ข้อควรรู้ก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรก ควรปฏิบัติ และควรระวังอะไรบ้าง?
ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ หากต้องการให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และไม่เป็นอันตราย การดูแลตัวเองก่อน และหลังฉีดถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก วันนี้ รมย์รวินท์รวบรวมข้อควรรู้ก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์มาให้แล้วว่า ก่อนฉีดต้องเตรียมตัวอย่างไร? และหลังฉีดควรดูแลตัวเองอย่างไร? เพื่อผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ สามารถคงอยู่ได้ยาวนาน และลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง มาหาคำตอบกันในบทความนี้ค่ะ
ข้อควรรู้ก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรดูแลตัวเองอย่างไร? เพื่อผลลัพธ์ที่ดี และไม่เป็นอันตราย
รู้จักการฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) เป็นสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid – HA) ที่ใช้ฉีดเข้าสู่ใต้ชั้นผิว เพื่อแก้ปัญหาผิวที่เสื่อมสภาพ เช่น เติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก เพิ่มปริมาตรให้ผิวบริเวณที่ยุบตัว หรือฉีดปรับโครงสร้างใบหน้าให้ดูสมดุล นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์ยังไม่เสี่ยงอันตราย และสามารถเห็นผลได้หลังฉีด จึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ และครอบคลุมเกือบทุกปัญหาผิว
ข้อควรรู้ก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์ มีอะไรบ้าง?
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรเตรียมตัวอย่างไร?
- ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรศึกษาข้อมูล และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ ทั้งประเภทของฟิลเลอร์ ผลลัพธ์ที่ได้ และข้อควรระวังในการฉีด เพื่อให้สามารถเลือกฟิลเลอร์ได้อย่างเหมาะสม
- ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรแจ้งประวัติสุขภาพ
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรแจ้งประวัติสุขภาพ ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ ประวัติหัตถการที่เคยทำ รวมถึง ยาที่กำลังรับประทานอยู่ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียดก่อนฉีด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง
- ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดรับประทานยาบางชนิด
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรงดรับประทานยา หรืออาหารเสริมบางชนิด เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน, NSAIDs, น้ำมันปลา หรือสารสกัดจากโสม อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยฟกช้ำ หรือเลือดออกง่าย
- ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดดื่มแอลกอฮอล์
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 – 2 วันก่อนฉีด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการบวม หรือการอักเสบ
- ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดทำกิจกรรมอย่างหนัก
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรงดการทำกิจกรรมหนัก ๆ หรือกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด รวมถึง งดออกกำลังกายแบบหักโหม อย่างน้อย 1 – 2 วันก่อนฉีด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการบวมช้ำ
- ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดนวดหน้า หรือทำทรีตเมนต์
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรงดนวดหน้า ขัดผิว แว็กซ์ผิว โกนขน หรือทำทรีตเมนต์ต่าง ๆ อย่างน้อย 3 – 5 วันก่อนฉีด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดการติดเชื้อ อักเสบ หรือระคายเคือง
- ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรงดใช้ครีม หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมในการผลัดเซลล์ผิว ได้แก่ Retinol, AHA, BHA หรือ Glycolic Acid อย่างน้อย 3 วันก่อนฉีด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการระคายเคือง หรือการอักเสบ
- ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรนอนหลับให้เพียงพอ
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรนอนหลับ หรือพักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนฉีด เพื่อให้ร่างกายมีความพร้อมสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ในวันถัดไป
หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?
- หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง
หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง เพื่อลดอาการบวม ปวดตึง หรือรอยฟกช้ำในบริเวณที่ฉีด รวมถึง ป้องกันความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงภายหลัง
- หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรสังเกตอาการของตนเอง
หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรติดตามอาการ หรือสังเกตอาการของตนเองอย่างใกล้ชิด หากมีอาการผิดปกติ เช่น ผิวเปลี่ยนสี บวม แดง คัน หรือปวดมากผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน
- หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรประคบเย็นหากมีอาการบวม
หลังฉีดฟิลเลอร์ หากมีอาการบวมช้ำ สามารถประคบเย็นบริเวณที่ฉีดตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยลดอาการบวมช้ำหลังฉีด โดยใช้เจลเย็น หรือถุงน้ำแข็งประคบเบา ๆ ไม่กดแรงเกินไป
- หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรนอนในท่าทางที่เหมาะสม
หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรนอนในท่าทางที่เหมาะสม โดยนอนหงาย และยกศีรษะสูงกว่าหน้าอก เพื่อช่วยลดอาการบวมช้ำหลังฉีด อย่างน้อย 2 – 3 วันแรก
- หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ
หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ ประมาณ 1.5 – 2 ลิตรต่อวัน ซึ่งน้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญในการฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากสารในฟิลเลอร์ เป็นสารที่กักเก็บความชุ่มชื้น ดังนั้น การดื่มน้ำให้มาก ๆ จะทำให้ฟิลเลอร์มีความฟูได้ดีมากขึ้น
- หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ประมาณ 7 – 8 ชั่วโมงต่อวัน เนื่องจากการนอนหลับจะทำให้ร่างกายสามารถฟื้นฟู และซ่อมแซมตัวเองได้อย่างเต็มที่
หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรระวังตัวอย่างไร?
- หลังฉีดฟิลเลอร์ งดแต่งหน้า
หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรงดแต่งหน้า หรือใช้เครื่องสำอางในบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 12 – 24 ชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังฉีด
- หลังฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้า
หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัส จับ กด หรือถูในบริเวณที่ฉีดแรง ๆ อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงฟิลเลอร์เคลื่อนที่ หรือเสียรูปทรง รวมถึง ลดความเสี่ยงในการอักเสบหลังฉีด
- หลังฉีดฟิลเลอร์ งดโดนความร้อน
หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรงดโดนความร้อน หรืออยู่ในที่ที่อุณหภูมิสูง เช่น เข้าซาวน่า อบไอน้ำ หรือรับประทานอาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงฟิลเลอร์เคลื่อนที่ หรือสลายตัวไว
- หลังฉีดฟิลเลอร์ งดนอนกดทับใบหน้า
หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรงดนอนกดทับใบหน้า หรือนอนในท่าทางที่ไม่เหมาะสม เช่น นอนคว่ำ นอนตะแคง อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงฟิลเลอร์เคลื่อนที่ หรือเสียรูปทรงหลังฉีด
- หลังฉีดฟิลเลอร์ งดทำกิจกรรมอย่างหนัก
หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรงดการทำกิจกรรมหนัก ๆ หรือกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด รวมถึง งดออกกำลังกายแบบหักโหม อย่างน้อย 1 – 2 วัน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการบวมช้ำ
- หลังฉีดฟิลเลอร์ งดดื่มแอลกอฮอล์
หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 – 2 วัน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการบวม หรืออักเสบหลังฉีด
- หลังฉีดฟิลเลอร์ งดสูบบุหรี่
หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรงดการสูบบุหรี่ อย่างน้อย 1 – 2 วัน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ หรืออักเสบหลังฉีด รวมถึง อาจทำให้ฟิลเลอร์เสื่อมสภาพเร็วขึ้นได้
- หลังฉีดฟิลเลอร์ งดรับประทานอาหารหมักดอง
หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรงดการรับประทานอาหารหมักดอง เช่น ผักดอง ผลไม้ดอง หรือปลาร้า อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ หรือเกิดแผลอักเสบหลังฉีด
- หลังฉีดฟิลเลอร์ งดอาหารรสจัด
หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรงดอาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นเค็มจัด เผ็ดจัด หวานจัด หรืออาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น ส้มตำ ยำ หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการอักเสบ หรือบวมหลังฉีด
- หลังฉีดฟิลเลอร์ งดทำทรีตเมนต์
หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรงดการทำทรีตเมนต์ในบริเวณที่ฉีด เช่น นวดหน้า สครับผิว หรือผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการระคายเคืองหลังฉีด
ขั้นตอนในการฉีดฟิลเลอร์ มีอะไรบ้าง?
- ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดฟิลเลอร์
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะเข้ามาพูดคุย และสอบถามเกี่ยวกับความต้องการ หรือปัญหาที่ต้องการแก้ไข เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม
- ประเมินสภาพผิวก่อนฉีดฟิลเลอร์
แพทย์จะเริ่มวิเคราะห์ และประเมินสภาพผิวหน้า เพื่อคำนวณปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องใช้ รวมถึง แนะนำยี่ห้อ และรุ่นของฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการแก้ไข
- ทำความสะอาดใบหน้า
ผู้ช่วยแพทย์จะเริ่มทำความสะอาดใบหน้าในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ โดยการเช็ดเครื่องสำอางออกให้หมด เพื่อขจัดสิ่งสกปรก และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- ทายาชาก่อนฉีดฟิลเลอร์
เมื่อทำความสะอาดใบหน้าเสร็จ ผู้ช่วยแพทย์จะทำการทายาชา หรือฉีดยาชา เพื่อลดความเจ็บปวดขณะฉีด โดยจะทิ้งให้ยาชาค่อย ๆ ออกฤทธิ์ ประมาณ 30 – 40 นาที
- แพทย์จะเริ่มฉีดฟิลเลอร์
เมื่อยาชาออกฤทธิ์เรียบร้อยแล้ว แพทย์จะเริ่มฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในชั้นผิวบริเวณที่ต้องการแก้ไข ซึ่งจะต้องอาศัยความชำนาญ และประสบการณ์ในการฉีด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และมีประสิทธิภาพ
- ปรับรูปทรงให้สวยงาม
เมื่อฉีดฟิลเลอร์เสร็จ แพทย์จะทำการปรับแต่งรูปทรงให้สวยงามในบริเวณที่ฉีด เพื่อให้ฟิลเลอร์กระจายตัวได้ดี และได้รูปทรงที่สมดุลตามที่ต้องการ
- ให้คำแนะนำหลังฉีดฟิลเลอร์
แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติตัว และข้อควรระวังหลังฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง
การฉีดฟิลเลอร์ มีอาการข้างเคียงอย่างไร?
หลังฉีดฟิลเลอร์ อาจมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นเล็กน้อย โดยอาการที่พบได้บ่อย มีดังนี้
- รอยแดงจากเข็ม
หลังฉีดฟิลเลอร์ อาจมีรอยแดงจากเข็มเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะค่อย ๆ จางลง ภายใน 2 – 3 วัน
- อาการบวม
หลังฉีดฟิลเลอร์ อาจมีอาการบวมเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด โดยสามารถรับประทานยาลดบวมตามคำแนะนำของแพทย์ หรือประคบเย็นเบา ๆ เพื่อลดอาการบวมลงได้ ซึ่งจะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 1 – 2 สัปดาห์
- ปวดระบม
หลังฉีดฟิลเลอร์ อาจมีอาการปวดระบม หรือปวดตึงในบริเวณที่ฉีด โดยสามารถรับประทานยาแก้ปวดตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อลดอาการปวดลงได้ ซึ่งจะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 1 สัปดาห์
- รอยเขียวช้ำ
หลังฉีดฟิลเลอร์ อาจเกิดรอยเขียวช้ำในบริเวณที่ฉีด โดยสามารถทายาลดรอย เพื่อให้รอยช้ำจางลง ซึ่งจะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 1 – 2 สัปดาห์
การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อดีอย่างไร?
- เห็นผลรวดเร็ว เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้หลังฉีด โดยไม่ต้องรอผลลัพธ์นานเหมือนกับการทำหัตถการอื่น ๆ
- ไม่เสียเวลาพักฟื้นนาน เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ เป็นหัตถการที่ไม่ต้องทำการผ่าตัด จึงลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง และไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนาน
- สลายได้ตามธรรมชาติ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid เป็นสารที่มีอยู่ในร่างกาย จึงสามารถสลายได้ตามธรรมชาติ หรือในกรณีที่ไม่พอใจในผลลัพธ์ สามารถฉีดสลายได้ง่าย
- ใช้แก้ปัญหาได้หลากหลาย โดยฟิลเลอร์สามารถฉีดได้หลายตำแหน่งบนใบหน้า เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างหลากหลาย เช่น เติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ลดความหย่อนคล้อย หรือปรับโครงใบหน้าให้ดูมีมิติ
- ไม่เสี่ยงอันตราย หากใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้รับการอนุมัติจาก อย. และฉีดโดยแพทย์ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงอันตรายได้
การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อเสียอย่างไร?
- ผลลัพธ์ไม่ถาวร เนื่องจากสาร Hyaluronic Acid ในฟิลเลอร์ เป็นสารที่สามารถสลายได้ตามธรรมชาติ จึงต้องมีการฉีดซ้ำเรื่อย ๆ เมื่อครบกำหนด แต่โดยทั่วไป การฉีดฟิลเลอร์จะอยู่ได้นาน 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเอง
- ต้องฉีดโดยแพทย์เท่านั้น หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่ดูเป็นธรรมชาติ หรือเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาได้
ใครที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์?
- การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเติมเต็มริ้วรอย และร่องลึก
การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเติมเต็มริ้วรอย และร่องลึกจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น เช่น ริ้วรอยรอบดวงตา ริ้วรอยมุมปาก หรือร่องแก้มลึก
- การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับปรับรูปหน้า
การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับปรับรูปหน้า หรือปรับปรุงโครงสร้างใบหน้าให้ดูมีมิติ และมีสัดส่วนที่สมดุลมากขึ้น เช่น การฉีดฟิลเลอร์คาง การฉีดฟิลเลอร์กรอบหน้า หรือการฉีดฟิลเลอร์ขมับ
- การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มปริมาตรให้ผิว
การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มปริมาตรให้ผิว ในบริเวณที่ยุบตัวลงตามอายุ เช่น การฉีดฟิลเลอร์ขมับ หรือการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ
- การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความอวบอิ่ม
การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความอวบอิ่ม ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ เช่น การฉีดฟิลเลอร์ปาก การฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม
- การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ต้องการยกกระชับผิว
การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อยของใบหน้า หรือผิวสูญเสียความยืดหยุ่น
- การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้น
การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้น หรือเติมน้ำให้ผิว ทำให้แต่งหน้าติดทนมากขึ้น โดยส่วนใหญ่จะเน้นการฉีดฟิลเลอร์บริเวณหน้าแก้ม หรือทั่วทั้งใบหน้า
ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ
ใครที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์?
- การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้สารในฟิลเลอร์
- การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีเลือดออกง่าย หรือรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดเป็นประจำ
- การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวติดเชื้อ หรือมีอาการอักเสบ
- การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะกับผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
- การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน
- การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะกับผู้ที่เคยมีประวัติเกิดแผลเป็นนูนผิดปกติ
ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ
Q&A คำถามเกี่ยวกับารฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์ ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง?
การฉีดฟิลเลอร์ สามารถฉีดได้หลายตำแหน่งบนใบหน้า โดยตำแหน่งที่นิยมฉีดฟิลเลอร์ มีดังนี้
- ร่องแก้ม ใช้ฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 3 CC เพื่อเติมเต็มร่องแก้มลึกให้ดูตื้นขึ้น ทำให้ใบหน้ามีความอ่อนเยาว์
- ใต้ตา ใช้ฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 2 CC เพื่อเติมเต็มร่องลึกใต้ตา ลดความหมองคล้ำใต้ตา และลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตา
- ขมับ ใช้ฟิลเลอร์ ประมาณ 2 – 4 CC เพื่อเติมเต็มขมับที่ตอบ หรือขมับที่ยุบตัวให้ดูเต็มอิ่มมากขึ้น
- คาง ใช้ฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 2 CC เพื่อปรับรูปทรงคางให้สวยงาม มีความสมส่วน และรับกับใบหน้ามากขึ้น
- ริมฝีปาก ใช้ฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 2 CC เพื่อเติมเต็มความอวบอิ่มให้ริมฝีปาก และปรับรูปทรงปากให้สวยงาม
- หน้าผาก ใช้ฟิลเลอร์ ประมาณ 3 – 5 CC เพื่อเติมเต็มหน้าผากให้นูนสวย ดูละมุน และรับกับใบหน้ามากขึ้น
- แก้มส้ม ใช้ฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 2 CC เพื่อเติมเต็มหน้าแก้มให้มีความอิ่มฟู ดูเด็กลง และสดใสมากขึ้น
การฉีดฟิลเลอร์ เจ็บไหม?
- การฉีดฟิลเลอร์ อาจมีความเจ็บเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ฉีด ซึ่งเป็นความเจ็บในระดับที่ทนได้ แต่โดยปกติแล้ว ผู้ช่วยแพทย์จะมีการทายาชา หรือฉีดยาชาให้ก่อนเริ่มฉีดฟิลเลอร์ เพื่อลดความรู้สึกเจ็บขณะฉีด อีกทั้ง ฟิลเลอร์บางยี่ห้อยังมีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) ทำให้รู้สึกสบายตัวมากขึ้น
การฉีดฟิลเลอร์ ฉีดกี่วันเข้าที่?
- หลังฉีดฟิลเลอร์ โดยปกติแล้ว การฉีดฟิลเลอร์จะเริ่มเข้าที่ และกลมกลืนเข้ากับผิว ภายใน 2 – 4 สัปดาห์ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะมีความเป็นธรรมชาติ และไม่แข็งทื่อ
การฉีดฟิลเลอร์ ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นได้ไหม?
- โดยปกติแล้ว หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น อย่างน้อย 24 – 48 ชั่วโมงแรก เนื่องจากความร้อนอาจส่งผลให้ฟิลเลอร์สลายตัวเร็ว และอาจทำให้เกิดอาการบวมมากขึ้นหลังฉีด แนะนำให้ล้างหน้าด้วยน้ำอุณหภูมิปกติใ่นช่วงแรก
การฉีดฟิลเลอร์ นวดหน้าได้ไหม?
- โดยปกติแล้ว หลังฉีดฟิลเลอร์ควรงดการนวดหน้าในบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ เนื่องจากการกดใบหน้าแรง ๆ อาจทำให้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เกิดการเคลื่อนที่ผิดตำแหน่ง และทำให้ผลลัพธ์ดูผิดรูปได้
การฉีดฟิลเลอร์ อันตรายไหม?
- การฉีดฟิลเลอร์ ถือเป็นหัตถการที่ไม่เสี่ยงอันตราย เนื่องจากเป็นมีการใช้งานมาอย่างยาวนาน และได้รับการยอมรับทั่วโลก ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ควรฉีดโดยแพทย์ และใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้รับการอนุมัติจาก อย. เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เสี่ยงอันตราย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
วิธีการดูฟิลเลอร์แท้ สังเกตได้จากอะไร?
- กล่องฟิลเลอร์อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ไม่บุบสลาย และไม่มีการแกะใช้งานมาก่อน
- มีเลขทะเบียน อย. ระบุไว้อย่างชัดเจนบนกล่อง โดยสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ของ อย.
- มีเอกสารกำกับภาษาไทยภายในกล่อง โดยจะต้องระบุข้อมูล หรือรายละเอียดฟิลเลอร์อย่างเห็นได้ชัด
- มีเลข Lot. ตรงกันทุกจุด เช่น บนกล่องฟิลเลอร์ หลอดฟิลเลอร์ ซองฟิลเลอร์ หรือสติกเกอร์
- ในบางกรณี ฟิลเลอร์บางยี่ห้ออาจมี QR Code ให้สแกน เพื่อตรวจสอบข้อมูลฟิลเลอร์โดยตรง
แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์ หากฉีดโดยแพทย์จะไม่เสี่ยงอันตราย แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงได้ หากปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม ทั้งก่อนฉีดฟิลเลอร์ และหลังฉีดฟิลเลอร์ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ควรหาข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นข้อควรรู้ หรือข้อควรระวังสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อจะได้เตรียมตัว และดูแลตนเองอย่างเหมาะสม ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพ และมีความคงทนมากขึ้น ลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงในอนาคต
*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด