิยมเหมือนกับ SUPER HIFU ด้วยเทคโนโลยี Monopolar RF โดยไม่ต้องพึ่งพาการผ่าตัด ด้วยการยกกระชับโดยอาศัยเทคโนโลยีที่ต่างกัน SUPER HIFU  กับ Thermage จึงมีความแตกต่างกัน โดยสามารถสรุปความแตกต่างได้ดังนี้

        หลักการทำงานของ SUPER HIFU และ Thermage

        • SUPER HIFU : นวัตกรรมยกกระชับผิวด้วยการปล่อยคลื่นอัลตร้าซาวด์ที่มีความเข้มข้นสูงลงไปลึกถึงผิวชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน (SMAS) และชั้นผิวที่อยู่ตื้นกว่าเพื่อยกกระชับและจัดการกับปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ โดยอาศัยความร้อนจุดเล็ก ๆ ลงไปตามบริเวณที่ต้องการยกกระชับ
        • Thermage : เป็นการนำนวัตกรรมคลื่นวิทยุความถี่สูง Radio frequency หรือที่รู้จักกันแบบย่อ ๆ ว่า RF ในรูปแบบของ Monopolar RF ลงลึกถึงผิวใต้ชั้นหนังแท้ (Hypodermis) ซึ่งเป็นชั้นที่รวมตัวของคอลลาเจนใต้ผิวหนัง และความร้อจากคลื่นวิทยุความถี่สูง จะกระตุ้นการทำงานของคอลลาเจนและเกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ผิวจึงกระชับยิ่งขึ้น

        ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการทำหัตถการยกกระชับ

        เนื่องจากความแตกต่างด้านเทคโนโลยีและภาพรวมของหลักการทำงานของ SUPER HIFU และ Thermage ทั้งสองหัตถการจึงมีความแตกต่างด้านผลลัพธ์และรายละเอียดอื่น ๆ แม้จะช่วยยกกระชับได้เหมือนกัน โดยรายละเอียดความแตกต่างด้านผลลัพธ์สามารถสรุปได้ดังนี้

        • ผลลัพธ์ของ SUPER HIFU : ผิวหน้ากลับมายกกระชับ กระชับสัดส่วนได้ดี แก้ปัญหาคิ้วตก ลดร่องรอยผิวหย่อนคล้อยได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับคนที่อยากสร้างกรอบหน้า โดยจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 1-2 เดือน และผลลัพธ์อยู่นานถึง 3-6 เดือน
        • ผลลัพธ์ของ Thermage : ยกกระชับรักษาผิวหน้าที่หลวมให้กลับมาแน่นเฟิร์ม กระชับรูขุมขน สามารถทำได้ทั้งบริเวณผิวหน้า รอบดวงตา และร่างกาย เห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 3-6 เดือน และผลลัพธ์ยาวนานถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

        ความรู้สึกระหว่างการยกกระชับ

        แน่นอนว่าด้วยเทคโนโลยีที่แตกต่างความรู้สึกระหว่างทำ SUPER HIFU และ Thermage ก็จะมีความแตกต่างกันด้วย แต่อย่างไรก็ตามก่อนเข้ารับบริการทำหัตถการควรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากทางแพทย์เสียก่อน เพราะหากเรารู้สึกเจ็บจนไม่สามารถทนได้ระหว่างทำหัตถการ ผลลัพธ์ที่ออกมาคงไม่ค่อยน่าประทับใจนัก

        Thermage กับ SUPER HIFU จะมีความเจ็บระหว่างทำที่แตกต่างกัน โดยแพทย์ประจำคลินิกได้มีการอธิบายความรู้สึกระหว่างการยกกระชับด้วย SUPER HIFU ว่าเป็นความเจ็บที่เหมือนโดนเครื่องเย็บผ้า ส่วน Thermage จะมีความเจ็บที่มากกว่า เพราะคลื่นพลังงานและความร้อนที่มากกว่า เลยอาจส่งผลต่อคนที่ไม่สามารถทนต่อความเจ็บได้มากนัก

        SUPER HIFU กับ EMFACE แตกต่างกันอย่างไร ?

        EMFACE เป็นหัตถการยกกระชับที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ตัวอื่น ๆ เลย รวมถึงพึ่งมีการเปิดตัวหัว Applicator ใหม่ล่าสุดภายใต้ชื่อ EMFACE Submentum ไปเมื่อไม่นานมานี้ ส่งผลให้ EMFACE นอกจากจะช่วยยกกระชับผิวหน้าแล้วยังมาพร้อมกับตัวเลือกยกหน้า เก็บเหนียงที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของหัตถการ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ SUPER HIFU แล้ว ทั้งสองมีความแตกต่างมากน้อยแค่ไหนมาดูกัน

        หลักการทำงานของ EMFACE เปรียบเทียบกับ SUPER HIFU

        ความแตกต่างด้านหลักการทำงานของ SUPER HIFU และ EMFACE มาจากเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการยกกระชับ โดย EMFACE เป็นการผสมผสานการทำงานของ 2 เทคโนโลยี ทำให้การทำงานของ EMFACE แตกต่างจาก SUPER HIFU พอสมควร โดยสามารถสรุปได้ดังนี้

        EMFACE เป็นการผสมผสานระหว่างสองเทคโนโลยี ได้แก่ เทคโนโลยี HIFES (High Intensity facial electric stimulation) และ เทคโนโลยี Synchronized RF  

        • เทคโนโลยี HIFES (High Intensity facial electric stimulation) : เป็นคลื่นวิทยุที่มีความถี่ลักษณะพิเศษที่ออกแบบมาให้มีรูปแบบการกระจายพลังงานที่สม่ำเสมอและทั่วถึงบริเวณผิวหนัง ทำให้กล้ามเนื้อผิวหนังเกิดการหดและเกร็งตัวเสมือนการออกกำลังกาย และคลื่นตัวนี้ยังช่วยเรื่องการกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวที่เหี่ยวย่นกลับมาเรียบเนียน ไร้ริ้วรอย พร้อมระบบควบคุมการทำงานด้วย AI อัจฉริยะ ที่ควบคุมการปล่อยคลื่นออกมาไปยังชั้นผิวอย่างเหมาะสม
        • เทคโนโลยี Synchronized RF  : พลังงานจากคลื่นวิทยุแม่เหล็กที่มีกำลังไฟฟ้าแรงสูงร่วมกับคลื่นวิทยุ RF ช่วยกระตุ้นการยกกระชับผิวและเผาผลาญไขมันอย่างมีประสิทธิภาพ ผิวจึงมีความยืดหยุ่นและกระชับได้ดียิ่งขึ้น โดยมีระบบควบคุมพลังงานเพื่อป้องกันอันตรายและไม่ให้ผิวเบิร์นเนื่องจากความร้อนที่มากจนเกินไป

        ด้วยเทคโนโลยีที่มีความหลากหลายของ EMFACE การทำงานของหัตถการจึงแตกต่างจาก SUPER HIFU แต่ SUPER HIFU ยังคงมีประสิทธิภาพด้านการยกกระชับเหมือนกับ EMFACE โดยอาศัยเทคโนโลยี High Intensity Focused Ultrasound 

        ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการทำหัตถการยกกระชับ

        • ผลลัพธ์ของ EMFACE : ช่วยยกกระชับใบหน้า ลดเหนียงและไขมันบริเวณผิวหน้า อยู่ได้นานถึง 1 ปี ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ SUPER HIFU ที่ผลลัพธ์อยู่นาน 3-6 เดือน เห็นผลชัดเจนหลังทำ 1-2 เดือน ส่วน EMFACE จะเห็นผลชัดเจนหลังทำครบ 4 ครั้ง

        ความรู้สึกระหว่างการยกกระชับ

        EMFACE ออกแบบมาเหมาะสมกับคนที่กลัวเจ็บ เนื่องจากการทำ EMFACE ระหว่างทำจะไม่รู้สึกเจ็บเลยจะรู้สึกแค่กระตุก และโดนบังคับให้ขยับใบหน้าเพียงเท่านั้น

        ถึงแม้ว่า SUPER HIFU จะทำให้รู้สึกเจ็บน้อยแล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ EMFACE ก็นับได้ว่า EMFACE ตอบโจทย์เรื่องความสบายระหว่างทำการยกกระชับมากกว่า

        รมย์รวินท์คลินิก คำตอบของการยกกระชับอยู่ที่นี่แล้ว !

        ทางทีมแพทย์ของรมย์รวินท์คลินิกพร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำหัตถการที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ด้วยคอนเซปต์ ROMRAWIN for the better you และประสบการณ์การทำงานด้านหัตถการเสริมความงามมามากกว่า 30 ปี พร้อมให้บริการสำหรับทุกคนที่มีปัญหาผิวไม่ว่าจะเป็นผิวหน้าหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ มีริ้วรอย ก็สามารถมายกกระชับด้วยนวัตกรรมต่าง ๆ ที่รมย์รวินท์คลินิก ด้วยหัตถการยกกระชับที่มีตัวเลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น SUPER HIFU, Oligio, EMFACE และ EMFACE Submentum

        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





          วันที่สะดวกในการติดต่อ




          เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

          Hifu ข้อดี-ข้อเสียมีอะไรบ้าง ? ทำไมต้องทำ ?

          Hifu

          Hifu ดียังไง คลายข้อสงสัย ทำไมใครๆก็ต้องทำ 

          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





            วันที่สะดวกในการติดต่อ




            เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว


             
            เมื่อพูดถึงเรื่องยกกระชับใบหน้า เพื่อลดความหย่อนคล้อยเพิ่มความเฟิร์มกระชับให้กับผิวหน้า ในปัจจุบันมีเทคนโนโลยีที่ใช้ในการยกกระชับใบหน้ามีหลากหลายวิธีที่แตกต่างกันออกไป  Hifu เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ช่วยในการยกกระชับใบหน้าที่ได้รับการยอมรับจากทีมแพทย์ของวงการความงามทั่วโลกในเรื่องของผลลัพธ์และประสิทธิภาพในการยกกระชับใบหน้าเพื่อลดความหย่อนคล้อย

            แม้ว่าการยกกระชับด้วย Hifu (ไฮฟู่) จะเป็นโปรแกรมที่ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้ดี แต่ Hifu (ไฮฟู่) ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ที่ผู้เข้ารับบริการควรทราบ และทำความเข้าใจก่อนเข้ารับบริการเพื่อความเข้าใจที่ตรงรวมทั้งความสบายใจในการรักษา

            รู้ก่อนเสี่ยง! รวมข้อดีข้อเสียของ Hifu สวยปลอดภัยก่อนทำไฮฟู่

            Hifu

            Hifu ข้อดีของการยกกระชับด้วยไฮฟู่มีอะไรบ้าง?

            รวมข้อดีของการทำ Hifu(ไฮฟู่) นวัตกรรมยกกระชับ ปรับหน้าเรียว เก็บผิวหย่อนคล้อย มีอะไรบ้าง เช็กลิสต์ได้เลยดังนี้

            • Hifu (ไฮฟู่) ช่วยยกกระชับปรับหน้าเรียว เห็นผลหลังทำทันที

            หนึ่งในข้อดีของ Hifu (ไฮฟู่) ที่ได้รับความไว้วางใจอย่างมากที่สุด คงหนีไม่พ้นเรื่องของผลลัพธ์หลังทำทันที โดยหลังจากทำการยกกระชับด้วย Hifu (ไฮฟู่) จะเห็นผลลัพธ์หลังทำทันทีประมาณ 20% ทำให้ใบหน้าเรียวขึ้น เก็บทุกผิวหย่อนคล้อยให้กลับมาอ่อนเยาว์อีกครั้ง

            • ยกกระชับด้วย Hifu (ไฮฟู่) ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องฉีด ไม่ต้องพักฟื้นนาน

            การปรับรูปหน้า ลดเลือนริ้วรอย สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการยกกระชับ กับเครื่องได้มาตรฐานระดับสากล เช่น Ultraformer ข้อดีคือเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบเข็ม ไม่ต้องการผ่าตัด เพราะ Hifu (ไฮฟู่) เป็นการใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ส่งพลังงานลึกลงสู่ชั้นผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen) และเพื่อผิวกระชับปรับหน้าเรียวสวย

            • Hifu (ไฮฟู่) มีความปลอดภัยสูง ไม่เป็นอันตราย

            การทำ Hifu (ไฮฟู่)  ไม่ทำร้ายผิวชั้นนอก เนื่องจากใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ลงสู่ผิวชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) จึงมีความปลอดภัยสูงแบบไม่กระทบกับผิวชั้นบน โดยเครื่อง Hifu (ไฮฟู่) ของรมย์รวินท์คลินิกได้รับมาตรฐานปลอดภัย ซึ่งดูแลโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อผลลัพธ์ที่ได้ประสิทธิภาพสูงที่สุด

            • Hifu (ไฮฟู่) เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ

            Hifu (ไฮฟู่) เป็นนวัตกรรมในด้านของการยกกระชับ โดยเฉพาะที่เห็นผลลัพธ์หลังทำทันทีโดยประมาณ 20% โดยจะมีความรู้สึกหลังทำทันทีว่าใบหน้าของเรานั้นมีความยกกระชับขึ้นเล็กน้อย หลังจากยกกระชับด้วย Hifu (ไฮฟู่) ในช่วงระยะเวลา 1-2 เดือน จะเป็นช่วงที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนมากที่สุด นอกจากนี้ Hifu (ไฮฟู่) สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ เช่น ฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้น

            • Hifu (ไฮฟู่) ยิ่งทำซ้ำยิ่งเห็นผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น

            ข้อดีของการทำ Hifu (ไฮฟู่) ในทุก 4-6 เดือน จะยิ่งเห็นผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม เพราะการทำ Hifu (ไฮฟู่) จะช่วยกระตุ้นในการสร้างคอลลาเจน (Collagen) ได้อย่างเต็มที่ ทำให้รู้สึกผิวเต่งตึง ผิวมีความยืดหยุ่น เฟิร์มกระชับ รูขุมขนเล็กลง หน้าเนียนใสดูเป็นธรรมชาติ

            • Hifu (ไฮฟู่) ป้องกันปัญหาผิวหย่อนคล้อยในอนาคตได้

            หลังจากทำ Hifu (ไฮฟู่) ผิวจะได้รับการกระตุ้นคอลลาเจน ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวแข็งแรงขึ้น ทำให้สามารถป้องกันผิวหย่อนคล้อยในอนาคตได้ ซึ่ง Hifu (ไฮฟู่) เป็นหัตถการที่ให้ผลลัพธ์ยาวนาน จึงทำให้การทำโปรแกรม Hifu (ไฮฟู่) อย่างต่อเนื่องจะยังคงรักษาผลลัพธ์นั้นไว้อย่างต่อเนื่อง

            • Hifu (ไฮฟู่) ทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้

            การทำ Hifu สามารถทำควบคู่กับหัตถการอื่น ๆ ร่วมกันได้ เช่น โบท็อกซ์ (Botulinum toxin), ฟิลเลอร์ (Filler), ร้อยไหม (Thread), เมโสแฟต (Meso Fat) เป็นต้น ทั้งนี้การทำ Hifu (ไฮฟู่) ควบคู่ไปกับหัตถการอื่นอยู่ที่การวิเคราะห์และประเมินใบหน้าของแพทย์ เพราะฉะนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ Hifu (ไฮฟู่) ทุกครั้ง

            Hifu

            Hifu ข้อเสียของการยกกระชับด้วยไฮฟู่มีอะไรบ้าง?

            ในข้อดีก็มักมีข้อเสียร่วมด้วยเป็นปกติ ข้อเสียของ Hifu มีดังนี้

            • หลังทำ Hifu (ไฮฟู่) ผลลัพธ์ไม่สามารถคงอยู่ถาวร

            ผลลัพธ์หลังการทำ Hifu (ไฮฟู่) ไม่สามารถอยู่ถาวรได้ แต่สามารถกลับมาทำซ้ำได้ เพื่อผลลัพธ์ที่ยาวนานอย่างมีประสิทธิภาพ

            • หลังทำ Hifu (ไฮฟู่) อาจมีอาการเมื่อยหรือตึงหน้า

            หลังจากที่ทำ Hifu (ไฮฟู่) อาจจะมีความรู้สึกเมื่อยหรือตึงที่ใบหน้า เพราะเป็นการใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ระดับเข้มข้น เพื่อการยกกระชับใบหน้า เก็บกรอบหน้าให้คมชัด เก็บทุกริ้วรอยต่าง ๆ ซึ่งอาการเมื่อยหรือตึงใบหน้าหลังทำ Hifu (ไฮฟู่) จะกลับสู่ภาวะปกติภายในระยะเวลา 1-2 วัน ในบางคนอาจไม่มีอาการนี้อยู่เลย

            • Hifu (ไฮฟู่) มีข้อควรระวังกับคนบางกลุ่ม

            การยกกระชับด้วยเครื่อง Hifu มีข้อควรระวังที่ต้องรู้กับคนบางกลุ่ม หากต้องการยกกระชับ Hifu (ไฮฟู่) ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง โดยมีข้อระวัง ดังนี้

            1. ผู้ที่มีบาดแผลสดที่ยังไม่หายดี หรือผู้ที่มีแผลเปิด
            2. ผู้ที่มีแผลเป็นคีลอยด์
            3. ผู้ที่มีการฝังโลหะใต้ผิวหนังบริเวณที่ต้องการทำการรักษา
            4. สตรีมีครรภ์
            • มีผลข้างเคียงของการทำ Hifu (ไฮฟู่)

            ผลข้างเคียงของการทำ Hifu ข้อเสียที่เกิดจากการทำ Hifu (ไฮฟู่) เช่น เครื่องปลอม เครื่องไม่ได้มาตรฐาน ปล่อยพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ไม่สม่ำเสมอกัน ยิงพลังงานสูงลงสู่ชั้นผิวจนผิวเกิดการไหม้ หรือยิงโดนเส้นประสาททำให้เกิดหน้าบวม ปากเบี้ยวได้

            • หลังทำ Hifu (ไฮฟู่) อาจมีความรู้สึกเจ็บ มีอาการ้อน แดงที่ผิว

            เครื่อง Hifu (ไฮฟู่) ปล่อยพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ลงสู่ใต้ชั้นผิวหนัง หลังจากนั้นจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ทำให้อุณหภูมิใต้ผิวสูงจนทำให้เกิดความอุ่นไปจนถึงร้อนสะสมใต้ผิวหนังและเกิดเป็นรอยแดงบนใบหน้าได้ แต่หลังจากการทำ Hifu (ไฮฟู่) อาจมีอาการผิวร้อนและรอยแดงที่ผิว โดยอาการนี้จะค่อย ๆ หายเป็นปกติภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่หากมีอาการแสบร้อนมาก แนะนำว่าให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที

            • หลังทำ Hifu (ไฮฟู่) ผิวหน้าบวมน้ำ หรือ ผิวหน้าบวม

            อาการหน้าบวมน้ำ หรือ อาการหน้าบวมอักเสบ สามารถเกิดขึ้นหลังจากทำ Hifu (ไฮฟู่) ได้ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงหลังทำที่เกิดขึ้นตามปกติ โดยสามารถรับประทานยาลดอการปวดอักเสบได้ตามแพทย์สั่ง

             

            ข้อควรระวังหลังยกกระชับด้วย Hifu (ไฮฟู่)

            หลังจากการทำ Hifu (ไฮฟู่) ควรระวังและดูแลตนเองเพื่อลดผลข้างเคียง ดังนี้

            • ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์หลังทำ Hifu (ไฮฟู่) เพราะบุหรี่และแอลกอฮอล์มีสารอนุมูลอิสระที่เข้าไปทำให้ผลลัพธ์ของการกระตุ้นคอลลาเจนไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างที่ควร
            • ไม่ควรนวดหรือถูใบหน้า แรงจนเกินไปหลังจากทำ Hifu (ไฮฟู่) เพราะทำให้ผิวอักเสบได้ หากมีอาการปวดควรประคบเย็นหรือทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวด
            • หลังจากทำ Hifu (ไฮฟู่) ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัดกลางแจ้ง เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันความร้อนสะสมใต้ชั้นผิวหนังที่มากเกินไป 
            • ควรทาครีมบำรุงผิว ตามปกติและควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++ เพื่อป้องกันผิวจากแสงแดด

             

            เปรียบเทียบ HIFU (ไฮฟู่) กับเทคโนโลยียกกระชับชนิดอื่น

            Hifu VS Ulthera

            Hifu (ไฮฟู่) กับUlthera SPT  ต่างกันอย่างไร?

            Hifu (ไฮฟู่) กับ Ulthera SPT (อัลเทอร่า) แตกต่างกันในเรื่องของขนาดจุดโฟกัส ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ที่ได้แตกต่างกันออกไป โดย Hifu มีขนาดจุดโฟกัสประมาณ 0.3-0.5 mm ส่วน Ulthera จะมีขนาดจุดโฟกัสประมาณ 1 mm ซึ่งขนาดของจุดโฟกัสที่แตกต่างกันทำให้ Ulthera SPT (อัลเทอร่า) มีขนาดของจุดโฟกัสที่ใหญ่กว่า Hifu (ไฮฟู่) ทำให้สามารถยิงค่าพลังงานออกมาได้เสถียรคงที่กว่าการทำ Hifu (ไฮฟู่) 

            นอกจากนี้ Hifu (ไฮฟู่) และ Ulthera SPT (อัลเทอร่า) มีการยิงพลังงานในรูปแบบที่แตกต่างกัน ซึ่ง Hifu (ไฮฟู่) ยิงพลังงานในรูปแบบ Single Shot และ Line Cartridge ขึ้นอยู่กับหัวเครื่องที่ใช้ยิง ส่วน Ulthera SPT (อัลเทอร่า) ยิงพลังงานในรูปแบบ Line Cartridge 

            ลักษณะการยิงแบบ  Single Shot และ Line Cartridge มีรายละเอียด ดังนี้

            • การยิงแบบ Single Shot เป็นลักษณะของการเรียงตัวเป็นจุด 1 จุด 
            • การยิงแบบ Line Cartridge เป็นลักษณะเรียงตัวเป็นเส้น โดย 1 เส้นประกอบไปด้วยจุดเรียงกัน 15-25 จุด

            Hifu VS Thermage FLX

            Hifu (ไฮฟู่)Thermage กับ (เทอร์มาจ) ต่างกันอย่างไร?

            Hifu (ไฮฟู่) และ Thermage (เทอร์มาจ) แตกต่างกันในเรื่องของหลักการทำงาน การปล่อยคลื่นคนละชนิดและการลงสู่ชั้นผิวลึกไม่เท่ากัน 

            ซึ่ง Thermage (เทอร์มาจ) ปล่อยคลื่นพลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง (Radio Frequency: RF) ตัวคลื่น RF ที่ใช้เป็น Monopolar RF หรือคลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว ลงลึกไปถึงชั้นใต้หนังแท้ ซึ่งเป็นชั้นผิวที่อยู่ของคอลลาเจน (Collagen) การทำงานของ Thermage (เทอร์มาจ) จะปล่อยพลังงานความร้อน ทำให้คอลลาเจนในชั้นผิวเกิดการหดตัว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ 

             

            ส่วน Hifu (ไฮฟู่) เป็นการปล่อยพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ที่มีความเข้มข้นสูงแบบเฉพาะเจาะจงลงไปสู่ชั้นผิว SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) โดยพลังงานของคลื่นอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) จะเปลี่ยนเป็นความร้อนจุดเล็ก ๆ ไปตามตำแหน่งต่าง ๆ

            คำถามพบบ่อยที่เกี่ยวกับ Hifu (ไฮฟู่)

            • Hifu (ไฮฟู่) ผลลัพธ์อยู่ได้นานไหม?

            ผลลัพธ์หลังจากทำ Hifu (ไฮฟู่) นั้นจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังจากทำประมาณ 1 เดือน และสามารถอยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน

            • Hifu (ไฮฟู่) เจ็บไหม?

            ระหว่างทำ Hifu (ไฮฟู่) จะมีความรู้สึกตึงและเมื่อยใต้ผิวบริเวณที่ทำ เป็นการยิงค่าพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) เข้าสู่ชั้นผิว โดยที่ก่อนทำแพทย์จะมีการแปะยาชาก่อนทำเสมอ 

            • Hifu (ไฮฟู่) ทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน?

            การทำ Hifu (ไฮฟู่) โดยปกติแล้วจะสามารถเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่สุดหลังทำ Hifu ไปแล้วประมาณ 1 เดือน และสามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 6-12 เดือน โดยการทำ Hifu (ไฮฟู่) สามารถทำซ้ำทุก ๆ 3 เดือนเพื่อความต่อเนื่องสู่ผลลัพธ์ที่สวยนานขึ้น 

            สรุป ข้อดี-ข้อเสียของ Hifu (ไฮฟู่)

            จากการเปรียบเทียบข้อมูลของข้อดีและข้อเสียของการทำ Hifu (ไฮฟู่) จะเห็นได้ชัดว่าข้อดีของการทำ Hifu (ไฮฟู่) มีมากกว่าข้อเสีย และข้อเสียที่กล่าวมานั้น เป็นอาการที่สามารถพบได้ในการทำเครื่องยกกระชับหลายๆเครื่อง และยังสามารถหายได้เองในระยะเวลาไม่นาน จึงทำให้การทำ Hifu (ไฮฟู่) กลายเป็นเครื่องยกกระชับยอดนิยมที่มีคนเข้ารับบริการกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้การทำ Hifu (ไฮฟู่) ที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีประสิทธิภาพนั้น ต้องเลือกทำ Hifu (ไฮฟู่) กับคลินิกที่ได้รับมาตรฐาน เครื่องแท้ และทีมแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น

            รมย์รวินท์คลินิก เป็นคลินิกที่มีมาตรฐาน พร้อมทีมแพทย์ที่มากประสบการณ์ พร้อมให้คำแนะนำและปรึกษาก่อนเข้ารับบริการทุกเคส ใส่ใจทุกการบริการเพื่อผลลัพธ์ที่ได้ประสิทธิภาพในการรักษาอย่างต่อเนื่อง

            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





              วันที่สะดวกในการติดต่อ




              เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

              กำจัดขน (Hair removal) ไม่ทิ้งตอด้วย YAG Laser 1064

              กำจัดขน

              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                วันที่สะดวกในการติดต่อ




                เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว


                ไม่สะดุดตอขน แต่สะดุดใจ ต้องลองกำจัดขน (Hair removal) ด้วย YAG Laser 1064

                เรื่องขนๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่าชะล่าใจไป เพราะแค่ปัญหาขนก็สามารถทำให้ความฟินสะดุดกึ้กได้ ยิ่งขนเป็นตอ ไม่เรียบเนียน ยิ่งทำให้สะดุด จะใส่อะไร โชว์หน้า โชว์ใต้วงแขน หรือจะโชว์ขา ก็ทำให้ไม่มั่นใจ ยิ่งการกำจัดขนด้วยวิธีแบบเดิมๆ อย่างการโกน หรือการแวกซ์ขน ก็ยิ่งทำลายผิว กำจัดไม่ถึงต้นตอ ทำให้เหลือตอขนเอาไว้ แถมบางทียังทำให้ผิวระคายเคือง และที่ร้ายแรงอาจทำให้เกิดขนคุดอีกด้วย

                สำหรับคนที่ไม่อยากมีขนตามร่างกายคงพยายามหาวิธีในการกำจัดขนให้เกลี้ยงเกลามาหลายๆ วิธี แต่ถ้าได้มาลองรู้จักกับ YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนที่รมย์รวินท์ คลินิก ก็หมดห่วงเรื่องขนๆ ไปได้เลย ที่รมย์รวินท์กล้าการันตีขนาดนี้ เพราะมีรีวิวจากผู้ใช้ YAG Laser 1064 กำจัดขนจริงเพียบบบ

                ลืมวิธีการโกนแบบเดิมไปได้เลย ตั้งแต่ได้มารู้จักกับ YAG Laser 1064 

                YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนที่อ่อนโยนต่อผิว ยิงด้วยพลังงานคลื่น 1064 นาโนเมตร มีความแม่นยำและลงลึกถึงชั้นรากขน โดยแสงเลเซอร์จะลงไปจับเม็ดสีเมลานินในรากขน ทำให้ YAG Laser 1064 สามารถกำจัดขนได้ลึกถึงต้นตอ อีกทั้ง YAG Laser 1064 ยังมีหัวยิงที่มีขนาดเล็กที่สามารถเข้าถึงได้ทุกบริเวณที่ต้องการกำจัดขน และระหว่างที่ทำจะปล่อยไอเย็น หรือ Cryogen ออกมาเพื่อช่วยปลอบประโลมผิวทำให้เจ็บน้อย และไม่ทำให้ผิวไม้เบิร์น ไม่ทำให้เกิดขนคุด

                ลืมปัญหาขนคุดไปได้เลย

                การกำจัดขนด้วยวิธีอื่นๆ เช่นการโกน การแว็กซ์ หรือการถอน อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง และอักเสบ หรืออุดตัน พอขนงอกขึ้นใหม่ส่งผลให้ขนไม่สามารถแทงทะลุรูขุมขนบริเวณนั้นขึ้นมาได้ ทำให้เกิดอาการขนคุด เกิดการสะสมของแบคทีเรีย และอาจติดเชื้อได้ ซึ่งตัว YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนตอบโจทย์มากสำหรับปัญหาเรื่องขน ทั้งกำจัดขน และลดปัญหาที่เกิดจากการกำจัดขนได้ดี ที่สำคัญยังมีความอ่อนโยน และปลอดภัย ใครอยากกำจัดขนต้องไปลอง YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนแล้วที่รมย์รวินท์คลินิกดูแล้ววว

                YAG Laser 1064 กำจัดขนตรงไหนได้บ้างนะ

                ตามที่กล่าวมาว่า YAG Laser 1064 สามารถทำได้ทุกบริเวณเพราะมีหัวเล็กที่เล็ก เข้าได้ทุกพื้นที่ที่ต้องการกำจัดขนไม่ว่าจะเป็น

                • YAG Laser 1064 กำจัดขนบนใบหน้า หนวด เครา ช่วยทำให้หน้าเกลี้ยงเกลาไม่ระคายเคือง หรือเป็นตอขนซึ่งอาจกลายเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวที่หน้า
                • YAG Laser 1064กำจัดขนรักแร้ ช่วยให้ผิวใต้วงแขนเรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอ ไม่เป็นหนังไก่
                • YAG Laser 1064 กำจัดขนแขน  ให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส มีสีผิวสม่ำเสมอ กล้าอวดผิวสวย
                • YAG Laser 1064 กำจัดขนขา ผิวบริเวณขากระจ่างใส เรียบเนียน ไม่ทิ้งตอขนให้รำคาญใจ จะใส่กางเกง หรือกระโปรงสั้นก็มั่นใจมากขึ้น
                • YAG Laser 1064 กำจัดขนในจุดซ่อนเร้น ไม่ว่าจะเป็นบิกินี หรือ บราซิลเลี่ยน ลดการอับชื้น ผื่นคันบริเวณจุดซ่อนเร้น ใส่บิกินีโชว์หน้าร้อนก็มั่นใจขนไม่แพลม

                YEG Laser 1064 2

                ทำไมต้องกำจัดขนด้วย YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขน

                • YAG Laser 1064 ยิงพลังงานคลื่นแสงอินฟราเรด ที่มีช่วงความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร ซึ่งยิงได้ลึกถึงรากขน
                • YAG Laser 1064 มี Cryogen หรือไอเย็นปล่อยขณะทำเพื่อปลอบประโลมผิว และช่วยลดอุณหภูมิของผิว ไม่ทำให้ผิวเกิดการไหม้เบิร์น
                • YAG Laser 1064 ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวบริเวณที่ถูกกำจัดขนเรียบเนียน ไม่เกิดหนังไก่
                • YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนลงลึกถึงรากขน ไม่เป็นตอขน ไม่ทำให้เกิดขนคุด
                • YAG Laser 1064 เหมาะกับทุกผิว โดยเฉพาะผิวคนเอเชีย
                • YAG Laser 1064 ปลอดภัยต่อผิว เพราะจับเม็ดสีเมลานินจากรากขนเป็นหลัก ไม่ทำลายผิวบริเวณรอบข้าง
                • YAG Laser 1064 เห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
                • YAG Laser 1064 หลังทำขนมีเส้นเล็กและบางลง
                • YAG Laser 1064 มีผลข้างเคียงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับวิธีการกำจัดขนแบบอื่นๆ
                • YAG Laser 1064 ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก USFDA สหรัฐอเมริกา

                ดูแลผิวบริเวณที่ทำ YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนยังไงดีนะ

                • หลังทำ YAG Laser 1064 ควรหลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อผ้ารัดๆ ในช่วงแรกหลังทำ เพื่อลดอาการระคายเคือง
                • หลังทำ YAG Laser 1064 สามารถทาเจลเย็น และประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมแดงของผิว
                • หลังทำ YAG Laser 1064 งดการว่ายน้ำในช่วง 8 – 12 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้คลอรีนสัมผัสกับผิว
                • หลังทำ YAG Laser 1064 ควรเลี่ยงการสัมผัสแดดโดยตรง ในช่วง 1 อาทิตย์แรกหลังเลเซอร์
                • หลังทำ YAG Laser 1064 งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ช่วงหลังเลเซอร์

                เปรียบเทียบ YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนกับวิธีการกำจัดขนแบบอื่นๆ

                การโกนขน : วิธีนี้เป็นวิธีการกำจัดขนที่รวดเร็วที่สุดในการกำจัดขน และเป็นวิธีที่อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง ทิ้งแผลไว้ เกิดขนคุด หรือปัญหาหนังไก่ได้ง่ายเช่นกัน

                ครีมกำจัดขน  : เป็นครีมที่มีส่วนผสมของ Calcium Thioglycolate และ Calcium hydroxide เมื่อทาบริเวณที่มีขนจะเข้าไปทำลายโปรตีนเคราติน ทำให้เส้นขนอ่อน และหลุดในที่สุด ซึ่งกำจัดขนได้แค่ชั้นผิวเท่านั้น ไม่สามารถลงลึกได้ถึงรากขน ทำให้เมื่อกำจัดขนแล้วยังเหลือตอขนและขนงอกใหม่เร็ว และอาจเกิดการระคายเคืองจากครีมกำจัดขนได้

                hair removal

                การแว็กซ์ขน : เป็นอีกวิธีการกำจัดขนที่ได้รับความนิยม โดยการใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ หรือการใช้แผ่นแว็กซ์แบบสำเร็จรูป สามารถกำจัดขนได้ถึงราก และทำให้ขนขึ้นช้าลง แต่เป็นการกำจัดขนที่รบกวนผิว อาจเกิดการระคายเคือง หรืออักเสบบวมแดง และอาจเกิดขนคุดได้

                กำจัดขนด้วย IPL : กำจัดขนด้วยคลื่นแสงขนาด 515-1,200 นาโนเมตร โดยจับเม็ดสีเมลานินเปลี่ยนพลังงานแสงให้เป็นพลังงานความร้อนเพื่อกำจัดขน ด้วยเครื่อง IPL มีความกว้างของพลังงานแสงมาก เวลายิงทำให้แสงกระจายตัวเป็นวงกว้าง ส่งผลให้ยิงกำจัดขนได้ไม่ถึงรากขน จึงต้องซ้ำบ่อยๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และอาจทำให้เกิดการระคายเคือง และผิวไหม้เบิร์นได้เพราะนอกจากกำจัดขนแล้ว IPL ยังกำจัดเม็ดสีเช่น ฝ้า กระ จุดดำได้ด้วย อาจทำให้จับเม็ดสีบริเวณอื่นที่ไม่ใช่ขนทำให้เสี่ยงต่อการไหม้เบิร์นของผิว

                กำจัดขนด้วย DIODE :  เลเซอร์กำจัดขนที่มีความยาวคลื่นตั้งแต่ 800-1,350 นาโนเมตร กำจัดขนโดยการจับเม็ดสีเมลานินให้ดูดซึมพลังงานแสง และเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนเพื่อทำลายเส้นขน สามารถยิงได้ลึกถึงรากขน แต่ไม่เหมาะกับคนที่มีผิวเข้ม เพราะอาจเสี่ยงทำให้ผิวเกิดการไหม้เบิร์นได้

                เลือกกำจัดขน ต้องเลือก YAG Laser 1064 ที่รมย์รวินท์คลินิก

                เรื่อง

                YAG Laser 1064 เลเซอร์ที่ตอบโจทย์มากสำหรับปัญหาเรื่องขน ทั้งกำจัดขน และลดปัญหาที่เกิดจากการกำจัดขนได้ดี ที่สำคัญยังมีความอ่อนโยน และปลอดภัย

                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                  วันที่สะดวกในการติดต่อ




                  เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                  Lifting Select เทคนิค ยกกระชับใบหน้าให้สวยครบทุกมิติ

                  Lifting Select

                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                    วันที่สะดวกในการติดต่อ




                    เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว


                    Lifting Select ยกกระชับใบหน้า ทุกมิติด้วยศาสตร์และศิลป์โดยผู้เชี่ยวชาญ

                    เทคนิค Lifting Select  เป็นเทคนิคที่ถูกสร้างสรรค์ พัฒนาขึ้นมาจากประสบการณ์ และความเข้าใจโครงสร้างผิวของชั้นผิว รวมทั้งปัญหาผิวของคนเอเชียที่สั่งสมมายาวนานกว่า 20 ปี ถูกออกแบบขึ้นเพื่อให้การยกกระชับใบหน้า ให้กับผู้เข้ารับบริการ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การรักษาในมิติเดียว หรือเป็นเพียงการยกกระชับ แค่ส่วนใดส่วนหนึ่งของใบหน้าเท่านั้น แต่เทคนิค Lifting Select เป็นการปรับทุกมิติของใบหน้าอย่างครบถ้วนทั้งความหย่อนคล้อย ไม่กระชับ ปัญหาริ้วรอย ร่องลึก และยังช่วยในการปรับคุณภาพผิว อันเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความร่วงโรยแห่งวัย

                    Lifting Select 2 scaled

                    เทคนิค Lifting Select คือ ศาสตร์วิเคราะห์เพื่อค้นพบ “จุดงดงาม” บนใบหน้าผ่าน 3 เฟรมเวิร์ค ที่คิดค้นและออกแบบ โดยทีมแพทย์จากรมย์รวินท์คลินิก จึงทำให้เทคนิค Lifting Select เป็นเทคนิคที่มีแค่ที่เดียวเท่านั้น

                    โดยเทคนิค Lifting Select เป็นเทคนิคที่ออกแบบเฉพาะสำหรับบุคคล จึงทำให้คุณดูดีได้มากกว่า ในแบบที่เป็นคน

                    จุดงดงามบนใบหน้าในความหมายของเทคนิค Lifting Select คืออะไร 

                    จุดที่ทำให้ใบหน้าของแต่ละคนดูโดดเด่นมากขึ้น  และยังเป็นจุดที่สร้างความมั่นใจให้กับบุคคลอีกด้วย  เมื่อผ่านการวิเคราะห์ใบหน้าตามหลักการวิเคราะห์ ของเทคนิค Lifting Select แล้วผู้เข้ารับบริการจะได้ค้นพบว่า ต้องแก้ไขปัญหาต่างๆบนใบหน้าอย่างไร จึงจะสามารถเติมเต็มในส่วนที่เป็นปัญหาของใบหน้า หรือเสริมเติมแต่งให้จุดเด่นของใบหน้าที่มีอยู่เดิมนั้นดูดียิ่งขึ้น  นอกจากนี้เทคนิค Lifting Select ยังเป็นเทคนิคที่เสริมสร้างให้ผิวดูสุขภาพดี และสวยอย่างเป็นธรรมชาติในแบบฉบับของตัวเองมากที่สุดอีกด้วย

                    3 เฟรมเวิร์คของโดยเทคนิค Lifting Select ประกอบไปด้วย

                    1. Frame Selection แก้ไขและปรับโครงหน้า และชั้นผิวให้กลับมาอ่อนเยาว์
                    2. Light & Shadow Me เพิ่มมิติบนใบหน้าให้เกิดความชัดเจนมากกว่าที่เคย
                    3. Conceal Selection เผยผิวอย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องปกปิดปัญหาอีกต่อไป

                    Lifting Select

                    1. FRAME SELECTION แก้ไขและปรับโครงหน้า และชั้นผิวให้กลับมาอ่อนเยาว์

                    ขั้นตอนนี้ของเทคนิค Lifting Select เปรียบเสมือนการเริ่มต้นซ่อมแซมบ้าน ที่มีความทรุดและชำรุด ให้มีรากฐานที่มั่นคงอีกครั้ง โดยจะต้องเริ่มต้นจากการแก้ไขที่รากฐาน โครงสร้างชั้นล่างให้เกิดความแข็งแรงและมั่นคงก่อน เมื่อเปรียบเทียบโครงสร้างของบ้านคือเสาที่มั่นคง แต่ถ้าเป็นโครงสร้างของใบหน้า ก็จะต้องเป็นชั้นโครงสร้างของกระดูกนั่นเอง

                    เมื่อเรามีอายุที่เพิ่มมากขึ้น กระดูกของเราก็จะเกิดการทรุด ตามที่เราเคยได้ยินกันว่าเมื่ออายุเยอะจะทำให้เตี้ยลงนั่นเอง กระดูกโครงสร้างใบหน้าของคนเราสามารถทรุดตัวลงได้เช่นกัน และกระดูกบริเวณใบหน้า ที่ทรุดตัวลงแล้วทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของใบหน้า จำแนกได้ดังนี้

                    • กระดูกหน้าผากทรุดตัวลงทำให้เอ็นยึดที่ทำหน้าที่ยึดเกาะบริเวณขมับ เกิดการหย่อนตัวลง
                    • กระดูกขมับยุบหรือแบนลง  ส่งผลให้ใบหน้าดูมีอายุ และโหนกแก้มดูชัดขึ้น
                    • กระดูกเบ้าตาทรุด หรือถ่างออกจนทำให้มีถุงใต้ตา
                    • กระดูกข้างแก้มทรุด ส่งผลให้ผิวเกิดความหย่อนยาน
                    • กระดูกหน้าแก้มทรุด หรือแบนตัวลงส่ง ผลให้ไขมันชั้นลึกที่อยู่บริเวณหน้าแก้ม เกิดการเคลื่อนย้ายตำแหน่ง จึงกลายเป็นผู้ที่มีภาวะไขมันกองที่ข้างร่องแก้มจึงทำให้ใบหน้าเกิดการหย่อนคล้อยและดูมีอายุ
                    • กระดูกกรอบหน้าทรุด ส่งผลให้ใบหน้าและลำคอหย่อนคล้อย

                    โดยส่วนใหญ่ มนุษย์เราจะเริ่มมีมวลกระดูกที่มีปริมาตรน้อยลง ทำให้โครงหน้าเปลี่ยนไปในวัย 35 ปีเป็นต้นไป จึงทำให้หลายคนรู้สึกว่าเมื่อก้าวเข้าสู่วัย 30 ใบหน้าของเราดูเปลี่ยนไปนั่นเอง

                    โดยลักษณะที่ดูเปลี่ยนไปในภายนอก มาจากลักษณะที่เปลี่ยนไปของโครงกระดูกดังกล่าวด้านบน และเมื่อมีโครงกระดูกใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ก็จะส่งผลให้ไขมันรวมทั้งเนื้อเยื่อต่างๆ เกิดการหดตัวและเสื่อมถอยลง อันเกิดมาจาก เนื้อเยื่อของผิวที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าโครงกระดูกใบหน้า ที่เป็นตัวในการรองรับ จึงทำให้ผิวหน้าในส่วนที่กระดูกรองรับไม่ไหว เกิดการหย่อนคล้อยลงมาจนเกิดเป็นริ้วรอย และร่องลึกต่างๆตามที่เราเห็นเป็นความเปลี่ยนแปลงนั่นเอง และกระดูกโครงหน้าก็จะทรุดตัวลงเรื่อยๆในทุกๆวัน ทำให้ใบหน้าเกิดการหย่อยคล้อยมากขึ้น   และตกหย่อนลงมามากขึ้นหากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม

                     

                    Lifting Select

                    2. Light & Shadow Me เพิ่มมิติบนใบหน้าให้เกิดความชัดเจนมากกว่าที่เคย

                    ขั้นตอนนี้ของเทคนิค Lifting Select เปรียบเสมือนการสร้างบ้าน ใส่หน้าต่าง ประตู ให้มีแสงและอากาศถ่ายเท เพื่อความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย เช่นเดียวกับใบหน้า เมื่อมีมิติแสงเงาที่ดีแล้ว สิ่งที่จะได้โดยธรรมชาติเลยคือความสะดวกสบายในการแต่งหน้าที่มากขึ้น

                    Light & Shadow Me เป็นขั้นตอนที่ใส่ใจ ในจุดตกกระทบของแสง เพื่อให้เพิ่มมิติบนใบหน้า และเสริมจุดเด่นบนใบหน้าให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เงาและแสงที่ตกกระทบเมื่อส่องไฟบนศีรษะ จะต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมและอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง จะช่วยทำให้หน้าภาพรวมดูมีมิติ ดูหน้าเล็กลงเหมือนเวลาเราแต่งหน้าเพิ่มแสงเงา โดยการใช้  Shading หรือ Contour และ Hilight

                    โดยเทคนิค Lifting Select ในเฟรมเวิร์คที่ 2 Light & Shadow Me เป็นการเพิ่มมิติใบหน้าที่คล้ายกันกับการแต่งหน้า เน้นจุดเล่นแสงอย่าง หน้าผาก หน้าแก้ม ขอบตา ร่องจมูก ร่องปาก สันจมูก คาง  และเพิ่มเงาในจุดที่ควรมีเงา คือสันจมูก โหนกแก้ม ขากรรไกร และกรอบหน้าเป็นต้น

                    Lifting Select

                    3. Conceal Selection เผยผิวอย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องปกปิดปัญหาอีกต่อไป

                    ขั้นตอนนี้ของเทคนิค Lifting Select เปรียบเหมือนกับการตกแต่งบ้านให้สวยงามน่าอยู่มากยิ่งขึ้น และยังเป็นการตกแต่งรายละเอียดในจุดเล็กๆให้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

                    หากเปรียบเทียบกับการแต่งหน้า ในขั้นตอนนี้ เปรียบเหมือนขั้นตอนหลังการรองพื้น แล้วต้องใช้คอนซีลเลอร์ทาเพื่อปกปิดริ้วรอยเล็กๆบนผิวให้เนียนกริบมากยิ่งขึ้น แต่การทำเทคนิค Lifting Select จะทำให้คุณข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลยเมื่อแต่งหน้า

                    โดยเทคนิค Lifting Select ในเฟรมเวิร์คที่ 3. Conceal Selection  นั้นคือขั้นตอนการเก็บงานผิวชั้นตื้น ริ้วรอยเล็กเล็กๆ ตีนกา ร่องแก้มร่องน้ำหมาก ให้อิ่มฟู เรียบเนียน ปรับผิวให้สวยเงาวาวฉ่ำโกลว์เหมือนการเลือกรองพื้นดีๆมาทาบนใบหน้า กลบให้หมด รอยสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำที่เป็นกังวลให้ไม่หลงเหลือทิ้งไว้ให้กวนใจ ไม่เพียงเท่านั้น รูขุมขน เส้นขนบนใบหน้า ที่เป็นตัวการในการทำให้ผิวไม่เรียบเนียน ก็ต้องจัดการให้เรียบกริบ

                    หากต้องการใช้บริการเทคนิค Lifting Select สามารถเข้ามาปรึกษาข้อมูลการเข้ารับบริการได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขา ทั้ง 28 สาขาหรือสอบถามเบื้องต้นผ่านทางช่องทางออนไลน์ได้ทุกช่องทาง FacebookRomrawinclinic หรือช่องทาง LINE : https://bit.ly/Romrawinclinic

                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                      วันที่สะดวกในการติดต่อ




                      เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                      Pico Laser ดูแลผิว อย่างตรงจุด คืออะไร ดีอย่างไร

                      Pico Laser

                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                        วันที่สะดวกในการติดต่อ




                        เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว


                        Pico Laserยกระดับการฟื้นบำรุงผิว ใหม่ล่าสุด ที่รมย์รวินท์

                        ด้วยมลภาวะแสงแดด ฝุ่น ควัน รวมไปถึงการดำรงชีวิตของผู้คนที่แตกต่างออกไปในปัจจุบัน อาจทำร้ายผิวโดยตรง ส่งผลให้ผิวไม่ได้รับการปกป้องเท่าที่ควร ก่อให้เกิดปัญหาผิวหน้าต่าง ๆ ตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความหมองคล้ำ หลุมสิว ความมัน จุดด่างดำ รอยแดงจากสิว ฝ้า กระ รูขุมขนกว่าง และรอยแผลเป็น ล้วนแล้วส่งผลเสียต่อสภาวะจิตใจของใครหลายคน

                        อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ถูกพัฒนามาเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ช่วยรักษาปัญหาผิวดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยการเลเซอร์เพื่อฟื้นฟูสภาพผิว“  Pico Laser” คือกุญแจดอกสำคัญแห่งการปรนนิบัติผิสวย ฟื้นฟูสภาพผิวได้อย่างลึกล้ำ และตรงจุด อีกครั้งของการยกระดับผลลัพธ์การเลเซอร์สุดประทับใจ ช่วยลดเลือน รอยแดง รอยดำ ฝ้า กระ จุดด่างดำ ความหมองคล้ำ หลุมสิว รวมถึงรอยสักที่ไม่พึงประสงค์

                        ทั้งนี้ ก่อนที่คนไข้จะตัดสินใจเข้ารับการฟื้นฟู ปรนนิบัติสภาพผิวกับสถาบันความงามแห่งใดก็ตามแต่ คนไข้ควรศึกษาหาข้อมูลบริการ รวมถึงเครื่องมือที่ใช้ในการทำหัตถการอย่างละเอียดรอบครอบเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ มาตรฐานความปลอดภัยตัวเครื่อง แพทย์ผู้ทำหัตถการ ขั้นตอนการทำหัตถการ ผลลัพธ์หลังการรักษา ค่าพลังงานที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตนเองเบื้องต้น เพื่อลดโอกาสการเกิดความผิดพลาดที่ อาจตามมาในอนาคต

                        อย่างไรก็ตาม ก่อนเข้ารับบริการควรเข้าพบแพทย์ผู้ทำหัตถการทุกครั้ง เพื่อประเมินปัญหาผิวหน้า รวมถึงการเลือกวิธีรักษาผิว และระดับพลังงานที่ใช้ฟื้นฟูผิวได้อย่างถูกจุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาด

                        Pico Laser คืออะไร

                        Pico Laser คือ เทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้ในการรักษาปัญหาผิวหนังต่าง ๆ โดยมีความแตกต่างจากเทคโนโลยีเลเซอร์อื่น ๆ ในการส่งออกพลังงานเลเซอร์ออกมาในช่วงเวลาที่สั้นและมีความเร็วสูงมาก โดยที่ความเร็วในการส่งออกพลังงานของ Pico Laser นั้นเร็วกว่าเทคโนโลยีเลเซอร์ทั่วไปอย่างมาก ซึ่งทำให้มีประสิทธิภาพในการรักษาที่สูงขึ้น

                        Pico Laser ใช้พลังงานเลเซอร์ในรูปแบบของช็อต ( shot ) ที่มีความเร็ว และความแม่นยำสูง ทำให้สามารถเข้าถึงเซลล์ในผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อกำจัดปัญหาเช่น รอยดำ, รอยแดง, รอยสิว และฝ้าที่ไม่พึงประสงค์ โดยที่ไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อผิวหนังรอบข้าง และไม่มีการบาดเจ็บ หรือผิวหนังหลุดหลง เนื่องจากพลังงานเลเซอร์ที่ใช้ มีความแม่นยำและเป็นเส้นตรง

                        การใช้เครื่องเลเซอร์ชนิดนี้ มักจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการผิวหนังที่สม่ำเสมอ สุขภาพดี และมีการพัฒนาที่เห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาผิวหนังเช่น รอยดำ, รอยแดง, รอยสิว หรือฝ้าที่ต้องการลดลงและปรับปรุงผิวหนังให้ดูดีขึ้นนั่นเอง

                        PICO laser

                        เข้ารับบริการ “ Pico Laser” ที่รมย์รวินท์ดีอย่างไร

                        การเลือกทำ  Pico Laser เป็นการตัดสินใจที่สำคัญในการดูแลผิวหนัง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และปลอดภัย หัวข้อนี้นี้จะช่วยแนะนำ และข้อควรรู้ในการเลือกทำ   Pico Laser ที่รมย์รวินท์คลินิก

                        Pico Laser เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการรักษาผิวหนังอย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย ที่มีผลลัพธ์ที่น่าพอใจให้แก่ผู้รับการรักษา รมย์รวินท์คลินิกนับว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีการใช้เทคโนโลยี Pico Laser อย่างปลอดภัย ในส่วนของการตัดสินใจเลือกทำ   Pico Laser สามารถพิจารณาได้จากปัจจัยดังต่อไปนี้

                          • การประเมินผิวหนังอย่างถูกต้อง 

                        ก่อนทำการรักษาด้วยเครื่องเลเซอร์ชนิดนี้ ทีมแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิกจะทำการประเมินสภาพผิวหนังของคุณอย่างถูกต้อง เพื่อให้การรักษาเป็นไปตามความต้องการ และปลอดภัยอย่างแน่นอน

                          • การให้คำแนะนำ อธิบายแผนการรักษา 

                        หลังจากการประเมินปัญหาผิว ทีมแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวรวมถึงความต้องการของแต่ละบุคคล

                          • การใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย 

                        รมย์รวินท์คลินิกใช้เครื่องเลเซอร์ชนิดนี้ ที่มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และทันสมัย เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพ ปลอดภัยสูงสุด

                          • ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังเข้ารับการรักษา 

                        หลังการรักษา ทีมแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลผิวหนังหลังการรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้มายังยาวนาน

                          • บริการที่เอาใจใส่ลูกค้า 

                        รมย์รวินท์คลินิกให้บริการอย่างเป็นมิตร และเอาใจใส่ต่อลูกค้า พร้อมให้คำปรึกษา และคำแนะนำในทุกขั้นตอนของการรักษา

                        โดยการรักษา  Pico Laser ที่รมย์รวินท์คลินิกจะไม่เพียงแค่ช่วยให้ผิวของคุณสวยงามขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงมือทำอย่างปราณีต และใส่ใจต่อสุขภาพผิวของคนไข้อีกด้วย

                        ขั้นตอนการทำ  Pico Laser ที่รมย์รวินท์คลินิกมีอะไรบ้าง

                        จริงๆ แล้ว ก่อนจะเข้ามารับบริการเลเซอร์ที่รมย์รวินท์ นั้นไม่ยากเลย ขั้นตอนกระบวนการทำหัตถการก็ยังใช้เวลาไม่นานอีกด้วย ขั้นตอนการทำการรักษามีดังนี้

                        1. ขั้นตอนของการประเมินสภาพผิว

                        ก่อนทำการรักษาด้วย  Pico Laser ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อให้ประเมินสภาพผิวและแนะนำการรักษาที่เหมาะสมกับผิวของคนไข้

                        2. ขั้นตอนของการเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับทำหัตถการ

                        • การเตรียมผิวด้วยการทำความสะอาดผิวให้สะอาด และระงับความมันบนผิว
                        • งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง
                        • การปกป้องผิวหนังด้วยครีมกันแดด

                        3. ขั้นตอนของกาดูแลตัวเองหลังเข้ารับบริการ

                        • หลีกเลี่ยงการถูกแดด หรือครีมกันแดด
                        • การรักษาแผล หรืออาการอักเสบใด ๆ ให้ดีก่อนทำการรักษาด้วย Pico Laser

                        4. การใช้ยารักษาผิว เมื่อพบอาการไม่ปกติ

                        หากมีการใช้ยาที่มีผลข้างเคียงต่อผิวหนัง เช่น ยา Retin-A ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษา

                        5. ป้องกันอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้น

                        หากมีประวัติการแพ้สารเคมี หรือสารต่าง ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำการรักษา

                        สำหรับท่านใด ที่สนใจอยากทำ Laser ที่รมย์รวินท์คลินิก สามารถนัดคิวเข้ามารับบริการกับเราได้ทุกสาขา ทุกช่องทาง จะมีเจ้าหน้าที่คอยบริการให้คำปรึกษา แนะนำข้อมูลเบื้องต้น ด้วยความใส่ใจ และที่สำคัญทุกเคสจะได้รับการดูแลโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด คนไข้สามารถมั่นใจได้เลยว่า ได้ความสวยควบคู่ไปกับความปลอดภัย มั่นใจไม่ผิดหวังแน่นอน

                        PICO laser

                        การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการ Pico Laser ที่รมย์รวินท์คลินิก

                        การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการ   Pico Laser เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากที่สุด การปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้ผิวหนังของคนไข้พร้อมที่จะรับการรักษา และลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่ อาจเกิดขึ้น

                          • ปรึกษาคุณหมอ เพื่อประเมินปัญหาผิวเบื้องต้น 

                        การปรึกษาคุณหมอผิวหนังเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อให้คนไข้เข้าใจถึงกระบวนการการรักษา ผลลัพธ์ที่คาดหวัง และคำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อน และหลังการรักษา

                          • งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่เคมี 

                        หยุดใช้ผลิตภัณฑ์เคมี หรือผลิตภัณฑ์ผิวหนังที่มีส่วนผสมเคมีเป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ ก่อนการทำ   Pico Laser เพื่อลดความเสี่ยงจากการระคายเคือง หรือการติดเชื้อ ที่อาจเกิดขึ้น

                          • ปกป้องผิวจากแสงแดด 

                        ผิวหนังที่ผ่านการรักษาด้วยเครื่องเลเซอร์ชนิดนี้ มีความไวต่อแสงแดด ควรปกปิดผิวด้วยการสวมหมวกกันแดด และใช้ครีมกันแดดทุกวัน เพื่อป้องกันความเสียหายจากรังสี UV

                          • การทำความสะอาดผิวอย่าสม่ำเสมอ

                        ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยนด้วยน้ำอุ่น และน้ำโฟมล้างหน้าที่เหมาะสมก่อนการทำหัตถการ เพื่อล้างสิ่งสกปรก เนื่องจากหากผิวหน้าไม่สะอาด อาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียงตามมาได้

                          • งดการสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ 

                        การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์สามารถทำให้ผิวหนังแพ้ต่อการรักษาด้วยหัตถการนี้ ควรลด หรือหยุดการบริโภคก่อนเข้ารับบริการ และหลังการทำหัตถการ เพื่อประสิทธิภาพของการรักษาที่ดีที่สุด

                          • เตรียมตัว ปรับสภาพจิตใจให้พร้อมรับบริการ

                        สำหรับการทำหัตถการนี้ อาจทำให้รู้สึกเครียด หรือระคายเคือง ควรเตรียมตัวใจให้พร้อมกับกระบวนการการรักษา ผลลัพธ์ รวมถึงอาการข้างเคียงเล็กๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

                        การดูแลตัวเองหลังทำ Pico Laser ที่รมย์รวินท์คลินิก

                        หลังจากที่ผ่านการทำ   Pico Laser การดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่มีความสำคัญอย่างมากเพื่อให้ผิวหนังของคนไข้กลับมาสุขภาพดี และสวยงามอย่างรวดเร็ว ภายหลังจากการรักษาด้วยเทคโนโลยี Pico Laser ที่ช่วยลดรอยแผล ลดรอยดำ และปรับปรุงโครงสร้างของผิวหนัง มีบางขั้นตอน และการดูแลที่ควรทำเพื่อให้คนไข้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                          • การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว 

                        เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อ่อนโยน และไม่มีสารเคมีที่เข้มข้น เช่น เจลล้างหน้าที่อ่อนโยน, ครีมบำรุงผิว, และสูตรเซรั่มที่ช่วยให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้น และปกป้องอย่างเหมาะสม

                          • การป้องกันแสงแดด 

                        แสงแดด อาจเป็นอันตรายต่อผิวหน้าหลังจากการรักษา แนะนำให้ใช้ครีมกันแดดที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสี UVA และ UVB ร่วมกับการใช้เครื่องป้องกันแสงแดดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น หมวกกันแดด และเสื้อผ้าที่ป้องกันแสงแดดได้เป็นอย่างดี

                          • การรักษาสีผิว รวมถึงรอยดำ รอยแดงต่างๆ 

                        ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยดำ และรักษาสีผิวบริเวณใบหน้าให้สม่ำเสมอ โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารผลัดสีอย่างปลอดภัย และเหมาะสมกับผิวหน้าของคนไข้

                          • ใช้มาส์กหน้าเพื่อยกระดับการบำรุงผิว

                        การใช้มาส์กหน้าที่มีส่วนผสมธรรมชาติ อย่างเช่น มาส์กที่มีส่วนผสมของสมุนไพร, ผลไม้ หรือนม ช่วยปรับปรุงสภาพผิวหน้า และสร้างความชุ่มชื่นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี

                          • การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงการออกกำลังกาย 

                        การดูแลสุขภาพที่ดีอย่างเพียงพอ โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์, และนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ จะช่วยเสริมสร้างสภาพผิวให้ผิวแข็งแรง และมีสุขภาพดี

                        PICO laser

                        ภาวะแทรกซ้อนหลังทำ Pico Laser

                        หลังจากการทำ Pico Laser, ภาวะแทรกซ้อน อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน ภาวะแทรกซ้อนนั้น อาจมีลักษณะที่หลากหลาย อาจมีผลกระทบต่อผิวหนัง และสุขภาพทั้งระยะสั้น และระยะยาวได้ ดังนั้นการเข้าใจ และการรับรู้เกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนหลังการทำ  Pico Laser เป็นสิ่งสำคัญที่ควรมี การทำ Pico Laser มีภาวะแทรกซ้อนดังนี้

                        1. รอยแผล ในบางกรณี, ผู้ที่รับการรักษา อาจพบรอยแผลเล็ก ๆ หรือรอยแผลที่เป็นปกติหลังการรักษา ซึ่งรอยแผลเหล่านี้จะหายไปเองภายในไม่กี่วัน หรือสัปดาห์
                        2. ประสิทธิภาพของการรักษา บางครั้ง, ผลการรักษา อาจไม่ได้ผลตรงกับที่คาดหวัง และ อาจต้องทำซ้ำ หรือใช้วิธีการรักษาอื่น ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
                        3. การเกิดผื่น หรือแพ้วัตถุ บางครั้ง, ผู้ที่ได้รับการรักษา อาจพบอาการแพ้
                        4. การแห้งของผิวหนัง ในบางกรณี, ผิวหนังของผู้ที่ได้รับการรักษา อาจกลายเป็นสีแดง หรือแห้งเนื่องจากการทำลายของเซลล์ผิวหนัง
                        5. การไวต่อแสง ผู้ที่ได้รับการรักษา อาจมีความไวต่อแสงเพิ่มขึ้น และ อาจต้องป้องกันรังสีด้วยการใช้ครีมกันแดด หรือการป้องกันแสงแดดอื่น ๆ เข้าร่วมด้วย
                        6. การเปลี่ยนแปลงสีผิว บางครั้ง, ผู้ที่ได้รับการรักษา อาจเปลี่ยนแปลงสีผิวหนัง โดยเฉพาะในบริเวณที่รักษา แต่มักจะค่อนข้างเรียบ และเป็นระยะเวลาสั้น
                        7. ภาวะแทรกซ้อนในระดับรุนแรง ในกรณีที่มีอาการรุนแรง เช่น การอักเสบหนัก การเกิดแผล หรือตุ่มน้ำ หรืออาการระบบภูมิคุ้มกันลดลง ควรรีบปรึกษาคุณหมอทันทีเพื่อรับการรักษาเพิ่มเติม

                        สำหรับผู้ที่ต้องการรับการรักษา ด้วยเครื่องเลเซอร์ชนิดนี้ , ควรปรึกษาคุณหมอ หรือผู้ให้บริการที่มีประสบการณ์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนที่เป็นไปได้ และวิธีการรักษาที่เหมาะสม

                        สรุป

                        Pico Laser เป็นโปรแกรมใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวโดยรมย์รวินท์ ซึ่งมุ่งเน้นการฟื้นบำรุงผิวในระดับที่ล้ำสมัย ด้วยเทคโนโลยี Pico Laser ที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดเม็ดสีในชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปรแกรมนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ ฝ้า กระ ริ้วรอย และรอยแผลเป็นจากสิว

                        จุดเด่นของ Pico Laser คือการทำงานด้วยพลังงานแสงเลเซอร์ที่สามารถแยกย่อยเม็ดสีและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ได้โดยไม่ทำลายผิวชั้นบน ทำให้ผิวดูสว่างกระจ่างใสและเรียบเนียนขึ้น ทั้งยังมีความปลอดภัยและใช้เวลาในการฟื้นฟูสั้น ทำให้ผู้เข้ารับบริการสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้อย่างรวดเร็ว

                        รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำ Pico Laser

                        1. Pico Laser มีประโยชน์อย่างไรต่อผิวหนังบริเวณใบหน้า
                        •   Pico Laser ช่วยลดรอยดำ, รอยแตก, รอยสิว, และปรับลดริ้วรอยอื่น ๆ ของผิวหนัง โดยทำให้ผิวหนังดูเรียบเนียน ชุ่มชื้น และมีสีเรียบเนียนมากขึ้น
                        1. กี่ครั้งที่ต้องทำ   Pico Laser เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
                        • จำนวนการรักษาที่ต้องการ อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัญหาผิวหนัง และระดับความรุนแรงของปัญหา แต่ในทั่วไปมักจะต้องทำระหว่าง 3-5 ครั้ง
                        1. มีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นหลังการทำหัตถการ ไหม
                        • ผู้ที่รับการรักษาด้วยเครื่องเลเซอร์ชนิดนี้ อาจพบผลข้างเคียงเช่น บวม แดง ระคายเคือง หรือผื่นบริเวณที่รักษา แต่ส่วนมากจะหายไปเองในไม่กี่วัน
                        1. ควรทำการบำรุงผิวหนังอย่างไรหลังการรักษาด้วย  Pico Laser
                        • หลังการรักษา, ควรป้องกันแสงแดดโดยใช้ครีมกันแดดทุกวัน และรักษาความชุ่มชื้นของผิวด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
                        1. Pico Laser กับ Q-Switch อันไหนเจ็บกว่ากัน
                        • การทำ   Pico Laser กับ Q-Switch จะมีการทายาชาก่อนเข้าทำหัตถการ ซึ่งจะช่วยลดความเจ็บปวดขณะทำได้มาก อย่างไรก็ตาม การทำหัตถการนี้ จะใช้ระยะเวลาน้อยกว่า จึงทำให้รู้สึกเจ็บน้อยกว่า Q-Switch
                        1. ทำหัตถการนี้ แล้วหน้าบางไหม
                        • หลังจากทำ   Pico Laser ในช่วงแรก จะมีความไวต่อแสงมากกว่าปกติ ประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งในระหว่างนั้นจะต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดด และทาครีมกันแดดทุกวัน แต่ไม่ทำให้ผิวหน้าบางลง เพราะเลเซอร์ไม่ได้เข้าไปทำลายเนื้อเยื่อปกติ

                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                          วันที่สะดวกในการติดต่อ




                          เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                          สารกระตุ้นคอลลาเจน Biostimulator แต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร ?

                          130824 1

                          สารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) แต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร 

                          การเสื่อมสภาพของผิวพรรณและร่างกายเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติและเมื่อเวลาผ่านไป อายุของคนเราก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ในทางกลับกันสิ่งที่น้อยลงสวนทางกับอายุของคนเรา คือ สารประเภทโปรตีนที่เรียกว่า ‘คอลลาเจน’ ที่อยู่ในร่างกายและสามารถลดปริมาณลงได้เรื่อยๆตามกาลเวลา

                          โดยเมื่อคอลลาเจนในร่างกายมีปริมาณที่น้อยลงจากการที่สูญเสียคอลลาเจนตามอายุ และร่างกายไม่สามารถผลิตมาทดแทนได้เท่าเดิมก็จะส่งผลกระทบต่อผิวพรรณและร่างกาย ซึ่งเรามักสังเกตได้จากเวลาส่องกระจกแล้วพบริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้านั่นเอง

                           

                          ด้วยเวลาที่ขยับเดินไปเรื่อย ๆ ทุกวัน เทรนด์ความงาม ในแวดวงงานผิวที่ได้รับกระแสตอบรับ และได้รับความนิยมเป็นอย่างดี คือ “การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน” ซึ่งเป็นรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ถูกคิดค้น และพัฒนาขึ้นมาเพื่อกระตุ้นให้ร่างกาย มีการผลิตคอลลาเจนขึ้นมาทดแทนได้ ในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น และยังเป็นการสยบปัญหารูปหน้าหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ รวมทั้งริ้วรอยบนผิวด้วยสารกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวผู้อ่านหลายท่านน่าจะรู้จักกันดีในชื่อสาร Biostimulator หรือสารกระตุ้นคอลลาเจน อย่างเป็นธรรมชาติและปลอดภัยต่อร่างกาย

                           

                          การพัฒนาสารกระตุ้นคอลลาเจนสำหรับฉีดลงบนผิว หรือ Biostimulator เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของงานผิวรูปแบบใหม่ ที่ไม่ใช่เพียงแค่เป็นการยกดึงหน้าขึ้นด้วยการผ่าตัดหรือหัตถการ แต่เป็นการเสริมงานผิวด้วยการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ส่งผลระยะยาวแทน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย เปลี่ยนผิวจากที่เสื่อมสภาพให้เป็นงานผิวเด็กที่มีความอ่อนเยาว์

                           

                          ถึงแม้การที่ร่างกายสูญเสียคอลลาเจนจะเป็นเรื่องที่เกิดตามธรรมชาติ แต่ก็คงจะเป็นเรื่องดีหากมีวิธีการที่สามารถเพิ่มปริมาณคอลลาเจนได้ โดย Biostimulator ก็นับเป็นคำตอบของวิธีการเสริมคอลลาเจนที่นิยมกันมากสำหรับปีนี้

                          ด้วยความที่สารกระตุ้นคอลลาเจนเป็นเทรนด์ที่ค่อนข้างได้รับความนิยม วันนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงจะมาเปรียบเทียบความแตกต่างของสารกระตุ้นคอลลาเจนแต่ละชนิดว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร

                          สารกระตุ้นคอลลาเจน

                          ทำความรู้จักกับ คอลลาเจน (Collagen) โปรตีนที่อยู่ในผิวหนังและร่างกาย

                          ก่อนจะพูดถึงสารกระตุ้นคอลลาเจนแต่ละชนิด เราควรมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับคอลลาเจนที่อยู่ในร่างกายเสียก่อน ซึ่งคอลลาเจน (Collagen) คือ โปรตีนที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติ และเป็นโปรตีนที่มีจำนวนมากที่สุดในร่างกาย โดยคอลลาเจนนั้นเป็นส่วนประกอบของส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ผิวหนัง กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ซึ่งคอลลาเจนภายในร่างกายจะทำหน้าที่เป็นตัวที่คอยเชื่อมและประสานเซลล์เข้าด้วยกัน ส่งผลให้ผิวเกิดความแข็งแรง อันเป็นเหตุเมื่อคอลลาเจนมีจำนวนน้อยลงก็จะทำให้ผิวไม่แข็งแรง จึงต้องการสารกระตุ้นคอลลาเจน

                           

                          โดยร่างกายจะมีการสังเคราะห์และผลิตคอลลาเจนด้วยตัวเอง หากลองสังเกตดู ในเวลาที่เรายังเป็นเด็ก ผิวของเรายังมีความแน่นตึง ยืดหยุ่น โดยไม่ต้องพึ่งพาสารกระตุ้นคอลลาเจน เพราะร่างกายเราสามารถผลิตคอลลาเจนออกมาได้เองและเส้นใยคอลลาเจนยังคงมีความแข็งแรง แต่เมื่อเรามีอายุที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ช่วงอายุ 25 ปีขึ้นไป ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนน้อยลง เส้นใยคอลลาเจนที่มีอยู่ก็จะเสื่อมสภาพพร้อมกับผิวที่เสียสมดุล ขาดความกระชับ ไม่เต่งตึงเหมือนอย่างที่เคย อันเกิดจากความเปลี่ยนแปลงของผิว ทำให้เกิดสารกระตุ้นคอลลาเจนนั่นเอง

                           

                          แต่ความจริงแล้วหากพูดนอกเรื่องจากงานผิว Biostimulator และสารกระตุ้นคอลลาเจน โปรตีนคอลลาเจนในร่างกายก็ยังส่งผลต่อกระดูก ฟัน เล็บ และเลือดอีกด้วย ทำให้คอลลาเจนมีความสำคัญเป็นอย่างมากกับร่างกาย ถึงแม้ว่าจะมีวิธีเสริมคอลลาเจน ผ่านการรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมคอลลาเจน แต่วิธีที่ได้ผลลัพธ์กับงานผิวอย่างรวดเร็วและเห็นผลทันตา คือ การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนที่มาในรูปแบบ Biostimulator

                           

                          หากพูดถึงคอลลาเจนในร่างกาย ตามหลักความจริงแล้วร่างกายของเราก็มีคอลลาเจนอยู่มากกว่าหนึ่งชนิด และแต่ละชนิดก็มีความสำคัญไม่เหมือนกัน และสารกระตุ้นคอลลาเจน ก็จะทำหน้าที่เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน ที่ส่งผลกับคอลลาเจนบางประเภทเท่านั้น สำหรับคนที่อยากรู้ว่าร่างกายของเรา ประกอบด้วยคอลลาเจนกี่ชนิด สามารถอ่านรายละเอียดได้จากหัวข้อต่อจากนี้

                          สารกระตุ้นคอลลาเจน

                          คอลลาเจน มีกี่ประเภทแล้วประเภทไหนที่สำคัญกับผิวพรรณ

                          เอกสารอ้างอิงตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ได้มีการกล่าวถึงประเภทของคอลลาเจนปัจจุบันมีมากถึง 28 ประเภท แต่คอลลาเจนที่สำคัญกับร่างกายจะมีอยู่เพียง 5 ประเภท และ 2 จาก 5 ประเภทของคอลลาเจนดังกล่าว เป็นคอลลาเจนที่มีความสำคัญกับผิว และมีความเกี่ยวโยงกับสารกระตุ้นคอลลาเจน โดยรายละเอียดของคอลลาเจนทั้ง 2 ประเภทที่มีความสำคัญกับผิวสามารถสรุปได้ดังนี้

                           

                          • คอลลาเจนประเภทที่ 1 (Collagen Type I) – เป็นคอลลาเจนที่ค้นพบแล้วว่ามีอยู่ภายในร่างกายเป็นจำนวนมากที่สุด โดยเป็นจำนวนประมาณ 90% ของคอลลาเจนภายในร่างกาย เป็นคอลลาเจนที่พบตามกระดูก เนื้อเยื่อ และมีความสำคัญต่อผิวพรรณ โดยคอลลาเจนประเภทที่ 1 มักเป็นกุญแจความสำเร็จของงานผิว สารกระตุ้นคอลลาเจนจึงถูกนำมาใช้ในรูปแบบผลิตภัณฑ์ Biostimulator เพื่อกระตุ้นให้ร่างกาย สร้างคอลลาเจนประเภทที่ 1 ออกมา เพื่อฟื้นฟูสภาพผิวและลดริ้วรอย

                           

                          • คอลลาเจนประเภทที่ 3 (Collagen Type III) – เป็นคอลลาเจนอีกตัวที่มีความสำคัญกับผิวพรรณ โดยจะเน้นไปส่วนของกล้ามเนื้อ ซึ่งการเสริมสร้างคอลลาเจนประเภทที่ 3 จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ทำให้ผิวยกกระชับ เต่งตึง จึงมีสารกระตุ้นคอลลาเจนบางประเภท ที่ถูกนำมาเป็นส่วนประกอบของ Biostimulator หลากหลายชนิด เพราะมีส่วนช่วยกระตุ้นสร้างคอลลาเจนทั้งประเภทที่ 1 และ 3

                          โดยภาพรวมแล้วคอลลาเจนมีประโยชน์ต่อผิวพรรณอย่างไร

                          • คอลลาเจนช่วยให้เซลล์ผิวเกิดการเจริญเติบโต และช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป การที่ผิวเกิดริ้วรอย ความหมองคล้ำ ส่วนนึงมีสาเหตุมาจากการที่เซลล์ผิวตายแล้วไม่ผลัดออกไป เซลล์ผิวใหม่จึงไม่สามารถขึ้นมาแทนที่ได้ สารกระตุ้นคอลลาเจน ก็จะช่วยกระตุ้นให้คอลลาเจนมากขึ้น 
                          • คอลลาเจนช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว โดยการเปลี่ยนสภาพของผิวจากที่แห้งเสียให้กลับมาอิ่มฟู กักเก็บน้ำได้นาน 
                          • คอลลาเจนที่เสริมขึ้นจากสารกระตุ้นคอลลาเจน ยังช่วยเพิ่มความหนาแน่นและยืดหยุ่นให้กับผิว ตั้งแต่ระดับโครงสร้างของผิว เนื่องจากสารกระตุ้นคอลลาเจน หรือ Biostimulator เป็นการเสริมสร้างคอลลาเจนตามชั้นผิวต่าง ๆ ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรง

                          สารกระตุ้นคอลลาเจนสารกระตุ้นคอลลาเจน คืออะไร?

                          สารกระตุ้นคอลลาเจน คือ นวัตกรรมที่เป็นการพัฒนาสาร ที่สามารถฉีดลงไปที่บริเวณชั้นผิวหนัง เพื่อเข้าไปกระตุ้นกระบวนการของร่างกายในการผลิตคอลลาเจนออกมา หรือที่หลายคนน่าจะรู้จักในชื่อ “Biostimulator” ผลิตภัณฑ์สารกระตุ้นคอลลาเจนจากยี่ห้อต่าง ๆ ซึ่งผ่านกระบวนการคิดค้นหาสารตั้งต้น ที่มีความสามารถในการเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน จนกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์งานผิวที่รู้จักกันทุกวันนี้

                           

                          โดย Biostimulator หรือสารกระตุ้นคอลลาเจน ถึงแม้จะมีหลากหลายยี่ห้อ แต่คุณสมบัติโดยรวมแล้วต้องเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนประเภทที่ 1 และส่งผลต่อการฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาแข็งแรง สุขภาพดี ช่วยกระชับผิวและเพิ่มความยืดหยุ่น ซึ่งอาจมีคุณสมบัติบางการที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสารประกอบหรือสารกระตุ้นคอลลาเจน ที่นำมาเป็นส่วนประกอบของสารที่ฉีดลงไปบนชั้นผิว

                           

                          ถึงแม้ว่าปัจจุบัน จะมีการคิดค้นสารฉีดกระตุ้นคอลลาเจน หรือ Biostimulator ออกมาอย่างแพร่หลาย แต่จะมีสารกระตุ้นคอลลาเจนบางตัวที่ได้รับความนิยมและกลายเป็นที่พูดถึงอยู่บ่อยครั้ง ได้แก่ Radiesse,  Sculptra เนื่องจากผลลัพธ์ของสารกระตุ้นคอลลาเจนทั้งสองยี่ห้อ ส่งผลต่อกระบวนการผลิตคอลลาเจนของร่างกาย และช่วยเรื่องงานผิวได้อย่างประสิทธิภาพ แต่นอกจาก Radiesse และ  Sculptra ยังมีสารกระตุ้นคอลลาเจนอื่นด้วย เช่น Gouri

                           

                          ซึ่งความแตกต่างของสารกระตุ้นคอลลาเจนแต่ละตัว ก็มาจากเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่นำมาพัฒนาเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน แต่ละผลิตภัณฑ์มีการพัฒนาด้วยนวัตกรรมที่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าผลจะออกมาเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ช่วยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนประเภท 1 มากขึ้น ด้วยความแตกต่างของนวัตกรรมและองค์ประกอบของสารกระตุ้นคอลลาเจน จึงส่งผลต่อผลลัพธ์และการเลือกฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนด้วย โดยสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ได้รับความนิยมก็จะมีรายละเอียดตามหัวข้อต่อไปเลย

                          สารกระตุ้นคอลลาเจนตัวไหนที่ได้รับความนิยมบ้าง แต่ละตัวมีประสิทธิภาพการทำงานเป็นอย่างไร?

                          ไม่ว่าจะเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนหรือ Biostimulator จากยี่ห้อต่าง ๆ ก็มักมีการพัฒนาสารกระตุ้นคอลลาเจนจากองค์ประกอบหลักที่แตกต่างกัน เช่น Radiesse เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่มีส่วนประกอบเป็น Calcium Hydroxylapatite Microspheres (CaHA) ส่วน Sculptra เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่มีส่วนประกอบจาก Poly-L-Lactic (PLLA) และถึงแม้จะเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนเหมือนกันก็มีประสิทธิภาพและผลลัพธ์ที่ออกมาแตกต่างกันตามสารที่เป็นองค์ประกอบหลักด้วย

                           

                          แต่นอกจากสารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA และ PLLA ที่มาจากผลิตภัณฑ์ Biostimulator ที่ได้รับความนิยมอย่าง Radisse และ Sculptra ก็ยังมีองค์ประกอบของสารกระตุ้นคอลลาเจนตัวอื่นอีก ไม่ว่าจะเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน Poly D, L-Lactic Acid  (PDLLA), Polydioxanone microsphere (PDO) และ  Polycaprolactone (PCL) ซึ่งมีการทดลองและพัฒนา จนมีผลการทดสอบได้ว่า สามารถนำมาทำเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนได้เหมือนกับ CaHA และ PLLA

                           

                          โดยสารแต่ละประเภท ก็มีคุณสมบัติและประสิทธิภาพในฐานะ Biostimulator ที่แตกต่างกันดังนี้

                          สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA

                          สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA หรือ  Calcium Hydroxylapatite เป็นแคลเซียมที่สามารถหาได้จากการนำกระดูกปลาทูน่ามาบด ๆ เป็นผงละเอียด โดยสารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA เป็น Biostimulator ที่สามารถเข้ากับร่างกายของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากโครงสร้างของ Calcium มีโครงสร้างแบบ Hydroxyapatite ที่มีสูตรทางเคมี Ca5 (PO4) 3OH หรือ Ca10 (PO4) 6 (OH) ซึ่งเป็น Calcium ที่สามารถพบได้จากกระดูกมนุษย์ ส่งผลให้สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA ไม่ทำให้เกิดผลกระทบกับร่างกายเมื่อนำมาใช้กับ Radiesse

                           

                          เรียกได้ว่าสารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA มีความคล้ายคลึงกับส่วนประกอบของกระดูกภายในร่างกาย จึงเป็นเหมือนการฉีดสารที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติเข้าไปในร่างกาย ทำให้ปัจจุบัน CaHA กลายเป็นสารประกอบที่ถูกนำมาใช้หลายแพร่หลายในวงการความงาม ไม่ว่าจะเป็นสารฉีดกระตุ้นคอลลาเจน ฉีดผิว ยกกระชับหน้าโดยไม่พึ่งพาการผ่าตัด

                           

                          คุณสมบัติของสารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA ที่เป็นจุดเด่นมีดังนี้

                          • ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนของร่างกาย และช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาแข็งแรง
                          • เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่สามารถเข้ากับร่างกายได้เป็นอย่างดี ทำให้ร่างกายไม่เกิดการต่อต้าน
                          • ช่วยเสริมสร้างและปรับปรุงสภาพผิว ผิวกระชับอิ่มเอม ช่วยลดร่องลึก ผลลัพธ์ยาวนาน

                          สารกระตุ้นคอลลาเจน PLLA 

                          สารกระตุ้นคอลลาเจนที่มีส่วนประกอบของ Poly-L-Lactic (PLLA) เป็นผลิตภัณฑ์ Biostimulator สำหรับ Sculptra ซึ่งเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนตัวแรก ๆ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานและรับรองจาก FDA โดยสารกระตุ้นคอลลาเจน PLLA เป็นวัสดุประเภทโพลีเมอร์ที่มีความปลอดภัยกับร่างกายมนุษย์ เนื่องจากเป็นสารที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาจากพืชและเป็นนวัตกรรมเดียวกันกับไหมเย็บแผลทางการแพทย์

                           

                          ด้วยประสิทธิภาพด้านการฟื้นฟูคอลลาเจนของสารประกอบ PLLA ผนวกกับเป็นสารสังเคราะห์ธรรมชาติ ที่ย่อยสลายไปเองโดยไม่ทิ้งสารพิษตกค้างภายในร่างกาย ซึ่งสาร PLLA จะสลายเป็น H2O, CO2 และ Lactic acid ที่ร่างกายดูดซึมไปได้ ทำให้สารกระตุ้นคอลลาเจน PLLA ก็ได้รับความนิยมไม่น้อยเลย

                           

                          คุณสมบัติของสารกระตุ้นคอลลาเจน PLLA ที่เป็นจุดเด่นมีดังนี้

                          • กระตุ้นคอลลาเจนและเติมเต็มร่องลึกด้วยประสิทธิภาพที่อยู่นานถึง 2 ปี
                          • เสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรง เรียบเนียน

                          สารกระตุ้นคอลลาเจน PDO

                          สารกระตุ้นคอลลาเจนที่มีส่วนประกอบของ Polydioxanone microsphere (PDO) เป็นผลิตภัณฑ์ Biostimulator ที่มาในรูปแบบของไหมน้ำ Ultracol โดยสารกระตุ้นคอลลาเจน PDO เป็นสารประเภทโพลีเมอร์ที่สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้ และย่อยสลายเองตามธรรมชาติด้วยกระบวนการ hydrolysis มีนวัตกรรมทางการแพทย์ที่นำสารประกอบ PDO มาใช้ ได้แก่ ไหมเย็บแผล PDO ศัลยกรรมกระดูก

                           

                          สำหรับสารกระตุ้นคอลลาเจน คือ การต่อยอดจากไหมเย็บแผล PDO ที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ มาทำเป็นไมโครโมเลกุลขนาดเล็กเพื่อนำมาฉีดเป็นไหมน้ำสารกระตุ้นคอลลาเจนตามผิวหนัง ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและไม่สร้างความระคายเคือง จึงนับว่าเป็น Biostimulator ที่มีประสิทธิภาพด้านงานผิว

                           

                          คุณสมบัติของสารกระตุ้นคอลลาเจน PDO ที่เป็นจุดเด่นมีดังนี้

                          • กระตุ้นคอลลาเจนประเภทที่ 1 และ 3 
                          • เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน ที่โมเลกุลเล็กมากจึงสามารถกระชับผิวบริเวณที่บอบบางได้
                          • กระชับผิวหน้าให้กลับมาเรียบเนียนตามบริเวณที่ฉีด ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-8 เดือน

                          สารกระตุ้นคอลลาเจน PCL 

                          สารกระตุ้นคอลลาเจน Polycaprolactone (PCL) เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่พัฒนามาจากการสังเคราะห์สารโพลีเอสเตอร์กึ่งผลึกที่สามารถย่อยสลายด้วยกระบวนการ hydrolysis เป็นวัสดุทางชีวภาพที่ถูกนำมาประยุกต์ทางการแพทย์ตั้งแต่การเป็นไหมเย็บแผลจนมาถึงวงการความงาม PCL ก็กลายมาเป็น Biostumulator สารกระตุ้นคอลลาเจน Gouri

                           

                          คุณสมบัติของสารกระตุ้นคอลลาเจน PCL ที่เป็นจุดเด่นมีดังนี้

                          • พัฒนามาเป็น Gouri เป็นของเหลวที่สามารถฉีดเข้าสู่ผิวได้โดยตรง
                          • เติมความแน่นกระชับให้กับผิว ลดริ้วรอยฟื้นฟูสภาพผิว
                          • ผลลัพธ์ของสารกระตุ้นคอลลาเจน PCL นานถึง 24 เดือน

                          สารกระตุ้นคอลลาเจน PDLLA  

                          สารกระตุ้นคอลลาเจน Poly-D, L-Lactic Acid (PDLLA) เป็นสารโพลีเมอร์ที่สกัดมาจากธรรมชาติ และเป็นสารที่มีโมเลกุลแบบเดียวกันกับ Poly Lactic Acid (PLA) โดยมีคุณสมบัติที่แตกต่างจาก PLA คือ มีส่วนพื้นผิวสัมผัสที่เกี่ยวโยงกับกระบวนการกระตุ้นคอลลาเจนของร่างกาย โดย PDLLA สามารถย่อยสลายตามกระบวนการธรรมชาติ ทางการแพทย์ PDLLA ยังถูกนำมาพัฒนาเป็นตัวส่งยาไปยังบริเวณที่ต้องการอีกด้วย

                           

                          คุณสมบัติของสารกระตุ้นคอลลาเจน PDLLA มีดังนี้

                          • PDLLA เป็นสารที่มีลักษณะเป็นวงฟองสบู่ เมื่อเข้าสู่ผิวจึงไม่เกิดการตกค้างและย่อยสลายไปเอง
                          • กระตุ้นคอลลาเจนและผลลัพธ์ด้านงานผิวที่ยาวนานถึง 24 เดือน

                          สารกระตุ้นคอลลาเจน

                          สารกระตุ้นคอลลาเจนแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันอย่างไร ?

                          สารกระตุ้นคอลลาเจนอย่างไรก็มีคุณสมบัติเกี่ยวกับการกระตุ้นคอลลาเจนภายในร่างกายเหมือนกัน แต่สารกระตุ้นคอลลาเจนทั้งหมดล้วนเป็นคนละชนิดกันจึงมีคุณสมบัติและผลลัพธ์บางประการที่แตกต่างกันออกไป โดยรมย์รวินท์คลินิกได้เรียบเรียงเปรียบเทียบความแตกต่างดังนี้

                          ประเภทและลักษณะของสารกระตุ้นคอลลาเจน

                          • Calcium Hydroxylapatite เป็น CaHA Microspheres แร่ธาตุที่มาจากกระดูกปลาทูน่าบดละเอียด และสามารถพบได้ตามกระดูกของมนุษย์ มีโครงสร้างแบบ Hydroxylapatite Ca5 (PO4) 3OH 
                          • Poly-L-Lactic (PLLA) เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนสังเคราะห์จากพืช และเป็นนวัตกรรมเดียวกับไหมเย็บแผล โดยสาร PLLA สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติ
                          • Polydioxanone microsphere (PDO) เป็นสารโพลีเมอร์สังเคราะห์รูปแบบผลึก ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น สามารถย่อยสลายด้วยกระบวนการทางชีวภาพ มีสภาพเป็นโมเลกุขนาดเล็ก ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
                          • Polycaprolactone (PCL) เป็นสารสังเคราะห์โพลีเอสเตอร์กึ่งผลึกสามารถย่อยสลายด้วยกระบวนการ hydrolysis เป็นสารรูปแบบของเหลว
                          • Poly-D, L-Lactic Acid (PDLLA) เป็นสารโพลีเมอร์สกัดจากธรรมชาติ และเป็นสารโมเลกุลรูปแบบเดียวกับ Poly Lactic Acid (PLA) แต่มีความแตกต่างที่ลักษณะพื้นผิว โดย PDLLA จะมีลักษณะเป็นวงกลมคล้ายกับฟองสบู่

                          กระบวนการกระตุ้นคอลลาเจนส่งผลต่อผิวอย่างไร

                          • Calcium Hydroxylapatite – สารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนประเภทที่ 1 และ 3 มากขึ้น ซึ่งรวมไปถึงช่วยกระตุ้นอีลาสติน เพิ่มโปรตีโอไกลแคน กระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดส่งผลให้สารอาหารสามารถไปเลี้ยงผิวและปรับโครงสร้างผิวให้ดียิ่งขึ้น
                          • Poly-L-Lactic (PLLA) – เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนประเภทที่ 1 เป็นหลัก โดยการปรับสภาพผิวที่เสื่อมให้กลับมาสุขภาพดี ผิวสวย ลดริ้วรอย
                          • Polydioxanone microsphere (PDO) – กระตุ้นคอลลาเจนประเภทที่ 1 และ 3 ช่วยกระชับผิวและเติมความยืดหยุ่น โดยเป็นสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กจึงสามารถฉีดสาร PDO ลงไปบริเวณที่ผิวบอบบางได้
                          • Polycaprolactone (PCL) – กระตุ้นเซลล์ Fibroblast ให้มีการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อสภาพผิวระยะยาว 
                          • Poly-D, L-Lactic Acid (PDLLA) – เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนประเภทที่ 1 เปลี่ยนผิวให้กลับมากระชับ ลดร่องลึก สุขภาพผิวแข็งแรง

                           

                          โดยภาพรวมแล้วสารกระตุ้นคอลลาเจน มีกระบวนการทำงานและส่งผลต่อผิวคล้ายคลึงกัน แต่อาจมีคุณสมบัติที่ต่างออกไป เช่น นอกจากคอลลาเจนประเภทที่ 1 แล้วสารกระตุ้นคอลลาเจนบางตัวยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนประเภทที่ 3 และ อีลาสติน รวมถึงคุณสมบัติของสารที่ต่างกันทำให้สามารถฉีดบริเวณที่ละเอียดอ่อนได้แตกต่างจากสารตัวอื่น ๆ

                          ผลลัพธ์ของสารที่เป็น Biostimulator มีผลลัพธ์ที่ยาวนานแค่ไหน

                          • Calcium Hydroxylapatite – เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่มีผลลัพธ์ยาวนานถึง 2 ปี
                          • Poly-L-Lactic (PLLA) เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน 2 ปี
                          • Polydioxanone microsphere (PDO) – เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่อยู่นาน 6-8 เดือน
                          • Polycaprolactone (PCL)  – สารกระตุ้นคอลลาเจนที่อยู่นาน 18-24 เดือน (2ปี)
                          • Poly-D, L-Lactic Acid (PDLLA) – สารกระตุ้นคอลลาเจนที่อยู่นาน 18-24 เดือน (2ปี)

                          สารกระตุ้นคอลลาเจนแต่ละตัว ก็มีระยะเวลาของผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อระยะเวลาที่เราจะต้อง กลับมาฉีดโปรแกรมกระตุ้นคอลลาเจนอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามระยะเวลาของผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวของแต่ละคน หากต้องการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนนอกจากเรื่องระยะเวลาของผลลัพธ์ที่ยาวนานแล้วเราควรพิจารณาความเหมาะสมต่าง ๆ เช่น สารกระตุ้นคอลลาเจนดังกล่าวฉีดบริเวณที่เราต้องการได้หรือไม่ หรือเรามีอาการแพ้สารกระตุ้นคอลลาเจนประเภทนั้นหรือไม่ นี่จึงเป็นข้อแตกต่างสำคัญในการเลือกสารกระตุ้นคอลลาเจนที่เหมาะกับตัวเอง

                          สารกระตุ้นคอลลาเจน เสริมผิวสวยสร้างผิวสุขภาพดีที่รมย์รวินท์คลินิก

                          สำหรับคนที่เริ่มคิดว่าผิวของตัวเองเริ่มมีความหย่อนคล้อย ริ้วรอยถามหา ขาดความกระชับ นั่นหมายความว่าผิวต้องการเสริมคอลลาเจนแบบด่วน ๆ หากนึกถึงสารกระตุ้นคอลลาเจน ไม่ว่าจะเป็น Radiesse หรือ Sculptra ต้องลองมาพิสูจน์ผลลัพธ์งานผิวคุณภาพดีที่รมย์รวินท์คลินิก โดยทางคลินิกมีบริการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนและ  Sculptra พร้อมแพทย์ประจำคลินิกที่พร้อมช่วยวิเคราะห์ปัญหาผิวและแนะนำหัตถการที่ช่วยจัดการกับผิวได้อย่างตรงจุด อยากมีผิวอ่อนเยาว์กระชับต้องมาเสริมสร้างผิวที่แข็งแรง กระตุ้นคอลลาเจนที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขาได้แล้ววันนี้

                          ไหมน้ำ ULTRACOL ต่างจากไหมน้ำชนิดอื่นอย่างไร?

                          ไหมน้ำ

                          รู้ก่อนสวย ! ไหมน้ำ ULTRACOL ดีกว่าไหมน้ำชนิดอื่น ๆ อย่างไร? 

                          ว่าด้วยเรื่องของนวัตกรรมความงามปี 2024 ในเรื่องของเทรนด์ผิวหน้าเด็กอ่อนเยาว์ เหมือนย้อนกลับไป 14 อีกครั้ง นั่นก็คือนวัตกรรมการฉีดไหมน้ำ เป็นนวัตกรรมเติมเต็มใบหน้า เพื่อผิวสวยกระจ่างใส นอกจากการฉีดไหมน้ำเพื่อเติมเต็มผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ยังมีการร้อยไหมที่ใช้เข็มนำเส้นไหมลงไปสู้ใต้ชั้นผิวอีกด้วย 

                          ซึ่งในปัจจุบันการฉีดไหมน้ำเป็นนวัตกรรมหนึ่งที่ทำให้ผิวสวยตั้งแต่ภายในส่งผลสู่ภายนอก เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับใครต้องการฟื้นฟูผิวจากภายในให้

                           

                          ไหมน้ำยอดนิยมในขณะนี้คือ “ไหมน้ำ ULTRACOL” หลายคนอาจสงสัยว่าการฉีดไหมน้ำ ULTRACOL ดีกว่าไหมน้ำอื่น ๆ อย่างไร? ทำไมต้องเลือกไหมน้ำ ULTRACOL? ในบทความนี้จะไขข้อข้องใจให้คุณ ให้คุณหายข้อใจเกี่ยวกับ “ไหมน้ำ ULTRACOL”

                          ไหมน้ำ

                          ไหมน้ำคืออะไร?

                          นวัตกรรมที่ช่วยในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนให้ผิวเพื่อเติมเต็มคุณภาพผิว ช่วยยกกระชับผิวหน้า โดยผลลัพธ์ที่ได้ของการฉีดไหมน้ำจะมีความคล้ายคลึงกับการร้อยไหม แต่เป็นในรูปแบบของการฉีดเข้าสู่ผิวแทนการร้อยไหม

                          ความแตกต่างของร้อยไหม และ ฉีดไหมน้ำ

                          การร้อยไหม (Thread)

                          Thread คือ เส้นไหมที่มีความปลอดภัย โดยเป็นการนำเส้นไหมเข้าไปใต้ผิวหนังชั้น SMAS กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งไหมมีหลายประเภท โดยเทคโนโลยีล่าสุดได้พัฒนานำสารเคลือบไหม เช่น PCL, PDO, PLLA ที่สามารถฉีดลงสู้ชั้นผิวได้

                           

                          การฉีดไหมน้ำ (Biostimulator)

                          Biostimulator มีสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้เกิดขึ้นที่บริเวณใต้ชั้นผิว คือสาร PCL, PDO, PLLA คอลลาเจนใต้ผิวจะช่วยกระตุ้นทำให้ผลลัพธ์ของใบหน้ามีความตึงกระชับ เปรียบเสมือนการลิฟต์กรอบหน้าได้ด้วย

                          Biostimulator เป็นการฉีดลงไปสู่ชั้นใต้ผิวหนังชั้นตื้น ที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน โดยเรียกว่า ไหมน้ำ ซึ่งไหมน้ำคือสาร PDO, PCL, PLLA ส่งผลลัพธ์ช่วยให้ลดเลือนริ้วรอย ยกกระชับผิวหน้า แบบไม่ตกค้าง สามารถสลายเองได้ตามธรรมชาติ

                           

                          ไหมน้ำมีชนิด ชนิดใดบ้างไหนบ้าง?

                          ไหมน้ำ ชนิด PDO (Polydioxanone)

                          PDO คือไหมละลาย หรือที่เรียกว่า Absorbable ที่นำมาใช้ในวงการแพทย์เพื่อเย็บแผลผ่าตัดและใช้ในการสมานแผลในอวัยวะภายใน เป็นสารที่มีความยืดหยุ่นสูง ได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก USFDA ซึ่งสามารถย่อยสลายได้เอง ไหมน้ำสาร PDO เป็นไหมชนิดแรกที่นำมาใช้ในวงการแพทย์และความงาม ซึ่งพัฒนาให้เป็นโมเลกุลทรงกลมขนาดเล็ก เพื่อฉีดกระตุ้นคอลลาเจนทั่วใบหน้าได้

                          ไหมน้ำ ชนิด PCL (Polycarpolactone)

                          PCL คือนวัตกรรมไหมละลาย ที่พัฒนาโดยการใช้เทคโนโลยี CESABP เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของบริษัทผู้ผลิต ที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ เป็นสารที่ช่วยฟื้นฟูผิว กระตุ้นคอลลาเจน ช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ลง 

                          ไหมน้ำ ชนิด PLLA (Poly-L-Lactic acid)

                          สารอุ้มน้ำที่ปลอดภัยและใช้ในวงการแพทย์มานาน ประกอบไปด้วย โมเลกุลเล็กที่ถูกสังเคราะห์ให้เข้ากับร่างกายของมนุษย์ได้อย่างดี จึงมีความปลอดภัยและย่อยสลายตามธรรมชาติ ไหมน้ำสาร PLLA เป็นไหมน้ำตัวแรกที่ได้รับการรับรองจาก FDA ในประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ฟื้นฟูโครงสร้างของผิวหน้า เพิ่มเติมเต็มผิวหน้าให้อิ่มฟูอ่อนเยาว์

                          ไหมน้ำ ชนิด PDLLA (Poly D-L-Lactic Acid)

                          PDLLA จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen biostimulator เป็นไหมน้ำแบบใหม่ที่พัฒนามาจากประเทศเกาหลีใต้ มีอนุภาคขนาดเล็กที่ให้ผลลัพธ์ ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งมีความแตกต่างกับไหมน้ำ PLLA ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่กว่า

                          ไหมน้ำ ULTRACOL คืออะไร?

                          ไหมน้ำ ULTRACOL เป็นสาร PDO (Polydioxanone) ที่นำมาใช้ในวงการแพทย์เพื่อการเย็บแผล เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในวงการแพทย์มาอย่างยาวนาน เป็นไหมน้ำที่ผ่านการรับรองจาก USFDA จึงมีความปลอดภัยสูง ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ การทำโปรแกรม ULTRACOL สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type1 และ Type3 ได้นานถึง 6-8 เดือน ซึ่งผลลัพธ์หลังทำโปรแกรม ULTRACOL จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นในชั้นผิวได้ 34.36% ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย 13.33% และเพิ่มความกระจ่างใส 9.15% 

                          ไหมน้ำ ULTRACOL ช่วยอะไรบ้าง?

                          การทำไหมน้ำ ULTRACOL ช่วยเติมเต็มร่องลึกต่าง ๆ บนผิวหน้าและลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้าให้ตื้นขึ้น เติมเต็มผิวหน้าให้ละมุนอย่างเป็นธรรมชาติ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type1 และ Type3 คืนความอ่อนเยาว์ ย้อนอายุผิวให้กลับมาเด็กอีกครั้ง อีกทั้งยังช่วยในการยกกระชับ ผิวหน้าที่หย่อนคล้อยให้กลับมาผิวเฟิร์มเต่งตึง ช่วยเพิ่มคุณภาพผิวให้ยืดหยุ่นแข็งแรงขึ้น และยังช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใสอีกด้วย

                          ไหมน้ำ

                          รวมข้อดีของ ไหมน้ำ ULTRACOL

                          • ไหมน้ำ ULTRACOL ช่วยกระตุ้น การสร้างคอลลาเจน ของชั้นใต้ผิวหนังได้อย่างยาวนาน
                          • ไหมน้ำ ULTRACOL แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยไม่กระชับ ยกผิวตึงกระชับเทียบเท่าการร้อยไหม
                          • ไหมน้ำ ULTRACOL เติมเต็มร่องลึก และริ้วรอยเล็ก ๆ เพื่อผิวอ่อนเยาว์
                          • ไหมน้ำ ULTRACOL มีความปลอดภัยสูง ไม่มีการตกค้างในร่างกาย สลายได้เองตามธรรมชาติ
                          • ไหมน้ำ ULTRACOL ไม่ต้องพักฟื้นนาน ไม่ต้องผ่าตัด สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังทำทันที
                          • ไหมน้ำ ULTRACOL คงผลลัพธ์ยาวนาน ไม่ต้องทำซ้ำบ่อย

                          ULTRACOL

                          จุดเด่นของ ไหมน้ำ UTRACOL

                          • ULTRACOL กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนระดับ Nano Technology เจ็บน้อยกว่าการร้อยไหมทั่วไป
                          • ULTRACOL เปรียบเสมือนการร้อยไหมและฉีดฟิลเลอร์ในคราวเดียวกัน
                          • ULTRACOL สามารถ Regeneration ด้วยสารกรดอะมิโนแอซิด ช่วยซ่อมแซมผิวที่สึกหรอโดยไม่เป็นอันตรายต่อผิว
                          • ULTRACOL ไหมน้ำ 1 ขวด เทียบเท่าร้อยไหม 1,427 เส้น การันตีคุณภาพงานผิวระดับพรีเมี่ยม

                          เปรียบเทียบ ไหมน้ำ ULTRACOL กับ ไหมน้ำ อื่น ๆ

                          • ไหมน้ำ NANO LIFT

                          NANO LIFT เป็นนวัตกรรมไหมน้ำสาร PCL (Polycarpolactone) มีความพิเศษตรงที่ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลลัพธ์ให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นกว่าเดิม

                          • ไหมน้ำ GOURI

                          GOURI เป็นไหมน้ำสาร PCL (Polycarpolactone) โมเลกุลสูง ช่วยในการกระตุ้น และฟื้นฟูคอลลาเจนใต้ผิว โดยสามารถเห็นผลลัพธ์ภายใน 1-2 สัปดาห์ หลังจากนั้นริ้วรอยบนผิวหน้าลดลงและเพิ่มความกระชับให้กับผิวหน้า

                          • ไหมน้ำ SCULPTRA

                          SCULPTRA จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen Stimulator ที่มีสาร PLLA (Poly D-L-Lactic Acid) ที่จะแก้ปัญหาผิวเหี่ยวย่น ที่มีร่องลึกและริ้วรอยเล็ก ๆ แห่งวัย โดย SCULPTRA จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพิ่มผิวเฟิร์มแน่นกระชับ ปรับโครงสร้างผิวให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

                           

                          เปรียบเทียบไหมน้ำ ULTRACOL กับ ไหมน้ำ NANO LIFT 

                          ไหมน้ำ ULTRACOL เป็นนวัตกรรมใหม่มาจากประเทศเกาหลี ที่พัฒนามาจากไหมสาร PDO (Polydioxanone) ที่มีความยืดหยุ่นสูง ได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก USFDA 

                          ส่วนไหมน้ำ NANO LIFT ถูกนำมาพัฒนาจากไหมสาร PCL (Polycarpolactone) โดยการใช้เทคโนโลยี CESABP เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของบริษัทผู้ผลิต

                           

                          เปรียบเทียบไหมน้ำ ULTRACOL กับไหมน้ำ GOURI

                          ไหมน้ำ ULTRACOL สังเคราะห์มาจาก PDO (Polydioxanone) แต่ไหมน้ำ GOURI ใช้สารสังเคราะห์จาก PCL (Polycarpolactone) โดยไหมน้ำ UTRACOL จะสร้างคอลลาเจนใหม่ เพิ่มความเต่งตึงให้แก่ผิวหน้า และช่วยแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อย รวมไปถึงเติมเต็มร่องลึกให้ตื้นขึ้น ซึ่งมีความปลอดภัย ไม่เป็นอันตราย 

                          ส่วนไหมน้ำ GOURI เป็นหนึ่งในวัสดุการทำไหมละลาย ที่ใช้ในกลุ่มร้อยไหมดึงหน้าที่มาในรูปแบบของเหลว (Liquid PCL) โดยสามารถนำมาฉีดเข้าผิวแบบไม่ต้องมีการละลายน้ำ ทำให้สะดวกต่อการนำมาใช้งาน ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน 

                          เปรียบเทียบไหมน้ำ ULTRACOL กับไหมน้ำ SCULPTRA

                          ไหมน้ำ ULTRACOL ผ่านกระบวนการ Nano Technology โดยทำให้เป็นผงละอองไข่มุก และละลายออกมาในรูปของน้ำ สามารถฉีดได้ทุกบริเวณทั่วใบหน้า ซึ่งผลลัพธ์เปรียบเสมือนการร้อยไหมและฉีดฟิลเลอร์ไปในคราวเดียวกัน

                          ส่วนไหมน้ำ SCULPTRA พัฒนาสังเคราะห์มาจากสาร PLLA (Poly-L-Lactic acid) เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวที่จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen Biostmulator ซึ่งในการทำงานของ SCULPTRA จะทำการเติมเต็มระหว่างช่องว่าง ให้ผิวกลับมาเติมเต็มอิ่มฟูแน่นเฟิร์ม ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นสูง เริ่มเห็นผลลัพธ์หลังฉีดใน 2-3 อาทิตย์ และผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานกว่า 2 ปี

                           

                          เปรียบเทียบไหมน้ำ ULTRACOL กับ หัตถการอื่น ๆ 

                          เปรียบเทียบ ULTRACOL กับ REJURAN (รีจูรัน)

                          ULTRACOL อยู่ในกลุ่มของ Skin Booster โดยเน้นไปทาง Collagen Simulator โดยเน้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ใต้ชั้นผิวอย่างเป็นธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างยาวนาน ซึ่งให้ผลลัพธ์คงความอ่อนเยาว์จากภายในสู่ภานนอก

                          REJURAN (รีจูรัน) เป็นกลุ่ม Skin Booster เช่นเดียวกัน โดยสกัดมาจาก Polyneucleotide (พอลินิวคลิโอไทด์) ที่ได้มาจาก DNA ของปลาแซลมอน เน้นผิวฉ่ำวาวอิ่มฟู แลดูผิวสุขภาพดีแข็งแรง เหมาะกับผู้ที่อยากมีผิวกระจก (glass skin) 

                           

                          เปรียบเทียบ ULTRACOL กับ ฟิลเลอร์ (Filler)

                          ULTRACOL เป็นเทคโนโลยีรูปแบบของเหลวที่ช่วยเพื่อการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับคุณภาพผิวให้ยืดหยุ่นและกระชับขึ้น โดย ULTRACOL จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน แตกต่างกับการฉีดฟิลเลอร์ที่ฉีด Hyarulonic Acid เข้าผิวโดยตรงเพื่อให้ผิวนั้นชุ่มชื้นขึ้นแบบทันที

                          การฉีดฟิลเลอร์ เป็นการนำสารเติมเต็ม Hyarulonic Acid เข้าผิวโดยตรงเพื่อให้ผิวสุขภาพดี เต่งตึงกระชับและมีความชุ่มชื้น อีกทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ ได้ โดยสามารถนำมาฟิลเลอร์ใช้ในการปรับรูปหน้าได้อีกด้วย

                           

                          เปรียบเทียบ ULTRACOL กับ การฉีดโบ 

                          ULTRACOL จะช่วยในเรื่องของการเติมเต็มริ้วรอยร่องเล็กต่าง ๆ ด้วยการกระตุ้นคอลลาเจนขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ 

                          ส่วนการฉีดโบ คือการฉีดสารโดยยาจะออกฤทธิ์กับปลายประสาท ทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถสื่อประสาทมาที่กล้ามเนื้อได้ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดผ่อนคลายลง จนริ้วรอยต่าง ๆ ลดลงและไม่เกิดริ้วรอยใหม่ ๆ ในอนาคต

                           

                          เปรียบเทียบ ULTRACOL กับเครื่องยกกระชับ (Lifting)

                          ULTRACOL ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมือนกันกับโปรแกรมยกกระชับต่าง ๆ ซึ่งจะเห็นผลลัพธ์หลังฉีด ULTRACOL ตั้งแต่สัปดาห์แรก โดยแพทย์สามารถทำทั้ง 2 หัตถการนี้ร่วมกันได้เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

                          เครื่องยกกระชับผิว เช่น ULTRAFORMER III, ULTHERA SPT, THERMAGE FLX เป็นการช่วยยกกระชับลดริ้วรอย และกระตุ้นคอลลาเจนด้วยพลังงานของคลื่นเสียง เหมาะกับผู้ที่กลัวเข็ม ไม่ต้องการผ่าตัด โดยเห็นชัดเจนตั้งแต่ 3 เดือนเป็นต้นไป

                           

                          เปรียบเทียบ ULTRACOL กับการร้อยไหม (Thread Lifting)

                          ULTRACOL เป็นการฉีดนำสาร PDO (Polydioxanone) ในรูปแบบของเหลวเข้าสู่ชั้นผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของร่างกาย ช่วยปรับสภาพของคุณภาพผิวให้ดีขึ้น สู่ผิวอิ่มฟูแน่นกระชับ เน้นการปรับ skin quality ของผิวอย่างต่อเนื่อง

                          ร้อยไหม (Thread Lifting) เป็นการใช้ไหมละลายที่ทำมาจากวัสดุต่าง ๆ ร้อยเข้าสู่ชั้นผิวหนังเพื่อการยกกระชับแก้ปัญหาหย่อนคล้อย ปรับรูปหน้าเรียว เห็นผลลัพธ์ชัดเจนทันทีหลังทำ คนส่วนใหญ่นิยมร้อยไหมดึงหน้าและปรับหน้าเรียวกระชับ

                           

                          รวมคำถามพบบ่อยของ ULTRACOL

                          ไหมน้ำ ULTRACOL ควรทำกี่ครั้ง?

                          ULTRACOL เป็นโปรแกรมที่ควรทำอย่างน้อย 3 ครั้ง ในทุก 4-6 เดือน โดยหลังจากนั้นอยู่ที่การพิจารณาจากแพทย์

                          ไหมน้ำ ULTRACOL  อยู่ได้นานไหม?

                          ULTRACOL กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type1 และ Type3 ได้นานถึง 6-8 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลรักษาในแต่ละบุคคล

                          ไหมน้ำ ULTRACOLใช้ระยะเวลานานแค่ไหนกว่าจะเห็นผลลัพธ์?

                          ผลลัพธ์หลังทำ ULTRACOL จะเห็นผลได้ภายในตั้งแต่ 2-4 สัปดาห์ ซึ่งการทำ ULTRACOL ต้องใช้ระยะเวลาในการให้ร่างกายของคนเรากระตุ้นคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้หลังทำ ULTRACOL ผิวหน้าจะดูอ่อนเยาว์ขึ้น ริ้วรอยต่าง ๆ ดูจางลง และยกกระชับเติมเต็มใบหน้าให้ผิวอิ่มฟูขึ้นอีกด้วย

                          ไหมน้ำ ULTRACOL ตอบโจทย์ที่สุดต้องรมย์รวินท์คลินิกเท่านั้น

                          รมย์รวินท์คลินิก เป็นคลินิกที่มากด้วยประสบการณ์ ใช้ยาของแท้ มีคุณภาพปลอดภัย สามารถตรวจสอบได้ และมีทีมแพทย์ผู้ชำนาญการคอยดูแลและให้คำแนะนำปรึกษาแบบ 1:1 ทุกเคส โดยทีมแพทย์มากประสบการณ์ ในด้านการดูแลคนไข้มานานกว่า 21 ปี การันตีด้วยเคสจริง รีวิวจริง และรมย์รวินท์ได้รับความไว้วางใจจากเหล่านักแสดง นางแบบ เซเลป และคนดังมีชื่อเสียงอีกมากมาย 

                           

                          สำหรับใครที่กำลังมีปัญหาผิวหน้า สามารถเข้ามาประเมินปัญหาของผิวหน้า เบื้องต้นกับทางแพทย์ประจำรมย์รวินท์คลินิกทุกสาขาใกล้บ้านคุณได้เลยค่ะ เพราะที่รมย์รวินท์คลินิก นอกจากหัตถการไหมน้ำ ULTRACOL เรายังมีหัตถการโปรแกรมด้านอื่น ๆ ให้บริการโดยแพทย์ผู้ชำนาญการที่มากประสบการณ์ เพื่อตอบโจทย์ทุกปัญหาผิวและทุกไลฟ์สไตล์ของคุณค่ะ

                          Radiesse คืออะไร ? ข้อควรรู้ก่อนฉีด

                          Radiesse

                          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                            วันที่สะดวกในการติดต่อ




                            เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว


                            Radiesse งานผิวคุณภาพดีด้วย BIOSTIMULATOR

                            ผิวพรรณมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและ อายุที่เพิ่มมากขึ้น โดยมีสาเหตุมาจากคอลลาเจนในผิวที่ลดลง และเมื่อมีอายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนมาทดแทนได้น้อยลง ส่งผลให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ตามมา แน่นอน ว่าด้วยสภาพผิวที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เรื่องของงานผิวและการดูแลตัวเองเป็นกระแส และได้รับความนิยมมาโดยตลอดระยะเวลาแบบไม่มีความลดลง เนื่องจากปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอยล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ต้องการ

                            ซึ่งวิธีการดูแลผิวของแต่ละคน ก็จะมีตัวเลือกแตกต่างกันออกไป เช่น บางคนเลือกจัดตาราง Skincare Rountine เพื่อการบำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพ หรือบางคนเลือกปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำ แต่ด้วยมลภาวะที่ส่งผลกระทบกับผิวและปัจจัยต่าง ๆ วิธีการเหล่านี้อาจจะได้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างช้า จึงมีตัวเลือกพิเศษ อย่างการทำหัตถการงานผิวคุณภาพดีด้วย Radiesse

                            Radiesse เป็นนวัตกรรมแห่งยุค ที่ช่วยตอบโจทย์ด้านการแก้ปัญหาผิวที่หย่อนคล้อยตามอายุ ริ้วรอยแห่งวัย อีกทั้งยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิวอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ แถมยังสามารถดูแลตัวเองด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งการเอาใจใส่สุขภาพของตัวเอง ควบคู่กับการประโลมผิวด้วยสกินแคร์เป็นประจำ ยิ่งช่วยให้ผลลัพธ์งานผิวจากการฉีด Radiesse มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

                            Radiesse มีความแตกต่างจากงานผิวประเภทอื่น ๆ คือ  Radiesse จะไม่ได้มีส่วนประกอบหลักเป็น HA หรือ Hyalilonic acid แต่ Radiesse จะเป็น Biostimulator แทน สำหรับคนที่พึ่งเคยค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ Radiesse หรืออยากทราบข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติม สามารถเริ่มอ่านรายละเอียดต่าง ๆ ได้ตามหัวข้อภายในบทความนี้เลยรวมข้อมูลครบจบ Radiesse คืออะไร ?

                            Radiesse คืออะไร ? เป็นคำถามที่หลายคนอาจจะเคยค้นหาบนอินเทอร์เน็ต เพื่อหาข้อมูลก่อนทำหัตถการกับคลินิก ซึ่งจริง ๆ แล้ว Radiesse คือ Biostimulator สารที่ฉีดเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนภายในร่างกาย โดยสารดังกล่าวผลิตมาจาก แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทด์ หรือ Calcium Hydroxylapatite Microsphere หรือที่หลายคนมักจะเรียกกันอย่างติดปากว่า CaHA

                            CaHA (Calcium Hydroxylapatite microsphere) เป็นสารที่กระบวนการของร่างกาย สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ โดยสารดังกล่าวสามารถพบได้ที่บริเวณเนื้อเยื่อกระดูก แต่ Radiesse จะไม่ได้ดึงเอา CaHA จากร่างกายโดยตรง จะเป็นการสังเคราะห์ขึ้นมาแทน โดยมีการเทสแล้วว่า CaHA ที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมา ไม่ทำให้ร่างกายเกิดอาการแพ้แ ละสามารถเข้ากับร่างกายได้เป็นอย่างดี จึงนำมาเป็นสารที่ใช้ในการเป็นส่วนประกอบสำหรับ Radiesse

                            Radiesse ถูกคิดค้นขึ้นมา เพื่อจัดการกับปัญหาผิวที่เสื่อมสภาพไปตามวัย เนื่องจากปริมาณคอลลาเจนในร่างกายที่ค่อย ๆ น้อยลงสวนทางกับอายุและริ้วรอยที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งการฉีด Radiesse จะช่วยแก้ปัญหาผิวต่าง ๆ ลงลึกถึงโครงสร้างผิวและเป็นสารเติมเต็มผิว ทำให้ผิวอิ่มฟู กระตุ้นคอลลาเจน ผิวอิ่มน้ำ ด้วยการแก้ปัญหาผิวแบบองค์รวมทำให้งานผิวด้วย Radiesse ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี

                            หลักการทำงานของ Radiesse - Biostimulator

                            หลักการทำงานของ Radiesse นวัตกรรม Biostimulator มีการทำงานเป็นอย่างไร ทำไมถึงช่วยฟื้นฟูสภาพผิว และลดริ้วรอยความหย่อนคล้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                            Radiesse มีหลักการทำงานที่จะเข้าไปกระตุ้นระบบการทำงานของ ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดในการสร้างคอลลาเจนภายในร่างกายและผิว โดยสารที่เป็นองค์ประกอบหลักอย่าง CaHA ก็เป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนผิวบริเวณที่ฉีด Radiesse ทำให้ใต้ชั้นผิวบริเวณดังกล่าวมีการผลิตคอลลาเจนมากขึ้น ทำให้โครงสร้างผิวมีความแข็งแรงทดแทนคอลลาเจนที่เสียไปตามช่วงอายุ จึงเป็นผลลัพธ์ของงานผิวคุณภาพด้วย Radiesse

                            ความสำคัญของ Radiesse และส่วนประกอบหลักของ CaHA คือ ประสิทธิภาพด้านการฟื้นฟูผิวจากริ้วรอยและความหย่อนคล้อยที่มาพร้อมกับวัยที่เปลี่ยนไป โดยสารกระตุ้นจาก Radiesse จะช่วยเพิ่มคอลลาเจนและอีลาสติน ส่งผลให้ผิวฟื้นฟูได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะคอลลาเจนเป็นเส้นใยที่มีอยู่ภายในผิวอยู่แล้ว Biostimulator ทำหน้าที่เป็นสารกระตุ้นการทำงานทำให้งานผิวมีประสิทธิภาพ

                            ประสิทธิภาพและผลลัพธ์ของ Radiesse

                            Radiesse มีผลลัพธ์ที่ยาวนานได้มากสุดถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยประสิทธิภาพของ Biostimulator และ  Radiesse นับว่ามีประสิทธิภาพด้านการฟื้นฟูสภาพผิวและจัดการกับปัญหาริ้วรอยแห่งวัย โดยประสิทธิภาพการทำงานของ  สามารถ สรุปออกมาได้ดังนี้

                            Radiesse

                            •  Radiesse กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Collagen type I : ประสิทธิภาพของ Biostimulator ช่วยกระตุ้น Collagen type I มากถึง 150% ซึ่งช่วยทำให้โครงสร้างของผิวแข็งแรง ผิวหน้าได้รับการปกป้องจากรอยย่นผิวหย่อนคล้อย
                            •  Radiesse กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Collagen type III : กระตุ้นการสร้าง Collagen Type III มากถึง 130% ซึ่งส่งผลให้ผิวหน้าเงามีวอลลุ่ม ริ้วรอยจางลง
                            • Radiesse ช่วยเพิ่มอีลาสติน (Elastin) : ทำให้ปริมาณอีลาสตินมากขึ้นถึง 260% เสริมผิวจนเด้ง มีความยืดหยุ่น
                            •  Radiesse ช่วยเสริมสร้างโปรตีโอไกลแคน (Proteoglycan) : ช่วยให้ผิวอุ่มน้ำและคงความชุ่มชื้น ส่งผลให้ผิวมีความอ่อนเยาว์กักเก็บความชุ่มชื้นของผิวไว้
                            •  Radiesse กระตุ้นระบบการทำงาน Angiogenesis : เสริมสร้างหลอดเลือดเล็กและกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด ช่วยให้สารอาหารสามารถถูกลำเลียงไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิว ส่งผลให้ผิวมีสารอาหารหล่อเลี้ยงแลดูสุขภาพดี

                            ก่อนเลือก Radiesse มีข้อมูลไหนที่ควรรู้อีกบ้าง ?

                            สำหรับครั้งแรกที่พึ่งเลือกทำหัตถการ ไม่ว่าจะเป็น Radiesse หรือโปรแกรมงานผิวอื่น ๆ ก็ต้องพิจารณาข้อมูลต่าง ๆ อย่างถี่ถ้วน ก่อนตัดสินใจเลือก Radiesse เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและเลือกโปรแกรมงานผิวที่ได้ผลลัพธ์เหมาะสมกับตัวเองที่สุด

                            Radiesse

                            ผลลัพธ์ของ Radiesse ส่งผลอย่างไรกับงานผิว

                            การทำงานของ Radiesse Biostimulator มอบผลลัพธ์งานผิวที่ดีกว่าเดิมถึง 3 ประการหลัก ซึ่งสามารถสรุปออกมาได้ 3 คำ คือ Younger, Healthier, Longer

                            • Younger : เห็นผลชัดเจนว่าผิวมีความอ่อนเยาว์ งานผิวเด็กคุณภาพดี
                            • Healthier : ยกระดับผิวสุขภาพดี เจอมลภาวะมามากแค่ไหนก็ไม่หวั่น
                            • Longer : ผลลัพธ์งานผิวที่ยาวนาน ผิวเด็ก สุขภาพดีได้นานยิ่งขึ้น

                            Radiesse ทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับใครบ้าง ?

                            ถึงแม้ว่าจะมีวิธีการดูแลผิว หรืองานผิวด้วยหัตถการต่าง ๆ แต่ Radiesse Biostimulator ยังคงได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ เนื่องจากประสิทธิภาพการรักษาที่ตอบโจทย์งานผิวคุณภาพดีแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้อย่างตรงจุด จึงมีหลายคนที่อยากฉีด Radiesse แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่า Radiesse จะเหมาะกับตัวเองไหม สามารถ เช็กตัวเองได้ที่หัวข้อนี้เลย

                            •  Radiesse เหมาะสำหรับคนที่มีผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามวัย หรือมีปัญหาผิวเสื่อมสภาพ โดยที่มีเงื่อนไข คือ อยากได้ผลลัพธ์ตั้งแต่ที่ฉีด  Radiesse ครั้งแรก และผลลัพธ์ที่ออกมาเร็วกว่าการดูแลตัวเอง หรือสามารถดูแลตัวเองควบคู่ไปด้วยเพื่อประสิทธิภาพงานผิวที่ดียิ่งขึ้น
                            •  Radiesse เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัดเจน อยากมีผิวอ่อนเยาว์ ใบหน้ากระชับยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาการผ่าตัด
                            •  Radiesse เหมาะสำหรับคนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ที่ต้องการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ร่องลึก และเติมเต็มคอลลาเจนในระยะยาว

                            Radiesse

                            แล้ว Radiesse ไม่เหมาะสำหรับใครล่ะ ?

                            เนื่องจากการรักษาริ้วรอย และผิวหย่อนคล้อยด้วย Biostimulator ผ่านหัตถการ Radiesse ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน จะมีบางกรณีที่การทำ  Radiesse อาจส่งผลกระทบหรือก่อให้เกิดอันตรายได้ เพราะปัจจัยทางร่างกายที่มีตัวแปรสำคัญ ทำให้คนที่จะฉีด Radiesse ควรจะพิจารณาข้อมูลตรงนี้อย่างถี่ถ้วน หรือมีการสอบถามแพทย์ที่คลินิกก่อนเลือกฉีด Radiesse

                            คนที่เหมาะสำหรับ Radiesse เพื่องานผิวคุณภาพดีจะต้องไม่มีคุณสมบัติดังนี้

                            • สตรีมีครรภ์และสตรีที่อยู่ในภาวะที่ต้องให้นมบุตรเป็นประจำไม่ควรฉีด Radiesse
                            • คนที่มีอาการแพ้ส่วนประกอบของสารที่ใช้ในการฉีด Radiesse
                            • คนที่มีอาการอักเสบบริเวณผิวหนัง หรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดคีลอยด์บริเวณผิวหนัง
                            • คนที่มีอาการของโรคที่ส่งผลให้เลือดออกง่ายไม่เหมาะกับการฉีด Radiesse

                            ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีด Radiesse

                            หลังจากฉีด Radiesse ลองสำรวจร่างกายและบริเวณที่ฉีด Radiesse เพื่อตรวจสอบผลข้างเคียงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับเรา โดยผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยจากการฉีด Radiesse ก็จะมีดังนี้

                            • รอยแดง รอยเข็ม หรือรอยเขียวที่เหมือนผิวช้ำ เป็นอาการที่สามารถพบได้ทั่วไป โดยปกติแล้ว อาการเหล่านี้จะหายไปหลังจากผ่านไป 2-3 วัน แต่หากอาการไม่ดีขึ้นหลังจากนั้นรีบติดต่อแพทย์ทันที
                            • อาการปวดบริเวณรอยเข็มที่ทำการฉีด Radiesse หากมีอาการแบบนี้สามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการดังกล่าวได้
                            • แต่หากฉีดแล้วมีอาการผิดปกติอย่างรุนแรง เช่น ผิวเปลี่ยนสี ผิวซีด มีรอยแดงและอาการปวดที่รุนแรงผิดปกติ แนะนำให้รีบติดต่อแพทย์เฉพาะทางเพื่อหาทางรักษาทันที

                            วิธีการเตรียมตัวและดูแลตัวเองก่อนฉีด Radiesse และหลังฉีด Radiesse

                            หากต้องการฉีด Radiesse อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรทราบ คือ วิธีการเตรียมตัวก่อนทำและการดูแลตัวเองหลังฉีด Radiesse เนื่องจากขั้นตอนเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่ควรทำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและเป็นการดูแลตัวเองเพื่อคงผลลัพธ์การรักษาให้ออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด ยิ่งพึ่งเคยฉีด Radiesse เป็นครั้งแรก ยิ่งควรศึกษาข้อมูลตรงนี้เอาไว้เลย

                            การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนฉีด Radiesse

                            Radiesse สามารถช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และฟื้นฟูสภาพผิวให้มีความอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น แต่ก่อนฉีด Radiesse ก็ควรจะมีการเตรียมตัวเสียก่อน สำหรับคนที่อยากได้งานผิวดี ก็ต้องมีการเตรียมตัวก่อนฉีดเพิ่มคอลลาเจนและอีลาสตินดังนี้

                            • หากมีโรคประจำตัว, ประวัติการรักษาโรคต่าง ๆ รวมถึงประวัติการแพ้ยา ควรแจ้งให้ทางคลินิกที่เข้ารับการฉีด Radiesse ทราบเพื่อป้องกันอันตรายจากการแพ้ยาหรือผลกระทบต่ออาการของโรค
                            • ยากลุ่มที่มีฤทธิ์ส่งผลต้านอาการอักเสบ, วิตามิน, อาหารเสริม และยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด ยาและวิตามินอาหารเสริมเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรงดก่อนมาฉีด Radiesse
                            • งดการขัดผิวสครับผิวก่อนมาฉีด Radiesse เพราะจะส่งผลต่อการผลัดเซลล์ผิว รวมถึงการทาครีมบำรุงสกินแคร์ต่าง ๆ ที่มีส่งผลต่อการผลัดเซลล์ผิว เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของ Retinol
                            • ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือการสูบบุหรี่ก่อนมาฉีด Radiesse

                            การดูแลตัวเองหลังฉีดRadiesse

                            หลังจากฉีด Radiesse และเห็นผลลัพธ์ ความเปลี่ยนแปลงของผิวหน้าแล้ว อันดับต่อมาก็จะเป็นขั้นตอนที่ต้องคอยดูแลตัวเอง เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงหรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีด Radiesse รวมถึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของผลลัพธ์งานผิวอ่อนเยาว์ โดยมีวิธีการดูแลตัวเองฉบับเรียบง่าย ดังนี้

                            • หลังฉีด Radiesse ควรจะดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ จะทำให้ผิวมีความชุ่นชื้นและเป็นการดูแลสุขภาพผิวและสุขภาพกายควบคู่กับการทำหัตถการ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะดียิ่งขึ้น
                            • หลังจากฉีด Radiesse ควรระมัดระวังการนำมือไปสัมผัส แตะ หรือกดบริเวณที่ฉีด  Radiesse เพราะอาจส่งผลต่อการเคลื่อนตัวของสารที่ฉีดเข้าไป หากจะทาครีมหรือสกินแคร์ก็ควรระมัดระวังเรื่องการไปสัมผัสจุดดังกล่าวด้วย
                            • งดการออกไปเดินกลางแดดหรือกิจกรรมที่ต้องไปสัมผัสความร้อนโดยตรง เช่น การรับประทาน อาหารประเภทปิ้งย่างที่ผิวหน้าจะโดนความร้อนตลอด รวมถึงกิจกรรมที่มีการขยับร่างกายหรือออกแรงมาก ๆ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อบริเวณที่ฉีด Radiesse
                            • หลังจากฉีด Radiesse เป็นช่วงที่ควรงดการแต่งหน้าอย่างน้อย 12 ชม. หรือถ้าสังเกตแล้วว่ารอยเข็มบริเวณที่ฉีด  Radiesse ยังไม่หายไปก็ควรจะงดการแต่งหน้าไปก่อน
                            • หลังจากฉีด Radiesse ควรงดการดื่มเครื่องดื่ม ที่มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์
                            • หลังจากฉีด Radiesse ควรหลีกเลี่ยงการทำหัตถการ หรือโปรแกรมที่มีการส่งความร้อนลงมาบนผิว เช่น การเลเซอร์
                            • หากผิวมีอาการบวมหรือลักษณะแดง ๆ แนะนำให้คอยประคบเย็น เพื่อบรรเทาอาการบวมและแดงลง
                            • หากฉีด Radiesse แล้วเกิดมีอาการผิดปกติ หรือผลข้างเคียงต่าง ๆ ควรแจ้งกับทางแพทย์ หรือไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยด่วน

                            ข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Radiesse

                            หลังจากนี้จะเป็นรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Radiesse เพื่อช่วยเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับ Radiesse ให้มากขึ้น โดยจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับบริเวณที่สามารถฉีด Radiesse และขั้นตอนการฉีด Radiesse

                            ตำแหน่งใดบ้างที่สามารถฉีด Radiesse ได้

                            1. Middle Face หรือบริเวณกลางหน้า บริเวณพวงแก้ม เป็นส่วนที่สามารถฉีด Radiesse โดยบริเวณกลางหน้า เป็นส่วนที่เกิดการยุบตัวของกระดูกและไขมันเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้บริเวณนี้เหมาะกับการฉีด  Radiesse
                            2. Lower Face หรือ บริเวณหน้าส่วนล่าง ซึ่งมักเป็นส่วนที่เกิดการหย่อนคล้อยของผิว ตั้งแต่บริเวณรอบริมฝีปากลงมาจนถึงคาง ทำให้ Radiesse ก็สามารถฉีดบริเวณนี้เพื่อกระชับผิวให้กลับมาอ่อนเยาว์
                            3. ลำคอ ก็เป็นอีกบริเวณที่เรามักพบปัญหาคอเหี่ยว ผิวบริเวณคอย่นลงมาเป็นรอยดูไม่สวยงาม Radiesse ก็สามารถฉีดเพื่อแก้ปัญหารอยยับรอยย่นบริเวณคอได้เช่นกัน
                            4. บริเวณหลังมือ เป็นอีกส่วนที่เมื่ออายุมากขึ้น รอยเหี่ยวรอยย่นของผิวหนัง จะยิ่งปรากฏออกมาชัดเจน หลังมือจึงเป็นอีกบริเวณที่สามารถฉีด Radiesse เพื่อรักษารอยเหี่ยวย่นของผิว

                             Radiesse มีขั้นตอนการทำเป็นอย่างไร ?

                            1. ขั้นตอนแรกจะเป็นการประเมินสภาพผิว เพื่อเป็นการตรวจสอบสุขภาพของผิว ก่อนจะทำการเก็บรวบผมของคนที่มาใช้บริการให้เรียบร้อย ซึ่งเป็นส่วนของการเตรียมความพร้อมก่อนหัตถการ ที่ไม่ควรมีเส้นผมปรกลงมาบริเวณใบหน้า
                            2. หลังจากตรวจสอบ และทำการเก็บผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แพทย์จะทำความสะอาดลงบนผิวหน้า ขั้นตอนนี้จะเป็นการทำเพื่อป้องกันการทำความสะอาดเครื่องสำอางและป้องกันการติดเชื้อ
                            3. หลังจากทำความสะอาดผิวหน้า จะเป็นขั้นตอนการทายาชาหรือฉีดยาชาลงบนผิว เพื่อลดความเจ็บระหว่างฉีด Radiesse
                            4. พอปล่อยทิ้งไว้จนยาชาออกฤทธิ์แล้วก็จะเริ่มทำการฉีด Radiesse ลงบริเวณที่ต้องการรักษาผิวหย่อนคล้อย รอยยับรอยย่นบริเวณลำคอและหลังมือ
                            5. เนื่องจากการฉีด Radiesse อาจส่งผลให้มีเลือดออกมาบริเวณที่ทำ ขั้นตอนสุดท้ายจะเป็นการห้ามเลือดและทำความสะอาดให้เรียบร้อย บริเวณดังกล่าวจะไม่มีคราบเลือดติด

                            นึกถึง Radiesse ต้องที่รมย์รวินท์คลินิก

                            รมย์รวินท์คลินิก มีแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการฉีด Radiesse และมีประสบการณ์ด้านการทำหัตถการมามากกว่า 20 ปี และยังคงพัฒนาการทำหัตถการและความรู้ความสามารถของทั้งทีมแพทย์และพนักงานมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผลิตภัณฑ์และเครื่องหัตถการต่าง ๆ ที่ทางคลินิกนำเข้ามายังเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพและผ่านการรับรองมาตรฐาน จึงสามารถมั่นใจในผลลัพธ์และความปลอดภัยในการฉีด Radiesse และหัตถการอื่น ๆ สำหรับคนที่มีปัญหาผิวหน้าแต่ยังไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไรดี ทางคลินิกพร้อมให้คำปรึกษา และวิเคราะห์ปัญหาผิวให้กับทุกเคส หากสนใจ Radiesse สามารถเดินทางมาที่รมย์รวินท์คลินิกสาขาที่อยู่ใกล้คุณได้แล้ววันนี้

                            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                              วันที่สะดวกในการติดต่อ




                              เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                              ยกกระชับรอบดวงตา ด้วย Ulthera SPT VS Thermage FLX

                              ยกกระชับรอบดวงตา

                              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                วันที่สะดวกในการติดต่อ




                                เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว


                                ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT VS Thermage FLX โปรแกรมไหนดีกว่ากัน

                                เมื่ออายุมากขึ้น นอกจากใบหน้า ที่จะเริ่มมีริ้วรอย และหย่อนคล้อยลงแล้ว รอบดวงตาและผิวรอบดวงตาก็จะเริ่มหย่อนคล้อยและมีริ้วรอยแล้วเช่นกัน แต่ในบางครั้งการมีริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา มักเป็นสิ่งที่เรามองข้าม แต่รู้หรือไม่ว่า เมื่อไหร่ก็ตามดวงตาเราดูแก่ หรือมีอายุ จะส่งผลให้ใบหน้าภาพรวมของเราดูแก่หรือมีอายุตามไปด้วย เนื่องจากดวงตาเป็นจุดจ้องมองที่ทุกคนเวลามองหน้าของเรามักจะมองดวงตาก่อนเป็นอันดับแรก หรือที่เรียกกันว่า Eye contact นั่นเอง จึงส่งผลให้ริ้วรอยต่างๆที่บริเวณดวงตามักจะเด่นกว่าริ้วรอยในส่วนอื่นๆของใบหน้า โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตา นอกจากจะเกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นที่ส่งผลต่อโครงสร้างกระดูก ทำให้กระดูกเบ้าตาทรุดและ ทำให้ผิวสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน จึงทำให้ผิวเกิดความหย่อนคล้อยแล้ว ยังสามารถเกิดจากปัจจัยอื่นๆได้ด้วยเช่น

                                Ulthera SPT VS Thermage FLX 02 scaled

                                ปัจจัยที่ก่อให้เกิดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา

                                • พฤติกรรมในชีวิตประจำวันอาทิ เช่น การขยี้ตา การถูตาบ่อย ๆ
                                • การ พักผ่อนไม่เพียงพอ
                                • การแสดงสีหน้า ต่างๆทั้ง ยิ้ม หัวเราะ ขมวดคิ้ว ร้องไห้
                                • แสงแดด เป็นสิ่งหลักๆที่ทำสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดริ้วรอย เนื่องจากทำให้คอลลาเจนใต้ผิวเสื่อมสลาย

                                นอกจากนี้ยังมีปัญหาต่างๆ รอบดวงตาเช่น ปัญหาถุงใต้ตา ปัญหาเปลือกตาตก ปัญหาคิ้วตก  ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา ปัญหาร่องลึก ปัญหาถุงใต้ตา ปัญหารอยคล้ำรอบดวงตา ที่เป็นปัญหารอบดวงตาที่หนักอกหนักใจที่ต้องแก้ไขโดยโปรแกรมที่สามารถแก้ไขและแนะนำคือโปรแกรม Ulthera SPT  และโปรแกรม Thermage FLX ที่สามารถทำรอบดวงตา และแก้ไขปัญหาได้ดีโดยสองโปรแกรมนี้มีความแตกต่างกันดังนี้

                                ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT หรือ Ultherapy

                                เป็นโปรแกรมที่ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ แบบความถี่สูงและมีความจำเพาะเจาะจงของคลื่น สามารถยิงพลังงานได้อย่างล้ำลึกลงสู่ชั้นผิว โดยมีลักษณะการยิงคลื่นเป็นลักษณะจุดไข่ปลา ที่มีขนาดเล็กเพียง 1 mm เรียงตัวต่อกันเป็นเส้นตรง และปล่อยพลังงานคลื่นความร้อนลงสู่ใต้ชั้นผิวในอุณหภูมิ 60-70°C เพื่อให้เกิดการหดตัวของผิวหนังในบริเวณที่ยิงลงไป เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา ยกกระชับรอบดวงตา รวมทั้งทำบริเวณรอบดวงตาให้เรียบเนียน เหมาะสำหรับผู้ที่มีชั้นไขมันน้อย

                                ยกกระชับรอบดวงตา

                                ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX

                                เป็นโปรแกรมที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุที่มีความถี่สูงที่ชื่อว่า Radio Frequency หรือเรียกโดยย่อว่า  RF  เป็นคลื่นที่มีชนิดคลื่นในรูปแบบขั้วเดียว หรือ Monopolar ในการเป็นตัวส่งพลังงานความร้อน และแรงสั่นสะเทือนจากตัวเครื่องลงสู่ชั้นผิวหนัง โดยจะทำงานกับชั้นผิวหนังแท้รวมทั้งชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เพื่อให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเกิดการหดตัว และสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่

                                Thermage FLX มีอุปกรณ์ ที่ออกแบบมาสำหรับใช้กับบริเวณดวงตาโดยเฉพาะสำหรับป้องกันอันตรายต่อดวงตา มีความปลอดภัยสูงเนื่องจากเป็นโปรแกรมแบบเครื่องชนิดเดียวที่มีอุปกรณ์ป้องกันดวงตาเช่นนี้ นอกจากจะใช้แก้ปัญหารอบดวงตาได้แล้ว ยังสามารถใช้แก้ปัญหาบริเวณเปลือกตาได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย โดย Thermage FLX สามารถใช้ในการ ยกกระชับเปลือกตา แก้ปัญหารอยตีนกา แก้ปัญหาถุงใต้ตาได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีชั้นไขมันเยอะ

                                Ulthera ยกกระชับรอบดวงตา

                                ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT มีหัว Applicator ดังนี้

                                • หัว Ulthera SPT 1.5 mm เป็น Applicator ที่เหมาะสำหรับยกกระชับรอบดวงตาในชั้นหนังกำพร้า ลดริ้วรอยเล็กๆ กระชับผิวหนังในชั้นตื้นๆ เนื่องจากเป็น Applicator ที่ใช้รักษาในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นผิวหนังแท้(Dermis)
                                • หัว Ulthera SPT 3.0 mm เป็น Applicator ที่เหมาะสำหรับยกกระชับรอบดวงตาในชั้นไขมัน (Subcutis) เหมาะสำหรับใช้เพื่อการกระตุ้นคอลลาเจน และลดความหย่อนคล้อย รวมทั้งริ้วรอยบางส่วนในบริเวณรอบดวงตา
                                • หัว Ulthera SPT 4.5 mm เป็น Applicator ที่เหมาะสำหรับยกกระชับรอบดวงตา ในชั้น SMAS หรือที่รู้จักกันในชื่อ Superficial Musculoaponeurotic System  จึงได้ผลลัพธ์ที่ทำให้ผิวหนังรอบดวงตามีความตึง กระชับมากขึ้น

                                Thermage

                                ยกกระชับรอบดวงตาด้วย  Thermage FLX มีหัว TIP  เฉพาะในการรักษาคือ

                                หัว EYE TIP (สีเขียว) ที่มีขนาด 0.25 cm² ที่ช่วยในการ

                                • ยกกระชับรอบดวงตา
                                • ยกกระชับเปลือกตา
                                • ยกกระชับใต้ตา
                                • แก้ปัญหาหนังตาตก
                                • ช่วยยกคิ้วตก

                                ใช้จำนวนช็อตในการยิงประมาณ 450 Shot

                                Ulthera SPT VS Thermage FLX 05 scaled

                                โปรแกรมยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera  SPT ใช้จำนวน ช็อต หรือ ไลน์ จำนวนเท่าไร

                                การยกกระชับรอบดวงตาสามารถจำแนกได้เป็น

                                • ยกคิ้ว
                                • เปิดตาตก
                                • ยกกระชับหางตา
                                • ยกกระชับใต้ดวงตา

                                ทั้ง 4 ส่วนใช้จำนวนช็อต หรือ ไลน์ 100- 300 ไลน์ โดยประมาณ ตามแต่ปัญหาของแต่ละคน

                                ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT  เหมาะกับใคร

                                • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยรอบดวงตา
                                • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ
                                • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหางตาตก
                                • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหนังตาตก
                                • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดทำศัลยกรรมตา
                                • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่มีคิ้วตก ทำให้ตาเปิดได้ไม่สุด
                                • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาใต้ตาหย่อนคล้อย
                                • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตา
                                • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูรอบดวงตา

                                ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX เหมาะกับใคร

                                • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่มีรอยย่นรอบดวงตา
                                • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่หนังตาที่ตก
                                • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่คิ้วตก
                                • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่มีหนังตาตก
                                • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่หนังตาหย่อนคล้อย
                                • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่ต้องการคืนความสดใสให้ดวงตา
                                • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่ชั้นตาหลบใน
                                • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่มีไขมันที่เปลือกตาและรอบดวงตามา
                                • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่มีหนังตาเยอะ
                                • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการทำศัลยกรรมตา
                                • ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX  เหมาะกับผู้ที่มีถุงใต้ตา

                                ผลลัพธ์ของการยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera

                                • จะทำให้ปัญหาถุงใต้ตาลดลง กระชับมากยิ่งขึ้น
                                • ช่วยในการยกคิ้วที่ตกให้ยกขึ้น
                                • ช่วยยกหางตาให้ชี้ขึ้น
                                • ทำให้มองเห็นชั้นตาได้มากขึ้น
                                • ช่วยทำให้ริ้วรอยในบริเวณรอบดวงตา ลดลงและจางลง
                                • ทำให้ผิวหนังบริเวณรอบดวงตามีความเรียบเนียนมากขึ้น
                                • ทำให้ภาพรวมของดวงตาดูสว่างสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้นกว่าเดิม

                                ผลลัพธ์ของการยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX 

                                • จะทำให้ปัญหาถุงใต้ตาที่เกิดจากไขมันลดลง
                                • ริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาจะดีขึ้น มีความตื้นขึ้น
                                • รอยย่นรอบดวงตาจะตื้นขึ้น กระชับขึ้น
                                • เปลือกตา ที่เคยย่น ในบางทีอาจทำให้ปิดตาจะมีความตึงกระชับ และเรียบเนียนมากขึ้น
                                • ทำให้ดวงตาภาพรวมดูอ่อนเยาว์มากขึ้น
                                • ทำให้ผู้ที่มีชั้นตาหลบใน ดูมีชั้นตาที่ชัดมากขึ้น
                                • ช่วยเปิดตาและยกคิ้วให้สดใสมากขึ้น

                                ยกกระชับรอบดวงตา
                                โปรแกรมยกกระชับรอบดวงตาโปรแกรมไหนดีกว่ากัน ?

                                ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT กับ Thermage FLX เลือกแบบไหนดี ?

                                • ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคลที่ต้องการยกกระชับรอบดวงตาว่าปัญหาที่เกิดนั้นเป็นปัญหาที่ชั้นกล้ามเนื้อ หรือชั้นไขมัน เพราะทั้งสองโปรแกรมเป็นโปรแกรมยกกระชับริบดวงตาที่ดีทั้งคู่ แต่มีจุดเด่นในการรักษาที่แตกต่างกัน และโฟกัสที่ชั้นผิวหนังที่ต่างกัน

                                โดยยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เป็นการใช้พลังงานที่มีจุดโฟกัสของพลังงานเป็นเส้นใหญ่โดยการส่งพลังงานไปสู่ผิวหนังในชั้น smas และยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่มีไขมันบริเวณรอบดวงตาน้อย

                                Thermage FLX ยกกระชับรอบดวงตานั้น จะเป็นการส่งพลังงานเป็นก้อนที่มีพลังงานขนาดใหญ่โดยโปรแกรมนี้จะเน้นในด้านการลดไขมัน จึงเหมาะกับผู้ที่รอบดวงตามีไขมันหนา หนังตาตกจากไขมัน ตาห้อย ตาย้อยจากไขมัน เป็นต้น

                                ยกกระชับรอบดวงตาอยู่ได้นานแค่ไหน

                                ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera อยู่ได้นานแค่ไหน

                                • โดยประมาณแล้วการยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera  จะสามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแล และสภาพผิวของแต่ละบุคคล

                                ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX อยู่ได้นานแค่ไหน

                                • การยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX จะสามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแล และสภาพผิวของแต่ละบุคคล

                                ระยะเวลาเห็นผลหลังทำยกกระชับรอบดวงตา

                                ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT

                                • หลังทำโปรแกรมยกกระชับรอบดวงตา Ulthera SPT  จะสามารถเห็นผลได้ทันทีตั้งแต่ครั้งแรกหลังทำเลยประมาณ 30% จากภาพรวม และจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆใน 1-2 เดือน และ 2-3 เดือน จะเห็นผลลัพธ์ที่เจนมากที่สุด  อันเกิดจากการที่คอลลาเจนที่สร้างขึ้นใหม่บริเวณใต้ชั้นผิวเริ่มทำงาน

                                ยกกระชับรอบดวงตาด้วย Thermage FLX 

                                • หลังทำโปรแกรมยกกระชับรอบดวงตา Thermage FLX   จะสามารถเห็นผลได้ทันทีหลังทำครั้งแรกจากภาพรวมประมาณ  20-30%  และจะสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้มากที่สุดในช่วง 2-3 เดือน โดยจะเห็นผลได้ชัดมากขึ้นเรื่อยๆ

                                ยกกระชับรอบดวงตาใช้ระยะเวลาในการทำต่อครั้งนานเท่าไร

                                • ทั้งสองโปรแกรมยกกระชับรอบดวงตา ใช้ระยะเวลาในการทำต่อครั้งประมาณ 45 – 60 นาที หากต้องการทายาชาอาจจะเพิ่มระยะเวลาในการทำมากขึ้น ตามระยะเวลาการแปะยาชา

                                อายุเท่าไรถึงทำโปรแกรมยกกระชับรอบดวงตาได้

                                • ปัญหารอบดวงตามีมากมายที่สร้างความกังวล โดยมีโอกาสเกิดปัญหารอบดวงตาได้ตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป ทั้งสองโปรแกรม อันเกิดจากพฤติกรรมต่างๆและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของแต่ละคน ก็สามารถทำได้ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกโปรแกรมยกกระชับและแก้ปัญหารอบดวงตาที่เหมาะสมกับปัญหาให้มากที่สุด

                                โดยสามารถทำโปรแกรมยกกระชับรอบดวงตาได้ทั้งสองโปรแกรม เนื่องจากทั้งสองพลังงานส่งผลในการรักษาและใช้ในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน หากต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุด สามารถทำทั้งสองโปรแกรมควบคู่กันไปได้ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ที่ทำการรักษาเพื่อประเมินการรักษารวมถึงแก้ไขปัญหาที่บริเวณรอบดวงตาก่อนทำการรักษา

                                ทำไมต้องเป็นโปรแกรมยกกระชับรอบดวงตาด้วย Ulthera SPT  และ Thermage FLX 

                                • เนื่องจากทั้งสองโปรแกรมเป็นโปรแกรมยกกระชับที่นิยมนำมาใช้เพื่อการยกกระชับบริบดวงตา เนื่องจากมีความปลอดภัย มีวิจัยรองรับ ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาจากหลากหลายประเทศทั่วโลก และยังเป็นโปรแกรมยกกระชับที่ได้มาตรฐาน ไม่ทำอันตรายต่อดวงตาและผิวหนังบริเวณใกล้เคียง ผู้เข้ารับบริการสามารถไว้ใจได้

                                ทำไมต้องเป็นโปรแกรมยกกระชับรอบดวงตาที่รมย์รวินท์คลินิก

                                • แพทย์คร่ำหวอดในวงการแพทย์มานาน การันตีด้วยฝีมือ
                                • มีเครื่องโปรแกรมยกกระชับรอบดวงตาทั้งสองโปรแกรมเตรียมพร้อมในการรองรับผู้เข้ารับบริการ
                                • แพทย์สามารถประเมินปัญหา ได้อย่างตรงจุด
                                • เป็นคลินิกเสริมความงามที่ได้มาตรฐาน มีความสะอาด
                                • มีรางวัลการันตีจากโปรแกรมยกกระชับทั้งสองโปรแกรม
                                • แพทย์ผ่านการทำการรักษาคนไข้มาแล้วมากมาย
                                • สะดวกสบายในการเดินทาง
                                • เปิดมาแล้วยาวนานกว่า 21 ปี ดูแลรักษาเคสมาแล้วมากมาย
                                • มีเคสรีวิวจริงเชื่อถือได้

                                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                  วันที่สะดวกในการติดต่อ




                                  เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                                  Oligio VS Thermage FLX โปรแกรมไหนที่เหมาะสำหรับเรา

                                  Oligio vs Thermage

                                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                    วันที่สะดวกในการติดต่อ




                                    เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว


                                    ความแตกต่างระหว่าง Oligio และ Thermage FLX

                                    Oligio และ Thermage FLX ต่างก็เป็นหัตถการเสริมความงามที่มีการพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากทั้งสองหัตถการมีความสามารถด้านการยกกระชับผิวอย่างเหนือชั้น ทำให้ทั้ง Oligio และ Thermage FLX เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวหน้าไม่เต่งตึง กรอบหน้าไม่ชัดเจน แล้ว Oligio และ Thermage FLX มีความแตกต่างกันอย่างไร ?

                                    สำหรับคนที่อยากจะยกกระชับผิวสร้างกรอบหน้าที่ชัดเจน คงกำลังพิจารณาความแตกต่างระหว่าง Oligio และ Thermage FLX อยู่ เพราะถึงแม้ว่าทั้งสองจะเป็นโปรแกรมที่มีความสามารถเรื่องการยกกระชับผิวเหมือนกัน แต่ก็มีจุดที่แตกต่างกันอยู่ สำหรับผู้ใช้บริการแล้วทุกคนล้วนอยากเลือกโปรแกรมที่ตอบโจทย์ด้านปัญหาผิวและเหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด รมย์รวินท์คลินิกจึงอยากนำเสนอเกี่ยวกับ Oligio และ Thermage FLX เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับพิจารณาความแตกต่างของทั้งสองโปรแกรม

                                    Oligio vs Thermage

                                    รู้จักกับโปรแกรม “Oligio” และกระบวนการทำงานของโปรแกรม

                                    Oligio เป็นหัตถการเครื่องยกกระชับใหม่ล่าสุดจากประเทศเกาหลีใต้ โดยอาศัยนวัตกรรมคลื่นวิทยุ Monopolar RF ความถี่ 6.78 MHz เข้ามาช่วยยกกระชับและปรับกรอบหน้า โดยส่วนที่พัฒนาเพิ่มเติม คือ การลดความเจ็บปวดระหว่างทำหัตถการ ทำให้เวลาทำจะมีความผ่อนคลายสบายกว่าเครื่องอื่น อีกทั้งยังช่วยลดไขมันบริเวณแก้มและเหนียง ทำให้ Oligio ตอบโจทย์ทั้งสำหรับคนที่อยากมีหน้าเรียวสวย และคนที่กลัวรู้สึกเจ็บระหว่างทำหัตถการ

                                    การทำงานของ Oligio

                                    การทำงานของ Oligio เป็นการนำเทคโนโลยีคลื่นวิทยุ Monopolar RF ความถี่ 6.78 MHz ที่สามารถ ปล่อยคลื่นความลึก 3 mm. ลงไปสู่ชั้นผิวหนังแท้และชั้นไขมันเพื่อยกกระชับผิวหน้า โดยสามารถปรับได้ถึง 3 โหมด ได้แก่ โหมดเดี่ยว โหมดคู่ และโหมดอัตโนมัติ ซึ่งเมื่อยิงลงสู่ชั้นผิวผ่านหัวเข็ม Tips F4.0 สามารถปรับเข้าสู่โหมดอัตโนมัติ เพื่อควบคุมการปล่อยคลื่นพลังงานลงสู่ผิวหนังที่มีความสม่ำเสมอ จึงได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

                                    โดยพลังงานที่ส่งลงไปสู่ชั้นผิวหนัง จะช่วยเพิ่มปริมาณคอลลาเจนที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังอย่างเป็นระบบระเบียบ ผลลัพธ์ของหัตถการจึงออกมาเป็นผิวหน้าที่มีความเต่งตึง มีความยืดหยุ่น และไขมันบริเวณแก้มและเหนียงก็จะลดลงไปจากเดิมที่หน้าดูหย่อนคล้อย มีเหนียงชัด ก็จะมีกรอบหน้าที่ชัดขึ้น เหนียงลดลงนั่นเอง

                                    จุดเด่นของ Oligio

                                    • เครื่องของ Oligio มาพร้อมกับระบบเซนเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิผิว (Skin Temperature Tracking Sensor) เพื่อเป็นการตรวจสอบอุณหภูมิผิวตลอดการทำหัตถการ ร่วมกับระบบ Cryogen Gas ที่เป็นการปล่อยความเย็นมาประโลมผิวก็จะช่วยให้ผลข้างเคียงจากการ Burn และ อาการระคายเคืองลดลง ผู้เข้ารับบริการจะรู้สึกผ่อนคลายบริเวณที่ทำยิ่งขึ้น
                                    • จากระบบ Skin Temperature Tracking Sensor และ Cyrogen Gas ทำให้ Oligio มีความปลอดภัยที่สูงมาก เพราะมีมาตรการรองรับการ Burn ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทำหัตถการ รวมถึงมีการแจ้งเตือนกับทางแพทย์เมื่ออุณหภูมิผิวสูงเกินกำหนด
                                    • เวลาที่ใช้ในการยกกระชับด้วย Oligio จะอยู่ที่ประมาณ 20 – 30 นาที นับว่าเป็นระยะเวลาที่ไม่นานจนเกินไป เมื่อเทียบกับหัตถการยกกระชับอื่น ๆ ที่ใช้เวลาตั้งแต่ 45 – 60 นาทีเลย
                                    • หลังทำ Oligio สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้น
                                    • ไม่ต้องทายาชา สามารถลงมือทำได้เลย

                                    Oligio สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง ?

                                    Oligio เป็นนวัตกรรมยกกระชับ ที่สามารถทำได้เกือบทั่วทั้งใบหน้า โดยบริเวณที่นิยมทำ Oligio อยู่เช่นกัน โดยสามารถเช็กรายละเอียดบริเวณที่นิยมทำหัตถการ Oligio ที่ด้านล่างนี้เลย

                                    • บริเวณกรอบหน้า – ยกกระชับเพื่อสร้างกรอบหน้า
                                    • บริเวณผิวหน้าและรอบดวงตา – ช่วยยกผิวที่หย่อนคล้อย ให้กลับมาเต่งตึง แข็งแรง
                                    • บริเวณแก้ม เหนียง ใต้คาง – ช่วยสลายไขมันทำให้ผิวบริเวณนั้นกลับมายืดหยุ่นและกระชับ
                                    • บริเวณลำคอ – ลดรอยเหี่ยวรอยย่นบริเวณคอ
                                    • หน้าท้องและต้นแขน – สลายไขมันและลดรอยเหี่ยวย่นของผิว บริเวณหน้าท้องและต้นแขน สังเคราะห์คอลลาเจนทำให้ผิวบริเวณนั้นกลับมาเรียบเนียน ช่วยยกกระชับผิว

                                    Oligio vs Thermage

                                    “Thermage FLX FLX” นวัตกรรมยกกระชับและกระบวนการทำงานของโปรแกรม

                                    Thermage FLX FLX นวัตกรรมยกกระชับผิว ด้วยคลื่นวิทยุ Monopolar RF ที่ลงลึกไปถึงผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) จากนั้นคลื่นความร้อนที่ปล่อยลงไปจะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง เมื่อผิวมีจำนวนคอลลาเจนมากขึ้น ก็จะส่งผลให้สุขภาพของผิวเปลี่ยนไปในทางที่ดียิ่งขึ้น จากเดิมที่ผิวหน้ามีริ้วรอย หย่อนคล้อยก็จะเริ่มกลับมาเป็นผิวที่เรียบเนียนกระชับ นับว่าเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมยกกระชับที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้บริการ

                                    การทำงานของ Thermage FLX FLX

                                    หลักการทำงานของ Thermage FLX FLX คือ กระบวนการที่ส่งคลื่นความถี่วิทยุ Monopolar RF ที่ก่อให้เกิดความร้อนลงไปที่ชั้นหนังแท้ (Dermis) ที่อยู่ภายใต้ผิวหนังเพื่อกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดคอลลาเจน ซึ่งส่งผลให้ริ้วรอยจางลง ผิวมีความแข็งแรงยืดหยุ่นและลดการสะสมของไขมัน

                                    แต่ Thermage FLX FLX มาพร้อมระบบที่คล้ายคลึงกับ Oligio คือ ระบบทำความเย็น (Cooling System) ที่ปล่อยออกมาระหว่างกระบวนการทำ Thermage FLX เพื่อทำให้ผิวชั้นบนได้รับความเย็นในระหว่างการลงมือทำ Oligio จึงทำให้ความร้อนจากเครื่องกลายเป็นความรู้สึกอุ่น ๆ สบาย ๆ เวลาทำ Thermage FLX และส่วนสำคัญของระบบ Cooling System คือ ลดการเบิร์นของผิวระหว่างการทำหัตถการ

                                    นอกจากนั้นยังมีเทคโนโลยี AccuREP ที่ช่วยปรับพลังงานให้เหมาะสมกับสภาพผิวตลอดเวลาที่ทำ Thermage FLX ทำให้พลังงานคลื่นวิทยุ Monopolar RF ลงสู่ผิวอย่างสม่ำเสมอ และลดความเสี่ยงจากการเบิร์น เนื่องจากทางแพทย์สามารถตรวจสอบอุณหภูมิระหว่างการทำงานของเครื่อง เพื่อปรับพลังงานให้เหมาะสมกับผิว

                                    จุดเด่นของ Thermage

                                    • Thermage FLX สามารถทำได้ทุกสภาพผิวและทุกสีผิว โดยพลังงานความร้อนจากคลื่นความถี่วิทยุ Monopolar RF สามารถยกกระชับได้ทุกชั้นผิว
                                    • หลังทำ Thermage FLX ไม่มีร่องรอยของแผลหรือการผ่าตัด ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น หลังทำเลยสามารถกลับ ไปทำกิจวัตรต่าง ๆ ได้ตามปกติ
                                    • เห็นผลหลังจากทำ Thermage FLX ทันทีอย่างน้อย 20% และจะเห็นผลชัดเจนหลังจากผ่านไป 2-3 เดือน
                                    • ระยะเวลาการทำ Thermage FLX อยู่ที่ 45-60 นาที ซึ่งถ้าเทียบกับ Oligio แล้ว Thermage FLX อาจจะใช้เวลาทำนานกว่า แต่ Thermage FLX ก็ถือว่าใช้เวลาไม่นาน
                                    • ผลลัพธ์ของการทำ Thermage FLX 1 ครั้ง สามารถอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล แต่เนื่องจากผลลัพธ์ที่อยู่นานถึง 1-2 ปี ทำให้ไม่ต้องทำ Thermage FLX บ่อย ๆ

                                    Thermage FLX สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง ?

                                    ก่อนเลือกทำ Thermage FLX หลายคนน่าจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ Thermage FLX ว่าสามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง ? แล้วคนอื่น ๆ นิยมมาทำ Thermage FLX ที่บริเวณไหน เรื่องนี้ทางรมย์รวินท์คลินิกมีคำตอบให้กับทุกท่าน โดยปกติแล้ว Thermage FLX สามารถทำได้ทุกบริเวณของร่างกาย แต่ก็จะมีบริเวณที่ได้รับความนิยมดังต่อไปนี้

                                    • รอบดวงตา : ช่วยยกกระชับบริเวณรอบดวงตา แก้ปัญหาหนังตาตกและริ้วรอยรอบดวงตา
                                    • ผิวหน้า : ช่วยยกกระชับผิวจากเดิม ที่มีริ้วรอยและความหย่อนคล้อย ผิวหน้าจะกระชับเข้าทรงกับรูปหน้า และช่วยสลายไขมันบริเวณแก้ม ใบหน้าจึงมีความเรียวสวยยิ่งขึ้น
                                    • คอ : บริเวณลำคอที่มีการสะสมของไขมันจำนวนมาก จนเกิดเป็นเหนียงใต้ลำคอ การทำ Thermage FLX จะช่วยสลายไขมันและยกกระชับผิวบริเวณนี้ให้กลับมาเรียบเนียน มีกรอบหน้าชัดเจน
                                    • ร่างกาย : Thermage FLX สามารถทำได้หลากหลายส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นแขน, หน้าท้อง, สะโพก, ต้นขา หรือบริเวณที่มีความหย่อนคล้อย Thermage FLX ก็สามารถยกกระชับให้ผิวกลับมาเรียบเนียน ไม่มีร่องรอยของความหย่อนคล้อยและไขมันออกมาให้เห็น

                                    Oligio vs Thermage

                                    ระหว่าง Oligio และ Thermage FLX มีความแตกต่างกันอย่างไร ?

                                    เวลามาใช้บริการที่รมย์รวินท์คลินิก เกี่ยวกับโปรแกรมยกกระชับ ทางคลินิกก็จะมีโปรแกรมตัวเลือกหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น Oligio หรือ Thermage FLX ในฐานะของผู้ใช้บริการสิ่งสำคัญที่ควรรู้ก่อนเดินเข้ามาที่รมย์รวินท์คลินิก คือ ความแตกต่างระหว่างทั้งสองโปรแกรม ซึ่งข้อมูลตรงส่วนนี้จะช่วยให้เราเข้าใจความแตกต่างระหว่างทั้งสองโปรแกรมและสามารถเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมกับตัวเองได้

                                    หากไม่แน่ใจว่าควรเลือกทำโปรแกรมไหน อีกหนึ่งทางออก คือ การสอบถามแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิกได้เลย ทางรมย์รวินท์คลินิกสามารถให้คำปรึกษาเรื่องหัตถการได้ แต่การที่เราทราบข้อมูลเกี่ยวกับหัตถการทั้งสอง ก่อนเข้ามาที่คลินิกก็จะเป็นประโยชน์ต่อการเลือกทำโปรแกรมยกกระชับเช่นกัน เพราะฉะนั้นมาดูข้อแตกต่างกัน แล้วค่อยเลือกว่าจะทำ Oligio ดีหรือไม่

                                    Oligio มีระบบทำความเย็น (Cooling System) ที่ตอบโจทย์สำหรับคนกลัวเจ็บมากกว่า

                                    ถึงแม้ว่าหัตถการทั้งสองจะมีผลลัพธ์ที่ดีเหมือนกัน แต่ระบบทำความเย็น (Cooling System) ของ Oligio ทำออกมาตอบโจทย์คนที่กลัวความเจ็บได้เป็นอย่างดี Cyrogen Gas ที่ปล่อยออกมาจะช่วยทำให้บริเวณผิวที่ทำ Oligio รู้สึกเย็น ไม่เจ็บผิวและไม่เกิดการไหม้บริเวณผิว ส่วนของ Thermage FLX จะเป็นระบบปล่อยความเย็นที่ช่วยลดอาการแสบร้อนได้บ้าง แต่ผลลัพธ์ด้านการบรรเทาความเจ็บปวดและการเบิร์นไม่เท่า Oligio

                                    ระยะเวลาของการทำหัตถการด้วย Oligio รวดเร็วกว่า

                                    ถึงแม้ว่าเครื่อง Thermage FLX จะใช้เวลาทำเพียง 45-60 นาที Oligio กลับใช้เวลาในการทำน้อยกว่า เพียง 20-30 นาที ซึ่งนับว่าใช้เวลาน้อยกว่าพอสมควร ทำให้ Oligio มีจุดเด่นเรื่องระยะเวลาที่ใช้น้อยลงกว่าการทำ Thermage FLX เมื่อเทียบกับจำนวนช็อตเท่ากัน ดังนั้น Oligio จึงตอบโจทย์เรื่องความเร่งรีบมากกว่า หากไม่ค่อยมีเวลามาทำหัตถการนาน ๆ

                                    Oligio มาพร้อมหัวทิปที่ดีกว่าและมีโหมดที่สามารถปรับได้ถึง 3 โหมด

                                    หัวทิปของ Oligio มีเซนเซอร์สำหรับตรวจจับอุณหภูมิ เมื่อตรวจพบบริเวณที่อุณหภูมิสูงกว่าที่กำหนด ระบบจะหยุดการทำงานเพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าบริการ รวมถึงมีโหมดที่สามารถปรับได้ถึง 3 โหมด ได้แก่ โหมดเดี่ยว, โหมดคู่ และโหมดอัตโนมัติ ซึ่งช่วยควบคุมพลังงานความร้อนที่ปล่อยลงผิวได้อย่างพอดี Oligio จึงช่วยลดการเบิร์นของผิวได้อย่างเห็นผล และมีการกระจายพลังงานที่ดีกว่า Thermage

                                    ไม่ว่าจะเป็น Oligio หรือ Thermage FLX ที่รมย์รวินท์คลินิกก็พร้อมให้บริการ

                                    สำหรับคนที่อยากมีผิวที่กระชับเรียบเนียน มีกรอบหน้าเป็นทรงสวยชัดเจน สามารถมาบอกลาริ้วรอยความหย่อนคล้อยได้ที่รมย์รวินท์คลินิก ซึ่งทางคลินิกมีโปรแกรมที่ช่วยจัดการกับปัญหาผิวและยกกระชับหลากหลายทางเลือก ไม่ว่าจะเป็น Oligio เครื่องยกกระชับผิวส่งตรงจากเกาหลีใต้, Thermage FLX โดยสำหรับคนที่สนใจสามารถอ่านรีวิว Oligio หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขา

                                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                      วันที่สะดวกในการติดต่อ




                                      เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                                      ดับร้อนผิวด้วย COLOR ICE

                                      COLOR ICE

                                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                        วันที่สะดวกในการติดต่อ




                                        เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว


                                        ดับร้อนผิวด้วย COLOR ICE

                                        แม้จะผ่านพ้นหน้าร้อนไปหมาด ๆ ประเทศไทยก็ยังคงความเป็นประเทศเขตร้อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยฝนที่ตกมานับครั้งได้ ! แต่อากาศเนี่ยร้อนทุกวี่ทุกวันกะไม่ให้ผิวสวย ๆ ได้พักเล้ยย เรียกได้ว่าหน้าฝนที่ประเทศไทยก็เป็นเพียงหน้าร้อนที่มีฝนตกพอเป็นพิธี นอกนั้นก็เจอแต่กับแดดและไอความร้อนตลอด แถมอุณหภูมิยังพุ่งไปเหยียบ 37 °C เป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว ด้วยเหตุนี้เองปัญหาผิวจึงกลับมาก่อกวนเราอีกครั้ง

                                        จากช่วงเวลา 7 วันที่ผ่านมาประเทศไทยยังคงท็อปฟอร์มเรื่องอุณหภูมิโดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 34-37 °C ช่วงกลางวัน และ 27-30 °C ช่วงเวลากลางคืน และแน่นอนว่าไอความร้อนจากอุณหภูมิที่สูงขนาดนี้ส่งผลกระทบกับผิวของเราพอ ๆ กับแสงแดดเลย แปลว่าแม้จะหลบภายในห้องก็ยังไม่วายต้องเผชิญกับปัญหาผิวเสียจากอากาศที่ร้อนจัดพอผนวกกับแสงแดดที่สาดส่องลงมาไม่พักเวลาออกไปข้างนอกบอกเลยงานนี้มีแต่พังกับพัง !

                                        หากอยากรักษาผิวสวย ๆ ให้รอดพ้นจากอากาศร้อนก็ต้องมีเคล็ดลับวิธีรับมือกับปัญหาผิวต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นช่วงที่อากาศร้อน ถึงจะบอกว่าเป็นแผนรับมือสำหรับช่วงอากาศร้อนแต่โชคชะตาช่างเล่นตลกอยู่เสมอ ประเทศไทยดันมีแต่ช่วงที่อากาศร้อน ร้อนมาก ร้อนสุด ๆ เรียกได้ว่าถ้าอยากเอาตัวรอดจากอากาศร้อนที่ประเทศไทยก็ต้องมีการเตรียมตัวกันเยอะหน่อย 

                                        ซึ่งไอความร้อนที่เจอทุกวันนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เนื่องจากกิจวัตรประจำวันของคนปกติทั่วไปทั้งวัยเรียนและวัยทำงานล้วนมีช่วงที่ต้องออกมาเผชิญหน้ากับแสงแดดและไอความร้อนอยู่เสมอ และช่วงเวลาที่สัมผัสกับไอร้อนเพียงนิดเดียว ผิวก็สามารถเกิดการแห้งเสียและมีปัญหาผิวอื่น ๆ มาตามราวี ไม่ว่าจะเป็นสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ สารพัดปัญหา วันนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงอยากมาแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับอากาศร้อนและเคล็ดลับเอาตัวรอดจากอากาศร้อนกับ COLOR ICE นวัตกรรมแสง LED ที่ช่วยจัดการกับผิวเสีย

                                        ถึงแม้ว่า COLOR ICE จะไม่ได้มาเป็นตัวช่วยเรื่องอากาศที่ร้อนขึ้นทุกวัน แต่ COLOR ICE ยังคงมีประสิทธิภาพด้านการบำรุงผิวด้วยการเติมวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพผิว และช่วยจัดการ กับปัญหาผิวที่มักพบเจอได้บ่อย ๆ ในช่วงหน้าร้อน ทำให้ COLOR ICE เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมทั้งด้านผลลัพธ์ที่ออกมาแล้วตอบโจทย์ด้านฟื้นฟูผิวเสีย ทั้งด้านการทำงานของโปรแกรมที่เป็นนวัตกรรมแสง LED รวมเข้ากับความเย็นที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับวิตามิน โดยปัญหาสุขภาพผิวที่มักพบเจอช่วงที่อากาศร้อน ก็จะมีดังนี้

                                        COLOR ICE

                                        จริงมั้ย ? อากาศร้อนทำร้ายผิวไม่แพ้แดดเลย ?

                                        เคยสงสัยกันบ้างมั้ย ? เวลาออกไปเดินข้างนอกแดดร้อน ๆ แต่กางร่มแล้วผิวก็ยังคงไม่วายมีรอยแดง รอยดำ เกิดฝ้าขึ้นมาอีก นั่นก็เป็นเพราะว่าอากาศร้อนส่งผลกระทบต่อต่อมเหงื่อ ทำให้เกิดการขับน้ำออกมาตามต่อมเหงื่อพร้อมด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ซึ่งส่งผลให้ผิวแห้งและอักเสบได้ง่าย รูขุมขนเกิดการขยายออกกว้างเพื่อขับความร้อนออกมาส่งผลให้ผิวเสีย รูขุมขนกว้าง ผิวแห้งกร้าน ผิวหมองคล้ำไม่แพ้การตากแดดเลย

                                        ยังไม่พอบางคนกางร่มก็อาจจะพอช่วยกันแดดได้บ้าง แต่สำหรับคนที่ทำงานกลางแจ้งหรือต้องออกเดินกลางแดดและความร้อน บอกเลยว่าผิวพังยิ่งกว่าเดิม เพราะได้รับทั้งรังสี UV และ ถูกไอความร้อนกระตุ้นการทำงานของต่อมเหงื่อ ผิวยิ่งแสบและอักเสบยิ่งกว่าเดิม 

                                        และบอกเลยว่ากิจกรรมของคนวัยเรียนและวัยทำงานหลาย ๆ ท่านก็ยากที่หลีกเลี่ยงไอความร้อน ยกตัวอย่างที่เห็นแบบชัด ๆ เลย คือ การเข้าแถวหน้าเสาธง เด็กนักเรียนมักจะได้ยืนตากแดดและรับไอร้อนอย่างเต็มที่ นับว่าเป็นกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดผิวแห้งเสีย แต่จะหลีกเลี่ยงการเข้าแถวกลางแจ้งก็ไม่สามารถทำได้ เช่นเดียวกับวัยทำงานที่มีรูปแบบงานกลางแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นการขายของ งานกลางแจ้ง หรือ งานที่ต้องเดินทางไปไหนมาไหนบ่อย ๆ ก็จะต้องเจอกับแดดและความร้อนเป็นประจำ

                                        หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เผชิญกับไอความร้อนและแสงแดดได้ อย่างน้อยถ้ามีวิธีการรับมือก็จะช่วยบรรเทาปัญหาผิวที่เกิดขึ้นจากไอความร้อนและแสงแดดได้ ทางรมย์รวินท์คลินิกจึงอยากแนะนำเคล็ดลับดูแลตัวเองให้ผิวรอดจากอากาศประเทศไทย เพราะร้อนนี้ผิวไม่สุกด้วย COLOR ICE

                                        COLOR ICE

                                        เผยเคล็ดลับเอาตัวรอดจากอากาศไทยแลนด์แดนมอดไหม้ !

                                        1. การดื่มน้ำเป็นเรื่องสำคัญ ! ควรดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน – เมื่อร่างกายเจอกับอากาศร้อนและมีการขับเหงื่อออกมาจะเป็นช่วงที่ร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ การดื่มน้ำเพื่อไปทดแทนส่วนที่เสียไปย่อมเป็นผลดีของร่างกาย โดยทำให้ผิวไม่แห้งกร้านมีความชุ่มชื้น
                                        2. เลือกสวมเสื้อผ้าสีอ่อน ผ้าเนื้อบาง ปิดมิดชิดทั้งร่างกาย – การเลือกเสื้อผ้าสีอ่อนและบางจะช่วยให้ตัวผ้าไม่ดูดซับความร้อนและระบายอากาศได้เป็นอย่างดี รวมถึงการสวมเสื้อผ้าแบบแขนขายาวจะช่วยป้องกันรังสี UV ได้ด้วย นับว่าเป็นวิธีป้องกันผิวเสียรวมถึงลดความเสี่ยงต่อการเป็นฮีทสโตรก
                                        3. ทาครีมกันแดดปกป้องผิวจากรังสี UV – เวลาออกไปข้างนอกเจอแดดเปรี้ยงมาคู่กับไอความร้อนระอุตามท้องถนน อย่างน้อย ๆ ก็ควรเซฟผิวด้วยการทาครีมกันแดดพร้อมด้วยครีมบำรุงต่าง ๆ เพื่อป้องกันผิวแห้งเสียจากความร้อน
                                        4. ประคบตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายด้วยความเย็น – เป็นวิธีการช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกาย ลดการเสียเหงื่อเพื่อป้องกันผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น โดยอาจประคบตามซอกตัว เช่น ลำคอ แขน ขาหนีบ หรือ ศีรษะ เป็นต้น
                                        5. ทานผลไม้ช่วยคลายร้อน – มีผลไม้หลากหลายชนิดที่ช่วยเติมน้ำให้กับร่างกายได้เหมือนกัน เช่น แตงโม ส้ม แคนตาลูป เป็นต้น โดยผลไม้เหล่านี้นอกจากจะทดแทนน้ำที่เสียไปแล้วยังมีประโยชน์ต่อผิวพรรณและร่างกาย จึงเป็นทางออกที่ดีสำหรับคนที่ชอบรับประทานผลไม้อยู่เป็นประจำ

                                        COLOR ICE

                                        หรือสำหรับใครที่ทนตากแดดร้อน ๆ ดูแลตัวเองไปวัน ๆ ไม่ไหวแล้ว ต้องลองมาที่รมย์รวินท์คลินิกกับ COLOR ICE ที่เป็นทรีตเมน์ฟื้นฟูสภาพผิวโดยการผสมผสาน 3 เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพด้านการบำรุงและฟื้นฟูผิว ได้แก่ Electroporesis ที่เป็นการนำเอาหลักการ Electroporesis มาใช้ในการเติมวิตามินเข้าสู่ผิว และเพิ่มคุณภาพของผลลัพธ์ด้วยเทคโนโลยี Cryotherapy ความเย็นที่ช่วยปลอบประโลมผิวและส่งผลให้วิตามินมีประสิทธิภาพคงอยู่ได้นานยิ่งขึ้น ปิดท้ายด้วยเทคโนโลยี LED Phototherapy การนำแสง LED มาช่วยในการบำบัดและแก้ปัญหาผิว โดยแสง LED ที่นำมาใช้จะมีทั้งหมด 3 รูปแบบ ตามข้อมูลด้านล่างนี้

                                        RED LIGHT : แสงสีแดงจะช่วยปรับสภาพผิวและกระตุ้นคอลลาเจน เมื่อนำมาผสมผสานกับ COLOR ICE แล้วจะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวจากแสงแดด อากาศร้อน และมลภาวะต่าง ๆ อีกทั้งยังช่วยเรื่องลดเรือนริ้วรอย ผิวเรียบเนียนนุ่มน่าสัมผัส

                                        BLUE LIGHT : ลดอาการอักเสบและแก้ปัญหาสิวที่มีสาเหตุมาจากมลภาวะ โดยแสงสีน้ำเงินจะช่วยทำลายเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวและช่วยทำให้สิวที่มีอยู่หายเร็วขึ้น

                                        YELLOW LIGHT : ช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใส ลดจุดด่างดำและรอยคล้ำออกจากผิว ช่วยทำให้ผิวไบร์ท และ ไม่เกิดอาการระคายเคือง

                                        COLOR ICE ถึงจะไม่ได้ช่วยลดความร้อนของสภาพอากาศ แต่ก็ตอบโจทย์ด้านการบำรุงผิวที่เกิดการแห้งเสียอันเป็นผลกระทบมาจากมลภาวะที่คนเราต้องเผชิญในแต่ละวัน แต่นอกจาก COLOR ICE แล้วทางรมย์รวินท์คลินิกยังมีโปรแกรมดูแลและจัดการกับปัญหาผิว รวมถึงปรับโครงหน้ายกกระชับ สร้างกรอบหน้าดูดีมีมิติ ด้วยประสบการณ์การทำงานมากกว่า 20 ปี พร้อมพิสูจน์ผลลัพธ์ความสวยที่แม้แต่แสงแดดและความร้อนยังต้องสยบที่รมย์รวินท์คลินิกทั้ง 28 สาขา

                                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                          วันที่สะดวกในการติดต่อ




                                          เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                                          EMFACE ดียังไง ต่างจากเครื่องยกกระชับอื่นยังไง ?

                                          emface

                                          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                            วันที่สะดวกในการติดต่อ




                                            เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว


                                            EMFACE ยกกระชับไม่พึ่งมีดหมอ ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย

                                            การค้นหาเทคนิคการยกกระชับใบหน้าที่มีประสิทธิภาพ และไม่ต้องผ่าตัดกลายเป็นหัวข้อที่น่าสนใจในวงการความงาม และศัลยกรรม หนึ่งในเทคโนโลยีที่กำลังเป็นที่นิยม และได้รับการยอมรับมากขึ้นในปัจจุบันคือ EMFACE ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ผสานวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่ต้องการมีใบหน้าที่กระชับ และดูอ่อนเยาว์ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการผ่าตัดที่เจ็บปวด และต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน

                                            emface

                                            EMFACE คืออะไร

                                            EMFACE ย่อมาจาก “Electromagnetic Facial Enhancement” เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการยกกระชับใบหน้า และลดริ้วรอย โดยไม่ต้องพึ่งพาการผ่าตัดหรือการฉีดสารเคมี เทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่ต้องการดูแลรักษาผิวพรรณ และความอ่อนเยาว์ของใบหน้า โดยที่ไม่ต้องเจ็บตัว และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน

                                            หลักการทำงานของ EMFACE

                                            การทำงานของ EMFACE พื้นฐานมาจากการใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่เฉพาะเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้า พลังงานนี้จะถูกส่งผ่านเข้าสู่ผิวหนัง และชั้นกล้ามเนื้อในระดับลึก กระบวนการนี้มีสององค์ประกอบหลักที่ทำให้ EMFACE เป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ

                                              1. ในส่วนของการกระตุ้นกล้ามเนื้อ (Muscle Stimulation)

                                            พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าจะกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้เกิดการหดตัว และคลายตัวในรูปแบบที่คล้ายกับการออกกำลังกายสำหรับกล้ามเนื้อใบหน้า การกระตุ้นนี้ช่วยเพิ่มความแข็งแรง และความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ทำให้ผิวหน้าดูกระชับ และเรียบเนียนขึ้น

                                              1. ในส่วนของการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน (Collagen Production)

                                            นอกจากการกระตุ้นกล้ามเนื้อ พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้ายังช่วยกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ในชั้นผิวหนังให้ผลิตคอลลาเจน และอิลาสตินมากขึ้น คอลลาเจนเป็นโปรตีนสำคัญที่ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น และกระชับ การเพิ่มการผลิตคอลลาเจนจึงช่วยลดริ้วรอย และทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์

                                            emface

                                            EMFACE VS EMFACE Submentum ต่างกันอย่างไร

                                            เทคโนโลยี EMFACE ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเนื่องจากความสามารถในการยกกระชับ และฟื้นฟูผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด อย่างไรก็ตาม ภายในเทคโนโลยีนี้เองยังมีการพัฒนาโปรแกรมย่อยเพื่อเพิ่มความเฉพาะเจาะจง และประสิทธิภาพในการรักษาบริเวณที่ต่างกันของใบหน้า ซึ่งสอง โปรแกรม หลักคือ EMFACE และ EMFACE Submentum นี่คือรายละเอียด และความแตกต่างระหว่างทั้งสองโปรแกรม

                                            EMFACE

                                            EMFACE เป็นโปรแกรมหลักที่ถูกออกแบบมาเพื่อการยกกระชับ และฟื้นฟูผิวทั่วใบหน้า โดยเน้นไปที่การกระตุ้นกล้ามเนื้อ และการเพิ่มการผลิตคอลลาเจน และอิลาสตินในชั้นผิวหนัง ข้อดีของโปรแกรมนี้คือความครอบคลุม และการปรับปรุงคุณภาพผิวทั่วใบหน้า

                                            คุณสมบัติหลักของ EMFACE

                                            • ยกกระชับทั่วใบหน้า การกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้หดตัว และคลายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวหน้ากระชับขึ้น
                                            • เพิ่มการผลิตคอลลาเจน และอิลาสติน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์
                                            • ลดริ้วรอย และเส้นบาง ๆ ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนคือการลดลงของริ้วรอย และเส้นบาง ๆ บนใบหน้า

                                            EMFACE Submentum

                                            EMFACE Submentum ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะในการยกกระชับ และฟื้นฟูผิวในบริเวณใต้คาง และลำคอ (Submental Area) ซึ่งเป็นบริเวณที่มักเกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อย และการสะสมของไขมัน

                                            คุณสมบัติหลักของ EMFACE Submentum

                                            • ยกกระชับบริเวณใต้คาง และลำคอ การกระตุ้นกล้ามเนื้อในบริเวณนี้ช่วยลดความหย่อนคล้อย ทำให้แนวกรามดูชัดเจนขึ้น
                                            • ลดไขมันสะสม การกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และการเผาผลาญในบริเวณใต้คางช่วยลดไขมันสะสม ทำให้คางสองชั้นลดลง
                                            • เพิ่มการผลิตคอลลาเจน และอิลาสติน เช่นเดียวกับ EMFACE การเพิ่มการผลิตคอลลาเจน และอิลาสตินในบริเวณนี้ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน และกระชับ

                                            ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง EMFACE และ EMFACE Submentum

                                            • บริเวณการรักษา
                                              • EMFACE เน้นการยกกระชับ และฟื้นฟูผิวทั่วใบหน้า
                                              • EMFACE Submentu มุ่งเน้นการยกกระชับ และลดไขมันบริเวณใต้คาง และลำคอ
                                            • ปัญหาที่แก้ไข
                                              • EMFACE ริ้วรอย, ผิวหย่อนคล้อยทั่วใบหน้า
                                              • EMFACE Submentum ความหย่อนคล้อย และการสะสมของไขมันใต้คาง และลำคอ
                                            • เป้าหมายของการรักษา
                                              • EMFACE เพื่อให้ผิวทั่วใบหน้าดูกระชับ และอ่อนเยาว์
                                              • EMFACE Submentum เพื่อให้แนวกรามชัดเจน และลดคางสองชั้น
                                            • เทคนิคการใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า
                                              • ทั้งสองโปรแกรมใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการกระตุ้นกล้ามเนื้อ และเพิ่มการผลิตคอลลาเจน แต่จะมีการปรับค่าพลังงาน และเทคนิคให้เหมาะสมกับบริเวณการรักษา

                                            EMFACE และ EMFACE Submentum ถูกออกแบบมาเพื่อการยกกระชับ และฟื้นฟูผิวในบริเวณต่าง ๆ ของใบหน้า และลำคอ ด้วยเทคโนโลยีพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า โดย EMFACE เน้นการดูแลผิวทั่วใบหน้า ในขณะที่ EMFACE Submentum เน้นการดูแลเฉพาะบริเวณใต้คาง และลำคอ ความแตกต่างนี้ทำให้ทั้งสองโปรแกรมมีความเฉพาะเจาะจง และประสิทธิภาพสูงในการตอบสนองความต้องการของผู้ที่มีปัญหาผิวต่างกัน

                                            EMFACE และเทคนิคอื่น ๆ ต่างกันอย่างไร

                                            การดูแลความงาม และการฟื้นฟูผิวหน้าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับหลายคน โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีด้านความงามได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งในเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากคือ EMFACE ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการยกกระชับใบหน้า และลดริ้วรอย แต่ยังมีวิธีการอื่น ๆ เช่น ฉีดสารเติมเต็ม (Filler), ฉีดโบ , เลเซอร์ (Laser Resurfacing), และการผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) ที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย หัวข้อนี้จะเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง  EMFACE และเทคนิคอื่นๆ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น

                                            EMFACE vs ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) ต่างกันอย่างไร

                                            การดูแล และฟื้นฟูผิวหน้าเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับหลายคน โดยเฉพาะเมื่อมีริ้วรอย หรือความหย่อนคล้อยเกิดขึ้น หนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมคือ EMFACE ซึ่งใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการยกกระชับ และฟื้นฟูผิวหน้า นอกจากนี้ยังมี ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้ในการเพิ่มปริมาตรให้กับบริเวณที่มีรอยย่นหรือเหี่ยวย่น หัวข้อนี้จะเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง EMFACE และฉีดสารเติมเต็ม (Filler) ในด้านต่าง ๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน และสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น

                                            ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) คืออะไร

                                            ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) เป็นวิธีการที่ใช้สารเติมเต็ม เช่น กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) หรือคอลลาเจน ฉีดเข้าไปในผิวหนังเพื่อเพิ่มปริมาตร และเติมเต็มร่องลึกหรือริ้วรอยบนใบหน้า

                                            คุณสมบัติหลักของการฉีดสารเติมเต็ม

                                            • เพิ่มปริมาตร สารเติมเต็มช่วยเพิ่มปริมาตรในบริเวณที่มีรอยย่นหรือเหี่ยวย่น ทำให้ผิวหน้าดูเต็ม และเรียบเนียนขึ้น
                                            • ผลลัพธ์ทันที สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังการฉีด
                                            • ปรับแต่งรูปร่างใบหน้า สามารถปรับแต่งรูปร่างของใบหน้าได้ตามต้องการ เช่น เติมริมฝีปากหรือแก้มให้ดูอวบอิ่มขึ้น
                                            • ต้องฉีดซ้ำ สารเติมเต็มจะสลายไปตามธรรมชาติ ทำให้ต้องฉีดซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์

                                            คุณสมบัติหลักของ EMFACE

                                            • ยกกระชับทั่วใบหน้า การกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้หดตัว และคลายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวหน้ากระชับขึ้น
                                            • เพิ่มการผลิตคอลลาเจน และอิลาสติน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์
                                            • ลดริ้วรอย และเส้นบาง ๆ ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนคือการลดลงของริ้วรอย และเส้นบาง ๆ บนใบหน้า

                                            ความแตกต่างระหว่าง EMFACE และ ฉีดสารเติมเต็ม (Filler)

                                            1. หลักการทำงาน
                                              • EMFACE ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการกระตุ้นกล้ามเนื้อ และการผลิตคอลลาเจน ไม่ต้องใช้เข็มหรือสารเคมีใด ๆ
                                              • ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) ใช้สารเติมเต็มฉีดเข้าไปในผิวหนังเพื่อเพิ่มปริมาตร และเติมเต็มร่องลึกหรือริ้วรอย
                                            2. ผลลัพธ์
                                              • EMFACE ผลลัพธ์จะค่อย ๆ เห็นชัดขึ้นหลังการรักษาหลายครั้ง เนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
                                              • ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการฉีด แต่ต้องฉีดซ้ำเมื่อสารเติมเต็มสลายไป
                                            3. ความปลอดภัย
                                              • EMFACE ไม่มีการใช้เข็มหรือสารเคมี ทำให้ไม่มีความเสี่ยงต่อการแพ้ หรือการเกิดก้อนใต้ผิวหนัง
                                              • ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) มีความเสี่ยงต่อการแพ้สารเคมี และการเกิดก้อนใต้ผิวหนัง หรือการอักเสบหากมีการฉีดที่ไม่ถูกต้อง
                                            4. การรักษา
                                              • EMFACE ต้องใช้เวลาหลายครั้งในการรักษาเพื่อให้เห็นผลลัพธ์เต็มที่ แต่ไม่มีการพักฟื้น  และสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
                                              • ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) การรักษาใช้เวลาไม่นาน และเห็นผลทันที แต่ต้องฉีดซ้ำเมื่อสารเติมเต็มสลายไป
                                            5. ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
                                              • EMFACE ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติเนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวโดยธรรมชาติของร่างกาย
                                              • ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแพทย์ หากฉีดไม่ถูกต้องอาจทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ
                                            6. ระยะเวลาของผลลัพธ์
                                              • EMFACE ผลลัพธ์คงอยู่นานขึ้นเนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
                                              • ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 6-18 เดือนขึ้นอยู่กับชนิดของสารเติมเต็มที่ใช้

                                            EMFACE และ ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) ต่างมีข้อดี และข้อเสียที่แตกต่างกัน การเลือกเทคนิคที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความต้องการ และสภาพผิวของแต่ละบุคคล หากต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ และไม่มีความเสี่ยงจากการใช้สารเคมี EMFACE อาจเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากต้องการเห็นผลลัพธ์ทันที และสามารถปรับแต่งรูปร่างใบหน้าได้ตามต้องการ ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวคุณเอง

                                            EMFACE vs ฉีดโบต่างกันอย่างไร

                                            การดูแล และฟื้นฟูผิวหน้าเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับหลายคน โดยเฉพาะเมื่อริ้วรอย และความหย่อนคล้อยเริ่มปรากฏบนใบหน้า เทคโนโลยีด้านความงามในปัจจุบันได้พัฒนาไปอย่างมาก หนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมคือ EMFACE ซึ่งใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการยกกระชับ และฟื้นฟูผิวหน้า ในขณะที่ ฉีดโบ ก็เป็นที่รู้จัก และได้รับความนิยมมากเช่นกันในการลดริ้วรอย หัวข้อนี้จะเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง EMFACE และ การฉีดโบ ในด้านต่างๆ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น

                                            ฉีดโบคืออะไร

                                            ฉีดโบคือสารที่ใช้ในการลดริ้วรอยบนใบหน้าโดยการฉีดสารนี้เข้าไปในกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อที่ถูกฉีดนั้นหยุดการเคลื่อนไหวชั่วคราว ซึ่งจะช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ

                                            คุณสมบัติหลักของการฉีดโบ

                                            • ลดริ้วรอยจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะริ้วรอยบนหน้าผาก, รอยขมวดคิ้ว, และรอยตีนกา
                                            • ผลลัพธ์รวดเร็ว สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ภายในไม่กี่วันหลังการฉีด
                                            • ต้องฉีดซ้ำ ผลของการฉีดโบจะอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน หลังจากนั้นต้องฉีดซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์

                                            คุณสมบัติหลักของ EMFACE

                                            • ยกกระชับทั่วใบหน้า การกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้หดตัว และคลายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวหน้ากระชับขึ้น
                                            • เพิ่มการผลิตคอลลาเจน และอิลาสติน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์
                                            • ลดริ้วรอย และเส้นบาง ๆ ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนคือการลดลงของริ้วรอย และเส้นบาง ๆ บนใบหน้า

                                            ความแตกต่างระหว่าง EMFACE และ ฉีดโบ

                                            1. หลักการทำงาน
                                              • EMFACE ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการกระตุ้นกล้ามเนื้อ และการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง ไม่มีการหยุดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
                                              • ฉีดโบ ใช้สารในการหยุดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ก่อให้เกิดริ้วรอย ซึ่งทำให้ริ้วรอยลดลง
                                            2. ผลลัพธ์
                                              • EMFACE ผลลัพธ์จะค่อย ๆ เห็นชัดขึ้นหลังการรักษาหลายครั้ง เนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
                                              • ฉีดโบเห็นผลลัพธ์ได้ภายในไม่กี่วันหลังการฉีด โดยริ้วรอยจะลดลงอย่างชัดเจน
                                            3. ความปลอดภัย
                                              • EMFACE ไม่มีการใช้เข็มหรือสารเคมี ทำให้ไม่มีความเสี่ยงต่อการแพ้หรือการเกิดก้อนใต้ผิวหนัง
                                              • ฉีดโบมีความเสี่ยงต่อการแพ้สารเคมี การฉีดไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น หน้าแข็งหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
                                            4. การรักษา
                                              • EMFACE ต้องใช้เวลาหลายครั้งในการรักษาเพื่อให้เห็นผลลัพธ์เต็มที่ แต่ไม่มีการพักฟื้น และสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
                                              • ฉีดโบ การฉีดใช้เวลาไม่นาน และเห็นผลภายในไม่กี่วัน แต่ต้องฉีดซ้ำเมื่อผลของสารหมด
                                            5. ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
                                              • EMFACE ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติเนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวโดยธรรมชาติของร่างกาย
                                              • ฉีดโบผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับปริมาณ และตำแหน่งที่ฉีด หากฉีดไม่ถูกต้องอาจทำให้ใบหน้าดูแข็ง และไม่เป็นธรรมชาติ
                                            6. ระยะเวลาของผลลัพธ์
                                              • EMFACE ผลลัพธ์คงอยู่นานขึ้นเนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
                                              • ฉีดโบ ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน หลังจากนั้นต้องฉีดซ้ำ

                                            EMFACE และ ฉีดโบมีข้อดี และข้อเสียที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการ และสภาพผิวของแต่ละบุคคล หากต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ และไม่มีความเสี่ยงจากการใช้สารเคมี EMFACE อาจเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว และต้องการลดริ้วรอยจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ฉีดโบอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวคุณเอง

                                            EMFACE vs เลเซอร์ (Laser Resurfacing) ต่างกันอย่างไร

                                            การฟื้นฟู และยกกระชับผิวหน้าเป็นกระบวนการที่สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาความอ่อนเยาว์ของผิวหน้า ในปัจจุบันมีหลายเทคนิคที่ได้รับความนิยม หนึ่งในนั้นคือ EMFACE ซึ่งใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการยกกระชับผิว ในขณะที่ เลเซอร์ (Laser Resurfacing) ก็เป็นวิธีการที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการปรับสภาพผิว หัวข้อนี้จะเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง EMFACE และ เลเซอร์ (Laser Resurfacing) ในด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจ และสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น

                                            เลเซอร์ (Laser Resurfacing) คืออะไร

                                            เลเซอร์ (Laser Resurfacing) เป็นกระบวนการที่ใช้พลังงานเลเซอร์ในการลอกผิวชั้นบนออก เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และฟื้นฟูผิวหน้าให้เรียบเนียนขึ้น ลดริ้วรอย รอยดำ และรอยแผลเป็น

                                            คุณสมบัติหลักของการใช้เลเซอร์

                                            • ลอกผิวชั้นบน ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
                                            • ลดริ้วรอย รอยดำ และรอยแผลเป็น ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน และสดใสขึ้น
                                            • กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์ขึ้น
                                            • ต้องใช้เวลาพักฟื้น การลอกผิวชั้นบนออกอาจทำให้ผิวแดง และบวม ต้องใช้เวลาพักฟื้นหลายวัน

                                            คุณสมบัติหลักของ EMFACE

                                            • ยกกระชับทั่วใบหน้า การกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้หดตัว และคลายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวหน้ากระชับขึ้น
                                            • เพิ่มการผลิตคอลลาเจน และอิลาสติน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์
                                            • ลดริ้วรอย และเส้นบาง ๆ ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนคือการลดลงของริ้วรอย และเส้นบาง ๆ บนใบหน้า

                                            ความแตกต่างระหว่าง EMFACE และ เลเซอร์ (Laser Resurfacing)

                                            1. หลักการทำงาน
                                              • EMFACE ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการกระตุ้นกล้ามเนื้อ และการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง โดยไม่ต้องลอกผิว
                                              • เลเซอร์ (Laser Resurfacing) ใช้พลังงานเลเซอร์ในการลอกผิวชั้นบนออกเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และฟื้นฟูผิว
                                            2. ผลลัพธ์
                                              • EMFACE ผลลัพธ์จะค่อย ๆ เห็นชัดขึ้นหลังการรักษาหลายครั้ง เนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
                                              • เลเซอร์ (Laser Resurfacing) เห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนหลังจากผิวฟื้นตัว แต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นหลายวันถึงสัปดาห์
                                            3. ความปลอดภัย
                                              • EMFACE ไม่มีการใช้เข็มหรือสารเคมี ทำให้ไม่มีความเสี่ยงต่อการแพ้หรือการเกิดก้อนใต้ผิวหนัง
                                              • เลเซอร์ (Laser Resurfacing) มีความเสี่ยงต่อการเกิดการระคายเคือง ผิวแดง ผิวบวม  และการติดเชื้อหากดูแลไม่ถูกต้อง
                                            4. การรักษา
                                              • EMFACE ต้องใช้เวลาหลายครั้งในการรักษาเพื่อให้เห็นผลลัพธ์เต็มที่ แต่ไม่มีการพักฟื้น และสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
                                              • เลเซอร์ (Laser Resurfacing) ต้องการเวลาพักฟื้นหลายวันถึงสัปดาห์ ผิวอาจแดง และบวมในช่วงแรก
                                            5. ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
                                              • EMFACE ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติเนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวโดยธรรมชาติของร่างกาย
                                              • เลเซอร์ (Laser Resurfacing) ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ แต่ต้องใช้เวลารอผิวฟื้นตัวจากการลอกผิว
                                            6. ระยะเวลาของผลลัพธ์
                                              • EMFACE ผลลัพธ์คงอยู่นานขึ้นเนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
                                              • เลเซอร์ (Laser Resurfacing) ผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนาน แต่ต้องมีการดูแลรักษาผิวหลังการรักษาอย่างเคร่งครัด

                                            EMFACE และ เลเซอร์ (Laser Resurfacing) มีข้อดี และข้อเสียที่แตกต่างกัน การเลือกเทคนิคที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความต้องการ และสภาพผิวของแต่ละบุคคล หากต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ และไม่มีความเสี่ยงจากการลอกผิว EMFACE อาจเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนในเรื่องของการลบรอยดำ และรอยแผลเป็น เลเซอร์ (Laser Resurfacing) อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวคุณเอง

                                            emface

                                            EMFACE vs การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) ต่างกันอย่างไร

                                            การยกกระชับ และฟื้นฟูผิวหน้าเป็นกระบวนการที่หลายคนให้ความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการรักษาความอ่อนเยาว์ของผิวหน้า ในปัจจุบันมีเทคนิคหลายอย่างที่สามารถช่วยได้ หนึ่งในนั้นคือ EMFACE ซึ่งใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการยกกระชับผิวหน้า และอีกวิธีคือการผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) หัวข้อนี้จะเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง EMFACE และการ ผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) ในด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจ และสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น

                                            การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) คืออะไร

                                            การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) เป็นกระบวนการศัลยกรรมที่ใช้ในการยกกระชับ และปรับรูปใบหน้า โดยการผ่าตัดเพื่อกำจัดผิวหนังส่วนเกิน และกระชับกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง

                                            คุณสมบัติหลักของการผ่าตัดยกกระชับใบหน้า

                                            • ยกกระชับผิวหน้าอย่างถาวร การผ่าตัดสามารถยกกระชับผิวหน้า และปรับรูปใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้อย่างชัดเจน
                                            • กำจัดผิวหนังส่วนเกิน ช่วยขจัดผิวหนังที่หย่อนคล้อย และไม่เรียบเนียน
                                            • ผลลัพธ์ยาวนาน ผลลัพธ์จากการผ่าตัดสามารถคงอยู่ได้นานหลายปี
                                            • ต้องพักฟื้น การผ่าตัดต้องการเวลาพักฟื้น และมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น และการติดเชื้อ

                                            คุณสมบัติหลักของโปรแกรม ค้นพบความแตกต่างระหว่าง EMFACE และเทคนิคอื่นๆ เช่น การฉีดสารเติมเต็ม (Filler), การฉีดโบ, การใช้เลเซอร์ (Laser Resurfacing), และการผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) เพื่อเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการยกกระชับ และฟื้นฟูผิวหน้า พร้อมข้อมูลเชิงวิชาการ และเชิงลึก

                                            • ยกกระชับทั่วใบหน้า การกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้หดตัว และคลายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวหน้ากระชับขึ้น
                                            • เพิ่มการผลิตคอลลาเจน และอิลาสติน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์
                                            • ลดริ้วรอย และเส้นบาง ๆ ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนคือการลดลงของริ้วรอย และเส้นบาง ๆ บนใบหน้า

                                            ความแตกต่างระหว่าง EMFACE และการผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift)

                                            1. ค้นพบความแตกต่างระหว่าง EMFACE และเทคนิคอื่นๆ เช่น การฉีดสารเติมเต็ม (Filler), การฉีดโบ , การใช้เลเซอร์ (Laser Resurfacing), และการผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) เพื่อเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการยกกระชับ และฟื้นฟูผิวหน้า พร้อมข้อมูลเชิงวิชาการ และเชิงลึกหลักการทำงาน
                                              • EMFACE ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการกระตุ้นกล้ามเนื้อ และการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง โดยไม่ต้องผ่าตัด
                                              • การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) ใช้วิธีการผ่าตัดเพื่อยกกระชับผิวหนัง และกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง
                                            2. ผลลัพธ์
                                              • EMFACE ผลลัพธ์จะค่อยๆ เห็นชัดขึ้นหลังการรักษาหลายครั้ง เนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
                                              • การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) เห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนทันทีหลังการฟื้นตัวจากการผ่าตัด
                                            3. ความปลอดภัย
                                              • EMFACE ไม่มีการใช้เข็มหรือสารเคมี ทำให้ไม่มีความเสี่ยงต่อการแพ้หรือการเกิดก้อนใต้ผิวหนัง
                                              • การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น การติดเชื้อ และการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด
                                            4. การรักษา
                                              • EMFACE ต้องใช้เวลาหลายครั้งในการรักษาเพื่อให้เห็นผลลัพธ์เต็มที่ แต่ไม่มีการพักฟื้น และสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
                                              • การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) ต้องการเวลาพักฟื้นหลายสัปดาห์ ผิวอาจบวม และต้องการการดูแลพิเศษ
                                            5. ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
                                              • EMFACE ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติเนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวโดยธรรมชาติของร่างกาย
                                              • การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของศัลยแพทย์ หากทำไม่ดีอาจทำให้ใบหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ
                                            6. ระยะเวลาของผลลัพธ์
                                              • EMFACE ผลลัพธ์คงอยู่นานขึ้นเนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
                                              • การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) ผลลัพธ์อยู่ได้นานหลายปี แต่ผิวหนังก็ยังคงมีการหย่อนคล้อยไปตามธรรมชาติของการชรา

                                            EMFACE และ การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) มีข้อดี และข้อเสียที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการ และสภาพผิวของแต่ละบุคคล หากต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ และไม่มีความเสี่ยงจากการผ่าตัด EMFACE อาจเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจน และอยู่ได้นานหลายปี การ ผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวคุณเอง

                                            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                              วันที่สะดวกในการติดต่อ




                                              เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                                              เทียบให้ชัด โปรแกรมยกกระชับหน้า 3 รุ่นยอดฮิต ต่างกันอย่างไร

                                              เครื่องยกกระชับ

                                              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                วันที่สะดวกในการติดต่อ




                                                เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                                                หากคุณกำลังมองหาที่สำหรับการยกกระชับผิวหน้าและสงสัยว่าจะไปที่ไหนดี รมย์รวินท์คลินิกเป็นตัวเลือกที่คุณไม่ควรพลาด เรามีเครื่องมือที่ทันสมัย เช่น Thermage FLX , Ulthera และ Emface เพื่อให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีและดูเป็นธรรมชาติ คลินิกของเรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมดูแลคุณในทุกขั้นตอน เพื่อให้คุณมั่นใจในความงามและความอ่อนเยาว์ที่คงอยู่

                                                การดูแลความงามกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับหลายคนในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทคโนโลยีในการยกกระชับผิวหน้า ก้าวหน้าอย่างมากมีโปรแกรมยกกระชับหลายรุ่นที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับโปรแกรมยกกระชับ 3 รุ่นมาแรง ได้แก่ Thermage FLX , Ulthera และ Emface พร้อมกับเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของแต่ละโปรแกรม

                                                โปรแกรมยกกระชับหน้าคืออะไร

                                                โปรแกรมยกกระชับคืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อช่วยยกกระชับผิวหน้า ลดริ้วรอย และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และเต่งตึง เทคโนโลยีที่ใช้ในโปรแกรมยกกระชับมีหลากหลายประเภท แต่ละประเภทมีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันไป เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล

                                                เทคโนโลยีหลักที่ใช้ในโปรแกรมยกกระชับหน้า

                                                1. เทคโนโลยีคลื่นวิทยุ (Radiofrequency)เทคโนโลยีนี้ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงในการสร้างความร้อนในชั้นผิวลึก ความร้อนที่เกิดขึ้นจะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวหน้าดูกระชับและลดริ้วรอยได้
                                                2. เทคโนโลยีอัลตราซาวด์ (Ultrasound)เทคโนโลยีนี้ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อสร้างความร้อนในชั้นผิวลึก การทำงานของคลื่นเสียงจะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวหน้าดูกระชับและเรียบเนียน
                                                3. เทคโนโลยีเลเซอร์ (Laser)เทคโนโลยีนี้ใช้แสงเลเซอร์ในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิว ความร้อนจากเลเซอร์ช่วยทำลายเซลล์ผิวเก่าและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
                                                4. เทคโนโลยีการสั่นสะเทือนและแสง (Vibration and Light Therapy)เทคโนโลยีนี้ใช้การสั่นสะเทือนและแสงเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและการผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และสดใส

                                                ข้อดีของการใช้โปรแกรมยกกระชับหน้า

                                                • ลดริ้วรอยและเส้นริ้วรอยการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวช่วยลดริ้วรอยและเส้นริ้ว ทำให้ผิวดูเรียบเนียน
                                                • ยกกระชับผิวหน้าความร้อนที่เกิดจากเทคโนโลยีต่างๆ ช่วยยกกระชับผิวหน้าให้ดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์
                                                • กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิวทำให้ผิวดูสดใสและมีความยืดหยุ่น
                                                • ไม่มีแผลผ่าตัดการใช้โปรแกรมยกกระชับหน้าไม่ต้องมีการผ่าตัด ทำให้ไม่มีแผลและเวลาพักฟื้นน้อย
                                                • ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนผู้ใช้สามารถเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นหลังการทำเพียงไม่กี่ครั้ง

                                                ข้อควรระวังในการใช้โปรแกรมยกกระชับหน้า

                                                • การเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมการเลือกโปรแกรมยกกระชับหน้าที่เหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
                                                • การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญการปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนการใช้โปรแกรมยกกระชับหน้าเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องและปลอดภัย
                                                • การดูแลหลังการทำหลังการใช้โปรแกรมยกกระชับ ควรดูแลผิวให้ดีและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ผิวฟื้นฟูและคงผลลัพธ์ที่ดี

                                                การใช้โปรแกรมยกกระชับหน้าเป็นวิธีการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการดูแลผิวหน้า ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และสดใสขึ้น การเลือกใช้เโปรแกรมยกกระชับที่เหมาะสมและการดูแลผิวหลังการทำเป็นสิ่งสำคัญในการคงผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว

                                                ชั้นผิว SMAS คืออะไร

                                                SMAS ย่อมาจาก Superficial Musculo-Aponeurotic System เป็นชั้นผิวที่อยู่ระหว่างผิวหนังชั้นบนและกล้ามเนื้อผิวหน้า เป็นระบบกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่ช่วยให้ใบหน้าดูมีรูปทรงและสามารถเคลื่อนไหวได้

                                                ชั้นผิว SMAS อยู่บริเวณไหน

                                                • ที่ตั้ง: ชั้น SMAS อยู่ลึกลงไปจากชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) โดยอยู่ระหว่างชั้นไขมันและชั้นกล้ามเนื้อผิวหน้า
                                                • ลักษณะ: SMAS ประกอบด้วยเส้นใยกล้ามเนื้อและเส้นใยคอลลาเจนที่เกี่ยวพันกัน มีความแข็งแรงและยืดหยุ่น ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างรองรับผิวหนังและไขมันใต้ผิว

                                                ชั้นผิว SMAS สำคัญอย่างไร

                                                • ยกกระชับหน้าpobpad.com/โครงสร้างของผิวหนังและ
                                                  ชั้น SMAS ทำหน้าที่รองรับและยกกระชับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูเต่งตึงและมีรูปทรงที่สวยงาม
                                                • การเคลื่อนไหวใบหน้า
                                                  ระบบกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อในชั้น SMAS ช่วยให้ใบหน้าสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ เช่น การยิ้ม การขมวดคิ้ว หรือการแสดงอารมณ์ต่างๆ
                                                • การเชื่อมต่อกับกล้ามเนื้ออื่นๆ
                                                  ชั้น SMAS เชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออื่นๆ ในใบหน้า ทำให้การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าสอดคล้องกัน

                                                การยกกระชับหน้าบริเวณเนื้อเยื่อที่เกี่ยวข้องกับผิวในชั้นผิว SMAS

                                                การยกกระชับผิวหน้าที่มีประสิทธิภาพจะต้องทำงานกับชั้น SMAS เนื่องจากเป็นชั้นที่มีบทบาทสำคัญในการรองรับและยกกระชับผิว เทคโนโลยีและวิธีการยกกระชับผิวที่เน้นการกระตุ้นชั้น SMAS จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานขึ้น

                                                เทคโนโลยีใดบ้างที่สามารถยกกระชับหน้าบริเวณชั้น SMAS ได้

                                                Ulthera SPT

                                                การยกกระชับหน้าด้วย Ulthera SPT

                                                • หลักการทำงาน
                                                  Ulthera SPT ใช้เทคโนโลยีอัลตราซาวด์ที่มีความเข้มสูง (High-Intensity Focused Ultrasound หรือ HIFU) ในการสร้างความร้อนในชั้นลึกของผิวหนัง รวมถึงชั้น SMAS ความร้อนนี้จะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใหม่และกระชับคอลลาเจนที่มีอยู่เดิม ทำให้ผิวหน้าดูกระชับและเรียบเนียนขึ้น

                                                การยกกระชับหน้าด้วย Thermage FLX

                                                • หลักการทำงานThermage FLX ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (Radiofrequency หรือ RF) ในการสร้างความร้อนในชั้นผิวลึก แม้จะไม่ได้เน้นเฉพาะชั้น SMAS แต่ความร้อนจากคลื่นวิทยุก็สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวลึกได้

                                                การยกกระชับหน้าด้วยการศัลยกรรมดึงหน้า (Facelift Surgery)

                                                • หลักการทำงานศัลยแพทย์จะทำการยกกระชับและจัดเรียงชั้น SMAS ใหม่เพื่อให้ได้รูปทรงใบหน้าที่ต้องการ การผ่าตัดนี้สามารถให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานที่สุด แต่ก็มีระยะเวลาพักฟื้นและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัด

                                                เครื่องยกกระชับ

                                                การยกกระชับหน้าด้วย Thermage FLX , Ulthera SPT และ Emface ต่างกันอย่างไร?

                                                การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างโปรแกรมยกกระชับหน้าทั้งสามรุ่นที่มาแรง ได้แก่ Thermage FLX ,  Ulthera SPT และ Emface จะช่วยให้คุณเลือกใช้บริการที่เหมาะสมกับความต้องการและสภาพผิวของคุณได้อย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้น

                                                ยกกระชับหน้าด้วย Thermage FLX

                                                1. เทคโนโลยีการยกกระชับหน้าด้วย Thermage FLX Thermage FLX ใช้เทคโนโลยีคลื่นวิทยุความถี่สูง (Radiofrequency) ในการทำงาน คลื่นวิทยุจะสร้างความร้อนในชั้นผิวลึก (Dermis) และชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous), โดยไม่ทำลายชั้นผิวหนังกำพร้า (Epidermis)ความร้อนที่เกิดขึ้นจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และกระชับคอลลาเจนที่มีอยู่เดิม
                                                2. ข้อดีการยกกระชับหน้าด้วย Thermage FLX
                                                  • ไม่ต้องผ่าตัด
                                                  • ไม่ต้องมีเวลาพักฟื้นหลังการรักษา
                                                  • ใช้เวลาในการรักษาน้อย (ประมาณ 45 นาทีถึง 2 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำการรักษา)
                                                3. ข้อเสียการยกกระชับหน้าด้วย Thermage FLX
                                                  • ผลลัพธ์อาจจะไม่ชัดเจนทันที ต้องรอระยะเวลาประมาณ 2-6 เดือนจึงจะเห็นผลเต็มที่
                                                  • อาจต้องทำซ้ำหลายครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

                                                ยกกระชับหน้าด้วย Ulthera SPT

                                                1. เทคโนโลยีการยกกระชับหน้าด้วยUlthera SPTUlthera SPTใช้เทคโนโลยีอัลตราซาวด์ที่มีความเข้มสูง (High-Intensity Focused Ultrasound หรือ HIFU) ในการทำงาน คลื่นอัลตราซาวด์จะสร้างความร้อนในชั้นลึกของผิวหนัง (SMAS layer) ที่เป็นชั้นเดียวกับที่แพทย์ศัลยกรรมดึงหน้า ความร้อนนี้จะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใหม่
                                                2. ข้อดีการยกกระชับหน้าด้วย Ulthera SPT
                                                  • ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน
                                                  • ทำเพียงครั้งเดียวผลลัพธ์อาจคงอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี
                                                  • เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการทำ และผลลัพธ์จะดีขึ้นในระยะเวลา 2-3 เดือน
                                                3. ข้อเสียการยกกระชับหน้าด้วย Ulthera SPT 
                                                  • อาจมีความเจ็บปวดในขณะทำการรักษา
                                                  • ราคาค่อนข้างสูง

                                                emface

                                                ยกกระชับหน้าด้วย Emface

                                                1. เทคโนโลยีการยกกระชับหน้าด้วย Emface Emface ใช้เทคโนโลยีการสั่นสะเทือนและแสง (Vibration and Light Therapy) รวมกัน เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและการผลิตคอลลาเจน โดยการสั่นสะเทือนจะช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าแข็งแรงขึ้นและแสงจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว
                                                2. ข้อดีการยกกระชับหน้าด้วย Emface
                                                  • ไม่เจ็บปวดขณะทำการรักษา
                                                  • ใช้เวลาทำการรักษาน้อย
                                                  • ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดริ้วรอย
                                                3. ข้อเสียการยกกระชับหน้าด้วย Emface
                                                  • ผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจนเท่ากับเทคโนโลยีอื่น ๆ
                                                  • อาจต้องทำซ้ำหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

                                                ตารางเปรียบเทียบ Thermage FLX , Ulthera SPTและ Emface มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร?

                                                คุณสมบัติThermage FLXUlthera SPTEmface
                                                เทคโนโลยีคลื่นวิทยุ (Radiofreqency)คลื่นอัลตราซาวด์ (Ultrasound)การสั่นสะเทือนและแสง (Vibration and Light Therapy)
                                                ผลลัพธ์ลดริ้วรอย, กระตุ้นคอลลาเจนยกกระชับหน้า, กระตุ้นคอลลาเจนลดริ้วรอย, เพิ่มความชุ่มชื้น
                                                ระดับความเจ็บปวดน้อยปานกลางน้อย
                                                ระยะเวลาในการทำหัตถการรวดเร็วยาวนานรวดเร็ว
                                                ระยะเวลาผลลัพธ์ปานกลางยาวนานปานกลาง
                                                ข้อดีไม่มีแผล, ใช้เวลาน้อยผลลัพธ์ชัดเจน, ทำครั้งเดียวไม่เจ็บ, ใช้เวลาน้อย
                                                ข้อเสียต้องทำซ้ำหลายครั้งมีความเจ็บปวดขณะทำผลลัพธ์ไม่ชัดเจนเท่าเทคโนโลยีอื่นๆ

                                                การยกกระชับหน้าด้วย Thermage FLX , Ulthera SPT และ Emface ควรเลือกโปรแกรมไหนดี

                                                การเลือกโปรแกรมยกกระชับหน้าที่เหมาะสมเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาหลายปัจจัย รวมถึงสภาพผิว งบประมาณ ความคาดหวังของผลลัพธ์ และความอดทนต่อความเจ็บปวด บทความนี้จะช่วยให้คุณทำความเข้าใจและเปรียบเทียบโปรแกรมยกกระชับหน้า 3 รุ่น ได้แก่ Thermage FLX , Ulthera SPT และ Emface เพื่อช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง

                                                ปัจจัยในการเลือกโปรแกรมยกกระชับหน้า

                                                1. สภาพผิว
                                                  • ผิวของแต่ละคนมีลักษณะและปัญหาที่แตกต่างกัน การเลือกโปรแกรมยกกระชับหน้าที่เหมาะสมควรพิจารณาจากสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการแก้ไข เช่น ริ้วรอย ความหย่อนคล้อย หรือความไม่สม่ำเสมอของผิว
                                                2. งบประมาณ
                                                  • งบประมาณเป็นปัจจัยที่สำคัญ เนื่องจากการทำโปรแกรมยกกระชับมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน ควรเลือกโปรแกรมที่อยู่ในงบประมาณที่สามารถรับได้
                                                3. ความคาดหวังของผลลัพธ์
                                                  • ผลลัพธ์ที่ต้องการก็เป็นปัจจัยสำคัญ หากคุณต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและชัดเจน Ulthera SPT อาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากต้องการการรักษาที่ไม่เจ็บปวด Emface อาจเหมาะสมกว่า
                                                4. ความอดทนต่อความเจ็บปวด
                                                  • การทำโปรแกรมยกกระชับบางประเภทอาจมีความเจ็บปวดขณะทำ เช่น Ulthera SPT หากคุณมีความอ่อนไหวต่อความเจ็บปวด อาจพิจารณา Thermage FLX หรือ Emface ที่มีความเจ็บปวดน้อยกว่า

                                                ข้อควรพิจารณาในการเลือกโปรแกรมยกกระชับหน้า

                                                การยกกระชับหน้าด้วย Thermage FLX

                                                • เหมาะสำหรับ
                                                  • ผู้ที่ต้องการการรักษาที่ไม่ต้องมีเวลาพักฟื้น
                                                  • ผู้ที่ต้องการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนอย่างค่อยเป็นค่อยไป
                                                  • ผู้ที่มีงบประมาณปานกลาง
                                                • ไม่เหมาะสำหรับ
                                                  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
                                                  • ผู้ที่ต้องการการรักษาเพียงครั้งเดียว

                                                การยกกระชับหน้าด้วย Ulthera SPT

                                                • เหมาะสำหรับ
                                                  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน
                                                  • ผู้ที่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้
                                                  • ผู้ที่ต้องการการรักษาเพียงครั้งเดียว
                                                • ไม่เหมาะสำหรับ
                                                  • ผู้ที่มีความอ่อนไหวต่อความเจ็บปวด
                                                  • ผู้ที่มีงบประมาณจำกัด

                                                การยกกระชับหน้าด้วย Emface

                                                • เหมาะสำหรับ
                                                  • ผู้ที่ต้องการการรักษาที่ไม่เจ็บปวด
                                                  • ผู้ที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นและลดริ้วรอยเล็กน้อย
                                                  • ผู้ที่มีงบประมาณปานกลางถึงสูง
                                                • ไม่เหมาะสำหรับ
                                                  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว
                                                  • ผู้ที่ต้องการการรักษาเพียงครั้งเดียว

                                                การเลือกโปรแกรมยกกระชับหน้าที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความต้องการและเงื่อนไขของแต่ละบุคคล หากคุณต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน Ulthera SPT อาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากคุณต้องการการรักษาที่ไม่เจ็บปวด Emface อาจเหมาะสมกว่า สำหรับผู้ที่ต้องการการรักษาที่ไม่มีแผลและใช้เวลาน้อย Thermage FLX อาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

                                                การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านความงามก่อนการตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องและปลอดภัยที่สุด การดูแลหลังการทำก็เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้คงอยู่นานและผิวของคุณได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่

                                                ยกกระชับหน้าที่รมย์รวินทร์คลินิกดีอย่างไร ทำไมถึงต้องเลือกที่นี่

                                                ในยุคปัจจุบัน ความงามและการดูแลผิวหน้าเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสำคัญมากขึ้น การมีผิวหน้าที่กระชับและอ่อนเยาว์ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง แต่ยังช่วยให้ดูอ่อนกว่าวัย และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ “การยกกระชับผิวหน้า” กลายเป็นหนึ่งในกระบวนการที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

                                                ทำไมการยกกระชับผิวหน้าจึงเป็นที่นิยม

                                                การยกกระชับผิวหน้า (Facial Lifting) เป็นกระบวนการที่ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้า ลดริ้วรอยและรอยย่นต่างๆ โดยใช้เทคนิคและโปรแกรมมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย กระบวนการนี้ช่วยเพิ่มความกระชับของผิวหน้า ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและสดใสมากขึ้น

                                                รมย์รวินทร์คลินิก ที่หนึ่งในด้านการยกกระชับผิวหน้า

                                                รมย์รวินทร์คลินิกเป็นคลินิกที่มีชื่อเสียงในด้านการให้บริการยกกระชับผิวหน้าด้วยเทคนิคและโปรแกรมมือที่ทันสมัย มาดูกันว่าทำไมคุณถึงควรเลือกใช้บริการที่นี่

                                                1. เทคนิคที่ทันสมัยและปลอดภัย

                                                ที่รมย์รวินทร์คลินิก เราใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า เช่น การใช้เลเซอร์ (Laser), อัลตราซาวนด์ (Ultrasound), และการฉีดโบเพื่อช่วยยกกระชับผิวหน้า ทุกเทคนิคถูกออกแบบมาเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยต่อผู้รับบริการ

                                                2. ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

                                                เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และความรู้ในด้านการยกกระชับผิวหน้าโดยเฉพาะ ทุกขั้นตอนจะถูกดำเนินการโดยแพทย์ที่มีความชำนาญและใส่ใจในทุกรายละเอียด

                                                3. การวิเคราะห์สภาพผิวอย่างละเอียด

                                                ก่อนที่จะเริ่มกระบวนการยกกระชับผิวหน้า ที่รมย์รวินทร์คลินิก เราจะทำการวิเคราะห์สภาพผิวของคุณอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถเลือกใช้เทคนิคและวิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผิวหน้าของคุณ

                                                4. ผลลัพธ์ที่ยาวนาน

                                                การยกกระชับผิวหน้าที่รมย์รวินทร์คลินิกไม่เพียงแต่ให้ผลลัพธ์ที่ทันที แต่ยังมีผลลัพธ์ที่ยาวนาน ด้วยการดูแลและการใช้เทคนิคที่ถูกต้อง ผิวหน้าของคุณจะดูอ่อนเยาว์และกระชับได้เป็นเวลานาน

                                                5. บรรยากาศและการบริการที่อบอุ่น

                                                นอกจากเทคนิคและการดูแลที่มีคุณภาพ เรายังให้ความสำคัญกับบรรยากาศและการบริการที่อบอุ่น ทุกครั้งที่คุณมาใช้บริการที่รมย์รวินทร์คลินิก คุณจะรู้สึกผ่อนคลายและได้รับการดูแลอย่างเต็มที่

                                                การยกกระชับผิวหน้าเป็นวิธีที่ช่วยคืนความอ่อนเยาว์และเพิ่มความมั่นใจให้กับคุณ ที่รมย์รวินทร์คลินิก เรามีเทคนิคที่ทันสมัย ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการบริการที่มีคุณภาพ เพื่อให้คุณได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หากคุณกำลังมองหาคลินิกที่ให้บริการยกกระชับผิวหน้าที่มีคุณภาพ รมย์รวินทร์คลินิกคือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

                                                อย่ารอช้า มาร่วมสร้างความงามและความอ่อนเยาว์ไปพร้อมกับเราที่รมย์รวินทร์คลินิก

                                                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                  วันที่สะดวกในการติดต่อ




                                                  เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                                                  Radiesse และ Radiesse Plus ต่างจากโปรแกรมฉีดผิวชนิดอื่นอย่างไร

                                                  โปรแกรมฉีด Radiesse ต่างกับโปรแกรมฉีดผิวอื่นอย่างไร

                                                  ฉีด Radiesse และฉีด Radiesse+ สารเติมเต็มที่ไม่ใช่ฉีดฟิลเลอร์ มีประสิทธิภาพในการเสริมความงาม และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ผู้ที่ต้องการเห็นผลระยะยาว และต้องการลดความเจ็บปวดขณะฉีดสามารถพิจารณาเลือกฉีด Radiesse+ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                                                  Radiesse คืออะไร

                                                  Radiesse เป็นสารเติมเต็มผิวที่มีส่วนประกอบหลักคือแคลเซียมไฮดรอกซิลอะพาไทต์ (Calcium Hydroxylapatite หรือ CaHA) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่พบในร่างกายของมนุษย์ ทำให้มีความปลอดภัยสูง และไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ Radiesse ถูกนำมาใช้เพื่อเติมเต็มริ้วรอยลึก เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และเสริมสร้างโครงสร้างผิวโดยเฉพาะบริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และอ่อนเยาว์

                                                  นอกจากการเติมเต็มริ้วรอย การฉีด Radiesse ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนธรรมชาติในผิว ทำให้ผิวดูเนียนนุ่ม และยืดหยุ่นขึ้น การฉีด Radiesse ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลรักษาหลังเข้ารับบริการ

                                                  Radiesse+ คืออะไร

                                                  Radiesse+ เป็นการพัฒนาเพิ่มเติมจาก Radiesse โดยมีการเพิ่มสาร Lidocaine ซึ่งเป็นยาชาเข้ามาในสูตร ทำให้การฉีด Radiesse+ มีความสะดวกสบายมากขึ้นสำหรับผู้รับการรักษา Lidocaine ช่วยลดความเจ็บปวดระหว่างการฉีด ทำให้ผู้รับการรักษารู้สึกสบายมากขึ้น

                                                  การฉีด Radiesse+ มีคุณสมบัติในการเติมเต็มริ้วรอย สร้างโครงหน้า เพิ่มความคมชัด และมิติให้กับใยหน้าและเสริมสร้างโครงสร้างผิวที่เหมือนกับการฉีด Radiesse ทุกประการ แต่เพิ่มความสะดวกสบายในการฉีด ทำให้ผู้รับการรักษารู้สึกเจ็บปวดน้อยลง ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือนเช่นกัน

                                                  โปรแกรมฉีด Radiesse และ โปรแกรมฉีด Radiesse+ ต่างจาก โปรแกรมฉีด Filler อย่างไร

                                                  เปรียบเทียบ Radiesse กับ Radiesse+ และ Filler ต่างกันอย่างไร

                                                  การดูแลผิวพรรณ และการปรับปรุงความงามผ่านการใช้สารเติมเต็มผิว (dermal fillers) เป็นที่นิยมอย่างมากในวงการความงามปัจจุบัน มีหลายผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะ และมีความสามารถในการเติมเต็มริ้วรอย และเสริมสร้างโครงสร้างผิวอย่างมีประสิทธิภาพ

                                                  เจาะลึกถึงความแตกต่างระหว่างการฉีด Radiesse, การฉีด Radiesse+ และการฉีด Filler ประเภทอื่น ๆ เพื่อให้สามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับความต้องการ และสภาพผิวของคนไข้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                                                  ทำความรู้จัก Filler คืออะไร

                                                  การฉีด Filler หรือสารเติมเต็มผิวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการเติมเต็มริ้วรอย และเพิ่มปริมาตรให้กับผิว ผลิตภัณฑ์ Filler มีหลายประเภท และมีส่วนประกอบที่หลากหลาย หนึ่งในประเภทที่พบมากที่สุดคือ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่พบในร่างกายมนุษย์ HA มีคุณสมบัติในการรักษาความชุ่มชื้น

                                                  Radiesse , Radiesse+ และ Filler แตกต่างกันตรงไหน

                                                    1. ความแตกต่างด้านส่วนประกอบหลัก:
                                                      • Radiesse: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเต่งตึง และเรียบเนียน
                                                      • Radiesse+: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) และ Lidocaine ที่ช่วยลดความเจ็บปวดในระหว่างการฉีด ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายมากขึ้น
                                                      • Filler ประเภทอื่น ๆ: มักใช้ Hyaluronic Acid (HA) และอาจมีส่วนผสมอื่นๆเพื่อให้มีคุณสมบัติ และการใช้งานที่แตกต่างกัน
                                                    2. ความแตกต่างด้านการใช้งาน:
                                                      • การฉีด Radiesse: เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก บริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และงานผิว
                                                      • การฉีด Radiesse+: เหมาะสำหรับการเสริมสร้างโครงหน้าที่ชัดเจน ช่วยให้ใบหน้ามีมิติมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับฉีดบริเวณโหนกแก้ม ไลน์กรอบหน้า สันกราม เป็นต้น
                                                      • การฉีด Filler ประเภทอื่น ๆ: ใช้ในการเติมเต็มริ้วรอย ปรับรูปหน้า ปรับโครงสร้างใบหน้า และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
                                                    3. ความแตกต่างด้านผลลัพธ์ที่ได้:
                                                      • การฉีด Radiesse: เหมาะกับงานผิว เนื่องจากช่วยปรับสภาพผิวให้ดูสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
                                                      • การฉีด Radiesse+: เหมาะกับงานโครงสร้าง เนื่องจากช่วยปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรงในระดับลึก ปรับใบหน้าให้มีมิติ คมชัดมากขึ้น ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลหลังการฉีด
                                                      • การฉีด Filler ประเภท HA: ให้ผลลัพธ์นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิด และการดูแลรักษา
                                                      • การฉีด Filler ประเภท PLLA และ PMMA: มีผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่า โดย PLLA ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ส่วน PMMA ให้ผลลัพธ์ที่ถาวรกว่า
                                                    4. ความแตกต่างด้านความรู้สึกในการเข้ารับบริการ:
                                                      • การฉีด Radiesse: อาจมีความเจ็บเล็กน้อยในระหว่างการฉีด โดยคนไข้สามารถแจ้งแพทย์ผู้ทำหัตถการ เพื่อขอทายาชาเพื่อระงับอาการเจ็บปวดก่อนทำหัตถการได้
                                                      • การฉีด Radiesse+: การเพิ่มสาร Lidocaine ช่วยลดความเจ็บปวด และทำให้สบายในระหว่างการฉีด
                                                      • การฉีด Filler ประเภท HA: บางผลิตภัณฑ์มีการผสม Lidocaine เพื่อลดความเจ็บปวดเช่นกัน

                                                  ก่อนเข้ารับบริการ ควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คนไข้สามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจที่สุด

                                                  เปรียบเทียบ Radiesse ,Radiesse+ และ sculptra ต่างกันอย่างไร

                                                  ในยุคที่ความงาม และการดูแลผิวพรรณมีบทบาทสำคัญ สารเติมเต็มผิวหรือ biostimulator collagen กลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุง และฟื้นฟูผิวหน้า แถมยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยม และมีคุณสมบัติเด่นเฉพาะตัว ดังนั้นรมย์รวินท์คลินิกจึงจะมามาเจาะลึกถึงความแตกต่าง เพื่อให้ผู้เข้ารับบริการสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับความต้องการ และสภาพผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพกัน

                                                  ทำความรู้จัก Sculptra คืออะไร

                                                  Sculptra เป็นสารเติมเต็มผิวที่มีส่วนประกอบหลักคือ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่ปลอดภัย และไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ในร่างกายมนุษย์ Sculptra ทำงานโดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว ซึ่งช่วยเพิ่มความหนาแน่น และความยืดหยุ่นให้กับผิว

                                                  การฉีด Sculptra ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนทันทีหลังการฉีดเหมือนการฉีด Radiesse หรือ Radiesse+ แต่จะเห็นผลลัพธ์อย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะเวลา 4-6 สัปดาห์หลังการฉีด เนื่องจากการฉีด Sculptra กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ผลลัพธ์จากการฉีด Sculptra สามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปีหรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาของคนไข้หลังการฉีด

                                                  Radiesse ,Radiesse+ และ Sculptra แตกต่างกันตรงไหน

                                                    1. ความแตกต่างด้านส่วนประกอบหลัก:
                                                      • Radiesse: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเต่งตึง และเรียบเนียน
                                                      • Radiesse+: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) และ Lidocaine ที่ช่วยลดความเจ็บปวดในระหว่างการฉีด ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายมากขึ้น
                                                      • Sculptra: ใช้ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งเป็นตัวที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว
                                                    2. ความแตกต่างด้านการใช้งาน:
                                                      • การฉีด Radiesse: เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก บริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และงานผิว
                                                      • การฉีด Radiesse+: เหมาะสำหรับการเสริมสร้างโครงหน้าที่ชัดเจน ช่วยให้ใบหน้ามีมิติมากยิ่งขึ้น
                                                      • การฉีด Sculptra: เหมาะสำหรับการเพิ่มปริมาตร และความหนาแน่นของผิวโดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว
                                                    3. ความแตกต่างด้านผลลัพธ์ที่ได้:
                                                      • การฉีด Radiesse: เหมาะกับงานผิว เนื่องจากช่วยปรับสภาพผิวถึงชั้นโครงสร้าง ให้ดูสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
                                                      • การฉีด Radiesse+: เหมาะกับงานโครงสร้างใบหน้า เนื่องจากช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าได้ในระดับลึก เพิ่มมิติให้กับใบหน้า ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลหลังการฉีด
                                                      • การฉีด Sculptra: ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่า โดยผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานถึง 2 ปีหรือมากกว่า
                                                    4. ความแตกต่างด้านความรู้สึกในการใช้บริการ:
                                                      • การฉีด Radiesse: อาจมีความเจ็บในระหว่างการฉีดเล็กน้อย คนไข้สามารถแจ้งแพทย์ผู้ทำหัตถการ เพื่อขอทายาชาเพื่อระงับอาการเจ็บปวดก่อนทำหัตถการได้
                                                      • การฉีด Radiesse+: การเพิ่มสาร Lidocaine ช่วยลดความเจ็บปวด และความไม่สบายใบหน้าในระหว่างการฉีด
                                                      • การฉีด Sculptra: ไม่มียาชาในผลิตภัณฑ์ ทำให้ผู้รับการรักษาอาจรู้สึกเจ็บปวดบ้างในระหว่างการฉีด แต่สามารถใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อช่วยลดความเจ็บปวดได้

                                                  เปรียบเทียบ Radiesse ,Radiesse+ และ Rejuran ต่างกันอย่างไร

                                                  การดูแลผิวพรรณ และการปรับปรุงความงามผ่านการใช้สารเติมเต็ม และสารบำรุงผิวเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เปรียบเทียบระหว่างฉีด เรเดียสซ์,ฉีด เรเดียสซ์+ และฉีด Rejuran สามผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัว และเป็นที่นิยมในวงการความงาม เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับความต้องการ และสภาพผิวของคนไข้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                                                  Radiesse ,Radiesse+ และ Rejuran แตกต่างกันตรงไหน

                                                    1. ความแตกต่างด้านส่วนประกอบหลัก:
                                                      • Radiesse: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเต่งตึง และเรียบเนียน
                                                      • Radiesse+: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) และ Lidocaine ที่ช่วยลดความเจ็บปวดในระหว่างการฉีด ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายมากขึ้น
                                                      • Rejuran: ใช้ Polynucleotide (PN) จาก DNA ของปลาแซลมอน ซึ่งช่วยในการฟื้นฟู และซ่อมแซมผิว
                                                    2. ความแตกต่างด้านการใช้งาน:
                                                      • การฉีด Radiesse: เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก บริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และงานผิว
                                                      • การฉีด Radiesse+: เหมาะสำหรับการเสริมสร้างโครงหน้าที่ชัดเจน ช่วยให้ใบหน้ามีมิติมากยิ่งขึ้น
                                                      • การฉีด Rejuran: เหมาะสำหรับการฟื้นฟูและปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม เพิ่มความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นของผิว
                                                    3. ความแตกต่างด้านผลลัพธ์ที่ได้:
                                                      • การฉีด Radiesse: เหมาะกับงานผิว เนื่องจากช่วยปรับสภาพผิวให้ดูสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
                                                      • การฉีด Radiesse+: เหมาะกับงานโครงสร้าง เนื่องจากช่วยปรับโครงหน้าให้มีความคม ชัดมากยิ่งขึ้น
                                                      • ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลหลังการฉีด
                                                      • การฉีด Rejuran: ให้ผลลัพธ์นานประมาณ 6-9 เดือน โดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินในผิว
                                                    4. ความแตกต่างด้านความสะดวกสบายในการฉีด:
                                                      • การฉีด Radiesse: อาจมีความเจ็บเล็กน้อยในระหว่างการฉีด คนไข้สามารถแจ้งแพทย์ผู้ทำหัตถการ เพื่อขอทายาชาเพื่อระงับอาการเจ็บปวดก่อนทำหัตถการได้
                                                      • การฉีด Radiesse+: การเพิ่มสาร Lidocaine ช่วยลดความเจ็บปวด และความไม่สบายในระหว่างการฉีด
                                                      • การฉีด Rejuran: ไม่มียาชาในผลิตภัณฑ์ ทำให้ผู้รับการรักษาอาจรู้สึกเจ็บปวดบ้างในระหว่างการฉีด

                                                  โปรแกรมฉีด Radiesse และ โปรแกรมฉีด Radiesse+ ต่างจาก โปรแกรม Skin Booster อย่างไร

                                                  เปรียบเทียบ Radiesse , Radiesse+ และ Skin Booster ต่างกันอย่างไร

                                                  การดูแลผิว และการปรับปรุงความงามมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในสังคมปัจจุบัน ซึ่งมีเทคโนโลยี และผลิตภัณฑ์หลากหลายที่สามารถช่วยเสริมสร้าง และปรับปรุงสภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์ และมีชีวิตชีวามากขึ้น วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ Radiesse, Radiesse+ และ Skin Booster สามผลิตภัณฑ์ที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลและปรับปรุงสภาพผิว รวมถึงการวิเคราะห์ความแตกต่าง และคุณสมบัติเฉพาะของแต่ละตัว

                                                  Radiesse ,Radiesse+ และ Skin Booster แตกต่างกันตรงไหน

                                                    1. ความแตกต่างด้านส่วนประกอบหลัก:
                                                      • Radiesse: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเต่งตึง และเรียบเนียน
                                                      • Radiesse+: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) และ Lidocaine ที่ช่วยลดความเจ็บปวดในระหว่างการฉีด ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายมากขึ้น
                                                      • Skin Booster: ใช้ Hyaluronic Acid (HA) ที่เน้นการเพิ่มความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นของผิว
                                                    2. ความแตกต่างด้านการใช้งาน:
                                                      • การฉีด Radiesse: อาจมีความเจ็บเล็กน้อยในระหว่างการฉีด โดยคนไข้สามารถแจ้งแพทย์ผู้ทำหัตถการ เพื่อขอทายาชาเพื่อระงับอาการเจ็บปวดก่อนทำหัตถการได้
                                                      • การฉีด Radiesse+: การเพิ่มสาร Lidocaine ช่วยลดความเจ็บปวด และความไม่สบายในระหว่างการฉีด
                                                      • Skin Booster: เหมาะสำหรับการเพิ่มความชุ่มชื้น และปรับปรุงสภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์ และเรียบเนียน
                                                    3. ความแตกต่างด้านผลลัพธ์ที่ได้:
                                                      • Skin Booster: เหมาะสำหรับการเพิ่มความชุ่มชื้น และปรับปรุงสภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์ และเรียบเนียน
                                                      • การฉีด Radiesse+: เหมาะกับงานโครงสร้าง เนื่องจากช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าให้คมชัด มีมิติ ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลหลังการฉีด
                                                      • Skin Booster: ให้ผลลัพธ์นานประมาณ 6-9 เดือน โดยการเพิ่มความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นของผิว
                                                    4. ความสะดวกสบายในการฉีด:
                                                      • การฉีด Radiesse+: มีการเพิ่ม Lidocaine เพื่อลดความเจ็บปวดในระหว่างการฉีด ทำให้การรักษามีความสะดวกสบายมากขึ้น

                                                  เปรียบเทียบ Radiesse ,Radiesse+ และโปรแกรมหน้าใส ต่างกันอย่างไร

                                                  การฉีด Radiesse กับการฉีด Radiesse+ และโปรแกรมหน้าใส นับว่าเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมมากในทุกวันนี้ แต่ทั้งสามบริการนี้ก็ล้วนแล้วมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ทั้งนี้คนไข้ควรเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินปัญหาผิวหน้าก่อนเข้ารับบริการ ในส่วนของหัวข้อนี้จะพาไปเปรียบเทียบกันว่า ทั้งสามบริการนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร ทั้งในแง่ของคุณสมบัติ การใช้งาน ผลลัพธ์ รวมถึงประโยชน์ที่ได้รับหลังทำหัตถการ

                                                  Radiesse ,Radiesse+ และเมโสหน้าใส แตกต่างกันตรงไหน

                                                    1. ความแตกต่างด้านส่วนผสม และคุณสมบัติพิเศษ
                                                      • Radiesse: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเต่งตึง และเรียบเนียน
                                                      • Radiesse+: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) และ Lidocaine ที่ช่วยลดความเจ็บปวดในระหว่างการฉีด ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายมากขึ้น
                                                      • เมโสหน้าใส: ประกอบด้วยสารบำรุงหลายชนิด เช่น วิตามิน แร่ธาตุ สารสกัดจากธรรมชาติ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยบำรุง และฟื้นฟูผิวจากภายใน
                                                    2. ความแตกต่างด้านการใช้งาน
                                                      • การฉีด Radiesse: เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก บริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และงานผิว
                                                      • การฉีด Radiesse+: เหมาะสำหรับการเสริมสร้างโครงหน้าที่ชัดเจน ช่วยให้ใบหน้ามีมิติมากยิ่งขึ้น
                                                      • โปรแกรมหน้าใส: ใช้ในการบำรุง และฟื้นฟูผิวในหลายๆ ด้าน เช่น เพิ่มความชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ และทำให้ผิวดูสดใส
                                                    3. ความแตกต่างด้านความรู้สึกระหว่างการรักษา
                                                      • การฉีด Radiesse: อาจมีความเจ็บเล็กน้อยคนไข้สามารถแจ้งแพทย์ผู้ทำหัตถการ เพื่อขอทายาชาเพื่อระงับอาการเจ็บปวดก่อนทำหัตถการได้
                                                      • การฉีด Radiesse+: การเพิ่มสาร Lidocaine ช่วยลดความเจ็บปวด และความไม่สบายในระหว่างการฉีด
                                                      • โปรแกรม หน้าใส: ใช้วิธีการฉีดสารบำรุงเข้าสู่ผิวหนังชั้นกลาง อาจมีความเจ็บปวดเล็กน้อยขึ้นอยู่กับสารที่ใช้ และความไวของผิว
                                                    4. ความแตกต่างด้านผลลัพธ์
                                                      • การฉีด Radiesse: เหมาะกับงานผิว เนื่องจากช่วยปรับสภาพผิวให้แข็งแรงในระดับโครงสร้าง ให้ดูสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
                                                      • การฉีด Radiesse+: เหมาะกับงานโครงสร้าง เนื่องจากช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าให้ดูคม ชัดมากยิ่งขึ้น ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลหลังการฉีด
                                                      • โปรแกรมหน้าใส: ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับการใช้งานต่อเนื่อง และสภาพผิวของผู้ใช้ โดยทั่วไปจะเห็นผลในเรื่องของความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นของผิวหลังการใช้

                                                  ข้อดีและข้อควรระวังของการฉีด Radiesse,การฉีด Radiesse+ กับโปรแกรมหน้าใส

                                                  ข้อดี ของ การฉีด Radiesse และการฉีด Radiesse+

                                                    • ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง
                                                    • ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ และคงทนยาวนาน
                                                    • เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก และการปรับโครงสร้างใบหน้า

                                                  ข้อควรระวังของ การฉีด Radiesse และการฉีด Radiesse+

                                                    • อาจเกิดผลข้างเคียงเช่น อาการบวม แดง หรือช้ำหลังการฉีด
                                                    • ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการฉีดเพื่อประเมินสภาพผิว และความเหมาะสมในการใช้ผลิตภัณฑ์

                                                  ข้อดีของโปรแกรมหน้าใสมีอะไรบ้าง

                                                    • ช่วยบำรุง และฟื้นฟูผิวจากภายใน
                                                    • เหมาะสำหรับการปรับปรุงสภาพผิวในหลายๆ ด้าน เช่น เพิ่มความชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ และทำให้ผิวดูสดใส
                                                    • สามารถปรับสูตรการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพผิว และความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน

                                                  ข้อควรระวังขอโปรแกรมหน้าใส

                                                    • อาจเกิดผลข้างเคียงเช่น อาการบวม แดง หรือช้ำหลังการฉีด
                                                    • ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิว และความเหมาะสมในการใช้การรักษานี้

                                                  เปรียบเทียบ Radiesse ,Radiesse+ และ ชาแนล ต่างกันอย่างไร

                                                    1. ความแตกต่างด้านส่วนผสม และคุณสมบัติพิเศษ
                                                      • Radiesse: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเต่งตึง และเรียบเนียน
                                                      • Radiesse+: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) และ Lidocaine ที่ช่วยลดความเจ็บปวดในระหว่างการฉีด ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายมากขึ้น
                                                      • ชาแนล: ประกอบด้วยสารบำรุงหลายชนิด เช่น วิตามิน แร่ธาตุ ยา และสารสกัดจากธรรมชาติ ที่ช่วยบำรุงและฟื้นฟูผิวจากภายใน
                                                    2. ความแตกต่างด้านการใช้งาน
                                                      • การฉีด Radiesse: เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก บริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ปรับงานผิวให้ดีมากยิ่งขึ้น
                                                      • การฉีด Radiesse+: เหมาะสำหรับการเสริมสร้างโครงหน้าที่ชัดเจน ช่วยให้ใบหน้ามีมิติมากยิ่งขึ้น
                                                      • การฉีด ชาแนล: ใช้ในการบำรุง และฟื้นฟูผิวในหลายๆ ด้าน เช่น ลดริ้วรอยเล็กๆ เพิ่มความชุ่มชื้น และทำให้ผิวดูสดใส
                                                    3. ความแตกต่างด้านความรู้สึกในระหว่างการรักษา
                                                      • การฉีด Radiesse: อาจมีความเจ็บปวดในระหว่างการฉีดเนื่องจากไม่มีสารช่วยหล่อลื่น คนไข้สามารถแจ้งแพทย์ผู้ทำหัตถการ เพื่อขอทายาชาเพื่อระงับอาการเจ็บปวดก่อนทำหัตถการได้
                                                      • การฉีด Radiesse+: การเพิ่มสาร Lidocaine ช่วยลดความเจ็บปวด และความไม่สบายในระหว่างการฉีด
                                                      • การฉีด ชาแนล: ใช้วิธีการฉีดสารบำรุงเข้าสู่ผิวหนังชั้นกลาง อาจมีความเจ็บปวดเล็กน้อยขึ้นอยู่กับสารที่ใช้ และการตอบสนองของผิว
                                                    4. ความแตกต่างด้านผลลัพธ์
                                                      • การฉีด Radiesse: เหมาะกับงานผิว เนื่องจากช่วยปรับสภาพผิวให้ดูสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
                                                      • การฉีด Radiesse+: เหมาะกับงานโครงสร้าง เนื่องจากช่วยปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรงในระดับลึก ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลหลังการฉีด
                                                      • การฉีด ชาแนล: ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับการใช้งานต่อเนื่อง และสภาพผิวของผู้ใช้ โดยทั่วไปจะเห็นผลในเรื่องของความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นของผิวหลังการใช้

                                                  ข้อดี และข้อควรระวังของการฉีด Radiesse,Radiesse+ กับ ชาแนล

                                                  ข้อดีของ การฉีด Radiesse และการฉีด Radiesse+

                                                    • ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง
                                                    • ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ และคงทนยาวนาน
                                                    • เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก และการปรับโครงสร้างใบหน้า

                                                  ข้อควรระวังของ การฉีด Radiesse และการฉีด Radiesse+

                                                    • อาจเกิดผลข้างเคียงเช่น อาการบวม แดง หรือช้ำหลังการฉีด
                                                    • ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการฉีดเพื่อประเมินสภาพผิว และความเหมาะสมในการใช้ผลิตภัณฑ์

                                                  ข้อดีของการฉีด ชาแนล

                                                    • ช่วยบำรุง และฟื้นฟูผิวจากภายใน
                                                    • เหมาะสำหรับการปรับปรุงสภาพผิวในหลาย ๆ ด้าน เช่น ลดริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้น และทำให้ผิวดูสดใส
                                                    • สามารถปรับสูตรการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพผิว และความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน

                                                  ข้อควรระวังในการฉีด ชาแนล

                                                    • อาจเกิดผลข้างเคียงเช่น อาการบวม แดง หรือช้ำหลังการฉีด
                                                    • ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิว และความเหมาะสมในการใช้การรักษานี้

                                                  โปรแกรมฉีด Radiesse และ โปรแกรมฉีด Radiesse+ ต่างจาก โปรแกรมฉีด มาเด้คอลลาเจน

                                                  เปรียบเทียบ Radiesse ,Radiesse+ และ มาเด้คอลลาเจน ต่างกันอย่างไร

                                                  การดูแลผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ และสดใสเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าหลายชนิดถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการนี้ ในหัวข้อนี้จะมาให้ความรู้ และเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง การฉีด Radiesse, การฉีด Radiesse+ และการฉีด มาเด้คอลลาเจน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมในวงการความงาม 

                                                  Radiesse ,Radiesse+ และ มาเด้คอลลาเจน แตกต่างกันตรงไหน

                                                    1. ความแตกต่างด้านส่วนผสม และคุณสมบัติพิเศษ
                                                      • Radiesse: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเต่งตึง และเรียบเนียน
                                                      • Radiesse+: ประกอบด้วยแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) และ Lidocaine ที่ช่วยลดความเจ็บปวดในระหว่างการฉีด ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายมากขึ้น
                                                      • มาเด้คอลลาเจน: ประกอบด้วยสารสกัดจากธรรมชาติหลายชนิด รวมถึงคอลลาเจน ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และความชุ่มชื้นให้กับผิว
                                                    2. ความแตกต่างด้านวัตถุประสงค์การใช้งาน
                                                      • การฉีด Radiesse: เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก บริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และงานผิวให้ดีมากยิ่งขึ้น
                                                      • การฉีด Radiesse+: เหมาะสำหรับการเสริมสร้างโครงหน้าที่ชัดเจน ช่วยให้ใบหน้ามีมิติมากยิ่งขึ้น
                                                      • การฉีด มาเด้คอลลาเจน: ใช้ในการบำรุงผิวหน้า และรักษาปัญหาผิวพรรณ เช่น ริ้วรอยเล็กๆ จุดด่างดำ และความหยาบกร้านของผิว
                                                    3. ความแตกต่างด้านความรู้สึกระหว่างการฉีด
                                                      • การฉีด Radiesse: อาจมีความเจ็บเล็กน้อยในระหว่างการฉีด คนไข้สามารถแจ้งแพทย์ผู้ทำหัตถการ เพื่อขอทายาชาเพื่อระงับอาการเจ็บปวดก่อนทำหัตถการได้
                                                      • การฉีด Radiesse+: การเพิ่มสาร Lidocaine ช่วยลดความเจ็บปวด และความไม่สบายในระหว่างการฉีด
                                                      • การฉีด มาเด้คอลลาเจน: มักใช้วิธีการทา และนวด ซึ่งไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด
                                                    4. ความแตกต่างด้านผลลัพธ์
                                                      • การฉีด Radiesse: เหมาะกับงานผิว เนื่องจากช่วยปรับสภาพผิวให้ดูสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
                                                      • การฉีด Radiesse+: เหมาะกับงานโครงสร้าง เนื่องจากช่วยปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรงในระดับลึก ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลหลังการฉีด
                                                      • การฉีด มาเด้คอลลาเจน: ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับการใช้งานต่อเนื่อง และสภาพผิวของผู้ใช้ โดยทั่วไปจะเห็นผลในเรื่องของความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นของผิวหลังการใช้

                                                  ข้อดี และข้อควรระวังของการฉีด Radiesse ,การฉีด Radiesse+ กับการฉีด มาเด้คอลลาเจน

                                                  ข้อดีของ การฉีด Radiesse และการฉีด Radiesse+

                                                    • ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง
                                                    • ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ และคงทนยาวนาน
                                                    • เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก และการปรับโครงสร้างใบหน้า

                                                  ข้อควรระวังของ การฉีด Radiesse และการฉีด Radiesse+

                                                    • อาจเกิดผลข้างเคียงเช่น อาการบวม แดง หรือช้ำหลังการฉีด
                                                    • ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการฉีดเพื่อประเมินสภาพผิว และความเหมาะสมในการใช้ผลิตภัณฑ์

                                                  ข้อดีของการฉีด มาเด้คอลลาเจน

                                                    • ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และความชุ่มชื้นให้กับผิว
                                                    • เหมาะสำหรับการบำรุงผิว และรักษาปัญหาผิวพรรณต่าง ๆ
                                                    • ใช้งานง่าย ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด

                                                  ข้อควรระวังของการฉีด มาเด้คอลลาเจน

                                                    • ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับการใช้งานต่อเนื่อง และสภาพผิวของผู้ใช้
                                                    • ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

                                                  สรุป

                                                  จากข้อมูลด้านบนที่เปรียบเทียบความแตกต่างของ การฉีด Radiesse และการฉีด Radiesse+ กับการฉีดผิวชนิดอื่น ไม่ว่าจะเป็น การฉีด Filler ,การฉีด sculptra, การฉีด Rejuran, Skin Booster, โปรแกรม หน้าใส , การฉีด ชาแนล และ การฉีด มาเด้คอลลาเจน, เราจะเห็นความแตกต่างของแต่ละโปรแกรมอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแหล่งข้อมูลที่ให้ความรู้แก่ผู้อ่าน เพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจในการเข้ารับบริการ

                                                  อย่างไรก็ตามในส่วนของการเข้ารับบริการเพื่อความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ คนไข้ควรเข้าปรึกษาแพทย์ผู้ทำหัตถการก่อนเข้ารับบริการทุกครั้ง เพื่อประเมินสภาพผิว และปัญหาผิวต่าง ๆ รวมถึงแนวทางในการรักษากับแพทย์โดยละเอียด หากคนไข้มีประวัติแพ้ยาควรแจ้งให้แพทย์ทราบโดยละเอียด เนื่องจากประวัติการแพ้ยาส่งผลต่อการเลือกแนวทางการรักษาของคนไข้ เพื่อลดโอกาสการเกิดความเสี่ยง อาการแทรกซ้อนที่อาจตามมาหลังเข้ารับบริการ

                                                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                    วันที่สะดวกในการติดต่อ




                                                    เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                                                    ไม่อยากหน้าแก่ แค่ออกกำลังกายใบหน้าด้วย Emface

                                                    Emface-exercise-face

                                                    ออกกำลังกายใครๆ ก็ทำได้ การออกกำลังกายทำให้กล้ามเนื้อเฟิร์มกระชับ และแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ใบหน้าก็เหมือนกัน ถ้าอยากหน้าเฟิร์มกระชับก็ต้องรู้จักออกกำลังกายใบหน้า เรียกง่ายๆ ก็คือการบริหารใบหน้านั่นแหละ! ซึ่งก็เหมือนกับการบริหารร่างกายส่วนอื่นๆ หากทำถูกวิธีก็จะช่วยให้หน้ายกกระชับ ปรับรูปหน้าให้เรียวสวยได้ แถมยังช่วยให้หน้าเด็กได้อีกด้วย เพราะการบริหารใบหน้าช่วยทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น

                                                    ใครไม่อยากแก่..ต้องมาทางนี้! รมย์รวินท์คลินิกมีทั้งท่าบริหารใบหน้า และเครื่องมือที่ใช้บริหารใบหน้ามาฝากกันถ้าใครที่ไม่ชอบทำเองก็สามารถใช้ตัวช่วยได้ สามารถทำกันได้ทุกวันเลย ให้หน้ากระชับ ลดแก้ม ลดเหนียง ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ทำทุกวันรับรองเห็นผลแน่นอน เริ่มกันที่วิธีง่ายๆที่สามารถทำได้เองก่อนเล๊ย!!

                                                    มาวอร์มอัปใบหน้ากันก่อน

                                                    Emface-exercise-face

                                                    ก่อนบริหารใบหน้าก็ต้องวอร์มอัปกันก่อน โดยเริ่มต้นจากหันหน้าไปทางซ้ายจนให้รู้สึกตึงบริเวณกล้ามเนื้อคอของด้านตรงข้าม และค้างไว้ท่านี้ 5 วินาที จากนั้นหันหน้าไปทางขวาจนสุดและทำแบบเดียวกันกับด้านซ้าย ทำท่านี้สลับกันซ้ายขวา ข้างละ 5 ครั้ง เพื่อเป็นการยืดกล้ามเนื้อช่วยให้ขยับใบหน้าได้ง่ายขึ้น

                                                    A, E, I, O, U กู้หน้าตึง

                                                    Emface-exercise-face

                                                    เริ่มท่าบริหารใบหน้า ให้พูดคำว่า A, E, I, O, U โดยอ้าปากออกเสียงไปตามตัวสระให้ได้มากที่สุด เช่นตัว A ให้ฉีกยิ้มให้มากที่สุด ตัว O ให้ทำปากเป็นรูปตัวโอให้ได้มากที่สุด เป็นต้น พูดสลับกันไปมา 5 รอบ ท่านี้ช่วยบริหารกล้ามเนื้อใบหน้า ทำให้หน้าเรียวกระชับและช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าได้อีกด้วยค่ะ

                                                    จูจุ๊บท้องฟ้าพาลดเหนียง

                                                    Emface-exercise-face

                                                    สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องเหนียงหรือคางสองชั้นลองทำท่าบริหารใบหน้าท่านี้เป็นประจำช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณใต้คางไปจนถึงคอกระชับขึ้น หน้าเรียวขึ้น วิธีทำท่านี้ให้เงยหน้ามองเพดานจนรู้สึกตึงช่วงบริเวณใต้คางและลำคอ จากนั้นให้ทำปากจู๋เหมือนกับกำลังจูบ ค้างไว้ท่านี้ 10 วินาที แล้วผ่อนลง ทำซ้ำกัน 5 ครั้ง

                                                    ดูดปากแล้วฉีกยิ้ม

                                                    Emface-exercise-face

                                                    เริ่มจากให้ดูดปากให้แก้มทำสองข้างบุ๋มเข้าหากันให้มากที่สุด ท่านี้ให้ทำปากเหมือนกำลังดูดน้ำ ค้างไว้ 10 วินาที จากนั้นให้ฉีกยิ้มให้กว้างที่สุด และค้างไว้อีก 10 วินาที โดยทำท่าดูด และฉีกยิ้มสลับกันไปมา 5 – 10 ครั้ง ท่าบริหารใบหน้านี้จะช่วยลดริ้วรอยร่องแก้ม ช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณแก้มกระชับ เพิ่มความคมชัดให้สันกราม หน้าเรียวขึ้น

                                                    หลับตาปี๋หนีหน้าแก่

                                                    Emface-exercise-face

                                                    วิธีการบริหารใบหน้าง่ายๆ แค่หลับตาให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหมือนดึงใบหน้าทุกส่วนไปรวมกันที่ตรงกลาง จะรู้สึกหน้าตึงทุกส่วน ค้างไว้ 5 วินาที ให้ทำท่านี้ซ้ำกัน 5 – 10 ครั้ง ท่านี้ช่วยให้เลือดบนใบหน้าไหลเวียนได้ดีเพราะได้บริหารใบหน้าทุกส่วน ทำให้หน้าดูเด็กลง

                                                    แลบลิ้นแตะฟันกระชับหน้า

                                                    Emface-exercise-face

                                                    แลบลิ้นออกมา และแตะปลายลิ้นที่บริเวณด้านหลังฟันหน้า อ้าปากให้กว้างที่สุดให้รู้สึกว่าหน้าตึง ทำค้างไว้ 5 วินาที ซ้ำกัน 15 ครั้ง ท่าบริหารใบหน้านี้ช่วยกระชับกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม ใต้คาง และกรอบหน้าให้รู้สึกยกกระชับขึ้น

                                                    เป่าลมลดแก้มอ้วน

                                                    Emface-exercise-face

                                                    ใครที่มีแก้ม หรือหน้าหย่อนคล้อยต้องลองทำท่าบริหารใบหน้าท่านี้ เริ่มจากให้อ้าปากและหายใจเข้ากักลมไว้ที่บริเวณกระพุ้งแก้มจนแก้มป่องทั้งสองข้าง ค้างไว้ 10 วินาที และค่อยๆปล่อยลมออกมาทางปากเหมือนกำลังเป่าลูกโป่ง ทำซ้ำกัน 10 ครั้ง วิธีนี้ช่วยให้แก้มกระชับ ลดความหย่อนคล้อยได้ดีมาก

                                                    หรือถ้าต้องเหนื่อย หรือเสียเวลากับการบริหารใบหน้าแบบเดิมๆ มาที่รมย์รวินท์คลินิกก็ได้ออกกำลังกายให้ใบหน้ายกกระชับได้?

                                                    อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ แค่นอนเฉยๆ ใช้เวลาเพียงแค่ 20 นาทีเท่านั้น คุณก็รู้สึกเหมือนได้ออกกำลังกายใบหน้าให้ยกกระชับได้แล้ว รมย์รวินท์คลินิกขอแนะนำการออกกำลังกายใบหน้าที่ไม่ต้องยุ่งยาก ไม่ใช้เวลานาน แต่ได้บริหารกล้ามเนื้อ แค่ได้รู้จักกับ “EMFACE”

                                                    Emface-exercise-face

                                                    EMFACE ปล่อยพลังงาน Synchronized RF และ HIFES ผ่านแผ่น Applicator ซึ่งถูกออกแบบโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน Facial Anatomy โดยแพทย์จะแปะแผ่น Applicator ของเครื่องนี้บริเวณหน้าผาก และแก้ม EMFACE จะส่งพลังงานตั้งแต่ชั้นผิวหนังลงลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ กระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้าให้เกิดการหดเกร็งตัว เสมือนการได้ออกกำลังกาย อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหน้ายกกระชับขึ้น มีความเนียนเรียบ ไร้ริ้วรอยเหี่ยวย่น

                                                    Emface-exercise-face

                                                    และขอแนะนำ การออกกำลังกายใบหน้าที่ได้มากกว่ายกกระชับใบหน้า “EMFACE Submentum” ที่พัฒนาเทคโนโลยีมาจากตัวเดิม โดยจะติดแผ่น Applicator บริเวณเหนียง ช่วยสลายไขมันสะสมบริเวณใต้คาง และยังช่วยกระชับกล้ามเนื้อบริเวณใต้คางไปพร้อมๆ บอกลาเหนียงและคางสองชั้นไปได้เลย!

                                                    Emface-exercise-face

                                                    สำหรับใครที่อยากหน้าเฟิร์ม ยกกระชับ พร้อมลดเหนียง และสลายไขมันส่วนเกินบริเวณใบหน้า แบบที่การบริหารใบหน้าก็ทำไม่ได้ มาพบกับ EMFACE และ “EMFACE Submentum” ได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขาใกล้บ้านคุณได้เลยค่ะ

                                                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                      วันที่สะดวกในการติดต่อ




                                                      เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                                                      Radiesse ( เรเดียสซ์ )และ Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) ต่างกันอย่างไร

                                                      Radiesse กับ Radiesse+ ต่างกันอย่างไร

                                                      ในยุคที่เทคโนโลยีทางการแพทย์ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเรา อาจส่งผลต่อการดูแลผิวหน้า และความงามไม่ต่างกันเลย ด้วย Radiesse และ Radiesse Plus ที่กำลังเป็นที่นิยมในวงการความงาม ผู้ใช้บริการทุกคนที่สนใจในเรื่องของความสวยความงามควรจะต้องศึกษาหามูลให้ดีไม่ใช่เพียงแค่มองหาข้อดีข้อดี แต่จะต้องหาขู้มูลเกี่ยวกับข้อควรระวังต่าง ๆ ร่วมด้วย

                                                      ผู้เข้ารับบริการมักจะต้องการแหล่งความรู้มากขึ้นเรื่อยๆในบทความนี้รมย์รวินท์คลินิกได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยว “การฉีด Radiesse” และ “การฉีด Radiesse Plus ” เพื่อประกอบการพิจารณา และการตัดสินใจ

                                                      Radiesse (เรเดียสซ์) คืออะไร

                                                      โปรแกรมฉีด เป็นผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่มีคุณสมบัติพิเศษ เนื่องจากไม่เพียงแต่ช่วยในด้านของการเติมเต็ม ยังช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของใบหน้า และยังช่วยในการสร้างโครงสร้างภายในผิวที่ดีเยี่ยม เพื่อผลลัพธ์ที่ธรรมชาติมากขึ้น

                                                      การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) เป็นวิธีการเสริมสร้างโครงสร้างผิวหนังทีดีที่สุดอีกตัวหนึ่ง โดยมีองค์ประกอบหลักของผลิตภัณฑ์คือแคลเซียมไฮโดรการ์บอเนต หรือ CaHA ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น และสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ ทำให้ผิวดูสม่ำเสมอ และมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

                                                      ช่วยให้ผิวหนังดูอ่อนเยาว์ ด้วยผลลัพธ์ที่สามารถมองเห็นได้โดยทันทีหลังทำ และประสิทธิภาพที่ดีที่สุดในการแก้ไขข้อบกพร่องของใบหน้า ไม่แปลกใจที่การฉีด Radiesse นั้นเป็นโปรแกรมงานผิวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในวงการความงามในปัจจุบัน

                                                      Radiesse (เรเดียสซ์) เหมาะกับใครบ้าง

                                                      การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) เหมาะกับบุคคลที่ต้องการมีผิวที่สวยและ แข็งแรงทุกมิติในระดับโครงสร้าง ผลิตภัณฑ์นี้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับผู้เข้ารับบริการหรือคนไข้ที่มีปัญหาด้านใดบ้างดังนี้

                                                      1. การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) เหมาะสมกับผู้ที่ต้องการให้ผิวมีโครงสร้างที่แข็งแรง และยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้ใบหน้าดูมีความสมดุลมากยิ่งขึ้น
                                                      2. การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์)  เหมาะสมกับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอย เนื่องจากโปรแกรมนี้สามารถเติมเต็มริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวหนังดูเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
                                                      3. การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) เหมาะสมกับผู้ที่มีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง และไม่มีประวัติการแพ้ยา หรือสารเคมี
                                                      4. การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) เหมาะสมกับผู้ที่คนที่มีความต้องการเห็นผลลัพธ์ทันทีและจะยิ่งเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆตามระยะเวลา

                                                      Radiesse (เรเดียสซ์) ไม่เหมาะกับใครบ้าง

                                                      1. การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) ไม่เหมาะกับคนที่มีประวัติการแพ้ยา ที่มีสารประกอบโปรตีนอื่น ๆ ก่อนเข้ารับบริการควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ เพื่อป้องกันอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
                                                      2. การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาสุขภาพร้ายแรง หรือคนที่มีโรคประจำตัวไม่แนะนำให้ทำหัตถการนี้ เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่สูงขึ้น
                                                      3. การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) ไม่เหมาะกับคนที่มีภาวะผิวบอบบาง คนที่สุขภาพผิวไม่แข็งแรง ผิวแพ้ง่าย หรือมีรอยแตก ไม่เหมาะสมกับการเข้ารับบริการ
                                                      4. การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) ไม่เหมาะกับคนที่อายุมาก ในบางเคสการฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) สำหรับผู้ที่มีอายุมาก อาจมีความเสี่ยงต่ออาการแพ้ต่าง ๆ รวมถึงภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ง่าย

                                                      อย่างไรก็ตาม ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และคำแนะนำของแพทย์อย่างละเอียดก่อนค่อยตัดสินใจ หากคนไข้ทราบข้อมูลที่ถูกต้องโดยละเอียดแล้ว จะช่วยเพิ่มระดับความปลอดภัยอีกด้วย

                                                      Radiesse กับคุณสมบัติที่มือใหม่ควรรู้

                                                      คุณสมบัติของตัวยา Radiesse (เรเดียสซ์)

                                                        1. กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน

                                                      หนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญหลัก ๆ คือการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิวหนัง ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาความยืดหยุ่น และความกระชับของผิว

                                                        1. ให้ผลลัพธ์ยาวนาน

                                                      ผลลัพธ์จากการฉีด สามารถคงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลรักษาตัวเองหลังเข้ารับการทำหัตถการ

                                                        1. ระดับความปลอดภัย

                                                      ด้วยการใช้สารที่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์ จึงมีความปลอดภัยสูง และมีโอกาสเกิดปฏิกิริยาแพ้ตัวยาน้อยมาก ๆ

                                                        1. มีการใช้งานได้หลายจุดบนร่างกาย

                                                      ตัวยาชนิดนี้สามารถใช้ได้หลากหลายบริเวณบนร่างกาย รวมถึงใบหน้า และมือ เพื่อปรับปรุงรูปร่าง และความยืดหยุ่นของผิว

                                                      Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) คืออะไร

                                                      Radiesse Plus ( เรเดียสซ์ พลัส ) มีสารประกอบหลักคือ แคลเซียมไฮดรอกซีลาพาไทต์ (Calcium Hydroxylapatite หรือ CaHA) ซึ่งเป็นสารที่มีความปลอดภัย และได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ต้องบอกก่อนเลยว่าสาร CaHA เป็นส่วนประกอบที่พบได้ในร่างกายมนุษย์ ทำให้ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ แถมยังมีความสามารถในการเข้ากันได้กับร่างกายสูง และมีความปลอดภัยสูงอีกด้วย

                                                      แคลเซียมไฮดรอกซีลาพาไทต์ (CaHA) คืออะไร

                                                      หลายคนอาจเกิดข้อสงสัยบางอย่างเกี่ยวกับสารชนิดนี้ สาร CaHA ประกอบด้วยอนุภาคแคลเซียม และฟอสเฟตที่อยู่ในรูปแบบของเจล เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวหนัง สารนี้จะช่วยเติมเต็ม และยกกระชับผิวในทันที ในระยะยาว อนุภาคแคลเซียมจะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ และเต่งตึงขึ้น กระบวนการนี้ช่วยให้ Radiesse+ เป็นฟิลเลอร์ที่มีผลลัพธ์ยาวนาน และเป็นธรรมชาติมากที่สุดนั่นเอง

                                                      Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส)เหมาะกับใครบ้าง

                                                      การฉีด Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) นับว่าเป็นตัวเลือกแห่งการเสริมความงามที่มีคุณสมบัติทางกายภาพ และเคมีที่ดีที่สุด สำหรับบุคคลที่มีความสนใจในการปรับรูปหน้า หรือร่างกายโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่พึ่งมีดหมอ ซึ่งตัวยานี้มีส่วนช่วยให้ผิวหนังดูเต่งตึง และมีสมดุลในลักษณะที่ต้องการอาทิเช่น

                                                      • ผู้ที่ใบหน้าขาดความกระชับ

                                                      สำหรับการกระชับผิวหนัง เหมาะสำหรับผู้ที่มีการสูญเสียเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ส่งผลให้ใบหน้าไม่กระชับ หย่อนยาน

                                                      • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนาน

                                                      สำหรับผลลัพธ์ที่ยาวนาน การฉีด Radiesse Plus ( เรเดียสซ์ พลัส ) มีประสิทธิภาพให้ผลลัพธ์ในระยะยาวนาน และช่วยให้ผิวหนังดูสมบูรณ์ และมีความยืดหยุ่นได้

                                                      • ผู้ที่มีความต้องการปรับเปลี่ยนรูปหน้า

                                                      สำหรับบุคคลที่มีความต้องการปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด เช่น ปรับรูปทรงหน้าผาก ผิวหน้า และรักษาการเกิดริ้วรอยต่าง ๆ

                                                      • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์อย่างเป็นธรรมชาติ

                                                      หัตถการนี้ช่วยให้ผิวดูธรรมชาติ หลังเข้ารับบริการไม่ทำให้ใบหน้าเกิดรูปร่างที่ดูผิดธรรมชาติ แถมยังมีความยืดหยุ่นที่เหมาะสมกับโครงสร้างภายในของใบหน้าแต่ละคนอีกด้วย

                                                      • ผู้ที่ต้องการเพิ่มความสมดุลให้กับลักษณะของใบหน้า

                                                      สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความสมดุลของใบหน้า สามารถปรับลักษณะโครงสร้างของใบหน้าที่ไม่สมดุล ให้มีความสมส่วนมากยิ่งขึ้น

                                                      Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) ไม่เหมาะกับใคร ?

                                                      แม้การฉีด Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) จะเป็นวิธีการเสริมความงามที่มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยสูงก็ตาม แต่ก็ยังมีคนไข้บางกลุ่มไม่เหมาะสมหรือมีความเสี่ยงในการเข้ารับบริการนี้ คนไข้ในกลุ่มนี้คือกลุ่มของ

                                                      • บุคคลที่มีประวัติแพ้ยา หรือแพ้สารประกอบในตัวยาบางชนิด

                                                      คนไข้ที่มีประวัติแพ้สารเคมี ที่เป็นสารประกอบของ ตัวยาของ Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการเข้ารับบริการ เพื่อป้องกันอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

                                                      • บุคคลที่มีภาวะแพ้หรือตอบสนองต่อการติดเชื้อง่าย

                                                      คนที่มีภาวะแพ้ง่าย หรือมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแออาจมีความเสี่ยงสูง ต่อการเข้ารับบริการดังกล่าวอย่างไรก็ตามหากตัดสินใจเข้ารับบริการ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนการรับบริการทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย และป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

                                                      • บุคคลที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง หรืออยู่ในสภาวะเสี่ยงโรคต่างๆ

                                                      บุคคลที่มีโรคเรื้อรัง หรืออยู่ในสภาวะเสี่ยงอาจได้รับผลกระทบที่ไม่คาดฝันจากการทำหัตถการนี้ จึงขอแนะนำให้คนไข้เข้าปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินโอกาสการเกิดผลกระทบดังกล่าว รวมถึงความปลอดภัยในการเข้ารับบริการทุกครั้ง

                                                      Radiesse อันตรายหรือไม่

                                                      การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) และการฉีด Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) อันตรายหรือไม่

                                                      การตัดสินใจเกี่ยวกับการรับบริการ เพื่อเสริมสร้างโครงหน้า และลดเลือนริ้วรอยเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่ควรพิจารณาก่อนการตัดสินใจคือความปลอดภัยของกระบวนการ บทความนี้จะช่วยให้คนไข้เข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับความปลอดภัย และเปรียบเทียบความเสี่ยงกับประโยชน์ของการใช้งานเหล่านี้

                                                      • ความปลอดภัยของบริการ

                                                      เป็นสารเติมเต็มผิวที่ได้รับการอนุมัติจาก FDA และมีประสิทธิภาพสูงในการปรับโครงหน้า และลดเลือนริ้วรอย ส่วนประกอบหลักของ Radiesse (เรเดียสซ์) และ Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) คือแคลเซียมไฮดรอกซิลอะพาไทต์ (CaHA) ที่มีความปลอดภัยสูง และได้รับการยอมรับในการใช้งานมากว่า 10 ปี สารสำคัญใน Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) ยังรวมถึง Lidocaine ที่ช่วยลดความเจ็บปวดระหว่างการฉีด ทั้งสองสารนี้ได้รับการทดสอบ และพิสูจน์ว่ามีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการใช้งาน

                                                      • การเปรียบเทียบความเสี่ยงและประโยชน์

                                                      การทำหัตถการนี้อาจมีความเสี่ยงบางประการ เช่น อาจเกิดบวม แดง หรือช้ำบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่สามารถหายไปเองได้ในไม่กี่วัน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงเหล่านี้มีน้อยมาก และสามารถหายได้ทันทีหากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ประโยชน์ของการฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) และการฉีด Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) รวมถึงการเสริมสร้างโครงหน้า และลดเลือนริ้วรอย นับเป็นเหตุผลที่สำคัญที่ทำให้คนไข้เลือกใช้ เพื่อเสริมสร้างโครงหน้า และลดเลือนริ้วรอยเป็นกระบวนการที่มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ผู้รับการรักษาควรพิจารณาความเสี่ยง และประโยชน์ก่อนการตัดสินใจ อย่างไรก็ตามการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนับว่าเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และผลลัพธ์ที่เหมาะสม

                                                      การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) และ Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) กับขั้นตอนการทำหัตถการ

                                                      ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และปลอดภัย ขั้นตอนการฉีดประกอบด้วยหลายขั้นตอนดังนี้

                                                      1. การปรึกษา และประเมินปัญหาผิว

                                                      ก่อนเข้ารับบริการฉีด Radiesse ( เรเดียสซ์ ) และ Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) แพทย์จะทำการปรึกษา และประเมินปัญหาผิวของผู้รับการรักษาอย่างละเอียด แพทย์ผู้ทำหัตถการจะสอบถามประวัติสุขภาพ ประเมินสภาพผิว และประเมินปัญหาผิวของคนไข้ เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

                                                      1. ขั้นตอนการเตรียมผิวก่อนทำหัตถการ

                                                      การเตรียมผิวเป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อให้ผิวพร้อมรับการรับบริการ มีประสิทธิภาพ และปลอดภัย แพทย์จะทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะฉีดด้วยสารทำความสะอาด และสารฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ นอกจากนี้แพทย์อาจใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อทำให้บริเวณที่ฉีดชาขึ้นก่อนการฉีดจริงเพื่อลดอาการเจ็บปวดของคนไข้

                                                      1. ขั้นตอนการทำหัตถการ

                                                      ขั้นตอนการฉีดจะดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แพทย์จะทำการฉีดสารเติมเต็มลงไปในชั้นผิวหนังที่ต้องการแก้ไขความบกพร่อง โดยจะใช้ปริมาณที่เหมาะสม และปรับแต่งให้ผิวดูเรียบเนียน และเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

                                                      1. การดูแลหลังการฉีด

                                                      หลังจากเข้ารับบริการ แพทย์จะให้คำแนะนำในการดูแลรักษาผิวอย่างละเอียด การดูแลหลังการฉีดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่นาน และป้องกันการเกิดปัญหาต่าง ๆ คำแนะนำที่มักจะได้รับหลังการฉีดประกอบด้วย

                                                      • หลีกเลี่ยงการนวด หรือกดบริเวณที่ฉีด
                                                      • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับความร้อน หรือความเย็นจัด เช่น ซาวน่า หรือแสงแดดแรง ๆ
                                                      • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังการฉีด
                                                      • รักษาความสะอาดผิว และหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง

                                                      หลังฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) และ Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) ใช้ระยะเวลา กี่วันจึงเริ่มเห็นผลลัพธ์

                                                      การฉีดสารเติมเต็มผิวเพื่อแก้ไขปัญหาริ้วรอย และเสริมสร้างโครงหน้าเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในวงการความงาม เนื่องจากเป็นสารเติมเต็มที่มีประสิทธิภาพสูง และเป็นที่รู้จักกันดี คำถามที่หลายคนสงสัยคือ “การฉีด Radiesse (เรเดียสซ์)และ Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) กี่วันเห็นผล ?”

                                                      ระยะเวลาการเห็นผลหลังการฉีด

                                                      1. หลังทำหัตถการทันที

                                                      หลังจากการฉีดตัวยา ผู้รับการรักษาจะเห็นผลลัพธ์บางส่วนทันที ผิวจะดูเต็มอิ่มขึ้น และริ้วรอยลึกจะดูตื้นขึ้น เนื่องจากสารเติมเต็มที่ถูกฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนังทำให้ผิวดูเรียบเนียน และเป็นธรรมชาติขึ้น

                                                      1. หลังจากเข้ารับบริการ 1-2 สัปดาห์

                                                      ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังการฉีด ร่างกายจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการปรับตัว และกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ชั้นผิว ซึ่งจะทำให้ผลลัพธ์ดูชัดเจน และสมบูรณ์มากขึ้น ระยะเวลานี้ผิวจะดูเรียบเนียน และยืดหยุ่นขึ้น ส่งผลให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

                                                      1. ผลลัพธ์ระยะยาว

                                                      ตัวยามีความสามารถในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ทำให้ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลรักษาของคนไข้ การสร้างคอลลาเจนใหม่จะทำให้ผิวดูเนียนนุ่ม และยืดหยุ่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง

                                                      ปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อผลลัพธ์หลังฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) และ Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส)

                                                      1. สภาพผิว และอายุของคนไข้

                                                      สภาพผิว และอายุของคนไข้มีผลต่อระยะเวลาการเห็นผล และความคงทนของผลลัพธ์ ผิวที่มีคอลลาเจนปริมาณมากจะดูเป็นธรรมชาติ และให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน คงสภาพผลลัพธ์หลังทำหัตถการได้ยาวนานกว่าโครงสร้างผิวที่มีปริมาณคอลลาเจนน้อย

                                                      1. ปริมาณสารเติมเต็มและตำแหน่งที่ทำหัตถการ

                                                      ปริมาณสารเติมเต็มที่ใช้ และตำแหน่งที่ฉีดมีผลต่อระยะเวลาการเห็นผล การฉีดในตำแหน่งที่ต้องการความละเอียดและทักษะสูง เช่น ใบหน้า จะให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน และเป็นธรรมชาติมากกว่า

                                                      1. การดูแลรักษา รวมถึงการปฏิบัติตัวหลังทำหัตถการ

                                                      การดูแลรักษาผิวหลังการฉีดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่นาน และป้องกันการเกิดปัญหาต่าง ๆ การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดจะช่วยให้ผลลัพธ์ดูดีและคงทน

                                                      ฉีด Radiesse (เรเดียสซ์) และ Radiesse Plus (เรเดียสซ์ พลัส) ราคาเท่าไหร่ แพงไหม

                                                      การรักษาริ้วรอย และการเสริมสร้างโครงหน้าด้วยสารเติมเต็มผิวเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน นับว่าเป็นสารเติมเต็มผิวที่มีประสิทธิภาพสูง และเป็นที่รู้จักกันดีในวงการความงาม สำหรับผู้ที่สนใจในการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ คำถามที่มักจะเกิดขึ้นคือ “ฉีด Radiesse และฉีด Radiesse Plus ราคาเท่าไหร่ แพงไหม?” ในหัวข้อนี้จะมาเจาะลึกถึงรายละเอียดด้านราคารวมถึงการประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนเพื่อความงามว่าคุ้มค่าหรือไม่อย่างไร

                                                      ปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อราคาฉีด Radiesse และฉีด Radiesse Plus

                                                      1. ปริมาณที่ใช้
                                                        • ราคาของจะขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้ในการฉีด ปริมาณมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความต้องการ และสภาพผิวของผู้รับการรักษา
                                                      2. ตำแหน่งที่ฉีด
                                                        • การฉีดในตำแหน่งที่ต้องการความละเอียด และทักษะสูง เช่น ใบหน้า อาจมีราคาสูงกว่าการฉีดในตำแหน่งอื่น
                                                      3. สถานพยาบาล และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
                                                        • ราคาอาจแตกต่างกันไปตามสถานพยาบาล และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการ สถานพยาบาลที่มีชื่อเสียง และแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงมักมีราคาที่สูงมากกว่า
                                                        • โปรโมชั่น และแพ็คเกจ
                                                        • บางสถานพยาบาลอาจมีโปรโมชั่นหรือแพ็คเกจพิเศษที่ลดราคา Radiesse และ Radiesse+ หากต้องการรับบริการในราคาที่สบายกระเป๋า แนะนำให้ดูเป็นช่วงโปรโมชั่นของคลินิก

                                                      เรทราคานี้เป็นราคาประมาณการที่อาจแตกต่างกันไปตามสถานพยาบาล และปริมาณที่ใช้จริง แนะนำให้สอบถามราคาโดยตรงจากสถานพยาบาลหรือคลินิกที่ให้บริการเพื่อได้รับข้อมูลด้านราคาและโปรโมชั่นที่ถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น

                                                      ความคุ้มค่าของการฉีด Radiesse และ Radiesse Plus

                                                      การประเมินความคุ้มค่าในการใช้ ควรพิจารณาจากหลายปัจจัยดังนี้:

                                                      1. ผลลัพธ์ที่ยาวนาน
                                                        • การฉีด Radiesse: เหมาะกับงานผิว เนื่องจากช่วยปรับสภาพผิวให้ดูสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
                                                        • การฉีด Radiesse Plus: เหมาะกับงานโครงสร้าง เนื่องจากช่วยปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรงในระดับลึก ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลหลังการฉีด
                                                      2. วัตถุประสงค์การใช้งาน
                                                        • การฉีด Radiesse: เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก บริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก
                                                        • การฉีด Radiesse Plus: เหมาะสำหรับการเสริมสร้างโครงหน้าที่ชัดเจน ช่วยให้ใบหน้ามีมิติมากยิ่งขึ้น
                                                      3. ความสะดวกสบาย
                                                        • การฉีด Radiesse: อาจมีความเจ็บปวดในระหว่างการฉีดเนื่องจากไม่มีสารช่วยหล่อลื่น คนไข้สามารถแจ้งแพทย์ผู้ทำหัตถการ เพื่อขอทายาชาเพื่อระงับอาการเจ็บปวดก่อนทำหัตถการได้
                                                        • การฉีด Radiesse Plus: การเพิ่มสาร Lidocaine ช่วยลดความเจ็บปวด และความไม่สบายในระหว่างการฉีด
                                                      4. ความปลอดภัย:
                                                        • CaHA ที่เป็นส่วนประกอบหลักของตัวยาทั้งสองแบบนี้ เป็นสารธรรมชาติที่พบในร่างกายมนุษย์ ทำให้มีความปลอดภัยสูง และไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้แต่อย่างใด

                                                      ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม

                                                      1. ความชำนาญของแพทย์:
                                                        • การฉีดสารเติมเต็มผิวต้องอาศัยความชำนาญ และประสบการณ์ของแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม และปลอดภัย การเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อผลลัพธ์ที่ได้
                                                      2. การดูแลหลังการฉีด:
                                                        • การดูแลรักษาผิวหลังการฉีดมีความสำคัญเพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่นาน และป้องกันการเกิดปัญหาต่างๆ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

                                                      Radiesse และ Radiesse Plus เป็นสารเติมเต็มผิวที่มีประสิทธิภาพสูง และให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน แม้ราคาจะค่อนข้างสูง แต่เมื่อพิจารณาถึงผลลัพธ์ที่ได้ และความปลอดภัยในการใช้จึงถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในการดูแลผิวพรรณ และปรับโครงสร้างใบหน้าให้กลับมาดูอวบอิ่มอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งอีกด้วย

                                                      อย่างไรก็ตาม การปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คนไข้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม และยังช่วยให้คนไข้เลือกใช้สินค้าหรือบริการของทางคลินิกได้ตรงกับความต้องการ และปัญหาผิวของคนไข้ได้อย่างดีที่สุดอีกด้วย

                                                      สรุป

                                                      การฉีด Radiesse เหมาะสำหรับคนไข้ที่ต้องการงานผิว เนื่องจากแพทย์จะทำการฉีดตัวยาลงไปในชั้นผิวที่ตื้น บริการนี้ช่วยในเรื่องของการปรับสภาพผิวให้ดูดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ส่งผลให้ผิวสว่างใสอมชมพูได้อีกด้วย

                                                      ส่วนการฉีด Radiesse Plus เหมาะกับงานโครงสร้าง ปรับรูปหน้า เพิ่มมิติใบหน้ามากกว่า เนื่องจากแพทย์ผู้ทำหัตถการจะฉีดตัวยาลงไปในชั้นที่ลึกติดกระดูกใบหน้าของคนไข้ นอกจากนี้สิ่งที่เพิ่มเข้ามายังมีในเรื่องของการผสมสาร Lidocaine ที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดขณะทำหัตถการ ส่งผลให้คนไข้ที่เข้ารับการรักษาไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดระหว่างทำหัตถการ

                                                      อย่างไรก็ตามก่อนเข้ารับบริการคนไข้ควรพบแพทย์ผู้ทำหัตถการทุกครั้ง ประเมินสภาพผิวหน้า รวมถึงปัญหาที่พบ เพื่อความปลอดภัย ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ และหาแนวทางในการรักษาต่อไป

                                                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                        วันที่สะดวกในการติดต่อ




                                                        เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                                                        เคล็ดลับความงาม ! เพียงเลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์

                                                        อาหารบำรุงผิว

                                                        ผิวสวยเปล่งประกายดูดีมีออร่าย่อมเป็นความฝันสำหรับใครหลายคน เทรนด์ความงามใหม่ ๆ จึงเริ่มมีการปรับเปลี่ยนและพัฒนามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีควบคู่กับการทาครีมบำรุงเป็นประจำ บางคนเลือกมองหาผลิตภัณฑ์สกินแคร์ใหม่ ๆ เพื่อการบำรุงผิวที่ดียิ่งขึ้น หรือสำหรับบางคนมีผิวที่ดีอยู่แล้วก็แต่งแต้มความสวยด้วยเครื่องสำอาง แต่มีเทรนด์ความงามอีกรูปแบบที่ค่อนข้าง มาแรงและทุกคนสามารถทำตามได้ไม่ยาก คือ การรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์และมีส่วนช่วยบำรุง ผิวพรรณ

                                                        เนื่องจากอาหารที่เรารับประทานประจำเป็นทุกวันมักจะมีสารอาหารต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณอยู่แล้ว แต่สำหรับอาหารบางประเภทเมื่อรับประทานมากเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายแทน เทรนด์การรับประทานอาหารจึงต้องเลือกทั้งอาหารที่เป็นประโยชน์และปริมาณที่เหมาะสม รมย์รวินท์คลินิกจึงอยากพาทุกคนมารู้จักกับอาหารต่าง ๆ ที่ช่วยถนอมผิวพรรณ และ ช่วยเติมสิ่งดี ๆ ที่เป็นประโยชน์ให้กับร่างกาย

                                                        กินอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรู้ด้วยว่าอาหารสำคัญกับร่างกายแค่ไหน !

                                                        อาหารผิว

                                                        อาหารเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทั้งร่างกายและผิวพรรณของเรา ไม่ว่าจะเป็นสารอาหารที่คอยหล่อเลี้ยงร่างกายและผิวด้วยของเราที่ได้รับมาจากการรับประทาน และยังเป็นแหล่งพลังงานให้กับร่างกายอีกด้วย ลองสังเกตเวลาที่เราไม่ได้รับประทานอาหารเลยทั้งวัน เราจะรู้สึกเหนื่อยง่ายไม่มีแรง เนื่องจากเราไม่ได้รับสารอาหารบางประเภทที่เป็นพลังงานให้กับร่างกาย ซึ่งความสำคัญของอาหารที่มีต่อร่างกายสามารถสรุปออกมาได้ดังนี้

                                                          1. อาหารเป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย : ร่างกายมีการเผาผลาญพลังงานตลอดเวลาแม้แต่เวลาพักผ่อน เนื่องจากกระบวนการต่าง ๆ ภายในร่างกายยังคงทำงานแม้กระทั่งตอนหลับพักผ่อน เราจึงรวมรับประทานอาหารให้ครบ 3 เวลา เช้า/กลางวัน/เย็น
                                                          2. อาหารช่วยเสริมสร้างร่างกายและผิวพรรณ : สารอาหารที่ได้รับมาล้วนถูกนำไปใช้เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย รวมถึงผิวพรรณของเรามีสารอาหารหลายอย่างที่มีส่วนช่วยเรื่องผิวและความงาม เช่น วิตามินบี, วิตามินซี, สังกะสี เป็นต้น
                                                          3. สารอาหารช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและลดปัญหาผิว : สารอาหารที่ได้รับก็มีส่วนช่วยเรื่องระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และผิวพรรณต่าง ๆ ที่มักจะมีริ้วรอยที่เกิดจากมลภาวะก็จะได้รับการซ่อมแซมด้วยสารอาหารต่าง ๆ ที่ได้รับมาจากการทานอาหารที่เป็นประโยชน์

                                                        จะเห็นเลยว่าอาหารที่เรารับประทานมีความสำคัญกับร่างกายเป็นอย่างมาก รมย์รวินท์คลินิกจึงอยากแนะนำอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณ โดยทุกคนสามารถลองปรับเปลี่ยนวิธีการกินจากที่เป็นเมนูอะไรก็ได้ หันมาใส่ใจดูแลตัวเองตั้งแต่การรับประทานอาหาร

                                                        7 อาหารช่วยให้ร่างกายแข็งแรงผิวพรรณสวยเปล่งปลั่ง !

                                                        อาหารผิว

                                                          1. โปรตีนจากเนื้อสัตว์ (ต้องไม่ติดมัน!)

                                                        เนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบของอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและสามารถพบได้จากหลากหลายเมนูที่เรารับประทานบ่อย
                                                        ๆ แต่รู้หรือไม่ ? นอกจากโปรตีนแล้วเรายังได้รับคอลลาเจนจากการรับประทานเนื้อสัตว์
                                                        ซึ่งคอลลาเจนนั้นเป็นส่วนประกอบสำคัญของผิวหนัง ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความหยาบกร้านของผิว
                                                        แต่ควรพยายามหลีกเลี่ยงเนื้อส่วนที่ติดไขมันเพราะอาจทำให้ร่างกายเกิดการสะสมไขมันมากเกินความจำเป็น

                                                          1. มะเขือเทศ

                                                        มะเขือเทศมีส่วนประกอบของสารไลโคปีนและวิตามินหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี 1 บี 2,
                                                        วิตามินซี, วิตามินเค และวิตามินเอ ซึ่งช่วยลดปริมาณฮอร์โมนทำให้ปัญหาสิว ฝ้า หน้าไม่กระจ่างใสลดลง
                                                        รวมถึงช่วยป้องกันผิวจากรังสี UV อีก นับว่ามีสารอาหารหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

                                                          1. เนื้อปลาทะเล

                                                        ปลาทะเลน้ำลึกอุดมไปด้วยสารที่มีประโยชน์กับร่างกาย เช่น คอลลาเจน โอเมก้า3 และกรดไขมันดี
                                                        ซึ่งร่าง กายสามารถดูดซึมไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ คอลลาเจนช่วยเรื่องผิวพรรณ
                                                        ส่วนกรดไขมันดีจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว

                                                          1. ผลไม้ตระกูลส้ม

                                                        หรือที่เรียกว่าผลไม้ตระกูลซิตรัส เช่น ส้ม เลม่อน เกรปฟรุต
                                                        ซึ่งเป็นผลไม้ที่นับว่ามีคอลลาเจนและวิตามินซีสูงมาก แต่หลายคนอาจจะจำว่าผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวคือมีวิตามินซีสูง
                                                        ซึ่งก็ไม่ถูกซะทีเดียวแนะนำให้เลือกรับประทานพวกส้มหรือเลม่อนเป็นหลักจะดีที่สุด
                                                        เนื่องจากวิตามินซีที่ได้รับจากผลไม้ตระกูลส้มช่วยเรื่องผิวพรรณและป้องกันรังสี UV

                                                          1. เบอร์รี่

                                                        ผลเบอร์รี่มีสารพฤกษเคมีที่เรียกว่า “แอนโธไซยานิน” ปริมาณมาก
                                                        โดยสารดังกล่าวมีส่วนช่วยเรื่องการบำรุงผิวให้ออกมาเปล่งปลั่ง
                                                        และมีส่วนช่วยในการกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้น ทำให้ผิวออก มาเรียบเนียน ปราศจากริ้วรอย

                                                          1. ธัญพืชและถั่วต่าง ๆ

                                                        ถั่วและธัญพืชนับว่าเป็นอาหารที่รวมเอาแร่ธาตุต่าง ๆ เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นสังกะสี ทองแดง และ
                                                        วิตามินบี 3 ซึ่งเป็นสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและช่วยบำรุงผิวพรรณ เติมคอลลาเจนให้กับร่างกาย
                                                        โดยเราสามารถเลือกรับประทานถั่วหรือธัญพืชตามความชอบของเราได้เลย เช่น อัลมอนด์, ถั่วลิสง, งาดำ, งาขาว
                                                        เป็นต้น

                                                          1. น้ำผึ้ง

                                                        บางคนติดดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มหวาน ๆ
                                                        สามารถลองปรับเปลี่ยนมาเติมน้ำผึ้งเพื่อทดแทนความหวานจาก น้ำตาลได้ โดยน้ำผึ้งมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์มากมาย
                                                        ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียม, ฟอสฟอรัส, วิตามินบี, วิตามินซี และสาร Humectant
                                                        ที่ช่วยเรื่องการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว

                                                        นอกจากรับประทานอาหารแล้วมาเติมสิ่งดี ๆ มีประโยชน์กับ การให้วิตามินผิว

                                                        Iv Drip

                                                        เคล็ดลับผิวสวยสุขภาพดีนอกจากการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว เรายังสามารถรับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อผิวด้วยการเติม วิตามินผิวสูตรเฉพาะที่รมย์รวินท์คลินิก

                                                        • IV White Skin & Detox : เติมสารอาหารและวิตามิน บำรุงผิวสวย ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย
                                                        • IV White & Fresh : เติมวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเรื่องผิวกระจ่างใส
                                                        • IV Super Hydrate : สารสกัดจากพืช กรดอะมิโนและเปปไทด์ ช่วยสังเคราะห์ Collagen ผิวชุ่มชื้น
                                                        • IV Detox : ปรับสมดุลร่างกาย ขับสารพิษ ช่วยฟื้นฟูสุขภาพพร้อมดูแลผิวพรรณให้สวยงาม

                                                        นอกจากการให้วิตามินผิวแล้ว รมย์รวินท์คลินิกยังมีหัตถการต่าง ๆ ที่ช่วยเรื่องผิวพรรณและรูปร่างได้อย่างตรงจุด หากพบเจอปัญหาผิว สามารถปรึกษาปัญหาได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทั้ง 28 สาขา !

                                                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                          วันที่สะดวกในการติดต่อ




                                                          เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                                                          วัยทำงานกับความเครียด ผลกระทบต่อผิวและสุขภาพ

                                                          ความเครียด

                                                          ชีวิตวัยทำงานกับความเครียด รู้เท่าทันก่อนสายเกินแก้ !

                                                          “เช้ามาต้องไปทำงานอีกแล้ว” “ฝนตกรถติด กว่าจะถึงบ้านแทบไม่มีเวลาพักเลย” “แปป ๆ วันหยุดก็หมดแล้ว ไม่อยากไปทำงานเลย” สถานการณ์เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตวัยทำงานที่เป็นบ่อเกิดของความเครียดสะสม ซึ่งยังไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ การบริหารการเงินที่ฝืดเคืองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความเครียดสะสม สุดท้ายความเครียดที่เกิดขึ้นก็ได้สร้างผลกระทบเชิงลบให้กับร่างกายและจิตใจของเราไปเสียแล้ว

                                                          หากสามารถจัดการความเครียดที่เกิดขึ้นได้ก็นับว่าเป็นข้อดีของตัวเอง แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่สามารถจัดการกับความเครียดได้ อีกทั้งยังเก็บไปคิดมากและค่อย ๆ บั่นทอนสุขภาพกายสุขภาพใจของตัวเองไปทีละนิด ทีละนิด .. จะดีกว่ามั้ย ? ถ้าเราเปลี่ยนจากการนั่งเครียดคิดมากมาหาวิธีรับมือกับมัน และเริ่มหันมาสนใจสุขภาพกายสุขภาพใจของตัวเอง ลองมาสำรวจกันว่าความเครียดทำอะไรกับเราบ้าง ?

                                                          Skin

                                                          “ความเครียด” ภาวะทางอารมณ์ที่ทำร้ายเรามากที่สุด

                                                          ความเครียด เป็นภาวะทางอารมณ์ต่อเหตุการณ์หนึ่งที่อาจก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ เป็นกังวล กระวนกระวาย เมื่อความเครียดอยู่ในระดับที่มากเกินไป ในทางกลับกันหากมีความเครียดอย่างพอดีก็สามารถช่วยให้คนเราเกิดความกระตือรือร้นมากกว่าปกติ ซึ่งจะเห็นได้จากการทำงานภายใต้ความเครียด หากเราสามารถบาลานซ์สิ่งที่เกิดขึ้นได้เราก็จะรู้สึกตื่นตัวกับการทำงานในแต่ละวันมากขึ้น ไม่เหนื่อยไม่ล้า ไม่เครียด แต่ถ้าบาลานซ์ของเราพังเนื่องจาก มีความเครียดสะสมมากจนเกินไปก็จะทำให้เกิดการไม่สบายใจ จนไม่สามารถทำงานให้ลุล่วงได้ ความเครียดจึงเป็นสิ่งที่ควรบริหารให้มีความพอดี นั่นหมายความว่าเครียดได้แต่อย่ามากจนเกินไป

                                                          Skin

                                                          ยิ่งเครียดยิ่งพัง มาดูกันว่าความเครียดส่งผลอะไรกับเราบ้าง ?

                                                          ความเครียดที่สะสมไว้มากจนเกินไปอาจกลายเป็นหายนะทางอารมณ์ ซึ่งหลายท่านอาจจะยังไม่ทราบเกี่ยวกับผลกระทบของความเครียดที่มากไปในระยะยาว โดยนอกจากสภาพอารมณ์ที่มีแต่ความสบายใจแล้วยังมีเรื่องของสุขภาพร่างกายที่ได้รับผลกระทบด้วย ซึ่งสามารถเรียบเรียงเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้

                                                          1. ความเครียดส่งผลต่อสุขภาพกาย – ร่างกายของคนเราสามารถได้รับผลกระทบจากความเครียดโดยตรง ซึ่งจะมีตั้งแต่อาการที่พบได้ทั่วไปจนถึงกรณีที่ค่อนข้างร้ายแรง เช่น ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ไปจนถึงอาการของโรคต่าง ๆ อย่างความผิดปกติของหัวใจ ความดันโลหิตสูง ไมเกรน บางรายยังมีอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศมาเกี่ยวข้องด้วย
                                                          2. ความเครียดส่งผลต่อสุขภาพจิต – แน่นอนว่าความเครียดเป็นสภาวะทางอารมณ์ที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจของเราเป็นอย่างมาก โดยมีโอกาสที่ความเครียดระยะยาวจะนำไปสู่สภาวะซึมเศร้า โรควิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ (OCD) เป็นต้น
                                                          3. ความเครียดส่งผลต่อการทำงาน – เป็นผลพวงมาจากสุขภาพจิตที่เกิดจากความเครียด ยิ่งเรามีความเครียดมากประสิทธิภาพการทำงาน การเรียนรู้ และ การปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างก็จะแย่ลง
                                                          4. ความเครียดส่งผลต่อผิวและความงาม – ส่วนสุดท้ายเป็นเรื่องที่คนรักสวยรักงามไม่ควรพลาด ! เพราะความเครียดส่งผลกระทบต่อผิวและความงามด้วย ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยต่าง ๆ หรือผิวที่หมองคล้ำจากการอดหลับอดนอน ล้วนมีปัจจัยมาจากความเครียดที่สะสมเอาไว้ รวมถึงอาการผิวเครียดที่เราจะมาเน้นย้ำกันชัด

                                                          ผิวเครียด

                                                          อัพเดทโรคของคนทำงาน “ผิวเครียด” ผิวเสียสมดุลจากความเครียด

                                                          อาการเครียดลงผิว หรือผิวเครียด แวบแรกอ่านแล้วคล้ายกับอาการเครียดลงกระเพาะ แต่จริง ๆ แล้วอาการเครียดลงผิวเป็นโรคที่เกี่ยวกับจิตวิทยาผิวหนัง ‘Psychodermatology’ เป็นภาวะที่ความเครียดไปกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนมากกว่าปกติจนร่างกายเกิดการเสียสมดุล ซึ่งส่งผลกระทบต่อผิวของเราด้วยนั่นเอง

                                                          โดยอาการของโรคผิวเครียดที่มักพบได้ทั่วไปก็จะมีดังนี้

                                                          1. ผิวหนังเกิดการระคายเคือง : เนื่องจากความเครียดส่งผลต่อระบบการย่อยอาหารจนเกิดอาการอักเสบบริเวณลำไส้ ส่งผลให้ผิวหนังเกิดการอักเสบตามมา อาการของผิวเครียดแบบนี้เป็นต้นเหตุของการเกิดสิวด้วย
                                                          2. ผิวหน้าหมองคล้ำ : ความเครียดส่งผลต่อการลำเลียงเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ด้วยสถานการณ์ที่เกิดจากความเครียดส่งผลให้เลือดถูกส่งไปที่อวัยวะสำคัญก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนผิวพรรณของเราจะมีเลือดมาเลี้ยงน้อยลง จนทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ ขาดความสดใส
                                                          3. ผิวขาดความชุ่มชื้น : อาการผิวเครียดส่งผลต่อการผลิตฮอร์โมน ‘Cortisol’ ซึ่งส่งผลต่อการกักเก็บความชุ่มชื้นของผิวหนัง ทำให้ผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น
                                                          4. หนังศีรษะและเส้นผม : หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่าเวลาเครียดมาก ๆ ผมจะเกิดอาการร่วงอย่างผิดปกติ รวมถึงมีการสะสมของรังแคมากขึ้น

                                                          บรรเทาความเครียด จัดการความไม่สบายใจด้วยตัวเองวันละนิด

                                                          หากไม่ต้องการให้ผิวพรรณที่สวยงามของคุณได้รับผลกระทบจากความเครียด สิ่งสำคัญเลย คือ การหาวิธีจัดการกับความเครียดที่เหมาะสมกับตัวเอง ถึงแม้ความเครียดจะไม่หายไปทันที แต่การพยายามบรรเทาความไม่สบายใจของตัวเองไปเรื่อย ๆ คุณก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะฉะนั้นมาดูวิธีบรรเทาความเครียดจากรมย์รวินท์คลินิกกัน

                                                          1. มองหางานอดิเรกที่ชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง การอ่านหนังสือ หรืองานอดิเรกแบบอื่น ๆ ถ้าเรารู้สึกสนุกไปกับมัน ความเครียดก็จะค่อย ๆ เบาลงจนหายไป
                                                          2. เปลี่ยนจากการนั่งคิดมากเฉย ๆ ไปออกกำลังกาย หากิจกรรมที่ได้ขยับร่างกาย เพราะนอกจากจะช่วยเปลี่ยนจุดโฟกัสมาที่กิจกรรมตรงหน้าแล้วยังดีต่อสุขภาพด้วย
                                                          3. การทานอาหารก็ช่วยลดความเครียดได้ หลาย ๆ คนมักบอกว่าการได้ทานอาหารอร่อย ๆ คือ การเติมความสุขให้กับตัวเอง แต่จริง ๆ แล้วก็มีอาหารหลาย ๆ อย่างที่ทานแล้วช่วยบรรเทาความเครียดได้ เช่น ชาเขียว ส้ม ฝรั่ง ไข่ เนื้อสัตว์ และ ดาร์กช็อตโกแลต เป็นต้น
                                                          4. จัดการกับต้นเหตุของความเครียด บางครั้งวิธีการนี้ก็เป็นอะไรที่ยากมาก เพราะความเครียดสำหรับบางคนก็มีสาเหตุมาจากสิ่งที่ไม่เป็นรูปธรรม เช่น ภาระหนี้สิน หน้าที่การงานที่เป็นอยู่ แต่สำหรับบาง อย่างเราสามารถจัดการหรือมองข้ามมันไปได้ เช่น ปัญหาการถูกนินทา การถูกต่อว่าด่าทอแรง ๆ บางครั้งเราก็เผลอเก็บคำเหล่านั้นมาใส่ใจมากเกินไป ลองปล่อยวางเพื่อลดความเครียดที่รับมา

                                                          หัตถการรักษาผิวจากความเครียด

                                                          เครียดแล้วมีแต่เสีย มาเสริมความสวยให้หายเครียดดีกว่า

                                                          พอเครียดมาก ๆ เข้าไปนอกจากผลกระทบต่อผิวพรรณสวย ๆ แล้ว เรามักจะละเลยการดูแลตัวเองอีก บอกเลยว่าปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้แล้ว ! ต้องลองมาที่รมย์รวินท์คลินิกเพื่อค้นหาคำตอบของความงามที่แม้แต่ความเครียดยังต้องยอมสยบ ด้วยเทคนิควิเคราะห์ใบหน้า Lifting Select ที่จะช่วยค้นหาหัตถการที่เหมาะสมกับคุณ โดยที่รมย์รวินท์มีโปรแกรมช่วยเรื่องผิวและสัดส่วนรูปร่างมากมาย และตัวที่เหมาะสำหรับช่วยเรื่องการผ่อนคลายมากที่สุดคือโปรแกรมยกกระชับกล้ามเนื้ออย่าง Emface   เป็นโปรแกรมยกกระชับตัวแรกและตัวเดียวในโลกที่สามารถทำได้  ระหว่างการทำงานผู้เข้ารับบริการจะมีความรู้สึกเหมือนได้นวดใบหน้า ในส่วนหน้าผาก และแก้ม จัดเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้ทำการผ่อนคลาย บำบัดความเครียด ที่ได้ผลลัพธ์หลังการทำคือใบหน้าที่ยกกระชับใบหน้าถึงชั้นกล้ามเนื้อ  ทำให้ได้ใบหน้าที่ยกกระชับ ไร้ริ้วรอย และร่องลึกต่างๆด้วย โดยใช้เวลาทำเพียง 20 นาที ทำให้ได้ผลลัพธ์ถึงสองต่อ สามารถปรึกษากับแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิกได้แล้วตั้งแต่วันนี้ แล้วพบกันได้ที่รมย์รวินท์ 28 สาขาใกล้บ้านคุณ

                                                          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                            วันที่สะดวกในการติดต่อ




                                                            เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                                                            ทำไม? เจ้า “สิวตัวร้าย” ต้องมาในวันสำคัญด้วยนะ!

                                                            acne

                                                            ทำไม? เจ้า “สิวตัวร้าย” ต้องมาในวันสำคัญด้วยนะ!

                                                            วันอาทิตย์นี้มีนัดเดทกับหนุ่ม ชุดพร้อม ทรงผมพร้อม เทคนิคแต่งหน้าพร้อม จะเช็กความสวยให้พร้อมอีกที! ก็ต้องกรี๊ดดดบ้านแตก เพราะเจ้า “สิวตัวร้าย” ดันโผล่ขึ้นมาทักทาย! ทำไมนะทำไม วันสำคัญทีไร เจ้าสิวพวกนี้ต้องขึ้นมาบนหน้าทุกที

                                                            เคยสงสัยกันบ้างมั้ย? ว่าทำไมนะ ทำไม ใกล้วันสำคัญทีไร เจ้า “สิวตัวร้าย” ชอบโผล่มา.. เหมือนรู้ว่าจะต้องใช้หน้า แถมขึ้นมาทียังมาแบบเม็ดใหญ่ให้รู้กันไปเลยว่าเป็นสิว!

                                                            ยัง..ยังไม่พอ ยังเรียกเพื่อนมารุมอีก ขึ้นมาที 3-4 เม็ด จนหมดความมั่นใจ ก็รู้นะว่าสิวอ่ะเรื่องธรรมชาติ แต่ไม่มีจะดีกว่ามั้ย..ทำยังไงดีเนี่ย!

                                                            “สิว” เรื่องวุ่นๆ ของคนทุกวัย ไม่ว่าจะวัยเด็ก วัยหนุ่มสาว หรือวัยผู้ใหญ่ก็เป็นสิวกันได้ทั้งนั้น เพราะสิวเกิดจากการจับตัวกันของสิ่งสกปรก เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และความมันในรูขุมขน ก่อให้เกิดเป็นสิวอุดตัน โดยมีลักษณะเป็นตุ่มนูนบริเวณปากรูขุมขน และหากมีตัวกระตุ้นอย่างเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ก็จะทำให้ลุกลามจนกลายเป็นสิวอักเสบได้!

                                                            และที่หลายๆ คนเป็นสิวกันบ่อยๆ ในวันสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นวันนัดเดท วันรับปริญญา วันงานแต่ง สาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากความเครียด หรือความตื่นเต้นจนอาจทำให้นอนไม่หลับ พักผ่อนไม่เพียงพอ

                                                            ยิ่งใกล้วันสำคัญก็ยิ่งเครียด ยิ่งเครียดก็ยิ่งเป็น “สิว” จริงมั้ย?

                                                            รู้มั้ยว่าความเครียดก็ส่งผลต่อการเกิดสิวได้เป็นเรื่องจริง! เพราะความเครียดทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมน Cortisol (คอร์ติซอล) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเสตียรอย์ชนิดหนึ่งที่ร่างกายผลิตขึ้น หากเกิดความเครียดสูง ร่างกายก็จะผลิตฮอร์โมนชนิดนี้ขึ้นมามากเกินความจำเป็น และเป็นตัวกระตุ้นฮอร์โมน Androgen (แอนโดรเจน) หรือฮอร์โมนเพศชาย ทำให้เกิดการผลิตน้ำมันในชั้นผิวมากยิ่งขึ้น จนเกิดเป็นความมันส่วนเกิน และเมื่อความมันส่วนเกินนี้ไปผสมกับเซลล์ผิวเสื่อมสภาพ และแบคทีเรียที่ผิวหนังทำให้เกิดการอุดตัน จนนำไปสู่การเกิดสิวในที่สุด นอกจากนั้นความเครียดยังเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ปัญหาสิวแย่ลงอีกด้วย เรียกได้ว่ายิ่งเครียด สิวยิ่งขึ้น!

                                                            ยิ่งใกล้วันสำคัญยิ่ง “ตื่นเต้น” ทำให้ยิ่งนอนดึก “สิว” ก็ยิ่งขึ้น!

                                                            เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงต้องเคยเป็น เมื่อใกล้ถึงวันสำคัญทีไร ก็ยิ่งตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ และกว่าจะหลับได้ก็ดึกซะแล้ว! รู้มั้ยว่าการนอนดึกก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวตัวร้าย! เมื่อร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอกระบวนการซ่อมแซมร่างกาย หรือ Growth Hormone (โกรทฮอร์โมน) ก็ทำงานได้ไม่เต็มที่  ระบบการหมุนเวียนเลือด และต่อมน้ำเหลืองก็จะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพด้วยเช่นกัน

                                                            แล้วเวลาไหนล่ะ ที่เรียกว่านอนหลับเพียงพอ..จริงๆแล้วควรนอนให้ครบ 6-8 ชั่วโมง โดยเวลานอนที่ดีที่สุดคือ ควรนอนก่อนเวลา 22:00 เพราะเป็นช่วงเวลาที่ Growth Hormone ทำหน้าที่ซ่อมแซม และฟื้นฟูร่างกาย

                                                            แต่ถ้า “ความเครียด” และ “ความตื่นเต้น” มันห้ามกันไม่ได้จริงๆ ก็ต้องมีวิธีจัดการ!

                                                              • หากิจกรรมทำเพื่อผ่อนคลายตัวเอง เช่น ดูหนังตลก ฟังเพลง ไปเที่ยวกับเพื่อน
                                                              • ฝึกนั่งสมาธิ เล่นโยคะ หรือคิดบวกให้จิตใจสงบ และยังสร้างทัศนคติที่ดีให้แก่ตัวเอง
                                                              • เล่นกีฬา หรือ ออกกำลังกาย เมื่อเราได้ออกแรงร่างกายจะหลั่ง Endorphin (เอ็นดอร์ฟิน) หรือฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา ยิ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

                                                            acne

                                                            หรือหาวิธีจัดการกับเจ้า “สิวตัวร้าย” ก่อนวันสำคัญ

                                                            วันสำคัญทั้งทีก็อดไม่ได้ที่จะเครียดหรือตื่นเต้น ในเมื่อจัดการกับความเครียดไม่ได้ ก็ต้องจัดการเจ้าสิวตัวร้ายให้อยู่หมัด อย่าให้โผล่มาทักทายในวันสำคัญ

                                                            ยารักษาสิว ซึ่งมีอยู่มากมายในท้องตลาด หรือแพทย์สั่งจ่ายยาเพื่อรักษาอาการโดยเฉพาะ ซึ่งมีทั้งแบบที่เป็นยาปฏิชีวนะ  ยาที่มีอนุพันธ์ของวิตามินเอ หรือยารักษาสิวที่มีสารสกัดมาจากธรรมชาติ มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ลดอาการอักเสบของสิว ป้องกันการเกิดสิวใหม่ หรือช่วยในการรักษารอยแผลหลังสิวหาย

                                                            การรักษาโดยการกด หรือฉีดสิว เป็นการรักษาสิวอีกวิธีหนึ่งซึ่งต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ การกดสิวเหมาะกับการกำจัดสิวอุดตัน ทั้งหัวขาวและหัวดำ และอาจใช้ยาละลายหัวสิวร่วมกับการกดสิวด้วย ส่วนการฉีดสิวเหมาะกับการรักษาสิวอักเสบ ทั้งแบบไม่มีหัว สิวหนอง สิวหัวช้าง เพื่อลดอาการอักเสบและบวมแดง ทำให้สิวยุบตัวได้

                                                            การรักษาสิวด้วยเลเซอร์ เป็นวิธีที่นิยมกันอย่างมากในปัจจุบัน เพราะเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้เวลาน้อย และเห็นผลลัพธ์ชัดเจน และนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาสิวแล้ว ยังช่วยในการรักษาร่องรอยจากสิวด้วย

                                                            acne

                                                            วิธีป้องกัน “สิวตัวร้าย” แบบง่ายๆ ต้องทำให้ได้นะ

                                                              1. ล้างหน้าให้สะอาด เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน หรือเหมาะกับผู้ที่เป็นสิว
                                                              2. อย่าใช้มือสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ และงดการ แคะแกะ หรือบีบสิวเอง จะทำให้สิวยิ่งอักเสบมากขึ้น
                                                              3. หาวิธีผ่อนคลาย ไม่ให้เกิดความเครียด เพราะเมื่อยิ่งเครียดจะยิ่งเป็นการกระตุ้นสิว
                                                              4. หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหากไม่จำเป็น เพื่อให้ผิวหน้าได้พัก
                                                              5. ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยทำให้ผิวสดใสมากขึ้น
                                                              6. เลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ และหลีกเลี่ยงอาหารที่ยิ่งกระตุ้นให้ผิวอักเสบ หรือผลิตน้ำมันมาก

                                                            หรือมาให้รมย์รวินท์คลินิกช่วยจัดการด้วย Ac Clear ที่ช่วยเคลียร์ปัญหาสิวบนใบหน้า ให้หน้าใสด้วย 5 ขั้นตอนการรักษาดูแล

                                                              • กดสิว เริ่มต้นเคลียร์ใบหน้าด้วยการกด ทั้งสิวอุดตัน สิวหัวดำ สิวหัวขาว
                                                              • ฉีดสิว ลดการอักเสบของสิว และลดโอกาสการเกิดสิวใหม่
                                                              • ทรีตเมนต์ ผลักตัวยาสิวลงสู่ผิว ลดการอักเสบของสิว และบำรุงผิวให้กระจ่างใส
                                                              • มาสก์หน้า เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ช่วยให้ผิวผ่อนคลาย หน้ากระจ่างใส
                                                              • เลเซอร์ ช่วยลดความันบนใบหน้า กระชับรูขุมขน ลดรอยที่เกิดจากการกดสิว

                                                            ด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปีของรมย์รวินท์คลินิก พร้อมดูแลความสวยให้คุณทั้ง 28 สาขาทั่วประเทศ ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด สวยได้ใกล้บ้านคุณ 

                                                            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                              วันที่สะดวกในการติดต่อ




                                                              เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                                                              มองทางไหนก็เจอ PM 2.5 แล้วผิวเราจะเป็นอย่างไร ?

                                                              PM 2.5

                                                              ‘PM 2.5’ มลพิษตัวร้ายบ่อนทำลายผิวสวยที่เรารัก !

                                                              ตื่นขึ้นมายามเช้ามองออกไปนอกหน้าต่างนึกว่าหมอกลง แต่ที่ไหนได้กลายเป็นฝุ่น ‘PM 2.5’ ล้วน ๆ ! จากช่วงที่ผ่าน ๆ มาประเทศไทยก็ยังคงประสบกับปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ปะปนอยู่ในอากาศและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนเรา ไม่เพียงเท่านั้นนอกจากเรื่องของสุขภาพแล้วฝุ่น PM 2.5 ยังสะเทือนไปถึงด้วยความสวยของเราด้วย !

                                                              จากงานวิจัยของทางคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้มีการอธิบายถึงผลกระทบของ PM 2.5 ที่มีต่อผิวพรรณ โดยฝุ่นละออง PM 2.5 มีความสามารถในการทำลายเซลล์ผิวหนังกำพร้าของคนเรา และทำลายโปรตีน Filaggrin ที่มีหน้าที่ช่วยป้องกันผิวหนัง จนทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ตามมา ยิ่งเป็นคนผิวแพ้ง่ายยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ ! ฝุ่น PM 2.5 นี่มันแสบจริง ๆ !

                                                              PM 2.5 ทำร้ายผิวของเราไปแค่ไหนแล้ว

                                                              PM 2.5 ทำร้ายผิว

                                                              ละอองฝุ่นขนาดเล็กกก.. เพียง 2.5 ไมครอน กลับกลายเป็นภัยร้ายที่สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพกายและผิวพรรณ งานนี้จะเรียกว่าเล็กพริกขี้หนูก็คงไม่ผิดนัก เพราะนอกจากการสูดเข้าไปผ่านระบบหายใจจะทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็งปอดแล้ว การสัมผัสฝุ่นละออง PM 2.5 ในอากาศเป็นประจำยังส่งผลกระทบต่อผิวระยะยาว

                                                              หากเราต้องเจอกับฝุ่น PM 2.5 เป็นประจำ ผลเสียที่เกิดขึ้นกับผิวของเราจะออกมาเป็นแบบไหนบ้าง มาดูกัน !

                                                                1. ผิวหนังเกิดการอักเสบ : อ้างอิงจากงานวิจัยของประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ระบุไว้ว่า ‘ฝุ่น PM 2.5 เพียง 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรมาสัมผัสกับผิวหนังก็สามารถเกิดการอักเสบได้แล้ว’ ยิ่งเป็นคนผิวแพ้ง่ายยิ่งมีโอกาสอักเสบง่าย
                                                                2. สิวเห่อ สิวขึ้นไม่พัก ! : สมการผิวหน้ามัน + ฝุ่น PM 2.5 = พัง คือไม่เกินจริงเลย เพราะฝุ่น PM 2.5 จะยิ่งกระตุ้นให้ผิวที่มันอยู่แล้วเสี่ยงต่อการอุดตัน จนเกิดเป็นสิวเห่อลามไปทั่วใบหน้า
                                                                3. กระตุ้นการทำงานของเม็ดสีเมลานิน : PM 2.5 ส่งผลให้เม็ดสีทำงานมากกว่าปกติ จนเกิดเป็นรอยฝ้า กระ และจุดด่างดำต่าง ๆ
                                                                4. ผิวสูญเสียคอลลาเจน : PM 2.5 ยังคอยทำลายโครงสร้างผิวและคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิว ทำให้ผิวเกิดการหมองคล้ำ เกิดริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย

                                                              แชร์เคล็ดลับสวยท้าฝุ่น PM 2.5 ! จะกี่ไมครอนก็ไม่แคร์ !

                                                              ผิวแพ้ฝุ่น PM 2.5

                                                              เพราะความสวยมักมีอุปสรรค์อยู่เสมอ รมย์รวินท์จึงขอมาแชร์ทริคการดูแลตัวเอง ยกระดับความงาม ไม่ว่าสภาพอากาศจะแดงเดือดขนาดไหน เราจะจับมือสวยไปด้วยกัน ! บอกเลยว่าเคล็ดลับที่นำมาฝากในวันนี้ทำถึงแน่นอน เพราะเป็นเคล็ดลับการดูแลผิวในช่วง PM 2.5 ที่สามารถทำตามได้เลยไม่ยาก ถ้าพร้อมแล้วมาดูทริคแต่ละข้อไปพร้อม ๆ กันเลย !

                                                                1. ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสูตรอ่อนโยนเป็นประจำ วิธีนี้จะช่วยชำระล้างสิ่งสกปรก และฝุ่น PM 2.5 ที่ติดอยู่บนผิวออกไปจนหมด โดยอาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประเภท Cleansing oil ร่วมด้วยเพื่อผิวที่สะอาดหมดจด
                                                                2. คอยบำรุงผิวด้วยครีมบำรุงและมอยเจอไรเซอร์ยู่เสมอ โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว และทาครีมกันแดดที่ช่วยป้องกันผิวจากแดดและมลภาวะต่าง ๆ อยู่เสมอ
                                                                3. เลือกสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดผิวมิดชิด ก็จะช่วยป้องกันให้ผิวของเราไม่สัมผัสกับฝุ่น PM 2.5 โดยตรง อาจเลือกเป็นผ้าคลุมบาง ๆ มาปกปิดผิว จะได้ไม่ร้อนจนเกินไปเวลาเจอกับสภาพอากาศประเทศไทย
                                                                4. รักษาสุขภาพและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิว โดยการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย  ดื่มน้ำเปล่าสะอาดให้เพียงพอกับความต้องการอย่างน้อย 8 แก้ว เป็นประจำ ก็จะช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาสุขภาพดี ชุ่มชื้น และลดอาการอักเสบลง อีกทั้งยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายด้วย

                                                              นอกจากดูแลผิวเองแล้ว หัตถการก็ช่วยกู้ผิวเสียจาก PM 2.5 ได้ !

                                                              หากเคล็ดลับการดูแลตัวเองรับฝุ่นยังไม่พออ… รมย์รวินท์คลินิกจัดให้ ! ด้วยสูตรลับต้นตำรับจากชาวรมย์รวินท์ โดยทางรมย์รวินท์ คลินิกมาพร้อมกับหัตถการทางเลือกมากมายที่ครอบคลุมทุกปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวหย่อนคล้อย หรือผิวแห้งเสียมีริ้วรอย ก็สามารถรักษาได้ โดยทางคลินิกมีประสบการณ์คอยกำกับดูแลเคสต่าง ๆ รวมถึงเทคโนโลยีเครื่องมือหัตถการที่มีความทันสมัย

                                                              การมาพบแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิกจึงเหมาะสำหรับคนที่เจอฝุ่น PM 2.5 ทำร้ายผิวมาตลอด และต้องการวิธีบำรุงผิวให้กลับมาสุขภาพดีอย่างรวดเร็ว

                                                              หลังจากนี้แนะนำให้จดโพยเลยนะ ! เพราะรมย์รวินท์จะมาแนะนำหัตถการที่ช่วยจบปัญหาผิวจาก PM 2.5 ส่วนหัตถการที่แนะนำจะปังจริงหรือเปล่า ก็ต้องมาทดสอบผลลัพธ์ที่รมย์รวินท์คลินิกแล้วแหละ !

                                                              Radiesse Biostimulator ที่มีส่วนประกอบของ CaHA (Calcium Hydroxylapatite) ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวด้วยการเติมความชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอย บอกลาปัญหาสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ อันมีสาเหตุมาจากแสงแดดและมลภาวะฝุ่น PM 2.5 ทำให้ผิวกลับมาสวยดังเดิม

                                                              Rejuran : เติมสารสกัดที่เป็นประโยชน์ต่อผิวพรรณด้วย Program Rejuran ช่วยเติมความชุ่มชื้น บำรุงผิวออกมาเรียบเนียน สวย สุขภาพดี ไม่ว่าจะเจอ PM 2.5 ทำร้ายมามากแค่ไหนก็กลับมามีผิวที่ดีด้วย Rejuran

                                                              P-White : ทรีตเมนต์ทางเลือกช่วยเติมวิตามิน ช่วยทำให้ผิวกระจ่างใส หน้าไบร์ท ลดรอยความหม่นหมอง อันมีสาเหตุมาจากฝุ่น PM 2.5 และมลภาวะต่าง ๆ ที่มาสัมผัสกับผิว

                                                              AC CLEAR II : ถึงคราวบอกลาสิวเห่อจาก PM 2.5 แล้วกับ 4 ขั้นตอนรักษาสิว เพียง กด – ฉีด – ทรีตเมนต์ – เลเซอร์ สิวที่เคยอุดตันจากมลภาวะและรอยสิวต่าง ๆ ก็จะเริ่มจางจนหายไป

                                                              และแน่นอนว่าที่รมย์รวินท์ คลินิก ยังมีหัตถการอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็น EMFACE, Sylfirm x Plus, หรือ Oligio หากสนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดและขอคำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาผิวได้ที่รมย์รวินท์ คลินิก ทั้ง 28 สาขาใกล้บ้าน

                                                              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                วันที่สะดวกในการติดต่อ




                                                                เมื่อลงทะเบียนถือว่าท่านยอมรับ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว

                                                                เผยเคล็ดลับหล่อออร่าจับแบบฉบับ มีน นิชคุณ

                                                                มีน นิชคุณ

                                                                เผยเคล็ดลับหล่อออร่าจับแบบฉบับ มีน นิชคุณเรื่องเล็กน้อยที่แฟนคลับน้องมีนไม่ควรพลาด

                                                                หนุ่มหล่อหน้าขาวใส ตัวสูงโปร่ง ดูสะอาดสะอ้าน ที่กำลังเป็นที่กรี๊ดกร๊าดและกำลังอยู่ในกระแสแบบสุดๆในพ.ศ. นี้ ไหนจะฝีมือการแสดงที่นับวันยิ่งเจิดจรัสสู้จอในทุกบทบาท งานนี้แม่ยกสาวน้อยสาวใหญ่แทบอดใจไม่ไหว ไม่ว่าจะไปงานอีเวนต์ที่ไหนก็ต้องแห่แหนกันไปให้กำลังใจ หนุ่ม มีน นิชคุณ ขจรบริรักษ์ เจ้าของดีกรีนักแสดงรุ่นใหม่ และยังเป็นนักกีฬาบาสเกตบอล ที่ไม่ว่าจะลงสนามไหน สาวก็กรี๊ดไม่หยุดแบบฉุดไม่อยู่ 

                                                                มีน นิชคุณ


                                                                มีน นิชคุณ

                                                                เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงและถูกพูดถึงในด้านความหล่อผิวดี ดูสะอาด ใบหน้าขาวผ่อง มาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักกีฬาที่เหงื่อท่วมตัวแล้ว จนตอนนี้มีเช็กลิสต์เป็นพระเอกหนุ่มดาวรุ่งของช่อง ยิ่งดูขาว ใส ผ่องมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าจนแม่ยกทั้งหลายแทบจะต้องใส่แว่นกันแดดเพราะแทบจะมองหนุ่มมีนด้วยตาเปล่าไม่ไหว 

                                                                มีน นิชคุณ


                                                                มีน นิชคุณ

                                                                ส่วนเคล็ดลับความหล่อออร่ากระจายของหนุ่มมีน เจ้าตัวบอกว่าไม่ยากเลย ใครๆก็ทำได้เพราะเป็นเรื่องง่ายๆในชีวิตประจำวันเท่านั้น คือนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอต่อที่ร่างกายต้องการ หรือหากทำไม่ได้จริงๆขอให้นอนหลับ 5-6 ชั่วโมงต่อวันเป็นอย่างต่ำ การดูแลใบหน้า ก็ให้ทำความสะอาดใบหน้าให้ดีทาครีมบำรุงผิว และดูแลตามสมควรในช่วงที่พอจะมีเวลา การออกกำลังกายก็สำคัญ  หนุ่มมีนมีดีกรีเป็นถึงหนุ่มหล่อนักกีฬาบาสเกตบอล การออกกำลังกายมีส่วนในเรื่องของการทำให้ผิวดีเนื่องจากการออกกำลังกายนั้นทำให้เลือดลมและออกซิเจนในร่างกายสูบฉีดดี จึงส่งผลออกมาถึงผิวกายภายนอกอย่างเห็นได้ชัด

                                                                มีน นิชคุณ


                                                                มีน นิชคุณ

                                                                ที่สำคัญอาหารการกินที่ดีก็ส่งผลต่อผิวพรรณและออร่าของหนุ่มมีนเช่นกัน หนุ่มมีบอกว่าให้เลือกรับประทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ให้มากๆถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ชอบทานผัก ก็ต้องหาอย่างอื่นมาทดแทนเพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน ไม่เพียงแค่นั้น การมีสุขภาพจิตที่ดีก็ส่งผลออกมาถึงภายนอกเช่นกันเจ้าตัวเลยชอบทำให้ตัวเองมีอารมณ์ที่ดี ด้วยการออกไปท่องเที่ยว ดูสัตว์ หรือเล่นกับสัตว์เลี้ยงของเขาตลอดที่มีเวลา เพื่อให้ดีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ 

                                                                มีน นิชคุณ


                                                                มีน นิชคุณ

                                                                เพียงแค่นี้ก็ทำให้หนุ่มมีสุดหล่อของเหล่าแม่ยกมีใบหน้าที่ขาว ใส ผ่อง ผิวดี แบบที่เห็นแล้ว ซึ่งเคล็ดลับทั้งหมดที่หนุ่มมีน บอกกับเรานั้นเป็นสิ่งที่เราสามารถทำตามได้ไม่ยากแต่น้อยคนนักที่จะทำได้ เพียงแค่เรามีวินัย ใส่ใจ และตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจนแค่นี้สาวๆก็สามารถเป็นแม่ยกเป็นแฟนคลับที่มีผิวสวยขาวใส ไปแข่งกับหนุ่มมีนได้แล้ว และหนุ่มมีนเองก็น่าจะมีความสุขมากๆที่มีแฟนคลับสวยโดยที่ได้แรงบันดาลใจและทำตามเคล็ดลับของหนุ่มมีน จริงไหมหละคะ

                                                                มีน นิชคุณ


                                                                มีน นิชคุณ

                                                                อย่าลืมนำเอาเคล็ดไม่ลับตามแบบฉบับขาวออร่าจับของหนุ่มมีนไปทำตามกันเยอะๆนะคะ สูตรนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็สามารถทำได้ ไม่ใช่ได้แค่ผิวดีด้วย สุขภาพดีและรูปร่างดีก็จะตามมาติดๆถ้าเราทำได้อย่างหนุ่มมีน

                                                                ไร้ขนทุกมุมมอง laser “กำจัดขน” ให้ผิวเนียนใส บอกลาหนังไก่ได้เลย

                                                                laser

                                                                ไร้ขนทุกมุมมอง laser “กำจัดขน”

                                                                สาวๆ ทุกคนไม่ว่าใครก็อยากมีวงแขนที่เนียนเรียบ แม้ว่า “ขนรักแร้” จะเป็นสิ่งเกิดขึ้นและมีมาตามธรรมชาติบางคนมองเป็นเรื่องธรรมดา บางคน เป็นเรื่องที่กังวล และ หนักใจอยู่ไม่น้อย จนต้องหาวิธีกำจัดขน ปัญหาเจ้าขนรักแร้ ที่พร้อมที่จะโพล่ขึ้นมาทักทายเราตลอดเวลา เผลอหน่อยเดียว อ้าวมาอีกแล้ว อยากใส่แต่เสื้อเกาะอก สายเดี่ยว แขนกุด โชว์ไหล่สวย ๆ ซะหน่อย เป็นอันจบ หากไม่ได้กำจัดขนนี้ออกไป

                                                                หลายคนคงมีประสบการณ์ ขนแขนสแตนด์อัพ ก็ทำการกำจัดขน ด้วยการโกน ถอน แว็กซ์ ผ่านกันมาแล้วทั้งนั้น วิธีการกำจัดขนที่ว่ามานี้ขนจะขึ้นมาเป็นตอเร็วมาก ๆ แถมยังดำคล้ำไม่เรียบเนียน เป็นหนังไก่ให้ปวดใจกันถ้วนหน้า แต่ไม่ต้องกังวลใจไป ปัจจุบัน ตามคลินิก หรือ ศูนย์บริการความงามมีให้บริการหลากหลาย ลองเปลี่ยนวิธีมาทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ดูสิ ซึ่งมั่นใจได้เลยสามารถกำจัดขนได้อย่างถาวร แถมบางที่ก็มีโปรรักแร้ขาวกลิ่นตัวแรง ใต้วงแขนดำ ได้อีกด้วยนะ วงในการบิวตี้ เค้ามีบริการครบครัน เผื่อผิวใต้ววงแขนของเราจะได้ขาวเนียนใส ไร้ปัญหาขนดกมากวนใจ

                                                                การทำงานของเลเซอร์

                                                                การใช้เลเซอร์ เป็นวิธีกำจัดขนโดยแสงเลเซอร์ โดยลำแสงจะเข้าไปจับกับเม็ดสี ของขนในระยะที่ขนกำลังเจริญเติบโต วิธีนี้มีข้อดีคือไม่เจ็บ การใช้เลเซอร์สามารถกำจัดขนได้ 70-90 % ในครั้งแรก ๆ และหลังจากทำซ้ำหลาย ๆครั้ง ขนที่เหลือเส้นขนจะเล็กลง บางลง สีจางลง และการงอกมาใหม่ช้าลง โดยทั่วไปเส้นขนที่ถูกทำลายได้ดีมีทั้งหมด 3 ระยะ ซึ่งระยะที่โตเต็มจะได้ผลดีที่สุด การทำเลเซอร์กำจัดขนควรทำต่อเนื่องกัน 3-6 ครั้ง ขึ้นไป ขนจึงจะค่อยลดลงอย่างเห็นได้ชัด

                                                                คลินิค หรือ ศูนย์บริการความงาม นอกจากการทำเลเซอร์กำจัดขนแล้ว ยังมีโปรแกรม ที่น่าสนใจอีก ที่สามามรถจัดการกับผิวใต้วงแขน ให้เรียบเนียนสวยที่อยากแนะนำ นอกจากการทำเลเซอร์กำจัดขน เพื่อเผยผิวสวย เปิดผิวใสใต้วงแขนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

                                                                การทำเลเซอร์ลดเหงื่อใต้วงแขน

                                                                การที่คนเรามีเหงื่อใต้วงแขนมาก ๆ สามารถทำให้มีกลิ่นตัวแรง การทำเลเซอร์เพื่อลดเหงื่อใต้วงแขนสามารถทำได้เช่นกัน

                                                                การรักษาใช้จำนวนครั้งในการรักษาน้อย 1-2 ครั้ง ก็เห็นผล และผลที่ได้คงอยู่ถาวร หลังการรักษาจะมีแผลเล็กๆ ขนาดประมาณ 3-5 มม. บริเวณใต้วงแขน ซึ่งแผลจะจางหายไปได้เอง และอาจมีอาการบวมหลังการรักษาได้บ้าง การรักษาจะเริ่มเห็นผลหลังการรักษาไปแล้วประมาณ1-2 เดือน ตรงนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลนะค่ะ

                                                                การฉีดโบลดเหงื่อ

                                                                การฉีดโบเพื่อลดเหงื่อ การรักษาจะไม่มีแผลใดๆ หลังการรักษา และเริ่มเห็นผลหลังการรักษาภายใน1-2 สัปดาห์ การรักษาแต่ละครั้งนั้น ผลการรักษาจะคงอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน

                                                                การลดรอยคล้ำบริเวณผิวใต้วงแขน

                                                                วิธีการนี้ เป็นการรักษาด้วย Whitening laser ซึ่งเป็นการใช้เลเซอร์ปรับเม็ดสี เวลาทำการรักษาจะรู้สึกอุ่นๆ บริเวณผิวนิดหน่อย ซึ่งสำหรับปัญหารักแร้หมองคล้ำอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การแพ้โรลออน การโกน การถอน การแว๊กซ์ หรือ จากฮอร์โมนเพศของแต่ละคน

                                                                image003 84

                                                                การทำทรีตเมนท์ลดรอยคล้ำ

                                                                การทำทรีทเมนท์ ลดรอยคล้ำใต้วงแขน วิธีนี้เป็นการรักษา รอยด่างดำ รอยหมองคล้ำ นอกจากนี้ยังเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว จึงช่วยให้ผิวเนียบเรียบขึ้น เต่งตึง เพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิว สามารถโชว์ผิวใต้วงแขนได้อย่างมั่นใจ

                                                                สาเหตุของการที่มีขนใต้วงแขนนั้น มีปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบด้วย เช่น พันธุกรรม ,ฮอร์โมน ,การรับประทานยา หรือวิตามิน บางตัว ก็อาจมีผลต่อการเกิดขึ้น และเจริญเติบโตของเส้นขน ที่มากน้อยแตกต่างกันไป การทำเลเซอร์กำจัดขนนั้นสามารถทำลายรากขน ได้ 70-90 % ก็จริง แต่ต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง 3 – 6 ครั้งขึ้นไปเพื่อให้ได้ผลลัพธ์การกำจัดขนเป็นที่น่าพึงพอใจ ก่อนเข้ารับบริการรักษาควรงดการถอนหรือแวกซ์ ประมาณ  3-8 วัน  แต่สามารถโกนได้ แต่ให้เส้นขนขึ้นมาให้เต็มที่ก่อน เพื่อการรักษาที่เห็นผลได้ชัดเจน  เพราะทำให้รู้ปริมาณเส้นขนทั้งหมดที่ขึ้นอยู่ในบริเวณพื้นที่ ที่ต้องการกำจัดขนออกไป และที่สำคัญการทำการรักษาควรได้รับการดูแลจากแพทย์ ที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรงนะค่ะ

                                                                รอยสิวเก่าไป รอยสิวใหม่มา “รักษาสิว” กับ Nupico ช่วยปรับผิวให้เนียนเรียบขึ้น

                                                                Nupico

                                                                สำหรับคนที่เคยรักษาสิวมาแล้ว มีหลายคนไม่น้อยที่ต้องเจอปัญหาสิวอักเสบเรื้อรัง สิวดื้อยา เคยรักษาแล้วไม่หายหาดสักที ซ้ำร้ายยังฝากร่องรอยจากสิวให้ปวดใจ ไม่ว่าจะเป็นผิวหลุมโลกพระจันทร์ จุดด่างดำ เก่าไปใหม่มาไม่รู้จบ สารพัดสารเพใช้แนวทางการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ หลากหลายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของเราได้

                                                                รู้ไหม รมย์รวินท์ คลินิค มีทางเลือกใหม่สำหรับการรักษาสิว ด้วย NuPicoLaser เทคโนโลยีน้องใหม่ มาให้บริการด้านความงามที่ถูกออกแบบมาเพื่อการดูแล ปรนนิบัติผิวโดยเฉพาะ เพราะการรักษาผิวไม่ใช่การรักษาแค่เพียงภายนอกเท่านั้น การรักษานั้นต้องเริ่มตั้งแต่ภายในมาสู่ภายนอก จึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่ผิวจะต้องถูกฟื้นฟูสุขภาพผิวภายในควบคู่กับการฟื้นฟูบำรุงผิวภายนอก เพื่อแก้ไขปัญหาผิวให้หายไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ

                                                                NuPico คืออะไร

                                                                NuPico Laser คือ นวัตกรรมใหม่ ในการใช้เลเซอร์รักษาผิว ช่วยในการรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ ลบรอยสัก ปรับสีผิวให้กระจ่างใส ไร้ริ้วรอย ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวมีความเรียบเนียนขึ้น  เทคโนโลยีของNupico Laser มีระบบการทำงานแบบใช้พลังงานคลื่อนพลังงานที่สูงใช้ระยะเวลาที่สั้นมากในการเข้าไปทำให้เม็ดสีแตกตัวได้อย่างละเอียด

                                                                ข้อดี ของ NuPico Laser

                                                                • ใช้พลังงานอันสั้น และสูงมาก ทำให้เม็ดสีแตกตัวได้ละเอียด
                                                                • ใช้เวลาในการักษาน้อย ช่วยให้ริ้วรอยของผิวจางหายได้เร็วขึ้น
                                                                • การรักษาเจ็บน้อย
                                                                • ไม่มีผลข้างเคียง หลังการรักษา ไม่เป็นแผล
                                                                • ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวขาวกระจ่างใส เรียบเนียนขึ้น

                                                                เรื่องของสิวๆ  ไม่ใช่เรื่องกรรม หรือ กรรมพันธุ์ ที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด ต้นเหตุเกิดจากการรักษาไม่ถูกวิธีต่างหาก ส่วนมากจะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ทำให้รักษายังไงไม่หายขาดสักที  วิธีการรักษาอย่างถูกวิธี คือการทำให้ผิวแข็งแรงสุขภาพดี ผิวชุ่มชื่น ผิวระบายอากาศได้ดี ทำให้ไม่มีสิ่งสกปรกอุดตัน หากผิวระบายอากาศไม่ดี จะทำให้เกิดสิ่งสกปรกอุดตันรูขุมขน ทำให้เป็นต้นเหตุของการเกิดสิว ดังนั้นการรักษาให้ผิวหน้าแข็งแรงสุขภาพดี สามารถทำให้สิวหายขาด เป็นการรักษาสิวที่ได้ผลอย่างยั่งยืน  เรื่องของผิว ให้รมย์รวินท์ คลินิค ดูแลนะค่ะ แล้วคุณจะเห็นถึงความต่าง…

                                                                ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับวิธีกำจัดขนที่สาวๆต้องรู้

                                                                กำจัดขน

                                                                สาวๆ ทั้งหลายคงเคยได้ยินได้ฟังถึงคำแนะนำหรือความเชื่อต่างๆ เกี่ยวกับวิธีการกำจัดขนที่ไม่พึงประสงค์มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อยนะคะ ซึ่งจะได้ผลดีหรือผลเสียนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวของสาวๆ เองว่าเมื่อได้ทดลองแล้วเกิดผลอย่างไรบ้าง บางครั้งได้ผลเวิร์คสุดๆ แต่บางครั้งก็กลับส่งผลเสียทำร้ายผิวสวยๆ แถมยังยากต่อการรักษาให้ผิวกลับมาเป็นปกติ มาดูความเชื่อแบบผิดๆ เกี่ยวกับวิธีกำจัดขนที่เราอาจเคยได้ยินมานานหรือความเชื่อแบบบอกต่อโดยไม่สืบค้นหาสาเหตุว่าถูกหรือผิด

                                                                เพราะฉะนั้น สาวๆ คะหยุดการทำร้ายผิวหนังของคุณกับวิธีการกำจัดขนแบบผิดๆ หรือความเชื่อที่ผิดๆ เกี่ยวกับวิธีการกำจัดขน แล้วมาดูว่าความเชื่อที่คุณเคยได้ยินมานั้นมันจริงเท็จแค่ไหนกันค่ะ

                                                                ความเชื่อ: ห้ามสครับผิวก่อนโกนขนเพราะจะเกิดรอยดำ

                                                                สาวๆ หลายคนมีความเชื่อที่ว่า ถ้าหากสครับผิวแล้วโกนขนนั้นจะทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบและเกิดรอยดำคล้ำขึ้นได้ เอาเป็นว่าลืมความเชื่อเดิมๆ ไปได้แล้วค่ะ ลองหันมาสครับผิวก่อนการโกนขน หรือกำจัดขนเพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่ตายแล้วออกไปซึ่งเซลล์ผิวเก่านี้อาจปะปนและติดอยู่กับเส้นขน และช่วยทำให้เส้นขนชี้ขึ้นและโกนออกได้ง่ายขึ้น หากโกนขนโดยที่ไม่ได้สครับผิวก่อน อาจทำให้เกิดขนคุด หรือรูขุมขนอักเสบได้ค่ะ

                                                                shutterstock 492500941

                                                                ความเชื่อ: ต้องโกนย้อนแนวขนผิวจะเนียนเรียบ

                                                                เชื่อว่าสาวๆ กว่า 50% นิยมกำจัดขนด้วยวิธีการโกนย้อนแนวขนขึ้นไป เพราะสามารถกำจัดขนได้เกลี้ยงเกลาเนียนเรียบกว่าการโกนตามแนวขน แต่ผลเสียที่ตามมานั้นทำให้สาวๆ ต้องรู้สึกผิดและเลิกการโกนแบบย้อนแนวขนไปเลยค่ะ เพราะผิวหนังบริเวณที่ถูกโกนเสี่ยงต่อการถูกมีดบาดได้ง่าย อีกทั้งยังส่งผลให้ผิวหนังและรูขุมขนเกิดการระคายเคือง ทำให้เกิดขนคุดและสิวตามมาได้ค่ะ

                                                                 

                                                                ความเชื่อ: การกำจัดขนด้วยเลเซอร์มันเจ็บมากนะ

                                                                หลายคนยังฝังความเชื่อที่ว่าการกำจัดขนด้วยเลเซอร์เป็นวิธีที่เจ็บมากๆ หากต้องกำจัดขนด้วยวิธีนี้ต้องโบกยาชาเข้าช่วยลดความรู้สึกเจ็บก่อนทำ อย่างไรก็ตาม ความเจ็บนั้นก็ขึ้นอยู่กับความไวต่อการกระตุ้นของแต่ละคน อีกทั้งนวัตกรรมการกำจัดขนด้วยเลเซอร์สมัยใหม่นั้นคุณจะสัมผัสได้ถึงความร้อนเพียงเล็กน้อย หรือความรู้สึกเจ็บอาจกลายเป็นศูนย์ไปเลย ทางที่ดีต้องไปสัมผัสด้วยตัวของคุณเองค่ะ คล้ายกับสำนวนที่ว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าทดลองทำ คุณว่าจริงมั้ยคะ …

                                                                หากอยากศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำจัดขนด้วยเลเซอร์ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ เลเซอร์กำจัดขน

                                                                 

                                                                ความเชื่อ: ห้ามทำบิกินีแว็กซ์ระหว่างมีประจำเดือน

                                                                จริงๆ แล้วเราสามารถกำจัดขนบริเวณนั้นด้วยวิธีทำบิกินีแว็กซ์ในช่วงมีประจำเดือนได้ค่ะ แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าผิวหนังระคายเคืองง่ายช่วงมีประจำเดือน ก็ควรเลี่ยงการแว็กซ์ขนไปก่อน แล้วรอให้ผิวหนังกลับมาเป็นปกติจึงค่อยกำจัดขนด้วยการแว็กซ์ค่ะ

                                                                shutterstock 198459449

                                                                ผลเสียของการกำจัดขนแบบผิดๆ

                                                                เกิดขนคุด เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนด้วยโปรตีนที่ชื่อว่า Keratin (เคอราติน) ทำให้ผิวบริเวณที่มีขนนั้นมีชั้นผิวที่หนาขึ้น ส่งผลให้ขนที่งอกใหม่ไม่สามารถแทงทะลุผิวหนังได้ ขนจึงงอกยาวขึ้นและม้วนงออยู่ใต้ชั้นผิว ดันให้ผิวบริเวณนั้นเป็นตุ่มขึ้น มีลักษณะเป็นจุดดำๆ เล็กๆ ขึ้นตามรูขุมขนทำให้ผิวหนังดูสากคล้ายหนังไก่ มักพบในผู้ที่มีผิวแห้งมากกว่าผิวมัน

                                                                รูขุมขนอักเสบ เกิดจากการระคายเคืองที่รูขุมขนซึ่งเป็นผลจากการถอนหรือโกนเพื่อกำจัดขนเป็นประจำ เป็นสาเหตุที่ทำให้รูขุมขนอักเสบตามมาได้

                                                                จุดด่างดำตามร่างกาย มีลักษณะเป็นจุดแบนสีแดงจนถึงสีน้ำตาลเข้ม สาเหตุเกิดจากการอับเสบของผิวหนังเกิดจากการกำจัดขนด้วยวิธีการโกน แม้ว่าจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่ก็สร้างความกวนใจให้สาวๆ ไม่น้อย

                                                                เกิดรอยแผลเป็น การกำจัดขนด้วยวิธีโกน ถอน หรือใช้ครีมกำจัดขนบ่อยครั้ง อาจเกิดการอักเสบขึ้นและเกิดรอยแผลเป็นจากขนคุด หรือรอยแผลเป็นจากการแพ้ผื่นคันของครีมหรือเจลกำจัดขนได้ ซึ่งหากดูแลรักษาไม่ดีก็อาจส่งผลกระทบกับชั้นผิวภายนอกในระยะยาวได้ค่ะ

                                                                จบปัญหาขน “กำจัดขน” ลงลึกถึงราก ปราบทุกเส้น โชว์ผิวได้ดั่งใจ

                                                                กำจัดขน

                                                                หลายคนคงต้องประสบ พบกับปัญหาขนตามร่างกาย กันอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะขนหน้าแข้งเอย ขนรักแร้ก็ดี ขนตรงจุดซ่อนเร้นก็ใช่ บางคนก็ดกดำเงางามซะเหลือเกิน แถมบางคนยังเป็นที่น่าเจ็บใจ ตรงที่อยากให้ดกกลับไม่ดก แต่ตรงที่ไม่อยากให้มีกลับขึ้นมาดีจังใช่มัยค่ะ

                                                                สาว ๆ จึงต้องมองหาวิธีการ กำจัดขน ในแบบต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ผ่านวิธีการ กำจัดขน มาหลายรูปแบบ แต่ยังไงไอ้เจ้าขนนี่ ก็ยังขยันขึ้นมาไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะถอน โกน แว็กซ์ ฯลฯ สารพัดวิธี มันก็ได้ผลแค่ขนหลุดล่วงออกไป แต่สิ่งที่คงอยู่กับการกำจัดขนแบบนี้ก็คือ ผิวเป็นรอยดำ หรือเป็นผิวหนังไก่ เกิดขนขด ขนคุด ทำให้ไม่น่ามองเอาเสียเลย ทำให้ขาดความมั่นใจ ไม่กล้าเปิดเผยผิวให้คนอื่นได้เห็น

                                                                ปัจจุบัน มีวิธี กำจัดขน ที่ให้ผลถาวร ผิวเกลี้ยงเกลา จบปัญหาผิวที่ไม่สวยงาม โดยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยวิธี Laser เพื่อจี้ทำลายรากขนปราบลึกถึกรากถึงโคนการกำจัดขน ด้วยเลเซอร์ ถึงจะเป็นนวัตกรรม กำจัดขนน้องใหม่ และกระแสความนิยมกำลังเพิ่มมากขึ้น เพราะการทำเลเซอร์กำจัดขน ไม่ได้หมายถึง การกำจัดขนรักแร้ เพียงอย่างเดียว แต่การทำเลเซอร์ยังช่วยกำจัด ปัญหาขนตามร่างกาย ไม่ว่า “ขนที่ขา” หรือ ขนในที่ลับ หรือบริเวณอื่น ๆ ที่อยากกำจัด ก็สามารถกำจัดขนออกไปด้วยเลเซอร์ได้ และผลลัพธ์ที่ได้มานั้นถือว่าคุ้มค่ามากๆ ใครที่กำลังมองหาวิธีกำจัดขนอยู่ อยากให้ผิวกลับมาเนียนสวย ไร้ขน แนะนำเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้ประสิทธิภาพ พร้อมความปลอดภัยไร้กังวล

                                                                หลักการทำงานเลเซอร์กำจัดขน

                                                                ด้วยประสิทธิภาพของ เลเซอร์กำจัดขน จะทำงานโดยส่งผ่านพลังงานเลเซอร์ผ่านเข้าผิวหนังไปทำลายรากขน โดยอาศัยหลักการเลือกจับกับเฉพาะเม็ดสีหรือเมลานินในขนเท่านั้น จากนั้นพลังงานเลเซอร์ก็จะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน และส่งผลทำลายเส้นขนตลอดจนรากขนซึ่งเป็นตัวการสร้างขนให้ขึ้นมาใหม่ ด้วยกระบวนการดังกล่าวจะพบว่าเพียงแค่การทำไม่กี่ครั้ง ขนในบริเวณที่ทำการรักษากำจัดขน จะลดลง ขึ้นช้าลง เส้นเล็กลง และบางลงอย่างเห็นได้ชัด

                                                                การเตรียมตัวก่อนกำจัดขน

                                                                สำหรับการเตรียมตัวก่อนการ กำจัดขนด้วยเลเซอร์นั้น ไม่มีขั้นตอนอะไรที่ยุ่งยากเลย โดยปล่อยให้ขนบริเวณที่จะกำจัดนั้นขึ้นมาตามธรรมชาติ ไม่ต้องไปถอนหรือโกนออกให้ขนเติบโตเต็มที่ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อการกำจัดขนที่ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะแพทย์จะได้เห็นปริมาณของเส้นขนที่มีอยู่ตามความเป็นจริง ทำให้ผลการรักษา กำจัดเส้นขนได้หมดทุกเส้น ตรงจุดเห็นผลได้อย่างชัดเจนที่สุด

                                                                image003 83

                                                                ขั้นตอนกำจัดขน ด้วยเลเซอร์

                                                                การกำจัดขน จะเริ่มจากการโกนขนบริเวณที่ทำ ใช้ยาชาทาเพื่อลดความเจ็บขณะทำ หลังจากนั้นรอให้ยาชาออกฤทธิ์ประมาณ 30 นาที หรือมากกว่านั้นเล็กน้อย จึงสามารถทำเลเซอร์ได้ และการทำเลเซอร์ใช้เวลาประมาณ 10-30 นาทีในการกำจัด แต่ทั้งนี้ขึ้นกับขนาดพื้นที่บริเวณที่ต้องการกำจัดขน ขณะที่ทำจะรู้สึกเหมือนถูกดีดเป็นระยะ ๆและรู้สึกวูบวาบใต้ผิว เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการจากนั้นจะทำการประคบเย็นจะช่วยทำให้รู้สึกสบายผิวขึ้นเป็นอันจบกระบวนการรักษา เพื่อการรักษาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และมีประสิทธิภาพ ควรทำซ้ำ 3-6 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งควรห่างกันอย่างน้อย 1 เดือนภายหลังการ กำจัดขน ผิวบริเวณที่ทำเลเซอร์อาจแดงเรื่อ ๆ ประมาณ 1-3 ชั่วโมง แต่จะหายเป็นปกติ มีส่วนน้อยไม่ถึง 1% ที่อาจมีสะเก็ดหรือตุ่มน้ำพองใสซึ่งจะค่อย ๆ หายไปได้เมื่อทายาที่แพทย์จ่ายให้ไป ส่วนการดูแล สามารถปฏิบัติตัวไปตามปกติ เพียงแต่หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด ๆ ประมาณ 2-3 สัปดาห์ หากจำเป็นต้องโดนแดดจริง ๆ ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงมากกว่า 30 PA++ ป้องกันไว้ทุก 1-2 ชั่วโมง ตลอดเวลาที่โดนแดดจัด ๆ

                                                                ทีนี้ก็จะได้ผิวเกลี้ยงเกลาไร้ขน จบปัญหาขนได้ดั่งใจ ไม่ต้องมากังวลที่จะต้องคอยสำรวจร่างกาย เมื่อต้องสวมใส่เสื้อสายเดี่ยว แขนกุด อีกต่อไป ชุดไหนๆ ก็มั่นหน้า มั่นใจกันไปเลบ แต่ด้วยเลเซอร์หลายคนเข้าใจว่าการทำเลเซอร์ขนรักแร้ แล้ว รักแร้จะขาวขึ้นด้วย ที่จริงแล้วไม่ถูกซะทีเดียว การทำเลเซอร์นั้นมีส่วนช่วยทำให้ผิวดีขึ้นในระดับหนึ่ง ถ้าต้องการให้รักแร้ขาว นั้นมีขั้นตอนการรักษาอีกแบบหนึ่ง การทำการรักษา กำจัดขน ต้องได้รับคำแนะนำ และปรึกษาแพทย์โดยตรง แต่การทำเลเซอร์อย่างเดียวนั้น ช่วยให้ผิวเนียนขึ้น เกลี้ยงเกลาขึ้น ไม่เป็นหนังไก่ สามารถใส่เกาะอก สายเดี่ยว ยกแขนโชว์ใต้วงแขนได้แบบมั่นๆ กันไปเลย

                                                                แชร์วิธีการกำจัดขนแบบปลอดภัย ไร้รอยแผลรอยดำ

                                                                กำจัดขน

                                                                แชร์วิธีการกำจัดขนแบบปลอดภัย ไร้รอยแผลรอยดำ

                                                                เมื่อปัญหาเรื่องของขนมาเป็นอุปสรรคขวางกั้นความสวย บรรดาสาวๆ อย่างเราจึงไม่ยอมจำนนและหาวิธีการกำจัดขนสารพัดรูปแบบ อาทิ ถอน โกน แว็กซ์ ครีมกำจัดขน หรือการใช้นวัตกรรมเลเซอร์ มาช่วยกำจัดขนไม่พึงประสงค์ออกไป ซึ่งแต่ละวิธีการนั้นหากคุณสาวๆ ปฏิบัติไม่ถูกวิธีอาจจะสร้างปัญหาผิวตามมาได้ เช่น ขนคุด สิว รอยแผล รอยดำ ดังนั้น เรามาไขความกระจ่างเกี่ยวกับวิธีการกำจัดขนที่ถูกต้อง แบบปลอดภัยไม่ทิ้งรอยแผลรอย รอยดำให้ช้ำใจค่ะ

                                                                การถอน เป็นวิธีกำจัดขนด้วยการใช้แหนบหรือที่ถอนขนดึงเส้นขนออกมาทั้งเส้น มักใช้กำจัดขนเฉพาะส่วนหรือตามบริเวณที่ขนขึ้นไม่มาก การถอนควรดึงเส้นขนบริเวณโคน เพื่อไม่ให้ขาดออกจากกัน และควรเช็ดทำความสะอาดอุปกรณ์ใช้ถอนด้วยแอลกอฮอล์ทั้งก่อนและหลังใช้นะคะเพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ หลังกำจัดขนเราไม่ควรใช้ครีมบำรุงผิวในทันที แต่ควรจะใช้ครีมหลังกำจัดขนโดยเฉพาะ เพื่อลดการระคายเคืองและลดการเกิดขนคุดได้ค่ะ โดยผลลัพธ์หลังการทำจะคงอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ จึงจะมีเส้นขนงอกขึ้นมาใหม่

                                                                image003 3

                                                                การโกนขน การกำจัดขนด้วยวิธีการโกนนั้นจะได้ผลแค่ในระยะสั้นๆ เท่านั้นค่ะ อีก 2-3 วัน ขนของคุณก็จะงอกขึ้นมาใหม่ ทั้งนี้ ก่อนโกนขนอย่าลืมสครับผิวเบาๆ เพื่อผลัดเซลล์ผิวเก่าออก โดยควรโกนตามแนวขน และให้ผิวบริเวณนั้นเปียกเล็กน้อย เพื่อช่วยให้ขนไม่แข็งจนเกินไปและโกนได้ง่ายขึ้น สำหรับการกำจัดขนบริเวณจุดซ่อนเร้นหรือบริเวณที่ผิวบอบบางนั้นควรใช้ครีมโกนขนร่วมด้วยเพื่อป้องกันการระคายเคือง หลังทำการโกนอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ค่ะ ทางที่ดีหลังจากกำจัดขนคุณอาจจะใช้โจโจ้บาออยล์หรืออาฟเตอร์เชฟเข้ามาช่วยค่ะ

                                                                การแว็กซ์ขน เป็นวิธีกำจัดขนที่รวดเร็วและทำให้ผิวหนังเรียบเนียน ขนเส้นใหม่จะงอกภายใน 3-6 สัปดาห์ วิธีนี้ส่งผลให้รูขุมขนอ่อนแอ หากกำจัดขนเป็นประจำอาจมีขนขึ้นน้อยลงและขึ้นช้ากว่าเดิม ทั้งนี้ การแว็กซ์อาจทำให้เกิดตุ่ม รอยแดง และการอักเสบที่ผิวหนังชั่วคราว

                                                                image005 2

                                                                ซึ่งการแว็กซ์ขนอย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และเจ็บน้อยลงนั้น ควรเลือกแว็กซ์ที่ผ่านการรับรองจาก อย.และเหมาะกับสภาพผิวของตนเองในการกำจัดขน ดังนั้น ควรทดสอบอาการแพ้ทุกครั้งก่อนกำจัดขน โดยทาแว็กซ์บาง ๆ บริเวณข้อพับแขน ข้อมือ ท้องแขน หรือหลัง และหลีกเลี่ยงไม่ให้บริเวณดังกล่าวสัมผัสน้ำหรือเหงื่อประมาณ 48 ชั่วโมง หากไม่เกิดผื่นแดงแสดงว่าไม่มีอาการแพ้ค่ะ

                                                                หากมีผิวบอบบางควรใช้แว็กซ์ที่ทำจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น แว็กซ์น้ำตาล แต่ก่อนแว็กซ์กำจัดขนรบกวนเช็คสักนิดนะคะว่าขนสั้นเกินไปหรือไม่ ทางที่ดีควรปล่อยให้ขนยาวเกินครึ่งเซนติเมตรแล้วค่อยแว็กซ์ เนื่องจากขนที่สั้นเกินไปอาจทำให้แว็กซ์ได้ยากและไม่เรียบเนียน ซึ่งวิธีการแว็กซ์เพื่อกำจัดขนที่ถูกต้องคือ แปะแผ่นแว็กซ์ให้แนบสนิทกับผิวหนังและดึงแว็กซ์ออกอย่างเร็วภายในครั้งเดียว หลังจากนั้น ใช้โทนเนอร์สำหรับทำความสะอาดใบหน้าที่มีส่วนผสมของคาโมมายล์เช็ดผิวหลังการแว็กซ์ เพื่อปรับสภาพผิวและลดความเสี่ยงต่อการเกิดรอยแดงและบวม ทั้งนี้ แพทย์ไม่แนะนำให้คนบางกลุ่มกำจัดขนด้วยการแว็กซ์ ได้แก่ ผู้ที่มีภาวะขนดก ผู้ที่กำลังใช้ยารักษาสิวบางชนิด และผู้ที่มีผิวไหม้แดดบริเวณรักแร้ค่ะ

                                                                ครีมกำจัดขน เป็นครีมสำหรับใช้ทาบริเวณผิวหนังที่ต้องการกำจัดขน ควรทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที หรือตามคำแนะนำของแต่ละผลิตภัณฑ์ โดยสารเคมีในครีมนั้นจะไปปรับเปลี่ยนโครงสร้างโปรตีนของเส้นขนที่อยู่เหนือผิวหนังให้อ่อนยุ่ยและเช็ดออกได้ง่ายค่ะ ข้อดีของการกำจัดขนด้วยวิธีนี้คือ ทำได้ง่ายและรวดเร็ว แต่สารเคมีที่เป็นส่วนประกอบอาจทำให้ครีมมีกลิ่นฉุนและก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ อีกทั้งอาจใช้ไม่ได้ผลกับผู้ที่มีเส้นขนหยาบหนาค่ะ

                                                                image007

                                                                ทั้งนี้ ส่วนผสมของครีมแต่ละยี่ห้อย่อมแตกต่างกันออกไป ก่อนใช้กำจัดขนจึงควรอ่านฉลากบนผลิตภัณฑ์ให้ละเอียดทุกครั้ง และหากคุณสาวๆ ต้องการกำจัดขนบริเวณจุดซ่อนเร้น ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุให้ใช้สำหรับส่วนนี้โดยเฉพาะ ส่วนผู้ที่มีผิวบอบบางหรือเคยมีอาการแพ้ ควรลองทดสอบก่อนใช้โดยป้ายครีมปริมาณเล็กน้อยลงบนผิวหนัง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแต่ละผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรทายากำจัดขนในปริมาณมากเกินไป และควรล้างหรือเช็ดครีมออกตามเวลาที่กำหนดค่ะ

                                                                เลเซอร์ขน เป็นเทคโนโลยีช่วยกำจัดขนจะทำการกำจัดขนที่ไม่พึงปรารถนา โดยให้ความร้อนช่วยทำลายและยับยั้งการเจริญเติบโตของเส้นขน ซึ่งมักได้ผลดีกับเส้นขนสีดำ เนื่องจากแสงเลเซอร์จะจับเม็ดสีเมลานินในเส้นขนสีดำได้มากกว่า ทั้งนี้ เลเซอร์ที่ใช้ในทางการแพทย์มีหลายชนิด ก่อนเข้ารับการกำจัดขนด้วยวิธีนี้ควรปรึกษากับแพทย์ถึงข้อดี ข้อเสีย และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

                                                                image009

                                                                นอกจากนี้ การเลเซอร์กำจัดขนด้วยเทคโนโลยีนี้ยังช่วยแก้ปัญหาเรื่องขนคุด รูขุมขนอุดตัน ทำให้ผิวดูเกลี้ยงเกลา เรียบเนียน ผิวแลดูสว่าง สะอาดสะอ้านขึ้นด้วย ด้วยการรักษาเพียง 5-8 ครั้ง และควรกำจัดขนซ้ำทุก 1 เดือน เพื่อยับยั้งวงจรการเกิดขนอย่างต่อเนื่อง ขนก็จะค่อยๆ หายไป ทำให้คุณรำคาญใจน้อยลงอีกด้วยค่ะ

                                                                ครีมหน้าเรียวช่วย “ปรับรูปหน้าเรียว” ได้จริงหรือไม่

                                                                212

                                                                มีสาวๆ จำนวนไม่น้อยที่อยากมีรูปหน้าเรียวสวย แต่ก็กลัวการผ่าตัดศัลยกรรมปรับรูปหน้าเรียว ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากเสี่ยง แนะนำให้ฉีดโบ ฟิลเลอร์ ร้อยไหม ก็บอกว่ากลัวเข็มอีก สุดท้ายจึงเลือกที่จะใช้ครีมครีมทาเพื่อปรับรูปหน้าเรียว ว่าแต่ว่า…ครีมหน้าเรียวแบบนี้ จะช่วยปรับรูปหน้าเรียวได้จริงหรือ ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่สงสัยเหมือนกันมาหาคำตอบกันค่ะ

                                                                ครีมหน้าเรียวช่วยปรับรูปหน้าเรียวแบบไหนได้บ้าง

                                                                ปัญหาส่วนใหญ่ของสาวอยากหน้าเรียวเป็นเพราะ “กรามใหญ่” หน้าใหญ่ไม่ได้รูปจนอยากปรับรูปหน้าเรียว แม้ไม่ต้องใช้หลักวิชาการอะไรก็สามารถวิเคราะห์ได้ว่า “เป็นไปไม่ได้” ที่หน้าไม่ได้รูปเนื่องจากโครงสร้างกระดูกจะ แก้ไขไม่ได้โดยการทาครีม ปรับรูปหน้าเรียวได้ แต่ที่ยังมีโอกาสเห็นผลอยู่ก็คือคนที่ แก้มเยอะ เหนียงย้อย คือต้องเป็นหน้าที่ไม่ได้รูปเพราะมีกล้ามเนื้อหรือไขมันส่วนเกินเยอะเท่านั้น

                                                                เหตุผลที่ทำให้ครีมหน้าเรียวช่วยปรับรูปหน้าเรียวได้

                                                                การออกกำลังกายทำให้รูปร่างที่เผละด้วยไขมันกระชับได้สัดส่วนขึ้นฉันใด การออกกำลังให้ใบหน้าก็ย่อมทำให้รูปหน้ากระชับขึ้นได้ฉันนั้น ครีมหน้าเรียวจึงช่วยปรับรูปหน้าเรียวได้ ด้วยเหตุผลดังนี้

                                                                1. หน้าใหญ่เพราะการทำงานของเลือดและน้ำเหลืองผิดปกติ เมื่อมีการทาครีมพร้อมกับการนวดกระตุ้นทำให้ระบบโลหิตและน้ำเหลืองทำงานได้ดีขึ้น รูปหน้าจึงปรับเปลี่ยนไปด้วย
                                                                2. หน้าใหญ่เพราะกล้ามเนื้อและไขมันบนใบหน้ามากเกินไป ลองนึกถึงสภาพคนมีกล้ามเนื้อเป็นลูกๆ ดูนะคะ ถ้าการนวดลดที่ต้นเหตุได้ การใช้ครีมนวดหน้าเสริมเข้าไปก็ช่วยให้ใบหน้าดูเรียวเล็กลงได้เช่นกัน
                                                                3. ปกติครีมทำหน้าเรียวมักจะต้องให้นวดหน้าควบคู่ไปด้วย แม้แต่การนวดหน้าธรรมดายังช่วยยกกระชับใบหน้า การมีครีมนวดหน้ามาเสริมจึงให้ผลในทิศทางเดียวกัน

                                                                ครีมนวดหน้าปรับรูปหน้าให้เรียวได้ขนาดไหน

                                                                ถ้าคิดว่าใช้ครีมนวดหน้าเรียวแล้ว จะมีหน้า V-Shape เหมือนไปฉีดโบมา หรือไปผ่าตัดมา ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าเป็นไปได้ คงไม่มีใครเลือกที่จะเจ็บจากการเข้าคลินิกความงามทั้ง ๆ ที่ทั้งเจ็บ ทั้งเสียเงินมาก และเสียเวลาในการรักษาตัวมากกว่า จึงต้องบอกว่าความคาดหวังว่าใบหน้าจะเรียวจากการนวดหน้ายังคงต้องอยู่ในขอบเขตที่จำกัด

                                                                แต่คำว่าครีมหน้าเรียวช่วยปรับรูปหน้าเรียวได้นั้น เป็นเพราะอาศัยการนวดกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหรือไขมันเข้าช่วย ทำให้ชั้นผิวหนังมีความกระชับมากขึ้น อย่างไรก็ตามหากอยากนวดแล้วได้ผลต้องอาศัยความต่อเนื่อง สม่ำเสมอ จึงจะทำให้รูปหน้ากระชับขึ้น หากเป็นครีมนวดคุณภาพดี นวดถูกวิธีตามหลักการ และจะสามารถปรับรูปหน้าเรียว V-Shape ได้มีกรณีเดียวคือ รูปหน้าดั้งเดิมเป็น V-Shape อยู่แล้วแต่เปลี่ยนไปเพราะมีกล้ามเนื้อและไขมัน เมื่อนวดไปจึงสามารถกลับไปเหมือนเดิมได้

                                                                สำหรับท่านใดที่มีปัญหาในการปรับรูปหน้าเรียว แนะนำให้ปรึกษาเพทย์ผู้เชียวชาญดีกว่านะคะ อย่างคลินิกรมย์รวิทท์ของเรา มีโปรแกรมในการปรับรูปหน้าเรียวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำ Thermage, Ulthera, Hifu, ฉีดโบ, ร้อยไหม เป็นต้น ด้วยการคัดสรรเครื่องมือที่ทันสมัย ความรู้ความชำนาญของแพทย์ ประกอบกับประสบการณ์มากกว่า 14 ปีของเรา จึงมั่นใจได้ว่าจะช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับคนไข้ที่มาใช้บริการกับเราอย่างแน่นอนค่ะ

                                                                ลูกกลิ้งนวดหน้า ช่วยทำ “หน้าเรียว” ได้จริงหรือไม่

                                                                211

                                                                ลูกกลิ้งหน้าเรียว เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยมีขายในท้องตลาดมานาน ด้วยคุณสมบัติที่โฆษณาว่า เป็นลูกกลิ้งนวดหน้า ช่วยปรับรูปหน้าเรียวได้ด้วยวิธีง่ายๆ เพียงกลิ้งลูกกลิ้งดังกล่าวไปมาบริเวณใบหน้าเท่านั้น อีกทั้งราคาที่แสนถูก จึงสร้างความสงสัยให้ผู้บริโภคสืบต่อกันมาว่า ลูกกลิ้งนวดหน้าช่วยทำหน้าเรียวได้จริงหรือไม่ คุณเองก็เป็นคนหนึ่งที่สงสัยใช่มั้ยคะ? ถ้าอย่างนั้นมาหาคำตอบไปพร้อมกันเลย

                                                                สมมุติฐานว่าลูกกลิ้งนวดหน้าน่าจะช่วยทำให้หน้าเรียวได้จริง

                                                                1. สินค้าชนิดนี้ มีจำหน่ายในต่างประเทศมานานเป็น 10 ปีแล้ว มาตรฐานการควบคุมสินค้าในต่างประเทศอยู่ในระดับเคร่งครัด
                                                                2. ถ้าไม่มีคุณภาพจริง คงอยู่ในท้องตลาดไม่ได้ จะหายไปตามความไม่ต้องการของตลาด ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงมีแนวโน้มว่าช่วยทำหน้าเรียวได้จริง

                                                                แนวคิดการทำงานของลูกกลิ้งนวดหน้าเพื่อการปรับรูปหน้าเรียว

                                                                เมื่อเทียบกับการปรับรูปหน้าเรียวด้วยโปรแกรม Hifu, Ulthera หรือ Thermarge โปรแกรมเหล่านี้จะเป็นการกระตุ้นผิวที่ถูกทำให้เกิด “บาดแผลแบบรูเข็ม” คือเป็นแผลขนาดเล็กมากใต้ผิวหนังชั้นลึก หลังจากนั้นร่างกายจะพยายามสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเพื่อจะซ่อมแซมตัวเอง

                                                                แต่ในส่วนของ การนวดคลึงบนผิวหนังนั้น หลักการทำงานคือเป็นการกระตุ้นให้มีการไหลเวียนเลือด โดยปกติแม้ใช้กำลังมือกำลังนิ้วเหมือนการนวดแผนไทยทั่วไปก็สามารถกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดได้ แต่ลูกกลิ้งมีการกระตุ้นที่มากกว่ามือ เพราะอุปกรณ์ที่มีความนูนหรือเป็นคลื่นกล้ามเนื้อจึงเหมือนได้ออกกำลังกาย จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิว

                                                                แต่ถึงอย่างนั้นลูกกลิ้งก็ยังมีประสิทธิภาพในการทำงานได้น้อยกว่าโปรแกรมทำหน้าเรียว เพราะโปรแกรมจากคลินิกที่มาพร้อมกับเครื่องมืออันทันสมัย ประกอบกับความรู้ความชำนาญของแพทย์ จะทำให้กระตุ้นผิวในชั้นที่ลึกกว่า และใช้เวลาน้อยกว่าลูกกลิ้งนวดหน้าหลายเท่า

                                                                วิธีใช้ลูกกลิ้งนวดปรับรูปหน้าเรียว

                                                                ก่อนอื่นต้องล้างหน้าให้สะอาดหมดจด สาวๆ อาจจะสครับผิวหน้าก่อนก็ได้เพื่อให้แน่ใจว่าผิวหน้าสะอาดอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นสิ่งสกปรกตกค้างจะถูกผลักเข้าสู่รูขุมขนจนทำให้เกิดสิวได้ จากนั้นทาครีมบำรุงที่ใบหน้าเล็กน้อยเพื่อผลักสารอาหารเข้าสู่ผิวและลดการเสียดสีที่อาจทำให้บาดเจ็บมากเกินไป แล้วกลิ้งลูกกลิ้งไป-มา บริเวณข้างแก้ม กลิ้งขึ้น-ลง ต่อเนื่องครั้งละ 15-30 นาทีต่อครั้ง

                                                                ทำไมบางคนบอกว่าปรับรูปหน้าเรียวด้วยลูกกลิ้งไม่ได้ผล

                                                                1. ทำไม่ถูกวิธี และไม่ทำอย่างต่อเนื่องจริงจัง
                                                                2. ไม่อดทนรอการเปลี่ยนแปลง ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณหนึ่ง
                                                                3. ตระหนกตกใจกับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น เช่น เมื่อย เจ็บ หรือระคายเคือง

                                                                ผลข้างเคียงจากการใช้ลูกกลิ้งทำหน้าเรียว

                                                                1. ใช้ไม่เป็น ขาดคำแนะนำที่ถูกต้อง ใช้น้ำหนักแรงเกินไป บ่อยเกินไป อาจทำให้เกิดแผลอักเสบ จากความระคายเคืองได้
                                                                2. ติดเชื้อจากบาดแผลที่เกิดขึ้นจากการทำงานของลูกกลิ้ง แต่ดูแลลูกกลิ้งไม่สะอาดพอ จนอาจส่งผลให้สิวขึ้นมากกว่าเดิม
                                                                3. ใช้ร่วมกับผู้อื่น ทำให้มีการส่งต่อเชื้อโรคผ่านลูกกลิ้ง

                                                                การใช้ลูกกลิ้งนวดหน้าช่วยทำให้หน้าเรียวได้ระดับหนึ่งก็จริง แต่ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าการทำหน้าเรียวด้วยลูกกลิ้ง เป็นการทำงานกับผิวชั้นนอก อีกทั้งไม่ได้มีเครื่องมือทางการแพทย์อื่นมากระตุ้น ฉะนั้นต้องอาศัยความสม่ำเสมอทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องใช้เวลาหลายเดือนเลยทีเดียว แต่ถ้าหากหลายคนท้ออยากจะได้ผลที่เร็วและชัวร์ แนะนำให้ปอาศัยเครื่องมือที่ทันสมัยจากคลินิก อย่างรมย์รวินท์คลินิกของเราก็มีโปรแกรมปรับรูปหน้ามากมายเอาไว้บริการคุณค่ะ

                                                                รูปหน้าของคนมีกี่ประเภท รูปหน้าแบบไหนที่เหมาะกับการ “ทำหน้าเรียว”

                                                                210

                                                                รูปหน้าโดยธรรมชาติของคนเรานั้นมีหลายแบบ บางคนหน้ารูปไข่ บางคนหน้าเล็ก บางคนก็หน้ากลม และอีกหลายรูปทรงใบหน้าแตกต่างกันไปตามเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ และพันธุกรรม แล้วคุณละคะมีรูปหน้าแบบไหน ตอนนี้พึงพอใจในรูปหน้าของตัวเองแล้วหรือยัง ถ้ายังมาดูกันว่ารูปหน้าแบบคุณเหมาะกับการทำหน้าเรียวตามเทรนด์ในปัจจุบันได้หรือไม่

                                                                ประเภทของรูปหน้า

                                                                1. หน้ารูปหัวใจ เป็นรูปทรงหน้าที่ดูสวยและมีเสน่ห์กว่าใคร เริ่มตั้งแต่หน้าผากจะมีความคล้ายรูปวาดหัวใจมีไรผมแหลมลงมาที่กลางหน้าผาก จากหน้าผากลงมาถึงคาง ส่วนกรอบหน้าจะค่อย ๆ เรียวลงมาจนถึงส่วนคางซึ่งจะมีความมนเหมือนปลายรูปหัวใจ
                                                                2. หน้ารูปสี่เหลี่ยม รูปหน้าแบบนี้มีความกว้างและความยาวพอๆ กัน กรอบหน้าสองข้างค่อนข้างตรงลงมา ปลายคางตัด และมีสันกรามที่ค่อนข้างกว้างจึงทำให้ดูเป็นเหลี่ยม 
                                                                3. รูปหน้ากลม ลองนึกถึงวงกลมเทียบกับใบหน้า คือมีความกว้างและความยาวของหน้าเกือบเท่ากันทุกองศา ช่วงที่กว้างที่สุดจะเป็นช่วงโหนกแก้ม หน้าผากกับช่วงกรามจะเล็กกว่า ลักษณะช่วงกรามจะมีรูปมนๆ
                                                                4. หน้ารูปไข่ เป็นอีกหนึ่งรูปทรงใบหน้าที่หลายคนชอบ ด้วยความยาวของใบหน้าจะมากกว่าความกว้าง ส่วนหน้าผากจะกว้างกว่าช่วงกราม ส่วนของกรามและคางจะมนเรียวได้รูป เมื่อดูภาพรวมของใบหน้าก็จะมีความมน ดูสวยแบบมีมิติ
                                                                5. รูปหน้ายาว มีลักษณะคล้ายกับหน้ารูปไข่เหมือนกันแต่จะมีความยาวมากขึ้นจากส่วนหน้าผากและคาง กรอบหน้าเล็ก เมื่อมองภาพรวมจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าความยาวใบหน้าจะมากกว่าด้านข้าง
                                                                6. รูปหน้าสามเหลี่ยมหรือตัววี รูปหน้า V-Shape ที่สาว ๆ ไฝ่ฝันและนิยมทำหน้าเรียวกันมาก คือโครงหน้าที่เหมือนสามเหลี่ยมกลับหัวเนื่องจากมีส่วนหน้าผากกว้างและสูง มีเส้นกรอบหน้าแคบเรียวลงมาจนถึงส่วนคาง ในขณะที่ส่วนคางจะแหลมจนเห็นได้ชัดคล้ายเป็นเป็นตัววี
                                                                7. ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือรูปเพชร นึกภาพสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ใบหน้ารูปแบบนี้จะมีส่วนโหนกแก้มกว้างที่สุด  หน้าผากกับบริเวณสันกรามจะไล่เลี่ยกัน

                                                                เทคนิคการดูรูปหน้าของตัวเองว่าเป็นแบบไหน

                                                                สำหรับใครที่อยากรู้ว่ารูปหน้าของตนเป็นอย่างไร สามารถวัดได้ดังนี้

                                                                1. วัดส่วนกว้างที่สุดของใบหน้าจากซ้ายไปขวา
                                                                2. วัดความยาวที่สุดของใบหน้า จากบริเวณไรผมตรงหน้าผากลงมาจรดปลายคาง
                                                                3. วัดจากสันกรามมาถึงคางเป็นอีกส่วนที่ใช้ประกอบการพิจารณาว่ามีรูปหน้าแบบไหน
                                                                4. อย่างไรก็ตามขนาดใบหน้าของแต่ละคนไม่เท่ากันจึงจำกัดความด้วยตัวเลขได้ยาก ทั้งนี้ให้เทียบสัดส่วนด้านกว้าง ด้านยาวของกรอบหน้า จากนั้นเปรียบเทียบกับคำจำกัดความของรูปหน้าประเภทต่างๆ ก็จะรู้ว่ามีตัวเองมีรูปหน้าแบบไหน

                                                                รูปหน้าที่ทำหน้าเรียวได้สวยจะต้องมีพื้นฐานรูปหน้ามีความยาวมากกว่าความกว้างและต้องอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม เช่น หน้ารูปไข่ หน้าสามเหลี่ยม หน้าเพชร แต่ทั้งนี้ต้องไม่ยาวจนเกินไป ส่วนรูปหน้าเหลี่ยม หรือหน้ากลมมากเกินไป อาจไม่ค่อยนิยมมากนักในหมู่คนไทย สำหรับใครที่อยากทำหน้าเรียว สามารถทำได้ด้วยการใช้โปรแกรมเสริมความงามเข้าช่วย โดยสอบถามได้ที่ 080-153-9000 หรือเดินทางเข้ามาปรึกษากับรมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขา เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มากด้วยประสบการณ์ที่พร้อมดูแลคุณค่ะ

                                                                อยากทำหน้าเรียว V-Shape ด้วยเทอร์มาจควรเริ่มต้นอย่างไร

                                                                209

                                                                เทคโนโลยีความงามด้านการทำหน้าเรียวมีด้วยกันหลายวิธี หนึ่งในวิธีที่นิยมก็คือ THERMAGE (เทอร์มาจ) ที่หลายคนก็อาจจะลองทำบ้าง แต่สำหรับใครที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ย่อมอยากรู้ถึงขั้นตอนการทำเอาไว้เผื่อประกอบการตัดสินใจในการทำหน้าเรียว บทความนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงขออาสาทุกท่านไปทำความรู้จักกับการปรับรูปหน้าเรียวด้วยการทำเทอร์มาจกันค่ะ

                                                                เทอร์มาจ (Thermage) คืออะไร  

                                                                เทอร์มาจ เป็นเทคโนโลยีในการทำหน้าเรียว ทำให้ผิวตึงกระชับด้วยใช้ความถี่ของคลื่นวิทยุแบบขั้วเดียวเข้าไปกระตุ้นผิวตั้งแต่ชั้นหนังแท้ผ่านเข้าไปจนถึงจนถึงผิวหนังชั้นลึก (SMAS) ความร้อนในระดับที่สม่ำเสมอที่ถูกส่งผ่านเข้าไปจะช่วยให้โครงสร้างผิวหนังมีความยืดหยุ่น กระชับตัวดีขึ้น มีการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ที่ส่งผลให้ผิวมีสุขภาพดี นุ่มนวล รูขุมขนเล็กลง

                                                                สิ่งที่ควรรู้ก่อนทำหน้าเรียวด้วยเทอร์มาจ

                                                                แน่นอนว่าก่อนที่จะเดินเข้าคลินิกศัลยกรรมความงามไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ใดก็ตาม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเสียก่อน อย่างน้อยก็ต้องทำความเข้าใจให้แตกฉานว่าโปรแกรมที่เราสนใจทำนั้น แท้จริงมีประโยชน์อย่างไร ช่วยแก้ไขปัญหาของเราได้อย่างตรงจุดหรือไม่  เพราะโปรแกรมเสริมความงามก็มีด้วยกันหลายวิธี ซึ่งบางวิธีก็มีความคล้ายคลึงกัน

                                                                กรณีการทำเทอร์มาจนั้น เป็นโปรแกรมที่ช่วยในการกระชับปรับรูปหน้าเรียว ทำหน้าเรียว เน้นการกระชับ (Tightening) ฉะนั้นจึงเหมาะกับผู้ที่มีไขมันที่หน้าเยอะ ผู้ที่มีใบหน้าอ้วน หน้าไม่กระชับ กรณีผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยร่วมด้วย การทำเทอร์มากอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ ก็อาจจะต้องทำโปรแกรมอื่นร่วมด้วย ความเข้มข้นของการยิง Shot ก็มีความสำคัญ เพราะหากยิง Shot ที่น้อยเกินไป หรือลงไปไม่ถึงผิวหนังชั้นลึก ก็ย่อมทำให้ผิวหน้ากระชับได้ไม่เต็มที่

                                                                นอกจากนี้ยังมีเรื่องของข้อจำกัด เช่น หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยเป็นมะเร็ง ผู้ที่มีสายสวนหัวใจ มีโลหะในร่างกาย กลุ่มคนนี้ ทำเทอร์มาจไม่ได้ ควรศึกษาข้อดี-ข้อเสียให้ครบ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อทราบปัญหาที่ต้องแก้ไข โดยก่อนเข้ารับการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียว ท่านสามารถ Walk in เข้ามาปรึกษากับที่แพทย์ได้ที่รมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขา เมื่อมั่นใจแล้วค่อยตกลงนัดหมายเวลาไปทำเทอร์มาจอีกครั้งค่ะ

                                                                ขั้นตอนการทำหน้าเรียวด้วยเทอร์มาจ

                                                                1. ทายาชาและรอจนกว่ายาชาออกฤทธิ์ ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที
                                                                2. ออกแบบตำแหน่งที่จะทำเทอร์มาจ โดยทำการลอกตารางเทอร์มาจลงบนใบหน้า
                                                                3. ใช้อุปกรณ์ทำเทอร์มาจในจุดที่กำหนดไว้ โดยกดเครื่องมือบนใบหน้าให้คลื่นวิทยุส่งผ่านความร้อนเข้าไปในชั้นคอลลาเจนของไขมัน กระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวกระชับ
                                                                4. ขณะทำเทอร์มาจมีความร้อนจากอุปกรณ์สู่ผิวที่ต้องมีการควบคุมระดับความร้อน จึงต้องอาศัยแพทย์ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเครื่องมือดีเพียงพอ ใช้ให้เหมาะกับผิวจะได้ไม่เกิดผลข้างเคียง
                                                                5. สุดท้ายจะมีการใช้ความเย็นต่อผิวเพื่อลดการระคายเคือง
                                                                6. การทำเทอร์มาจจากจุดเริ่มต้นทำถึงเสร็จจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณ Shot ที่ยิง
                                                                7. เมื่อทำเสร็จ คนไข้สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที ไม่ต้องพักรักษาตัว

                                                                ผลข้างเคียงหลังจากทำเทอร์มาจ

                                                                ในส่วนของผลข้างเคียงจากาการทำหน้าเรียวด้วยเทอร์มาจนั้น อาจมีรอยแดงหลังทำบ้างซึ่งเกิดจากระดับความร้อนหรือระยะเวลาที่ทำ แต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะรอยแดงจะหายไปเอง หลังทำเสร็จจะเห็นถึงความแตกต่างราว 20-30% หลังจากนั้นจะมีความชัดเจนขึ้นในช่วง 1 เดือนขึ้นไปเพราะเป็นช่วงที่ชั้นผิวสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินขึ้นมาซ่อมแซมผิวอย่างเต็มที่ ส่วนผลที่สมบูรณ์จะคงสภาพต่อเนื่องได้ถึง 1-2 ปีค่ะ สำหรับงบประมาณการทำหน้าเรียวด้วยเทอร์มาจนั้น จะอยู่ระหว่าง 30,000 – 100,000 บาทขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล รวมถึงกรณีที่ต้องทำร่วมกับโปรแกรมอื่นด้วย

                                                                และนี่ก็เป็นข้อมูลสำคัญที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจกระชับปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวด้วยเทอร์มาจ เมื่อเข้าใจหลักการเหล่านี้ดีแล้ว ลำดับต่อไปก็สามารถเข้าไปปรึกษาแพทย์ที่คลินิกได้เลยนะคะ หรือจะโทรสอบถามได้ที่สายตรงได้ที่ 080-153-9000 รมย์รวินท์คลินิกยินดีให้บริการค่ะ

                                                                ทำหน้าเรียวด้วยวิธีการฉีด กับการผ่าตัดศัลยกรรมอะไรดีกว่ากัน

                                                                208

                                                                เทรนด์สาวหน้าเรียวรูปทรง V-Shape ยังอยู่ในกระแสไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหน ส่วนใครที่หน้ไม่ได้รูปก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะมีวิธีการทำหน้าเรียวมากมายให้เลือกทำกัน นอกจากวิธีทำศัลยกรรมแล้ว ยังมีวิธีที่เจ็บตัวน้อยกว่า นั่นก็คือ การฉีดฟิลเลอร์ ฉีดโบ ร้อยไหม ฯลฯ ว่าแต่ว่า…หากเปรียบเทียบกันแล้ววิธีการไหนจะดีกว่ากัน ถ้าอยากรู้ ตามมาดูกันเลยค่ะ

                                                                เปรียบเทียบการทำหน้าเรียวด้วยวิธีการฉีดกับการผ่าตัดศัลยกรรม

                                                                1.ระดับความเปลี่ยนแปลง ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า การทำหน้าเรียวด้วยการฉีด (ซึ่งอาจจะเป็นการฉีดโบ ฟิลเลอร์ ร้อยไหม ฯลฯ) เปรียบเทียบเหมือนกับการปรับรูปหน้าชั่วคราว ผลจะอยู่ได้ประมาณ 1 ปี คือเมื่อปริมาณของสารที่ฉีดเข้าไปหมดฤทธิ์ลงก็จะต้องทำซ้ำ แต่การผ่าตัดศัลยกรรม (ไม่ว่าจะเป็นการเสริมซิลิโคนไปจนถึงการผ่าตัดกราม) จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างถาวร หรืออย่างน้อยก็อยู่ได้ 10 ปีจึงค่อยแก้ไขใหม่

                                                                2.ความเจ็บและการรักษาตัว การปรับรูปหน้าเรียวด้วยวิธีฉีดคือการใช้เข็มในการฉีดตัวยาเข้าไปที่ใบหน้า ข้อดีคือเจ็บน้อยกว่า และไม่ต้องรักษาตัวนาน ส่วนการทำศัลยกรรมเป็นหัตถการณ์ที่ใหญ่กว่า บางเคสถึงกับต้องวางยาสลบเข้าช่วย การศัลยกรรมปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวส่วนใหญ่จะทำการเปิดแผลภายในช่องปากเพื่อซ่อนแผลเป็น จึงทำให้กระทบต่อการพูดและการทานอาหารด้วย 

                                                                3.ระยะเวลารักษาตัว การทำหน้าเรียวด้วยการฉีด ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ทำเสร็จเรียบร้อย และสามารถกลับบ้านได้เลยไม่ต้องพักฟื้น อาจจะมีอาการบวมช้ำบ้างในช่วง 3-7 วันแต่ก็สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ ส่วนการผ่าตัดศัลยกรรมทำหน้าเรียว ส่วนใหญ่แล้วใช้เวลาทำ 30 นาทีขึ้นไปขึ้นอยู่กับประเภทของการผ่าตัด ต้องใช้เวลาพักฟื้นรักษาแผลอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ และต้องให้เวลาร่างกายปรับตัวอีกหลายเดือนกว่าผลลัพธ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร

                                                                4.ระยะเวลาของผลลัพธ์ การทำหน้าเรียวด้วยการฉีดไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้ 6-12 เดือนโดยประมาณ เนื่องจากการฉีดสารเป็นการทำให้กล้ามเนื้อเปลี่ยนไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น หากใบหน้าเริ่มกลับไปเหมือนเดิมต้องทำการฉีดซ้ำอีก แต่การผ่าตัดศัลยกรรมทำหน้าเรียวมีความเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างถาวร อย่างการเสริมซิลิโคนที่คางก็สามารถอยู่ได้ราว 10 ปีขึ้นไป หรือถ้าเป็นการผ่าตัดกระดูกกรามก็ให้ผลที่ถาวรตลอดไป

                                                                5.ความเสี่ยงด้านการผิดพลาด ไม่ว่าจะทำหน้าเรียวด้วยวิธีไหนก็ล้วนมีความเสี่ยง เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความเชี่ยวชาญของแพทย์ รวมทั้งการฉีดสารที่ไม่ได้คุณภาพ ยกตัวอย่าง

                                                                • ถ้าเป็นการฉีดพลาด ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดสลายใน 3-4 วัน หรือรอให้หมดฤทธิ์ตามอายุของสารแล้วค่อยฉีดใหม่ แต่ผลข้างเคียงก็อาจทำให้หน้าเบี้ยวไปสักพักใหญ่
                                                                • แต่ถ้าผิดพลาดมากฉีดถูกเส้นประสาทสำคัญบนใบหน้าอาจส่งผลถาวร
                                                                • ส่วนกรณีฉีดกับหมอกระเป๋าราคาถูก ก็เสี่ยงที่จะทำให้เกิดการอักเสบได้
                                                                • ส่วนศัลยกรรมผิดพลาดก็จะต้องศัลยกรรมแก้ไข ซึ่งจะได้ผลมากน้อยเพียงใดอยู่ที่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นและต้องอาศัยฝีมือของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการแก้ไข

                                                                6.ค่าใช้จ่าย การฉีดแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่าย 3,000 บาทขึ้นไป แต่ผลลัพธ์อยู่ได้ 6-8 เดือนก็ต้องฉีดใหม่เป็นระยะ ซึ่งจะเป็นอยู่เช่นนี้ตลอดที่ยังต้องการทำ หากเปรียบเทียบระยะยาวอาจมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการศัลยกรรมครั้งเดียว ส่วนการศัลยกรรมมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง แต่เป็นการจ่ายคราวเดียวแล้วจบ โดยอยู่ที่ประมาณ 40,000 – 100,000 บาท ตามแต่ปัญหาที่ต้องการแก้ไข แต่ข้อดีคือผลอยู่ได้ถาวรหรืออย่างน้อยก็ 10 ปีขึ้นไปไม่ต้องทำใหม่อีก

                                                                การทำหน้าเรียวด้วยวิธีการฉีดกับการผ่าตัดศัลยกรรม ต่างก็มีข้อดี ข้อเสีย และข้อจำกัดที่แตกต่างกัน หากถามว่าวิธีไหนจะดีกว่ากันนั้น ต้องตอบว่าขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เพราะแต่ละคนมีปัญหาโครงสร้างใบหน้าที่แตกต่างกัน สำหรับท่านใดที่สนใจทำหน้าเรียวแต่ยังไม่รู้ว่าควรจะทำด้วยวิธีไหนดี สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขาค่ะ

                                                                ทำหน้าเรียวด้วยวิธีไหน ให้ผลที่ยาวนานที่สุด

                                                                ฉีดโบ

                                                                หลายคนที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด หน้ากลม คางเยอะ หน้าดูอ้วน ไม่เป็น v-shape ตามสมัยนิยม ปัจจุบันนี้มีเทคนิควิธีทำหน้าเรียวมาให้เลือกทำกันมากมาย ซึ่งแต่ละวิธีก็มีจุดดีจุดเด่นแตกต่างกันไป รวมถึงปัญหาของแต่ละคน สภาพร่างกายของแต่ละคน ซึ่งส่งผลต่อรูปแบบวิธีการรักษา แต่วันนี้เราจะมาดูกันว่าวิธีการทำหน้าเรียวแบบไหนที่คงผลการรักษาได้ยาวนานที่สุด

                                                                1. การผ่าตัด การผ่าตัดทำหน้าเรียวเป็นวิธีที่ผลลัพธ์ที่ยาวนานที่สุด ได้ผลลัพธ์ชัดเจนแน่นอนที่สุด วิธีนี้สามารถแก้ไขใบหน้าได้หลากหลายแบบ ตั้งแต่ โหนกแก้ม กราม และคาง ปัจจุบันวิทยาการแพทย์ล้ำหน้าไปมากสามารถผ่าตัดผ่านด้านในปาก โดยอาศัยเครื่องมือพิเศษในการตัดกระดูกในช่องปาก ข้อดีคือไม่มีรอยแผลเป็นทิ้งไว้ให้เห็นจากภายนอก สิ่งสำคัญคือแพทย์ผู้ทำการรักษาต้องมีประสบการณ์สูง มีความชำนาญเฉพาะทาง เพราะการผ่าตัดเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่เส้นประสาท ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้เข้ารับบริการเป็นอย่างมาก
                                                                2. Thermage เทคโนโลยียกกระชับผิวด้วยพลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง สามารถส่งพลังเข้าไปยังชั้นผิวหนังทำให้เกิดความร้อนใต้ชั้นผิวบริเวณที่มีคอลลาเจน เมื่อชั้นผิวถูกกระตุ้นจะส่งผลให้มีการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่ ช่วยคืนความยืดหยุ่นและยกกระชับทำให้ผิวดูอิ่มเต็ม การทำหน้าเรียววิธีนี้ที่ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น ทำเสร็จแล้วสามารถกลับบ้านและทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำเสร็จ จะเห็นผลชัดเจนขึ้นภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ และคงผลการรักษายาวนาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและสภาพร่างกายของแต่ละคน
                                                                3. ร้อยไหม การใช้ไหมเส้นเล็กจำนวนมากหลายร้อยเส้น นำมาเรียงร้อยเชื่อมโยงกันไว้ใต้ผิวหนัง ไหมที่นำมาใช้ได้มาตรฐานเดียวกับไหมละลายที่ใช้เย็บเส้นเลือดหัวใจ จึงมีความปลอดภัยและสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว การร้อยไหมเป็นการทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ กระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนบริเวณรอบเส้นไหม เมื่อมีคอลลาเจนเพิ่มขึ้นผิวบริเวณดังกล่าวก็จะตึงกระชับ ลดความหย่อนคล้อย ช่วยปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวอย่างได้ผล โดยปกติเส้นไหมจะสลายตัวไปภายใน 8 เดือน หลังทำเสร็จจะมีอาการบวมตามแนวรอยไหมบ้าง แต่จะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ ผลลัพธ์จะปรากฏชัดเจนขึ้นภายในเวลา 2 เดือน และให้ผลยาวนาน 1-2 ปี
                                                                4. Lipo Lifting อีกหนึ่งวิธีปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียว ที่หลายคนให้ความสนใจ เพราะไม่บวมไม่ช้ำไม่แสบเหมือนยาสลายไขมันตัวอื่น โดยใช้เทคนิคการฉีดไหมเข้าสู่ใต้ผิวหนัง เส้นไหมที่ได้ผลิตจากสารสกัดธรรมชาติ จึงไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ พร้อมทั้งเคลือบด้วยสารชนิดพิเศษที่สามารถละลายไขมันใต้ผิวหนังได้ดี การฉีดไหมแต่ละครั้งจะเทียบเท่าการร้อยไหมแบบเรียบ โดยเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาไขมันส่วนเกินบริเวณแก้ม คาง เหนียง หรือบริเวณผิวที่หย่อนยาน เมื่อทำเสร็จจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน ผิวยกกระชับขึ้นทันที มองเห็นกรอบหน้าชัดเจน เป็นการทำหน้าเรียวที่ได้ผลดี โดยไม่ต้องทำศัลยกรรม ไม่ทิ้งอาการบวมแดงช้ำไว้บนใบหน้า ไม่ต้องเสียเวลาพักพื้น หลังทำเสร็จแล้วทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นภายใน 3-4 สัปดาห์ และคงผลการรักษาได้ยาวนานเป็นปี
                                                                5. ดูดไขมัน การดูดไขมันไม่ได้ใช้กับบริเวณหน้าท้อง สะโพก หรือต้นขาเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เพื่อปรับรูปหน้าเรียวได้ด้วย โดยเฉพาะผู้ที่ไขมันส่วนเกินบริเวณใต้คาง เหนียง สามารถใช้เทคนิควิธีการดูดไขมันได้เช่นเดียวกัน ปัจจุบันเครื่องดูดไขมันได้มีการพัฒนาก้าวล้ำหน้า หลังจากดูดไขมันออกไปแล้วผิวจึงไม่หย่อนคล้อย และมีเพียงรอยแผลเล็กๆ เท่านั้น หลังทำเสร็จจะสังเกตเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลง สำหรับผลการรักษาจะคงอยู่ได้ยาวนานเพียงใดขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของผู้เข้ารับการรักษาแต่ละราย

                                                                วิธีการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียว มีตั้งแต่การผ่าตัดใหญ่ จนถึงการใช้เครื่องมือพิเศษที่ไม่ทำให้เกิดรอยแผล สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาก็คือเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยของสถานเสริมความงาม และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ใช้รักษา การตัดสินใจจากงบประมาณเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเสมอไป รมย์รวินท์คลินิก ให้ความสำคัญกับความทันสมัยของเครื่องมือเป็นสิ่งแรก มีการคัดสรรเครื่องมือเพื่อให้ตอบโจทย์ปัญหาผิวลูกค้า ด้วยจุดนี้เองจึงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับคนไข้ที่มาใช้บริการรมย์รวินท์คลินิกของเรา

                                                                ทำหน้าเรียว ด้วยวิธีไหนใช้เวลาพักฟื้นน้อยที่สุด

                                                                206

                                                                วิธีการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวมีอยู่มากมายหลายวิธี ตั้งแต่ศัลยกรรมดึงหน้า ผ่าตัดใส่ซิลิโคน ฉีดสารเติมแต่ง หรือใช้เครื่องมือไฮเทคต่างๆ ซึ่งมีข้อดีข้อเด่นแตกต่างกันไป แต่ถ้าหากเลือกได้หลายคนคงจะเลือกวิธีทำหน้าเรียวที่ได้ผลลัพธ์ยอดเยี่ยมและใช้เวลาพักฟื้นน้อยที่สุด วันนี้เรามีวิธีปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวมาแนะนำกัน ลองตามไปดูกันว่ามีวิธีไหนบ้าง

                                                                1. Hifu เทคนิคการทำหน้าเรียวที่ขึ้นชื่อว่าไม่เจ็บ เห็นผลไว เป็นการใช้คลื่นอัลตราซาวด์เข้มข้นสูง ส่งผ่านพลังงานเข้าไปยังชั้นผิว SMAS ซึ่งเป็นชั้นกล้ามเนื้อเดียวกับที่ทำศัลยกรรมดึงหน้า เมื่อชั้นเนื้อเยื่อได้รับการกระตุ้นจะมีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวยกกระชับ อิ่มเต็ม หลังจากทำเสร็จไม่ต้องพักฟื้น ไม่เกิดอาการบวม ช้ำ แดง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัดเจน มีไขมันส่วนเกินบริเวณใบหน้า ผลการรักษาจะเห็นชัดเจนขึ้นภายใน 4-6 สัปดาห์ และคงผลลัพธ์ต่อเนื่องยาวนานเป็นปี
                                                                2. Thermage เทคโนโลยียกกระชับผิว ทำหน้าเรียวด้วยการส่งคลื่นความถี่วิทยุ RF ส่งพลังเข้าไปยังชั้นผิวหนังระดับลึก เพื่อกระตุ้นให้เนื้อเยื่อสร้างคอลลาเจนใหม่เพิ่มขึ้น ขณะทำหัตถการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะคอยควบคุมความร้อนสลับเย็นให้คงที่ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์สูงสุด หลังทำเทอมาร์จผู้รับบริการจะรู้สึกได้ทันทีว่าริ้วรอยลดลง ผิวแข็งแรงขึ้น ทำหน้าเรียวเป็น v-shape มากขึ้น และที่สำคัญหลังจากทำเสร็จไม่จำเป็นต้องพักฟื้น สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ทั้งแต่งหน้า ช้อปปิ้ง ออกกำลังกาย แต่ก็อาจจะมีบางรายที่มีผิวแดงเล็กน้อย แต่ก็จะหายไปเองในเวลาอันรวดเร็ว
                                                                3. Filler ฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มชนิดหนึ่งที่ใช้ฉีดเพื่อลดและแก้ปัญหาริ้วรอยบริเวณต่างๆ บนใบหน้า รวมถึงเติมเต็มจุดที่บกพร่อง เพื่อปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวได้ตามต้องการ โดยสารเติมเต็มดังกล่าวมีให้เลือกหลายประเภท ที่นิยมแพร่หลายก็จะมีการใช้ไขมันตนเอง คอลลาเจนจากสัตว์ หรือไฮยาลูโรนิก-แอซิด ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมกันอย่างมาก หลังฉีดแล้วจะเห็นผลได้ทันที และเห็นผลชัดเจนมากขึ้นเมื่ออาการบวมน้ำหายไป ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ 6 เดือน หรือมากน้อยกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน หลังฉีดแล้วไม่ต้องพักฟื้น สามารถแต่งหน้า หรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ
                                                                4. ฉีดโบ เทคนิคการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวที่นิยมทำกันมาก คือการฉีดโบ ซึ่งเป็นสารสกัดโปรตีนธรรมชาติจากแบคทีเรีย มีคุณสมบัติช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดเลือนริ้วรอย เติมเต็มร่องลึกบริเวณต่างๆ ช่วยแก้ปัญหาข้อบกพร่องบนใบหน้าได้ดี โดยคุณหมอจะเป็นผู้วินิจฉัยและกำหนดตำแหน่งการฉีดอย่างเหมาะสม ซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญชำนาญเป็นอย่างมาก จึงจะปรับรูปหน้าทำหน้าเรียวได้อย่างสวยงาม หลังฉีดโบอาจจะต้องระมัดระวังอย่าจับหรือนวดบริเวณที่ฉีด โดยบางรายอาจจะมีรอยแดงบ้างเล็กน้อย แต่จะหายไปเองภายใน 1 วัน หลังจากนั้นจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์
                                                                5. Lipo Lifting เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณแก้ม คาง เหนียง ทำให้หน้าดูกลมดูอ้วน การปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวที่มีปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ง่าย โดยวิธีการฉีดไหมไลโป ซึ่งให้ผลลัพธ์ปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวเทียบเท่าการร้อยไหม แต่ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น ไม่ทิ้งรอยช้ำบวมแดงให้เห็น ตัวยาที่ใช้สกัดมาจากธรรมชาติมีคุณสมบัติช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินใต้ผิวหนัง ตัวเส้นไหมจะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นเนื้อเยื่อ ช่วยให้ผิวยกกระชับ ลดอาการหย่อนคล้อยได้ดี ส่งผลให้ทำหน้าเรียวเล็ก ดูเป็น v-shape ตามสมัยนิยม หลังฉีดไหมไลโปไม่จำเป็นต้องพักฟื้น สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ ทั้งนี้คุณหมอแนะนำว่าให้ดื่มน้ำเพิ่ม เพื่อช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันให้ดีขึ้น

                                                                เทคนิควิธีการทำหน้าเรียวเหล่านี้ ล้วนมีจุดประสงค์เพื่อปรับรูปหน้าให้เรียวกระชับ มองเห็นกรอบหน้าชัดเจนทั้งสิ้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลการรักษาแตกต่างกันไป คือ อายุ ลักษณะโครงสร้างและสภาพผิวพรรณของผู้รับบริการ ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการวิเคราะห์อย่างละเอียดและแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสม จะทำให้แก้ไขปัญหาผิวได้ตรงจุดมากกว่า สำหรับท่านใดที่ต้องการเข้ามาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สามารถ Walkin เข้ามาได้ที่รมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขา

                                                                ทำหน้าเรียว ด้วยวิธีไหนเจ็บตัวน้อยที่สุด

                                                                205

                                                                ปัจจุบันมีเทคนิคการทำหน้าเรียวอยู่มากหมายหลายวิธี ซึ่งต่างก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีได้ดั่งใจ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมากคือความเจ็บปวดทรมานของการทำสวย ถึงแม้จะอยากให้หน้าเรียวหน้ากระชับมากแค่ไหน แต่ถ้าต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดมากมายก็คงต้องขอบายไปก่อน วันนี้เรามีวิธีปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวที่แม้แต่คนที่มีระดับความอดทนต่อความเจ็บต่ำก็ยังรับได้ แสดงว่าคนทั่วไปก็รับได้แน่นอน

                                                                HIFU (ไฮฟู)

                                                                การทำ Hifu เป็นหนึ่งในวิธีปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวที่หลายคนยืนยันคอนเฟิร์มว่าเจ็บตัวน้อยที่สุด เพราะไม่มีการใช้เข็ม ไม่มีการใช้มีดผ่าตัดมาเกี่ยวข้อง มีเพียงเครื่องมืออันทันสมัยที่ส่งคลื่นอัลตราซาวด์เข้มข้น ที่สามารถส่งพลังเข้าสู่ใต้ผิวระดับลึกที่เรียกว่าชั้น SMAS เป็นชั้นกล้ามเนื้อเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ดึงหน้า ด้วยคุณสมสบัติของเครื่องชนิดนี้จึงสามารถใช้การส่งคลื่นที่มีความเข้มข้นสูงเข้าไปกระตุ้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังเพื่อให้เกิดแผลขนาดเล็กมาก

                                                                จากนั้นร่างกายจะกระตุ้นให้บริเวณดังกล่าวสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ซึ่งส่งผลให้ผิวกระชับอิ่มเต็ม ช่วยปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวเป็น v-shape มองเห็นกรอบหน้าชัดเจนขึ้นมาก ด้วยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทันทีหลังทำ จึงมีผู้นิยมใช้บริการทำไฮฟูกันมากมาย ซึ่งอาจจะทำร่วมกับวิธีการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวแบบอื่นก็ได้ ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ผู้ให้การรักษาและความต้องการของผู้เข้ารับบริการ

                                                                ฉีดโบ

                                                                วิธีการสุดคลาสสิคในการทำหน้าเรียว ซึ่งคุณหมอท่านบอกว่าเจ็บน้อยถึงน้อยที่สุด เพราะใช้เข็มที่มีขนาดเล็กจึงทำให้รู้สึกเจ็บน้อย ประกอบกับการฉีดโบเป็นจุดๆ ตามตำแหน่งที่เกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อย ทุกครั้งที่ฉีดเสร็จก็จะมีการนวดคลึงกันเล็กน้อยพอให้ยากระจายตัว หลังฉีดเสร็จครบทุกจุด ผู้รับบริการสามารถเดินออกจากคลินิกได้เลยโดยไม่ต้องพักฟื้น ที่สำคัญเห็นผลการเปลี่ยนแปลงแทบจะทันที สามารถแต่งหน้า ทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ

                                                                แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของคุณหมอด้วย สำหรับหมอที่มีประสบการณ์มีชั่วโมงบินสูง ก็รับประกันได้ว่ามือเบาและแม่นยำ สำหรับระยะเวลาออกฤทธิ์ของการฉีดโบ การทำหน้าเรียวก็อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล สามารถเข้ามาฉีดซ้ำได้เพื่อให้ผลการรักษาคงอยู่ยาวนาน ซึ่งควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้บริการเอง

                                                                LIPO LIFTING (การฉีดไหมไลโป)

                                                                เทคนิควิธีทำหน้าเรียวที่ใช้แนวคิดการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายซ่อมแซมตนเองโดยใช้การฉีดไหมที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ จึงไม่ทิ้งสารเคมีตกค้างไว้ภายในร่างกาย วิธีการฉีดไหมแบบนี้เทียบเท่าได้กับการร้อยไหมเรียบ  ถ้าจะให้เทียบกัน การฉีดไหมหนึ่งมิลลิลิตรเทียบเท่าการร้อยไหมหนึ่งเส้น โดยให้ผลลัพธ์ดีเทียบเท่ากันได้เลย แต่ที่สำคัญคือ หลังจากทำเสร็จเห็นผลยกกระชับ ทำหน้าเรียวได้ทันที ไม่ทำให้บวมช้ำเหมือนการร้อยไหมทั่วไป ฉีดเสร็จแล้วสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้

                                                                ก่อนการฉีดไหมไม่จำเป็นต้องทายาชา ไม่ต้องประคบเย็น สามารถฉีดเข้าไปได้เลย จึงเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวด้วยวิธีนี้ไม่ทำให้เจ็บตัวแน่นอน หลังฉีดเสร็จจะมีเพียงอาการร้อนบริเวณที่ฉีดประมาณ 1-2 นาที หลังจากนั้นจะรู้สึกเป็นปกติ การฉีดไหมไลโปนั้นจะช่วยทั้งเรื่องการยกกระชับรูปหน้า ลดความหย่อนคล้อยและริ้วรอยต่างๆ รวมถึงการสลายไขมันส่วนเกิน กระตุ้นให้มีการเผาผลาญไขมันและกำจัดออกจากร่างกาย ผลลัพธ์ของการฉีดไหมทำหน้าเรียวจะเห็นผลทันทีและจะเห็นผลชัดเจนมากขึ้นภายในเวลาไม่กี่วัน โดยยังคงผลลัพธ์ไว้ได้ยาวนานเป็นปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพใบหน้าของผู้เข้ารับบริการแต่ละคน

                                                                ด้วยวิธีการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวที่กล่าวมา ทุกวิธีล้วนมีจุดเด่นสำคัญคือทำแล้วไม่เจ็บ ไม่ช้ำ หรือปวดบวม หลังทำเสร็จเห็นผลได้ทันที จึงเป็นที่นิยมของผู้ที่รักสวยรักงามส่วนใหญ่ แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่จะลืมไปเสียไม่ได้ คือมาตรฐานความปลอดภัยของสถานเสริมความงาม ความน่าเชื่อถือและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ทำการรักษา และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้ ถ้ามีครบองค์ประกอบทุกอย่าง ก็เลือกใช้บริการเสริมความงามได้ด้วยความสบายใจ สำหรับท่านใดที่ต้องการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ มีชั่วโมงบินสูง อย่าลืมเลือกใช้บริการที่รมย์รวินท์คลินิกนะคะ

                                                                ทำหน้าเรียวด้วยวิธีไหนที่ค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด

                                                                204

                                                                ในปัจจุบันเทคนิคการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวมีอยู่มากมายหลายวิธีให้ได้เลือกใช้บริการกัน โดยแต่ละวิธีมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับโครงสร้างรูปหน้า ผิวพรรณและปัญหาของแต่ละคน นอกจากเทคนิควิธีการในการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวแล้วยังมีเรื่องของงบประมาณค่าใช้จ่ายที่ต้องคำนึงถึงด้วย วันนี้เรามีข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับงบประมาณการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

                                                                การฉีดโบ

                                                                เริ่มจากวิธียอดฮิตที่หลายคนมักจะนึกถึง คือการทำหน้าเรียวด้วยการฉีดโบ  ซึ่งเป็นโปรตีนสกัดจากแบคทีเรียที่มีความบริสุทธิ์สูง เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัวจึงช่วยลดริ้วรอยลดความหย่อนคล้อยของใบหน้าได้ หลังฉีดจะรู้สึกว่าใบหน้าตึงกระชับทันที แต่จะออกฤทธิ์เห็นผลเต็มที่หลังฉีดประมาณ 2-14 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าของแต่ละคน การทำหน้าเรียวด้วยวิธีนี้ควรเลือกทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะต้องฉีดเข้ากล้ามเนื้อเล็กบนใบหน้าซึ่งต้องใช้ความละเอียดเป็นอย่างมาก สำหรับค่าบริการเริ่มต้นก็อยู่ที่หลักพันถึงหลายพันบาท ขึ้นอยู่กับโปรโมชันของแต่ละคลินิกและจำนวนยูนิตที่ฉีด ซึ่งขึ้นอยู่กับการพิจารณาแพทย์และปัญหาของผู้เข้ารับบริการแต่ละราย

                                                                การทำไฮฟู่

                                                                การทำหน้าเรียวด้วยไฮฟู่ (Hifu) เป็นเครื่องมือที่ใช้คลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง ส่งพลังเข้าไปกระตุ้นชั้นกล้ามเนื้อระดับลึก เปรียบได้กับการเย็บดึงกล้ามเนื้อที่มีความละเอียดสูง จึงช่วยกระตุ้นชั้นเนื้อเยื่อให้มีการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวยกกระชับ ลดความหย่อนคล้อย ทำหน้าเรียว ลดริ้วรอยได้ดี ที่สำคัญไม่ต้องเจ็บตัวโดนเข็มจิ้มให้หวาดเสียวกันด้วย โดยปกติหลังจากทำไฮฟู่จะเห็นผลทันทีประมาณ 10-30% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างใบหน้าของแต่ละคน และจะเห็นผลชัดเจนขึ้นภายในเวลา 1 เดือน ค่าบริการเริ่มต้นที่หลักพันถึงหลายพันบาทเช่นกัน ซึ่งมีคลินิกบางแห่งไม่จำกัดจำนวนช็อตในการยิงด้วยซ้ำ เรียกได้ว่ายิงกันทั่วหน้าราคาบุฟเฟ่ต์ไปเลย

                                                                การทำ LLD Fat

                                                                สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องไขมันส่วนเกินบริเวณแก้มและเหนียงต้องการปรับทำหน้าเรียว วิธีการทำ LLD Fat หรือ Lipolytic Lymph Drainage เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เหมาะสมเพราะมีคุณสมบัติในการสลายไขมันส่วนเกินอย่างรวดเร็ว ผลิตมาจากสารสกัดจากธรรมชาติ 100% จึงมีความปลอดภัยสูง หลังฉีดเห็นผลทันที 10-20% ระยะเวลาที่เห็นผลชัดที่สุดหลังจากฉีดไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ ที่สำคัญหลังฉีดเสร็จไม่ต้องพักฟื้น สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ สำหรับผู้ที่มีชั้นไขมันมากสามารถกลับมาฟอลโลอัพฉีดซ้ำได้ เพื่อให้เห็นผลชัดเจนช่วยกระชับ ทำหน้าเรียวเป็น v-shape ได้ดั่งใจ ทางด้านราคาก็เพียงแค่หลักพัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณซีซีที่ใช้ฉีดเข้าไป ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร ยังคงเป็นราคาที่สาวๆ เอื้อมถึงได้แน่นอน

                                                                การร้อยไหม

                                                                เป็นปกติของผู้ที่มีอายุมากขึ้น การสร้างคอลลาเจนของร่างกายก็ย่อมจะลดน้อยถอยลงไป ส่งผลให้ผิวพรรณหย่อนคล้อยไม่เต่งตึง การร้อยไหมเป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้เพื่อยกกระชับผิว ทำหน้าเรียว โดยใช้วิธีร้อยไหมละลายจำนวนหลายร้อยเส้นเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นให้เนื้อเยื่อใต้ผิวมีการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูอิ่มเต็มกระชับ ช่วยปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวตามสมัยนิยมอีกด้วย ปัจจุบันมีการร้อยไหมหลายแบบ ทั้งไหมเงี่ยงกุหลาบ ไหมก้างปลา ฯลฯ ซึ่งแล้วแต่ว่าคลินิกใดจะนำเสนอไหมในลักษณะไหน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในการยกกระชับใบหน้าได้ ทำหน้าเรียวสวยอย่างที่ต้องการ ด้วยราคาที่ไม่สูงเกินเอื้อมเพียงแค่ไม่กี่พัน ก็สามารถทำหน้าเรียวได้แล้ว

                                                                ถึงแม้ว่าการทำหน้าเรียวแต่ละวิธีจะมีค่าใช้จ่ายในการทำไม่แพงมากนัก แต่ถ้าหากบริหารจัดการงบประมาณไม่ดี ก็อาจทำให้คอร์สบานปลายได้ สำหรับท่านใดที่กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย สามารถโทรปรึกษากับสายตรงรมย์รวินท์ได้ที่ 080-153-9000 หรือเดินทางเข้าไปปรึกษาแพทย์ผู้เขี่ยวชาญได้ทั้ง 24 สาขา เพื่อประเมินปัญหาผิวที่แท้จริง ก็จะทำให้คุณประเมินค่าใช้จ่ายได้แม่นยำมากขึ้น

                                                                ทำหน้าเรียว…ด้วยวิธีฉีดโบอย่างไรให้ปลอดภัย

                                                                203

                                                                ใครๆ ก็อยากมีใบหน้าแต่งตึงเรียวงามได้รูปกันทั้งนั้น หนึ่งในเทคนิควิธีที่ช่วยทำหน้าเรียว v-shape ได้ดั่งใจ นั่นคือการฉีดการฉีดโบ แต่ก็ยังมีหลายคนที่รู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ที่จะต้องฉีดเอาสารบางอย่างเข้าไปในร่างกาย สำหรับคนที่ไม่เคยปรับรูปหน้าเรียวด้วยการฉีดโบมาก่อนไม่ต้องกังวลใจไป วันนี้เรามีคำแนะนำดีๆเกี่ยวกับการทำหน้าเรียวมาแนะนำกัน รับประกันว่าทั้งสวยและปลอดภัยแน่นอน

                                                                มาทำความรู้จักการฉีดโบกันก่อน

                                                                การฉีดโบ เป็นโปรตีนสกัดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งซึ่งนิยมใช้ในวงการความสวยความงามมายาวนาน เมื่อใช้ในปริมาณพอเหมาะจะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ช่วยลดริ้วรอยและยกกระชับผิวช่วยปรับรูปหน้าเรียวได้ดี การทำงานของการฉีดโบเมื่อฉีดเข้าสู่บริเวณที่ต้องการแล้ว จะเข้าไปจับที่ปลายประสาท ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวคลายตัว ส่งผลให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้นและจางลง ทำหน้าเรียว โดยระยะเวลาเห็นผลจะขึ้นอยู่กับลักษณะความหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าว ซึ่งต้องอาศัยเวลาตั้งแต่ 2-14 วัน แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล

                                                                ทำหน้าเรียวด้วยวิธีการฉีดโบอย่างไรจึงปลอดภัย

                                                                การฉีดโบจัดได้ว่าเป็นยาที่มีการขึ้นทะเบียนเพื่อการรักษาริ้วรอย ทำหน้าเรียว ผ่านการรับรองจาก อย. ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ปัจจุบันทั่วโลกมีการใช้โการฉีดโบเพื่อทำหน้าเรียวอย่างแพร่หลายมานานแล้ว จึงมั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัย เพียงแต่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน สามารถสืบย้อนกลับที่มาของยาได้ แบรนด์ที่นิยมใช้ในประเทศไทยมีทั้งของสหรัฐอเมริกาและของเกาหลี ซึ่งเป็นการฉีดโบบริสุทธิ์ที่มีความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์สามารถนำมาใช้ปรับรูปหน้าเรียวได้ดี

                                                                นอกจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองแล้ว สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือแพทย์ผู้ฉีดการฉีดโบต้องเป็นแพทย์ที่ได้รับอนุญาตจากแพทยสภา ศึกษามาทางด้านความงามโดยเฉพาะ พร้อมทั้งการพิจารณาถึงประสบการณ์การรักษาที่ผ่านมา ยิ่งผ่านเคสการรักษามาเยอะ ยิ่งมีความเชี่ยวชาญชำนาญ สามารถให้คำแนะนำและแก้ปัญหาให้กับผู้เข้ามารับบริการโดยเฉพาะผู้ที่ต้องการทำหน้าเรียวได้อย่างตรงจุด

                                                                เหนือสิ่งอื่นใดการเลือกใช้บริการจากสถาบันความงามที่ผ่านมาตรฐานการรับรองจะช่วยให้ผู้เข้ารับบริการได้รับความปลอดภัยสูงสุด อย่างรมย์รวินท์คลินิกของเรา ด้วยประสบการณ์อันยาวนานกว่า 15 ปี 24 สาขา เราจึงมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมที่จะให้บริการทุกท่านอย่างทั่วถึง และสามารถขอคำปรึกษาได้ตลอดเวลาหลังจากใช้บริการไปแล้วก็ยังสามารถติดตามผลได้

                                                                ข้อควรระวัง

                                                                การที่อยากจะปรับรูปหน้าเรียว ทำหน้าเรียว ด้วยการฉีดโบโดยพิจารณาจากราคาถูกเข้าว่า อย่างที่หลายคนรู้จักกันในนามของหมอกระเป๋า ที่ให้บริการฉีดโบกันถึงบ้าน หมอประเภทนี้ถ้าหากตรวจสอบกันจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะมีใบประกอบโรคศิลป์หรือเปล่าด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นก็คือหมอเถื่อน คงไม่ต้องอธิบายกันต่อว่าอันตรายขนาดไหน ทั้งนี้ตามปกติแพทย์จะไม่นิยมให้บริการนอกสถานที่ เพราะถึงแม้จะเป็นเรื่องการเสริมความงามแต่ก็ต้องอาศัยเครื่องไม้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่สะอาดปลอดภัย อยู่ในห้องที่ควบคุมความสะอาดผ่านการฆ่าเชื้ออย่างดี การใช้แสง การใช้ยา และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งจะเป็นการดีกว่าที่ผู้รับบริการจะเข้าใช้บริการที่คลิกนิก

                                                                ที่สำคัญคือความเสี่ยงจากการได้รับการฉีดโบปลอม ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก การฉีดโบปลอมทำให้ปากเบี้ยว หนังตาตก ยิ่งไปกว่านั้นถ้าฉีดมากเกินไปยากระจายออกฤทธิ์วงกว้างไปทั่วเกินการควบคุม ทำให้กล้ามเนื้อส่วนอื่นเป็นอัมพาตไปด้วย อาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ และอีกหนึ่งสิ่งที่อาจจะถูกมองข้ามจากการใช้การฉีดโบปลอมก็คืออาการดื้อยา ซึ่งถ้าหากดื้อยาเสียแล้วจากนี้ต่อไปก็จะดื้อยาทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นการฉีดโบจริงหรือปลอมก็ตาม

                                                                จริงอยู่ที่การเสริมความงามเป็นการเสริมสร้างบุคลิกภาพเพื่อให้เกิดความมั่นใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของชีวิต ก่อนเข้ารับบริการเสริมความงามครั้งใดก็ตาม ขอให้สละเวลาตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานของสถานเสริมความงาม ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ รวมถึงใบอนุญาตของแพทย์ที่ทำการรักษา หรือสามารถโทรสอบถามการให้บริการของเราได้ที่ 080-153-9000 รมย์รวินท์คลินิกยินดีให้บริการค่ะ

                                                                รู้ไว้ใช่ว่า หลักการ “ปรับรูปหน้าเรียว”ด้วย HIFU สิ่งที่สาวๆควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ

                                                                201

                                                                Hifu นวัตกรรมความงามที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการปรับรูปหน้าเรียว ทำงานโดยใช้คลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ยิงเข้าไปใต้ชั้นผิว จุดเด่นของมันคือการยิงคลื่นโดยทำให้เกิดแผล เป็น shot เล็กๆ จากภายในโดยที่ผิวหน้าด้านนอกไม่มีเลือดออกเลย จากนั้นร่างกายจะสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเอง เป็นการปรับรูปหน้าเรียวโดยที่ไม่ต้องเติมสารใดเข้าสู่ร่างกาย จึงทำให้หลายคนมั่นใจว่าจะไม่เกิดความเสี่ยงต่อการแพ้ค่ะ ว่าแต่ Hifu จะได้ผลหรือไม่ จะมีข้อเสียอย่างไรถ้าอยากรู้ตามมาดูกันค่ะ

                                                                ผู้ใดที่เหมาะสำหรับการทำ Hifu

                                                                Hifu ขึ้นชื่อในเรื่องของการปรับรูปหน้าเรียว เพิ่มความกระชับ ลดความหย่อนคล้อย เก็บกรอบหน้า ทำให้หน้าได้รูปสวยคมขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีไขมันเยอะบริเวณเหนียง คาง จะเหมาะสำหรับการทำ Hifu เป็นอย่างมาก โดยการทำ Hifu จะตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแต่อยู่ในระดับที่เพิ่งเริ่มหรือผิวหย่อนคล้อยไม่มาก เพราะมีระดับความแรงและราคาที่เหมาะสม แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยมากๆ อาจจะต้องทำร่วมกับโปรแกรมดูแลผิวหน้าชนิดอื่น หรือเพิ่มความแรงขึ้นเป็นการยิง Shot ด้วยโปรแกรมที่เรียกว่า Ulthera แทน

                                                                การทำ Hifu เจ็บหรือไม่

                                                                การทำ Hifu ถ้าบอกว่าไม่เจ็บเลยก็คงจะเป็นเรื่องที่โกหก เพราะการยิง Shot ผ่านผิวหนังลงไปนั้นมันจะเกิดความรู้สึกหน่วง ๆ บ้าง หรือในจุดที่ยิงผ่านส่วนโครงหน้าที่เป็นกระดูก ก็จะทำให้ใบหน้าของเราเกิดความหน่วงมากขึ้น หรือเจ็บแบบแปล๊บๆ (เป็นระดับที่ทนได้) แต่นั่นคือสัญญาณที่ดี เพราะมันสะท้อนให้เห็นว่าประสิทธิภาพของเครื่องถือว่าใช้ได้ ปรับระดับพลังงานที่พอดีไม่ต่ำเกินไป เพราะถ้าไม่เจ็บเลยนั่นแปลว่ายิง Shot ลงไปได้ไม่ลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งแน่นอนว่าการปรับรูปหน้าเรียวอาจจะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร 

                                                                การทำ Hifu อยู่ได้นานแค่ไหน

                                                                การทำ Hifu แต่ละครั้งจะเห็นผลหลังทำเสร็จเพียง 20-30% (สำหรับท่านใดที่ทำเสร็จแล้วไม่รู้สึกต่าง อย่าเพิ่งตกใจนะคะ ให้สังเกตที่ร่องลึก หรือกรอบหน้าก็จะพอเห็นการปรับรูปหน้าเรียวได้บ้าง) แต่ช่วง 1 เดือนหลังจากนั้นร่างกายจะค่อยๆ สร้างคอลลาเจนขึ้นมาจึงทำให้เห็นผลชัดขึ้นในช่วง 1 เดือน ผลของการทำ Hifu โดยเฉลี่ยจะอยู่ได้นานราว 5-6 เดือน หมายความว่า ใน1ปีถ้าทำ 2-3 ครั้งกำลังดี หรือถ้าหากต้องการยิงซ้ำก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยให้เว้นช่วงจากการทำครั้งแรกประมาณ 3 เดือน จากนั้นก็สามารถยิงซ้ำได้ค่ะ

                                                                เลือกทำ Hifu ที่เรทราคาเท่าไหร่ดี

                                                                สำหรับใครที่สนใจการปรับรูปหน้าเรียวด้วย Hifu อาจจะพบว่ามีราคาที่แตกต่างกันมากอย่างน่าตกใจ ตั้งแต่หลัก(หลาย)หมื่นบาทไปจนถึงไม่กี่พันบาทเท่านั้น คงจะเป็นเรื่องยากที่จะฟังธงอะไรดีหรือไม่ดี แต่ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดราคาคือยี่ห้อของเครื่องและ หัวยิง Shot เพราะหัวยิงแต่ละหัวมีประสิทธิภาพในการยิงหน้าตื้นต่างกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วหัวยิงที่คุณภาพดี ยิงได้ลึก พลังงานคงที่ จะมีราคาสูงจึงทำให้ต้นทุนสูง และค่าใช้จ่ายแพงกว่า แต่ก็ตามมาด้วยผลลัพธ์ที่ดีกว่า ฉะนั้นก่อนเลือกคอร์สยิง Hifu จากที่ใด ควรสอบถามด้วยว่าที่คลินิกใช้เครื่องรุ่นใดแล้วไปศึกษาคุณภาพของเครื่องเพิ่มเติม ก็จะช่วยคุณตัดสินใจเลือกคอร์สยิง Hifu ได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น 

                                                                สำหรับท่านใดที่สนใจการปรับรูปหน้าเรียว หรืออยากเก็บโครงหน้าให้ชัดเจนขึ้น โดยที่อาจมีปัญหารูปหน้าไม่มากนัก และมีงบปานกลาง Hifu เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณที่สุดแล้วล่ะค่ะ ในส่วนของจำนวน Shot ที่กำลังกังวลว่าควรทำจำนวนเท่าไหร่และบริเวณไหนดี สามารถปรึกษาฟรีได้ที่ โทร 080-153-9000   หรือ Walk in ได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขาค่ะ

                                                                รู้ไว้ใช่ว่าหลักการ “ปรับรูปหน้าเรียว” ด้วยวิธีร้อยไหม สิ่งที่สาวๆควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ

                                                                200

                                                                เมื่อใบหน้าเริ่มหย่อนคล้อยไปตามกาลเวลา หลายคนก็ต้องเริ่มหาตัวช่วยที่จะทำให้หน้ายังคงความสวยใสเหมือนวัยรุ่นดังเดิม “การร้อยไหม” เป็นวิธีปรับรูปหน้าเรียวอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมเสมอมา หลักการคือ ร้อยเส้นไหมชนิดพิเศษเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง จากนั้นร่างกายก็จะทำหน้าที่สร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ส่งผลให้ผิวเราสวยใสเต่งตึงตามที่ต้องการ

                                                                ไหมมีกี่ประเภท

                                                                สมัยก่อนไหมที่นิยมในการนำมาร้อยปรับรูปหน้านั้นทำมาจากวัสดุที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโลหะหนัก (ทองคำ) หรือพลาสติก(พอลิโพไพรลีน) ที่ทนความร้อนสูงและไม่ละลายง่าย แต่ในระยะยาวกลับปรากฏว่าไหมที่ไม่ละลายอาจนำมาซึ่งผลเสียที่เยอะกว่าเช่นเส้นไหมทะลุเพราะชั้นผิวหนังและชั้นไขมันใต้ผิวหนังของเราบางลง

                                                                ปัจจุบันนี้ จึงนิยมการใช้ “ไหมละลาย” ซึ่งเป็นไหมสังเคราะห์ชนิดพิเศษที่ทำขึ้นมาเพื่อใช้ในวงการความงาม การปรับรูปหน้าเรียวโดยเฉพาะ มีทั้งไหม PDO (Polydioxanone) และไหม PGA (Synthetic Absorbable Monofilament) มีคุณสมบัติพิเศษหลายอย่าง ได้แก่ ไม่ทำปฏิกิริยาที่ระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อ, ช่วยลดอาการอักเสบและติดเชื้อ, เมื่อไหมหมดอายุการใช้งาน (6-8 เดือน) มันจะสามารถสลายหายไปได้เอง, และยังถูกออกแบบมาหลากหลายรูปแบบเพื่อคุณสมบัติที่เฉพาะเจาะจงขึ้น

                                                                • ไหมสปริง (Spring Lifting) หรือบางคนเรียกว่าไหมเกลียว คุณลักษณะจะมีซิลิโคนกลมพันอยู่รอบเส้นไหม เพื่อเกี่ยวและยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ปรับรูปหน้าเรียวได้มากขึ้น
                                                                • ไหมก้างปลา (Barb) เป็นไหมที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบันนี้ โดยเป็นไหมที่ถูกบากให้เป็นเงี่ยงออกมา เมื่อทำการร้อยเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังเงี่ยงก้างปลาก็จะเกี่ยวพันเนื้อเยื่อให้ยกขึ้นและดึงให้ตึงขึ้น
                                                                • ไหม Molding PDO เป็นไหมอีกประเภทที่ได้รับความนิยมพอๆกับไหมก้างปลา คุณสมบัติเด่นคือเป็นไหมที่หล่อขึ้นมาทั้งเส้น จุดบากมีความแข็งแรง สามารถเกี่ยวพันเนื้อเยื่อได้ดีกว่า ปรับรูปหน้าเรียวเห็นผลนานกว่า 
                                                                • ไหมกรวย (Silhouette soft) ไหมกรวยตัวเส้นไหมจะมัดเป็นปม และจะมีพลาสติกทรงกรวยอยู่ระหว่างปมของเส้นไหม มีหน้าที่ในการช่วยยกกระชับและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

                                                                ผู้ที่เหมาะและไม่เหมาะสำหรับการทำร้อยไหม

                                                                การร้อยไหมเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด โดยทั่วไปเป็นช่วงอายุประมาณ 35 – 55 ปี ซึ่งจะเห็นผลได้ชัดเจนมากกว่า เป็นวิธีการปรับรูปหน้าเรียวที่รวดเร็ว ร้อยไหมปุ๊บเริ่มเห็นผลทันทีและจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่ร่างกายสร้างคอลลาเจนอย่างเต็มที่ อีกทั้งผลลัพธ์นี้สามารถอยู่ได้นานราว 6 เดือนถึง 1 ปีเลยทีเดียว

                                                                หลายคนบอกว่าการร้อยไหมสามารถทำได้ทุกคน เพราะเป็นกระบวนการยกกระชับ ปรับรูปหน้าเรียว ช่วยลดเลือนริ้วรอยซึ่งประโยชน์ของมันนั้นไม่ผิดเลย แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่มีอายุยังน้อย ที่ยังไม่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมากนัก ก็อาจจะยังไม่จำเป็นต้องร้อยไหมก็ได้  เพราะสามารถปรับรูปหน้าเรียวได้ด้วยวิธีอื่นอีกหลายวิธี

                                                                ร้อยไหมอยู่ได้นานแค่ไหน ทำได้อีกครั้งเมื่อไหร่

                                                                สำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าเรียวอย่างเห็นได้ชัด สามารถกลับมาร้อยไหมซ้ำหลังจากทำครั้งแรกไปแล้วอย่างน้อย 3 เดือน หลังจากการร้อยไหมเสร็จสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ทันทีไม่ต้องพักฟื้น แต่สิ่งที่ต้องระวังคือในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังการร้อยไหม ควรเลี่ยงการอ้าปากกว้าง หัวเราะดัง ๆ ตะโกนดัง ๆ หรือแสดงอารมณ์ทางสีหน้ามากเกินไปเพื่อป้องกันไหมฉีกขาดและอักเสบ

                                                                ส่วนผลข้างเคียง นอกจากการบวมเขียวช้ำที่เกิดได้ตามปกติแล้ว อาจเกิดการติดเชื้อ เกิดรอยบุ๋ม หน้าไม่เรียบได้ ฉะนั้นควรที่จะทำภายใต้คลินิกที่สะอาด ปลอดภัย และได้มาตรฐาน เพราะแพทย์ที่เชี่ยวชาญจะเข้าใจดีว่าควรร้อยไหมเข้าไปในระดับความลึกแค่ไหนจึงจะเหมาะสม

                                                                สำหรับผู้ที่ต้องการร้อยไหมปรับรูปหน้าเรียว สร้างความเต่งตึง หรืออยากสอบถามปรึกษาปัญหาผิวหน้าสามารถเข้ามาสอบถามกับคลินิกรมย์รวินท์ของเราได้ทุกสาขา จากประสบการณ์มากกว่า 14 ปี บวกกับความทันสมัยของเครื่องมือ เราเชื่อว่าจะช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับคนไข้ที่มาใช้บริการของเราค่ะ

                                                                รู้ไว้ใช่ว่า หลักการปรับรูปหน้าเรียวด้วย Filler สิ่งที่สาวๆควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ

                                                                filler

                                                                การฉีด Filler เป็นการปรับรูปหน้าเรียวได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องผ่าตัด เป็นกระบวนการที่ใช้เวลาอันสั้นเพียงไม่กี่นาที แต่ผลลัพธ์อยู่ได้นานเป็นปี แถมราคายังถูกกว่าการศัลยกรรมหลายเท่า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ได้รับความนิยมในวงการความงามเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นหลายคนก็ยังอดกังวลไม่ได้ว่าการปรับรูปหน้าเรียวด้วยฟิลเลอร์นั้นมีผลข้างเคียงหรือไม่

                                                                Filler ฟิลเลอร์คืออะไร?

                                                                Filler หรือฟิลเลอร์ เป็นสารเติมเต็มที่มีประโยชน์ในการปรับรูปหน้าเรียว หรือแก้ไขข้อบกพร้องของใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นการลดเลือนริ้วรอย การเติมจมูก, คาง หรือส่วนที่ดูตอบให้มีความนูนมากขึ้น ฟิลเลอร์ที่ใช้ในวงการความงามคือ “กรดไฮยาลูรอนิค แอซิด” (Hyaluronic acid หรือ HA) ความจริงแล้วสารเหล่านี้มีอยู่ในร่างกายของเรา แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นกระบวนการสังเคราะห์สารตัวนี้จะลดลง โดยเฉพาะเมื่ออายุเข้าสู่วัย 30 ขึ้นไป

                                                                ความรู้ทางการแพทย์ สมัยก่อนมีการใช้ กรดไฮยาลูรอนิค แอซิดในการรักษาอาการข้อเข่าเสื่อมหรือโรค ที่เกี่ยวกับข้อต่อ เพราะมีลักษณะหนืดข้น ละลายน้ำได้ดี ช่วยลดการเสียดสี ลดอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณข้อต่อ แต่จากการศึกษายังพบว่าสารนี้มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดี และมีประโยชน์ในวงการความงามจึงนิยมนำมาใช้ในการปรับรูปหน้าเรียว หรือปรับโครงสร้างใต้ชั้นผิวหนังให้ดูเต็มมากขึ้น

                                                                ฉีดฟิลเลอร์แล้วทำไมถึงไหล?

                                                                อีกหนึ่งคำถามที่มักจะได้ยินอยู่เสมอคือ “ปรับรูปหน้าเรียวด้วยฟิลเลอร์แล้วกลัวมันไหลจะทำอย่างไร” ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ฟิลเลอร์มีหลายชนิด มีลักษณะโมเลกุลต่างกันตั้งแต่โลเลกุลใหญ่ไปจนถึงละเอียด ซึ่งแต่ละชนิดต่างก็มีคุณสมบัติในการใช้กับวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น

                                                                ฟิลเลอร์ที่มีโลเลกุลใหญ่ จะเหมาะสำหรับการปั้นรูปหรือขึ้นรูป เช่นบริเวณจมูก คาง ฟิลเลอร์ที่มีโลเลกุลเล็กลงมาหน่อย จะเหมาะสำหรับการฉีดเพื่อเติมเต็ม ซึ่งได้แก่ บริเวณร่องแก้ม หน้าผาก หรือฉีดบนใบหน้าสำหรับผู้ที่มีปัญหาหย่อนคล้อยไม่มากที่ต้องการเน้นผิวที่ดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวล ฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลละเอียด จะเหมาะสำหรับการฉีดเฉพาะจุด เช่น ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว ผู้ที่มีริ้วรอยร่องตื้น และยังใช้ในการปรับรูปหน้าเรียวได้เช่นกัน

                                                                ฉะนั้นคำถามคือกรณีที่ฟิลเลอร์ไหล จะต้องมาดูแล้วว่าเราฉีดฟิลเลอร์ชนิดใดเข้าสู่ผิวบริเวณใด ถ้าฉีดฟิลเลอร์ชนิดที่มีโมเลกุลใหญ่กับผิวที่ไม่เหมาะ ก็อาจทำให้ฟิลเลอร์เกิดการเคลื่อนที่ไปยังบริเวณบนใบหน้าได้ 

                                                                ฟิลเลอร์ ละลายได้จริงหรือไม่?

                                                                อีกหนึ่งคำถามยอดฮิต “เมื่อเจอความร้อนฟิลเลอร์ละลายหรือไม่” ทำความเข้าใจกันก่อนโดยปกติเมื่อฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าเรียวย่อมฉีดอยู่ในบริเวณแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นแก้ม คาง หน้าผาก ฯลฯ ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นจุดที่ไม่ได้โดนความร้อนโดยตรง หรือถ้าสัมผัสก็ช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นไดรเป่าผม น้ำอุ่น หรืออาหารที่ร้อนซึ่งก็จะกระทบเฉพาะบริเวณริมฝีปาก แต่ระยะเวลาที่สัมผัสความร้อนเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงสั้น ๆ การสัมผัสความร้อนจึงไม่ได้ส่งผลให้ฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าเรียวละลายได้ขนาดนั้น

                                                                แต่อย่างไรก็ตาม ฟิลเลอร์เป็นสารที่สังเคราะห์จากธรรมชาติ ฟิลเลอร์คุณภาพมาตรฐาน ที่ใช้ปรับรูปหน้าเรียวจะสลายหายไปอยู่แล้วในช่วงระยะเวลา 1 ปีโดยเฉลี่ย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณความเข้มข้น บริเวณที่ฉีด พฤติกรรมของเรา รวมทั้งคุณภาพของฟิลเลอร์ด้วย เมื่อหมดระยะเวลามันจะสามารถสลายตัวได้เองจนไม่เหลือตกค้าง 100% ฉะนั้นถ้าอยากให้ผลของการฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าเรียวออกมาดีที่สุดต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียดนะคะ สำหรับท่านใดที่ยังมีข้อสงสัยสามารถโทรสอบถามสายตรงได้ที่ 080-153-9000 รมย์รวินท์คลินิกยินดีให้บริการค่ะ

                                                                 

                                                                รู้ไว้ใช่ว่าการฉีดโบก็มีอันตราย เลือกให้ดีก่อนทำหน้าเรียว

                                                                ฉีดโบ

                                                                เมื่อกล่าวถึง การฉีดโบมั่นใจได้เลยว่าไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะว่าด้วยเรื่องของความงาม ผู้คนส่วนใหญ่จะต้องนึกถึงการทำการฉีดโบเป็นอันดับต้นๆ อยู่แล้วฉีดโบมีประโยชน์ในการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวมากมายไม่ว่าจะเป็นการลดกราม ลดเลือนริ้วรอย ร่องแก้ม รอยตีนกา ฯลฯ เรียกว่าฉีดโบช่วยได้ทั่วทั้งใบหน้าเลยทีเดียว แต่ถึงแม้จะได้รับความนิยมมากแค่ไหน สาวๆ ก็ต้องระวังกันด้วยนะคะ เพราะภายใต้ความนิยมนี้ก็ยังมีของปลอมซ่อนอยู่

                                                                รู้ไว้ใช่ว่าฉีดโบปลอมก็มีนะ

                                                                เมื่ออะไรที่เป็นของดังก็มักจะมีของเลียนแบบเป็นธรรมดา การฉีดโบปลอมก็ย่อมมีเช่นกัน แถมยังเป็นสิ่งที่ระวังยาก เพราะบางครั้งการก็อปปี้นี้ก็ทำได้แนบเนียนราวกับเป็นของจริง ด้วยบรรจุภัณฑ์ที่คล้ายซะจนแยกไม่ออก ยิ่งเป็นตัวยาแล้วยิ่งไม่สามารถดูออกได้เลยว่าเป็นของแท้แน่นอนหรือไม่ ฉะนั้นสิ่งที่หลายคนต้องตระหนักก็คือการตรวจสอบให้ดีก่อนเลือกใช้บริการ

                                                                วิธีการตรวจสอบการฉีดโบก่อนใช้บริการ

                                                                1. ลืมเรื่องราคาโปรโมชั่นไปให้หมดสิ้น เชื่อว่าสาวๆ บางคนต้องมีอาการแพ้คำว่าโปรโมชั่น เมื่อเจอคำว่า “โปรโมชั่น” เมื่อไหร่ต้องตื่นตาตื่นใจทุกที ความจริงแล้วการทำหน้าเรียวช่วงโปรโมชั่นไม่ใช่สิ่งผิด เพราะมันเป็นการตลาดที่ทุกคลินิกต่างก็เลือกใช้ แต่สิ่งที่อยากให้ระวังคือโปรโมชั่นที่มีราคาถูกมากจนน่าตกใจ เช่นโปรจากหลักหมื่นลดเหลือแค่หลักร้อยปลายๆ หรือพันต้นๆ ถ้าเจออย่างนี้ควรจะเอะใจ และศึกษาข้อมูลก่อนเลือกใช้บริการ
                                                                2. ขอตรวจสอบขวดบรรจุพร้อมกล่องทุกครั้ง โดยปกติการฉีดโบของแท้ขวดที่บรรจุกับกล่องของขวดนั้น ๆ จะต้องมีเลข Lot ที่ตรงกัน ก่อนใช้บริการควรขอตรวจสอบเลขข้างกล่องนี้ ซึ่งจะมีตั้งแต่เลข Lot ที่ผลิต วันผลิต วันหมดอายุ ของแท้จะต้องตรงกันทั้งหมด ควรเป็นขวดที่เปิดใหม่ และอย่าลืมดูขนาดรูปร่างของขวดด้วยล่ะ จงอย่าอายที่จะขอดูเพื่อความแน่ใจ พึงระลึกไว้เสมอว่าถ้าหากโชคร้ายเจอการฉีดโบปลอม นอกจากจะปรับรูปหน้าไม่เรียวแล้ว ยังอาจจะแพ้ หรือหน้าพังไปเลยก็ได้
                                                                3. ตรวจสอบบยี่ห้อการฉีดโบกับบริษัทผู้นำเข้า ถ้าเป็นไปได้ควรขอตรวจสอบยี่ห้อของโบและนำยี่ห้อนั้นไปตรวจสอบกับผู้นำเข้า ว่าคลินิกชื่อ…(ที่เราจะเข้ารับบริการ)…ได้ทำการสั่งสินค้าจากผู้นำเข้าโดยตรงหรือไม่ วิธีการนี้อาจจะดูยากและซับซ้อน แต่จะทำให้คุณในฐานะผู้บริโภคจะได้รับบริการที่มีคุณภาพที่สุด ส่วนวิธีการขอตรวจสอบยี่ห้อก่อนนั้นอาจจะใช้วิธี Walk in เข้าไปปรึกษาการปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวด้วยการฉีดโบก่อนและขอดูยี่ห้อของโบที่ใช้ สำหรับคลินิกใดที่ใช้ของแท้ย่อมยินดีที่จะให้ลูกค้าดูอย่างไม่ลังเล
                                                                4. ทำการบ้านก่อนที่จะเดินเข้าคลินิก จากการสำรวจที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มคนที่อยากปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียวด้วยการฉีดโบมักจะเชื่อใจคลินิกมากกว่าเชื่อใจตนเอง เพราะด้วยความที่คิดว่าคลินิกมีความเชี่ยวชาญมากกว่าเรา มีชื่อเสียง มีฐานลูกค้ามากมาย คงไม่กล้าใช้ของไม่ได้คุณภาพเป็นแน่ อีกทั้งด้วยความที่โบเป็นสินค้าเฉพาะทางมีศัพท์ทางเทคนิคที่เข้าใจยาก ทำให้เลี่ยงการหาข้อมูลพื้นฐานด้วยตัวเองแต่เลือกที่จะเชื่อเจ้าหน้าที่แทน ความจริงแล้วเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนัก ในฐานะผู้บริโภคควรที่จะต้องศึกษาข้อมูลก่อนเบื้องต้น อย่างน้อยก็ควรที่จะรู้ว่าการฉีดโบมีกี่ประเภท นิยมนำเข้าจากที่ไหนบ้าง คลินิกที่เราจะใช้บริการใช้ผลิตภัณฑ์โบยีห้ออะไร ที่คลินิกฉีดให้ใช้กี่ยูนิต เป็นต้น
                                                                5. ควรตรวจสอบหลาย ๆ คลินิก อย่าเพิ่งเชื่อรีวิว หรือคำบอกเล่าต่างๆ นานา เกี่ยวกับทุกคลินิกที่ได้ข้อมูลมาก แต่จงเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ในใจแล้วเดินเข้าไปปรึกษาคลินิกด้วยตนเอง และที่สำคัญคือควรสอบถามพูดคุยกับหลายๆคลินิก การที่ได้สอบถาม พูดคุย การตอบคำถามของแพทย์ การให้ข้อมูลต่าง ๆ ของเจ้าหน้าที่จะเป็นส่วนช่วยให้คุณตัดสินได้ง่ายขึ้นค่ะ

                                                                ในแต่ละปีมีผู้สนใจทำหน้าเรียวด้วยการฉีดโบเป็นหมื่นเป็นแสนคน แต่คนที่ทำแล้วหน้าไม่เรียวดั่งใจก็มีไม่น้อยเช่นกัน ฉะนั้นถ้าคุณไม่อยากเป็นคนหนึ่งที่พลาด เสียเงินฟรีโดยไม่เกิดผลลัพธ์แถมยังต้องเสี่ยงต่อการแพ้ต่าง ๆ ควรศึกษาหาข้อมูลเยอะๆ นะคะ สำหรับใครที่อยาก Walk in เข้ามาพูดคุยเพื่อดูบรรยากาศ สามารถ walk in เข้ามาได้ที่รมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขา เจ้าหน้าที่ของเราพร้อมให้คำปรึกษา และยินดีต้อนรับทุกท่านค่ะ

                                                                10 เคล็ดลับเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้สาวๆ เร่งสลายไขมัน

                                                                134

                                                                การที่จู่ๆ คนเราจะลุกขึ้นมาตั้งใจทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น  ย่อมจะต้องมี Inspiration หรือแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลง เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้  โดยเฉพาะหนึ่งในเป้าหมายที่คุณสาวๆ อยากพิชิตมันให้ได้ นั่นก็คือ เรื่องของการลดน้ำหนัก สลายไขมันกวนใจให้หายสิ้นซาก แต่จนแล้วจนรอดสาวๆ ทั้งหลายก็ยังคว้าน้ำเหลวไปไม่ถึงฝันสักที นั่นก็เป็นเพราะว่าไม่มีสิ่งกระตุ้นเตือนให้รู้สึกอยากลดน้ำหนัก หรือจะเพราะความขี้เกียจก็แล้วแต่ เอาเป็นว่า เรามาลองเริ่มต้นหาแรงบันดาลในใจการลดน้ำหนัก สลายไขมันใหม่กันอีกซักตั้ง กับ 10 เคล็ดลับเพื่อช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้สาวๆ อึดอีกเฮือก เพื่อลดหุ่น สลายไขมันได้ถึงฝั่งฝันแบบที่ต้องการค่ะ

                                                                1. สร้างจินตนาการเกี่ยวกับรูปร่างของคุณ ให้คุณสาวๆ ลองส่องกระจกเพื่อสำรวจรูปร่างของตนเองค่ะ ดูซิว่ามีไขมันส่วนเกินบริเวณไหนบ้างที่เราอยากกำจัดสลายไขมันออกไป หากยังนึกไม่ออกให้ลองวิธีนี้ค่ะ  ถ้าพุงใหญ่ให้เขม่วท้องแบบสุดๆ  ถ้าบริเวณปีกสะโพกหนาให้ใช้สองมือบังบริเวณปีกสะโพก  หรือถ้าต้นแขนใหญ่ให้กางแขนออกแล้วใช้มือบังบริเวณส่วนที่ห้อยย้อยของท่อนแขนบน แล้วลองจินตนาการว่า หากสลายไขมันส่วนนี้ออกไปรูปร่างของคุณจะเป๊ะปังขนาดไหน แนะนำว่าให้คุณส่องกระจำแล้วทำแบบนี้ทุกสัปดาห์นะคะ สิ่งเหล่านี้จะแสดงผลในเชิงบวกและจะกระตุ้นต่อสมองของคุณ ให้มีความพยายามอยากลดน้ำหนัก สลายไขมันมากขึ้นได้ค่ะ

                                                                2. เขียนเป้าหมายตัวโตๆ ให้คุณเห็นได้ชัดเจน วิธีนี้เป็นการกระตุ้นตัวเราอยู่ตลอดเวลา ว่าต้องสลายไขมันออกไปให้ได้ โดยการเขียนเป้าหมายของคุณตัวโตๆ ลงกระดาษแล้วแปะเอาไว้บริเวณที่คุณสามารถมองเห็นได้ง่าย  เช่น โต๊ะทำงาน ข้างฝนังเตียง หรือเขียนลงบล็อคส่วนตัว เพื่อติดตามผลงานของตนเอง โดยถ่ายรูปและจดบันทึกความเปลี่ยนแปลงทั้งน้ำหนักและรูปร่างเอาไว้เสมอ สิ่งนี้จะเป็นแรงกระตุ้นให้คุณไม่ล้มเลิกความตั้งใจในการลดน้ำหนัก สลายไขมันไปเสียก่อนค่ะ

                                                                shutterstock 211479040

                                                                3. ตั้งเป้าหมายการลดน้ำหนัก ค่อยๆ เริ่มที่ละน้อย สำหรับคุณสาวๆ ที่มีความอดทนไม่สูงต่อการลดน้ำหนัก สลายไขมันลองใช้วิธีนี้ดูนะคะ โดยการตั้งเป้าลดน้ำหนักแบบน้อยๆ ดูก่อน เช่น ใน 1 เดือน ควรลดให้ได้ 1-2 กิโลฯ ก็ควรพอใจแล้ว อย่าตั้งเป้าไปที่ 10-20 กิโลฯ เพราะอาจจะมากไปจนเป็นผลเสียกับร่างกายแล้ว ยังทำให้คุณรู้สึกท้อถอยและเบื่อหน่ายไม่อยากลด หรือสลายไขมันได้ค่ะ หลังจากนั้นเมื่อคุณทำได้ แล้วจึงค่อยเพิ่มเป้าหมายให้ใหญ่ขึ้นไปอีกนิดโดยที่คุณไม่ได้รู้สึกซีเรียสอะไร แล้วคุณจะสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ค่ะ

                                                                4. อยู่ให้ห่างจากคนที่จะทำให้คุณหลุดเป้าหมายการลดน้ำหนัก  สาวๆ ต้องฝึกตนเองให้เป็นคนใจแข็งเข้าไว้ค่ะ เช่น ปฏิเสธเพื่อนที่ชอบพาคุณไปสังสรรค์หลังเลิกงาน หรือพยายามอยู่ให้ห่างจากเพื่อนสายโซ้ยแหลก แล้วคุณควรหากลุ่มเป้าหมายให้เหมือนกันกับคุณในเรื่องของการลดน้ำหนักสลายไขมัน หรือลองหาเพื่อนกลุ่มใหม่ๆ จากกิจกรรมการออกกำลังกาย เช่น กลุ่มนักปั่นจักรยาน กลุ่มวิ่งมาราธอน หรือกลุ่มคนเล่นฟิตเนส เมื่อมีเพื่อนเราจะรู้สึกสนุกกับกิจกรรมนี้มากขึ้น และยังได้สังคมใหม่ๆ อีกด้วยนะ

                                                                shutterstock 1112101457

                                                                5. หา Idol สร้างแรงบันดาลใจสลายไขมัน Idol ในที่นี้ จะเป็นดารา นางแบบ นักร้อง หรือจะเป็นคนที่คุณรู้จักคุ้นเคยก็ได้ทั้งนั้นค่ะ ลองทำตัวเป็นติ่งของคนเหล่านั้นดู แล้วเข้าไปส่องใน IG หรือใน Facebook ว่าในแต่ละวัน เขาใช้ชีวิตกิน อยู่ ออกกำลังกายกันแบบไหนถึงมีรูปร่างฟิตแอนด์เฟิร์มได้ขนาดนั้น จากนั้นให้คุณลองปรับวิธีการกิน อยู่ ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับตัวของคุณ และที่สำคัญอย่าลืมถ่ายรูปหุ่นของตนเองเอาไว้เทียบกับ Idol นะคะ จะได้มีแรงฮึดในการสลายไขมัน ฟิตหุ่นให้สวยเหมือน Idol ที่คุณชอบค่ะ

                                                                6. สลายไขมันเพื่อให้เธอหันมา สาวๆ คะ ตอนนี้กำลังแอบปิ๊งใครอยู่รึเปล่าเอ่ย ประมาณว่ารักเขาข้างเดียวเหมือนข้าวเหนียวนึ่ง … ถ้าคิดว่าน้ำหนักของคุณคืออุปสรรคของรักครั้งนี้ ลองเปลี่ยนอุปสรรคมาเป็นพลังบวกแล้วเริ่มต้นลดน้ำหนักสลายไขมันอย่างเอาจริงเอาจังดีกว่าค่ะ เพราะนอกจากรูปร่างคุณเพอร์เฟคขึ้นแล้ว ไม่แน่เขาอาจกำลังปิ๊งคุณอยู่ก็ได้นะเออ…

                                                                7. ติดพนันบ้าง แต่เกี่ยวกับเรื่องลดน้ำหนักเท่านั้นนะ การพนันในที่นี้ หมายถึงพนันเพื่อแข่งกันลดน้ำหนักสลายไขมันเท่านั้นนะคะ!  จะแข่งกันแค่ 2 คน หรือชักชวนแข่งกันเป็นกลุ่มก็ตามแต่ อาจมีติดปลายนวมเล็กน้อยเพื่อเพิ่มดีกรีความสนุก คนแพ้จะเลี้ยงน้ำเลี้ยงขนมก็ว่ากันไป วิธีสลายไขมันนี้ค่อนข้างได้ผลดีนะคะ เพราะมีแรงจูงใจให้คุณรู้สึกต้องเอาจริงเอาจังในการลดน้ำหนัก แหม… ก็แน่ล่ะ ของฟรีใครๆ ก็ชอบจริงไหมคะ…

                                                                8. ซื้อชุดที่คุณอยากใส่แต่ใส่ไม่ได้ เช่น คุณเคยเล็งชุดนี้เอาไว้นานแล้ว แต่ไม่สามารถใส่ได้เพราะติดที่รูปร่าง ต่อไปนี้อย่าได้แคร์ค่ะ ซื้อเลยค่ะสาวๆ เจ้าเนื้อทั้งหลาย แล้วตั้งปณิธานเอาไว้ว่าเราจะต้องใส่ชุดนี้ให้ได้ เป็นวิธีการสลายไขมันที่มีเป้าหมายชัดเจน จะช่วยกระตุ้นความรู้สึกให้คุณอยากลดน้ำหนักสลายไขมันลงได้เป็นอย่างดีเชียวค่ะ

                                                                9. ลองย้อนกลับไปดูรูปตนเองสมัยเอ๊ะๆ สิ อายุที่มากขึ้น ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของระบบเผาผลาญ สลายไขมันของร่างกายที่ลดน้อยลง และยิ่งแย่ไปกันใหญ่ถ้าคุณไม่ยอมออกกำลังกาย เพราะไขมันที่สะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายมันจะยิ่งพอกพูนน้ำหนักตัวก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ งั้นให้ลองวิธีนี้ดูค่ะ ให้คุณไปรื้ออัลบัมรูปภาพเก่าๆ สมัยคุณยังสาวๆ เอ๊ะๆ หรือเข้าไปในเพจส่วนตัวแล้วย้อนไปดูภาพของตนเองที่เคยโพสต์ไว้เมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว เห็นไหมคะ ว่าคุณเคยมีเอวคอด แขนขาเรียวเล็ก รูปร่างสวยสมส่วนขนาดไหน จ้องรูปนั้นเอาไว้ลองสะกดจิตตนเองว่า เราต้องกลับไปหุ่นเป๊ะแบบเดิมให้ได้ เริ่มจากจดสถิติรอบเอวของคุณ แล้วเริ่มต้นลดน้ำหนักสลายไขมันอย่างจริงๆ จังๆ ไม่นานคุณจะกลับไปมีรูปร่างเหมือนตอน 14 อีกครั้งแน่นอนค่ะ

                                                                shutterstock 1089858602

                                                                10. ตระหนักถึงอันตรายของความอ้วนอยู่เสมอ ในปัจจุบัน เราจะพบเห็นได้บ่อยว่าสื่อต่างๆ พยายามรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการลดน้ำหนักสลายไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เนื่องจาก ความเสี่ยงของคนที่น้ำหนักตัวมากนั้น มีสูงกว่าคนน้ำหนักตัวปกติหลายเท่าค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ความเสี่ยงเรื่องโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง สำหรับสาวๆ ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งรังไข่ หรือโรคมะเร็งเต้านมขึ้นได้ เพราะฉะนั้น หากคุณสาวๆ ไม่อยากเกิดความเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บที่กล่าวมาข้างต้น จึงควรตระหนักถึงความสำคัญของการลดน้ำหนักและสลายไขมันอยู่เสมอ เพื่อให้ห่างไกลจากโรคร้าย และมีรูปร่างสวยอยู่กับเราไปตลอดค่ะ

                                                                อยากให้คุณสาวๆ ที่ปราถนาหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์มลองเอาเคล็ดลับการสร้างแรงบันดาลใจเพื่อเร่งสลายไขมันนี้ไปเลือกใช้กันดูนะคะ  ขอให้คุณมีความเชื่อมั่นว่าคุณทำได้ คุณทำได้ เมื่อคุณมีความเชื่อและมีแรงบันดาลใจที่ดีแล้ว ยอมได้ผลลัพธ์คือรูปร่างสวย และสุขภาพที่ดีตามมาค่ะ…